แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อบรมพระภิกษุนวกะจากวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ...ที่ ๑ (นาทีที่ ๐.๐๖) ครั้งที่ ๑ วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๔ เวลา ๐๕.๐๐ น. ณ ลานม้าหิน หน้ากุฏิ
ขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะที่บวชใหม่มาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือ แสวงหาความรู้ทางธรรมะเพื่อไปใช้เป็นประโยชน์ในหน้าที่การงานของตนของตน แล้วก็ดำเนินชีวิตให้ยิ่งขึ้นไปๆ เป็นสิ่งที่มีเหตุผลว่ามันควรทำอย่างนั้นจริงๆ จึงขอแสดงความยินดีและอนุโมทนาในการทำอย่างนี้
ธรรมะยังเป็นที่สนใจน้อย ยังถูกนำไปใช้น้อย มนุษย์ยังรู้คุณค่าของมันน้อย โดยเฉพาะมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ เพราะมันไปหลงหรือไปบ้าในสิ่งที่ตรงกันข้าม คือสิ่งที่กำลังสร้างปัญหา สรุปความว่ายังเอาธรรมะไปใช้กันน้อย โลกจึงเป็นอย่างนี้ โลกเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ อันไม่น่าปรารถนามากยิ่งขึ้นๆ
ดูเถิดมันถอยหลังหรือมันก้าวหน้าอย่างไร ยิ่งเรียน ยิ่งรู้ ยิ่งเจริญ ด้วยการศึกษานั่นน่ะ เจริญด้วยการศึกษา ทำไมไอ้ความเลวร้ายในโลกมันจึงยิ่งมากขึ้นเล่า เจริญด้วยเศรษฐกิจการเมือง การอุตสาหกรรมอะไรก็ตามน่ะ ความสามารถไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้เหมือนกับไปเทื่ยวเล่นหลังบ้าน แต่แล้วทำไมโลกมันจึงเต็มไปด้วยสิ่งไม่พึงปรารถนายิ่งขึ้นๆ นี่ก็เพราะมันเอาไป เอาธรรมะ ที่จะแก้ปัญหาได้ไปใช้น้อยเกินไปๆ ถ้าขืนเป็นอย่างนี้มันก็ทวีไปในทางความทุกข์ความเลวร้ายหรือวิกฤตการณ์ แล้วโลกมันก็จะวินาศลงไปท่ามกลางความเจริญของการศึกษา ความเจริญของการเศรษกิจ ของการเมือง การประดิษฐ์ การก้าวหน้า นี่ขอท้าทายไว้อย่างนี้
เมื่อเห็นท่านทั้งหลายมาสนใจในธรรมะก็มีความยินดี และขออนุโมทนาว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง อยากจะพูดเป็นพิเศษถึงเรื่องหนึ่งก่อน จะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ไปคิดเอาเอง คือการรู้จักใช้โลกเวลา ๐๕.๐๐ น. ให้เป็นประโยชน์ เวลา ๐๕.๐๐ น. คือเวลาที่เรากำลังมาพูดกันอยู่นี่ ธรรมดาก็ใช้หลับสบาย แต่เราเอามาใช้เพื่อการศึกษา มันมีเหตุผลบางอย่างสำหรับคนบางพวก คนบางพวกก็ไม่ปรารถนาก็นอนตามสบายก็ตามใจ แต่อยากจะแนะนำว่าโลกเวลา ๐๕.๐๐ น. นี้มันเหมาะที่จะใช้ศึกษาเรื่องที่มีความลึกซึ้ง ปราณีตลึกซึ้งของธรรมชาติ เป็นเวลาที่จิตใจ เหมาะสมเป็นเวลาที่เบิกบาน ของจิตใจหลังจากที่ได้พักผ่อนมาแล้วคืนหนึ่ง
มันเป็นเวลาที่ดอกไม้บาน ดอกไม้ในป่านี่มันบานเวลานี้ นี่ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่แสดงอยู่ว่ามันพิเศษนะ และพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ เวลาหัวรุ่งอย่างนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เข้าใจว่าจะหลายองค์หรือทุกองค์ด้วยซ้ำไป มันเป็นเวลาที่จิตเหมาะที่จะเติมอะไรลงไปได้ นี่สำหรับผู้ที่จะศึกษา ผู้ที่จะตรัสรู้เองก็เหมาะที่จะตรัสรู้ ผู้ที่จะศึกษาต่อก็เหมาะที่จะศึกษา คือมันเป็นเวลาที่ว่าน้ำชายังไม่ล้นถ้วย ยังเติมอะไรลงไปได้ พอสายแล้วอะไรแล้ว มันก็มีอะไรเติมลงไปก่อน เต็ม เต็ม แล้วก็ไม่เหมาะ ไม่เหมาะที่จะคิดนึกอันปราณีต อันลึกซึ้ง ที่จะเติมอะไรลงไปอย่างปราณีตและลึกซึ้ง
นี่เรียกว่าเวลาที่เหมาะสำหรับจะศึกษา หรือจะเติมอะไรลงไป เวลาที่น้ำชายังไม่ล้นถ้วย ลองใช้ให้เป็นประโยชน์สิ มันก็เท่ากับชีวิตมันยืนยาวออกไปด้วยอัตราวันละชั่วโมงๆ ถ้าเราเก็บไว้นอนมันก็ไม่ได้เพิ่มอะไร เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็ทำให้ชีวิตนี้มันยืนยาว ให้มากออกไป วันละชั่วโมง แล้วก็สำหรับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งด้วย ควรจะฝึกให้เป็นนิสัย ให้เป็นนิสัยใช้เวลา ๐๕.๐๐ น. นี้ให้สะดวกเหมือนกับว่าเล่น แล้วก็จะพบว่ามีอะไรก้าวหน้า แต่ก็มันทำยากสำหรับคนขี้เกียจและเห็นแก่นอนน่ะ มันยากที่จะทำได้
