แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมที่ยังอุตส่าห์มาหาโอกาสฟังการบรรยายอยู่ในที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ อาตมาก็รู้สึกยินดีพอใจในการทำอย่างนี้ แม้ว่าจะรู้สึกไม่มีแรงเกี่ยวกับสุขภาพ แต่ก็ยังตั้งใจว่าจะมาพูดต่ออีกนิดหน่อยเพื่อให้เรื่องมันจบโดยสมบูรณ์ ขอให้ฟังต่อไปนิดเดียว มันก็จะจบโดยสมบูรณ์ เรื่องไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ จะจบโดยสมบูรณ์ มิเช่นนั้นเรื่องไอ้ชาติโง่มันจะไม่จบโดยสมบูรณ์ มันต้องต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง เรื่องไอ้ชาติโง่จึงจะจบโดยสมบูรณ์ ท่านก็ขอทบทวนเอาเองว่ามันจะมีใจความอย่างไร มีความมุ่งหมายอย่างไร ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร นี้จะต้องทำความเข้าใจเอาเอง
เรื่องไอ้ชาติโง่ไม่จบ ถ้าหากว่ามันยังไม่รู้ความจริงของข้อที่ว่าตลิ่งมันไหล น้ำมันหยุดหรือความว่างมันหยุด ตลิ่งนั้นมันไหลๆๆ กุกกักๆๆ ไปตลิ่ง แต่ความว่างหรือน้ำโดยแท้ น้ำโดยแท้ น้ำโดยเนื้อแท้ไม่ได้ไหล ถ้ารู้อย่างนี้ก็เรียกว่ารู้ความจริงของเรื่องนี้ คือเรื่องตลิ่งไหล แล้วก็เลิกความเป็นไอ้ชาติโง่ ขอได้ทบทวนดูเองเถิดว่า อาตมาได้ใช้คำว่าไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ กี่ ๑๐ คำ หรือกี่ ๑๐๐ คำมาแล้ว จงเปลื้องตนเอง ท่านทั้งหลายจงเปลื้องตนเองมา ให้พ้นออกมาเสียจากความเป็นไอ้ชาติโง่ ที่มันไม่รู้ว่าที่ตลิ่งมันไหล น้ำหรือความว่างนั้นไม่ได้ไหล
สำหรับคำว่า “ไอ้ชาติโง่” นั้น มันมีใจความสำคัญอยู่นิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวๆ ไม่มากเหมือนเรื่องไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่มันมากนัก ถ้าเรื่องความจริงของไอ้ชาติโง่นี่มันก็มีนิดเดียว นั่นคือว่ามันบ้าดี บ้าชั่ว หลงดี หลงชั่ว รู้สึกดี รู้สึกชั่ว แล้วละโมบตะกละ ตะกละเอามากๆ ถึงกับจะมีคำว่ามหากุศล มหากุศล กุศลดีที่สุด ดีสูงสุดเป็นมหากุศล มันตะกละ มันตะกละกุศล มันตะกละความดี มันจึงคิดค้นไปถึงหาคำพูดที่ว่ามหากุศล อย่างนี้อย่าไปเอากับมันเลย เอาแต่กุศลก็พอแล้ว เพราะมันจะเฟ้อมากไป จะยุ่งยากมากไปจนเป็นมหากุศล คำว่ามหากุศลนี่ เอามหาไปทิ้งเสีย ให้เหลือแต่กุศล กุศล แล้วก็ให้อยู่เหนือกุศลเสีย อย่าไปอยู่ภายใต้กุศลจนเป็นมหากุศล บุญก็เหมือนกันแหละ อย่าเอามหาบุญเลย ถ้าเอามหาบุญ บุญใหญ่อย่างใหญ่หลวงแล้ว มันตะกละ ถ้าเอาแต่พอดีๆ มันก็เป็นบุญเท่านั้นแหละ เป็นบุญ ไม่ต้องมหาบุญ ไม่ต้องเป็นมหากุศล คนมันตะกละมากเกินไป มันจึงมีอาการเหมือนกับตลิ่งไหลไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้ามันรู้จักยับยั้งระวังสังวรณ์ทำให้เกิดความถูกต้องพอเหมาะพอดี มันก็ไม่มีอะไรไหล บุญก็ไม่เฟ้อ กุศลก็ไม่เฟ้อจนเป็นมหากุศลนี่ อาตมารู้ดีว่าคำพูดอย่างนี้ ถ้าพูดออกมาอย่างนี้ คนเขาด่า พวกนักธรรมผู้เคร่งครัดเขาด่ากัน ด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะไปเยาะเย้ยคำว่ามหากุศลของเขา ซึ่งเขาอยากจะรักษา ตั้งใจรักษาไว้อย่างสูงสุด แต่อาตมาก็บอกว่าอย่าไปเอากับมันเลย ไอ้มหาๆๆ มหากุศลโดยเฉพาะ ถ้าจะมีก็มีแต่กุศล แล้วก็รีบทำให้ขึ้นพ้นไปเสีย อย่าให้ต้องมีกุศล ให้สมกับถ้อยคำในพระบาลีที่ว่า ปาปะปุญญะ ปะหีนัสสะ นิจฉาโต ปะรินิพพุโต ละเสียได้ทั้งบุญและบาป และก็ดับเย็นสนิทเป็นนิพพาน ปุญญะปาปะ ปะหีนัสสะ นิจฉาโต ปะรินิพพุโต ละบาปละบุญเสียได้แล้วก็เยือกเย็นเป็นนิพพาน นี่มันถูกต้อง ถูกต้อง มันไม่มีส่วนที่เป็นไอ้ชาติโง่ ช่วยฟังให้ดีๆ มันไม่มีส่วนที่จะเป็นไอ้ชาติโง่ ถ้ามันบ้าดี เมาดี หลงดี บ้าบุญ บ้าสุข บ้าความเป็นบวก อย่างนี้มันเป็นไอ้ชาติโง่เหลือประมาณจนไม่รู้ว่าจะโง่กันสักเท่าไร
ท่านทั้งหลายจงสรุปความได้ว่า ถ้ามันยังบ้าบุญ บ้าดี บ้ากุศลอะไรอยู่แล้ว ตลิ่งมันจะไหลเรื่อยไปไม่มีหยุด ตลิ่งมันจะไหลเรื่อยไปไม่มีหยุด เพราะความบ้าดี บ้าบุญ บ้าสุข บ้าบวก บ้าความได้ความเสีย บ้าความได้ ความได้ดี ถ้ายังบ้าอย่างนี้อยู่แล้วมัน ตลิ่งมันจะไหลเรื่อยไม่มีหยุด คือมันเกินไปในทางที่มันจะดี นี่อาตมาขอเพียงเท่านี้แหละ ว่าวันนี้ขอให้มีการบรรยายเพียงว่าหยุดบ้าบุญ บ้าดี บ้ากุศล เพื่อให้ตลิ่งมันไม่ไหล มิฉะนั้นตลิ่งมันจะไหลเรื่อย
