แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายครั้งที่แล้วมา เราได้พูดกันถึงเรื่อง เรียนธรรมะหรือศึกษาธรรมะทำไมกัน แล้วข้อแรก ที่สุด ก็ได้พูดว่า ศึกษาธรรมะเพื่อรู้กฎของธรรมชาติ วันนี้จะได้พูดถึงเรื่องสิ่งที่เรียกว่า กฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ใจความสำคัญก็คือ เราไม่ได้รู้จักชีวิตในฐานะที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ หรือเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ แต่เรามารู้สึกว่าชีวิตนี้เป็นเรื่องตัวตน หรือเป็นเรื่องของตน ต่างกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้จะมารู้จักความจริงว่า มันไม่ใช่เรื่องของตน แต่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สัญชาตญาณ หรือ Instinct น่ะ บวกกันเข้ากับอวิชชา ทำให้เกิดความรู้สึกผิดไปในทางที่ว่า ชีวิตนี้ เป็นตัวเราหรือเป็นของเรา เดี๋ยวนี้เราจะมาศึกษาให้รู้จักตามที่เป็นจริงว่า มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
มนุษย์แรกเริ่มเดิมที ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน อะไรมากมาย แต่มันค่อยๆเกิดขึ้น ค่อยๆเกิดขึ้น และมีคำสอนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ในข้อที่ว่า ชีวิตนี้เป็นตัวตนหรือเป็นอัตตา อัตตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
พวกที่เป็นครูบาอาจารย์ เริ่มสอนว่าเป็นอัตตา แล้วก็สอนมากขึ้น สอนมากขึ้น จนเกิด อ่า, ลัทธิความเชื่อ ว่ามีอัตตา มีอัตตา ซึ่งเป็นของแท้จริงและเป็นของนิรันดร นิรันดร คือของตลอดกาล นี่มันเป็นเพียง ไอ้, ความเชื่อ หรือความรู้สึกไปตามการศึกษาเล่าเรียนของสมัยนั้น คำพูดว่าอัตตา คือ Self หรือ Soul ก็ตามน่ะ มันได้เกิดขึ้น อย่างมั่นคง ในหมู่มนุษย์เรา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
มันเกิดมาจากของ ๒ สิ่งช่วยกัน คือ สัญชาตญาณ หรือ Instinct ก็ชวนให้คิดไปในทำนองนั้น การศึกษา ที่ได้รับเพิ่มขึ้นทีหลัง ทีหลัง ก็เน้น หรือสอน หรือขยายความเรื่องนั้นมากขึ้น จนเป็นการเชื่อ สมบูรณ์ เต็มที่ ของหมู่มนุษย์ว่า เราเป็นอัตตา หรือว่าเรามีอัตตา เป็น ๒ ความหมายอยู่ว่า ตัวเราเป็นอัตตา ชีวิตนี้เป็นอัตตาก็ได้ หรือชีวิตนี้มีสิ่งที่เรียกว่าอัตตาก็ได้ เป็น ๒ ความหมายอยู่
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในข้อนี้ท่านต้องศึกษาจากความรู้สึกในใจของตัวท่านเอง ดีกว่าจะศึกษาจากหนังสือหนังหา หรือฟัง คนอื่นพูด คือศึกษาจากความรู้สึกในใจ เอ่อ, ของเราเอง ให้พบความจริงตามธรรมชาติ ฝ่ายที่มันไม่ถูกต้อง ซึ่งจะปรากฏอยู่ในจิตใจอย่างยิ่ง แต่เรากลับไม่มองเห็น ความรู้สึกที่ว่า I am or I have I am หรือ I have น่ะ บางคราวก็รู้สึก I am อัตตา บางคราวก็รู้สึก I have อัตตา ขอให้พยายามศึกษา ศึกษาจนมองเห็นว่าสิ่งนี้ มันมีอยู่จริงเสียทีหนึ่งก่อน
(เสียงผู้บรรยายแปล) มีอยู่จริงหรือไม่จริงก่อนใช่ไหมเจ้าค่ะ
ว่ามี ให้รู้สึก ความรู้สึกที่มีอยู่จริงในจิตใจเรา บางคราวเรารู้สึกเป็นว่า เราเป็นอัตตา บางคราวเรารู้สึกว่า เรามีอัตตา ที่แท้ก็คือจิตเรารู้สึก
/เสียงภาษาอังกฤษ/
