แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงไก่ขัน 0-0.16) หลวงพ่อปัญญาจำพรรษาตรงกุฏิไหน มีใครรู้บ้าง หึหึ (เสียงไก่ขัน) ให้ไปดูเอาเองสิ เหอะกุฏินั้น เดี๋ยวก่อน จะรื้อไปแล้วหรือยังไง หรือยังไม่ได้รื้อ ผมก็ลืมหมดแล้ว ท่อง [01:00 – 01:05]
01:15 ผมขอแสดงความยินดี ในการที่มาอยู่พร้อมหน้ากันอย่างนี้ และก็จะถือโอกาส ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามที่จะทำได้ เท่าที่จะทำได้ ขอให้ถือเอาประโยชน์นั้นให้ได้ให้ตามสมควร
สิ่งแรกที่สุดมันก็คือการพูดจา ในการพูดจามันก็ต้องมีประโยชน์ มุ่งหมายจะให้เป็นประโยชน์ แล้วก็ต้องให้ได้สำเร็จประโยชน์ ของการพูดจา การพูดจานั้นมันเป็นลักษณะของการติดต่อหรือการทำให้เนื่องกัน ถ้าไม่มีการพูดจามันก็ไม่ได้เนื่องอะไรกัน ถ้ามีการพูดจามันก็เกิดการเนื่องกันขึ้นมา การเนื่องกันขึ้นมานั้น มันจะ มันควรจะนะ เป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์มันก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร มันก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้ามันมีประโยชน์มันก็เรียกว่ามีความหมาย หรือมันมีคุณค่า มีคุณค่า ขอให้ได้รับประโยชน์หรือได้รับคุณค่าในการที่ได้มาพบปะกัน แม้ชั่วเวลาอันสั้นหรือเล็กน้อยนี้
03:16 การพูดจามันก็มีลักษณะเป็นการถ่ายทอด อยู่ในตัว คือถ่ายทอดสิ่งที่ยังไม่รู้ให้รู้ ถ้ายังไม่รู้ก็ถ่ายทอดให้รู้ ครั้นรู้แล้วมันก็ต้องมีประโยชน์ มีผลเป็นประโยชน์ ถ้ามีผลไม่เป็นประโยชน์ก็เรียกว่ามันไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าทำให้ดี ฟังให้ดีให้แยบคายหน่อยมันก็จะมีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่เสียงไก่ขันมันก็ยังมีประโยชน์ ฟังดูให้ดีแม้แต่ไก่ขันหรือไก่ร้องอยู่เจี๊ยบเจี๊ยบมันก็ยังมีประโยชน์ ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์ เดี๋ยวนี้คนมันไม่รู้ ไม่รู้จักใช้ประโยชน์ มันเอาแต่เรื่องตามใจตัวเอง ตามใจตัวเอง ตามใจตัวเอง ขอให้ได้ตามใจตัวเองมันก็พอเสียแล้ว มันก็ต้องไม่ได้รับประโยชน์อะไรนอกจากการตามใจตัวเอง การหลงตัวเอง บางทีมันก็เป็นการเสียหายไปด้วยเสร็จ ความมีประโยชน์มันอยู่ที่ว่ามีการติดต่อ และการติดต่อนั้นก็เป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่ถูกต้องมันก็มีประโยชน์ชนิดอื่น คือประโยชน์ที่ไม่ใช่ประโยชน์ ประโยชน์ที่ไม่ใช่ความ ถูกต้อง ถ้ามันมีความถูกต้องมันก็มีประโยชน์ไปตามแบบของความถูกต้อง เราพูดได้เลยว่าความถูกต้องเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะว่า ไอ้ความถูกต้องนั้นหนา มันอธิบายได้ด้วยคำเพียงคำเดียว ว่า มีความถูกต้องแล้วมันก็ขจัดปัญหา ถ้ายังไม่ขจัดปัญหา หรือขจัดปัญหาอะไรไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ความถูกต้อง ถ้ามันมีความถูกต้องมันก็มีการขจัดปัญหา และก็ได้รับประโยชน์จากการขจัดปัญหา หมดปัญหามันก็สบายดีนี่ นี่เรียกว่ามันมีความถูกต้อง มันมีความสุขสงบเย็นและมีความเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ ถ้ามันเป็นประโยชน์หมายความว่ามันกำจัดปัญหาได้อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอนแล้ว