แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาภาพขอแสดงความยินดี ในโอกาสพิเศษแห่งวันพิเศษ ซึ่งมีวันวิสาขบูชารวมอยู่ด้วย โดยคิดว่าจะหาโอกาสพูดจาอะไรเป็นพิเศษ ให้ได้รับประโยชน์อย่างกว้างขวาง ตามที่เคยกระทำมาทุกปี แล้วก็มุ่งหมายที่จะทำกันต่อไปเป็นธรรมเนียม หัวข้อที่จะพูดปรารภกันในวันนี้ก็มีอยู่ ซึ่งอาตมาก็จะขอทำความเข้าใจ ตามที่จะมีเรี่ยวแรงจะช่วยได้สักเล็กน้อย การที่รู้สึกมานี้ รู้สึกว่ามันพูดกันมากเกินไป เรียนกันมากเกินไป จนไม่รู้กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นเรื่องกันแล้ว ทีนี้ก็อยากจะพูดรวบรัดให้เข้าใจง่าย ฟังง่าย แต่เสียเวลาน้อย แต่ก็ได้ประโยชน์มากที่สุด คือพูดกันแต่เรื่องที่เป็นเนื้อ ๆ ของเรื่อง ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี ถ้าฟังไม่ดีมันก็ไม่รู้เรื่องเอง ถ้าฟังให้ดีมันก็พอจะรู้เรื่อง ได้ประโยชน์คุ้มค่า เพราะฉะนั้นวันนี้จะพูดโดยหัวข้อ เพียง ๔ หัวข้อ จะเป็นเรื่องของความถูกต้อง
ขอท้าทายให้ทุกคนลองคิดว่า คำพูดคำไหนเหมาะสมที่สุด ดีที่สุด กว้างขวางที่สุด ครบถ้วนที่สุด อะไร ๆ ที่สุด มากเท่ากับคำพูดเพียงคำเดียวว่า ความถูกต้อง ความถูกต้อง ช่วยจำให้ดี ๆ ย้ำกันหลาย ๆ หน ว่า ความถูกต้อง ๆ ถ้ามันมีความถูกต้องแล้ว มันไม่มีความอะไรที่จะผิดพลาด มันสำเร็จประโยชน์ มันมีสันติสุขสันติภาพอยู่ในตัวเองโดยสมบูรณ์ เรียกว่าความถูกต้อง แล้วก็ขอให้คำอธิบายเพียง ๔ คำ ๔ คำ สำหรับความถูกต้อง คนโง่มันอาจจะพูดว่าน้อยไป น้อยไป อยากจะให้พูดตั้งหลายสิบ หลายร้อยคำ หลายร้อยเรื่อง ถ้าเราพูดว่า ๔ คำมันก็เกินพอแล้ว มันก็ว่าน้อยไป แต่ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าน้อยหรือไม่น้อยสำหรับ ๔ คำ อย่างเพ่ออวดว่าตัวรู้มาก แล้วจะมีอะไร พูดให้มากไปตั้งหลายสิบหลายร้อยคำ บอกว่า ๔ คำพอ แล้วถ้ายิ่งกว่านั้นก็คำเดียวก็พอ เอาคำแรกก่อนว่าความถูกต้อง ถูกต้อง บาลีนั้นมีแต่คำว่า สัมมา สัมมา สัมมา ใคร ๆ ก็พูดว่า สัมมา สัมมาสัมพุทโธ สัมมา สัมมา คำนี้มันแปลว่า ถูกต้องหรือซึ่งถูกต้อง แล้วก็สัมมัตตา ความถูกต้อง ๆ คำเดียวเท่านั้นละ ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าคำเดียวเท่านั้น ทีนี้เราจะให้มีความถูกต้อง แตกแขนงออกไปเป็น ๔ คำ
เราจะเห็นความถูกต้องที่ ๑ ทางเวลา ทางกาล ทางเวลา แต่เราเรียกเสียใหม่ว่าทางกาย ถูกต้องทางกาย คำว่ากายนี้มันมีความหมายเท่ากับเวลา ถูกต้องทางกาย ก็ถูกต้องทุกอย่างที่เกี่ยวกับกาย ไม่มีอะไรผิดพลาดในทางกาย ทางกายจะแยกออกเป็นกี่อย่างก็ได้ ทางลมหายใจก็ได้ ทางเนื้อทางหนังก็ได้ ทางกระดูก ทางโลหิต ทางวัตถุ ทางอะไรก็เรียกว่าทางกายทั้งนั้น ทางกาย ถูกต้องทางกาย ถ้าถูกต้องทางกายแล้วทุกอย่าง ทุกอย่าง เกี่ยวกับทางกายมันถูกต้อง
เรื่องที่ ๒ คือถูกต้องทางจิต เกี่ยวกับจิต ทุกเรื่อง ๆ มันมีความถูกต้อง เรียกว่าถูกต้องทางจิต ที่ ๑ ถูกต้องทางกาย ที่ ๒ ถูกต้องทางจิต จะเป็นเรื่องของจิต เรื่องของเจตสิก เรื่องของสังขาร วิญญาณ อายตนะอะไรก็เรียกว่าถูกต้องทางจิต ท่านจำว่าทางจิตไว้เพียงคำเดียว แล้วก็ไปแตกแยกเอากี่อย่าง ๆ ก็ได้ เรียกว่าถูกต้องทางจิต ขึ้นชื่อว่าทางจิตแล้วไม่มีอะไรผิดพลาด มีแต่ความถูกต้อง ถ้านับมันก็มากเรื่อง หลายสิบเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเอาแต่คำเดียว ว่าถูกต้องทางจิต
ทีนี้คำที่ ๓ ถูกต้อง ถูกต้องทางตัวตน ตัวตน ความมีตัวตนที่ถูกต้อง เรื่องเกี่ยวกับ ตัวตน ตัวกูของกูทุก ๆ อย่าง ทั้งฝ่ายบุญ ฝ่ายบาป ฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว เรียกว่าตัวตน ตัวตน นี่ต้องถูกต้องหมดด้วยเหมือนกัน เรียกว่าถูกต้องทางตัวตน
