แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขออนุโมทนาในเจตนาที่จะฝึกอานาปานสติ มันเป็นความเหมาะสมหรือยิ่งกว่าเหมาะสม สำหรับภิกษุที่จะฝึกอานาปานสติ ถ้ารู้จักว่ามันเป็นอย่างไรล่ะก็ จะฝึกง่ายหรือได้ประโยชน์มาก ถ้าพูดตรงๆก็ว่า ฝึกอานาปานสติ เพื่อแก้นิสัยสันดานพาลที่มีอยู่เต็มเนื้อเต็มตัว นิสัยสันดานพาลน่ะ อันธพาลน่ะ ที่มันมีอยู่เต็มเนื้อเต็มตัว สันดานพาลอย่างไรก็ขอให้ฟังให้ดี เป็นเรื่องของกิเลส ทั้งระบบของมัน คนเราเกิดมาไม่ได้มีสติปัญญามาแต่ในท้อง แล้วก็ยังไม่ได้ฝึกฝนอบรมธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยตรง มันก็เกิด มันก็เกิดไอ้ความเป็นไปในทางจิตใจขึ้นมาระบบหนึ่ง เรียกว่าระบบกิเลส นั่นคืออารมณ์เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือทางนั้น ทางการอ่าน การศึกษาอะไรก็ตาม มันมีความหมายเป็นบวก หรือเป็นลบ ถูกใจเป็นบวก ไม่ถูกใจเป็นลบ แล้วก็หลงบวกหลงลบ มันก็เกิดกิเลสไปตามนั้น ถ้าอารมณ์นั้นเป็นบวกถูกใจ มันก็เกิดกิเลสหมวดหรือพวกราคะหรือโลภะ ถ้าจะให้เรียกรวมๆหมวดราคะหรือหมวดโลภะ เพราะมันมีมาก ถ้าอารมณ์นั้นไม่ถูกใจ มันเกิดกิเลสหมวดโทสะหรือโกธะ ถ้าหากว่ามันไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ คือเป็นอทุกขมสุข เมื่อเกิดกิเลสหมวดโมหะ เลยโง่เท่าเดิม หรือบางทีก็ยิ่งไปกว่าเดิม คืออุปาทานยึดมั่นยิ่งไปกว่าเดิม นี่มันจะเกิดกิเลสได้ ตามธรรมชาติอย่างนี้ มาตั้งแต่นี้ มาตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว ทีนี้เกิดกิเลสครั้งหนึ่งแล้ว เสร็จแล้วอารมณ์ดับผ่านไปหมดแล้ว มันเหลือเอาความเคยชินที่จะเป็นเช่นนั้นไว้ในสันดาน ในจิตใจ พูดว่าในสันดานบางทีจะฟังไม่ถูก มันเหลืออยู่ในจิตใจ เพื่อจะเป็นเช่นนั้นอีก เป็นความเคยชิน หมายความว่าจะกลับเกิดเช่นนั้นอีก มันก็เหลืออยู่ในจิตใจ ความหมายของกิเลสที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ แม้เรื่องจะดับไปแล้ว แต่มันก็เหลือความเคยชินที่จะเป็นเช่นนั้นอยู่ในจิตใจ เมื่อเกิดกิเลสทุกทีเกิดกิเลสทุกที ก็เหลือความเคยชินไว้ทุกที เพิ่มขึ้นทุกที เกิดกิเลสอีกทีก็เพิ่มขึ้นอีกที เกิดกิเลสอีกทีก็เพิ่มขึ้นอีกที อยู่ในจิตใจเคยชินที่จะมีความโลภ หรือความโกรธ หรือความหลง เรียกทางภาษาบาลีเรียกว่า อนุสัย อนุสโย อนุสัย เรียกเป็นไทยๆก็ว่าความเคยชินที่จะเป็นเช่นนั้น ที่จะเกิดกิเลสนั้น นั่นน่ะคือสันดานพาล สะสมอยู่ในสันดาน ถ้าพูดอย่างหยาบคายก็ สะสมอยู่ในหัวมันนั่นแหละ สันดานพาลน่ะ มันจะค่อยๆละลายไปได้อย่างไร มันจะค่อยๆละลายไปทุกๆคราวที่ว่า เราไม่ให้เกิดกิเลส ในกรณีที่มันควรจะเกิดกิเลสอีกน่ะข้างหลัง เราไม่ให้มันเกิดกิเลส ถ้าหักห้ามได้อย่างนี้ครั้งหนึ่ง ไอ้สันดานพาลหรืออนุสัยจะลดไปหน่อย หน่วยหนึ่งๆทุกทีที่เราบังคับไว้ได้ การประพฤติพรหมจรรย์สำรวมจิตที่ดีมากอย่างนี้ บังคับกิเลสไว้ได้ครั้งหนึ่งก็ลดสันดานพาล อันธพาลลงไปหน่วยหนึ่ง ถ้าสามารถทำให้กิเลสไม่เกิดได้ทุกคราวที่มันจะเกิดเรื่อยๆไป มันจะลดๆๆๆๆๆไปจน หายไปก็ได้หมดไปก็ได้