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่จะพูดโดยเฉพาะเป็นครั้งแรกให้แก่ท่านที่บวชใหม่โดยเฉพาะนี่ ก็คือว่าเป็นครั้งแรกจะพูดในความหมายสั้นๆรวมกันว่า ธรรมะนี้ทำไมกัน ธรรมะทำไมกันในความหมายที่กว้างๆ นับมาตั้งแต่ว่าการบวช บวชเข้ามาหาอะไรนี่ มันควรจะถามตัวเองอย่างนั้น หรือเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระศาสนานี้มันเพื่อประโยชน์อะไร ขอให้มันแน่นอน ให้มันถูกต้องให้มันเด็ดขาดลงไปว่าเพื่อประโยชน์อะไร ไม่มาเกี่ยวข้องกับ เรื่องของธรรมะเรื่องของศาสนาได้หรือไม่ ก็ตอบว่าทุกคนมีเสรีภาพ ประชาธิปไตยทำอะไรก็ได้ ก็ได้เหมือนกัน ไม่ต้องก็ได้ แต่แล้วมันจะขาดอะไรไปนั่นน่ะไปคิดดูเอง
คุณก็จะรู้ได้เองว่าเมื่อได้เล่าเรียนอะไรมาเพียงพอแล้ว ก็รู้ อ้าว! นี่ถ้าเราไม่มาบวชเราก็ไม่รู้ คือถ้าไม่มาเกี่ยวข้องกับศาสนา แม้ที่บวชไม่ได้ก็ยังมาเกี่ยวข้องกับศาสนาได้ เพื่อได้รับผลอย่างเดียวกับการบวชนี่ มันควรจะได้อะไร มันก็รู้ได้เหมือนกัน มันก็จะได้สิ่งที่ว่าถ้าไม่ได้บวชหรือไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับพระศาสนา มันก็ไม่ได้ธรรม มันก็ไม่ได้ธรรม ไอ้บวชนั้นน่ะมันมีความหมายเป็น ๒ ประเภทอยู่ อย่างโดยมากเนี่ย เป็นโอกาสศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมในแง่ของธรรมะ ให้แตกฉานในทางธรรมะ กระทั่งว่าเรียนธรรมะแล้วก็รู้ธรรมะ แล้วก็มีธรรมะเอาไว้ใช้ แล้วก็ใช้ธรรมะถูกต้องในทุกกรณีที่เหตุการณ์ใดๆ มันเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นเรื่องเรียน เป็นเรื่องต่อสู้ เป็นเรื่องมีความหมายไปอย่างหนึ่ง
ทีนี้อีกทางหนึ่งก็มันมีความหมายว่าจะชิม ชิมรสของความสงบสุข นี่หมายความว่ามันบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง มันก็ได้ชิมรสอันหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้เรื่องมาแต่ก่อน หรือไม่อาจจะชิมได้ ถ้าไม่มาลองดู บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง นี่ก็มาได้ชิมรสของพระธรรมในระดับที่สูงสุดกว่าธรรมดา ในพระพุทธศาสนา ความสุขของความสงบ กิเลสไม่รบกวน โดยมีชีวิตชนิดที่ไม่หัวหกก้นขวิด เป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ
อยู่ในโลกสมัยนี้ แม้มันจะเล่าเรียนวิเศษ ปริญญายาวเป็นหางตั้งกิโลก็ตามใจเถิด มันก็ยังไม่พ้นไปจากชีวิต มันกัดเจ้าของ เพราะว่ามันไม่ได้เรียนและมันไม่ได้ปฏิบัติ ถ้ามันเรียนธรรมะและปฏิบัติธรรมะ มันก็รอดไป ไม่ถูกชีวิตกัดเจ้าของ พูดกันโดยง่ายๆก็พอจะนึกได้ว่า เดี๋ยวความรักมันกัด คนมันโง่ไม่มีธรรมะความรักมันกัด ความโกรธนั่นโกรธนี่มันกัด ความเกลียดมันกัด ความกลัวมันกัด วิตกกังวลอนาคตกัด อาลัยอาวรณ์อดีตกัด ตื่นเต้นๆอยู่ที่นี่กัด อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด กระทั่งฆ่ากันตาย มันเป็นลักษณะที่ชีวิตมันกัดเจ้าของ เป็นชีวิตที่เลวกว่าหมานะ เพราะว่าหมามันยังไม่กัดเจ้าของ คิดดูเอา
ใครเคยเห็นหมาตัวไหนมันกัดเจ้าของไหม มันก็ยังไม่เคยเห็น เพราะว่าชีวิตที่ไม่ประกอบ ไปด้วยธรรมะนั้นมันกัดเจ้าของ กัดเจ้าของ อย่างที่ว่ามาแล้วพอเป็นตัวอย่างสักสิบอย่างว่าความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวร ความตื่นเต้นๆ ในสิ่งที่แปลกๆใหม่ๆ ความอิจฉาริษยา ความหวงวิตกกังวล กระทั่งความหึงในเรื่องที่เกี่ยวกับเพศ ชีวิตกัดเจ้าของเพราะไม่มีธรรมะ ผู้ที่มีธรรมะมันก็ได้รับรสชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ
นี่มันอยู่ในความหมายที่ว่า ธรรมะทำไมกัน ธรรมะทำไมกัน ตอบสั้นๆว่า ให้ได้สิ่งที่ถ้าไม่มีธรรมะแล้วก็ไม่ได้รับเลย ถ้าไม่มีธรรมะไม่รู้จักธรรมะแล้วก็จะไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้เลย คือชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ถ้ามันไม่เรียนธรรมะไม่รู้ธรรมะจนตาย มันก็มีชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของจนเข้าโลงแหละ นี่ลองดูไปคิดดู มันจะมีชีวิตชนิดที่มันกัดตัวเองจนเข้าโลง ถ้ารู้ธรรมะแล้วมันไม่ต้องประสบกับเหตุการณ์อันนี้ มันได้รับชีวิตที่เยือกเย็นๆๆ ส่วนตัวก็เป็นประโยชน์ๆแก่ทุกฝ่าย
