แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนอื่นทั้งหมด อาตมาขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ เพื่อแสวงหา ความรู้ทางธรรมะ เพื่อประกอบการดำเนินชีวิต ให้มีผลดีที่สุด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สิ่งแรกที่จะต้องทำความเข้าใจกันก่อน ก็คือ ปัญหาหรือคำถามที่ว่า ธรรมะทำไมกัน ทำไมจึงต้อง มาแสวงหาธรรมะ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านย่อมมองเห็นได้เองว่า ในการศึกษาธรรมะนั้น เราจะต้องพยายามอย่างยิ่ง ถึง ๓ ขั้นตอน ที่ว่าต้องรู้ เรียนรู้อย่างถูกต้อง แล้วก็ต้องปฎิบัติอย่างถูกต้อง และยังจะต้องได้รับผลของการปฎิบัติอย่างถูกต้อง อีกด้วย มันเป็นความพยายามมากอยู่ ดังนั้นจึงต้องรู้ให้ชัดเจนลงไปว่า ทั้งหมดนี้ ทำไปทำไมกัน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คำตอบมีได้มากมาย คือมันหลาย หลายแง่มุม จะต้องทำความเข้าใจกันทีละแง่มุม ทีละแง่มุม จนกว่าจะเห็นว่าเพียงพอ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในชั้นแรกที่สุด เราจะมองสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ในฐานะ เอ่อ, เป็นกฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ข้อนี้เพราะเหตุว่า ชีวิต สิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตนั่นมันก็เป็นตัวธรรมชาติ และมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ เราจึงต้องรู้ความลับข้อนี้ว่า ต้องมีการประพฤติกระทำที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราควรจะมองโดยภายนอกอย่างครบถ้วนว่า ในสากลจักรวาลทั้งหมดนี้ ตั้งแต่ ปรมาณูหนึ่งๆขึ้นไป จนถึงว่าเป็น ดวงดาว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ทั้งหลายนี่ มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ และก็มีกฎของธรรมชาติ บังคับอยู่ ดังนั้นสิ่งที่มีชีวิตทุกชีวิตจะต้องมีหน้าที่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมองดูข้างนอก แล้วเราก็ย้อนมามองดูข้างใน คือตัวชีวิต หรือตัวสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ก็ยิ่งเห็นชัดว่า มันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ ก็จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อย่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คำว่า ธรรมชาติ ธรรมชาติ ในภาษาบาลีหรือภาษาธรรมะนี่ เราให้ความหมายถึง ๔ ความหมาย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คือตัวธรรมชาติ สภาวะตามธรรมชาติ ตัวธรรมชาตินี่ ก็เรียกว่า ธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
และ ตัวกฎของธรรมชาติ ที่บังคับสิ่ง... ที่บังคับธรรมชาติเหล่านั้นอยู่ ก็ยังคงเรียกว่าธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
และหน้าที่ หน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้น ก็เรียกว่า ธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แม้สิ่งสุดท้ายคือ ผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น ก็ยังคงเรียกว่า ธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ ความหมายอันแปลกประหลาด ของคำว่าธรรมชาติ ที่เป็นภาษาธรรมะ หรือภาษาบาลีนี้ ในลักษณะอย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สรุปความสั้นๆว่า คำว่า ธรรมชาติในภาษาธรรมะนั้น กินความถึงทุกสิ่ง ทุกสิ่ง และไม่มีคำว่า เหนือธรรมชาติ ไม่มีคำว่า เหนือกว่าธรรมชาติ แม้เหนือธรรมชาติก็ยังคงเรียกว่า ธรรมชาติ นี่คำว่า ธรรมชาติ ธรรมชาติ ในภาษาธรรมะหรือภาษาพุทธศาสนามันเป็นอย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้เราก็มาดูชีวิตของเรา ในฝ่ายรูปธรรมหรือฝ่ายวัตถุ คือตัวร่างกาย ตัวร่างกายแท้ๆนี้ ก็เป็นธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราจะต้องมีร่างกายที่เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
การจัดให้ร่างกายเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่า ธรรมะ หรือการปฏิบัติธรรมะ โดยตรง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้นเราจึงมีหน้าที่ ที่จะจัดให้ร่างกายของเรานี้ เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ที่ลำบากไปกว่านั้นก็คือส่วนที่เป็นจิตใจ เป็นจิต จิตใจซึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับฝ่ายวัตถุ เรายังมีส่วนที่ เป็นจิตใจ ความคิดนึกรู้สึกของจิตใจ ก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องจัดให้มันเป็นไปอย่างถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แต่ในทางธรรมะนั้น จัดร่างกายและจิตใจรวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน คือเป็น เอกวจนะ เรียกว่า นามรูป กาย ใจ รวมเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่จัดเป็น ๒ สิ่ง มิใช่พหุวจนะ เราจึงรู้จัก กายใจ กายใจ ในฐานะเป็นสิ่งเดียวกัน หรือจะต้องได้รับการควบคุม จัดแจง ปรับปรุง ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในการพูดจา เราแยกออกเป็น ๒ เรื่องได้ คือเป็น เรื่องทางกายเรื่องหนึ่ง ทางจิตเรื่องหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติ ในทางปฏิบัติโดยตรงนั้น ไม่อาจจะแยก ที่จะต้องปฎิบัติพร้อมกันไปทั้ง ๒ อย่าง ถูกต้องพร้อมกันไปทั้ง ๒ อย่าง คล้ายกับว่าเป็นสิ่งเดียว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในทางฝ่ายร่างกายก็ต้องจัดให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์ของ ปฏิจจสมุปบาท ในทางฝ่ายจิตใจ ก็ยังต้องจัดให้ถูกต้อง เป็นไปอย่างถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์ของ กฎปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเราจะได้ศึกษาต่อไป โดยละเอียด สำหรับคำว่า กฎปฏิจจสมุปบาท