แต่ทีนี้ วิธีที่จะให้ลดแบบนี้ โดยเร็ว โดยอย่างดีที่สุดนั้นก็คือ ทำวิปัสสนา ให้เกิดญาณ รู้แจ้งเห็นจริงในความโง่หรือความอันธพาลนั่นเอง วิปัสสนาก็จะเหมือนกับว่าไฟเผารนละลาย ไอ้ความเป็นอันธพาลนั้นให้ไหลออกไป ให้ละลายออกไป ทีละน้อยๆ ถ้าหมดอนุสัยเหล่านั้นก็บรรลุมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่แหละความเคยชินที่จะเกิดกิเลส ที่สะสมอยู่ในสันดานนั่นน่ะคือความเป็นอันธพาล มันมีมากๆ เพราะถ้าเกิดกิเลสทีหนึ่งมันสะสมไว้ทีหนึ่ง เกิดกิเลสทีหนึ่งมันสะสมไว้ทีหนึ่ง แล้วมันเกิดไม่รู้กี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง กี่พันครั้ง มันก็จะหนาแน่น เป็นสันดานเรียกว่าความเป็นอันธพาลที่สะสมอยู่ กิเลสประเภทราคะ ไปสะสมอยู่ คือโลภะหรือโทสะ อะไรก็ตามเป็นกิเลสประเภทราคะน่ะ ราคะ โลภะน่ะ ก็เรียกว่าราคะอนุสัย ราคานุสัย ราคะอนุสัย พร้อมที่จะเกิดกิเลสราคะไวมาก มันจึงยากที่อันธพาลบางคนมันจะเว้นจากการประพฤติอันธพาลแบบราคะ ข่มขืนบ้าง หรืออะไรอื่นอีกบางอย่างที่เป็นความไวของกิเลสประเภทราคะ แต่ถ้ามันจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ภิกษุบวชใหม่อยู่ไม่ได้ ทำยังไงมันก็อยู่ไม่ได้ มันต้องสึกออกไป เพราะมันไม่มีการลดซึ่งราคานุสัย ทีนี้กิเลสประเภทความโกรธ โกรธครั้งหนึ่ง โกรธครั้งหนึ่ง มันก็สะสมอนุสัยไว้หน่วยหนึ่งๆทุกทีเหมือนกัน ก็เรียกว่า ปฏิฆานุสัย ปฏิฆานุสโย ปฏิฆานุสัย พร้อมเลยที่จะเบียดเบียน ดังนั้นมันจึงง่ายที่จะทะเลาะวิวาทกัน เหมือนสุนัขพอเห็นหน้ากันก็ แฮ่เท่านั้นแหละ ไม่ต้องมีอะไรกัน ไม่ทันจะมีอะไรกัน เพราะมันมีอนุสัยชนิดนั้นมาก พระเณรจึงชกต่อยกันแทงกันด้วยช้อนส้อม เพราะมันมีอันธพาลแบบนี้ฝังอยู่ในสันดานนี้มากนัก เรียกว่าปฏิฆานุสัย ทีนี้กิเลสประเภทโมหะ เข้าไปสะสมไว้ก็เป็น อวิชชานุสัย อวิชชานุสัย ความเคยชินแห่งความไม่รู้ ไม่มีความรู้ ปราศจากความรู้ หรือถ้ามีความรู้ก็รู้ผิดๆนี่เรียกว่าอวิชชานุสัย เพราะฉะนั้นมันจึงโง่ มันจึงปัญญาอ่อน มันทำอะไรๆเป็นคนปัญญาอ่อนไปเสียทุกที แล้วมันก็ไม่รู้สึกตัวด้วย มันจะไม่รู้สึกตัวด้วยว่าปัญญาอ่อน มันก็เถียงกันตามแบบปัญญาอ่อน นี่ก็เป็นอันธพาล ชนิดที่สาม ที่ฝังอยู่ในสันดาน เรียกว่าราคานุสัย ปฎิฆานุสัย อวิชชานุสัย ทางที่จะลดได้มันก็มีสองวิธี คือไม่เติม พอจะเกิด พอมีโอกาสที่จะเกิดกิเลสหรือเหตุให้เกิดกิเลสมีมา ไม่เกิดๆ อย่างนี้เรียกว่าไม่เติมคือลด มันก็ลดหน่วยหนึ่ง ลดหน่วยหนึ่งทุกคราวที่บังคับไว้ได้ ไม่เกิดกิเลส นี่โดยการไม่เติม
ทีนี้อีกวิธีหนึ่งก็คือ เอาไฟเผามัน เอาไฟลนมัน ไฟที่ว่านี้ก็คือ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งในความจริงของสิ่งทั้งปวง ที่ทำให้คนมันโง่มันหลง เพราะมันๆๆไม่มีความเห็นแจ้ง มันๆไม่มีญาณทัศนะ ก็ทำให้เกิดญาณทัศนะอยู่เรื่อยไป มันก็ลนหรือเผาไอ้อนุสัยให้มันลดลงเหมือนกัน ลดลงเหมือนกัน ถ้าหมดก็เป็นการบรรลุมรรคผลสูงสุด ไม่หมดก็เป็นการบรรลุมรรคผลตามสมควร ก็คือการไปอบรมจิตที่เต็มอยู่ด้วยอนุสัยนั้น