พูดไปพูดมามันก็กลายเป็นว่าต้องเสียมารยาท เสียมารยาท พูดชนิดที่ประมาทผู้อื่น ดูถูกผู้อื่น ข้อนี้มันก็ได้แต่การดูถูกผู้อื่นโดยเฉพาะ พวกฝรั่งทั้งหลายนั้น พวกฝรั่งที่ไม่ใช่ไทยทั้งหลาย มันบ้าดีมากเกินไป มันบ้าดีมากเกินไป จนตลิ่งมันไหล ตลิ่งมันไหล ตลิ่งมันไหล ตลิ่งมันไหล มันบ้าดีมากเกินไป มันบ้าดีเหมือนกับพวกคุณเคยบ้านั่นแหละ พวกคุณเคยบ้าดี บ้าบุญ บ้าสุข บ้าสวย บ้ารวยอะไรกันเท่าไรนั้น มันก็คือบ้าเกินไปเหมือนกัน ไม่ว่าเป็นฝรั่งหรือเป็นไทย ถ้ามันเกินไปในทางบ้าดีเมาดีแล้วมันก็ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ เห็นจะหอบตายเสียก่อนแล้วถ้าจะพูดกันไอ้ชาติโง่กันสัก ๑๐๐ คำหรือ ๑,๐๐๐ คำนี่ มันเป็นไอ้ชาติโง่ มันเป็นไอ้ชาติโง่ เรื่องนี้มันสำคัญ สำคัญ คือจับใจความให้ได้เสียก่อนว่าไอ้เรื่องบ้ามันเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม มันเป็นคู่ตรงกันข้ามที่รุนแรง เรียกว่ามันรุนแรง มัน Extreme Extreme มันรุนแรง
ลองคิดดูว่ามันบ้าอะไรกันบ้าง มันบ้าดีบ้าชั่ว บ้าดีบ้าชั่ว บ้าผิดบ้าถูก แล้วมันก็บ้าบุญ ที่ตรงกันข้ามมันก็บ้าบาป บ้าสุขบ้าทุกข์ บ้าบวกบ้าลบ บ้าได้บ้าเสีย บ้าหนักบ้าเบา บ้าอ่อนบ้าแข็ง แล้วมันก็มีคู่ที่ตรงกันข้าม ถ้ามันตรงกันข้ามแล้วมันก็หมายความว่าเป็นเรื่องโง่ที่สุด โง่ที่สุด ถ้ามันมีเรื่องที่ตรงกันข้าม เรื่องฉันมีบุญฉันไม่มีบุญนี้ ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ โง่ที่ฉันมีบุญฉันไม่มีบุญ ฉันร้อนฉันเย็น นั้นไอ้ชาติโง่ที่สุด บ้าผู้หญิง บ้าผู้ชาย ไอ้ชาติโง่ที่สุด บ้าตัวผู้ บ้าตัวเมีย ไอ้ชาติโง่ที่สุด อยากดี อยากมี อยากจน เห็นว่าจนเกินไป มั่งมีเกินไป ดีเกินไป จนเกินไป เป็นเรื่องอยากอย่างยิ่งในอาการอย่างนั้น มันมีการขาดอย่างยิ่งอยู่ส่วนหนึ่ง มันมีเกินอย่างยิ่งอยู่ส่วนหนึ่ง แต่แล้วคอยฟังให้ดีนะ ไอ้ชาติโง่นะ ฟังให้ดีนะ ถ้ามันไม่ขาดอะไร ถ้าไม่ให้ขาดอะไร ให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน ให้เป็นสัมมา สัมมา สัมมาอย่างครบถ้วนแล้ว มันต้องไม่ปรุงอะไร ช่วยฟังข้อนี้ให้ดีๆ ปรุงก็ไม่ปรุง ไม่ปรุงก็ไม่ปรุง ไม่ปรุงอะไรแล้วไม่ทั้งไม่ปรุง ทั้งปรุง ทั้งไม่ปรุง คือไม่ปรุงอะไรนั่นเอง ไม่ปรุงที่เป็นปรุง และไม่ปรุงที่ขาดแคลน ก็ไม่ปรุง
คุณช่วยจำคำให้ดี จำคำนี้ไว้ให้ดีว่า “ไม่ปรุงอะไร” เพราะถ้าปรุงมันก็มีฝ่ายดี ถ้าไม่ปรุงมันก็มีฝ่ายชั่ว ถ้าปรุงมันก็มีฝ่ายเกิน ไม่ปรุงมันก็มีฝ่ายขาด มันจะกลายเป็นเรื่องบ้าดีบ้าชั่ว บ้าบุญบ้าบาป บ้าสุขบ้าทุกข์ นี้มันต้องปรุง มันปรุง มันมีการปรุง มันจึงมีการขาดการเกินอย่างนี้ ถ้าไม่มีการปรุงอะไร มันไม่มีทางที่จะขาดจะเกิน เมื่อขาดมันต้องเกิดอาการขึ้นมาอย่างหนึ่ง เมื่อเกินมันก็มีอาการขึ้นมาอีกอย่าง ไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่สันติภาพ ไม่ต้องขาดอะไร แล้วไม่ต้องเกินอะไร มันจึงจะมีความพอดี ความถูกต้องและพอดี มันไม่ คือมันไม่ปรุงอะไร เดี๋ยวนี้มันปรุงกันมากเกินไปอย่างที่ว่ามาแล้ว มันมีการปรุงคือการกระทำให้เกิดการเคลื่อนไหว นี่ก็เรียกว่าการปรุง มันก็มีการขาดหรือการเกิน แล้วแต่มันจะปรุงอะไร ทีนี้ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ ไอ้คนชาติโง่ต้องดูให้ดีๆ เสียก่อนว่า ที่ว่าอยู่เป็นปกติ อยู่เป็นปกติ มันยังไม่รู้สึกตัวว่ามันปรุงอะไร แม้อยู่ปกติเฉยๆ ตลิ่งมันก็ยังไหล ต่อให้คุณอยู่เฉยๆ สัก ๑๐ ชั่วโมง ๒๐ ชั่วโมง ตลิ่งมันก็ยังไหล ถ้าไม่โง่เกินไปมันก็ต้องรู้เรื่องนี้ เรื่องว่าตลิ่งมันก็ยังไหล เอ้า, คุณคิดดูถึงเวลา ๒๔ ชั่วโมง ตั้งแต่เช้าขึ้นมาจนถึงเที่ยง จนบ่าย จนถึงเย็น จนถึงจนค่ำนั้น เรียกว่าเวลา ๒๔ ชั่วโมง งวดหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง มันมีการทำอะไรอยู่ในร่างกายของคุณ เมื่อไรมันกินอาหาร เมื่อไรมันเคี้ยวอาหาร เมื่อไรมันย่อยอาหาร เมื่อไรมันถ่ายอุจจาระปัสสาวะออกมา แล้วเมื่อไรมันต้องนอน เมื่อไรต้องพักผ่อนต้องนอนหลับ เมื่อไรมันกรนฟี้ๆอยู่ ไอ้ ๒๔ ชั่วโมงนี่ ตลิ่งมันไหลเรื่อย มันไหลเรื่อยไม่มีหยุด สังเกตดูได้ง่ายๆ นะว่า มันมีนิสัยว่าถ่ายอุจจาระกันแต่ตอนเช้าแล้วก็สิ้นสุดกันตอนค่ำ นี่หมายความว่าตลิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับอุจจาระปัสสาวะมันไหล หรืออาหารเคี้ยวกลืนเข้าไปคายออกมา นี่มันไปเปลี่ยนแปลงเป็นอะไร มันเป็นอุจจาระปัสสาวะ เป็นขี้มูก ขี้หู ขี้ตาอะไรต่างๆ มันก็ไหลเรื่อยไปเป็นเวลา ๒๔ ชั่วโมง อย่างนี้เรียกว่าตลิ่งมันไหล มันไม่ได้หยุด มันไม่ได้หยุด ตลิ่งมันไหลตลอดเวลาที่นอนหลับ ๒๔ ชั่วโมงมันไม่ได้หยุด เพราะว่ามันมีลักษณะธรรมดาของอาการตลิ่งไหล
คำว่า “ตลิ่งไหล” นี่หมายความทุกๆ อย่างมันไหล มันเคลื่อนไป เป็นก้อนหิน ก้อนดิน ท่อนไม้ อะไรก็ตาม มันเคลื่อนไหว เคลื่อนไหว ไหลไป ไหลไป ไหลไป นี่ตลิ่งมันไหลจนกว่าเมื่อไรมันจะว่าง จะไม่มีอาหาร มันจึงจะหยุด ตลิ่งมันหยุดไหลเมื่อมันว่าง เมื่อมันว่าง นี่อย่าได้โง่ในเรื่องนี้กันนัก อย่าเป็นคนโง่ในเรื่องนี้กันนัก อย่าเป็นคนโง่ในเรื่องนี้กันนัก จงมองเห็นให้ชัดว่าตลิ่งมันจะไหลเรื่อยไปจนกว่ามันจะว่างลง ถ้าพูดกันให้ลึกซึ้งสักหน่อย ข้อนี้ก็ช่วยฟังกันให้ดีๆ ว่า ตลอดเวลาที่ยังไม่มีวิปัสสนา ไม่มีวิปัสสนาญาณ มันคิดนึกด้วยการปรุงแต่งไปเรื่อย มันไม่มีวิปัสสนา มันโง่ มันก็มีอาการปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ที่เรียกว่า สังขาระ สังขารนั้นปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ปรุงแต่งไปเรื่อย ตลอดเวลาที่ปรุงแต่งอย่างนี้ ปรุงแต่งอย่างนี้ ตลิ่งมันก็ไหลไปเรื่อยจนกว่ามันจะว่าง คือเวลาที่มันมีวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณที่ถูกต้องแท้จริง เรียกว่ามีวิปัสสนาที่แท้จริง มีการเล่าเรียนศึกษาวิปัสสนา ทำวิปัสสนา ได้วิปัสสนา มีวิปัสสนา มีอุตริมนุษยธรรมซึ่งเป็นยอดของวิปัสสนา มันมีวิปัสสนากันที่ตรงนี้ ตรงที่มันมีอุตริมนุษยธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่มี มันไม่มี มันก็ไม่มี มันไม่มีอาการที่ว่า ว่างและหยุดไหล มันมีแต่ตลิ่งไหล ตลิ่งไหล ตลิ่งไหลอยู่เรื่อยๆ ไป นี้เรียกว่าอาการที่ตลิ่งมันไหล ทีนี้ใครมันไหลมากกว่าใคร ใครมันไหลมากก็หมายความว่า มันมีการปรุงแต่งเมื่อไร มันมีการไหลเมื่อนั้น ใครมีการปรุงแต่งมากมันก็ไหลเมื่อนั้น ใครมีการปรุงแต่งรุนแรง ปรุงแต่งรุนแรง มันก็ไหลเมื่อนั้น มันปรุงแต่งรุนแรงด้วยการที่ไม่มีวิปัสสนา ขออภัยเรื่องนี้นะ อย่าหาว่าดูถูกผู้อื่นนะ ไม่ใช่ดูถูกฝรั่ง อย่าหาว่าดูถูกฝรั่ง แล้วก็จะขอบอกให้ชัดๆ ให้ตรงๆ ว่า ไอ้ฝรั่งนั่นแหละมันโง่ที่สุด ตลิ่งมันไหลมากที่สุด ตลิ่งมันไหลมากที่สุด ตลิ่งมันไหลมากที่สุดเพราะความโง่ของพวกฝรั่ง พวกฝรั่งเขามีการปรุงแต่งในทางปัญญาญาณปรีชาญาณของเขามาก มันมีการปรุงแต่งเหมือนที่เราเคยเล่าบอกกันมาแล้ว ปรุงแต่งดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ ปรุงแต่งเรื่อย มีการปรุงแต่งตลิ่งมันก็ไหลเรื่อย สังขาร สังขารมันไหลเรื่อย เพราะสังขารคือการปรุงแต่งและวัตถุปรุงแต่งเลยถูกปรุงแต่ง มันก็ไหลเรื่อยไป ไหลเรื่อยไป นี่ฝรั่งมันเก่งกว่าเรา มันมีการปรุงแต่งเรื่อย ปรุงแต่งในลักษณะที่รุนแรงเป็น Extreme Extreme ที่ว่ามันปรุงแต่ง มันปรุงแต่งในทางความเป็น Supply เป็น Demand ฝรั่งมีสติปัญญามากในการปรุงแต่งเป็น Supply เป็น Demand คือเป็นอุปสงค์ คืออุปทานมากที่สุด มันจะมีการปรุงแต่งเรื่อย ไหลเชี่ยว ไหลเชี่ยวยิ่งกว่าตลิ่งไหลไปเสียอีก ฝรั่งมีการปรุงแต่งเป็น Positive เป็น Negative เป็นดีเป็นชั่ว มันมีการปรุงแต่งรุนแรงเพราะมันฉลาด แล้วมีการปรุงแต่งรุนแรงเป็น Positive หรือเป็น Negative ในบางเวลาการปรุงแต่งของมันเป็น Energy เป็น Material ในระยะที่เป็นสสารเป็นพลังงาน มันก็มีการปรุงแต่งอย่างแรง ปรุงแต่งอย่างเรี่ยวแรง ปรุงแต่งอย่าง Extreme ปรุงแต่งอย่างยิ่ง นี่เพราะฉะนั้นจึงต้องเรียกว่า มันก็มีการปรุงแต่งอย่างรุนแรง นั่นคือตลิ่งที่มันไหลที่สุด ตลิ่งในหัวสมองที่ไม่มีวิปัสสนา ที่โง่ที่ไม่มีวิปัสสนา ตลิ่งเวลาอย่างนั้นไหล ไหลเชี่ยวที่สุด มันปรุงแต่งเป็น Supply เป็น Demand ปรุงแต่งเป็น Positive เป็น Negative ปรุงแต่งเป็น Energy เป็น Material เรียกว่าคู่ตรงกันข้าม คู่ตรงกันข้าม แล้วก็อย่าลืมว่า อย่าลืมว่าไอ้ที่มันปรุงแต่งมากที่สุด มากที่สุด ก็คือพวกของไอ้พวกไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ที่นั่งอยู่ที่นี่นี้เอง มันปรุงแต่งมาก คือมันปรุงแต่งเป็นดีหรือเป็นชั่ว มันปรุงแต่งเป็นว่าดีหรือเป็นว่าชั่ว เป็น Good บ้าง เป็น Evil บ้าง เป็นดีหรือเป็นชั่วบ้าง ที่มันแต่งเป็น Supply เป็น Demand ก็เพราะมันบ้าดี เมาดี หลงดีนะ Positive Negative เพราะว่าบ้าดี เมาดี หลงดี เป็น Energy เป็นวัตถุล้วนๆ มันก็เป็นบ้าดี เมาดี หลงดี มันปรุงแต่งกันอย่างรุนแรง
แล้วขอสรุปความว่า ๒ คำนี้สำคัญมากคือว่า ปรุงแต่งเป็นดี หรือปรุงแต่งเป็นชั่ว พอปรุงแต่งเป็นดีหรือปรุงแต่งเป็นชั่ว ตลิ่งจะไหลๆๆ อย่างน่ากลัว ตลิ่งที่เป็นก้อนหิน ก้อนดิน ก้อนไม้ ท่อนไม้ อะไรต่างๆ มันไหลมันพาไป แล้วมันไม่ได้ว่าง มันไม่ได้หยุด มันไม่ได้เป็นน้ำโดยบริสุทธิ์ มันไหล นี่เรียกว่าตลิ่งมันไหล คุณจงรู้จักอาการที่ตลิ่งมันไหล มันไหลนี้ให้มาก แล้วก็จะต้องทราบกันเสียด้วยว่า ของพวกฝรั่งนั้น ตลิ่งมันไหลๆๆๆ ยิ่งกว่าพวกเราเพราะมันฉลาด เพราะมันเก่งในทางมีสติปัญญา ก็สมน้ำหน้าที่มันเก่งมาก มันก็ต้องไหลมาก ไหลมาก ไหลมากนี่ ขออภัยไม่ไหวละนะ ขออภัยว่า ขออภัยที่ต้องพูดถ้อยคำอย่างนี้ พูดกันตรงๆ อย่างนี้ว่าฝรั่งนั้นมันมีแต่ไหลๆ มีแต่ตลิ่งไหล