ทีนี้ถูกต้องที่ ๔ ก็ถูกต้องทางเรื่องของความว่าง คือว่างถูกต้อง ว่างถูกต้อง อันนี้สูงสุดไม่มีอะไรที่จะเหลือนอกไปจากไอ้เรื่องความว่าง หรือถูกต้องของความว่าง ก็เลยได้เป็น ๔ เรื่องนี้ ถูกต้องทางกาย เกี่ยวกับกายทั้งหมด ถูกต้องทางจิตเรื่องทางจิตทั้งหมด ถูกต้องทางตัวตน ตัวตน ก็ถูกต้องทางตัวตนทั้งหมด แล้วก็ถูกต้องทางความว่าง ซึ่งเข้าใจยาก ถ้าโง่เกินไปก็คงเข้าใจไม่ได้ โง่น้อยหน่อยก็เข้าใจยังไม่ได้ ต้องฉลาดถึงที่สุดจึงจะเข้าใจเรื่องความว่างได้
นี่มันมีอยู่ ๔ อย่าง แจกออกไปดูสิ ว่าถูกต้องทางกาย มันก็ถูกต้องทางกาล ทางเวลา ทางการหายใจ ทางลมหายใจ การใช้ลมหายใจ การใช้เลือดลมเนื้อหนัง แม้ที่สุดแต่เรื่องทางเพศที่ยังไม่มีความหมาย เช่นเด็กยังเล็กเกินไป อันนี้ก็ยังเป็นเรื่องทางกาย ทางเพศของเด็กที่ยังเล็กเกินไป มันก็เรื่องถูกต้องทางกายเหมือนกัน ไปนับเอาเอง ถูกต้องทางจิต จิตความคิดนึก เจตสิก หน้าที่ทำงานของจิตนี่ จะเป็นเรื่องของเวทนา สังขาร วิญญาณ อะไรก็เรียกว่ามันเป็นเรื่องของจิตทั้งนั้นล่ะ ให้มันอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องเสียให้หมด เรื่องถูกต้องทางจิต ทีนี้ถูกต้องทางตัวตน ตัวตนมันจะเกิดขึ้นมา โดยแบบอกุศลเลวร้ายก็ได้ แบบกุศลที่ไม่เลวร้ายก็ได้ คำว่ากุศลกับคำว่าอกุศลนี้ช่วยสังเกตไว้ให้ดี อย่าให้มันโง่เสียอีก กุศลมันแปลว่าตัดสิ่งที่ควรตัด กุศะ ๆ ควรตัด หญ้ากุศะ หญ้ารกก็ควรตัด เมื่อตัดก็เรียกว่าเป็นกุศล ถ้ามันไปตัดไอ้ที่ไม่ควรตัด มันก็เสียหาย คือมันไม่ได้ตัดไอ้สิ่งที่ควรตัด มันก็เสียหาย เลวร้าย นี่ก็เรียกว่ามันอกุศล ให้มันถูกต้องในเรื่องของตัวตน ทั้งฝ่ายกุศล ทั้งฝ่ายอกุศล มันก็ปลอดภัยเจริญและรุ่งเรือง นี้เรียกว่าเรื่องตัวตน
ตรวจสอบในเรื่องของตัวตน ตัวตนให้มันถูกต้องเสียให้หมด มันได้ตัดสิ่งที่ควรตัด มันไม่ต้องไปตัดสิ่งที่ไม่ควรตัด นั่นละเรียกว่าถูกต้องในเรื่องกุศล เรื่องอกุศล ถ้านับเรียงอย่างก็มากมายหลายสิบ หลายร้อยเรื่องเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องตัวตน ๆ ที่ควรตัดเก็บออกไป ที่ไม่ต้องตัดที่ควรเจริญไว้ก็เอาไว้เป็นตัวตนอย่างดี นี้เราก็เรียกว่าเรื่องตัวตน
ถ้าเป็นเรื่องว่าง คำว่าว่างมีความหมายมาก ว่างอย่างโง่ ๆ ก็มี ก็พูดว่าไม่มีอะไรก็คือว่าง นั่นล่ะคือมันโง่ที่สุด มันไม่มีอะไรมันคือว่าง ว่างที่ฉลาดกว่านั้นมันว่างที่ไม่เป็นโทษ ว่างที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ และสมค่ากับที่มันว่าง ตัวอย่างว่า มันไม่มีอะไรเลยก็เรียกว่าว่าง แต่มันไม่มีค่าอะไร ถ้าว่ามันมีอะไรแต่มันว่างอย่างมีประโยชน์ มันก็ยังมีประโยชน์ แต่นี่มันว่างอย่างสุญญากาศไม่มีอะไรเลย มันก็ยังมีประโยชน์ในบางแง่บางมุม เพราะมันไม่รบกวนใครไม่ทำอะไรแก่ใคร ถ้ามันว่างอย่างที่ว่า ว่างจากตัณหา อุปาทาน ไม่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน นั่นมันว่างจริง ไม่มีสิ่งที่เป็นโทษเพราะว่ามันว่างจริง มันว่างจริง ว่างจากทุกสิ่งที่ทำให้เกิดโทษ ต้องดูให้ดี ๆ มันว่างจากทุกสิ่งที่ทำให้เกิดโทษ แม้แต่สิ่งที่มันไม่ควรจะมีก็ให้มันว่างไปเสียด้วยเพราะมันไม่รบกวน นี่ถ้าได้อย่างนี้แล้วก็เรียกว่ามันว่าง