ให้เหมือนกับถูกเอาไฟลนอยู่ด้วยวิปัสสนา ดังนั้นเราจึงต้องทำวิปัสสนาหรือว่าควรทำวิปัสสนา มีหลายแบบหลายอย่าง แต่ว่าที่ว่าเราเห็นว่าดีที่สุด เลือกมาดีที่สุดจากพระบาลี ก็คือแบบอานาปานสติ ควบคุมกาย ชนะกายให้ได้ ให้ร่างกายอยู่ในอำนาจ ให้สงบระงับได้ตามต้องการ นี่หมวดที่หนึ่ง หมวดที่สอง ควบคุมความรู้สึกของกาย ที่เรียกว่าเวทนาๆนั่น ที่ทำให้เกิดความรัก ความหลงใหลมากกว่าอย่างอื่น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เวทนาเหล่านี้ ควบคุมมันได้ ชนะมันได้ มันก็ไม่ดึงไปหาไอ้กิเลสสกปรก หมวดที่สาม บังคับจิตไว้ได้ หมวดนี้สำคัญที่สุด สำคัญที่สุดสำหรับวิญญาณแห่งความเป็นบรรพชิต หรือเป็นนักบวช ถ้าควบคุมจิตไว้ได้นี่นั่นล่ะคือความเป็นพระๆอยู่ที่นั่นล่ะ ต้องฝึกควบคุมจิตให้ได้ รู้จักจิตทุกชนิดและก็เลือกมุ่งหมายเอาอันที่สูงสุดๆ บังคับให้บันเทิง บังคับให้ตั้งมั่น บังคับให้ปล่อย อย่างที่ปรากฎอยู่แล้วในหลักสูตร บังคับได้ตามความประสงค์ จิตก็อยู่ในสภาพที่ถูกต้อง และหมวดที่สี่ ก็ทำให้เกิดญาณ เกิดญาณที่สูงสุด วิปัสสนาญาณก็เรียก อะไรก็เรียก คือเพ่งพิจารณาอนิจจัง อนิจจัง อนิจจานุปัสสี ให้เห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไรรอบตัวเรา นอกตัวเรา ในตัวเรา เห็นแต่เป็นอนิจจัง โดยเฉพาะอนิจจังที่เราเคยหลงไหลมาแล้ว เห็นอนิจจัง อนิจจัง ของอายตนะก็ดี ของอารมณ์ที่จะมากระทบอาสนะก็ดี ของเวทนาที่เกิดขึ้นก็ดี คือทุกอย่างที่เรียกว่าธรรมทั้งปวง ก็เห็นอนิจจัง เห็นอนิจจัง เมื่อเห็นอนิจจังอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวมันก็คลายความยึดมั่นถือมั่น คือความโง่แต่เดิม เมื่อมันคลายอยู่ๆมันก็หมด ถ้ามันคลายอยู่มันก็หมด ถ้าหมดมันก็รู้ว่าหมดความยึดมั่นถือมั่น นี่หมวดที่สี่ เมื่อทำอยู่อย่างนี้มันมีอาการเท่ากับเอาไฟคือวิปัสสนาไปลนเอาไอ้ อนุสัย กองอนุสัย กองกิเลส ให้ละลายไป หรือจะใช้คำให้เบาบางไป เบาบางไป แล้วก็ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ นั่นคือความไม่มีกิเลส แม้จะไม่มีผลถึงการบรรลุมรรคผลนิพพาน มันก็มีผลดีวิเศษ มันจะหมดสันดานพาลสันดานอันธพาล ที่รักเลวจนบ้ากาม ที่โกรธเลวจนแฮ่ๆทำอันตราย เป็นอันตรายแก่ผู้ข้างเคียง แล้วก็ที่หลง หลงจนทำอะไรไม่ถูก ไม่สมควรแก่เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น นี่การกำจัดความโลภ กำจัดความโกรธ กำจัดความหลง กำจัดราคะ โทสะโมหะ ด้วยการเอาไฟไปลนเข้าที่คลังของมันคืออนุสัย ทำได้เป็นเวลาเท่าไร มันก็ลนตลอดเวลาเท่านั้น ทำวิปัสสนาเป็นเวลาเท่าไร มันก็เหมือนกับเอาไฟลนอนุสัยเป็นเวลาเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อทำอยู่ ทำอยู่ๆ อนุสัยอันธพาลน่ะ มันก็เบาบางๆ การสะสมอะไร ความรู้สึกของจิตที่เป็นกิเลส ที่ให้มันถูกละลายๆๆ โดยวิธีเอาวิปัสสนาลน และอีกทางหนึ่งก็ไม่เติมเข้าไป ไม่ป้อนเข้าไปอีกๆ สังวรณ์ระวังเป็นอย่างดี ไม่ป้อนเข้าไปอีก ที่ข้างในนั้นมันคอยก็ลดอยู่ๆๆ และเมื่อไม่ป้อนเข้าไปอีก มันก็ลด มันก็ลด คือมันไม่เติม