มันก็ไหลเป็น Positive เป็น Negative เป็น Supply เป็น Demand เป็น Energy เป็น Material แล้วแต่มันจะไหลๆๆ แล้วก็ยังอยากจะบอกให้ทราบเสียอีกทีหนึ่งว่า ไอ้ที่สรุปความที่สุดนั้น ในคัมภีร์ศาสนาของพวกฝรั่งนั้น ไปดูให้ดีเถิด มันไปสรุปความไว้ที่ว่า ไปโง่ ไปไหลเป็นความโง่ เป็นดีเป็นชั่วทั้งนั้น นี่สำหรับคนบางคนที่จะไม่รู้เรื่องนี้ ก็ขอให้บอก บอกให้ทราบว่าจะเอาคัมภีร์ของพวกยิวเป็นหลักก็ได้ คริสเตียนเป็นหลักก็ได้ แม้แต่พระโมฮัมหมัดเป็นหลักก็ได้ เพราะว่าคัมภีร์กุรอาน หรือคัมภีร์ไบเบิ้ล หรือคัมภีร์ของพวกยิวนี้ มันก็ตรงกันๆ ว่า เป็นนิทานสมมติซึ่งเชื่อถือได้ ซึ่งเชื่อถือได้ นี่ไอ้ชาติโง่ฟังดูให้ดีๆ เดี๋ยวจะไม่เข้าใจนะ คือเขาเล่าไว้ให้เป็นหลักเป็นอุทาหรณ์เพื่อเป็นเครื่องเทียบเคียงว่า พระเจ้า พระเจ้าทั้งหมดนั้นสร้างมนุษย์ขึ้นมา สร้างโลกซึ่งมีมนุษย์ขึ้นมา แล้วก็บอกสั่งมนุษย์ไว้ว่า แกอย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้กินเข้าไปแล้วรู้จักดีรู้จักชั่ว ผลไม้นี้กินเข้าไปแล้วทำให้รู้จักดีรู้จักชั่ว คือ Extreme ทางดีทางชั่ว ทาง Positive ทาง Negative ทางสสาร ทางพลังงาน ทางอุปสงค์อุปทานเหล่านั้น มันเป็น Extreme มาก กินเข้าไปแล้วมันทำให้รู้จักเป็นดีมาก เป็นชั่วมาก แกอย่ากินเข้าไป ถ้าแกกินเข้าไปแล้ว แกก็จะตาย แกก็จะต้องตาย นี้ตามเรื่องราวเหล่านั้นก็มีว่า เขายกบาปให้ผู้หญิงว่างูมาหลอกให้กินเข้าไป ผู้หญิงกินเข้าไป งูมาหลอกให้ผู้หญิงกินเข้าไปก่อน พวกผู้ชายยังไม่กิน พวกผู้หญิงกินเข้าไปก่อนแล้วมันก็มีบาป แล้วมันก็ตาย มันก็ตาย คือไม่มีความทุกข์เลย มันไม่มีหมดปัญหาเลย เพราะมันกินเข้าไปแล้วมันรู้ดีรู้ชั่ว แล้วตลิ่งมันก็ไหล ตลิ่งมันก็ไหล ตลิ่งมันก็ไหลยิ่งกว่าธรรมดา ไหลยิ่งกว่าธรรมดา ไหลยิ่งกว่าธรรมดา เพราะความโง่ของผัวเมียของพระเจ้าที่มันหลอกให้ผัวเมียคู่นั้นกินผลไม้ต้นนี้เข้าไป นี่ท่านระวังความจริงข้อนี้ไว้บ้าง เพราะมันจะได้แก่ท่านทั้งหลาย จะพูดยังอย่าไร ท่านทั้งหลายๆ ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นไอ้ชาติโง่ เดี๋ยวมันบ้าดีบ้าชั่ว บ้าบุญบ้าบาป บ้าสุขบ้าทุกข์ บ้าได้บ้าเสีย ว่าอ่อนว่าเบา ว่าหนักว่าแข็ง แล้วมันก็ทำให้มีความร้อน มีความเย็น มีความเป็นหญิง มีความเป็นชาย มีคนยากดีมีจน มีขาดแล้วก็มีเกิน แล้วในที่จริงก็คือมีปรุง ปรุงเรื่อยไป Concoct หรือ Conduct คำนี้แปลว่าปรุง คำว่าปรุง ปรุงจนเกิน เกินปรุง นี่ก็เรียกว่ามันก็มีการปรุง ปรุงเท่าไรมันก็ไหลเท่านั้น ปรุงเท่าไรมันก็ปั่นป่วนเท่านั้น อย่างถ้าลองเอาอะไรมาทำให้มันหมุนเร็วๆ มันก็ปั่นป่วนเท่านั้น มันก็หมุนเท่ากับความปั่นป่วน นี่คือมันปรุงเท่าไรมันก็ปั่นป่วนเท่านั้น ไอ้คนโง่เหล่านี้ คนโง่เหล่านี้ มันก็มีการปรุง มีการปรุง มีการปรุงเท่าไรมันก็มีการปั่นป่วนเท่านั้น มีการปั่นป่วนเท่าไรมันก็มีการหลงๆๆๆๆ ของตลิ่ง หลงของตลิ่งเท่านั้นจนกว่ามันจะว่างหรือมันจะหยุดความเป็นอะไร หยุดความเป็นอะไร ไม่เป็นดี ไม่เป็นชั่ว ไม่เป็นอะไร นี่มันจึงจะหยุด นี่รู้จักกันเพียงแค่นี้ก็พอ เพียงว่าถ้ามันโง่แล้วมันจะบ้าดีบ้าชั่ว บ้าบุญบ้าบาป คือคู่ตรงกันข้าม มันเป็นคู่ๆ ตรงกันข้าม เรียกว่า Dualism หรือ Pair of Opposite คู่ตรงกันข้าม คู่ตรงกันข้าม คู่ตรงกันข้ามมาเจอะกันเมื่อไรก็มีการปรุงเมื่อนั้น แล้วก็มีการไหลเมื่อนั้น บ้าหรือดี ผิดหรือถูก บุญหรือบาป สุขหรือทุกข์ บวกหรือลบ ได้หรือเสีย หนักหรือเบา อ่อนหรือแข็ง โอ้, นับไม่ไหวละ จับคู่ตรงกันข้ามแล้วจะนับไม่ไหว นับไม่ไหว สูงต่ำ ดำขาว อะไรก็ตาม เป็นคู่ๆๆๆๆๆ กันไปทั้งนั้น เรียกว่าคู่ตรงกันข้ามมีสักกี่ ๑๐๐ คู่ กี่๑,๐๐๐ คู่ กี่ ๑๐๐,๐๐๐ กี่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ คู่ก็ไม่รู้ ไม่ต้องรู้ แต่ว่าถ้าคู่ตรงกันข้ามแล้ว มันจะมีการปรุง แล้วมันจะมีการไหล นั้นคือการไหลของตลิ่ง ซึ่งแน่นอนและเด็ดขาด แล้วไหลอยู่ตลอดเวลา
อย่าลืมว่าแม้แต่อาหารที่กินเข้าไป ๒๔ ชั่วโมงมันจะมีการไหลจนกว่าวินาทีสุดท้าย วินาทีแรก หรือวินาทีสุดท้ายจะปรากฏออกมา นี่มันมีการไหล การไหลกันอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดไม่ตกอยู่ไปในความโง่ของการปรุงแต่งว่าดีว่าชั่วแล้ว ไม่มีการไหล ไม่มีการไหล มันมีการไหลเพราะมีการผลักดันของสิ่งที่เป็นคู่ตรงกันข้ามและรุนแรง และรุนแรง มันใช้ภาษาฝรั่งนั้น มันสะดวกกว่าเพราะว่าเขาใช้กันอยู่แล้วเป็นปกติเป็นประจำ มันมีคู่ที่จะ Supply และ Demand มันต้องการนั่นต้องการนี่แล้วมันก็จะสนองความต้องการในร่างกายของคนๆหนึ่งนี้ ไอ้โง่ไอ้ฉลาดก็ตามใจ มันมี Supply มันมี Demand มันมีความประสงค์ มันมีความต้องการ แล้วก็มีการสนองความต้องการ อย่างนี้มันต้องไหลอยู่ใน Supply ด้วย Demand นั้นเรื่อยไป แล้วคนมีความเป็น Positive Negative เป็นบวกเป็นลบ คือได้อย่างใจ ไม่ได้อย่างใจ คนที่บ้าบวกมันต้องการแต่จะ Positive อะไรๆ ก็ Positive เขียนหนังสือสักตัว มันก็ต้องมีคำว่า Positive นี่มันบ้า บ้า Positive คือมันหลง Negative ซึ่งมันเป็นคู่ตรงกันข้าม ตลิ่งมันก็ไหลเรื่อยไป แล้วมันก็มี Energy คือพลังงานที่กำเนิดให้เกิดปรุงแต่งเป็นสสาร มันก็ไหลอยู่เรื่อยไป ไหลอยู่เรื่อยด้วยกำลังของ Energy และของ Material ของพลังงาน ของสสาร นี่มันปรุงแต่งอย่างยิ่ง อย่างสูงสุด อย่างสูงยิ่ง ยิ่งกว่าเครื่องจักรไหนๆ ไปเสียอีก มันเป็นนามธรรม นี่มันก็ไหลๆๆๆๆ นี่รู้จักความไหลของตลิ่งๆ มีความเป็นบวก มีความเป็นลบ มีความต้องการ มีการสนองความต้องการ มี Energy มีพลังงาน และมีการปรุงแต่งให้เป็นไปตามพลังงาน นี่เรียกว่ามันผลักไปๆๆๆ ให้เป็นการปรุงแต่ง มีลักษณะอาการเหมือนกับตลิ่ง มันไหลอยู่อย่างรุนแรงเรื่อยไปๆ นี่มันเป็นอย่างนี้
ถ้าท่านฟังให้ดีๆ ก็คงจะฟังถูกเพราะมันไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เป็นอุปมาที่พอจะเข้าใจได้ สรุปความแต่เพียงว่าถ้ายังเป็นคนโง่อยู่แล้วตลิ่งมันก็จะไหลรุนแรงอยู่เรื่อยไป ถ้าเป็นคนฉลาด มีปัญญา มีวิปัสสนา มองเห็นความจริงของสังขารทั้งปวง สามารถจะเห็นความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของสังขารทั้งปวง แล้วสังขารจะหยุดไหลเพราะมันสูญเสียกำลังที่จะไหล เพราะมันมีกำลังของวิปัสสนาเพิ่มเข้ามา นี่จะสำเร็จประโยชน์ในข้อที่ว่าท่านไม่ต้องมีตลิ่งไหล มีแต่ความว่าง มีแต่น้ำบริสุทธิ์ น้ำที่ไม่เคลื่อนไหวอะไร มันก็เป็นไม่มีอาการที่เรียกว่าตลิ่งไหล
นี้สรุปความได้หรือยังว่า มันสรุปเอาทุกสิ่งทุกอย่างๆ ที่ตรงกันข้ามนี่เป็นคู่ๆๆๆ เป็น ๒ อย่างหรือเป็นคู่ อันหนึ่งก็รุนแรงไปทางหนึ่ง เช่น ดีรุนแรงไปทางหนึ่ง ชั่วรุนแรงไปทางหนึ่ง บุญรุนแรงไปทางหนึ่ง บาปรุนแรงไปทางหนึ่ง ผิดรุนแรงไปทางหนึ่ง ถูกรุนแรงไปทางหนึ่ง สุขก็รุนแรงไปทาง ทุกข์ก็รุนแรงไปทางหนึ่ง การได้มาก็รุนแรงไปทางหนึ่ง เสียไปก็รุนแรงไปทางหนึ่ง ของหนักมีกำลังรุนแรงไปทางหนึ่ง ของเบารุนแรงไปทางหนึ่ง ของอ่อนของแข็งนี่ก็ตามนี้ จนกระทั่งว่ามันมีความเป็นตรงกันข้าม มีร้อนมีเย็น มีหญิงมีชาย มีตัวผู้มีตัวเมีย มีความยากลำบากมีความสบาย ความยากดีมีจน ความขาดความเกิน นี่เรียกว่าล้วนแต่มีการผลึกผลักไสๆ อยู่โดยอัตโนมัติ ให้เครื่องจักรมันไหล มันทยอยกันไหล เหมือนกับว่าเอาลูกโม่เครื่องจักรเข้ามาใส่เข้าไว้ในกงล้อแล้วก็หมุนไป มันก็ไหลๆๆๆๆๆๆ ปนกันไปผสมผสานผเสปนกันไป และในการผสมผสานผเส ผสมผสานกันไปนั้นแหละคือการไหล มันผสมกันแล้วปรุงไปอย่างอื่น ผสมกันแล้วปรุงไปอย่างอื่น นั่นแหละคือมันไหล
เดี๋ยวนี้เราก็มีแต่อาการที่เรียกว่าตลิ่งมันไหล ตลิ่งมันไหล เพราะเราไม่รู้ เพราะเรามันโง่ เราก็มีการปรุง เมื่อมีการปรุง มันก็มีการไหล ไม่ปรุงมันก็ไม่ไหล ถ้ามันยังมีโง่ มีอวิชชา ยังไม่มีวิปัสสนาอยู่เพียงใดแล้วมันยังมีความโง่ มันก็ยังมีการไหลของสังขาร ไหลของสังขาร การไหลของสังขารทั้งปวงอยู่เพียงนั้น มันหยุดไม่ได้ นี่ขอให้จำไว้ดีๆ จำให้แม่นยำที่สุด ว่ามันยังมีอาการไหลของตลิ่งเพราะว่ามันยังมีการหลงดีหลงชั่ว หลงบุญหลงบาป หลงสุขหลงทุกข์ ก็มีอาการไหลๆๆๆๆ ไม่มีวันว่าง ไม่มีเวลาว่างซึ่งมันไม่มีไหล ถ้าว่างมันไม่ไหล ถ้ามีการปรุงมันก็มีการไหล การปรุงของสังขาร ของสังขารทั้งปวง มันจะต้องเรียกว่าโง่ที่สุด โง่ธรรมดานี้ยังไม่พอ นี้ยังไม่พอกับความหมายนี้ ต้องโง่ที่สุด ภาษาฝรั่งเคยได้ยินว่าคำว่าไอ้ Silly bag, Silly bag มันโง่จนเหลือที่ไม่รู้จะโง่ว่าอะไร ไอ้ Silly bag นั้น มันโง่ๆ จนไม่รู้จะโง่ว่าอย่างไร มันจะต้องโง่ถึงขนาดนี้ มันจะหลงไปยึดถือเอาตลิ่ง ยึดถือเอาตลิ่งซึ่งเป็นสังขารซึ่งไหลเรื่อย มันไม่มีวิปัสสนาที่จะมองเห็นสิ่งที่ไม่ไหลคือความว่าง หรือความไม่ไหลหรือความไม่ปรุงแต่ง ไม่ปรุง ไม่ปรุง ไม่ปรุงแต่ง ไม่ใช่สังขาร สังขารก็ไหล ไหลเป็นตลิ่งไหลอยู่เรื่อย ถ้าวิสังขารมันก็ว่าง มันก็ไม่มีอะไรจะไหล นี่จงรู้จักสิ่งที่ไม่ไหล รู้จักสิ่งที่ไม่ไหลแล้วจะเรียกว่ารู้จักสิ่งสูงสุดของพระพุทธเจ้า คือสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง ไม่มีปฏิจจสมุปบาท ไม่มีอิทัปปัจจยตาอยู่ในสิ่งเหล่านั้น จงค้นหาให้พบสิ่งที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็คือไม่มีอิทัปปัจจยตา แล้วมันไม่มีการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นมาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เรียกว่ามันไม่มีปฏิจจสมุปบาท