จึงขอให้เราถือเอาสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ ประโยชน์นั้น ให้ถูกต้องว่ามันขจัดปัญหา แต่ขอยกเว้นอีกหน่อยหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นทางเรื่องของภาษา สำหรับคำว่าประโยชน์ ประโยชน์นี่มันแปลว่าการเกี่ยวข้องกันหรือผูกพันกัน ให้ติดตังนุงนังรุงรัง ประ มันแปลว่าทั่ว โยชะนะ มันแปลว่า ประกอบหรือผูกพัน คำว่าประโยชน์ มันก็แปลว่าประกอบหรือผูกพันกันให้มันยุ่งไป เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์มันก็จะต้องยุ่งไปด้วยการผูกพันเสมอ ถ้าให้มันมีความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้องซะอย่างเดียวแล้วมันก็เป็นการผูกพันที่มีประโยชน์ และทำให้เกิด
ประโยชน์ และก็จะขจัดปัญหาไปด้วยในตัว ถ้ามีประโยชน์มันจึงขจัดปัญหา ฉะนั้นผมจึงขอพูดสรุปสั้นๆ ว่าสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์นั่นคือสิ่งที่ขจัดปัญหาได้
07:08 นี่มันมีปัญหา มันมีปัญหาเสียเรื่อย ปัญหาคือตัณหานะสิ ตัณหานั้นเป็นเหตุให้เกิดปัญหา ให้เกิดการผูกพันเนื่องกันไปเป็นตัณหา ตัณหาเป็นความอยาก ประโยชน์อย่างนี้ ฆ่ามันเสียให้ตายดีกว่า คำว่าประโยชน์ ประโยชน์นั้นมันแปลว่าการผูกพันที่ทำให้เกิดปัญหา แต่ถ้าประโยชน์ที่แท้จริงในความหมายที่เป็นธรรมะ เป็นศีลธรรมนี้ก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นประโยชน์แก่ ใครๆ เป็นประโยชน์แก่ทุกคน เป็นประโยชน์แก่ทุกคน มันก็ไม่มีโทษอะไร ดังนั้นขอให้รู้จักคำว่าประโยชน์นี้กันไว้ดีดี สิ่งที่เรียกว่าประโยชน์นั้นให้โทษมหาศาลก็ได้ ให้คุณค่ามหาศาลก็ได้ มันเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง มันก็ให้ความเลวร้ายที่สุด อุปัทวะ แปลว่า อุบาทว์ อาทีนวะ แปลว่า ทุกข์ ว่าโทษ อุปัทวะ อาทีนวะ ที่เกิดมาจากประโยชน์ จะเห็นได้ว่าความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันเกิดอาทีนวะ คือความอุบาทว์ อาทีนวะคือความเป็นโทษ เกิดสิ่งเลวร้ายขึ้นมา เพราะความไม่ถูกต้องในการกระทำประโยชน์ คือการทำให้เกิดการเกี่ยวข้องหรือว่าเกี่ยวเนื่องกันขึ้นมา
08:44 ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายให้จงรู้จักทำให้มีประโยชน์ในความหมายที่ถูกต้อง คือสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ เพราะว่ามันมีความถูกต้อง สิ่งใดไม่ถูกต้อง สิ่งนั้นจะมีแต่โทษ สิ่งใดมีความถูกต้องมันก็จะมีแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ในความหมายที่ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างมีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างให้นุงนังตุงตังตุงตัง นี่จะต้องระมัดระวังไอ้ถ้อยคำกันให้ดีดี ไอ้ถ้อยคำ ถ้อยคำนั้นบางทีมันก็ให้ความหมายอย่างหนึ่ง แต่ความหมายอีกอย่างหนึ่งตรงกันข้ามก็มีเช่นคำว่าประโยชน์ ประโยชน์ในความหมายธรรมดานี่ตามตัวบาลีนี่แปลว่าผูกพัน ผูกพัน ผูกพัน มันก็ยุ่งตายสิผูกพัน ผูกพัน แต่ถ้าว่าประโยชน์มันก็ผูกพันกันอย่างดี ผูกพันกันอย่างไม่มีโทษ และมันก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าหรือความหมาย เพราะว่าประโยชน์นั้นมันถูกต้อง ประโยชน์นั้นมันถูกต้อง จึงอยู่ที่ความถูกต้องเป็นหลัก