เรื่องประโยชน์ๆนี้มันมีความหมายกว้างซึ่งผู้ที่เห็นแก่ตัวไม่ค่อยจะคำนึง คือประโยชน์ผู้อื่น ผู้เห็นแก่ตัวก็เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเท่านั้นแหละ จะเรียนจะทำการงาน จะมีเงินอะไร ก็เพื่อประโยชน์ของตัวทั้งนั้น ไม่เคยคิดถึงผู้อื่น แต่พระพุทธเจ้าท่านจัดประโยชน์ไว้เป็น ๓ ชนิด ประโยชน์ตัวเองและก็ควรจะได้ ถ้าไม่ได้ก็เสียชาติเกิด แล้วประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ที่ผู้อื่นควรจะได้รับ มันก็ต้องทำหน้าที่เพราะว่ามันอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ แล้วประโยชน์ที่ ๓ ก็คือ ประโยชน์ที่แยกไม่ออก คือมันเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก ประโยชน์ตัวเองกับประโยชน์ผู้อื่นที่เกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก นี่มันก็มีอยู่ รวมกันเป็น ๓ ประโยชน์ว่า ประโยชน์ตัวเอง ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ที่เกี่ยวพันกันจนแยกกันไม่ออก ใครทำได้ครบทั้งสามอย่างมันก็สมบูรณ์ คอยนึกถึงว่าการมีความรู้ธรรมะอย่างทั่วถึงนี้ มันสามารถที่จะบำเพ็ญประโยชน์ได้ครบทั้ง ๓ ความหมายนี้
ที่นี้ก็อยากจะให้คิดนะ ลองคิดกันอีกสักแง่หนึ่งว่า เราจะจัดชีวิตนี้ไว้ในลักษณะที่เป็นอะไร หรือเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นคนโง่อันธพาลไม่รู้ธรรมะเลยนี่ มันก็จัดชีวิตนี้ไว้ว่าเป็นของกูๆ เป็นตัวกู เป็นของกู กูจะทำอะไรก็ได้อย่างไรก็ได้ แต่ถ้าว่ามันเป็นผู้ศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะ ยึดถือกันมาอย่างที่บรรพบุรุษที่เคยมีธรรมะเขารู้จักกันแล้ว เขาไม่ได้จัดชีวีตนี้ว่าเป็นของกู แต่จัดไว้เป็นของยืมมาจากธรรมชาติชั่วคราว
เอ้า!... ลองเปรียบเทียบดูสิคนไหนจะฉลาดกว่ากัน คนหนึ่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนาปริญญายาวเป็นหาง มันก็คิดว่าชีวิตนี้ของกู เพื่อตัวกู อะไรก็เกิดกับกู แต่ปู่ย่าตายายที่ไม่เคยไป แต่เคยเรียนธรรมะนี้กลับว่า ชีวิตนี้เป็นของยืม ยืมจากธรรมชาติ ธรรมชาติให้ยืมมาเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณคือชีวิตจิตใจ ธาตุเหล่านี้มารวมกันแล้วก็เป็นอัตภาพนี้เป็นชีวิตนี้ ดำเนินชีวิตนี้ไป แล้วมันจะต้องคืนเจ้าของในเวลาอันควร ไม่อยู่กันได้เกิน ๑๐๐ ปีน่ะว่าอย่างนี้ดีกว่า สมัยนี้ต้องคืนเจ้าของภายในเวลา ๑๐๐ ปี ถ้าคิดว่าชีวิตของกู อิสระแบบกู ก็ใช้อย่างหัวหก ก้นขวิดตามแบบของเขา
แต่คิดว่าชีวิตเป็นของยืม ใช้อย่างของยืม ระมัดระวังที่จะคืนเจ้าของอย่างดีที่สุด แล้วก็ไม่ไม่กล้าคิดว่าของกู เพราะยืมเขามานี่จะมาคิดว่าของกูยังไงล่ะ ถ้าคิดว่าของกูก็คือคนโกหก คนปล้น คนโกงยักยอก ก็พยายามทำให้ดีที่สุด ให้ดีก็คือปฎิบัติให้ดีที่สุด ให้ได้รับผลสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับให้ทันแก่เวลาที่ยืมมา ขอบใจธรรมชาติให้ยืมมา ให้ยืมมาอย่างไม่คิดดอกเบี้ย ไม่คิดค่าสึกหรอ ไม่คิดค่าอะไรทั้งหมด จะไปพัฒนาเอาตามพอใจๆให้สูงสุดเท่าไหร่ตามพอใจ ควรจะขอบใจธรรมชาติ ควรจะมีความไม่ประมาท พัฒนาชีวิตนี้ให้ถึงจุดสูงสุดเสียก่อนแต่ที่จะเข้าโลง ก็หมายความว่าก่อนแต่ที่จะคืนให้เจ้าของเดิมคือธรรมชาติ นี่เขาคิดกันอย่างนี้ คนสมัยใหม่จะคิดอย่างไรก็ตามใจ ไม่มีใครว่า แต่ควรจะคิดดูสักหน่อยนึงว่าคิดอย่างไหน มันสะดวกสบายได้ประโยชน์ที่สุด คิดอย่างไหนเป็นอันธพาล คิดอย่างไหนเป็นสัตตบุรษ เป็นสุภาพบุรุษ เอ้า!... ขอให้ลองคิดดู
เมื่อได้ยืมไอ้สิ่งที่จะมาประกอบกันเป็นชีวิตแล้ว มันก็ทำให้ชีวิตนั้นแหละมันประกอบอยู่ด้วยทุกข์ อยู่ด้วยธรรมะทุกขั้นตอนแห่งชีวิต และทุกกรณีแห่งชีวิต หมายความว่าทั้งเวลาก็ดี ทั้งไอ้สเปซ (Space) ก็ดี ทั้งไทม์ (Time) ทั้งสเปซ (Space) ให้มันถูกต้องให้มันประกอบไปด้วยธรรมะทั้งนั้นเลย เป็นเด็กก็มีธรรมะ วัยรุ่นก็มีธรรมะ หนุ่มสาวก็มีธรรมะ พ่อบ้านแม่เรือนก็มีธรรมะ คนแก่คนเฒ่าจะเข้าโลงก็มีธรรมะหัวเราะเยาะความตาย มันจะเรียนหนังสือก็เรียนอย่างมีธรรมะ รู้แล้วทำการงานก็อย่างมีธรรมะ ได้เงินมาก็มีธรรมะ เก็บเงินไว้ก็มีธรรมะ ใช้เงินไปก็มีธรรมะ หรือเพื่อลงทุนไป หรือเพื่อจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็อย่างมีธรรมะในทุกกรณีๆ ชีวิตนี้เป็นการต่อสู้หลายรูปแบบๆ ทุกรูปแบบให้ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ มันก็จะมีแต่ความชนะ ไม่มีความพ่ายแพ้ คือสำเร็จประโยชน์ดีทุกแง่ทุกกรณี ทุกเวลาทุกสถานที่ เพราะว่ามีธรรมะนั่นเอง