ว่างสูงสุดนั้นพระพุทธเจ้าท่านเรียกไว้ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ มันจะฟังยากสำหรับคนบางคน ท่านเรียกว่า ปรมานุตตรสุญญตา ยืดยาวเห็นไหม ปรมะ อย่างยิ่ง อนุตตระ ไม่มีอะไรยิ่งกว่า สุญญตา ว่าง ความว่างอย่างยิ่งที่ไม่มีอะไรยิ่งกว่า ว่างจากกิเลสตัณหา ว่างจากสิ่งเลวร้าย ว่างจากทุก ๆ สิ่งที่มันควรจะว่างออกไป แล้วมันจะมีอะไรเหลือ มันจะมีอะไรเป็นปัญหาเล่า นี่คือว่างอย่างที่ประเสริฐที่สุด แต่ถ้าพูดให้มันสั้นที่สุดก็ว่างจากกิเลสตัณหา ว่างจากอุปาทาน ว่างจากความยึดมั่นว่าตัวกู ว่าของกู แล้วท่านก็ทำจิตให้มีความว่างอยู่ในแบบนั้น ไม่ให้อะไรมาแทรกแซงให้เกิดความไม่ว่าง มันก็ว่างถึงที่สุด
ขอยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า ท่านอยู่ด้วยความว่าง มีคำกล่าวว่า ตถาคตอยู่ด้วยสุญญตาวิหาร คือตถาคตอยู่ด้วยวิหารคือความว่าง สุญญตาวิหาร วิหารคือความว่าง สุญญตาวิหารธรรมะเป็นเครื่องอยู่ด้วยความว่าง อะไรจะเข้ามา อะไรจะเข้ามามันก็ว่าง ไม่รบกวน ไม่เกิดการรบกวนอะไรใด ๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองว่า ใครจะมาเอากษัตริย์ พวกกษัตริย์มากันเต็มบ้านเต็มเมือง จิตของตถาคตก็ยังว่างอยู่อย่างนั้น โจรผู้ร้ายเลวร้ายมากันเต็มบ้านเต็มเมือง จิตของตถาคตก็ยังว่างอยู่อย่างนั้น อุบาสกอุบาสิกามากันเต็มบ้านเต็มเมือง กระทั่งว่านักปราชญ์ราชบัณฑิตมากันเต็มบ้านเต็มเมือง ทหารมากันเต็มบ้านเต็มเมือง คนมุ่งร้ายมากันเต็มบ้านเต็มเมือง มันก็ยังว่างอยู่อย่างนั้น ว่างอย่างจิตเดียวนั่นแหละตลอดไป นี้เรียกว่ามันว่าง ว่างอย่างสุญญตาวิหาร อยู่ด้วยความว่างตลอดไป ท่านอยู่ได้เป็นอย่างนี้
ส่วนพวกเราล่ะ พวกเราคนเรามันไม่ได้ว่างอย่างนั้น อะไรเข้ามาหน่อยก็รบกวนจิตใจ เรื่องรัก เรื่องโกรธ เรื่องเกลียด เรื่องกลัว เรื่องตื่นเต้น เรื่องวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวงหึง มันจะว่างกันได้อย่างไร เพียงแต่อะไรมาให้เห็นสักนิดมันก็ไม่ว่างแล้ว พูดกันให้มันง่ายที่สุดก็ว่า เห็นใครถืออะไรมานิดเดียวเท่านั้นแหละ มันก็.. จิตมันก็ไม่ว่าง มันคิดละโมบโลภมาก มันคิดจะเอาของเป็นตัวตนเป็นอะไร เพียงแต่บุรุษไปรษณีย์ถือซองจดหมาย ถือซองโทรเลขมา ไอ้คนโง่มันไม่ว่างแล้ว เห็นไหม มันอยากรู้ว่าจดหมายนี่ว่าอะไร มาดีมาร้ายอย่างไร บุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายอะไรดี อะไรร้ายมาให้อย่างไร มันก็ไม่ว่างเสียแล้วเพียงเท่านี้ เพียงบุรุษไปรษณีย์ถือจดหมายมาฉบับเดียว มันก็ไม่ว่างอย่างยิ่งเป็นภูเขาเลากาแล้ว จะว่างอย่างพระพุทธเจ้าว่างได้อย่างไร นี่ยกตัวอย่าง ขอให้เทียบ ให้ดูว่ามันต่างกันถึงอย่างนี้ มันจะมีเรื่องราวกี่ร้อยกี่พันเรื่องก็ตาม ท่านก็ยังว่างอยู่อย่างนั้น ที่ว่าไม่ยินดีไม่ยินร้าย ยังปกติ ๆๆ ว่างจากอารมณ์ร้าย นี่ก็เรียกว่าว่าง
ถูกต้องของความว่างเป็น ๔ ทาง ๔ อย่างรวมกันคือ ว่างทางกาย ว่างทางจิต ว่างทางตัวตน และก็ว่างทางความว่างนั่นเอง คำสุดท้ายนี้ซ้ำกัน ว่างจากความว่าง ๑. ว่างทางกาย ๒. ว่างทางจิต ๓. ว่างทางตัวตน ๔. ว่างทางความว่าง ๔ อย่างนี้ถ้ายังจำไม่ได้ก็ขอใช้คำว่า ไอ้บรมโง่ โง่เหลือประมาณ โง่อย่างเหลือประมาณ ที่ว่า ๔ คำนี้มันก็ยังจำไม่ได้ ว่างทางกาย ว่างทางจิต ว่างทางตัวตน ว่างทางความว่างนั่นเอง ถ้ายอมคิดนึกสักหน่อยเท่านั้น มันจะคิดนึกทะลุปรุโปร่งไปหมดเป็นกี่ร้อยกี่สิบอย่าง กี่ร้อยอย่างมันก็ได้ แต่แล้วขอให้มารวมอยู่ที่ความว่าง ในความหมายใหญ่ ๆ ๔ หัวข้อ ทีนี้ถ้าจะให้มันรวมหมดเป็นหัวข้อเดียว ขอยกเอาความถูกต้องมา เพราะมันมีความถูกต้องแล้วมันจะว่างหมดทุกอย่าง มันไม่มีอะไรผิด เมื่อไม่มีอะไรผิดมันก็ไม่กลัดกลุ้ม ไม่กระทบกระเทือน ไม่มีเรื่องร้ายมันก็มีแต่เรื่องสงบ มันก็มีแต่เรื่องว่าง เพราะฉะนั้น จึงขอให้ถือเป็นหลักว่าไอ้ ๔ เรื่องนี้แหละสำคัญที่สุด