โดยแท้จริงแล้ว จิต จิต สิ่งที่เรียกว่าจิตมันเป็นผู้คิด มันคิดไปในทางที่ว่า ชีวิตนี้เป็นอัตตาก็ได้ คิดไปในทางว่า ชีวิตนี้มีอัตตาก็ได้ เอาสิ่งที่เรียกว่าชีวิตเป็นหลักเป็นประธานยืนยงอยู่ บางทีก็เอาตัวชีวิตเป็นอัตตา บางทีก็เอาตัวชีวิตมีอัตตา ความรู้สึกอย่างนี้เรามีในชีวิตประจำวัน มีในทุกเรื่อง ในรูปแบบต่างๆกัน เราต้องจับตัวมันให้ได้ จับตัว ไอ้, Misconcept ตัวนี้ให้ได้ ว่ามันมีอยู่ในชิวิตประจำวัน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ธรรมชาติ อ่า, มันชวนให้คิดอย่างนั้น หรือ Instinct ก็ชวนให้คิดอย่างนั้น แล้วก็เราได้รับการศึกษา อบรม แวดล้อม ให้เป็นอย่างนั้น ให้คิดอย่างนั้นเรื่อยๆมา จนฝังแน่น ฝังแน่น อยู่ในความรู้สึกของเรา หรือคน ที่เราเรียกว่าคน คน นี่
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เอ่อ, นักปรัชญาฝรั่งเศส ที่ชื่อ Descartes เขาวางหลักลัทธิว่า Cogito ergo sum Cogito ergo sum ฉันคิดได้ ฉันคิดได้ ดังนั้น ฉัน ฉันนั้นจึงมีอยู่ นั่นน่ะ คืออัตตาในที่นี้ แต่ความคิดอย่างนี้มีมาแล้วเป็นพันๆปี ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ตั้งแต่พุทธกาล ความคิดอย่างนี้มีแล้ว ไม่ใช่เป็นของใหม่ เราจะต้องรู้ว่า ไอ้เรื่องอัตตา อัตตานี่ มันเป็นเรื่องปัญหายืดยาว ยืดยาว เป็นพันๆปี คู่กันมากับมนุษย์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมีความรู้สึกว่าอัตตา อัตตามาแล้ว ความรู้สึกก็ขยาย ขยายตัวออกไปถึงสิ่งต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้อง อ่า, กับอัตตา ว่า ของอัตตา ของอัตตาคือ อัตตนียา อัตตนียา ว่า Of self , Concerning to self อัตตนียา คือของตน นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ถ้าว่ามันมีความรู้สึกว่าตน มันต้องมีความรู้สึกต่อทุกสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องนี่ว่า ของตน มันเลยได้เป็น ๒ คำ ว่า Self กับ Of self ระวังให้ดีๆ จะต้องศึกษาเรื่องนี้เป็นพิเศษ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ที่เห็นได้ง่ายๆ เมื่อรู้สึกว่า มีเรา มีตัวเรา มันก็เห็นต่อไปอีกว่า มีชีวิตเป็นของเรา มีทรัพย์สมบัติ เป็นของเรา มีครอบครัวเป็นของเรา เกียรติยศชื่อเสียงของเรา เลยกลายเป็นของคู่ ว่ามีเราและของเรา ในความรู้สึกอยู่เสมอ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สำหรับความหมายของคำว่าอัตตา เมื่อถือเอาในระดับสูงสุด ตามแบบของชาวอินเดีย ก็หมายความว่า เป็นสิ่งที่ เป็นตัวเอง คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เกิดไม่ดับ เป็นตัวเองสิ่งหนึ่งซึ่งคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือ ไม่เกิดและ ไม่ดับ สิ่งนั้นเรียกว่าอัตตา อัตตา นี่ตามตัวหนังสือเป็นอย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เขาก็มองไปในทางที่มีอัตตาอย่างกว้างขวาง ร่างกายมีอัตตา หรือเป็นอัตตา ร่างกายจึงทำหน้าที่ ของร่างกายได้ นี้เรียกว่า เอาร่างกายเป็นอัตตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
มีสิ่งที่รู้จักหรือรู้สึกต่อสิ่งที่เข้ามาแวดล้อมได้ คือทำ Conscious ต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาแวดล้อมได้ เขาก็ถือว่าอัตตา อัตตา เป็นตัวสิ่งที่ทำ Conscious ต่อสิ่งต่างๆ และก็ถือว่า Consciousness นั่นแหละ เป็นตัวอัตตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