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สำหรับเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นั้นเป็นเรื่องละเอียดและลึกซึ้ง เราจะไว้พูดกันทีหลัง แต่ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต้องรู้ เพื่อปฏิบัติชีวิต ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิต ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เรื่องปฏิจจสมุปบาท Dependent origination นี่ เป็นเรื่องสำคัญ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม” ธรรมะน่ะ “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นฉัน”
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็คือ เรื่องกฎของธรรมชาติ ที่ว่า ความทุกข์จะเกิดขึ้นมาอย่างไร และความทุกข์ จะดับลงไปอย่างไร นี่เรียกว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องหัวใจของธรรมะ หรือเป็นตัวจริงของพระพุทธเจ้า
/เสียงภาษาอังกฤษ/
กฏของปฏิจจสมุปบาท ก็คือกฎของธรรมชาติ ที่แสดงให้เห็นชัดว่า ความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ ดับไปอย่างไร เมื่อเรารู้จักกฎอันนี้ เราก็สามารถจัดให้ชีวิตนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติ แล้วมันก็ จะหมดปัญหา หมดปัญหาทั้งในคำว่า Question ก็ดี ในคำว่า Problem ก็ดี มันจะหมดปัญหาด้วยประการทั้งปวง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้นเมื่อมีการถามว่า ธรรมะทำไมกัน คำตอบจึงมีสั้นๆว่า ธรรมะเพื่อจัดชีวิตให้ถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่า กฎปฏิจจสมุปบาท
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้นสรุปความได้ว่า คำตอบที่ ๑ ของคำถามว่า ธรรมะทำไมกัน นั้นก็ตอบว่า เพื่อรู้จักกฎของธรรมชาติ ที่เกี่ยวกับชีวิต และสามารถดำเนินชีวิต ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั่นเอง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้คำตอบที่ถัดไป ก็มีว่า ธรรมะเพื่อทราบวิถีทางแห่งชีวิต เป็นเรื่องของสติปัญญาของเราเอง เราจะมีสติปัญญา ที่เพียงพอในการที่จะรู้จักวิถีทางแห่งการดำเนินไปของชีวิต นี่เพื่อตอบคำถามว่า ธรรมะทำไมกัน ก็ตอบว่า เพื่อรู้จักวิถีทางดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในข้อแรก เรารู้จักตัวชีวิต ในข้อที่ ๒ นี้ เรารู้จักวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิต
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นักศึกษาในโลก อาจจะค้นพบหรือบัญญัติวิถีทางแห่งชีวิตไว้มากมาย หลายอย่างหลายประการ แต่ในทางพุทธศาสนาแล้ว ตอบได้สั้นๆเพียงอย่างเดียวว่า วิถีทางแห่งชีวิต ก็คือวิธีปฏิบัติต่อชีวิต อย่างถูกต้องต่อกฎของธรรมชาติ อย่างที่กล่าวแล้ว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คำว่าทางหรือ Way นี่ เป็นคำที่มีความหมายมาก หรือสำคัญ หรือสูงสุด ในพุทธศาสนานี้ก็ยึดเอาคำนี้ เป็นหลัก คือเรื่อง Eightfold path ทางมีองค์ ๘ ประการ ก็ถือเอาความรู้เรื่องทาง ทางนี้ เป็นตัวเรื่อง ของพุทธศาสนา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
พระ Jesus Christ ก็ตรัสว่า ตัวเราแหละคือทาง ตัวฉันแหละคือทาง คือทางที่ให้ถึงพระเป็นเจ้า
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้น Christianity ก็คือเรื่องหนทาง หนทาง Way of life ที่จะไปสู่พระเป็นเจ้า
/เสียงภาษาอังกฤษ/
มาดูทางตะวันออกอีกทีว่า เหลาจื้อ เหลาซื่อ เหลาซื่อ ของจีน ก็สอนมากมายสำหรับสิ่งที่เรียกว่า เต๋า และคำว่า เต๋า ก็แปลว่าทาง คือทางออกไปเสียจากปัญหา หรือความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นทางออกไปเสียจากปัญหาทั้งหมด นี่ก็เรียกว่า ทาง นี่คือความสำคัญของคำว่า ทาง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด ทุกระดับ จะต้องมีหนทางแห่งชีวิตของตนเอง เพื่อจะออกไปเสียจากปัญหา คือความทุกข์ทั้งปวง นี่คือความสำคัญของคำว่า ทาง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แม้ในพุทธศาสนาจะเรียก หนทาง ว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ Eightfold path แต่แล้วหนทางนั้น ก็ต้องถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของ ปฏิจจสมุปบาท ตามกฎของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติ สรุปความได้ว่า การดำเนินไปให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละคือหนทาง หนทาง จะไปสู่จุดหมายปลายทางคือ นิพพาน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง ตามหนทาง หรือตามกฎเกณฑ์แห่งหนทาง ความทุกข์ใดๆ เกิดขึ้นไม่ได้แก่ชีวิตนั้น คือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาใดๆ เกิดขึ้นไม่ได้แก่ชีวิตนั้น ถ้าว่าชีวิตนั้นมันดำเนินอยู่ในหนทาง แห่งถูกต้องของมันเอง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ในหัวข้อที่ ๓ คำตอบที่ ๓ ธรรมะทำไมกัน จะระบุไปยังสิ่งที่ ทั้งโลก ทั้งโลกเขาสนใจกันที่สุดคือ Art ในที่นี้เราจะต้องเล็งถึง Art of life ที่เรียกว่า Buddhist art