อาตมาขอท้าทายว่า ไปคิดนึกมาเป็นอย่างยิ่งตลอดเวลาเป็นสิบ ๆ ปีนี่ มันรู้ว่าไอ้เรื่องความว่าง ๔ อย่างนี้สำคัญที่สุด ไอ้พวกฝรั่งมันคิดกันอีกร้อยปีพันปี มันก็ไม่ได้มากไปกว่านี้ เราคนไทยไม่ต้องคิดร้อยปีพันปี มันก็อาจจะว่างได้ในเรื่อง ๔ ว่าง ว่างทางกาย ว่างทางจิต ว่างทางตัวตน ว่างทางความว่างนั่นเอง เมื่อมันมีความเห็นแก่ตนมันก็ไม่มีความว่างในชนิดไหนหมด มันมีความเห็นแก่ตน มันเป็นตัวตน เป็นตัวตน ทางกายมันก็ยุ่งยากลำบากไปหมด ทางจิตก็ยุ่งยากลำบากไปหมด ทางมีตัวตนมันก็ยุ่งเหยิงไปหมด ไอ้ความว่างต้องหาให้พบ ถ้าคุณไม่ชอบก็ตามใจคุณ ไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่ที่เอามาพูดนี้ พูดเพื่อขอยืนยันว่า ๔ อย่าง ๔ ว่างนี้มันพอ มันพอจนไม่รู้จะพออย่างไร ขอให้ได้ว่างเป็น ๔ อย่างนี้ ถูกต้องทางกายก็ว่างทางกาย ถูกต้องทางจิต ว่างทางจิต ถูกต้องทางตัวตน มันก็ว่างทางตัวตน ถูกต้องทางความว่าง มันก็ถูกต้องทางความว่าง เอามารวมกันเสียเป็นความว่างอันเดียวก็ได้ ว่างอย่างถูกต้องใน ๔ ความหมายนี้ ขอยืนยันว่า คุ้มค่า ๆ คุณจะมีอายุต่อไปอีกกี่ปีกี่สิบปี คุณจะโง่ต่อไปอีกกี่ปีกี่สิบปี ก็ขอให้แก้ปัญหาด้วยข้อนี้ คือมันมีความถูกต้องใน ๔ ทางนี้ มันจะแก้ปัญหาทุกชนิดได้ จะขอให้โง่ไปอีกพันปีหมื่นปีแสนปี ก็โง่ไปเถอะแต่ถ้าว่ามันถูกต้องได้ทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว มันก็หมดเลย มันหมดเรื่องที่จะยุ่งยากลำบาก หมดเรื่องที่จะเป็นปัญหา นานาชนิด
นี่ขอให้สงสารอาตมาหน่อยก็ได้ เพราะไม่มีแรงจะพูด ไม่ค่อยมีแรงจะพูด แล้วก็ทนพูดมาได้ตั้ง ๒๐ นาทีแล้ว จะขอพูดให้มันจบไปเสียว่า จงสนใจ จงสนใจเรื่องเพียง ๔ เรื่อง สนใจเรื่องเพียง ๔ เรื่อง ความถูกต้องเป็น ๔ เรื่อง ความถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางความว่างนั่นเอง จะพูดทบทวนไปมากี่ครั้งกี่หนก็ขอให้มันถูกต้องอยู่อย่างนี้ ว่ามัน ๔ ว่าง มันมีอยู่ ๔ ว่าง จะเป็นไทย เป็นจีนเป็นแขกฝรั่งมังค่าอะไรที่ไหนมา ก็ท้าทายว่า ถ้าแกไม่มีความถูกต้องอย่างนี้ แกไม่ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา ให้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา ปริญญายาวเป็นหาง ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ในการที่จะเป็นสุขตามหลักของพระพุทธศาสนา ถ้าว่าสามารถที่จะแก้ปัญหา สะสางปัญหา จัดหรือกระทำให้มันมีความถูกต้องใน ๔ ประการนี้ ว่างทางกาย ว่างทางจิต ว่างทางตัวตน ว่างทางสติปัญญา มันจะคุ้มค่าไปหมด เป็นมนุษย์ที่มีประโยชน์คุ้มค่าไปหมด มีอายุอยู่เพียงวันสองวัน ปีสองปี มันก็มีประโยชน์เหลือหลาย คุ้มค่ากันไปหมด ถ้าไม่อย่างนั้นให้มันมีชีวิตอยู่เป็นร้อยปีพันปี หมื่นปีแสนปีมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร คุ้มค่ากันที่ตรงไหน
ขอให้สนใจคำ ๔ คำ พูดแล้วพูดอีก ไม่กลัวใครว่าซ้ำ ๆ ซาก ๆ พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ให้มันจำ ให้มันแม่นยำ ให้มันถูกต้อง เพื่อให้มันล้างความโง่ออกไปเสียโดยเร็ว ความโง่คือความไม่ถูกต้อง ความโง่เง่าคือความไม่ถูกต้อง ขอให้ล้าง ลบล้าง เลิกล้างความไม่ถูกต้องออกไปเสียโดยเร็ว แล้วมันจะมีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางความว่าง ขอให้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ตรงนี้ว่า ไอ้ ความว่างทางกายมันก็มีอยู่แยะ คุณเอาคำว่ากายขึ้นมาดูเถอะ กายนี่หมายถึงเวลาก็ได้ ลมหายใจก็ได้ เนื้อหนังก็ได้ โลหิตก็ได้ รูปร่างก็ได้ แม้แต่ว่าวัตถุ วัตถุที่เป็นวัตถุนี้ก็ได้ ก็เรียกว่ากายเหมือนกัน ถ้ามันถูกต้องไปทุก ๆ ทางอย่างนี้ มันถูกต้องทางกาย ใครแจกออกไปได้หลาย ๆ อย่างก็เป็นความฉลาดของคนนั้น แต่ก็พอจะคิดเห็นกันได้อย่างน้อยสักสิบอย่างแน่ ๆ ถ้าไม่โง่เกินไป จะพบไอ้ความถูกต้องทางกาย