ฉะนั้น ก็ควรจะเข้าใจกันเสียให้ชัดแจ้งว่าธรรมะนี้คืออะไร มันน่าสงสารหรือน่าขันก็ได้ ที่ในโรงเรียนครูสอนเด็กๆว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันถูกนิดเดียว ถูกนิดเดียว จะเรียกว่าไม่ถูกก็ได้ เพราะถ้าในอีนเดียนั้นคำสอนของศาสนาไหนก็เรียกว่า เรียกว่าธรรมะเหมือนกันหมด เขาก็เลือกเอาธรรมะของใครๆ คำที่สอนน่ะเรียกว่าธรรมะ ของพระสมณะโคดมคือพระพุทธเจ้าของเรานี้ หรือของ นิครนถ์นาฏบุตร มักขลิโคศาล สัญชัยเวลัฏฐบุตร ก็เยอะแยะอย่างน้อยประมาณสักสิบศาสนาที่มันเป็นคู่ต่อสู้แข่งขันกันอยู่ในครั้งพุทธกาล ประมาณสักสิบลัทธิ ก็เรียกว่าธรรมะด้วยกันทั้งนั้นน่ะ ถ้าคำสอนออกไปก็เรียกว่าธรรมะ
คำว่าธรรมะมันไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอน แต่สิ่งที่เอามาสั่งสอนมันก็เรียกเข้าว่าธรรมะของผู้สอน ทีนี้มันสอนเรื่องอะไรนี่ข้อสำคัญมันคืออยู่อย่างนี้ ศาสนาไหนลัทธิไหนก็สอนธรรมะ แล้วมันสอนเรื่องอะไร ในที่สุดก็พบว่ามันสอนเรื่องหน้าที่ๆ หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ ถ้าไม่ทำก็จะตายหรือมีความทุกข์เกือบตาย อยู่อย่างทนทุกข์ทรมานซึ่งดูว่าจะตายซะดีกว่าถ้าอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน นี่คือธรรมะ หน้าที่ที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วก็ไม่มีความทุกข์ทรมาน จึงขอให้รู้ว่าธรรมะ ธรรมะนั้นมันไม่ใช่ เพียงจะแปลว่าคำสั่งสอน ตัวธรรมะ ตัวธรรมะมันแปลว่าเรื่องหน้าที่ๆๆที่ผู้มีปัญญาเอามาสอน
คำว่าหน้าที่มันก็คือสิ่งที่ช่วยผู้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้ตาย ธรรมะก็ช่วยผู้ปฏิบัติธรรมะไม่ให้ตาย ฉะนั้นธรรมะในภาษาไทยเราเรียกว่าหน้าที่ ในภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะ เป็นสิ่งเดียวกันคือสิ่งที่จะช่วยให้รอด หรือไม่ต้องตาย ถ้าศึกษาอย่างให้กว้างไกลออกไปในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ให้เห็นว่าธรรมะนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ ภาษาบาลีคำว่าธรรมะกับคำว่าธรรมชาติเขาใช้คำๆ เดียวกันร่วมกัน ธรรมะคือธรรมชาติ
เรื่องของธรรมชาติแบ่งเป็น ๔ เรื่อง คือตัวธรรมชาติก็ได้ ตัวกฏของธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้นก็ได้ แล้วก็ตัวหน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎนั้นๆก็ได้ แล้วผลที่ได้รับจากหน้าที่นั้นๆก็ได้ มันเป็น ๔ ความหมายขึ้นมา เป็นตัวธรรมชาติ ตัวกฎธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ผลที่ได้รับจากหน้าที่ ๔ ความหมายนี้ต้องรู้ รู้ธรรมชาติใน ๔ ความหมายนี้ คือรู้ธรรมะสมบูรณ์ที่สุด แต่ว่าที่ต้องรู้เป็นพิเศษจะต้อง ปฏิบัติได้ด้วยคือความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ หน้าที่นี้ที่จะต้องปฏิบัติที่ความรอด นี่มันเป็นความหมายที่ ๓
ทีนี้เราก็ไม่ค่อยจะได้สนใจหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพราะสนใจแต่เรื่องที่เราปฏิบัติแล้วเราจะได้เงินมาซื้อหาสิ่งบำรุงบำเรอความต้องการของตน ส่วนมากก็เป็นไปในทางกิเลสตัณหาทั้งนั้น ส่วนเกินส่วนเอร็ดอร่อยส่วนความสุขทางเนื้อทางหนังโดยไม่ต้องคิดว่าถูกผิดอะไร ถ้าฉันได้ตามที่ฉัน ต้องการนั้นหละคือความถูกต้อง นั้นแหละคือความดี ดีที่ได้คือฉันได้ตามที่ฉันต้องการ มันถือหลักกันอย่างนี้ ธรรมะก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน
ธรรมะคือความถูกต้องตามของกฏธรรมชาติตามที่ควรจะเป็น มันก็รอดอยู่ได้ เราควรจะมีบทนิยามของ คำว่าธรรมะ ธรรมะ ให้ถูกต้องตามที่ได้สังเกตใคร่ครวญทบทวนดูก็รู้ว่าธรรมะมีบทนิยามชัดๆอย่างนี้ว่า ระบบปฏิบัติ ระบบปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติหลายๆเรื่องคราวเดียวกันเป็นระบบ แล้วก็ที่ถูกต้องๆ ที่ถูกต้องนี่ถูกต้องแก่ความรอด ถูกต้องอย่างอื่นป่วยการ ถูกต้องแก่ความรอดจากปัญหาและความทุกข์คือรอดทั้งทางกาย รอดทั้งทางจิต ทางกายก็ไม่ตาย ทางจิตก็สามารถรุ่งเรื่อง แล้วก็ต้องทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ตั้งแต่เกิดจากท้องแม่จนเข้าโลง เรียกว่าทุกขั้นตอนแห่งชีวิต แล้วก็ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่นเพราะว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้