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คำว่า Art มีปัญหามาก คือชาวต่างประเทศมารวบรวม Buddhist art เขาพูดว่า เขามารวบรวมหา Buddhist art เอาไปที่...เอาไปต่างประเทศ แต่สิ่งที่เขารวบรวมไปนั้นไม่ใช่ Buddhist art เลย มันเป็นวัตถุ ศิลปะ ในความหมายของศิลปะทั่วๆไป ไม่ใช่ Buddhist art ฉะนั้นขอทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า Buddhist art นั่นมัน คืออะไร
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คำว่า Art ในพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่วัตถุ หรือเกี่ยวกับวัตถุ แต่เกี่ยวกับความคิด หรือวิธีคิด วิธีคิดอันงดงามที่สุด ที่สามารถทำชีวิตให้อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านจงลองคิด อย่างรวบรัดสั้นๆดูทีก่อนว่า สิ่งไรที่มีความงดงามสูงสุด คือความงดงามสูงสุด นั่นมันมี อยู่ที่ไหน ในที่สุดท่านจะพบว่า ไอ้ความงดงามที่สุดนั้น มันอยู่ที่ ภาวะแห่งชีวิตซึ่งหมดปัญหา ภาวะแห่งชีวิต ที่หมดปัญหา อยู่เหนือปัญหาใดๆโดยประการทั้งปวง นั่นคือสิ่งที่งดงามที่สุด ซึ่งเป็นความหมายของคำว่า Art ดังนั้นวิธีทำให้ชีวิตหมดปัญหา ให้รู้ถึงความงดงามอันนี้ เราเรียกว่า Buddhist art
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ข้อนี้มันเกี่ยวกับข้อที่แล้วมา คือถ้าเรามีวิถีทางแห่งชีวิตอันถูกต้องแล้ว เราก็จะมี ศิลปะแห่งชีวิต อันถูกต้องของพระพุทธศาสนา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
(เสียงผู้บรรยายแปล) ท่านอาจารย์ กรุณาพูดอีกครั้งได้ไหมคะ
ว่าเมื่อเราประสบความสำเร็จในการมีวิถีทางแห่งชีวิตแล้ว ก็เป็นการง่าย ที่เราจะมี Art แห่งชีวิต ตามหลักพระพุทธศาสนา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในพุทธศาสนาก็มีคำว่า Art หรือความหมายของคำว่า Art มากเหมือนกัน แต่เนื่องจากไม่ค่อยจะมีใคร เอามาพูด จึงดูคล้ายๆว่า ไม่เกี่ยวข้องกันเสียเลย อาตมาขอยืนยันในที่นี้ว่า พุทธศาสนาก็เป็น Art of life
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้นเมื่อถามว่า ธรรมะทำไมกัน เราก็ตอบได้สั้นๆอีกอย่างหนึ่งว่า เพื่อจะมี Art of life อย่างดีที่สุด เท่าที่มนุษย์ควรจะมีได้ และชีวิตของเขาก็จะงดงามที่สุด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงกำชับ ตรัสอย่างกำชับว่า จงศึกษาและปฏิบัติพุทธศาสนา แล้วก็สอน พุทธศาสนา ต่อไป อย่างให้มีความ...อ่า, อย่างที่ให้มีความงดงามทั้งในเบื้องต้น ทั้งท่ามกลางและที่สุด เน้นถึงอย่างนี้ ให้งามทั้งเบื้องต้น ทั้งท่ามกลางและที่สุด ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมะ และสอนธรรมะต่อไป
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สรุปความในตอนนี้ สั้นๆก็ว่า ความรู้เรื่อง สิ่งทั้งปวงไม่ใช่อัตตา ชีวิตไม่ใช่อัตตานี่ ถ้ารู้ข้อนี้ เป็นงาม ข้อแรก แล้วก็รู้ว่าไอ้ความโง่ว่าอัตตา ว่าความโง่ ความหลงอัตตา เกิดขึ้นได้อย่างไร ความรู้นี้เป็นความงามที่ ๒ แล้วความรู้ว่า จะดับไอ้ความโง่อันนี้ไปได้อย่างไร อันนี้เป็นความงามที่ ๓ มีเรื่องราวละเอียดมาก ซึ่งจะต้องพูดกัน คราวหลัง แต่ว่าถ้าพูดถึงความงาม งามอย่างยิ่งในทางจิตใจของพุทธศาสนาแล้ว รู้เรื่อง Egoistic concept ว่ามัน มันมีอยู่ที่ไหน มันเกิดขึ้นอย่างไร และมันจะดับไปอย่างไร ถ้ารู้ทั้ง ๓ นี้ ก็เรียกว่า รู้ทั้ง ๓ ความงาม ของพระพุทธศาสนา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
พูดให้สั้นๆอีกครั้งหนึ่งก็ว่า ความรู้ที่ว่าอัตตา อัตตา Egoistic concept มันคืออะไร Egoistic concept มันคืออะไร แล้ว Egoistic concept มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้ว Egoistic concept มันจะดับไปได้อย่างไร ถ้าใครรู้ทั้ง ๓ ขั้นตอนนี้ เรียกว่าเขารู้จัก ความงามของพระพุทธศาสนาครบทุกขั้นตอน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านผู้ใดสนใจ หรือว่าพอใจในสิ่งที่เรียกว่า Art ล่ะก็ ขอให้สนใจพุทธศาสนาในฐานะที่เป็น Art สูงสุด เป็น Art ในทางความคิด ในการพัฒนาชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทาง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ข้อถัดไปว่า ธรรมะทำไมกัน จะตอบเป็นข้อที่ ๔ ว่า เพื่อความมีสุขภาพ อ่า, อันสมบูรณ์ Health Health สุขภาพทั้งทางกายและทางจิตอันสมบูรณ์ พุทธศาสนาเพื่อความมีสุขภาพทั้งทางกายและทางจิตอันสมบูรณ์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ปัญหาทางสุขภาพ ที่ยิ่งใหญ่นั้นน่ะ มันเกี่ยวกับทางจิต เพราะว่ามันนำ นำทุกสิ่งทุกอย่าง กายนั้นก็ถูกนำ ไปโดยจิต ถ้าจิตไม่ถูกต้อง มันก็ ทุกอย่างมันก็ผิดไปหมด ฉะนั้นเราจะต้องมีความถูกต้องทางจิต จะต้องมีสุขภาพ อ่า, ทางจิตหรือทางวิญญาณ เป็นส่วนสำคัญ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราควรจะจัดลำดับแห่งปัญหาทางสุขภาพนี้ ให้เป็นสัก ๓ ชั้น คือชั้นร่างกายหรือ Physical แล้วชั้น Mental กับชั้น Spirituality รวมเรียกว่าเป็นฝ่ายจิต ปัญหาทางฝ่ายกายก็ไปรักษา อ่า, แก้ไขกันตามทางร่างกาย แต่ถ้า ไอ้ทาง Mental ก็ต้องหาแพทย์ทาง Mentality แต่ถ้าเป็นเรื่องทาง Spirituality แล้วต้องมาหาธรรมะ สิ่งอื่นไม่ช่วยแก้ไขได้ นอกจากความถูกต้องทางธรรมะ ก็จะขจัดปัญหาสุขภาพในระดับ Spiritual