ทีนี้ทางจิตก็เหมือนกันแหละ ทางจิต ทางเจตสิก ทางเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความคิดความนึก ความรู้สึก ความยึดมั่น ถือมั่น แม้แต่สัญชาตญาณที่มันรู้จักยึดถือเอาเอง มันก็ยังถูกต้องได้โดยสัญชาตญาณ โดยสัญชาตญาณ มันก็ยังถูกต้องของมันได้ นี่เรียกว่ามันถูกต้องทางจิต
ทีนี้ตัวตน ตัวตน ที่มันยุ่งยาก เป็นตัวตน เป็นตัวกูของกู นับตั้งแต่แรกมาแล้วก็ผิดหมด แล้วก็ค่อย ๆ ถูกเข้า ถูกแล้วก็ยึดถือความถูก ไอ้ชาติโง่ มีความถูกต้องแล้วมันยังยึดถือความถูกต้อง ยึดถือตัวตนว่าถูกต้อง ไอ้ชาติโง่ มันโง่อย่างไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว มันยังยึดถือว่าตัวตน ตัวตนถูกต้อง ตัวตนของกูดี ตัวตนของกูวิเศษ ตัวตนของกูวิเศษอย่างนี้ มันก็เป็นไอ้คนโง่ เพราะว่ามันยึดถือตัวตน มันไม่ต้องยืดถือ ทั้งเรื่องดีและเรื่องชั่ว แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์อะไร พระพุทธเจ้าท่านไม่ยึดถือทั้งเรื่องดีเรื่องชั่ว ไอ้คนโง่มันยึดถือทั้งเรื่องดีเรื่องชั่ว พูดกันนักหนา ใช้คำว่า positive negative อะไรให้เป็น positive อย่าให้เป็น negative นี่ ไอ้คนยึดถือในเรื่องชั่วเรื่องดี มันบ้าดี มันบ้าชั่ว นี่มันยึดถือเรื่องดีเรื่องชั่ว ตัวตนของมัน หลงอยู่แต่เรื่องบ้าดีบ้าชั่ว นี่มันเป็นเรื่องที่ว่ายุ่งอยู่ด้วยตัวตน ยุ่งอยู่ด้วยตัวตน เดี๋ยวความรักมา เดี๋ยวความเกลียดมา เดี๋ยวความโกรธมา เดี๋ยวความกลัวมา เดี๋ยวความตื่นเต้นมา วิตกกังวลมา อาลัยอาวรณ์มา อิจฉาริษยา หวงหึง มา ๆๆๆ ยุ่ง! เป็นแต่เรื่องแต่ตัวตน ๆ นี่ไปคิดดูว่ามันมีกี่มากน้อย มันยุ่งไปหมด มันตื่นเต้น กดดันกันไปหมด อยู่ดี ๆ มันก็อยากจะไปดูมวยให้มันตื่นเต้น อยู่ดี ๆ มันก็อยากไปดูฟุตบอลให้มันตื่นเต้น อยู่ดี ๆ ก็ยังไปประกวดประขันอย่างนั้นอย่างนี้ มันตื่นเต้น มันชอบความตื่นเต้น นั่นแหละคือความยุ่ง เป็นตัวตน เป็นความยุ่ง
ถ้าเราพูดอย่างนี้ คนหลายคนมันก็แช่งในใจแล้วว่า ทำไมมันจะไม่ให้ไปคิดนึกไปรู้สึกในทางเอร็ดอร่อย สวยงาม ร่ำรวย อะไรกันบ้าง ก็เอาสิ ถ้าชอบอย่างนั้นมันก็เอาสิ แต่ถ้าจะไม่ให้มันตื่นเต้นมันยุ่งยากกันละก็ ไม่เอาดีกว่า ความหมายของคำว่า ตัวตน เพียงคำเดียว มีปัญหามากมาย ตัวตนอย่างดี ตัวตนอย่างเลว ดีเท่าไรก็หนักอึ้งเท่านั้น ตัวตน ถ้าดีเท่าไร ยิ่งดีเท่าไร ก็ยิ่งเป็นปัญหาและยิ่งหนักอึ้งเท่านั้น หนักเท่านั้น หนัก เป็นของหนักเท่านั้น ยิ่งดีเท่าไร ถ้ายิ่งร้ายเท่าไร มันก็ยิ่งเลวร้าย เจ็บปวดรวดร้าวเท่านั้นอีกเหมือนกัน นี่เรียกว่าตัวตน มันใช้ไม่ได้ ตัวตนดีมันก็หนักไปแบบดี ตัวตนร้ายมันก็เผาผลาญไปตามแบบร้าย ใครบ้าดี เมาดี หลงดี บ้าบุญ เมาบุญ หลงบุญ ก็ลองดูสิ ลองดูสิ มันจะประสบกันเข้ากับความเผาลนเลวร้ายไปทั้งหมด นี่เรียกว่ามันทำผิดในทางตัวตน ที่จริงมันก็มี ๒ คำเท่านั้น ตัวตนกับของตน ถ้ามันมีตัวตน มีอะไรเป็นตัวตน มันก็เป็นของๆตนด้วย เพียงเท่านี้มันก็พอแล้วที่จะยุ่ง ๆๆ ได้เป็นหมื่นอย่างแสนอย่างด้วยความยุ่ง ๆๆ ว่าเป็นตัวตน ลองคิดดูเองว่าถ้าไปหลงกับไอ้สิ่งเหล่านี้มันโง่กี่มากน้อย มันโง่กี่มากน้อย นี่ขอให้ดูให้ดี
