แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เป็นภาษาใต้) นี่มาพร้อมกันแล้วหรือยัง มานั่งใกล้ๆไม่ได้ยิน เครื่องขยายเสียงใช้ไม่ได้ เอ้า,ปรึกษากันก่อน จะปรึกษากันเรื่องอะไร จะพูดกันเรื่องอะไร/ พูดกันเรื่องอะไรดี เปิดประชุมเลย ผมก็อยากทราบว่าพูดเรื่องอะไรดี สำหรับวันนี้ไม่มีปัญหา สำหรับวันต่อไปล่ะ/ ผมพูดความรู้รอบตัวสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม//
(วิทยากรกล่าวแนะนำผู้เข้ารับการบรรยาย) พระวิปัสสนาจารย์ทั้งหมด ๓๐ รูป ได้เดินทางมาสู่สวนโมกขพลารามนี้ก็เพื่อเจริญสมณธรรมและฟังโอวาทของพระเดชพระคุณ พระภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ต่างสำนัก และล้วนแต่เป็นครูบาอาจารย์และผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม ได้ทำการอบรมที่วัดปรินายก กรุงเทพมหานครมาเป็นเวลา ๑ เดือนกับ ๑๕ วันแล้ว บัดนี้ได้มาอยู่ภายในสวนโมกขพลารามเพื่อเจริญสมณธรรม ขอพระเดชพระคุณได้ประทานโอวาทตามที่เห็นควร//
ในวันแรกนี้ ผมจะขอกล่าวในลักษณะเป็นการต้อนรับ ไม่ใช่โอวาทอะไรมากมาย และแม้ในวันต่อไปก็จะขอกล่าวในลักษณะการถวายความคิดเห็นซึ่งก็เป็นโอวาทโดยอ้อม ทั้งนี้เพราะว่าส่วนหลักวิชานั้นก็ได้อบรมกันมามากแล้ว แต่มันยังเหลือปัญหาแวดล้อมต่างๆ ที่เราจะปฏิบัติตามหลักวิชาให้ลุล่วงไปด้วยดีตามหน้าที่ของเรา นี่ต้องใช้คำว่าเรา ทำไมต้องใช้คำว่าเรา เพราะว่าเรามีหน้าที่ผิดจากเขาอื่น เลยจำเป็นที่จะต้องใช้คำสมมติว่าเรา ผมขอแสดงความยินดีในการที่ได้พบพวกเรา ทำไมเรียกว่าพวกเรา เพราะว่าเป็นพวกที่มีหน้าที่เหมือนกัน ขอให้ถือว่าเป็นโชคดีที่เราได้มีหน้าที่อย่างนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่สูงสุด พวกที่ไม่ได้มีหน้าที่อย่างนี้ มันไม่ใช่เป็นผู้ที่มีโชคดีนักเพราะเป็นหน้าที่ธรรมดาสามัญเกินไป ถ้าเป็นฆราวาสก็หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหรือบำรุงศาสนาก็โดยเรื่องทางวัตถุ และก็โชคดีที่ได้เป็นบรรพชิต ทีนี้เป็นบรรพชิตแล้วก็ยังมีโชคดีที่ได้เลือกเอางานประเภทนี้เป็นหน้าที่ คือมิได้เลือกเอากิจการฝ่ายที่เขาเรียกกันว่าคันถธุระหรือคณธุระคณาธิการอะไรเหล่านั้น มาเลือกเอาหน้าที่ที่เรียกสมมติกันว่าวิปัสสนาธุระ มันเป็นการงานที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาปฏิบัติและเผยแผ่พร้อมคราวเดียวกัน คือเราต้องมีการเล่าเรียนพอสมควรเหมือนกันและเฉพาะวิชานี้ เราก็ปฏิบัติให้ได้ผลตามที่เล่าเรียน ทีนี้ในขณะที่ปฏิบัตินั้นมันเป็นการเผยแผ่อย่างสูงสุดอยู่ในตัว ใครได้เห็นก็ย่อมมีความเลื่อมใสในการปฏิบัติ จะไปที่ไหนจะอยู่ที่ไหนก็เป็นการแสดงธรรมด้วยการปฏิบัติ คือการปฏิบัติธรรมนั้นมันเป็นการแสดงธรรมด้วยการปฏิบัติ นี้จึงเรียกว่าเป็นการเผยแผ่อยู่ในตัว แล้วก็เป็นการเผยแผ่ชนิดพิเศษมาก คือว่าเผยแผ่ด้วยการทำให้ดู ทีนี้ถ้าดีไปกว่านั้นอีก เมื่อการปฏิบัติสำเร็จ มันก็เป็นการเผยแผ่ด้วยการมีความสุขให้ดู สังเกตดูก็จะเห็นได้ว่าอย่างน้อยเราก็เป็นผู้มีความสุขให้ดู ที่เดินไปเดินมานี้ก็ล้วนแต่เป็นการแสดงว่าเป็นผู้มีความสุขให้เขาดู ถ้าเขาดูเป็น และส่วนมากเดี๋ยวนี้เขาก็ดูเป็นกันทั้งนั้นแหละ ดูบุคคลผู้มีความสุข ก็พอจะดูออก ดังนั้นในการมีชีวิตอยู่ของเรา เดินอยู่ท่อมๆ นี้มันก็เป็นการเผยแผ่ ฉะนั้นขอให้ระมัดระวัง อย่าให้เสียประโยชน์ในข้อนี้ ให้เป็นการแสดงให้เขาเห็นอยู่ทุกอิริยาบถว่าเป็นผู้มีความสุข ไม่ได้หมายความว่าเราจะแสดงว่าเราเป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระอริยเจ้าอะไรทำนองนั้น มันจะยุ่ง แล้วมันไม่แน่นอน เราแสดงแต่เพียงว่าเราเป็นผู้มีความสุขเป็นที่พอใจของเราอยู่ตลอดเวลาให้เขาดู เขาก็เข้าใจธรรมะได้โดยไม่ต้องออกปากสอนก็ยังได้ เขาดูเป็นและเขาดูออกว่าผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีข้อเกี่ยวพันอะไรๆ ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีอะไรที่ว่าทำให้ไม่เป็นอิสระ เขาเกิดรู้ขึ้นมาทันทีว่าความเป็นอิสระนี่มันเป็นความสุข อย่างน้อยนี้ก็เห็นได้ว่า ทางร่างกาย ทางความเป็นอยู่ของเรานี้เป็นอิสระ ทีนี้ทางจิตใจมันก็ประกอบกันไป หน้าตาท่าทางมันก็บอกว่าเป็นผู้เป็นอิสระหรือไม่ ถ้าปฏิบัติสำเร็จ แม้แต่นิวรณ์ก็ไม่รบกวน ผู้นั้นก็มีการแสดงออกทางหน้าตากิริยาท่าทางประณีตสุขุมยิ่งขึ้นไปอีก อย่างที่เรียกในบาลีว่ามีอินทรีย์ผ่องใส มีอินทรีย์สงบระงับ มีปรากฏการณ์แสดงออกมาว่าเป็นผู้ไม่มีความทุกข์ แม้แต่จิตใจก็แสดงออกมาได้ทางหน้าตาทางร่างกาย นี่คนทั้งหลายก็ดูออก ทีนี้ถ้ามันมากไปถึงขนาดที่ว่ามีการพูดจากันด้วย มันก็ยิ่งแสดงออกได้มาก รวมความแล้วก็เรียกว่าเป็นการเผยแผ่ธรรมะชั้นสูงอยู่ตลอดเวลาที่เนื้อที่ตัว ไม่ต้องใช้เครื่องมือเครื่องไม้อะไรมากนัก แล้วบางทีก็ไม่ต้องพูดจาอะไรมากนัก หรือว่าไม่ต้องพูดเลยก็ยังได้
นี่ขอให้ทำความเข้าใจข้อนี้ให้ดีๆ ผมรู้สึกว่านี้เป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ที่จะอยู่ได้หรือจะล้มละลายของกิจการประเภทนี้ ถ้าหากว่าการแสดงออกไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสว่าเป็นผู้มีความสุขจริง แล้วมันคงจะล้มละลายไม่วันหน้าก็วันหลังถัดไปอีก ถ้าเรามีหลักการที่ดีคือมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแท้จริงและก็ครบถ้วน อย่างนี้ก็ไม่มีวันล้มละลาย เป็นอันว่าความประสงค์ของพระพุทธองค์หรือพระพุทธประสงค์นั้นไม่เป็นหมัน คือเราเป็นผู้สนองให้สำเร็จตามพระพุทธประสงค์ว่าจงช่วยกันเผยแผ่พรหมจรรย์นี้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ หรือว่าให้งดงามเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลาย
เรื่องของวิปัสสนาธุระนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัวเหมือนที่เขากล่าวหา คนมันหลับตาพูด ว่าออกไปสู่การงานอย่างวิปัสสนาธุระแล้วเป็นการถือเอาประโยชน์ส่วนตัวผู้เดียว หนีเอาประโยชน์ตัวผู้เดียว เอาตัวรอดผู้เดียว เอาเปรียบคนอื่น นั้นมันหลับตาพูด ถ้าผู้ใดประสบความสำเร็จในกิจการที่เราเรียกกันว่าวิปัสสนาธุระนี้ มันจะเป็นทุกอย่างอย่างที่ว่ามาแล้ว เป็นปริยัติ เป็นปฏิบัติ เป็นปฏิเวธ แล้วก็เป็นการเผยแผ่โดยไม่ต้องพูดก็ได้ เพียงแต่เดินไปให้เห็นก็พอ นี่คนหลับตาพูดมันมีอยู่เหมือนกัน ซึ่งไม่ตรงกับความจริง มีหลักว่าการได้เห็นสมณะเป็นการดี นี่ก็มีหลักในพระบาลีหรือว่าจะก่อนพุทธกาลด้วยซ้ำไป ว่าการได้เห็นสมณะเป็นการดี