ไม่เติมอาหาร ไม่เติมไอ้สิ่งหล่อเลี้ยง ฉะนั้นการทำวิปัสสนาจึงมีผลสำเร็จ เป็นการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นที่สุด แม้ไม่บรรลุมรรคผลนิพพานก็เปลี่ยนนิสัยอันธพาล นิสัยพาล นิสัยอันธพาลทั้งในแง่ราคะโทสะ โมหะ ให้ลดลง ให้ลดลง เป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างภาษาว่ายังอยู่ในโลก แม้จะยังอยู่ในโลก เป็นวิสัยโลกียะ ถ้ากิเลสมันลดลง หรือมันน้อยลง มันก็ดีๆ เขาก็เรียกว่ามีจิตใจสูง ถ้ามองในแง่โลกุตตระ มันก็ยิ่งดี เพราะมันใกล้พระนิพพานเข้าไปทุกที ใกล้พระนิพพานเข้าไปทุกที ใกล้พระนิพพานเข้าไปทุกที ถ้าอยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่นี่คือไม่ได้ไม่ต้องขั้นจะไปนิพพาน ก็เป็นคนที่ไม่เป็นอันธพาลแต่เป็นสัตบุรุษ ผู้มีคุณธรรม มีความงาม มีความดี มีความสงบระงับที่ น่ารักใคร่นับถือ และชีวิตของเขาก็จะเย็นๆๆ ดีกว่าชีวิตร้อน ชีวิตร้อน ร้อนด้วยราคะบ้าง ร้อนด้วยโทสะบ้าง ร้อนด้วยโมหะบ้าง ราคะน่ะไฟ ไฟแห้งร้อนเผา อ่ะไฟเปียก ไอ้โทสะเป็นไฟแห้งร้อนเผา ราคะเป็นไฟเปียก โมหะเป็นไฟมืดๆ เป็นไฟเหมือนกันหมดแหละ ทั้งความแห้ง ทั้งความเปียก ทั้งความมืด โทสะ โกธะนี่เป็นไฟลุกโพลง เป็นไฟร้อน แต่ถ้าราคะ โลภะ นี่มันเป็นไฟเปียก แต่มันอันตรายเหมือนกัน ถ้าโมหะนี่เป็นไฟมืด แล้วเราก็ดับไฟกิเลสเหล่านี้เสียก็เป็นการดับทุกข์
พระอริยเจ้าดับเสียทั้งไฟกิเลสและไฟทุกข์ จะเป็นพระพุทธเจ้าก็พร้อมทั้งวาสนา คือความเคยชินทางฝ่ายร่างกาย ฝ่ายวัตถุนี้ด้วย ความนิยมในอินเดีย ทั้งแง่พุทธ หรือแง่ฮินดู แง่นั้นก็เรียกแง่อินเดีย วัฒนธรรมอินเดีย สูงสุดทางจิตใจ แล้วเขาก็จัดชีวิตไว้เป็นสี่ขั้นตอน เป็นเด็กๆจนกระทั่งจะเป็นวัยหนุ่มสาวนี้เรียกว่า วัยพรหมจารี ถ้าได้บังคับไว้ให้ถูกต้องตลอดวัยนี้ก็จะดีมาก เขาจึงมีอาศรมสำหรับให้ผู้ชายคนหนุ่มโดยเฉพาะ ผู้หญิงมีน้อยมากที่จะเข้าสู่อาศรม เด็กหรือกระทั่งเป็นหนุ่มแล้วเข้าสู่อาศรมฝึกหัดจิตใจอยู่ด้วยวิธีที่เรียกว่า ควบคุมกิเลสนี่ ควบคุมกิเลส จนเป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงจะออกมาครองเรือน มาแต่งงาน มาครองเรือน มันดีกว่ากันมากที่ไม่เคยต่อสู้ เพื่อชนะกิเลส มันดีกว่ากันมาก ถ้าเคยต่อสู้ ควบคุมได้มาก ก็คือมันไม่ผลุนผลัน เผลอทำอะไรไปตามอำนาจกิเลส ราคะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี มันไม่ผลุนผลัน ไปตามอำนาจแห่งกิเลส มันก็ดีมาก มันมีแต่ความถูกต้อง นี่วัยหนึ่ง พอวัยที่สองก็ครองเรือนเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดี เพราะฝึกฝนมาดี แต่ก่อนที่จะแต่ง จะแต่งอยากจะสมรส ฝึกฝนมาดีในวัยพรหมจารี พอมาเป็นวัยคฤหัสถ์ ครองเรือนก็ทำได้ดี จนเป็นที่พอใจว่า มันมีเท่านี้ แหละคฤหัสถ์ มีเพียงเท่านี้ มันไม่มี ไม่มีดีไปกว่านี้อีกแล้วโว้ย มันก็ต้องไปต่อไปว่าโอ้ย, ไปทางจิตใจกันที ไปทางจิตใจกันที ทางวัตถุทางกามมันหมดแค่นี้ มันพอแค่นี้ ก็หันไปทางจิตใจ คราวนี้ก็ไปสู่ที่สงัด ฝึกหัดจิตใจ เรียกว่าระบบวานปรัสถ์ แปลว่าการอยู่ป่า