ทีนี้ส่วนว่างนี้มันไม่มีคำจะพูด พูดยากเข้าใจยาก แต่ก็ต้องขอพูดว่า ไอ้ชาติคนโง่แล้วมันจะไม่รู้เรื่องความว่าง คุณจะโกรธหรือไม่โกรธก็สุดแท้ ไอ้ชาติคนโง่แล้วมันไม่รู้เรื่องความว่าง เว้นแต่มันจะค่อยบรรเทาความโง่ ความโง่ลง มันจะเกิดความว่าง ๆๆ ว่างลง ว่างขึ้นมา ว่างขึ้นมา เพราะว่าความว่างเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากสำหรับคนธรรมดา ต้องเรียนรู้ เคยคิดนึกศึกษามามากมันจึงจะรู้ได้พอสมควร จะให้รู้สึกได้มากเหมือนพระพุทธเจ้านั้นอย่าหวัง ต่อเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้นละ มันจึงจะรู้เรื่องความว่างสูงสุดที่เรียกว่า ปรมานุตตรสุญญตา เดี๋ยวนี้มันก็มีแต่ความไม่ว่างจนไม่รู้จะเรียกว่าอะไร มันไม่ว่างจนไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เพราะฉะนั้นขอให้สนใจความว่าง หรือว่าความถูกต้องก็ได้ ๔ ความหมาย ถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางความว่าง แม้แต่ว่าถูกต้องทางกายอย่างเดียวก็เหลือหลายแล้ว เหลือหลาย ประโยชน์เหลือหลายแล้ว ถ้าแถมถูกต้องทางจิตเข้าไปด้วยยิ่งเหลือหลาย ถูกต้องทางตัวตนด้วยก็ยิ่งเหลือหลาย มากมายเหลือหลาย ถูกต้องทางความว่างละ ที่สุดถึงที่สุดเลย นี่เรียกว่าความถูกต้อง ซึ่งมันทำให้เกิดความว่างจากตัณหา ไม่ทำให้ชีวิตนี้เป็นทุกข์ ไม่ทำให้ชีวิตนี้มันกัด เจ้าของ ถ้าชีวิตมันยังกัดเจ้าของมันก็เลวกว่าหมา มันเลวกว่าหมา เลวกว่าหมา เพราะหมามันยังไม่กัดเจ้าของเลย ชีวิตที่มันกัดเจ้าของมันเลวกว่าหมา เพราะฉะนั้นคุณจงทำให้มันรู้เรื่องของความถูกต้อง ถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางความว่าง
เดี๋ยวนี้มันมีแต่ความไม่ถูกต้อง ตรงกันข้ามก็มีคำเดียว ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องก็คือ คือมันถูกต้อง คือมันดีหมด ถูกต้องหมด ถ้าไม่ถูกต้องก็คือ เลวหมดหรือชั่วหมด มันอยู่ตรงกันข้ามกัน ความถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางความว่าง ทีนี้มันมีแต่การทำผิด ทำผิด มันไม่ถูกต้อง เป็นชีวิตกัดเจ้าของ สมน้ำหน้ามัน ชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ กัด ๆๆ เป็นสุนัขที่กัดเจ้าของเหลือแต่กระดูก ขอให้ระวังสังวรไว้ว่าเพียง ๔ หัวข้อนี้ก็พอ ถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางความว่าง อย่าทำให้ผิด ในหลักหรือในกฎเกณฑ์อันนี้หรือความจริงอันนี้ มันมีแต่ความถูกต้องทางกาย ทางจิต ทางตัวตน และทางความว่างนั่นเอง พอมันทำผิดมันก็เกิดผลตรงกันข้าม หมา สุนัขมันจะกัดเจ้าของเรื่อยไป เพราะมันทำผิด ๆๆ
แล้วก็จะบอกอีกสักข้อหนึ่ง อย่างเพ่อหัวเราะนะว่าถ้ามันทำผิด ถ้ามันทำผิดใน ๔ อย่างนี้ ขอยืนยันด้วย ๔ อย่างนี้ มันก็เกิดอาการที่โง่เขลาที่สุด มันจะเกิดอาการเป็นตลิ่ง เป็นตลิ่งไหล ใครเคยเห็นบ้าง ตลิ่งไหล แต่แม่น้ำกลับไม่ไหล แม่น้ำคือน้ำกลับหยุด คุณไปเปรียบไอ้ความโง่เอาเองเถอะว่ามันโง่กี่มากน้อย ถ้ามันโง่จนตลิ่งไหล แล้วลำธารน้ำหยุดอย่างนี้ มันจะตรงกันข้ามสักกี่มากน้อยเล่า คุณคิดดูอย่างนั้น ถ้าทำผิดตลิ่งมันก็ไหล ลำธารมันก็หยุด เรียกว่ามันทำผิดจนถึงกับลำธารหยุดตลิ่งกลับไหล บ้ากี่มากน้อยที่พูดอย่างนี้ มันทำผิดจนตลิ่ง หัวตลิ่ง ก้อนหินก้อนท้ายไหล แล้วลำธารมันหยุด ผิดทางตัวตน มันทำผิดทางกาย มันก็เกิดการหยุดชะงักในทางกาย หรือทางความถูกต้องของกาย จะเรียกว่าอะไรก็เรียกดู มันผิดพลาดในทางกาย ลำธารน้ำก็หยุดไหล แต่ตลิ่งกลับไหล อย่าโง่จนถึงกับว่าตลิ่งมันไหลลำธารน้ำมันหยุด