จึงขอให้ถือเอาคำพูดอีกคำหนึ่งเป็นหลักว่า ธรรมะ ธรรมะ เพราะว่ามันคำเดียวกันกับความถูกต้อง มันความหมายอย่างเดียวกันแม้ไม่ใช่พยัญชนะเดียวกันแต่ความหมายมันอย่างเดียวกัน ความถูกต้องความถูกต้อง เมื่อมีความถูกต้องมันก็มีความเป็นประโยชน์ สิ่งมีค่าสูงสุดก็คือความถูกต้อง ความถูกต้อง ให้พระเป็นเจ้า ผีสางเทวดามารวมกันตั้งล้านๆ ทั้งหมดทั้งสิ้นของพระเป็นเจ้า ถ้าไม่ถูกต้องมันก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้ามันถูกต้องมันก็มีประโยชน์ ถ้าของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องของพระเป็นเจ้านะ ฟังให้ดีดีนะ ผมพูดว่า อันแรกพูดว่าของพระเป็นเจ้านะ คือว่ายังไม่ใช่ความถูกต้อง แต่ถ้าของพระพุทธเจ้านะถึงจะเป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ท่านเรียกเป็นบาลีว่า สัมมัตตะ ฟังให้ดีดีว่า สัมมัตตะ เรียนนักธรรมมาตั้งหัวล้านแล้วมันก็ยังไม่รู้คำว่าความถูกต้อง ยังไม่รู้จักคำว่า สัมมัตตะ คือคำว่า ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง รวมเป็นกี่ล้านๆ คำ รวมกันแล้วเป็นคำว่าความถูกต้องเรียกเป็นคำสั้นๆ คำเดียวว่า สัมมัตตะ ประกอบอยู่ในคำว่า สัมมา สัมมา สัมมา สัมมา สัมมา กี่คำก็ไม่รู้ ไม่รู้จุดจบเลย คำว่าสัมมา สัมมา นี่ไม่ต้องมีจุดจบแล้ว ถ้ามันถูกต้อง ถูกต้อง แล้วมันก็ไม่ให้โทษอะไร
11:54 นี่โดยย่อ เรียกว่าความถูกต้องเป็น ๔ อย่าง โดยพิสดารเต็มที่หน่อยก็ ๑๐ อย่างนะ ความถูกต้องทางกาย ความถูกต้องทางจิต ความถูกต้องทางตัวตน ความถูกต้องทางความว่าง เรียกเป็นความ หมายที่รัดกุมที่สุด ถูกต้องที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ประเสริฐที่สุด ถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางตัวตน ถูกต้องทางความว่าง ทางร่างกายถูกต้อง ถูกต้องไปหมด ลมหายใจเข้าออกก็ถูกต้อง ร่างกายเนื้อหนังนี่ก็ถูกต้อง และตดมันก็ไม่เหม็นนะ มันให้ใช้คำหยาบว่าตดมันก็ไม่เหม็น ถ้ามันถูกต้องมันจะเหม็นได้อย่างไร ถ้าร่างกายมันถูกต้อง ลมมันก็ถูกต้อง กายก็ถูกต้อง ตดมันก็ไม่เหม็น มันก็คือไม่มีโรคอะไร ไม่มีโรคอะไร มันก็ไม่ตายก็เท่านั้นเอง มันหายไปหมด มันหายโรคไปหมด มันก็ไม่ตาย ความถูกต้องก็หมาย ถึงไม่ตาย ความถูกต้องทางกายก็ไม่ตายทางกาย ถูกต้องทางจิตก็ไม่เกิดปัญหาในทางจิตคือมีจิตคิดนึกถูกต้อง ทางกายกระทำถูกต้อง ทางจิตคิดนึกถูกต้อง ทางตัวตนประกอบตัวตน ดำรงตัวตน มีหลักเกณฑ์แห่งตัวตน อยู่ด้วยความถูกต้อง มีตัวตนที่ถูกต้อง จะมีปัญหาอะไร มันก็สบายดี
13:24 ถูกต้องทางความว่าง ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตน คนโง่ไม่รู้จัก ไอ้ชาติโง่มันไม่รู้จักคำว่าความว่างนะ เพราะมันไม่ประกอบในปัญหา ไม่มีปัญหา ความว่างจากตัวตน ความว่างจากตัว ตนนั้นมันไม่มีปัญหา ร่างกายก็ไม่มีปัญหา จิตใจก็ไม่มีปัญหา ตัวตนก็ไม่มีปัญหา ความว่างก็ไม่มีปัญหา มันไม่มีปัญหาที่จะทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก ไม่เกิดอาทีนวะ ความเป็นโทษ อุปัทวะ คือความอุบาทว์ ไม่เกิดความทุกข์ คือความที่ไม่ต้อง ไม่พอใจ นี่เรียกว่ามันถูกต้องทางความว่าง ถ้ามันว่างเสียแล้วมันไม่มีตัวตนแล้วมันจะเป็นอะไรไปล่ะคุณ คุณลองคิดดู มันก็ว่างจากตัวตน และเป็นความว่างนิรันดรของธรรมชาติ ว่างอย่างนิรันดรของธรรมชาติ มันก็ว่างกันจริงๆ นี่ มันได้เปรียบอย่างนี้