มันไม่มีปฏิจจสมุปบาทนี้คือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นพระตถาคต คือเห็นองค์พระพุทธเจ้า ไอ้ชาติโง่ทั้งหลายก็มองเห็นพระพุทธเจ้ากันเสียบ้าง แล้วก็จะได้หยุดโง่ หยุดโง่ที่เห็นไม่พระพุทธเจ้า แล้วมันก็ได้เห็นพระพุทธเจ้า เห็นธรรมคือเห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นตถาคต นี่ขอให้รู้จักสิ่งที่มันไม่ปรุงแต่งหรือมันไม่ไหล เห็นตามที่เป็นจริง มันจะหยุดกำลัง หยุดกำลังของความปรุงแต่ง มันไม่ผลักไสให้เป็นดีเป็นชั่ว มันไม่มีกำลังคู่ ขุมกำลังคู่ สิ่งที่เป็นคู่นั้นมีขุมกำลัง ขุมกำลังผลักไสปรุงแต่ง จงดูเครื่องจักรที่มันมีตัวปรุงแต่งสูงสุด ที่กำลังมากที่สุด นี่มันปรุงแต่งอยู่ด้วยขุมกำลังที่เป็นคู่ ซึ่งเป็น Supply เป็น Demand เป็น Positive เป็น Negative เป็น Energy เป็น Material อย่างที่ภาษาวิทยาศาสตร์เขาก็รู้กันดี แต่แม้พวกศาสนาก็รู้ดีไปกว่านั้นอีกว่ามันหมายแต่เพียงดีกับชั่ว เหมือนกับที่ว่าถ้ากินผลไม้รู้ดีรู้ชั่วเข้าไปแล้ว มันจะมีแต่ดีกับชั่วนี่ นักเลงศาสนาเขาก็รู้ข้อนี้ดี ไม่ใช่รู้แต่พวกนักวิทยาศาสตร์แหละ พวกนักวิทยาศาสตร์เสียเองยังโง่ไปกว่า ยังหลงใน Supply ใน Demand ในสสาร ในพลังงาน ใน Positive Negative ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้จักความว่าง ไม่รู้จักความว่าง หรือสิ่งที่ไม่ไหล มันเป็นว่าง เป็นความว่าง เป็นสุดจุดสุดท้ายของ Positive ของ Negative ของสสาร ของพลังงาน ของ Supply ของ Demand
ทำอย่างไรฝรั่งจะเชื่อหรือจะเข้าใจได้ว่า มันไม่มีสิ่งที่จะเป็น Supply เป็น Demand เป็น Positive เป็น Negative มันเป็นไปไม่ได้ มันยากที่จะเป็นไปได้ ถ้าฝรั่งรู้เรื่องนี้ มันก็จะฉลาดเหมือนพุทธบริษัท และจะฉลาดยิ่งกว่าพระพุทธบริษัท ถ้ามันรู้เรื่องตลิ่งไม่ไหล รู้เรื่องไม่หมุนไม่เป็นไปของสสารพลังงาน Positive Negative Energy Material นี่ ถ้ามันรู้เรื่องเหล่านี้ มันก็ฉลาดสูงสุดเหมือนพระพุทธเจ้า ถ้ามันไม่รู้เรื่องนี้มันก็โง่ที่สุด โง่ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า โง่ทั้งหมดไปรวมกันอยู่ที่ความไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้เรื่องว่าสังขารนั้นปรุงแต่ง วิสังขารนั้นไม่ปรุงแต่ง ถ้ามีสังขารมีการปรุงแต่ง ตลิ่งมันก็ไหล ถ้ามีวิสังขารมันไม่มีการปรุงแต่ง มันก็ไม่มีอะไรไหล ผลได้ผลลัพธ์มันมีอยู่ที่ตรงนี้ ฉะนั้นขอให้รู้จักไอ้สิ่งที่มันว่าง ว่างที่สุด ว่างๆๆ สุดขีดของการไหลถึงกับว่าไม่มี Positive ไม่มี Negative ไม่มี Supply ไม่มี Demand ไม่มีสสาร ไม่มีพลังงาน
ขอให้คิดดูเถิดว่าเราจะทำอย่างไรจะมีสันติภาพ ทั้งไทย ทั้งฝรั่ง ทุกชาติ ทุกภาษา ทำอย่างไรจึงจะมีสันติภาพ ถ้าหากว่ายังมีการไหลของตลิ่ง มันจะมีสันติภาพได้อย่างไร ถ้ามันมีการไหลของตลิ่ง ก้อนหิน ก้อนดิน ก้อนทราย ก้อนกรวด ท่อนไม้ ท่อนอะไรก็ตาม มันก็ไหลๆๆๆ ไปตามกระแสแห่งการไหลของตลิ่งๆ มันจะสันติภาพได้อย่างไร เมื่อมันไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว มันจึงจะมีสันติภาพ นี่ฝรั่งหน้าไหนที่มันจะทำให้มีการไหลของสสาร พลังงาน Positive Negative กับสิ่งที่เป็นคู่ๆๆๆ เหล่านี้ หรือว่าที่จะพูดอย่างเราพูดก็ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่มีการไหลของบุญและบาป คนโง่ที่สุดจงรู้จักสิ่งที่ไม่ไหล คือไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป เหนือบุญ เหนือบาป ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นคนโง่อย่างยิ่งตลอดกาล โง่อย่างยิ่ง โง่อย่างที่สุด โง่อย่างสุดเหวี่ยง และโง่อยู่อย่างตลอดกาล มันไม่รู้จักสิ่งที่ไม่ไหล ไม่ไหลเหมือนตลิ่งที่ไม่ไหล
ก็คิดดูเถิดว่าจะสร้างองค์การสันติภาพ องค์การสันติภาพ ขึ้นในโลกอีกสักกี่ ๑๐๐ กี่ ๑,๐๐๐ กี่ ๑๐,๐๐๐ กี่ ๑๐๐,๐๐๐ กี่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ องค์การที่จะทำให้ตลิ่งมันหยุดไหล จะสร้างองค์การสันติภาพขึ้นกี่ล้านองค์การที่จะทำให้ตลิ่งมันหยุดไหล มันเป็นไปไม่ได้ มันยังไหลอยู่นั่นแหละ จะสร้างองค์การสันติภาพขึ้น องค์การสหประชาชาติ หรือองค์การอะไรก็ตามใจที่จะช่วยกันให้เกิดสันติภาพนั้น จะสร้างองค์การสันติภาพขึ้นมาอีกกี่ล้านองค์การถึงจะทำให้ตลิ่งมันหยุดไหล หรือถ้ามันหยุดสังขารเสียไม่ได้ๆ สังขารมันยังเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรอยู่อย่างนี้ มันก็ยังต้องไหลๆๆๆๆๆ ทุกๆอย่าง ไหลๆ อยู่ด้วยความเป็นของตรงกันข้าม เป็นคู่ๆ เป็นคู่ๆ ตามที่มันจะจับคู่กันอย่างไร