คุณลองดู ลองสังเกตดู ถ้ามันโง่ตลิ่งมันไหล ถ้ามันโง่ลำธารน้ำมันหยุด จริงไม่จริงก็ไปคิดดูเอาเอง ไม่จริงก็มาด่าอาตมาก็แล้วกัน ถ้าว่ามันทำผิดทางตัวตนมันก็จะยุ่งไปหมดจนตลิ่งไหล จนลำธารน้ำหยุดไหล ไม่ได้รับประโยชน์อะไร ตลิ่งที่ควรจะหยุดมันเป็นปัญหาขึ้นมาเสีย ไอ้ลำธารน้ำที่ควรจะไหลมันก็ไม่ไหล มันก็เป็นปัญหาขึ้นมาเสีย เพราะฉะนั้นคนที่โง่ที่สุด โง่สูงสุด โง่บรมโง่ โง่ที่สุดละ มันเป็นผู้ที่ทำให้ตลิ่งไหล และก็ลำธารน้ำหยุด ไปเปรียบเทียบดูเองว่ามันจะมีความหมายอย่างไรกี่มากน้อย ขอร้องว่าอย่าทำให้เป็นคนชนิดที่ตลิ่งไหล ลำธารน้ำหยุด เพราะมันให้โทษ ๆๆ ในการที่ทำให้ตลิ่งมันไหล ลำธารน้ำมันหยุด จะเรียกว่าพูดภาษาอะไรก็ตามใจคุณ แต่ขอพูดให้แสดงความจริงให้เห็นว่ามันเป็นได้ถึงขนาดนั้น ถ้ามันทำผิดตลิ่งมันก็จะไหล ลำธารน้ำมันก็จะหยุด แล้วมัน... คุณจะเอาอะไร จะทำอะไรได้
เอาละ เป็นอันว่าขออย่าให้ทำให้เกิดความผิด ขอทำให้เกิดความถูก โดยคำพูดคำเดียวว่า ความถูกต้อง ๆ แล้วมันหมดปัญหา ถ้าไม่ถูกต้องแล้วก็ มันเต็มไปด้วยปัญหา เรียกว่าทำให้มันถูกต้องจนกว่าหมดปัญหาทางร่างกาย หมดปัญหาทางจิตใจ หมดปัญหาทางตัวตน ตัวกูของกู แล้วก็หมดปัญหาทางความว่าง
อาตมาขอยืนยันว่า สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดที่ควรจะเอามาพูดก็คือเรื่องนี้ ใครไม่เชื่อก็ได้ ใครไม่เชื่อก็เอาไปใคร่ครวญดู คิดดู ถ้ายังไม่เห็นด้วยต่อไปอีกก็ด่าอาตมาก็ได้ แต่ขอพูดยืนยันอย่างนี้ ว่าถ้าทำผิดเรื่องของความจริง ของความถูกต้องแล้ว ตลิ่งมันจะไหล ลำธารน้ำมันจะหยุด แล้วคุณจะได้รับประโยชน์อะไร
เป็นอันว่าเวลาที่เขากะให้มันหมดแล้ว พูดเกินเวลาเข้าไปแล้ว สรุปเสียทีว่าขอให้เกิดความถูกต้อง สัมมาแปลว่าถูกต้อง สัมมัตตะ หรือสัมมาตะตา แปลว่าความถูกต้อง ขอให้มีแต่ความถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ว่าเป็นตัวพรหมจรรย์ ไอ้ตัวความถูกต้องนั่นแหละเป็นตัวพรหมจรรย์ ขอให้ได้รักษาตัวพรหมจรรย์ไว้ให้ได้เป็นความถูกต้องอยู่ตลอดไป แต่ท่านอุปมาอีกอย่างหนึ่งว่ามันเป็นยาที่ทำให้อาเจียนออกมา อาเจียนสิ่งเลวร้ายออกมาเสีย เรียกว่าเป็นยาทำให้ที่ถ่ายสิ่งสกปรกโสโครก หรือโรคร้ายออกไปเสีย นี่ คุณลองกินยานี้ พรหมจรรย์นี้มันจะถ่ายสิ่งไม่พึงปรารถนา แล้วก็จะมีแต่สิ่งที่ควรปรารถนา มันก็ได้ความหมาย มีแต่ความถูกต้อง ๆ มันจึงเป็นตัวพรหมจรรย์ ซึ่งคนบางคนเขาก็ไม่ค่อยได้ยินได้ฟังคำ ๆ นี้ว่า สัมมัตตะ ความถูกต้อง เป็นยาสำรอก สำรอกให้อาเจียน เป็นยาถ่ายให้หมดโรคร้าย แต่อาตมาเอามาพูดง่าย ๆ ว่าให้มันถูกต้องทั้ง ๔ ความหมาย ถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางว่าง แล้วจะมีอะไรอย่างที่ว่ามาแล้ว
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าสิ่งที่ชื่อว่า ว่าง หรือความว่างนั้น เป็นสิ่งสูงสุด ๆ จนไม่มีปัญหาอะไรรอหน้าอยู่ได้ในสิ่งที่เรียกว่าความว่าง หรือว่าความถูกต้อง ๆๆ มีแต่ความถูกต้องไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จึงขอท้าทายว่าคุณจงพยายาม มันจะมีผลสูงสุด จะไปพูดกับพวกฝรั่ง พวกเจ๊ก พวกจีน พวกแขก พวกไหนก็ตามใจเถอะ ก็ขอท้าทายว่าธรรมะข้อเดียวในพระพุทธศาสนานั้นชื่อว่าความถูกต้อง ๆ ถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางว่าง แต่ถ้าใครจะพูดให้มันแปลกออกไปก็ได้ว่า ถูกต้องทางทิฐิ เป็นสัมมาทิฐิ ถูกต้องทางความหวังเป็นสัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาอะไรจะกี่สัมมา ทีนี้ก็คือความถูกต้องเหมือนกัน