ที่สูงอายุแล้วผ่านพ่อบ้านแม่เรือนมาแล้วอยู่ป่า ฝึกฝนจิตใจเป็นพิเศษ ถึงสมณะไปเลยนะ ฝึกจนได้จนเป็นที่พอใจ เป็นที่พอใจ ชนะจิตใจ แล้วก็เริ่มสู่อาศรมสุดท้ายเรียกว่า สันนียาส (นาทีที่ 23:38) หรือ สันยาสี เขาเรียก สันนียาส (นาทีที่ 23:42) ที่แปลว่าเที่ยว ท่องเที่ยว ผู้ท่องเที่ยว ผู้ท่องเที่ยวคือเป็นผู้ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีบ้านเรือนก็ท่องเที่ยวงั้นแหละ เป็นผู้ท่องเที่ยว แต่มันไม่ได้ท่องเที่ยวเปล่า มันเที่ยวสอนธรรมะ แจกของส่องตะเกียง ประชาชนเคารพนับถือ อยากจะไหว้ ให้ได้บุญ หรือจะขอคำแนะนำในทางธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ พวกสันนียาส (นาทีที่ 24:13) สันยาสีนี้ก็บอกให้ๆ ตามลัทธิของตนๆ ประชาชนก็เลือกเอา มันถึงจะมีคนชอบเกือบๆจะทุกๆลัทธิ แม้จะว่านั่นไปบ้างมันก็ยังดีกว่า พระพุทธเจ้าหรือพวกพุทธนี่ก็เป็นสันยาสีพวกหนึ่งด้วยเหมือนกัน ถ้าถือตามหลักนี้ นี่ถ้าว่าชีวิตได้รับการฝึกฝนครบทั้งสี่ประเภท สี่ระบบนี้ มันเต็ม มันครบ มันบริบูรณ์ ฉะนั้นการที่เรามาบวช โดยเฉพาะบวชก่อนการสมรสนั้นก็ไปอยู่ในระบบพรหมจารี ฝึกฝนๆๆ ต่อสู้ๆ เอาชนะกิเลส ให้เป็นผู้ที่มีกิเลสน้อย มีความเป็นอันธพาลเบาบาง ทั้งในแง่ของราคะ ทั้งในแง่ของโทสะ ทั้งในแง่ของโมหะ ทั้งต้องออกไปเป็นพ่อบ้านที่ดี ถ้ามิฉะนั้นมันก็จะเป็น เจ้าบ่าวที่โง่ สำหรับออกไปกัดกันกับเจ้าสาว ไม่เท่าไรมันต้องหย่ากัน คิดดูให้ดี ถ้าเอาความเอา เอา...เก็บความอันธพาลไว้มากนัก ฝ่ายสตรีมีโอกาสที่จะศึกษาอย่างนี้น้อย มันก็ต้องให้อภัย หากแต่ฝ่ายบุรุษมีโอกาสศึกษามาก ก็ควรจะรับผิดชอบ เป็นฝ่ายที่จะควบคุมความถูกต้องของครอบครัว นี่จึงเป็นสมบูรณ์แบบ มีการศึกษาอบรมสมบูรณ์แบบ เหมาะสำหรับจะอยู่เป็นภิกษุสามเณรต่อไป เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน แม้จะเหมาะกลับออกไปก็เป็นฆราวาสชั้นดี ชั้นเลิศ ไม่ใช่ชั้นอันธพาล เพราะฝึกฝนอบรมจิตใจอย่างนี้ เขาเรียกว่ามีจิตใจสูง มีจิตใจสูง ที่เขาไหว้กันเพราะข้อนี้แหละ ถ้าไหว้นะไหว้คนที่มีจิตใจสูง สูงกว่า เหนือกว่า ดีกว่า ภิกษุฝึกฝนตน ทรมานตน อบรมตน เพื่อไปนิพพานก็ได้ ถ้าสู้ไม่ไหวกลับออกไปเป็นฆราวาสที่ดีก็ได้เหมือนกัน แล้วแต่จะเลือก แล้วแต่มันจะทำได้อย่างไร นี่พูดนี้เพื่อสรรเสริญอานิสงส์แห่งอานาปานสติ หรือว่าเป็นการแนะนำให้รู้จักอานาปานสติว่ามันจะช่วยได้อย่างไร จงฝึกให้ดีที่สุด เพื่อผลทั้งสองฝ่ายคือจะไปเป็นฆราวาสที่ดีที่น่าไหว้ก็ได้ หรือจะอยู่ไปเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เอียงไปทางพระนิพพานลาดลุ่มไปทางพระนิพพานก็ได้เหมือนกัน แล้วแต่จะพอใจ แต่ว่ามันไม่มีเสียหาย มันไม่มีเสียหายแน่นอน มันมีแต่ได้ผลดี โดยส่วนเดียว