หลังจาก Conscious แล้วมันก็มี Feeling Feeling รู้สึกต่างๆนานา ต่อสิ่งที่เรียกว่า Feeling บวกบ้าง ลบบ้างก็แล้วแต่ เขาก็ถือว่าอัตตา อัตตา น่ะ เป็น…เป็นสิ่งที่ Feel หรือ Feeler ก็เอา ไอ้, อัตตา มาเป็น อ่า, ตัวตน ตัวตนสำหรับ Feel เวทนา นั่นจึงถูกถือว่าเป็นตัวตน สรุปความ เอา Feeling มาเป็นตัวตน
(เสียงผู้บรรยายแปล) ท่านอาจารย์เจ้าค่ะ เอิ่ม Conscious กับ Feeling ในที่นี้ต่างกันอย่างไรเจ้าค่ะ
Conscious รู้สึกว่าเป็นอะไรอย่างไร แล้วก็ให้เกิดผลแก่จิตใจ เป็นความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ เป็นบวก เป็นลบ เป็นไอ้, ดีใจ เสียใจ อย่างนี้เรียกว่า Feeling แล้วก็ถือว่าอัตตาอีกนั่นแหละเป็น Feeler
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมี Feeling แล้วมันก็มีความรู้สึกประเภทที่เรียกว่า Percieve หรือ Perception คือว่า ไปจัด ไป Classify มันอย่างนั้นอย่างนี้ ไป Regard มันอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เกิดความรู้สึกมั่นหมายว่า มันเป็นอะไร มันเป็นอย่างไร นี้เรียกว่า Perception แล้วเขาก็บอกว่า อัตตานั่นแหละเป็นตัว ผู้ Perceive หรือ Perceiver
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อ Perceive เสร็จแล้ว มันก็ทำให้เกิด ไอ้สิ่งที่เรียกว่า Conception หรือ Conceive มันเกิดWant (30.05) เกิดไอเดีย เกิดอะไรต่างๆ คือความต้องการ ความอยาก ความอะไรต่างๆ ที่เป็น Conception พวกนี้เขาก็ถือว่า อัตตานั่นแหละ เป็นผู้ Conceieve หรือ Conceiver
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อถือตามนัยนี้ มันก็ได้อัตตาเป็น ๕ ความหมาย ร่างกาย ร่างกายนี่ มีอัตตา สำหรับให้ร่างกายทำหน้าที่ของอัตตา ตามอัตตาต้องการ แล้วก็เกิดเป็นเวทนา เป็น Feeling ขึ้น ก็อัตตาเป็นผู้ เป็น Feeler Percieve ในเวทนานั้นแล้ว อัตตาเป็น Perciever แล้วก็มี Conceive อัตตานั่นแหละเป็น Conceiver มันจึงได้เป็น ๕ อย่างด้วยกัน ๕ อย่างด้วยกัน ซึ่งจะต้องศึกษาเป็นพิเศษ
(เสียงผู้บรรยายแปล) ได้ ๔ อย่างนี่เจ้าคะ มีร่างกาย มีเวทนา…
มีร่างกาย มีเวทนา แล้วก็มี Preceive อ้อ, มี Consciousness มี Consciousness มีร่างกาย มี Consciousness มี Perceive... มี Feeling มี Perceive มี Conceive
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ชาวอินเดียก่อนพุทธกาล เขามีความคิดมีความเชื่อเกี่ยวกับอัตตาอยู่ ๔ อย่าง เอ่อ, ๕ อย่าง อย่างนี้ ว่าเป็น อัตตา เป็นของที่อธิบายไม่ได้และไม่ต้องอธิบาย เป็นของแข็ง แน่นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อยู่ตลอดกาลนิรันดร อัตตา นี่ พอร่างกายตายลง มันก็ไปหาร่างกายใหม่ได้ ไม่มีที่สิ้นสุด นี่เรียกว่า เรื่องอัตตาตามแบบเก่าแบบโบราณ ก่อนพุทธกาล พุทธศาสนาเกิดขึ้นเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า สิ่งทั้งหมดนั้น เหล่านั้นไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อัตตา เป็นตาม… เป็นกฎของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นของธรรมดาที่สุด ตามกฎของธรรมชาติ และมิใช่อัตตา มันจึงเกิดเป็น ๒ เรื่องคือ อัตตา ของฝ่ายหนึ่งขึ้นมา อนัตตา ของฝ่ายนี้ขึ้นมา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ยังจะต้องดูอีกส่วนหนึ่งว่า อัตตาใน ๕ ความหมาย ๕ ความหมายที่กล่าวมาแล้ว เขาเอาไปรวมเสียให้ ความหมายเดียว เรียกว่า Consciousness หรือ วิญญาณ วิญญาณ Consciousness