ทีนี้สมณะคือคนชนิดไหนก็ไม่ต้องพูดกันแล้วในที่นี้ อยากจะพูดแต่ในข้อที่ว่าได้เห็นสมณะเป็นการดี คือได้เห็นผู้ที่มีอินทรีย์สงบระงับ มีความสุขเป็นอิสระ มีการแสดงออกมาจากความรู้สึกส่วนลึกของจิตใจให้เห็นว่าข้างในก็สงบ กายนี้ก็สงบ ปากนี้ก็สงบ เพียงแต่ได้เห็นก็เป็นการดี เพราะว่ามันชนะน้ำใจของผู้เห็นหมดเลย การได้เห็นคนที่เป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจวาสนา มีปริญญามีดีกรีอย่างนี้ ไปเปรียบเทียบกันดูเถิด มันไม่เลื่อมใสหรอก แม้มันจะชอบมันก็ไม่เลื่อมใส มันก็ชอบอย่างที่เขาชอบอะไรตามธรรมดา ไม่ใช่ความเลื่อมใส แต่ถ้าเห็นบรรชิตที่มีความสงบสุขตามแบบบรรพชิตนี้มันไม่เพียงแต่ชอบ มันเลื่อมใส มันมีศรัทธา มีปสาทะ มีปสันนา นี้มันคนละเรื่องกับที่ว่าเราได้เห็นคนเป็นใหญ่เป็นโตเล่าเรียนมากมีปริญญายาวนี้ มันจะเพียงแต่ชอบแล้วก็ยังระแวงว่าหมอนี่มันจะมีความดีความสงบสุขหรือไม่ก็ไม่รู้ มีความรู้มากมีอำนาจวาสนามาก แต่มันจะมีความสงบสุขหรือไม่ก็ไม่รู้ แล้วส่วนมากมันก็ไม่มีจริงๆ ด้วย พวกที่มีอะไรมากๆ ในด้านนี้ ส่วนพระที่บำเพ็ญสมณธรรมแทบจะไม่มีอะไรนี่ แต่มันมีอะไรแสดงออกมาจากจิตใจลึกซึ้งจนเขาชอบด้วยเลื่อมใสด้วยและก็ไว้ใจด้วย มันก็มีเหมือนกันแหละที่เขาจะสงสัยว่าพระองค์นี้อาจจะเป็นพระบ้าๆ บอๆ ก็ทำตามธรรมเนียมที่เขาทำกันก็ได้ แต่เขาไม่นึกว่าส่วนมากมันเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเขาดูออกด้วยสายตา ด้วยอะไรต่างๆ
นี่เป็นอันว่าต้องแน่ใจกันเสียทีว่าเรื่องของวิปัสสนาธุระนี้ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัวบุคคลเหมือนที่บางคนเข้าใจ และเหมือนที่บางคนกล่าวหาผู้ที่มีกิจการงานประเภทนี้ เราเองก็อยากเข้าใจอย่างนั้น ถ้าเคยเข้าใจอย่างนั้นก็เข้าใจเสียใหม่ว่านี้ไม่ใช่เรื่องหลีกออกมาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ให้ถือหลักว่าการที่ชาวโลกได้เห็นสมณะย่อมเป็นความดี คือจะทำให้โลกนี้มีที่ยึดมั่นมีที่ยึดเหนี่ยว คือมีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวว่ามันต้องทำกันอย่างนี้ โลกนี้จึงจะสงบ แต่ว่าตัวอย่างมันไม่ค่อยจะมี ทีนี้เราก็ช่วยกันเพิ่มตัวอย่างของบุคคลผู้สงบนี้ให้มันมากขึ้น ให้มันเหลียวไปข้างไหนก็เห็นบุคคลที่มีความสงบอยู่ คือว่ามีสมณะอยู่ในโลกสำหรับให้ชาวโลกได้เห็นแล้วก็เป็นการดี เป็นการดีชั้นที่เรียกว่าเลิศ คือใช้คำว่าทัสสนานุตตริยะอะไรทำนองนี้ ไม่ใช่เห็นของดีธรรมดา เป็นการเห็นของดีชั้นเลิศ นี่เรียกว่าพวกเรา ผมใช้คำสมมติยึดมั่นถือมั่นหน่อย เพราะพูดอย่างอื่นมันเสียเวลา พวกเราคือพวกสมณะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมณะของพระสมณศากยปุตติยะ โอ้,ผมพูดผิดไปแล้ว ถ้าพูดว่าสมณศากยปุตติยะหมายถึงพวกเรา ถ้าพูดว่าสมณศากยบุตรหมายถึงพระพุทธเจ้า คำพูดที่ถูกต้องใช้อย่างนี้ สมณสกฺยปุตฺโต นั้น หมายถึงพระพุทธเจ้า สมณสกฺยปุตฺติโย นี้คือพวกเรา ฉะนั้นต้องทำตัวให้เป็นสมณสกฺยปุตฺติโย คือเป็นสมณะซึ่งเป็นบุตรของพระสมณะโคตมะ นี้คือคำว่าสมณะ ความหมายของคำว่าสมณะ มีความสงบจากกิเลสจากความทุกข์ โดยส่วนตัวก็เป็นมนุษย์ที่ได้ดีถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ดีได้เพียงเท่านั้นแหละ ดีได้ที่สุดเพียงความเป็นสมณะ ตั้งต้นด้วยเป็นคนธรรมดาสามัญเป็นชาวนาค้าขายเรื่อยไป เป็นเศรษฐี เป็นเทวดา เป็นพรหมในที่สุดก็ยังไม่ดีถึงที่สุด ต่อเมื่อเป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ในพระพุทธศาสนา