เมื่อเกิดมาได้รับการศึกษา ในวัยที่ควรจะได้รับการศึกษานี่นับว่ามีบุญสูงสุด มีบุญสูงสุด วัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยคุณหนูแบบนี้ วัยที่ควรจะได้รับการศึกษาและได้รับการศึกษานี่นับว่ามีบุญที่สุด มิฉะนั้นจะมีโชคร้ายที่สุด มีบาปที่สุด มันมืดไปตลอดเวลา แล้วก็จะได้เป็นผู้ครองเรือนที่ดี ถ้ายังสมัครจะเป็นผู้ครองเรือน การครองเรือนที่ดีนั่นคือให้มันเกิด สามีภรรยาที่ดี แล้วก็จะได้มีบุตรออกมาสืบอายุมนุษยชาติ อย่าให้มันสูญพันธุ์ ไม่ฉะนั้นมันจะเป็นสัตว์สูญพันธุ์ เหมือนกับไดโนเสาร์ พุทธา วัตถุ มนุสสานัง บุตรเป็นวัตถุของมนุษยชาติ ไอ้ที่เรียกว่าเป็นบุตรๆๆนั้นน่ะเป็นวัตถุ คือเป็นที่ตั้ง ที่อาศัย ที่ยืนยงอยู่ ของมนุษยชาติ ถ้าไม่มีบุตรมันขาดตอน มันหายสาบสูญไปหมด มันไม่มีอะไรเหลือ การที่มีบุตรที่ดีออกมานั่นเป็นการสืบอายุมนุษย์ มนุษยชาติ ที่มนุษย์ทั้งหมดเอาไว้ ทีนี้การที่มันจะเป็นบุตรสมชื่อนั้นมันก็ต้องรู้สิ่งเหล่านี้แหละ ไม่ใช่เป็นบุตรสำหรับไปตกอบาย แต่เป็นบุตรสำหรับจะขึ้นมาซะจากอบาย บิดามารดาก็พลอยขึ้น ถ้าภิกษุไม่เหลวไหลบวชแล้วเป็นพระจริง บวชจริง เรียนจริง บิดามารดาก็พลอยได้รับอานิสงส์นี้ นี่ก็ได้โปรดบิดามารดาอย่าให้ได้ตกลงไปในนรก เราก็ไม่ตกนรกบิดามารดาก็ไม่ตกนรก ว่าพุ่งแล้ว คราวนี้ก็พุ่งแล้ว ถ้ามากไปกว่านั้นก็ยิ่งดี เพียงแต่ว่าไม่ตกนรกก็นับว่าคุ้มแล้ว ถ้าเรารู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ สำหรับความเป็นมนุษย์ เพื่อความเป็นบุตรที่ดี และก็สืบพันธุ์มนุษย์ที่ดีไว้อย่าให้สูญสิ้นไปจากโลก นี่แหละ พุทธา วัตถุ มนุสสานัง ขอให้ได้เป็นผู้สืบพันธุ์ที่ดี ถ้าจะอยู่ในโลก ถ้าจะเลิกสืบพันธุ์ก็ขอให้ได้เป็นพระอริยเจ้าในที่สุด ข้อนี้สำเร็จได้ด้วยการฝึกจิตๆๆไม่มีทางอื่น ฝึกจิตให้สูงขึ้น ให้สะอาดขึ้น ให้สว่างขึ้น ให้สงบขึ้น ให้หลุดพ้นไปเลย วิธีที่จะทำนั้นเรียกว่า ถ้าเรียกรวมๆนั่นก็เรียกว่า จิตตภาวนา หรือจิตตาโยคะก็ได้ จิตตภาวนาก็คือทำความ คือทำ ทำให้จิตเจริญ ภาวนาก็ทำให้เจริญ จิตตาโยคะ ก็เป็นการฝึกจิต ประกอบจิต อาโยค อาโยค (นาทีที่ 31:18) นั่นคือฝึกอย่างดี จิตตาโยคะคือฝึกจิตอย่างดี ให้ดีที่สุดเท่าที่มันจะดีได้ ถ้าได้ศึกษา แม้แต่เพียงรู้เท่านั้นน่ะก็ประโยชน์เหลือหลาย ถ้าได้ปฏิบัติด้วยก็ประโยชน์อย่างยิ่ง ประโยชน์สูงสุด ปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ จะเป็นการปฏิบัติระบบไหนก็ตาม มันมารวมอยู่ที่นี่ มารวมอยู่ที่ระบบสติปัฏฐาน ๔ นี่ ชนะกาย ชนะเวทนา ชนะจิต ชนะธรรมะที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ชนะทั้งนั้นแหละ ปัญหาทางกาย เกี่ยวกับร่างกาย ร่างกายไม่เป็นไปตามประสงค์นี้ ชนะทั้งนั้นแหละ มีร่างกายที่ดี ที่มีสมรรถภาพ นี่ชนะกาย แล้วก็ชนะเวทนา คือความรู้สึกที่จะมาครอบงำทำให้เกิดกิเลส ชนะ ความคุมไว้ได้ไม่เกิดกิเลส ก็ควบคุมจิต ไอ้จิตนี่ตัวการจะไปไหน ยังไง จะทำอะไร มันก็เป็นเรื่องของจิต นี่ควบคุมไว้ได้ ชนะจิต แล้วก็ชนะธรรม ธรรมะหมวดสี่คือสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น ถือมั่น ให้สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ สิ่งที่เป็นที่ตั้งให้แก่ความกำหนัดย้อมใจอะไรนั่นเรียกว่าธรรม ในความหมายที่สี่ของอานาปานสติปัฏฐาน และเมื่อชนะได้ก็เป็นธรรมะสูงสุดอยู่ในตัว เดี๋ยวนี้ชนะธรรมที่ควรชนะ คือธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนว่าของตน ชนะใช้ได้นี่ และก็ได้ธรรมะบริสุทธิ์ ก็เป็นชนะอีกเหมือนกัน ก็คือชนะมรรคผลนิพพานนั่นแหละ