จะสร้างองค์การสันติภาพขึ้นสักกี่ล้านองค์การจึงจะมีสันติภาพ ในโลกนี้ในจักรวาลนี้ ในโลกนี้ใน Cosmos โลกนี้ มันจะสร้างองค์การสันติภาพขึ้นมาอีกสักกี่ล้านองค์การ โลกมันจึงจะหยุดอาการของความเป็นตลิ่งไหล ตลิ่งไหล นี้ไปดูสิ ไปดูที่เปลือกของตลิ่งที่มันก็ไหลๆๆๆๆ แล้วก็เป็นอาการของ Supply บ้าง Demand บ้าง Positive บ้าง Negative บ้าง ของสสาร ของพลังงาน ของ Energy ของ Material บ้าง มันไหลๆๆๆ อยู่ที่นั่น จะสร้างองค์การสันติภาพ องค์การรักษาสันติภาพขึ้นมาสักกี่ ๑๐ กี่ ๑๐๐ กี่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ดีกว่า องค์การ มันจึงจะมีอาการที่เรียกว่าตลิ่งมันหยุดไหล เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไหลไปตามความปรุงแต่งแห่งปัจจัยของปฏิจจสมุปบาทและของอิทัปปัจจยตา มันเป็นของธรรมชาติสูงสุด ไม่มีอะไรเหนือกว่านั้น มันจึงหยุดมันไม่ได้ มันจึงมีการไหลอยู่อย่างนี้ ขอให้ค้นให้พบข้อนี้ ให้ทั้งคนฝรั่ง ทั้งคนไทย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายค้นพบความจริงข้อนี้ คือมีวิปัสสนาญาณ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีวิปัสสนา มองให้เห็นแจ้งประจักษ์ความจริงของสิ่งเหล่านี้จนทำให้สังขารมันหยุดปรุงแต่ง คือมันไม่เป็นคนโง่ ไม่เป็นคนมัวเมาในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสังขารทั้งปวง มันสามารถที่จะส่องวิปัสสนาญาณเข้าไปที่จะทำให้เกิดการหยุดไม่ปรุงแต่งของสังขารทั้งปวง ถ้าทำกันจริงๆ มันก็จะต้องทำได้ แล้วมันจะมีสันติภาพกันทั้งสากลจักรวาล
นี่เรามาขอสรุปความนิดเดียวว่า ไอ้คนโง่มันหยุดโง่ไม่ได้ เพราะมันมีการปรุงแต่ง เพราะมันหลงใหลในการปรุงแต่ง เป็นดี เป็นชั่ว เป็นบุญ เป็นบาป เป็นสุข เป็นทุกข์ และมันก็จะมีแต่อาการปรุงแต่ง ตลิ่งมันก็ไหลเรื่อยไป ถ้ามันประจักษ์แจ้งในวิปัสสนาญาณเหล่านี้ มันพอที่จะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา ตถาตา สุญญตา อตัมมยตา ๙ ตา ๙ ตาซึ่งเป็นญาณอันสูงสุดที่อาตมาก็เคยพูดเคยกล่าวมาแล้ว ไปฟังไปหาอ่านเอาเอง ก็จะพบได้เองว่าถ้ามันมีญาณเหล่านี้แล้ว มันจะทำให้หยุด หยุดการไหล สสารพลังงานอะไรก็ไม่ไหล สังขารทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่ไหล แล้วบุญบาปมันก็ไม่ไหล บุญและบาปก็ไม่ไหล กุศลอกุศลก็ไม่ไหล ไม่ต้องถึงมหากุศลหรอก กุศลธรรมดานี่ถ้ามันมีมากพอแล้ว มันก็ไม่ไหลเหมือนกัน มันก็ไม่ไหลเพราะมันมีกุศล เพราะมันมีวิปัสสนาญาณสูงสุด
นี่จึงขอสรุปความว่าถ้าจะให้หยุดกระแสไหลแห่งความทุกข์ หยุดกระแสไหลแห่งความทุกข์ หยุดความไหลแห่งกระแสของความทุกข์ ก็จงมีวิปัสสนาญาณ มองเห็นสังขารทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง มีญาณเหล่านี้ มีญาณเหล่านี้จนไม่ไปหลงในสังขารการปรุงแต่ง แล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไหล มันอยู่ในอำนาจของการควบคุมหมด มันไม่ต้องไหล เราทุกคนก็ไม่ต้องไหล ตลิ่งทั้งหมดมันก็ไม่ต้องไหล มันอยู่ในความสงบเงียบ ราบเรียบสงบเงียบ ราบเรียบ เพราะว่ามันไม่ไหล มันอยู่นิดเดียวว่าถ้ามันไหลก็เพราะมันความโง่ ถ้ามันหยุดไหลก็เพราะมันหยุดโง่ ฉะนั้นขออย่าโกรธอาตมานักเลย อาตมาได้กล่าวว่า ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ มากี่ ๑๐ ครั้ง กี่ ๑๐๐ ครั้ง จะพันครั้งได้แล้วกระมัง ไอ้ชาติโง่ ขออย่าได้โกรธเลย ก็เพราะว่าถ้ามันยังโง่อยู่ มันยังต้องไหลๆๆๆ ฉะนั้นขอให้มันหยุดโง่ แล้วมันไม่ต้องไหล มันก็ถึงจุดสูงสุดของความรู้ ของสติปัญญา ของพระพุทธเจ้า จะมาอยู่ในขอบเขตอาณาของพระพุทธเจ้า อาณาๆ นี้คืออาณาจักรนะ พุทธอาณา อาณาของพระพุทธเจ้า ธรรมอาณา อาณาของพระธรรม สังฆอาณา อาณาของพระสงฆ์ ท่านจงมาอยู่ในพุทธอาณา ธรรมอาณา สังฆอาณา จนสามารถมีวิปัสสนาญาณ สามารถกระทำให้สิ่งต่างๆ มันหยุดไหลๆ เพราะไม่เห็นเป็นการไหล เพราะมันมีความฉลาดสูงสุดจริงๆ มาอยู่ในพุทธอาณากันเสียเถิดจะได้ป้องกันอาการตลิ่งไหล ไม่มีอะไรไหล มาอยู่ในธรรมอาณากันเสียเถิด มันจะได้หยุดไหล ไม่มีอะไรไหล สังฆอาณาก็หยุดไหล ไม่มีอะไรไหล ถ้าเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง ซึ่งจะมีได้เพราะการเห็นธรรมทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงจนตลิ่งมันหยุดไหล ตลิ่งมันหยุดไหล เมื่อตลิ่งมันหยุดไหลแล้ว สังขารทั้งปวงมันก็หยุดไหล สังขารทั้งปวงมันก็หยุดไหล ขอให้ฟังให้ถูก ฟังให้ดี อย่าให้เป็นคนโง่ไปเสียอีก ว่าตลิ่งหยุดไหลได้เมื่อสังขารมันหยุดไหล ขอเน้นด้วยเครื่องขยายเสียง ๒๐ เท่าว่า ตลิ่งมันหยุดไหลเมื่อสังขารมันหยุดไหล เมื่อสังขารมันหยุดไหล ตลิ่งมันหยุดไหลเมื่อสังขารมันหยุดไหล เมื่อสังขารมันหยุดไหล ตลิ่งมันก็หยุดไหล