เพราะมันมีคำว่าสัมมากำกับอยู่ด้วย ถ้าถูกต้องทางญาณะ ถูกต้องทางวิมุติ เป็นสัมมาญาณะ สัมมาวิมุติก็ว่าจบเลย จบเลย จบความถูกต้อง ความถูกต้องโดยส่วนเหตุนั้นมันคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ถูกต้องโดยส่วนคนนั้นมีความถูกต้อง ๒ คือถูกต้อง ทางญาณะคือความรู้ที่ถูกต้อง ถูกต้องทางวิมุติ ความหลุดพ้นที่ถูกต้อง ทั้งหมดนี้ก็สำเร็จมาแต่ความถูกต้องเพียงอย่างเดียว ให้เกิดความถูกต้องได้ทุก ๆ ชนิดเพราะมันแทนชื่อกันได้ แต่ขอให้จำชื่อที่สูงสุดไม่มีอันใดสูงสุดเท่าว่า ความถูกต้อง เป็นตัวคุณศัพท์ก็แปลว่าสัมมา เป็นตัวนามศัพท์ก็เรียกว่าสัมมะ สัมมัตตะ สัมมัตตา นี่คือความถูกต้อง ๆ พวกนักธรรม นัก(นาทีที่ ๔๕.๓๘) ไม่เคยได้ยินก็ได้ คำเหล่านี้ หรือได้ยินแล้วไม่สนใจก็ได้ มันก็อยู่ในพวกโง่เท่าเดิมเหมือนกันแหละ ถ้ามันสนใจ สนใจ ในเรื่องของความถูกต้อง ถูกต้อง ๔ อย่างนี้อยู่แล้ว มันก็ฉลาดขึ้น ๆๆ
อาตมาต้องขอยุติการบรรยายด้วยความที่มันหมดแรงหรือมันสมควรแก่เวลา ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงตั้งจิตภาวนา ธรรมะสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนาว่าความถูกต้อง ไปว่าความถูกต้องดูสักร้อยครั้งพันครั้งมันคงจะซึมซาบเข้าไปบ้าง แล้วก็ค่อยขยายความถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางความว่าง มันก็ยิ่งดี มีเป็น ๔ อย่าง หรือถูกต้องทางอัฎฐังคิกมรรค มี ๘ อย่าง ๘ อย่างก็ได้เหมือนกัน ถูกต้องเพิ่มทางกัมมัตตะอีก ๒ อย่างเป็น ๑๐ อย่าง เป็นถูกต้อง ๑๐ อย่างก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าไอ้ ๑๐ อย่างหรือกี่อย่างนั้นอยู่รวมอยู่ที่คำ ๆ เดียวว่า ความถูกต้อง ๆ เดี๋ยวนี้มันไม่มีความถูกต้อง มันก็มีแต่ความขัดแย้ง ๆๆ ความขัดแย้งเขาเรียกว่าอุปัทวะ คำเดียวกับคำว่าอุบาทว์ อุบาทว์คืออุปัทวะ เพราะมันไม่ถูกต้อง ถ้ามันถูกต้องมันก็ไม่ขัดแย้ง มันก็ไม่ขัดแย้ง มันก็มีแต่เรื่องที่ไหลไปในทางดี แล้วผลของมันก็คือว่าตลิ่งมันก็ไม่ต้องไหล ลำธารน้ำมันก็ไม่ต้องหยุด เรื่องก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้ว่าท่านทั้งหลายไปใคร่ครวญดู ให้เห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้โดยประการทั้งปวง แล้วถือเอาประโยชน์ให้ได้ด้วยกันทุกคน จากความหมายแห่งคำว่าความถูกต้อง ๆๆ เรียกหาความถูกต้องกันให้มาก ๆ เข้าไว้นะดี ปัญหาทางการเมืองก็ไม่มี ปัญหาทางเศรษฐกิจก็ไม่มี ปัญหาทางสังคมก็ไม่มี ปัญหาทางอบายมุขอะไร ๆ ก็ไม่มี ๆ ไม่มีไปหมด เป็นธรรมะที่ดี ที่ใช้แก้ปัญหาได้ทุก ๆ ประการ
ขอยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลา แม้จะพูดรุนแรงไปบ้างก็ไม่ขออภัยเพราะว่าเป็นเรื่องที่มันจริงอย่างนั้น ตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าด้วย ใครจะโกรธจะเคืองอย่างไรก็ตามใจ ไม่ต้องขออภัย ขอยุติการบรรยาย แล้วไปฟังธรรมะกันใหม่ ที่ที่กำหนดไว้สำหรับบรรยายธรรมะมีอยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งตามปกติ จะบรรยายธรรมะกันอยู่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะสิ้นเวลา ถ้าเข้าใจเรื่องตลิ่งไหล แม่น้ำไหลได้ดี ก็จะดีนะ ตลิ่งหยุด แม่น้ำไหล หรือว่าไหลด้วยกันทั้งสองอย่าง ถึงที่สุด มีความถูกต้องแล้วชีวิตไม่กัดเจ้าของ เพราะมีแต่ความถูกต้อง เอาความไม่ถูกต้องมาแล้วมันจะกัดเจ้าของกันทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทางการเมือง ไม่มีความถูกต้องแล้วชีวิตกัดเจ้าของเหลือแต่กระดูก