เอาล่ะเป็นอันว่า เป็นความคิดที่ดีที่จะไปฝึกอานาปานสติ แต่ขออย่าให้เป็นมันเพียงความคิด เป็นเพียงความคิด มันก็เหลือแต่เพียงความคิด มันไม่ได้มีความถูกต้องในทางกระทำ ผลมันก็ไม่ได้รับ มันก็หลอกตัวเองก็ได้ในที่สุด ถ้ารัก รักตัวเอง อยากจะให้ได้รับผลดี ก็พยายามทำให้ดี รักบิดามารดาให้พลอยได้รับส่วนกุศล ก็ทำให้ดี รักประเทศชาติก็ได้ไปช่วยประเทศชาติ รักศาสนา ก็ช่วยกันสืบอายุพระศาสนา ไม่มีอะไรดีกว่าการสืบโดยการกระทำ ให้ได้ผลยืนยันอยู่ว่า นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่เหลือวิสัยและก็มีผู้ที่ทำได้ เกิดความสุข สงบสุขหรือสันติภาพขึ้นมาในโลกนี้ ยังยืนยันอยู่อย่างนี้ มันก็เรียกว่าเราบวชทีหนึ่ง ก็เป็นเรื่องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง แล้วก็สอนต่อๆสืบๆกันไปจริง เป็นอะไรอ่ะ พุทธชิโนรส เป็นโอรสของพระพุทธองค์ผู้ชนะมาร จริงอีกที แล้วคุณคิดดู ว่ามีอะไรดีกว่านี้ มีอะไรดีกว่านี้ มีอะไรแพงกว่านี้ มีอะไรที่น่าควรปรารถนายิ่งไปกว่านี้ จึงขออนุโมทนาในความตั้งใจที่จะปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป ต่อไปจากการศึกษา สำหรับผู้ที่ตั้งใจจริง บริสุทธิ์จริง ปฏิบัติธรรมะให้บริสุทธิ์จริง ไม่ใช่ปฏิบัติตบตาหลอกลวงโลเล เฮฮา ทำตามกันไป เพราะเราถือว่าเราไม่ได้บวชอย่างโง่เขลา ตามๆกันมาบวชด้วยความมีเหตุผล ตั้งใจจริง ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติด้วยความมีเหตุผล ตั้งใจจริง เป็นว่าเราทำดีที่สุด ถึงที่สุดแล้วไม่มีส่วนที่ควรจะตำหนิแล้ว แม้จะไม่สมหวังมันก็ไม่มี ไม่มีส่วนที่ควรตำหนิ เพราะเราได้ทำจริงๆๆ นี่ส่วนเรานี้ได้ถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นอันว่ามันก็หมดปัญหา หมดปัญหา ที่เกี่ยวข้องกันอยู่ในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่จะต้องประพฤติจะต้องกระทำไรบ้าง เราก็ทำกันเสีย แล้วก็มีข้อสำคัญอีกข้อหนึ่งคือทุน ต้นทุน ที่จะประพฤติปฏิบัติให้สำเร็จก็คือความเสียสละ ถ้าเสียสละไม่พอ ก็เท่าเดิมละ มันก็ไปแต่เล่นละครแล้วอะไรพักหนึ่งแล้วมันก็ไม่ได้ผลอะไร ถ้าเสียสละเอาจริง สนใจแต่จะปฏิบัติให้ได้จริงๆ เสียสละจริงๆอย่างนี้ มีหวัง มีหวังเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะ ที่จะต้องได้รับผลเป็นแน่นอน ฉะนั้นขอให้เสียสละๆอันธพาล ความเป็นอันธพาลเหล่าใดที่มีอยู่สละออกไป สละออกไป ในแง่ของราคะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี ความเป็นพาลเหล่านั้น สละออกไปเถอะ สละออกไปเถอะ นั่นล่ะคือความจริง มันจะมีการปฏิบัติจริงได้ผลจริงขึ้นมา ถ้ายังรับอันธพาลนิสัยเดิมมันไม่มีหวังหรอก มันก็ไปเล่นละครลิงพักหนึ่งแล้วมันก็ไม่ได้อะไร นี่ขอให้พยายามด้วยความจริง จริง อุทิศจริง เสียสละจริง ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำให้ถึงที่สุดแห่งความทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านก็พูดเท่านั้นน่ะ ท่านตรัสเท่านั้น มา...