แล้วในวันนี้ก็รู้สึกว่ามันสมควรแก่ความเหน็ดเหนื่อยเรี่ยวแรงที่จะมี พูดอีกต่อไปก็จะเป็นลม จึงขอยุติด้วยสรุปความว่า อย่าไปเอากับมันเลย กับดีกับชั่ว กับสุขกับทุกข์ กับบวกกับลบ กับสสารกับพลังงาน กับบวกกับลบ กับ Positive Negative อย่าไปเอากับมันเลย มันจะไหลเรื่อย มันจะไหลเรื่อย มันจะไหลเรื่อย ขอให้บอกพวกฝรั่งให้รู้เสียด้วยว่าจะต้องหยุดสิ่งเหล่านี้เสียให้ได้ ตลิ่งมันจึงจะไม่ไหล ตลิ่งมันจึงจะไม่ไหล ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่มีสันติภาพ มันจะเอาสันติภาพกับผีที่ไหน สันติภาพกับผีที่ไหน มันยังทำให้ตลิ่งไหลอยู่เรื่อย ตลิ่งไหลอยู่เรื่อย ตลิ่งไหลอยู่เรื่อยนั้น มันจะเอาสันติภาพกับผีที่ไหน สสารพลังงาน Positive Negative มันยังไหลอยู่เรื่อย ความดีความชั่วยังไหลอยู่เรื่อย บุญบาปยังไหลอยู่เรื่อย ไม่ใช่แต่พวกฝรั่งพวกเดียว พวกไทย พวกอะไรๆ ก็เหมือนกันทุกมนุษย์ ทุกมนุษย์ที่มันมีสติปัญญา มันจะต้องหยุดไหลของบุญของบาป ของดีของชั่ว ของสังขารทั้งหลายทั้งปวง คือปรุงแต่ง ขอบอกให้ทราบว่าบรรดาสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายที่เป็นคู่ๆๆๆ มันเข้าไปรวมอยู่ในคำว่าสังขารทั้งนั้น สังขารเป็นที่รวมหมดของสิ่งที่ปรุงแต่งที่แจกกันเป็นคู่ๆ เป็นดีเป็นชั่ว เป็นบวกเป็นลบ เป็นอย่างที่ทางวิทยาศาสตร์เขาเรียกชื่อตามแบบวิทยาศาสตร์ ทางศาสนาก็เรียกชื่อตามแบบของศาสนา
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงมองเห็นด้วยวิปัสสนา อย่ามองเห็นด้วยความโง่ มองด้วยความโง่มันไม่เห็น ต้องมองเห็นด้วยวิปัสสนา เป็นวิปัสสนาจริง เป็นวิปัสสนาที่ทำได้ เป็นวิปัสสนาที่ทำแล้วมีวิปัสสนาจริงๆ คือว่ามีอุตริมนุษยธรรม ธรรมอันประเสริฐสูงสุดของมนุษย์จริงๆ ก็ประสบความสำเร็จกับการเห็น การได้พบ การได้ข้ามล่วงความทุกข์ทั้งปวงเสียได้ด้วยอำนาจของการเห็น วิปัสสนา เห็นความไม่เที่ยงหรือการปรุงแต่งของสังขาร และหยุดอำนาจการปรุงแต่งของการผลักไสไม่เที่ยงนั้นเสียได้ ก็จะประสบความสำเร็จ ขอพูดอีกสักหน่อยว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้ายังไม่เช่นนั้นแล้วยังเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ไอ้นี้มันร้ายกาจยิ่งกว่าไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่มันยังไม่ร้ายกาจเท่านี้ ถ้ามันได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา มันหยุดความโง่โดยประการทั้งปวงเสีย ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการที่จะมองเห็นพระพุทธเจ้า มองเห็นพระธรรม มองเห็นพระสงฆ์ ว่าเป็นที่หยุดเสียได้ซึ่งการปรุงแต่งหรือสังขารทั้งปวง ไม่มีสังขารก็หมดปัญหา และมันก็เป็นที่ดับ ที่สิ้นสุด ที่เลิกกัน แห่งความทุกข์ แห่งความทุกข์ทั้งปวง นี้เรียกคำเดียวสั้นๆ สั้นๆ คำเดียว คำเดียวสั้นๆว่า สัมมัตตา สัมมัตตะตา สัมมัตตาก็ได้ หรือจะเรียกว่า สัมมา ก็ได้ สัมมา เฉยๆ ก็ยังได้ แล้วถูกต้อง ถูกต้อง สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุติ ถ้าไม่มีสัมมาเหล่านี้ก็ต้องขอเรียกต่อไปว่าไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติโง่ ๑๐๐ คำ ๑,๐๐๐ คำ ๑๐,๐๐๐ คำ ๑๐๐,๐๐๐ คำ ๑,๐๐๐,๐๐๐ คำ ว่าไอ้ชาติโง่ มันเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา ไม่สามารถครอบงำอำนาจของการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง ซึ่งตลิ่งมันไหลอยู่เรื่อย ถ้าไม่มองเห็นความจริงข้อนี้แล้ว ตลิ่งมันก็จะไหลรดหน้าน้ำหน้าของคุณอยู่เรื่อยไป ไอ้ตลิ่ง ก้อนหิน ก้อนดิน ก้อนกรวด ก้อนทราย มันจะไหลรดหน้ารดน้ำหน้าของคุณอยู่ตลอดกาลต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด
การบรรยายนี้รู้สึกว่ามันพอกับหมอห้ามแล้ว มันเพียงพอกับหมอห้ามแล้ว พูดต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จึงขอยุติ เป็นอันว่าขอยุติการบรรยายในครั้งนี้ แม้แต่ท่อนเดียว ครึ่งเดียว ไว้แต่เพียงนี้ ท่านทั้งหลายจงไปแยกแยะ ไปกระทำให้มองเห็นความจริงให้สำเร็จประโยชน์ของท่านทุกๆ คนตามที่ถูกที่ควรเทอญ อาตมาขอยุติการบรรยาย ซึ่งมันฟังดูมันออกจะหยาบคาย แต่ถ้าว่าไม่หยาบคาย มันไม่อะไรมันไม่สา ไม่รู้สึก ไม่มีความรู้สึก มันไม่สาแก่ใจ จึงต้องใช้คำหยาบคายเสมือนหนึ่งว่าถลกหนังหัวออกมาเสียเท่าเงินบาท ไอ้คนโง่มันนอนไม่รู้สึก มันไม่รู้สึกตัว มันเป็นคนโง่ มันต้องถลกหนังหัวของมันออกมาเสียเท่าเงินบาท มันจึงจะรู้สึกตัว จึงขออภัยที่พูดอย่างในทำนองที่เรียกว่าถลกหนังหัวออกมาเสียเท่าเงินบาท แล้วจะได้รู้สึกตัว เอาละก็ขอยุติการบรรยาย ขอยุติการบรรยายกันจริงๆ