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สุขภาพไม่ดี สุขภาพของทางกายและทางจิตไม่ดี นี้เรามีปัญหา ซึ่งเรียกกันอยู่ในปัจจุบันนี้ว่า ความเครียด ความเครียดนี่ ขอให้เข้าใจคำๆนี้ให้ดี ความเครียดนี่มีทั้งทางกายและทั้งทางจิต จะต้องหมดความเครียด ทั้งทางกายและทางจิต จึงจะเรียกว่ามีสุขภาพดี ขอให้ทำความเข้าใจ คำว่าความเครียดนั้นให้ถูกต้อง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าจะระบุไปให้ตรงๆ ชัดๆ ไอ้ความเครียดนี่ จะต้องระบุไปยังสิ่งที่เรียกว่า Burden of life ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่า อุปาทาน การถือของหนัก การแบกถือหรือหิ้วก็ได้ของหนัก แล้วมันก็มีความหนัก ก็เป็น Burden of life ความรู้สึกอันนี้เราเรียกกันว่า ความเครียด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความเครียดมีได้ทั้งอย่างบวก และอย่างลบ คนที่บ้าบวกน่ะระวังให้ดี จะมีความเครียดมากเท่าที่ เท่ากับความหลงบวก ไอ้ความเป็นลบไม่ค่อยมีใครหลง แต่มันก็ยังมีความเครียด ฉะนั้นความเครียดมีได้ทั้ง ความรู้สึกที่เป็นบวก และความรู้สึกที่เป็นลบ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความเครียดทางบวกก็คือ ความรบกวนแห่งจิตใจว่า เมื่อไรมันจะได้ เมื่อไรมันจะได้ อ่า, ตามที่ต้องการ เมื่อไรมันจะได้ ตามที่เราต้องการ เมื่อเป็นฝ่ายลบก็ว่า กลัวว่ามันจะเสียไป กลัวมันจะเสียไป ความห่วงหรือ ความหวังว่าจะได้น่ะ มันเป็นบวก ความกลัวที่ว่าจะเสียไปน่ะ มันเป็นลบ เราในโลกนี้ปัจจุบันนี้ เครียดอยู่ด้วย ความเครียดทั้ง ๒ ประการนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความรู้ทางธรรมะที่สูงสุดแล้ว มันทำให้หมดความหมายแห่งความเป็นบวก หรือความเป็นลบ จะไม่รู้สึกว่า มีสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ มันจะมีแต่สิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ที่เรียกว่าตาม กฎปฎิจจสมุปบาท ไม่มีความรู้สึกเป็นบวกและความเป็นลบ ดังนั้นความเครียดในความเป็นบวก หรือความเป็นลบมันจึงไม่มี
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความรู้ทาง Spirituality ถ้ามันสูงสุดจริง ถูกต้องจริง มันก็มาสู่จุดที่อยู่เหนือความเป็นบวก หรือความ เป็นลบ ไม่มีอะไรมาทำให้เขารู้สึกเป็นบวกหรือเป็นลบ ดังนั้นความเครียดจึงไม่มี นี่เรียกว่า ประหลาดหรือ น่าอัศจรรย์ ว่ามันอยู่เหนือความเป็นบวกหรือความเป็นลบ แล้วความเครียดมันก็ไม่มี สุขภาพก็สมบูรณ์ถึงที่สุด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านที่เป็นคริสเตียน อ่า, ควรจะระลึกนึกถึงข้อความ ในคำภีร์ไบเบิล ตอนแรกที่สุดน่ะ Old testament ตอนแรกๆ ของคำภีร์ไบเบิล พระเจ้าห้ามผัวเมียคู่แรกที่สร้างขึ้นมาว่า อย่ากินผลไม้ ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว ...Must not take the fruit of the tree of the knowledge of good and evil. Good and Evil นั่นแหละ คือความหมายแห่งความเป็นบวกและลบในที่นี้ ถ้าแกกินเข้าไปแกจะตาย ก็คือว่าอย่าไปหลงบวกและหลงลบ เดี๋ยวนี้คนกำลังหลงบวกและหลงลบ หลง Good and Evil มากเกินไป จนเครียด จนเป็นโรคประสาท จนเป็นบ้า จนฆ่าตัวตายกันมากมาย นี่สุขภาพในระดับ Spirituality มันสูญเสียไปหมดแล้ว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องนี้ อ่า, กันให้ฟังง่ายๆและถึงที่สุด ก็จะต้องนึกถึงคำว่า เสรีภาพ หรืออิสรภาพ ที่ทางศาสนาเรียกว่า Emancipation ถ้ามันยังอยู่ใต้อำนาจของความหมายบวกหรือลบอยู่ มันไม่มี Emancipation คือไม่ Free ไม่เป็นอิสระถึงที่สุด ถ้าจะอิสระถึงที่สุด ต้องอยู่เหนืออำนาจของ อ่า, ความเป็นบวกและความเป็นลบ นั่นน่ะจึงจะไม่มีความเครียดใดๆ เหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว เป็นสุขภาพสูงสุด เอ่อ, ทางจิตทางวิญญาณ ตามหลักของพระศาสนา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้นเมื่อถามว่า ธรรมะทำไมกัน คำตอบในข้อนี้ก็ว่า เพื่อมีสุขภาพอันสมบูรณ์ทั้งทางกายและทางจิต
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ข้อต่อไปอีก ที่ว่า ธรรมะทำไมกัน อยากจะกล่าวว่า เพื่อจะมี คู่ชีวิต ที่ดีที่สุด คำว่า คู่ชีวิตนั้น ต้องตีความหมายดีๆ คู่ชีวิตในที่นี้มันหมายถึง ทางจิต ทางวิญญาณ คู่ชีวิตผัวเมียนั้น มันดูจะเป็นเรื่องเด็กเล่น อยู่มาก คู่ชีวิต หมายความว่าสิ่งที่ช่วยชีวิตหมดปัญหา ช่วยชีวิตหมดปัญหา จึงจะเป็นเพื่อนคู่ชีวิตที่แท้จริง เราจะมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต หรือเป็นเพื่อนที่คู่ชีวิตที่แท้จริง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