เอหิ เอหิ พรหมมะ จะริยัง จะรัตถะ ทุกขัสสะ อันตะกิริยายะ นี่ ตรัสให้ภิกษุเป็นภิกษุ เอหิภิกขุ ก็มีแค่เท่านี้ ห้ามประพฤติพรหมจรรย์เพื่อที่สุดแห่งความทุกข์ เอหิจงมา พรหมมะ จะริยัง จะรัตถะ จงประพฤติพรหมจรรย์ ทุกขัสสะ อัตถะกิริยายะ เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ ความหมายข้อนี้จึงเอามาถือได้แม้จนบัดนี้ แม้ว่าเราไม่ได้บวชเป็นเอหิภิกขุกับพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่คำนั้นใช้ได้ ถ้าเอามาใช้ เอามาถือแล้ว จะสำเร็จประโยชน์ นี่คือบวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ เดี๋ยวนี้มันมักจะเป็นบวช ชนิดว่าธรรมเนียมประเพณีตามๆกันมา มันก็เป็นเรื่อง ปล่อยตามสบายซะมาก ไม่ได้เสียสละ ไม่ได้อดทนอดกลั้นโดยแท้จริง มันจึงไม่ได้ผล มีความจริงอย่างเดียวในการประพฤติพรหมจรรย์ โดยเฉพาะที่กล่าวมาแล้ว มีศีล แล้วก็มีสมาธิ แล้วก็มีปัญญา ศีลต้องมีอยู่ทั่วไปโดยความเป็นภิกษุสามเณรก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่พอมาประพฤติสมาธิวิปัสสนา ยิ่งมีศีลหนักขึ้นไปอีก คือสำรวมจิตให้ปฏิบัติสมาธิน่ะเป็นศีล ศีลแท้ ศีลจริง ไม่ใช่ศีลต้องสมาทาน และก็มีศีล มีสมาธิ และก็มีปัญญา ศีล กาย วาจา ก็ถูกต้อง สมาธิจิตก็ถูกต้อง ปัญญา ความรู้ มันถูกต้อง ความรู้มันถูกต้อง ญาณะน่ะมันถูกต้อง มันก็เลยได้ผลสมบูรณ์ มีศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ทราบ ก็ขอให้ทราบซะเดี๋ยวนี้ว่าเรื่องมันมีอย่างนี้แหละ ทำให้เต็ม ทำให้สมบูรณ์ ทำให้ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นพุทธบุตร พุทธชิโนรส ในความหมายว่า เป็นฆราวาสก็ฆราวาสที่ดี เป็นบรรพชิตก็เป็นบรรพชิตที่ดี กระทั่งเป็นอริยบุคคล บรรลุมรรคผลนิพพานไปถึงที่สุด เป็นพุทธบริษัทที่ดีก็เรียกว่าเป็นพุทธบุตรที่ดีทั้งนั้น หัวใจของเรื่องมีเท่านี้สำหรับการปฏิบัติสมาธิภาวนา เรื่องอื่นๆก็มีต่างหาก มีอยู่มากและก็ได้ยิน ได้ฟัง ได้ฟังเทปก็ฟังอะไรกันมาก พอสมควรนะ เอามาชนกันเข้า เอามารวมกันมาเป็นพรหมจรรย์ สมบูรณ์แห่งศีล สมาธิ ปัญญา ละราคะ โทสะ โมหะ เรื่องก็จบ เอาละในที่สุดนี้ ขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่งว่า การที่ตั้งใจจะไปประพฤติ จิตตภาวนาในคราวนี้นั้นมีเหตุผล เป็นความคิดอย่างถูกต้องของสัตบุรุษ และก็ขออนุโมทนาด้วย และหวังด้วยว่าจะปฏิบัติกันด้วยความจริงใจไม่ให้เสียเวลาไปแม้แต่นิดเดียว ในความเหลาะแหละโลเลอะไรก็ไม่รู้ ให้มันมีอยู่แต่ความจดจ่อๆๆๆ จะละออกไป จะละออกไป ละความเป็นพาล ออกไปให้เกิดเป็นบัณฑิตขึ้นมา มันก็จะเป็นพุทธบุตร พุทธชิโนรสได้สมตามความปรารถนา ขอให้ตั้งใจอย่างดีที่สุดโดยบรรจงทุกๆรูป ผมก็ขออนุโมทนาเป็นการล่วงหน้า ก็ขอให้เรื่องนี้สำเร็จตามความประสงค์มุ่งหมาย จงทุกๆประการเทอญ
ขอยุติ หากมีโอกาสถือธุดงค์บ้างอะไรบ้างอีกหลายอย่าง ธุดงค์นั้นก็ดีมากมีอยู่หลายอย่าง