แม้จะมีใครสามารถยกโลกทั้งหมดให้เราอยู่คนเดียวครองโลก มันก็ตาย มันก็อยู่ไม่ได้ มันต้องอยู่กันอย่างมากๆเหมือนที่ธรรมชาติกำหนดมา คนก็อยู่กันมากๆ สัตว์ก็อยู่กันมากๆ ต้นไม้ต้นไร่ก็อยู่กันมากๆ สำหรับมาอยู่กันมากๆ ในความหมายก็เป็นสังคมนิยมที่ถูกต้องตามธรรมะหรือธรรมชาติ เดี๋ยวนี้มันไม่ มันตัวกูของกู หรือถ้าสังคมนิยมมันก็ของพวกกูที่จะไปทำร้ายพวกอื่น อย่างนี้มันใช้ไม่ได้
ขอทำความเข้าใจ … (นาทีที่ 32.19) ระบบปฏิบัติ ต้องใช้คำว่าระบบเพราะมันต้องปฏิบัติถูกต้องทุกๆ อย่างในคราวเดียวกันเรียกว่าระบบปฏิบัติ มันก็ถูกต้องๆ หมายความว่าถ้าเป็นไปเพื่อความรอดแล้วก็ถูกต้อง ถ้าไม่เป็นไปเพื่อความรอดจากปัญหาทั้งปวงแล้วก็ไม่ถูกต้อง คำว่าถูกต้องในที่นี้ถูกต้องตามธรรมะ ความรอดทั้งทางกายและทางจิต และตลอดเวลาของชีวิตทั้งเพื่อตัวเอง และผู้อื่น นี่คือบทนิยามของไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ
เดี๋ยวนี้เราไม่ได้สนใจศึกษาธรรมะกันในแง่นี้นี่ สนใจแต่เรื่องเรียน เรื่องหาเงินมาสนองกิเลสตัณหา แม้ที่มาแสวงหาศึกษาธรรมะกันบ้างก็จะเอาไปใช้เป็นบริวาร เป็นเรื่องประกอบ ต้องการหาเงินเพื่อสนองกิเลสตัณหากระมัง ผมพูดตรงๆหน่อยนะว่าไอ้นักศึกษาทั้งหลายในโลกนี้ มันมาเรียนธรรมะเอาไปเป็นเครื่องประกอบหน้าที่การงานที่เป็นวัตถุ ทางวัตถุไม่ใช่ทางจิตใจ เพื่อสนองกิเลสตัณหาของตน ของตน แม้พวกฝรั่งก็เหมือนกันมาสนใจธรรมะ โดยไปใช้ประกอบวิชาความรู้หน้าที่การงานเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางวัตถุๆ
ถ้าอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง ผิด ขบถ ขบถกันแล้ว ธรรมะไม่ได้มีความมุ่งหมายอย่างนั้น ธรรมะต้องการจะแก้ปัญหาทุกชนิดให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่ีดีที่สุดที่ชีวิตควรจะได้รับ เดี๋ยวนี้ยังไม่ต้องการกันในลักษณะนั้น เอาไปเพียงเป็นบทประกอบให้ได้ในสิ่งที่กิเลสต้องการเสียมากกว่า มันก็เอาธรรมะไปเป็นบริวารของกิเลส ไม่ได้เอาธรรมะไปเป็นสิ่งที่จะฆ่ากิเลส
เอาล่ะ ขอให้คิดดูเถิดว่าเรายังไม่ได้เกี่ยวข้องกับธรรมะในลักษณะที่ถูกต้อง มันเป็นการเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ไม่ได้เห็นแก่ธรรมะ มันไม่เห็นแก่ธรรมะมันก็ไม่เห็นแก่ผู้อื่น มันก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวไปทุกแง่ทุกมุม ขอพูดเรื่องเห็นแก่ตัวสักหน่อยเพราะเป็นเรื่อง เป็นเรื่องทั้งหมดของโลกที่กำลัง จะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวนี่มันเห็นด้วยกิเลส ไม่ได้เห็นด้วยสติปัญญา ถ้าเห็นด้วยสติปัญญา ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว มีคำภาษาฝรั่งง่ายๆมันชัดเจนรัดกุมดีกว่า ไอ้ selfish selfish มันคือเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว ก็ต้องการเพียงไม่เห็นแก่ตัว non-selfish ไม่เห็นแก่ตัวอย่างนี้ก็พอ
ถ้ามันดีกว่านั้นประเสร็ฐกว่านั้นมันก็เป็น selfless ไม่เห็นแก่ ไม่มีตัวไม่มีตน จะเป็นพระอรหันต์ไป อาจจะมากมากเกินไปสำหรับคนปัจจุบัน เอาเพียง non-selffish ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ขัดข้องไม่ขัดขวาง ไอ้การที่จะพัฒนาตัว เห็นแก่ตัวๆนั้นมันก็ไปอีกทางหนึ่งน่ะ ไม่เห็นแก่ตัวนี้ก็ยังพัฒนาได้ เอาล่ะขอให้พัฒนาชีวิตที่ยืมมานี้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว มันรู้จักตัว มัน self-knowledge มันเคารพตัว มัน self-respect แล้วมันก็พัฒนาตัว self-development แล้วแต่ อย่างนี้เรียกว่าไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะ แม้แต่ความรักตัวอย่างถูกต้องนี่ก็ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ถ้ามันเป็นเห็นแก่ตัวเป็น selfish แล้วก็เพื่อกิเลสตัณหา มาจากความโง่เรียกว่า selfish นี่ ถ้ามันเป็น self-respect self-development นี่ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นเราจงรู้จัก ให้ถูกต้องว่าเห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร
เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัว ที่เห็นกันง่ายๆก็ว่ามันเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ขี้เกียจ พอเห็นแก่ตัวก็ขี้เกียจ อยากจะนอน อยากจะพักผ่อน แต่อยากจะเอาประโยชน์ อยากจะเอาเงิน นี่มันลักษณะของคนเห็นแก่ตัว ยังเอาเปรียบผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น มันอิจฉาริษยา จองหองพองขน อกตัญญู ไม่ซื่อสัตย์ ไม่รู้จักบุญคุณของใคร แม้แต่ของบิดามารดา แล้วมันก็ประกอบอาชญากรรมทุกอย่างทุกประการที่มันจะได้มาเพื่อประโยชน์แก่ตัว ซึ่งเรียกกันว่ารวยลัด รวยลัด ไม่ต้องทำงานปล้นจี้ขโมยดีกว่านี่เป็นเรื่องรวยลัด เรื่องของผู้เห็นแก่ตัว มันหลงทางในที่สุด เห็นแก่ตัวเข้มข้นๆหลงทางในที่สุด มันก็ฆ่าตัวมันเอง มันน่าหัวที่ว่าเห็นแก่ตัวทำไม มันจึงฆ่าตัวเอง เพราะความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง
ไปดูเถิดคนฆ่าตัวเองทุกๆราย มันมาจากความเห็นแก่ตัวที่หลงทาง เป็นมหาเศรษฐีก็ยังฆ่าตัวตายได้ เพราะความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง แม้แต่ในเมืองสวรรค์มันก็เห็นแก่ตัวได้ แล้วมันก็หลงทาง ในที่สุดมันก็ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามไปเพราะความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่ได้ฆ่าตัวเองตายก็เป็นบ้า ก็ได้เป็นบ้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า ไปสืบดูทุกคนที่เป็นคนบ้าอยู่ในโรงพยาบาลบ้า ที่เหลือ อยู่นอกโรงพยาบาลบ้าเที่ยวเกะกะเพ่นพ่านอยู่มันก็มีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว หลงทาง ความเห็นแก่ตัวมากจน หลงทางเกินไปจนบ้า นี่มันก็ประกอบอาชญากรรมเลวร้าย ผู้อื่นเดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง มันฆ่าตัวเองตาย หรือไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า นี้ที่มันทำแก่ตัวมันเอง
ทีนี้ก็มาถึงที่มันกระทำแก่สังคม คนเห็นแก่ตัวกระทำแก่สังคม เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน ทำสารพัดอย่าง ลำบากแก่สังคม มันสร้างมลภาว สร้างมลภาวะที่กำลังเป็นปัญหาทางโลก มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นน่ะ มลภาวะ ทุกชนิดทุกอนูมาจากความเห็นแก่ตัวของผู้เห็นแก่ตัว การทำลายธรรมชาติทำลายป่า ทำลายอะไรก็ตามมันมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันไม่ทำลาย และอุบัติเหตุๆในท้องถนนก็ดี หรือในที่ไหนก็ตามบรรดาอุบัติเหตุ มันก็มาจากความเห็นแก่ตัวของผู้มักง่าย อย่างรถระเบิดรถอะไรกันเมื่อเร็วๆนี้ หลายๆรายตายกันมากๆนั้น มันเป็นความเห็นแก่ตัวของเจ้าของทรัพย์สมบัติ เจ้าของรถ เจ้าของงาน เจ้าของอะไร มันทำอย่างเห็นแก่ตัว เมื่อมันได้คนขับรถที่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ขับรถอย่างเห็นแก่ตัว มันไม่ลดราวาศอก มันไม่ผ่อนผันสั้นยาว มันก็ได้ชนกัน ได้อะไรกัน ได้ระเบิดอะไร นี่มันมาจากความเห็นแก่ตัว อุบัติเหตุทั้งหลายมาจากความเห็นแก่ตัว
และที่ว่ามันสร้างปัญหาโลก ปัญหาในโลกทั้งโลกขึ้นมา ยาเสพติดๆทั้งโลกกำลังเป็นปัญหาโลก โลกกำลังมีปัญหาเรื่องยาเสพติด มันโง่ที่สุดน่ะ มันเลวร้ายที่สุด ให้คนป่าหัวเราะ ให้ลิงหัวเราะ ที่มนุษย์มีปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ในโลก อบายมุขไปรวมอยู่ในข้อนี้ แล้วสิ่งสุดท้ายก็ มนุษย์มันได้เป็นโรค เป็นโรคชนิดที่หมาก็ไม่เป็น โรคแอดโรคเอิด โรคอะไรก็ไม่รู้ไม่อยากจะออกชื่อ โรคที่หมาก็ไม่เป็นแต่มนุษย์เอามาเป็นให้คนป่ามันหัวเราะ ให้ลิงมันหัวเราะ
นี่โรคเอดส์กำลังเป็นปัญหาทั้งโลก ปัญหาของโลกทั้งโลกนี่ให้หมามันหัวเราะ ให้คนป่ามันหัวเราะ ให้ลิงมันหัวเราะ มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว บรรดาโรคทั้งหลายที่หมาก็ไม่เป็นแต่คนเอามาเป็นนี้มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว เพราะมันไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะมันจะไม่มีโรคเหล่านี้ ไม่มีปัญหาเหล่านี้ เดี๋ยวนี้จะสร้างคุกตารางเท่าไรก็ไม่พอ รัฐบาลก็รายงานว่าไม่มีงบประมาณจะสร้างคุกเพิ่ม ไม่มีเงินจะสร้างตำรวจเพิ่ม ไม่มีเงินจะสร้างศาลสถิตยุติธรรมเพิ่ม ต้องยักย้ายอย่างนั้นอย่างนี้ ถ่ายเทอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งใช้เงินมันน้อยหรือ ไม่มีเงินจะสร้างโรงพยาบาลบ้าเพิ่ม คนเพิ่มเป็นบ้าเพิ่มๆแต่ไม่มีเงินจะสร้างโรงพยาบาลบ้าเพิ่มนี่คือปัญหา