Life partner , Life friend นี้ ไม่มีทางที่จะหย่ากัน คู่ชีวิตตามธรรมดาในโลกนี้ เดี๋ยวหย่ากัน เดี๋ยวแต่งงานใหม่ เดี๋ยวหย่ากันเดี๋ยวแต่งงานใหม่ นี่เป็นเรื่องเด็กเล่น แต่ถ้าเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริงแล้ว มันไม่มีทาง ที่จะหย่ากัน คือต้องคู่กันตลอดไป ชีวิตนั้นก็จะคงที่อยู่ในความถูกต้อง ก้าวหน้าไปสู่ จุดหมายปลายทาง ธรรมะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง เป็นความรู้ หมายถึงความรู้ที่ถูกต้อง และปฏิบัติอย่างถูกต้อง ได้รับผลอย่างถูกต้อง มันก็เป็นคู่กันกับชีวิต อ่า, เพื่อความรอด มันช่วยให้รอด Survive น่ะ ทุกๆความหมาย ธรรมะมันช่วยให้ชีวิตรอด อยู่ในทุกๆความหมาย จนถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งเป็นรอดสูงสุด อ่า, เป็น...ทุกๆ ศาสนา มุ่งความรอดถึงที่สุด ด้วยกันทั้งนั้น ในทางพุทธศาสนาเรามีธรรมะเป็นคู่ชีวิต หรือจะเรียกว่าเป็นเพื่อนเดินทาง เดินทาง เดินทางไปจน ถึงจุดหมายปลายทาง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
มีคำที่จะต้องสนใจ และเข้าใจเป็นพิเศษที่สุด อยู่คำหนึ่ง ก็คือคำว่า ความถูกต้อง ความถูกต้อง จะเป็น Righteousness หรืออะไรก็สุดแท้แต่ท่านคงจะทราบกันได้ดี ว่าต้องมีความถูกต้องในทุกๆ ความหมาย ในทุกๆ ขั้นตอน อ่า, ของชีวิต อย่างที่ในพุทธศาสนา เรียกว่า Noble Eightfold path หนทางเดียวประกอบอยู่ด้วย องค์ประกอบ คือความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถึง ๘ ประการ มีความถูกต้องทุกๆ ประการอย่างนี้แล้ว มันก็... ก็รอดตัว คือรอดออกไปได้ รอดออกไปได้ จนถึงจุดหมายปลายทาง ธรรมะคือความถูกต้องของชิวิตทุกๆ ประการ ทั้งในแง่ร่างกาย ในแง่จิตใจ และแง่ Spiritual ท่านดูให้ดี จะเห็นว่า เป็นสิ่งสำคัญ หรือเป็นเพื่อน เป็นคู่ชีวิตที่สำคัญ ที่ต้องไม่หย่าขาดจากกันแล้วก็ไปเรื่อยไป จนถึงจุดหมายปลายทาง นี่ที่ว่า ธรรมะทำไมกัน ธรรมะเป็นคู่ชิวิตได้จนถึงจุดหมายปลายทาง แล้วแต่จะใช้คำ ในศาสนาไหน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ศาสนาแต่ละศาสนา มีคำใช้สำหรับสิ่งที่เรียกว่า จุดหมายปลายทาง ตามแบบแห่งศาสนาของตน ของตน อย่างในพุทธศาสนานี้ก็เรียกว่า นิพพาน เป็นจุดหมายปลายทาง ศาสนาฮินดูก็เรียกว่า โมกษะ หรือว่าการถึง ปรมาตมัน ก็ตาม เป็นจุดหมายปลายทาง หรือที่ ศาสนาที่มีพระเจ้าอย่างอื่นก็ หมายเอาการ เข้าไปรวมเป็น อันเดียวกับพระเป็นเจ้านั่น เป็นจุดหมายปลายทาง จะใช้คำอย่างไร อย่าไร ในลักษณะของศาสนาไหนก็ตาม มันมีความหมายสำคัญรวมอยู่ที่ว่า อยู่เหนือความเป็นบวกและความเป็นลบ อิสระจากอิทธิพลของ ความเป็นบวกและความเป็นเลบ นี่ถึงจุดหมายปลายทางคือ ชีวิตอิสระ อิสระ อิสระ ธรรมะช่วยตลอดทาง ช่วยตลอดเวลา ให้เราไปสู่นิพพาน หรือไปสู่โมกษะ หรือไปสู่ความเป็นอันเดียวกันกับพระเป็นเจ้า ตลอดทาง ตลอดทางอันยืดยาวนั้น ขาดสิ่งนี้ไม่ได้ คือขาดธรรมะไม่ได้ จึงถือว่าเป็นคู่ชีวิตอันแท้จริง ซึ่งมีการเดินทางอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ข้ามการถอดเสียง เพราะมีการตัดต่อเสียงซ้ำ นาทีที่ 1.16.29 - 1.18.05
(ได้แก่ นาทีที่ 1.16.29 – 1.17.57 ซ้ำกับ 1.18.05 -1.18.54)
ดังนั้นในความหมายนี้เมื่อถามว่า ธรรมะทำไมกัน ก็ตอบว่า ธรรมะเพื่อมีคู่ชีวิต เพื่อความมีคู่ชีวิต อย่างถูกต้อง จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง จำเป็นอย่างที่จะขาดเสียไม่ได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในความหมายข้อต่อไป สำหรับว่า ธรรมะทำไมกัน อยากจะชี้มาในเรื่องโลกๆ ในโลกนี้กันบ้าง ว่าธรรมะเพื่อประโยชน์ เพื่อผลประโยชน์อันสูงสุด ทางเศรษฐกิจ และทางการเมือง Economic กับ Politic สำหรับเศรษฐกิจ เศรษฐกิจตามหลักของพระพุทธศาสนานั่น เราหมายถึงการทำสิ่งที่มีประโยชน์น้อย ให้มีประโยชน์มาก หรือถึงกับทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งธรรมดา ใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ สามารถทำให้มีประโยชน์ และที่มีประโยชน์น้อยๆ นี่ก็จะสามารถทำให้มีประโยชน์ มากที่สุด มันก็คือ สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นเอง สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นเอง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราจะเห็นได้ง่ายๆว่า ชีวิต ชีวิตนั้น ถ้าไม่มีการกระทำที่ถูกต้อง มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเอาสิ่งที่ เรียกว่าธรรมะ ธรมะ เข้ามาประกอบกันกับชีวิต มันก็กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด ขาดธรรมะแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คือมันไม่มีหน้าที่ ที่ถูกต้อง ธรรมะคือหน้าที่ ที่ถูกต้อง พอเข้ามาก็มีประโยชน์ ที่มันเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา ที่มนุษย์เขาใช้ๆกันอยู่ มันมีประโยชน์น้อยไม่คุ้มค่า ชีวิตนี้ต้องมีประโยชน์ คุณค่าสูงสุด อย่างที่ว่าไปอยู่ไปรวมกับพระเป็นเจ้า หรือถึงนิพพาน หรือถึงโมกษะ มันมีประโยชน์มาก ที่ชาวโลกเขาทำกัน ทำกันตามธรรมดา มันยังน้อยไป นี่ขอให้เข้าใจว่า เราจะทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ให้มีประโยชน์ แล้วเราจะทำสิ่งที่มีประโยชน์น้อย ให้มันมีประโยชน์มากที่สุด สูงสุดตามที่มัน จะเป็นได้ นี่เรียกว่าในแง่ของ เศรษฐกิจตามหลักธรรมะ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้มองดู เอ่อ, ในแง่ของการเมือง คำว่า การเมืองนี้ กำลังเป็นปัญหาอันไม่มีที่สิ้นสุด คือทำโลกให้มี สันติภาพไม่ได้ เพราะมันไม่มีความถูกต้องทางการเมือง โลกกำลังไม่มีสันติภาพ และยังจะไม่มีอีกต่อไป เพราะมันไม่มีความถูกต้องทางการเมือง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คำว่า การเมือง อาตมาอยากจะจำกัดความหมายของมันลงไปว่า การจัดโลกให้มีสันติภาพ โดยไม่ต้อง ใช้อาชญา โดยไม่ต้องใช้อาชญาอาวุธ การจัดโลกให้มีสันติภาพโดยไม่ต้องใช้อาชญา นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการเมือง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เดี๋ยวนี้เราจัดไม่ได้ เราจัดไม่ได้ เพราะว่า เราขาดสิ่งสำคัญ คือความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ ในฐานะเป็น ผู้มีปัญหาอย่างเดียวกัน คือเราเป็นเพื่อนกันในความเกิด ในความแก่ ในความเจ็บ ในความตาย โดยธรรมชาติ แต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้น เรามารู้สึกว่าฉันก็ฉัน คุณก็คุณ มึงก็มึง กูก็กู ความรักเพื่อนมนุษย์ในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็มีไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ การเมืองมันก็เป็นไปไม่ได้ ในการที่จะไม่ต้องใช้อาวุธ และก็มีสันติภาพด้วย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อไรมีธรรมะอยู่ในจิตใจ คนนั้นจะเกิดความรู้สึก ในความเป็นเพื่อน ทั้ง ๔ ความหมาย เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย แล้วเขาก็อยู่กันอย่างเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย โลกนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร มีสันติภาพได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คำว่า Socialism Socialism นั้นน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะว่ามันต้องมาจากความรักผู้อื่น ใน ใน ๔ ความหมาย แต่เดี๋ยวนี้เรามี Socialism ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง เรามี Socialism ของผู้เห็นแก่ตัว Selfishness เรามีแต่ ไอ้ Selfish Socialism เราไม่มี Dharmic Socialism ถ้าเรามี Dharmic Socialism โลกนี้จะมีสันติภาพ เดี๋ยวนี้เรามีแต่ Selfish Socialism เลยไม่ต้องมี
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอให้ช่วยจำคำ คำนี้ไว้ ตลอดเวลาว่า Dharmic ในสันสกฤตออกเสียงเป็น ทะ-ระ-มิก ในบาลีออกเสียง เป็น ทำ-มิก ทำ-มิก แปลว่าประกอบอยู่ด้วยธรรมะ เนื่องกันอยู่กับธรรมะ หรือว่าเป็นไปตามหนทางแห่งธรรมะ ก็เรียกว่า Dharmic คำนี้เดี๋ยวนี้ ก็เข้าไปอยู่ใน Dictionary ของภาษาต่างประเทศแล้ว แต่ยังไม่ค่อยจะทราบ ความหมายอย่างถูกต้อง ว่ามันคืออะไร ถ้าเอาคำว่า Dharmic มาประกอบกันเข้ากับคำว่า Socialism เป็น Dharmic Socialism แล้ว โลกนี้ก็มีแต่สันติภาพโดยไม่ต้องสงสัย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เอาล่ะเป็นอันว่าปัญหาในทางการเศรษฐกิจ เราก็มีเศรษฐกิจที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่ ไม่ใช่ Selfish Economic ในทางการเมือง เราก็มีการเมืองที่ไม่เห็นแก่ตัว มี Dharmic Socialism ทั้งสองอย่างนี้มีได้เพราะสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ เพียงอย่างเดียว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อถามว่า ธรรมะทำไมกัน เราจะตอบว่า ธรรมะเพื่อมีเศรษฐกิจและการเมืองอย่างถูกต้องในโลกนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ก็ข้อต่อไป ที่จะเป็นคำตอบของปัญหาว่า ธรรมะทำไมกัน เราจะใช้คำสั้นๆว่า เราจะมีการพัฒนาที่ ประกอบไปด้วยธรรมะ พัฒนาหรือ Development เดี๋ยวนี้มันไม่ Dharmic คือมันไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ มันพัฒนาเพื่อตัวกูเพื่อของกู มันเป็น Selfish Development กันไปเสียทั้งโลก ทั้งโลก โลกก็ไม่มี อ่า, สันติภาพ ฉะนั้นขอให้เรามาตั้งต้นกันเสียใหม่ว่า ไอ้การพัฒนาโลก พัฒนาโลก นี้ ต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ คือความถูกต้อง ถูกต้อง ในทุกความหมาย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เดี๋ยวนี้ในโลกทั้งโลก เรามีแต่พัฒนาเพื่อความเห็นแก่ตัว เพื่อสนองความ ความอยากของตัว มันไม่มีการ พัฒนาเพื่อธรรมะ คือเพื่อความถูกต้อง มันมีแต่ Selfish Development มันไม่มี Dharmic Development นั่นเอง แก้ไขกันส่วนนี้แล้ว โลกนี้ก็มีสันติภาพ คือมีธรรมะเพื่อการพัฒนาโลก
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้นเมื่อถามว่าธรรมะทำไมกันก็ตอบว่า มีธรรมะเพื่อพัฒนาโลกให้ถูกวิธี
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ข้อต่อไป ที่จะตอบปัญหาว่า ธรรมะทำไมกัน ขอระบุไปยังคำว่า จะมีสมรรถนะ อันในหน้าที่ การงานอันสูงสุด สมรรถนะในหน้าที่การงานของตน ของตน อย่างถูกต้องและสูงสุด ธรรมะเพื่อมีสมรรถนะ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เดี๋ยวนี้เรามีสมรรถนะมากเหมือนกัน แต่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ มันก็เป็น Selfish Efficiency ไปเสีย ทั้งสิ้น นี่มาเปลี่ยนกันเสีย กลับกันเสีย ให้มันมี Dharmic Efficiency ในการทำหน้าที่เพื่อตนเองก็ตาม เพื่อสังคม ก็ตาม เพื่อโลกทั้งโลกก็ตาม การงานที่จะต้องกระทำนั้นจะมีความสำเร็จโดยง่ายด้วย แล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์ โดยส่วนเดียว ไม่มีความเลวร้ายแฝงตัวอยู่ในการกระทำนั้น