14:21 ถ้ามันเป็นเรื่องของความว่างล่ะ ก็หมดปัญหา โดยประการทั้งปวง ขอให้ถูกต้องโดยความว่าง อันสุดท้ายคือความว่างของตัวตน ซึ่งเป็นของธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงจำแนกไอ้ความถูกต้องอย่างน้อยว่า ๔ ความหมายว่าถูกต้องทางร่างกาย ร่างกายถูกต้อง ถูกต้องทางจิตใจ จิตใจมันถูกต้อง ความคิดมันถูกต้อง และถูกต้องทางตัวตน ความมีตัวตนประกอบร่างกาย ประกอบจิตใจ ประกอบเป็นการกระทำ ผลของการกระทำอะไรขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้มันก็ถูกต้อง เรียกว่าถูกต้องทางความมีตัวตน พอถูกต้อง พอมีตัวตนแล้วมันไม่เกิดความเห็นแก่ตัว ไม่เกิดความคิดนึกว่ามีตัวตน มันว่างจากตัวตน ตอนนี้มันได้รับประโยชน์สูงสุดเป็นพระนิพพาน ซึ่งคนโง่เท่าไรไม่รู้จัก มันยิ่งโง่เท่ามันยิ่งไม่รู้จักพระนิพพาน พระนิพพานว่างจากตัวตน มันอวดดีกันนัก มันอะไรๆ มันก็เรียกว่ารู้จักพระนิพพาน มันดูถูกพระนิพพานว่าเป็นของเข้าใจง่าย พระพุทธเจ้าตรัสว่านิพพาน เป็นอายตนะอันหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่อะไรทั้งหมด ไม่ใช่อะไรทั้งหมด เพราะมันว่างจากความเป็นอะไรทั้งหมด นี่เรียกว่าความว่าง มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา เข้าใจคำว่าความว่างให้ถูกต้องเท่านั้นแหละ มันหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง มันจะเข้าใจนิพพาน นิพพาน อนารัมมณัง นี่ยิ่งเข้าใจยาก พูดไปก็เข้าใจไม่ได้ เดี๋ยวมันพูดคำหยาบออกมาอีกแหละ
(16:09-16:13)นิพพานเป็นอนารัมมณัง ไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์ ไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์ เรามีอารมณ์กันแต่เพียง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมย์ มีเครื่องมือให้รู้ ให้มีว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอมันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็มีอารมณ์ มีอารมณ์ มันก็มีอารมณ์ มันก็เป็นไปตามอารมณ์ มันก็เกิดปัญหาขึ้นมา ถ้ามันว่างจากอารมณ์ คนโง่ฟังไม่ถูก ยิ่งโง่แล้วยิ่งฟังไม่ถูก ว่างจากอารมณ์ ไม่เคยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมย์ นี่มันว่างจากอารมณ์ อนารัมมณัง พระบาลีท่านว่า อะปะติฐัง ไม่มีตั้งที่อาศัย อนาวัตตัง ก็ไม่เป็นไปไม่มีเป็นไป อนารัมมณัง ไม่ใช่อารมณ์ คำว่าอารมณ์นั่นนะ ถ้าถึงเข้าแล้วมันไม่เป็นอารมณ์ แม้แต่พระนิพพานก็ไม่เป็นอารมณ์ แต่เราจะเรียกว่าเป็นอารมณ์ตามความต้องการของเรา มีอารมณ์คือพระนิพพาน พระนิพพานเป็นอารมณ์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันไม่ใช่อารมณ์ มันอยู่เหนือความเป็นอารมณ์ นี่ไปศึกษากันให้ละเอียดให้ลึกซึ้งตอนที่ว่าพระนิพพานมิใช่อารมณ์ อายตนะนั้นมีอยู่ หรืออายตนะนั้นมีอยู่ คำว่าอายตนะนี่แปลยากที่สุด แปลยากที่สุดในบรรดาสิ่งที่ผม ศัพท์ที่ผมรู้จักมาแปลยากที่สุด อายตนะนั้นมีอยู่มีความหมายเท่ากับว่า สิ่งนั้นมีอยู่ สิ่งนั้นมีอยู่ แต่มิใช่อารมณ์ มิใช่อารมณ์ สิ่งนั้นมีอยู่แต่ก็คือไม่ใช่ธาตุดิน ไม่ใช่ธาตุน้ำ ไม่ใช่ธาตุไฟ ไม่ใช่ธาตุลม สี่ธาตุนี้ก็ไม่ใช่ แล้วก็ภพทั้งหลายก็ไม่ใช่ คือว่าจะเป็น อากาสานัญจายตนะ อากาศอันไม่มีที่สิ้นสุดก็ไม่ใช่ ไม่เป็น วิญญาณัญจายตนะ เป็นวิญญาณอันที่ไม่ที่สิ้นสุดก็ไม่ใช่ อากิญจัญญายตนะ เป็นความไม่มีอะไรอันไม่มีที่สิ้นสุดก็ไม่ใช่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันเป็นความรู้สึกก็ไม่ใช่ เป็นความไม่รู้สึกก็ไม่ใช่ สี่อย่างนี้นักธรรมโทมันมีอยู่แล้วหละ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี่มันก็ไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่านิพพาน ทีนี้ก็มาพิจารณากันดูต่อไป นา ยะโลโก โลกนี้ก็ไม่ใช่ น ปรโลโก โลกอื่นก็ไม่ใช่ น อุโภ จันทิมสุริยา อสุริยา ระหว่างโลกทั้งสอง คือไม่ใช่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ อยู่ระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่ใช่ แล้วมันจะเป็นอะไรหละ ค่อยๆ ลองคิดดูสิว่าโลกนี้ก็ไม่ใช่ โลกอื่นก็ไม่ใช่ ระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่ใช่ มันก็ไม่มีอะไร มันก็ไม่เคยมีอะไร มันมีแต่ความว่าง นี่รู้จักพระนิพพานมันต้องรู้จักมาอย่างนี้ ว่ามันไม่ใช่ธาตุทั้งสี่ ไม่ใช่ภพทั้งสี่ ไม่ใช่โลกทั้งสาม และท่านก็อธิบายไปตามวิธีของท่านว่า น อาคะติง ไม่ใช่การมา น คะติง ไม่ใช่การไป น ฐิติง ไม่ใช่การตั้งอยู่ น อุปปะปัฏติง ไม่ใช่การเกิดขึ้น เห็นไหมมันยิ่งโง่ ยิ่งโง่ ยิ่งโง่ยิ่งไม่รู้จักธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักความหมายของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่การมา [19:55 – 20:24] ความต้องการที่สุดมันไม่ใช่อารมณ์ มันไม่เป็นอารมณ์ สามคำนี้สูงสุด สูงสุด ถึงฝรั่งทั้งโลกมันก็ไม่รู้ มันไม่เคยเรียนรู้เรื่องของพระพุทธเจ้า มันก็ไม่รู้คำวิเศษสามคำนี้ว่า อัปปัตตัง อัปปวัตตัง อนารัมณัง เราเป็นพุทธบริษัททั้งทีก็ควรจะรู้ ไม่มีที่ตั้งที่อาศัย ไม่มีการเป็นไป และก็ไม่ใช่อารมณ์ ธรรมะนี้ลึกสูงสุด ผมเป็นคนโง่ไปแล้ว ที่เอาเรื่องที่ลึกมาพูดให้คนโง่ฟังอีก มันก็ฟังกันไม่ถูก คงจะฟังกันไม่ถูกมากๆ หลายๆ คนที่พูดเรื่องนี้ พูดกันเรื่องพระนิพพานฟังกันไม่ถูกเพราะเหตุนี้ ปฏิทัง อัปปวัตตัง อนารัมณัง ไม่ใช่ตั้งอยู่ ไม่ใช่เป็นไป ไม่ใช่อารมณ์สูงสุด สูงสุดของคำที่จะบรรยายได้ในเรื่องของคำว่าพระนิพพาน นิพพานนั้นเป็นอายตนะอันหนึ่ง อายตนะอะไร เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูปเสียง กลิ่น รส บ้าเลย บ้าเลย มันไม่ใช่อายตนะนั้น มันไม่ใช่อารมณ์นั้น มันไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันอายตนะของคำว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่ระหว่างแห่งโลกทั้งสอง ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การตั้งอยู่ ไม่ใช่การเป็นไป อนารัมมณัง ไม่ใช่อารมณ์ คือไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์ ไม่เป็นอารมณ์ แล้วจะมีอะไรเป็นอารมณ์ก็ได้ แต่ว่าสิ่งนั้นน่ะไม่ถือว่าเป็นอารมณ์สำหรับพระพุทธเจ้า น่าจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ก็ตามสมมุติไปอย่างนั้นแหละ แต่ว่านิพพานไม่ใช่อารมณ์เพราะไม่ใช่สิ่งที่เกิดเป็นธาตุทั้งสี่ เป็นภพทั้งสี่ เป็นอะไรทั้งหมด เรียกว่ามันไม่มีมิติดีกว่าน่ะ พูดกันภาษาวิทยาศาสตร์บ้าๆ บอตามแบบของผมหน่อย ผมก็พูดว่า มันไม่มีมิติ มันไม่ใช่การตั้งอยู่ มันไม่ใช่การเป็นไป มันไม่ใช่อารมณ์ นั่นแหละถูกต้องที่สุด แต่มันเป็นวิทยาศาสตร์มากไปสักหน่อย เดี๋ยวก็จะฟังไม่รู้กันอีก นี่คือพระนิพพาน พระนิพพาน คุณไปฟังให้ดีๆ มันก็พอจะรู้เรื่องบ้าง ฟังไม่ดีมันก็ไม่รู้ ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การตั้งอยู่ มันก็ไม่ใช่การเกิดขึ้น ไม่ใช่การดับลง มันมีแต่คำว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นมิติของการ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ นั่นแหละเป็นพระนิพพาน ดังนั้นมันจึงหาความทุกข์ไม่ได้ ไม่มีอุปัทวะใดๆ ที่จะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ในเรื่องของพระนิพพาน มันก็จะดีมากถ้าจะรู้เรื่องอย่างนี้ไว้บ้างเป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสูงของท่าน อภิปรัชญาชั้นสูง ไม่ใช่ตั้งอยู่ ไม่ใช่เป็นไป ไม่ใช่อารมณ์ นี่เป็นเรื่องของพระนิพพานโดยสมบูรณ์ เราจงรู้จักความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง ถ้ามันมีความถูกต้อง มันไม่ใช่อารมณ์ มันไม่ใช่การตั้งอยู่ มันไม่ใช่การเป็นไป พูดอย่างเด็กๆ พูด มิติอย่างเด็กๆ ก็ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การตั้งอยู่ ไม่ใช่การบังเกิด ไม่ใช่การดับสูญ ไม่ใช่อะไรๆ ทั้งหมด ก็เพราะว่ามันไม่ใช่อารมณ์ ผมก็ยิ่งพูดผมก็ยิ่งโง่ เพราะยิ่งพูดให้คนไม่รู้เรื่อง เอาเรื่องไม่รู้เรื่องมาพูดให้คนฟัง ผมก็ยิ่งพูดเองก็ยิ่งโง่เอง ไอ้คำว่าไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์นั่นแหละ มันเป็นสิ่งอธิบายยากที่สุด ว่ามันเป็นอย่างไร เย็นนี้ขอแสดงความหวังว่าคงจะมีผู้ฟังถูกบ้างนะ ไม่เสียเปล่า ในเรื่องของพระนิพพาน ที่มีบทบัญญัติไว้เป็นคำบัญญัติว่า ตะถา ภิกขะเว ตะทายัตตนัง ตะทายัตตะนัง ภิกขะเว อายตนะนั้นมีอยู่ ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ตั้งอยู่ ไม่ใช่เป็นไป ไม่ใช่ดับสูญ ไม่ใช่อารมณ์ นั่นแหละ อายตนะนั่นแหละ อายตนะนั่นแหละ แปลได้อย่างดีที่สุดก็ว่า สิ่งแค่นั่นแหละ สิ่ง สิ่ง สิ่งเท่านั้น จะแปลว่าดิน ว่าธาตุดิน อะไรไม่ได้ทั้งนั้น สิ่ง สิ่งนั้น เป็นอายตนะ หรืออายตนะนั้น มีอยู่ คือเป็นพระนิพพาน ไม่ใช่การตั้งอยู่ ไม่ใช่การเป็นไป ไม่ใช่การดับ ไม่ใช่อารมณ์ นั่นพอแล้วผมจะโง่ป่านนี้อีก ก็หมดแรงแล้วล่ะ มันพูดเรื่องไม่มีอารมณ์ ไอ้คำว่าไม่มีอารมณ์ ไว้เป็นของขวัญแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ ว่าสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นั่นคือท่านพูดว่าสิ่งนั้นมีอยู่ สิ่งนั้นไม่ใช่อารมณ์ อายตนะเหล่านั้น อายตนะนั่นมีอยู่ อายตนะนั้น ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่โลกระหว่างแห่งโลกทั้งสอง ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การตั้งอยู่ ไม่ใช่การดับสูญ สิ่งนั้นไม่ใช่อารมณ์ สรุปคำเดียวว่า ไม่ใช่อารมณ์ จะเรียกว่า ไม่มีอารมณ์ก็ได้ ถ้าไม่มีอารมณ์ มันก็ไม่ใช่อารมณ์ เราจึงจะเอามาเป็นอารมณ์ อย่างที่รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมย์ไม่ได้ ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ใช่อารมณ์ เป็นอายตนะที่ว่าไม่ใช่อารมณ์ ต้องพูดด้วยคำว่า ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ตั้งร้อยคำพันคำ ไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่อากาศ ไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การตั้งอยู่ ไม่ใช่การดับไป สิ่งนั้นไม่ใช่อารมณ์ ถ้าหาพบ ก็คือหาพบพระนิพพาน คือสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงสุดยิ่งไปกว่า ทำไมจึงไม่มีอารมณ์ เพราะมันมีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้อง ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีสังขาร ไม่มีอารมณ์ ไม่มีตลิ่งที่จะไหลไป เพราะมันเป็นความว่าง มันเป็นเรื่องของความว่าง มันจึงไม่มีตลิ่งที่จะไหลไป มันจึงที่สุด แห่งความทุกข์ ท่านพูดอีกคำนึงที่น่าจะแปลกที่สุด เอเสวันโตทุกขัสสะ นั่นเป็นที่สุดแห่งความทุกข์ ที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ มีความทุกข์อีกต่อไปไม่ได้ นั่นเป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ อายตนะ นั่นนะ สิ่งนั้นนะเป็นที่สุดแห่งความทุกข์ ความไม่มีอารมณ์นั่นแหละ เป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ ไม่มีเอน นิพพาน นิพพานนั่นแหละ เป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ มันมีไวพจน์ใช้แทนกันได้ ว่าที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ หรือว่าไม่ใช่ อายตนะนั่น หรือว่าไม่ใช่อารมณ์ ที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ เป็นอายตนะนั่น ซึ่งพูดเป็นอะไรไม่ได้ ต้องใช้คำว่า อายตนะนั่น อายตนะนั่น ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่อายตนะนั่น ไม่ใช่อายตนะนั่น และก็เป็นพระนิพพาน ท่านจึงตรัสได้เลย อายตนะนั่นมีอยู่ ก็เท่ากับว่าสิ่งนั้นมีอยู่ สิ่งนั้นมีอยู่ สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งทั้งปวงตามที่ได้บรรยายมาแล้ว
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักสิ่งสูงสุด ไม่มีอะไรสูงสุดยิ่งไปกว่า คือพระนิพพาน คืออายตนะนั่น หรือที่สุดแห่งความทุกข์ หรือสิ่งไม่ใช่อารมณ์ อันนี้เป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง อย่างที่ผมกล่าวมาแล้วซ้ำๆ ซากๆ ตั้งร้อยตั้งพันครั้ง ตั้งล้านครั้งว่า สิ่งที่ไม่มี สิ่งที่มิใช่ปัญหา สิ่งนั้นเป็นความถูกต้อง ที่จะเป็นความถูกต้อง คือสิ่งที่ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ที่จะต้องดับ ไม่มีเหตุให้เกิดทุกข์ มันก็ไม่มีทุกข์ด้วยประการทั้งปวง มันว่างไป ว่างไป ว่างไป ว่างไป เป็นปรมานุตตะระสุญญะตา เป็นคำแปลกที่สุดอีกคำแล้ว พูดไปอีกแล้วมันก็บ้าไป มันก็บ้าต่อไปอีก พูดเอาคำที่ไม่รู้เรื่องมาพูด ปรมานุตตะระสุญญะตา ปรมะ แปลว่า อย่างยิ่ง นุตตะระ แปลว่า ไม่มีอะไรยิ่งกว่า สุญญะตา แปลว่า ความว่าง ความว่างซึ่งไม่มีอะไรยิ่งกว่า เรียกว่าความว่างอย่างยิ่ง ความว่างอย่างยิ่ง ยิ่งว่างเท่าไรยิ่งถูกต้องเท่านั้น