ถ้าไม่เห็นแก่ตัวสิ่งเหล่านี้ไม่มี เอ้า!... ผมอยากจะพูด อยากจะพูดสิ่งที่อยากจะให้ช่วยจดจำกันไว้ไปคิดดู ไปท้าทายคัดค้านอะไรก็ได้ว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้ว ถ้ามนุษย์ทุกคนไม่ห็นแก่ตัวแล้วไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีการปกครอง ไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีศาล ไม่ต้องมีคุกอะไร ไม่ต้องมีกฎหมาย ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีการปกครอง ถ้าไม่เข้าใจคำพูดประหลาดๆที่เหลาจื๊อ หรือขงจื๊อ หรือพวกนั้นน่ะ นักปราชญ์พวกนั้นน่ะมันก็เลยพูดว่าการปกครองที่ดีที่สุด ที่ประเสร็จที่สุดนั้นคือการปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครอง
ฟังดูคล้ายกับบ้า คำพูดบ้าๆบอๆ การปกครองที่ไม่มีการปกครอง นี่นักปราชญ์เอกของโลกคือเหลาจื๊อพูด มันหมายถึงว่าคนมันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่ต้องปกครอง อยู่กันอย่างโลกพระศรีอริยเมตไตรย นอนโดยไม่ต้องปิดประตูเรือนนี่ เป็นการปกครองชนิดที่ไม่ต้องมีการปกครอง นี้ก็เลิกศาสนาเสียก็ได้ วัดวาอารามไม่ต้องมี ถ้ามนุษย์ทุกคนมันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่ทำผิดคิดร้ายอะไร ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ประพฤติผิดทุกอย่าง ไม่ต้องมีศาสนา ไม่ต้องมีวัดวาอารามก็ได้ ก็ท้าเอาอย่างนี้คุณไปคิดดูจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่มี ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียว
ทีนี้ถ้าเห็นแก่ตัวแล้วมันจะเป็นอย่างไร มันตรงกันข้ามเหลือประมาณ ประชาชนทุกคนทุกคนเห็นแก่ตัว มันก็เลือกผู้แทนที่เขาจ้างให้เลือก มันก็ได้ผู้แทนที่เห็นแก่ตัวไปเป็นรัฐสภาที่เห็นแก่ตัว ไปตั้ง รัฐบาลโดยรัฐสภาชนิดนี้มันก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัว ข้าราชการทั้งหลายก็เห็นแก่ตัว ลูกเล็กเด็กแดงก็เห็นแก่ตัว พระเจ้าพระสงฆ์ก็เห็นแก่ตัว ทีนี้อะไรจะเกิดขึ้นถ้าทุกๆปรมาณูมันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ ความ เห็นแก่ตัวทำให้เกิดความเลวร้าย
ถ้าพวกครูบาอาจารย์เห็นแก่ตัวมาทำนาบนหลังลูกศิษย์ ถ้าหมอเห็นแก่ตัว มันหมดความเป็นหมอทำนาบนหลังคนเจ็บคนไข้หรือคนที่จะตาย ถ้าตุลาการเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังจำเลย ถ้าพระเจ้าพระสงฆ์เหล่านี้เห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังทายกทายิกา อย่างที่กำลังเป็นอยู่ทั่วๆไป พระเจ้าพระสงฆ์ทำนาบนหลังทายกทายิกา แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไรก็คิดดู
นั้นแหละคือความไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะ มันก็ไม่เห็นแก่ธรรมะ เพราะมันไม่เห็นแก่ธรรมะ มันไปเห็นแก่ตัว เพราะมันไปเห็นแก่ตัวมันจึงไม่เห็นแก่ธรรมะ มันก็ไม่มีธรรมะ มันก็เห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็ เห็นแก่ตัว เต็มไปทั้งโลกไม่มีที่สิ้นสุด การต่อสู้ระหว่างชนชั้นมีอยู่ตลอดเวลาในโลกนี้เพราะความเห็นแก่ตัว
เอามาถึงกับว่าผัวเมียเห็นแก่ตัวมันก็ต้องหย่ากันนะ เพื่อนเห็นแก่ตัวมันต้องเลิกกัน เดี๋ยวนี้เรามองเห็นลูกเด็กๆมันเห็นแก่ตัวจนพ่อแม่น้ำตาตกกันบ่อยๆ วัยรุ่นมันกำลังเห็นแก่ตัวเพราะการศึกษามันผิด มันทำให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตก การศึกษามันกำลังบ้าบอเลวร้ายที่สุด การศึกษาในโลกปัจจุบันทั้งโลกนี่มันกำลังเลวร้ายที่สุด ที่มันสอนใจให้ฉลาดๆๆสามารถๆๆ มันก็ไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด คนฉลาดเหล่านั้นก็ไปฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว ไม่ฉลาดอย่างเดียวเพื่อจะแก้ปัญหาของมนุษย์ของสังคม มันเอาความฉลาดไปใช้เห็นแก่ตัว