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เรากำลังมีสมรรถนะมาก มากเหลือเกิน แต่มันไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ มันกลายเป็นไอ้ Selfish ไปเสีย โลกเราจึงไม่มีสันติภาพ เพราะเรามีสมรรถนะแต่ที่จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ทุกคน ทุกสังคม ทุกประเทศ ยังมีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ยิ่งมีสมรรถนะเท่าไร ก็ยิ่งใช้เพื่อความเห็นแก่ตัว โลกนี้เลยไม่มี ไม่มีสันติภาพ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทุกคนก็เห็นได้อยู่แล้วว่า เรามีสมรรถนะทางเครื่องจักร ทางเทคโนโลยี ทางวิทยาศาสตร์ ทางอะไรมากมาย แต่แล้วโลกก็ยังไม่มีสันติภาพ เพราะว่าสมรรถนะของคนในโลก มันไม่เป็นไปอย่างที่ถูกต้อง คือไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ ธรรมะเข้ามานิดเดียวจะเปลี่ยนโลกนี้เป็นโลกของ Metteyya หรือโลกของ ศรีอริยเมตไตรยสูงสุด จึงตอบสั้นๆว่า ธรรมะเพื่อเปลี่ยนสมรรถนะของคนในโลกให้ถูกต้อง สามารถสร้างโลกอันที่พึงปรารถนาได้โดยแท้จริง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราพอจะสรุปความได้ ใจความได้สั้นๆว่า ธรรมะเพื่อความอยู่เหนือปัญหา เพื่อโลกนี้อยู่เหนือปัญหา เพื่อโลกนี้หมดปัญหา ธรรมะเพื่อโลกนี้หมดปัญหา หรือเพื่อโลกนี้อยู่เหนือปัญหา เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาในโลก คือการต่อสู้ อย่างที่เรียกว่าไม่มีที่สิ้นสุด สงครามเย็นสงครามร้อนตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด มีทำลายธรรมชาติ มากเกินไป มีมลภาวะมากเกินไป มีโรคเลวร้ายที่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เป็น แต่มนุษย์เรามาเป็น นี่โรคที่เลวร้ายอย่างนี้ ทั้งหมดนี่เรียกว่าปัญหาของมนุษย์ ถ้าธรรมะมีเข้ามาปัญหาเหล่านี้ก็ไม่มี จึงเรียกได้ว่า ธรรมะมาเพื่อทำให้ โลกนี้อยู่เหนือปัญหาโดยทุกๆประการ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราจะพบคำสอน ให้มีโลกที่ดีกว่า The better land ในหนังสือ Reader มากมาย แต่ยังไม่พบคำสอนที่ว่า เราจะอยู่เหนือโลก เรามุ่งหมายแต่เพียงว่า โลกที่ดีกว่า The better land เจริญรุ่งเรืองไปอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่ว่าอยู่เหนือโลก เรายังไม่เคยสนใจกัน เมื่อยังเป็นโลกมันก็มีปัญหา มีปัญหาอย่างโลก มีปัญหาอย่างโลก ต่อเมื่ออยู่เหนือโลก มันจึงจะหมดปัญหา ถ้ามาถึงขั้นนี้ เราควรจะสนใจถึงภาวะที่อยู่เหนือโลก ภาวะที่อยู่ เหนือโลก สั้นๆนี่มันหมายถึง ภาวะที่อยู่เหนือปัญหาของโลกโดยประการทั้งปวง เราอยู่ในโลกนี้โดยปราศจาก ปัญหาของโลกโดยประการทั้งปวง นี่เรียกว่า เหนือโลกก็ได้ แต่ที่จริงก็เหนือปัญหาทุกอย่างในโลก นั่นแหละ เรียกว่าเหนือโลก Ultramundane เหนือโลก เหนือโลก นั่นก็คือเหนือปัญหาทุกชนิดในโลก เราอยู่ในโลก แต่ปัญหาในโลกทำอะไรเราไม่ได้ นี่คือจุดหมายปลายทางของการมีธรรมะ เพื่ออยู่ในโลกชนิดที่ปัญหาต่างๆ ในโลก ครอบงำเราไม่ได้ สรุปสั้นๆก็ว่าอย่างนี้ อยู่ในโลกโดยปัญหาต่างๆในโลกครอบงำเราไม่ได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในที่สุดเหลือข้อสุดท้าย ก็จะตอบคำถามที่ว่า ธรรมะทำไมกันนั่น ก็จะตอบด้วยคำสั้นๆว่า ธรรมะเพื่อความไม่ตาย เพื่อความไม่ตาย เพื่อโลกที่ไม่มีความตาย คือไม่มีตัวตนสำหรับจะตาย ธรรมะสอนให้เลิก ความยึดถือว่ามีตัวตน ความตายก็ไม่มีที่ตั้ง เมื่อไม่มีตัวตนความตายก็ไม่มีที่ตั้ง ดังนั้นธรรมะนี้เพื่อความไม่ตาย ความไม่มีการตาย ธรรมะเพื่อความไม่มีการตาย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในหนังสือเรียน อ่า, สำหรับเด็กๆ ในประเทศอังกฤษ ชุดที่เรียกว่า Royal reader น่ะ ในชุดนั้น มีอยู่เล่มหนึ่ง ที่พูดถึงเรื่องนี้ คือเรื่อง The better land The better land ให้ความหมายออกไปว่า โลกที่ไม่ต้องมี หลุมฝังศพ โลกที่ไม่ต้องมีหลุมฝังศพ แต่แล้วคำอธิบายก็เป็นไปตามภาษาโลก ก็หมายถึงโลกพระเป็นเจ้า โลกพระเป็นเจ้า จะอยู่ที่ไหนก็ยังไม่ทราบ แต่ว่าเขาก็สอนให้มีความหวังว่า มี The better land คือโลกซึ่ง ไม่ต้องมีหลุมฝังศพ แต่เดี๋ยวนี้ถ้ามาพูดถึงพุทธศาสนา ก็มีกันที่นี่ ที่นี่ในโลกนี้ โลกที่ไม่ต้องมีหลุมฝังศพ เพราะไม่มีอัตตา ตัวตน บุคคล ไม่มี Identity of personality ที่เรียกว่า Egoism ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน แล้วมันก็ไม่มีอะไรตาย ฉะนั้นโลกที่ไม่ต้องมีหลุมฝังศพมันก็มีอยู่ที่นี่ มีอยู่ที่ในโลกของบุคคลผู้รู้ ธรรมะ รู้ธรรมะสูงสุดว่าไม่มีบุคคล The teaching of no man คำสอนเรื่องไม่มีบุคคล ไม่มีบุคคล ใครรู้เข้า ก็ไม่มีความตาย มันก็ไม่มีหลุมฝังศพสำหรับคนชนิดนี้ เราสามารถจะมีโลกที่ไม่ต้องมีหลุมฝังศพกันได้ที่นี่ ธรรมะเพื่อความเป็นอย่างนี้ ธรรมะเพื่อความไม่ต้องมีหลุมฝังศพ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าท่านประสบความสำเร็จในการศึกษา