ว่างที่สุดก็ยิ่งถูกต้องที่สุด ถูกต้องที่สุด เพราะมันว่าไม่มีปัญหา ถ้ามันมีปัญหาอยู่ มันไม่ใช่ความว่าง มันไม่ใช่ความถูกต้อง นั่นจึงถือเอาว่า ความไม่มีปัญหา ความไม่มีปัญหา เป็นความถูกต้อง มันเป็นคำพูดที่ไม่รู้จบหรอก ความถูกต้อง ความถูกต้อง มันสูงสุดอย่างสูงสุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ และมันก็ไม่มีจบเพราะมันเป็นธรรมทั้งปวง เป็นธรรมทั้งหลาย เป็นธรรมทั้งปวง มันอยู่ที่ความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้อง มันก็มีแต่ปัญหา นี่คนเขาประมาทกันนัก พระเณร ก็หัวหงอกหัวล้านแล้วก็ยังโง่ ไม่รู้จักคำว่าความถูกต้อง มันไม่รู้จักคำว่าความถูกต้อง คือ สัมมัตตะของพระพุทธเจ้า แปลว่า ความถูกต้อง ความถูกต้อง ถ้าท่านสนใจเป็นพิเศษ ท่านจะรู้สึกว่ามันเป็นคำที่น่าอัศจรรย์ที่สุด มันมีเหตุผลที่สุด แล้วมันก็มีประโยชน์ ในทางที่ว่ามันไม่มีปัญหา มันน่าอัศจรรย์ที่สุด มันมีเหตุผลที่สุด มันมีปาฏิหาริย์ที่สุด คือสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ เป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง จะพูดกันอีกกี่ล้าน ล้าน ล้าน ล้าน ล้านคำ มันก็คือความถูกต้อง ความถูกต้อง และก็หมดปัญหา ถ้าโลกทั้งปวงมีความถูกต้องมันก็หมดปัญหา มันก็ดับสนิทแห่งโลก เป็นความว่างจากความทุกข์ทั้งปวง เมื่อมันไม่มีตัวตน มันก็เป็นความว่าง มันก็หมดปัญหา นี่พูดได้เพียงเท่านี้ว่า สิ่งสูงสุดกว่าสิ่งทั้งปวง คือความ ถูกต้อง เมื่อมีความถูกต้อง และมันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา มันก็จะอะไร มันก็ประเสริฐที่สุด มันไม่มีปัญหา
เอาล่ะ สามสิบนาทีแล้ว รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว ก็ต้องขอยุติการบรรยายว่า ที่พูดเป็นที่ระลึกในวันนี้ ก็คือ คำพูดเรื่องความหมายอันลึกซึ้งของสิ่งที่เรียกว่า พระนิพพาน หรือ อายตนะนั่น หรือที่สุดแห่งความทุกข์ หรือความไม่มีอารมณ์ ความไม่ใช่อารมณ์ นั่นแหละความหมายของคำว่านิพพาน สรุปรวมอยู่ตรงที่ว่า คำว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง ไม่มีปัญหา เป็นอายตนะนั่น เป็นที่สุดจบแห่งความทุกข์ทั้งปวง ไม่มีอะไรมาที่ทำให้เป็นอารมณ์ได้ มันไม่มีมิติ ไม่มีมิติ Dimension ไม่มีโดยประการทั้งปวง มันเรียกว่าเป็นความว่าง และมันก็ว่างจากอารมณ์ ขอยุติ ด้วยความสมควรแก่เรี่ยวแรง ไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดแล้ว ขอยุติฝากไว้ ท่านทั้งหลายว่าจงจำคำนี้ไป ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง สิ่งเดียวเป็นปัญหา แก้ปัญหาได้ทั้งหมด เพราะมันเป็นเรื่องของพระนิพพาน ขอยุติการบรรยาย แก่ท่านทั้งหลาย และขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ตั้งใจฟังจนจบ ขอยุติการบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้ [จบ]
ใครเข้าใจว่ารู้จักพระนิพพาน รู้เรื่องพระนิพพานแล้วไปนึก สำนึกเสียบ้าง ไปสำนึกตัวเองเสียบ้าง มันรู้แต่จักกามอารมณ์กันทั้งนั้น อะไร อะไร ก็เป็นเซ็กส์ไปเสียทั้งนั้นเลย เป็นกามอารมณ์ไปด้วยทั้งนั้น อย่าโอ้อวดว่า รู้จักพระนิพพาน รู้จักความว่าง รู้จักความไม่อารมณ์ รู้จักอายตนะนั่น