นั้นจึงจะเรียกว่าดีที่สุดที่มนุษย์เราจะดีได้ และเมื่อเป็นสมณะแล้วก็เรียกว่าอยู่ในประเภทที่ดีที่สุด ทีนี้ก็สมณธรรมนี้แหละจะช่วยให้สำเร็จในข้อนี้ บำเพ็ญสมณธรรม ธรรมสำหรับทำความเป็นสมณะ แม้กำลังพยายามอยู่ก็เรียกว่าสมณะ ที่กำลังพยายามอยู่ คือสงเคราะห์เข้าไปในฝักฝ่ายของสมณะแล้ว ทีนี้ถ้าเป็นสมณะที่ปฏิบัติสำเร็จ เป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้ก็เรียกว่าเป็นสมณะเต็มตัว มีอยู่ในโลกนี้ โลกนี้ไม่ว่างจากสมณะ
นี่แม้เราจะใช้คำว่าพวกเรา ก็มิได้หมายความไปในทางของกิเลสหรือยึดมั่นถือมั่น แต่ใช้พูดจาให้เข้ากันได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่าแม้ตถาคตก็พูดจาอย่างชาวโลกเขาพูดจาหรือโวหารของชาวโลก แต่ไม่ได้ยึดถือถ้อยคำนั้นเหมือนที่ชาวโลกเขายึดถือ เมื่อชาวโลกพูดว่าเรา เขาก็ยึดถือว่าตัวกูพวกกู แต่เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่าเราหรือเราตถาคตก็ตาม ไม่มีความยึดถือเช่นนั้นเลย พระองค์จึงตรัสว่าตถาคตก็พูดด้วยโวหารของชาวโลกแต่ไม่ได้ยึดถือความหมายอย่างชาวโลก ถ้าเราจะต้องใช้คำพูดว่าเราหรือพวกเราบ้าง มันก็เพื่อความสะดวกในการที่จะพูดจา แต่ถ้าจะยึดมั่นถือมั่นบ้าง ก็ให้ยึดมั่นถือมั่นไปในทางดี คือจะทำอะไรให้สมตามหน้าที่ของพวกเรา ยึดมั่นอย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการยึดมั่นเพื่อละความยึดมั่น อาศัยตัณหาละตัณหา อาศัยมานะละมานะ อย่างที่พระอานนท์ท่านพูดว่าบัดนี้เราเป็นสมณะแล้วหน้าที่กิจการใดๆ ของสมณะเราจะทำหน้าที่กิจการนั้นๆ นั่น คำว่าเราอย่างนี้มันหมายความอย่างนี้ ก็มีมานะที่ดีกว่าเพื่อจะละมานะที่เลว ละขึ้นไปตามลำดับ ในที่สุดก็หมดมานะด้วยอาศัยกำลังของมานะ
ทีนี้พวกเรา ที่ใช้คำว่าเราในที่นี้คือผู้ที่พยายามที่จะเป็นสมณะหรือเป็นสมณะแล้วก็ตามใจ กำลังทำหน้าที่จะรักษาสถาบันของสมณะให้ความเป็นสมณะมีอยู่ในโลก ให้ความเป็นสมณะตั้งอยู่ในฐานะเป็นหลักเป็นแบบฉบับเป็นที่พึ่งของคนในโลก มันเป็นหน้าที่อย่างนั้นที่เราจะต้องมีจะต้องทำ แล้วก็มีปัญหาที่ว่าไม่มีคนเข้าใจก็หาว่าเป็นประโยชน์ส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง ถ้าทำแปลกออกไปเขาก็ต้องหาว่าบ้า เรื่องนี้ผมรู้ดีเพราะว่าเคยถูกหาว่าเป็นพระบ้าเป็นอะไรบ้ามาตลอดเวลาตั้งแต่วันแรก แรกตั้งต้นที่ว่าได้อยู่อย่างแบบสมณะครั้งพุทธกาลอย่างนี้ พอเริ่มแสดงความเป็นอยู่แบบนี้ออกมา ก็มีคนว่าบ้า เดี๋ยวคนนั้นว่าที เดี๋ยวคนนี้ว่าที ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้เรื่อยมา ข้อนี้ต้องถือว่าเป็นธรรมดา เพราะคนธรรมดาเขามีหลักว่าถ้าใครทำอะไรผิดแปลกไปจากที่คนทั้งหลายเขาทำกันแล้วก็ต้องหาว่าบ้าไว้ก่อน จะต้องเกิดความรู้สึกว่าบ้าไว้ก่อน ข้อนี้ไม่ต้อง,ไม่ต้องหนักอกหนักใจ ไม่ต้องกลัว มันเป็นธรรมดามันอย่างนั้น ฉะนั้นก็ไม่มีความหมายที่เขาจะว่าเราบ้าในเมื่อเรามันไม่บ้า ผมคิดว่าพระพุทธเจ้าเองก็คงจะถูกหาอย่างนี้เหมือนกัน คือคนที่เขาไม่ชอบ แม้แต่พระญาติของพระพุทธเจ้าก็ไม่ชอบให้พระพุทธเจ้าทำอย่างนี้ แล้วคนทั้งหลายก็ไม่ชอบพระพุทธเจ้า ด่าพระพุทธเจ้า อย่างไม่มีอะไรแล้วก็ยังด่าพระพุทธเจ้าว่าดีแต่ทำให้ผู้หญิงเป็นหม้ายอย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นโอกาสที่จะด่าจะว่านี้มันมีเต็มไปหมด