และปฏิบัติอานาปานสติภาวนา ท่านก็จะมีความรู้ ถึงระดับสูงสุด จนถึงรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่มีบุคคลไม่มีตัวตนสำหรับจะตาย ความรู้เรื่องนี้ทำให้รู้ว่าไม่มีบุคคลที่ตาย ก็คือทำให้รู้โลกที่ไม่ต้องมีหลุมฝังศพ โดยความรู้เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ว่ามันมีแต่สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ ตามธรรมชาติ ไม่มีตัวบุคคล เกิดตาย มันก็เลยไม่มีบุคคล นี่ประหลาดหรือลึกซึ้งที่สุด ที่ว่าเป็นคำสอนเรื่อง ไม่มีตัวบุคคลที่แท้จริง มีแต่การปรุงแต่งตามกฎธรรมชาติที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาท ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการศึกษาเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แล้วมีสมรรถนะทางจิตใจ โดยอานาปานสติ แล้วท่านก็จะเข้าถึงโลกที่ไม่ต้องมีหลุมฝังศพ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราตั้งต้นศึกษาปฏิบัติกันได้ตลอดเวลา คืออย่ามีความรู้สึกที่เป็น ไอ,้ Ignorant concept Ignorant concept น่ะ ว่า Person Person ไม่มี Person มีแต่ Stream of dependent origination ใจความมีเท่านี้ คือ Person นั้นไม่มี มีแต่ Stream of dependent origination แต่เราก็มีอวิชชา ความโง่ เอาสิ่งนั้นมาเป็น Person แล้วก็เป็นตัวเราตัวเขา นี่สุดยอดของความรู้เรื่องนี้ ก็คือรู้ความที่ไม่มีบุคคล Person หรือไม่มีตัวตนหรืออัตตา มีแต่ Dependent origination ตามกฎอิทัปปัจจยตา หรือกฎของธรรมชาติ ดังที่กล่าวแล้ว นี่เป็นคำสรุปเรื่อง ความหมายของคำว่า ธรรมะ ธรรมะ แล้วก็ธรรมะทำไมกัน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
บทเรียนง่ายๆ ทดลองได้เลย ศึกษาได้เลย ก็เช่นว่า ถ้าตาเห็นรูป ก็รู้สึกว่าตาเห็นรูป ไม่ใช่ฉันเห็นรูป มันเป็นเพียงระบบประสาททางตา สัมผัสรูปแล้วทำหน้าที่ตามธรรมชาติ ระบบประสาททางตาเห็นรูป ก็เรียกว่า ตาเห็นรูป อย่าว่าฉันเห็นรูป มันต่างกันมากนัก เมื่อหูได้ยินเสียง ก็ว่าหูได้ยินเสียง อย่าว่าฉันได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นก็เหมือนกัน ให้จมูกมันได้กลิ่น ลิ้นมันได้รสก็เหมือนกันแหละ ให้ลิ้นมันได้รส รู้รส อย่าเป็นฉันได้รส มันต่างกันมากนัก มันเกิดปัญหามันเกิดอะไรต่างกันมากนัก นี่บทเรียนง่ายๆที่ว่า อย่ามีตัวฉัน ให้มีแต่ ไอ้, พฤติกรรม เป็นไปของ ไอ้, ธรรมชาติ ตามธรรมชาติ เป็น Action เป็น Reaction เป็น Phenomena อะไรของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ อย่ามีตัวฉัน อย่ามีตัวฉัน นี่บทเรียนอันแรก ที่จะ ลองดู ท่านจะรู้ได้เองว่ามัน มันต่างกันอย่างไร ตาเห็นรูปกับฉันเห็นรูปน่ะ มีผลต่างกันมาก
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าตาเห็นรูป ก็จัดการไปตามเรื่องที่ตาเห็นรูป อย่าให้เกิดความหมายเป็น Positive หรือ Negative แก่จิตใจ จิตใจมันก็ไม่มีปัญหา จิตใจรู้แต่เพียงว่า จัดการอย่างไรกับการที่ตาเห็นรูปนี้ ตาเห็นรูปตามนี้ นี่เรียกว่า ธรรมะในขั้นสูงสุด อนัตตา ไม่มีตัวตน ท่านลองปฏิบัติอย่างนี้ดู ไม่ต้องมีใครสอน ไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่ออาตมา จะรู้ได้เองว่ามันต่างกันมาก กับที่ว่าตาเห็นรูป กับฉันเห็นรูปน่ะ ทั้งๆ ทั้งหมดทั้ง ๖ ความหมาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เป็นเพียงสิ่งนั้นสัมผัสแล้วรู้ปฏิกิริยา อย่ามีตัวฉัน ถ้ามีตัวฉันจะเป็นบวก และเป็นลบ และมันจะกัดท่าน ชีวิตนี้จะถูก...จะกัดตัวเอง ชีวิตนี้มันจะกัดตัวเอง ไม่ไหว เรามีชีวิตที่ไม่กัดตัวเองดีกว่า
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราลงมือทำ Exercise บทแรก โดยการเดินกลับไป Center เดินกลับไป Center โดยไม่ต้องมีตัวผู้เดิน ไม่มี Person ไม่มี Self ซึ่งเป็นผู้เดิน มีแต่อิริยาบทของร่างกาย เคลื่อนไหวไปตามคำสั่ง ของสติปัญญา สติปัญญา ที่ว่ามันควรจะทำอย่างนั้น แล้วก็มีการ ยกก้าว ยกก้าว ยกก้าว เดินไปโดยไม่ต้องมีตัวผู้เดิน ที่มีเจตนาเป็น Selfish หรือเป็น Selfishness นี่ เพียงเท่านี้ก็เป็นบทเรียนที่จะขจัดออกไปเสีย ซึ่งความคิดความเชื่อว่ามีตัวตน ทุกๆอริยาบท การกิน การรับประทาน การอาบ การถ่าย การอะไรก็ทำไปด้วยความรู้สึกสติสัมปชัญญะ ว่าไม่มีตัว Person หรือ Self ผู้กระทำ เป็นการเคลื่อนไหวไปตามความรู้ตามสติปัญญาที่ถูกต้องของธรรมชาติ นี่ก็เป็นการทำ Exercise ที่สูงสุดในการศึกษาธรรมะแล้ว ขอฝากให้ท่านทั้งหลายเดินไปโดยไม่ต้องมีตัวผู้เดิน Walking without walker กลับไป Center เป็น Exercise อันแรกสำหรับวันนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอให้ท่านพยายามทำความเข้าใจประโยคสั้นๆ ประโยคเดียวว่า Doing without a doer. Doing without a doer. ตลอดเวลา ไม่นานเท่าไรท่านจะเข้าใจเรื่องอนัตตา เรียนด้วยตนเองอย่างนี้ ดีกว่าเรียนอย่างอื่น
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลาย เป็นผู้ฟังที่ดีมาตลอดเวลา ๒ ชั่วโมงเศษแล้ว ด้วยความอดกลั้นอดทน ขอขอบคุณ และขอให้นำไปคิดนึกดู ให้เข้าใจตามที่ได้บรรยายมาแล้วนี้ทุกประการ สำหรับวันนี้ก็ขอปิดประชุม ยุติการบรรยาย
/เสียงภาษาอังกฤษ/