นี่มันเป็นคำตอบอยู่ในตัวแล้วว่าทำไมโลกปัจจุบันที่แสนจะฉลาดและก้าวหน้า และเจริญนี้มันไม่มีสันติภาพเล่า ฉลาดสามารถเอาไปเที่ยวโลกพระจันทร์หรือโลกอะไรได้เหมือนกับไปเที่ยว ส่วนหลังบ้านนี่ แต่ทำไมโลกยังไม่มีสันติภาพเล่า เพราะว่ามันเอาความฉลาดไปฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว ผมจึงถือว่าศึกษายุคปัจจุบันนี้ร้ายกาจเลวร้ายที่สุด คือให้แต่ความฉลาดอย่างเดียว ไม่ได้ให้สิ่งที่ควบคุมความฉลาด เหมือนการศึกษายุคโบราณ การศึกษายุคโบราณมันให้สิ่งที่จะควบคุมความฉลาดมากกว่าให้ความฉลาด การเป็นเด็กวัดสมัยก่อนหลายๆปีกว่าจะออกมานี่ล้วนแต่ฝึกความไม่เห็นแก่ตัว ต้องปฏิบัติหน้าที่ของความไม่เห็นแก่ตัวต่ออาจารย์ สร้างนิสัยไม่เห็นแก่ตัว ควบคุมความเห็นแก่ตัว มันฉลาดก็ไม่เป็นไร
ทีนี้พอฉลาดไม่มีอะไรควบคุมมันก็ไปใช้เห็นแก่ตัวหมด ในโลกนี้มันจึงเต็มไปด้วยการเอาเปรียบการฉ้อฉลโดยเปิดเผย โดยเร้นลับ ทั้งโดยเปิดเผยทั้งโดยเร้นลับ หาความสงบสุขหรือสันติภาพไม่ได้ เพราะว่าการศึกษามันไม่ให้การควบคุมความฉลาด มันให้แต่ความฉลาด ธรรมะที่เคยใช้ควบคุมความฉลาดมันหายไป มันหายไป มันออกไปจากการศึกษาเสีย ระบบบ้าบอ secularizaton ที่ฝรั่งมันคิดขึ้นคือแยกศาสนาออกจากการศึกษา อย่าเอามาปนกัน อย่าเอามารวมกัน ไปแยกไปศึกษาเอาเอง ใครอยากรู้ศาสนาก็ไปศึกษาเอาเอง อย่ามารวมอยู่ในการศึกษาเลย ระบบเลวร้ายที่สุด secularizaton นี้เป็นมูลเหตุให้โลกมันเป็นอย่างนี้
ถ้าว่าธรรมะหรือศาสนามันยังรวมอยู่กับการศึกษามันก็ไม่เป็นอย่างนี้ ขอให้คุณพวกคุณทั้งหลาย สนใจเอาเองไปดึงกลับมา ไปดึงกลับมาให้มันมาควบคู่การศึกษาการงานในชีวิต การพัฒนาชีวิตทุกๆ อย่างนี้ให้มันควบคู่กันอยู่กับธรรมะ
พอแล้วกระมังว่าศึกษาธรรมะทำไมกัน วันนี้ผมก็ไม่รู้เป็นอะไรพูดไม่ค่อยจะออก รู้สึกไม่ค่อยสบาย นี่ก็แต่รู้สึกว่าเท่าที่พูดมานี่มันก็พอแล้ว ที่บอกให้ดูว่าธรรมะทำไมกัน ดูธรรมะทำไมกัน ทำไมจึงต้องมาหาธรรมะ มันบ้าหรือดี คนที่มาสนใจธรรมะนี่มันบ้าหรือดี ทำไมไม่ไปเรียนเรื่องหาเงินหาทองให้แข่งกับเทวดา นี่บอกให้รู้ว่าธรรมะทำไมกัน ถ้าธรรมะไม่มาเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ มันก็เป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ กัดเจ้าของ ให้มันรวย เป็นมหาเศรษฐีชีวิตก็กัดเจ้าของ ให้มันเป็นเทวดาชีวิตก็กัดเจ้าของ เพราะได้ยินว่าในเมืองสวรรค์ ก็เห็นแก่ตัวและทะเลาะวิวาทกันเหมือนกัน
จึงขอสรุปความว่าธรรมะทำไมกัน ธรรมะคืออะไร คือความถูกต้องเพื่อความความรอด เอามาประกอบกันกับชีวิตนี้แล้ว ก็สามารถพัฒนาชีวิตให้เจริญ ให้เจริญทันแก่เวลาที่ยืมมาจากธรรมชาติไม่เกินร้อยปี เอาธรรมะ นี้แหละพัฒนาชีวิตให้เจริญๆๆๆทันเวลา ก่อนที่มันจะต้องคืนเจ้าของคือมันจะเข้าโลง นี่ธรรมะทำไมกัน ธรรมะทำไมกัน ขอได้จดจำบทนิยามของคำว่าธรรมะ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกต้องแก่ความรอด ความรอด ทั้งทางกายและทางจิต รอดทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่นนี้คือธรรมะ
ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักธรรมะและใช้ประโยชน์ธรรมะให้สำเร็จประโยชน์ ให้สำเร็จประโยชน์ ให้มีธรรมะ นึกถึงตัวเองแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้ก็มีธรรมะ นึกถึงตัวเองแล้วเกลียดน้ำหน้าตัวเองนี้ไม่มีธรรมะ ขอให้ทุกๆคนมีธรรมะชนิดที่ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกๆครั้งที่มองดูตัวเอง แล้วมีความสุข ความเจริญเยือกเย็นเป็นสุข และเป็นประโยชน์ในหน้าที่การงาน ในชีวิตนี้อยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ขอยุติการบรรยาย เพราะพูดอีกไม่ไหวแล้ว
ประโยชน์ของไอ้สิ่งตรงกันข้ามคือความไม่เห็นแก่ตัว ศึกษาพร้อมกันทั้งความเห็นแก่ตัว และความไม่เห็นแก่ตัว ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักธรรมะอย่างยิ่ง สามารถปฏิบัติธรรมะให้สำเร็จประโยชน์ ให้ได้รับความสุข สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับทันแก่เวลา ทันแก่เวลา ไม่มีปัญหาอะไรที่ไม่ได้เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว
เมื่อตอนกลางวันผมก็พูดกับพวก วปอ. นักศึกษา วปอ. ว่าไม่มีข้าศึกอะไรที่ไม่ได้มาจากความเห็นแก่ตัว ข้าศึกภายในประเทศก็ดี ข้าศึกจากภายนอกประเทศก็ดี มันมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น