เป็นตัว Self หรือเป็นตัว Soul ที่เที่ยวไป เที่ยวไป เที่ยวไป เปลี่ยนร่างกายได้เรื่อย นี่ ไปรวมอยู่ที่คำคำเดียวว่า วิญญาณ หรือ Consciousness ลัทธินี้แพร่หลายมาก แพร่หลายทั่วอินเดีย หรือกระทั่งที่ชาวอินเดียไปถึงไหน ก็ไปสอนลัทธินี้ให้ทั้งนั้น รวมทั้งประเทศไทยนี้ด้วย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความเชื่ออย่างนี้มีทั่วโลก ไม่เฉพาะในอินเดีย เพราะว่ามันเป็นความเชื่อที่เกิดได้จากสัญชาตญาณ ฉะนั้นสังเกตดูให้ดี เราจะเห็นได้ทั่วโลก ทั่วทุกชาติทุกภาษา จะมีความเชื่อเรื่องว่ามี Self หรือมี Soul นี่ ด้วยกันทั้งนั้น แม้จะอธิบายต่างกันอย่างไร มันก็ยุติในข้อที่ว่ามี Self หรือมี Soul ด้วยกันทั้งนั้น นี้ก็เป็น ความจริงอันหนึ่งที่จะต้องรู้ไว้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทั้ง ๕ อย่างนี้ เรียกในพุทธศาสนาหรือในอินเดียทั่วๆไปว่า ขันธ์ ๕ ขันธ์ทั้ง ๕ Five Aggregate ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี่คือเรื่องที่เราจะต้องศึกษากันเดี๋ยวนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราพูดกันง่ายๆสั้นๆง่ายๆว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต แบ่งออกเป็น ๕ ส่วน อย่างที่ว่ามาแล้วนี่ ส่วนที่เป็นร่างกาย ส่วนที่เป็น Consciousness ส่วนที่เป็น Feeling ส่วนที่เป็น Perception ส่วนที่เป็น Conception เป็น ๕ ส่วน นี่เรียกว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวเรื่อง เป็นตัวปัญหา ที่ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องจะเกิดความทุกข์ ถ้าเข้าใจถูกต้องเสียก็แล้ว ไปไม่ต้องเกิดความทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น แล้วก็ตรัสรู้ แล้วก็รู้ความจริง ว่า ถ้าถือว่าขันธ์ ๕ แต่ละขันธ์ ละขันธ์ เป็นอัตตา จะเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้ามองเห็นชัดตามที่เป็นจริงว่า ขันธ์ ๕ แต่ละขันธ์ ละขันธ์ ไม่ได้เป็นอัตตา เป็นเพียง Mechanism อะไรก็ตาม ของธรรมชาติ ของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ไม่ใช่อัตตา แล้วเราจะ ไม่เป็นทุกข์เลย พระพุทธเจ้าจึงเกิดขึ้นสอนว่า Not self ในหมู่คนที่เชื่ออยู่ว่ามี Self ในหมู่คนที่เชื่อว่าอัตตา ท่านมาสอนเรื่องอนัตตา นี่คือใจความสำคัญเกี่ยวกับพุทธศาสนา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สรุปใจความสั้นๆว่า ถ้า จิตนี่ จิตรู้สึกว่าอะไรเป็นอัตตา ว่ามีอัตตา จิตก็จะมีอาการเหมือนกับ ถือของหนัก ถือของหนัก เมื่อจิตมีอาการถือของหนัก มันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่า Burden of life ขึ้นมา ของหนักของชีวิต ของหนักประจำชีวิต ถ้าจิตไปถือเอาอะไรเป็นอัตตาเข้า จิตนั้นกลายเป็นผู้ถือของหนัก ผู้ถือของหนัก นั่นแหละคือตัวความทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าจิต หรือ The mind The mind ระบุอย่าง The mind ตรงๆเลยว่า ถ้าจิตไปคิดว่าร่างกาย ไอ้ Physical body นี้เป็นตน หรือเป็นของตน จิตก็ถือของหนัก อ่า, คือถือร่างกายว่าเป็นตัวตน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