ไม่ต้องสนใจ มันเป็นธรรมดา มันก็ยังเหลือแต่ว่าหน้าที่ของเรามีอย่างไร ในเมื่อเราได้เลือกเอาหน้าที่อันนี้จนตลอดชีวิต อย่างที่ผมพูดแล้วข้างต้นว่ารู้สึกว่าเป็นโชคดีที่เราได้เผอิญมาเลือกเอาหน้าที่อันนี้เป็นหน้าที่ของเราจนตลอดชีวิต นี้เป็นโชคดีขั้นหนึ่งแล้ว ทีนี้เหลือโชคดีต่อไปก็คือว่าทำให้มันได้,ทำให้มันได้ตามนั้น แล้วชีวิตนี้มันไม่ใช่ยาว มันไม่ใช่ยืดยาวอะไร อย่างผมนี้อีกไม่กี่ปีก็ตาย ทีนี้คนอื่นๆ ที่ยังหนุ่มอยู่มันก็อีกไม่กี่สิบปีมันก็ตายเหมือนกัน แต่ว่าเราจะทำให้มันมีความแน่นอนลงไปอย่างหนึ่งว่าจะปฏิบัติหน้าที่นี้จนตลอดชีวิต ถ้าว่าทำถูกมันก็ประสบความสำเร็จมาก ทำไม่ค่อยถูกมันก็ประสบความสำเร็จน้อย ฉะนั้นความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าพยายามทำให้ถูกในการบำเพ็ญสมณธรรม
ทีนี้มันก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นว่า อย่างไรเรียกว่าถูก อย่างไรเรียกว่าไม่ถูก ข้อนี้ต้องถือเอาตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้ามันละกิเลสได้ดับความทุกข์ได้นั้นเป็นถูกแน่ อย่าไปถือว่าแบบนั้น แบบนี้ แบบโน้น เมืองนั้น เมืองนี้ เมืองโน้น ประเทศนั้น ประเทศนี้ ประเทศโน้น มันไม่แน่ มันแน่อยู่อย่างเดียวก็คือว่าถ้ามันละกิเลสได้ ดับความทุกข์ได้นั้นถูกแน่ เพราะฉะนั้นมันไม่มีใครมารู้ของเราว่าถูกหรือไม่ถูก นอกจากเราเองคนเดียวที่มันรู้ รู้จากจิตใจของเราเองว่ามีกิเลส มีความทุกข์เบาบาง หรือว่าไม่มีแล้ว นี่เราคนเดียวรู้ เมื่อมันพิสูจน์อย่างเด็ดขาดอยู่อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องเชื่อใคร มันก็อยู่ในลักษณะเชื่อตัวเองว่าอันนี้ถูกแน่ ถ้าว่าทำแล้วมันไม่ละกิเลส มันไม่ทำให้กิเลสเบาบาง เราก็เปลี่ยนเป็นทำอย่างอื่นเรื่อยๆ ไป มันก็ไปถูกเข้าวันหนึ่งแน่ แต่เท่าที่สังเกตเห็นนั้น มันจะมีถูกด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าแบบไหนวิธีไหน มันมีแต่ว่าถูกมากหรือถูกน้อย มันถูกช้าหรือถูกเร็ว จึงเป็นอันว่ามันมีข้อปลีกย่อยอยู่บ้างที่ว่าคนเรามีสันดาน มีนิสัย มีอุปนิสัย มีอะไรที่เรียกกันว่าจริตนิสัยนี่มันไม่ค่อยเหมือนกัน ฉะนั้นพยายามเลือกให้มันตรงกับจริตนิสัย มันเป็นถูกหมด แต่ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว หลักธรรมะส่วนกลางที่ใช้ได้แก่คนทุกจริตทุกนิสัยก็มีอยู่เหมือนกัน เรื่องเกี่ยวกับจริตนิสัยนั้นเป็นเรื่องประกอบหรือเป็นเรื่องปลีกย่อยมากกว่า หลักส่วนแท้ที่เป็นหลักการที่จะถูกแก่ทุกคนมันก็จะต้องมีเพียงอย่างเดียว มันพูดได้อย่างกำปั้นทุบดิน คือการพิจารณาเห็นสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นของไม่น่ายึดมั่นถือมั่น นี้ไม่มีผิดเลย ไม่ว่าจะปฏิบัติแบบไหนยุคไหนก็ตามใจ ผลสุดท้ายมันจะไปสู่ความรู้แจ้งว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น และพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้อย่างนั้นสรุปแล้ว สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่น นี้ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงตั้งแต่ดินขึ้นไปเลย ตั้งแต่ธาตุดินล้วนๆ ขึ้นไปเลย แล้วเป็นอะไรต่ออะไรมากไปจนถึงสวรรค์ จนถึงพรหม จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะจนถึงนิพพาน แม้แต่นิพพานก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้ามัวยึดมั่นถือมั่นอยู่มันไม่มีนิพพานล่ะ มันมีนิพพานขึ้นมาปรากฏก็เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วจะไปยึดมั่นถือมั่นอย่างไรได้ ฉะนั้นหลักที่ว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นหลักกลางเป็นหัวใจของการบำเพ็ญสมณธรรมไม่ว่าแบบไหน เราจะตั้งต้นทำสมาธิแบบไหนก็ได้ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว มันก็ใช้ได้ทั้งนั้น ทีนี้เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว มันก็พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น ถ้าพิจารณาสำเร็จก็จะเห็นสิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งที่ไม่ยึดควรมั่นถือมั่นทั้งนั้น นี่คือหลักกลางๆ ที่ไม่มีทางจะผิดได้
ฉะนั้นเราไม่ต้องมีพวกนั้น พวกนี้ พวกโน้นในหมู่สมณะหรือว่าสมณธรรม เพราะขึ้นชื่อว่าสมณธรรมแล้วต้องเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ต้องทำความสงบในแบบนี้ทั้งนั้น แม้ว่าการตั้งต้นมันจะต่างกันแบบอานาปานสติ กายคตาสติ อะไรสติก็สุดแท้ มีมากมายเหลือเกิน แต่มันต้องดำเนินไปในรูปที่ว่าจิตเป็นสมาธิพอสมควร แล้วก็พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็เบื่อหน่ายคลายกำหนัด ก็หมดความยึดมั่นถือมั่น นี้เป็นหลักที่จะใช้หรือเป็นหลักที่ตายตัวได้เพื่อจะประกันความผิดพลาดว่าถ้าเดินไปตามหลักนี้แล้วไม่มีผิดพลาด พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นความผิดพลาดนี้มีได้ยากถ้าหากว่าคนปฏิบัตินั้นมันเป็นคนซื่อตรง ความผิดพลาดจะมีต่อเมื่อคนปฏิบัตินั้นเป็นคนไม่ซื่อตรง ไม่ซื่อตรงต่อตัวเองและก็ไม่ซื่อตรงต่อทุกคน มันก็ปฏิบัติด้วยเจตนาอย่างอื่นแหละ นั้นแหละมันจะเลอะเทอะ แล้วมันจะบ้าก็ได้ มันจะตายก็ได้ อย่างนั้นไม่ใช่ปฏิบัติในพุทธศาสนา แม้ว่าปฏิบัติที่เรียกว่าพุทธศาสนามันก็ไม่ใช่ปฏิบัติพุทธศาสนา มันเป็นแต่เพียงแอบอ้างเอาไปทำสำหรับหาประโยชน์ส่วนตัว เรียกว่าไม่ซื่อตรง ภาษาเด็กเขาเรียกว่าเล่นไม่ซื่อแล้ว เล่นไม่ซื่อต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์แล้ว แต่บำเพ็ญสมณธรรมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวซึ่งไม่ใช่เป็นประโยชน์ทางธรรมเลย นี้ก็มีอยู่มาก ได้ยินชาวบ้านเขาพูดเอือมระอากันไปอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ว่าที่เป็นที่พอใจของประชาชนนี้ก็มีอยู่มาก แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นยอดมันก็ยังอยู่ในลักษณะที่มีประโยชน์พอจะเป็นที่พอใจหรือว่าชื่นอกชื่นใจได้บ้าง
นี่รวมความว่าเรามีสถานะหรือมีภาวะอะไรอยู่ในท่ามกลางปัญหาเหล่านี้ เราจะต้องขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปและก็เป็นสมณะที่กำลังปฏิบัติเพื่อความเป็นสมณะด้วยสมณปฏิบัติ นั้นเป็นการดีที่สุดแล้วที่ว่าเรากำลังพยายามกันอยู่สุดความสามารถสุดฝีไม้ลายมือที่จะปรับปรุงพวกเรานี่ ใช้คำว่าพวกเราอีกแล้ว,เห็นไหม คือว่าพวกที่รับภาระหรือว่าปฏิญาณตัวว่าจะทำภาระหน้าที่อันนี้ให้ลุล่วงไป เป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องเคลื่อนไหว จะอยู่นิ่งไม่ได้ จะต้องเคลื่อนไหว จะอืดอาดอยู่ก็ไม่ได้ จะต้องเคลื่อนไหวเร็วๆ ให้พอทันกับเหตุการณ์ เคลื่อนไหวก็เคลื่อนไหวในการปรับปรุงในทุกๆ อย่างที่ควรจะปรุง หมายความว่าความรู้ก็ถูกต้อง การปฏิบัติก็ถูกต้อง แล้วผลมันก็ได้รับแน่ เช่นการปรับปรุงวิชาความรู้หรือระเบียบปฏิบัติให้มันเข้าร่องเข้ารอยของพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นอยู่เสมอนี่จำเป็นที่สุด ถ้าเกิดนอนใจในข้อนี้แล้วมันอาจจะพลาดได้ อาจจะเขวโดยไม่รู้สึกตัวได้ ถ้ามันไม่เขวก็ดีไปแหละ แต่ถ้ามันเขวแล้วเสียหายแน่ ฉะนั้นเราประมาทไม่ได้ จะต้องไม่ประมาทไว้ก่อน ทดสอบว่าเท่าที่ทำไปแล้วมันดับกิเลสหรือดับทุกข์ได้เป็นที่พอใจหรือยังนี่ หรือว่ามันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสของมหาชนกี่มากน้อย นี้ไม่ใช่เครดิตของเราโดยตรง มันเป็นเครดิตของพระธรรมที่เรารับเอามาเป็นภาระหน้าที่ และจะเป็นที่เลื่อมใสแก่มหาชนหรือไม่มันอยู่ที่บุคคลผู้ประพฤติธรรมหรือแสดงธรรม เพราะว่าพระธรรมนั้นมันไม่มีรูปไม่มีร่าง ไม่เป็น...(นาทีที่ 39.12) มองไม่เห็นตัว แต่ก็ถือว่าพระธรรมนี้จะดับทุกข์ได้ แล้วจะพิสูจน์อย่างไรว่าพระธรรมจะดับทุกข์ได้จริง มันมาพิสูจน์ที่บุคคลผู้ประพฤติธรรมอยู่แล้วดับทุกข์ได้จริง หมดทุกข์ได้จริง เอ้า,ก็เกิดกลับไปเป็นเครดิตแก่พระธรรมว่าพระธรรมนี้ดับทุกข์ได้จริง,เว้ย เราเกิดเป็นผู้รับผิดชอบต่อพระธรรม และมันก็เนื่องไปถึงรับผิดชอบต่อพระพุทธด้วย พระสงฆ์รับผิดชอบต่อพระธรรมต่อพระพุทธเจ้าในการที่จะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าพระพุทธเจ้านี้มีการตรัสรู้ดีจริง พระธรรมนี้ดับทุกข์ได้จริงสมตามที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ดีจริง หน้าที่มันอยู่ที่พวกเรา พระพุทธเจ้าเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นนามธรรม คงอยู่แต่พระคุณไปแล้ว พระธรรมเป็นนามธรรม คงอยู่แต่พระคุณ มีพระสงฆ์เท่านั้นแหละที่จะมีเนื้อมีตัวแสดงแก่ชาวโลก ติดต่อแก่ชาวโลก และก็มีหน้าที่ทำให้คนทั้งโลกรู้ว่าพระธรรมนั้นดับทุกข์ได้จริงและพระพุทธเจ้านั้นก็ตรัสรู้ดีจริง ตรัสรู้พระธรรมอย่างดีจริง แล้วก็ได้กล่าวสอนพระธรรมไว้อย่างดีจริง ภาระอยู่ที่เราคือสงฆ์สาวกปัจจุบันนี้ พระสงฆ์สมณะที่ปรินิพพานไปแล้วมันก็กลายเป็นนามธรรมไปแล้ว มีพระสงฆ์คือพวกเรานี่ยังอยู่ที่จะต้องรับภาระอันนี้ แต่ว่ามันเป็นภาระที่มีค่าที่น่ารับ ไม่เหมือนภาระเรื่องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เรื่องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างของชาวบ้าน ภาระอย่างนั้นมันไม่ไหว แต่ภาระที่จะทำให้พระธรรมมีอยู่ในโลกคุ้มครองโลกนี้มันน่าจะรับ ยินดีจะรับ เสียสละทุกอย่างเพื่อจะรับ แล้วก็เป็นภาระของเราซึ่งเรายอมรับ เพราะฉะนั้นจะต้องถือว่าการยอมรับภาระนี้หรือได้รับภาระนี้เป็นโชคดี ถ้าเกิดทิ้งภาระนี้เสีย ไปรับภาระหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เลี้ยงครอบครัวหรือแม้แต่กู้ชาติ มันก็เป็นภาระที่ไม่ดีเท่าที่จะรับภาระนี้ของพระธรรมของพระพุทธเจ้า
นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเรามีโชคดี เพราะได้รับมอบหมายในภาระที่ดีจากพระพุทธเจ้าโดยธรรมนิยม ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามาเซ็นสัญญากับพวกเรา แต่โดยธรรมนิยมที่ว่าเราบวชเข้ามาในพระศาสนานี้ในพรหมจรรย์นี้ ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องทำหน้าที่อันนี้ คือรับภาระอันนี้ มันก็มีค่าเท่ากับเซ็นสัญญากับพระพุทธเจ้าด้วยเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นสัญญาที่ประหลาด คือว่าผู้รับสัญญานี้สมัครจะทำตามสัญญาไม่ประสงค์จะบิดพลิ้ว สัญญาในโลกๆ นั้นเขาเรื่องเอาเปรียบเอาประโยชน์ นั้นเขามุ่งหมายจะบิดพลิ้วต่อกันและกันทั้งนั้นแหละคู่สัญญานี่ แต่ว่าคู่สัญญานี้ระหว่างพระสงฆ์สาวกกับพระศาสดานี้มันเป็นสัญญาประหลาด ไม่มีใครอยากจะบิดพลิ้ว เพราะถือว่าเป็นภาระที่ประเสริฐ ภาระที่คนสมัครรับด้วยความเสียสละเพื่อประโยชน์แก่โลกแก่มหาชนในโลก ไม่ใช่แก่เราคนเดียว ถ้าว่าจะคิดว่าเพื่อเราคนเดียวแล้วมันเป็นเรื่องไม่ถูกนัก เพราะมันคิดแคบและเห็นแก่ตัว มันเป็นกิเลสละเอียดชนิดหนึ่งความเห็นแก่ตัวคนเดียวนี้ แม้จะเรียกว่าประโยชน์ตน มันก็ยังเป็นประโยชน์ผู้อื่นอยู่ ทำประโยชน์ตนด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น เหมือนที่กล่าวมาแล้ว เป็นสมณะที่ถูกต้องเท่านั้นก็เป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลก
ผมจึงขอพูดในวันแรกนี้ ในลักษณะที่เป็นการต้อนรับและเป็นการต้อนรับด้วยความยินดี ว่าท่านทั้งหลายได้พยายามอย่างยิ่งในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ทราบว่ากี่ปีมาแล้ว และพยายามปรับปรุงให้มันแน่นอนยิ่งขึ้นด้วยการรับการอบรมที่กรุงเทพฯ แล้วก็ยังพยายามที่จะแสวงหาโอกาสที่จะปรับปรุงหรือว่าอบรมหรือว่าทดสอบหรืออะไรต่อๆ ไปในที่อื่นๆ นี้มันรวมอยู่ในคำว่ารับผิดชอบในหน้าที่ของตัว เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อทำให้ธรรมะคุ้มครองโลก โดยมีสมณะอยู่ในโลก ฉะนั้นขอแสดงความยินดี คือว่าต้อนรับด้วยความยินดี หรือว่าอนุโมทนาด้วยความยินดีในการที่ได้มาที่นี่ มาพบปะกันที่นี่เพื่อสะสางปัญหาทุกอย่างของพวกเรา คำว่าพวกเราไม่ใช่หมายแต่ว่าพวกเราที่นั่งกันอยู่ที่นี่ พวกเราทั่วไป เขาเรียกว่าอะไร พุทธสีมามณฑลนั้นน่ะ, พุทธสีมามณฑล คือว่าในหมู่พุทธบริษัททั้งหมดเลยทั้งโลก นี่พวกเรา แต่ว่าพวกเราแคบเข้ามาก็คือว่าพวกบรรพชิต พวกบรรพชิตมีหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่โดยตรง พวกฆราวาสก็เป็นผู้สนับสนุน ทีนี้บรรพชิตก็ยังมีแบ่งออกไปว่าทำหน้าที่ในฝ่ายปกครองบริหาร เพื่อทรงอยู่ของคณะสงฆ์ในรูปโครงรูปร่าง สมณธรรมนี้ก็เพื่อทรงอยู่ของคณะสงฆ์ในฝ่ายจิตใจวิญญาณ ความมีอยู่แห่งวิญญาณของคณะสงฆ์ คือจิตใจที่สูงที่ประเสริฐที่เป็นไปตามความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา
ฉะนั้นขอทำความเข้าใจกันอย่างนี้ในวันนี้เป็นวันแรก เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ ต่อไปที่มันจะเนื่องกัน คล้ายกับว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเพราะว่ามันสามารถไม่เท่ากัน หรือมันอยู่กันคนละแห่งละหน ก็ทำกันไปตามความสามารถสุดความสามารถ ประโยชน์ก็จะตกอยู่เป็นส่วนรวมแก่พระพุทธศาสนา และก็แก่พระพุทธประสงค์ที่ว่าให้ช่วยกันทำให้มนุษย์ได้รับประโยชน์สุขตลอดกาลนาน นี่ผมขอแสดงความยินดีต้อนรับท่านทั้งหลายโดยนัยยะดังที่กล่าวมานี้ ขอให้มีจิตใจที่มีฉันทะ วิริยะ อุตสาหะ ทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จตามความประสงค์ความมุ่งหมายของสมณศากยบุตรทุกๆ ประการเทอญ/