หมายความว่า จิตไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง มันจึงไปถือ คำว่าถือนี้ก็ความหมายกว้างขวาง Attach to , Grabbing at (47.40) , Clinging to แล้วแต่จะใช้คำไหนก็ได้ ว่าสิ่งนั้นเป็นอัตตา เป็นอัตตา เช่นจิตมันถือว่า ร่างกายนี้ เป็นอัตตา นั่นก็กลายเป็นถือของหนัก ถือของหนักอยู่เสมอ มันก็คือมีความทุกข์อยู่เสมอ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าเดี๋ยวนี้จิตไปยึดถือ ไป Classify หรือว่าไป Regard ไอ้ Consciousness ว่าเป็นอัตตา นี่ยิ่งหนักขึ้นไปอีก เอา Consciousness เป็นอัตตา ก็รู้สึกว่ามีอัตตาอยู่เสมอ ไอ้ Consciousness กลายเป็น Burden of life แก่จิตขึ้นมา ทันที นี่เรียกว่า เรื่องที่สำคัญมาก ที่เป็นกันอยู่ทั่วๆไป ไปถือว่าจิต อ่า, ไปถือว่าวิญญาณน่ะ จิตไปถือว่า The mind น่ะ ไปถือ Consciousness ว่าเป็นตัวตน นี่ดูให้ดี เรากำลังเป็นอย่างนี้กันอย่างเข้มข้นด้วยกันทุกคน จึงควรรู้ความจริงเสียว่า แม้ ไอ้ Consciousness นั้น มันก็มิใช่อัตตา มิใช่ตัวตน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คำว่า วิญญาณ นี้มีความหมายที่กำกวม หมายถึง Consciousness ก็ได้ แต่ยังหมายถึง Self หรือ Soul ก็ได้ ชาวอินเดียหรือที่เชื่อตามชาวอินเดียสอน ก็ถือว่า วิญญาณ นั่นน่ะ เป็น Self หรือเป็น Soul แต่พระพุทธเจ้า ท่านสอนเสียใหม่ มันเป็นเพียง Consciousness Consciousness ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าถืออย่างชาวอินเดีย โบราณถือ ไอ้ Consciousness น่ะ กลายเป็นตัว Self หรือตัว Soul เสียเอง คำว่า วิญญาณ มีความหมายแตกแยก กันอย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
การที่ถือว่า วิญญาณ คือ Self หรือ Soul มันมีความหมายกว้างออกไป คือมันเป็น Self หรือ Soul คือเอา เก็บเอาทั้ง ๕ อย่าง มาเป็นของ Self หรือของ Soul ขอบเขตมันกว้างอย่างนั้น ถ้าเอาวิญญาณเป็นตัว Soul แล้วก็ ทั้ง ๕ อย่างนั้นมาเป็นสมบัติ ของ Soul ของ Self เดี๋ยวนี้เราแยกเป็น ๕ อย่าง ๕ อย่าง ๕ อย่าง แต่ละอย่าง ละอย่าง เป็นอิสระ เป็นอิสระ แต่ก็ยังถูกยึดถือว่าเป็นอัตตา อัตตาทุกๆอย่าง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้เมื่อ Consciousness ทำหน้าที่ของมัน ก็เกิด ไอ้ Contact หรือ ผัสสะ Contact ต่อสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อมีผัสสะแล้ว ก็มีเวทนาคือ Feeling ความเชื่อนั้นก็ยังมีต่อไปว่า สิ่งที่ Feel ได้หรือ Feeler นั้นน่ะ มันก็เป็น อัตตาอีกนั่นเอง
(เสียงผู้บรรยายแปล) อันนี้หมายถึงถ้าหากว่าถือว่าทุกอย่างเป็น Self และ Soul แล้วจะถือว่าทุกอย่าง เป็นอัตตาใช่ไหมคะ
ไม่ใช่นั้นมันเป็นไอ้ ไอ้ตัว ตัวรวม เมื่อพูดรวม เดี๋ยวนี้พูดตามธรรมชาติว่า Consciousness ทำหน้าที่ผัสสะ มีผลออกมาเป็น Feeling ไอ้สิ่งที่ทำ ทำ Feeling มันก็ ก็สักว่าเวทนา แต่พวกนี้ก็ถือว่า เวทนานั้นก็คืออัตตา หรืออัตตาเป็น Feeler
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อรู้สึกเวทนา หรือมี Feeling เสร็จแล้ว ความรู้สึกนั้นมันก็ มีความมั่นหมาย มีความมั่นหมาย คือว่า มีการตีความหมาย Interpret ต่อความหมายอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น ที่เรียกว่า Perception มันก็มีขึ้นมา พวกที่ถือว่ามีอัตตา เขาก็ว่าอัตตา อัตตา อัตตา นั่นแหละทำ Perceive หรือ Perceiever พุทธศาสนาสอนว่า มิใช่ มิใช่อัต…มิใช่อัตตา ไอ้ Perception นี้เกิดเองตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ตามกลไกของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมี Perception อย่างใดอย่างหนึ่งลงไปแล้ว มันก็ Conceive ให้เกิดเป็น ความคิด ความ ความต้องการ หรืออะไรก็ตามขึ้นมา ที่เรียกว่า Conception นี่ก็เกิดตามกลไกของธรรมชาติ ไม่ใช่การกระทำของอัตตา แต่พวก นู้นเขาก็ถือว่า นี่ อัตตา อัตตาทำหน้าที่ Conceive เป็น Conceiver มันต่างกันอย่างนี้ เขามีอัตตาเป็นผู้กระทำ ไปได้ทุกอย่าง ทางพุทธศาสนาเป็นเพียงธรรมชาติ ตามธรรมชาติ กลไกของธรรมชาติ ไม่มีอัตตา เขาก็มีอัตตา ๕ อย่าง ไอ้เราก็มี อนัตตา ๕ อย่าง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอให้เรามาดูสิ่งทั้ง ๕ นี้ซ้ำ อย่างละเอียดกันอีกครั้งหนึ่ง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สิ่งแรก เรียกว่า รูปขันธ์ Material aggregate คือ Aggregate ส่วนที่เป็น Material ที่เรียกว่า รูป รูป Material faculty Material faculty แบ่งออกเป็นข้างนอก อ่า, ข้างในและข้างนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ อ่า, ตา หู จมูก ลิ้น กาย น่ะ ไม่ไปถึงใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่างนี้ ก็เรียกว่า รูปขันธ์ ข้างใน Inner material aggregate ที่มันมี ไอ้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ข้างนอกอีก ๕ อย่าง สำหรับเป็นคู่กัน นี่ก็เรียกกันว่า รูปขันธ์ ฝ่ายข้างนอก Outer material aggregate ทั้ง ๒ อย่างนี้รวมกันเรียกว่า รูปขันธ์ รูปขันธ์ Material aggregate รู้จักให้ดี มีอยู่ที่ร่างกายนี้ เกี่ยวข้องกันอยู่กับร่างกายนี้ ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา นี่ อย่างที่ ๑ เรียกว่ารูปขันธ์ Material aggregate มีทั้งอย่างที่เป็นอยู่ข้างใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และเป็นข้างนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นี่รวมเรียกว่า รูปขันธ์ คำเดียว ขอให้เข้าใจ รู้จัก รู้จักมันให้ถึงที่สุด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
Inner รูปขันธ์ ระบุไปยัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ประกอบอยู่ด้วยระบบประสาท Nervous system มันไม่ใช่ตาเฉยๆ ไม่ใช่หูเฉยๆ จมูกเฉยๆ มันตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ประกอบอยู่ด้วย Nervous system ด้วย มันจึงจะเรียกว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่เป็นรูปขันธ์ที่อยู่ภายในภายในคือในร่างกาย และที่มันอยู่ข้างนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ๕ อย่างนั้น คือคู่ที่จะเข้ามากระทบกับรูปขันธ์ข้างใน แต่ก็เรียกว่ารูปขันธ์เหมือนกัน รูปขันธ์ข้างนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รูปขันธ์ข้างในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจับคู่กันได้เป็น ๕ คู่ เรารู้จักไอ้รูปขันธ์ ทั้งข้างนอกข้างในที่มีอยู่ แวดล้อมเราอยู่ เกี่ยวข้องกันอยู่ ให้ดีที่สุดว่ามันเป็น อนัตตา สิ่งเป็นไป ตามกฎของธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นอัตตา คือของจริงของแน่นอน นิรันดร ที่เรียกว่าอัตตาน่ะ เป็นไปไม่ได้ รูปขันธ์ทั้ง ๒ ชนิด เป็นอัตตาเป็นนิรันดร เป็น เป็น อ่า, เป็นชีวิต หรือจะเป็นอัตตานิรันดารไปไม่ได้ นี่ข้อแรก นี่ข้อแรกคือเห็นว่ารูปขันธ์ว่าอนัตตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/