แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องปฏิจจสมุปบาทและผลที่จะได้รับจากปฏิจจสมุปบาทหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ปัญหาว่า ทำอย่างไรจะปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทได้สำเร็จโดยแท้จริง ข้อนี้ต้องมีสติ สติต้องสมบูรณ์ ฉะนั้นเรื่องที่เราจะต้องพูดกันโดยแท้จริงวันนี้ก็คือเรื่องมีสติสมบูรณ์ ปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทได้สำเร็จจนเกิดนิพพานทั้งสองอย่างนี้
ถ้าไม่มีสติ ท่านไม่สามารถจะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท อานาปานสติ แปลว่ามีสติ มีสติทุกครั้งที่หายใจออกและหายใจเข้า หายใจเข้าและหายใจออกทุกครั้งเรามีสติ นี้เรียกว่าอานาปานสติ ถ้าถามว่า มีสติในอะไร ก็ตอบว่า มีสติในความจริงของธรรมชาติ-natural law or natural truth นี้เรียกว่าความจริงของธรรมชาติ เรามีสติในความจริงของธรรมชาติอยู่ทุกครั้งที่หายใจเข้าและหายใจออก ดังนั้นเราจึงทำผิดไม่ได้ ถ้าพูดอย่างเด็กๆ พูด ก็พูดว่า เราใช้ลมหายใจของเราให้เป็นประโยชน์ที่สุดเป็นประโยชน์สูงสุด นั่นคืออานาปานสติถ้าพูดอย่างเด็กๆ พูด มนุษย์รู้จักใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์ที่สุดมานานแล้ว แต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด เขาตั้งใจจะใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์แต่ยังไม่ถึงที่สุด จะต้องเรียกว่าเป็นหมื่นปีแสนปีมาแล้วคนป่าสมัยโน้นเขาก็รู้จักหรือพยายามจะใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ยังไม่มีความรู้ถึงที่สุด แต่ความรู้อันนี้ค่อยมีมากขึ้นๆ แล้วก็มากถึงที่สุดเมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าได้สอนวิธีใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์ถึงที่สุด เรียกว่าอานาปานสติภาวนา-development of the mind อยู่ทุกครั้งที่หายใจออกหายใจเข้า
ที่จริงตามธรรมชาติแท้ๆ มันก็มีการรู้จักใช้ประโยชน์อันนี้อยู่แล้ว เมื่อเรามีความไม่สบายใจ มีความอัดอั้นในใจ อะไรรบกวนอยู่ในใจ ธรรมชาติก็ช่วยให้เราหายใจยาว หายใจยาวสองสามหน หายใจยาวสองสามหน มันก็ขับไล่ความไม่สบายใจนั้นออกไปเสียได้ นี้โดยธรรมชาติมันก็สอนให้อยู่แล้วว่ามีการหายใจที่ถูกต้องสำหรับขจัดปัญหาตามธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่า เมื่อท่านรักอะไรหรือเกลียดอะไรหรือกลัวอะไรอยู่ในใจนั้น ลองหายใจยาวๆ สองสามครั้ง เข้าออกสองสามครั้งก็หายไป ความรู้สึกรักหรือเกลียดหรือกลัวมันก็หายไป ไม่มากก็น้อย นี่ธรรมชาติมันก็มีอยู่เป็นหลักแล้ว ทีนี้เราก็ทำให้มากขึ้น ทำให้มากขึ้น ก็เรียกว่า develop ให้มันมากขึ้นๆ จนขจัดปัญหาที่สูงสุด ปัญหาที่เป็นความทุกข์สูงสุดออกไปได้ นี่คืออานาปานสติภาวนา
คำพูดคำนี้มันธรรมดาที่สุดแหละ อานาปานสติ มีสติทุกครั้งที่หายใจเข้าออก แม้ไม่ใช่เรื่องธรรมะ เรื่องธรรมดานี้ก็เป็นเหมือนกัน ท่านอยู่ที่นี่ ท่านนึกถึงบ้านของท่านที่อเมริกา หรือที่ยุโรป หรือที่ออสเตรเลีย นึกถึงบ้าน นึกถึงครอบครัวที่อยู่ทางโน้นอยู่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ก็เรียกว่าอานาปานสติเหมือนกัน แต่มันไม่ดับทุกข์ อานาปานสติอย่างนี้มันไม่ดับทุกข์ เราจะพูดกันแต่ชนิดที่มันดับทุกข์ได้
รายละเอียดในการปฏิบัติเป็นอย่างไร ก็เข้าใจว่าท่านได้รับคำสั่งสอนคำอธิบายจากอาจารย์ที่สอนที่เซ็นเตอร์ที่อยู่นั้นมาพอสมควรแล้วโดยรายละเอียด ในที่นี้จะกล่าวแต่โดยใจความสำคัญ โดยหัวใจ โดยหลัก ให้เข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ให้มันถูกตามวัตถุประสงค์ยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะพูดกันในวันนี้
มันมีวัตถุที่จะศึกษา,เรื่องที่จะศึกษา มีอยู่เป็น ๔ เรื่อง คือเรื่องลมหายใจเรื่องหนึ่ง ลมหายใจของเราเองเรื่องหนึ่ง แล้วก็เรื่องเวทนา เวทนาที่เกิดอยู่ในชีวิตประจำวัน นี่คือเรื่องที่ ๒ และเรื่องจิต จิตที่จะต้องรู้อะไร ต้องทำอะไรได้ จะต้องฝึกให้ดีที่สุด นี้เป็นเรื่องที่ ๓ แล้วก็ความลับของธรรมชาติที่ทำให้เรามี attachment ในสิ่งใด หรือจะเรียกตัว attachment นั้นก็ได้ attachment ในสิ่งใดก็ได้ในโลกนี้ เอามาศึกษาอีกทีหนึ่ง นี้เป็นเรื่องธรรมะคือสิ่งที่มันหลอกให้เรา attach มัน ลมหายใจเรื่องหนึ่ง เวทนาที่เกิดอยู่เป็นประจำเรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องจิตตัวจิต แล้วก็เรื่องสิ่งที่มันจะหลอกให้เรา attach มันนั้น เกี่ยวกับธรรมะนี้อีกเรื่อง เป็น ๔ เรื่อง ท่านรู้ทั้ง ๔ เรื่องนี้ดีแล้วจะหมดปัญหา
หมวดที่ ๑ เกี่ยวกับลมหายใจ ท่านทั้งหลายรู้เรื่องลมหายใจอยู่แล้วมากเป็นอันมาก เช่นรู้ว่ามันเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต ไม่หายใจมันก็ตาย ลมหายใจนี้มันก็หล่อเลี้ยงร่างกาย cherish ร่างกายอยู่ด้วย ก็เลยถูกผนวกเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องลมหายใจกับเรื่องร่างกายนี้ และภาษาบาลีก็ใช้คำเดียวกันด้วย คำว่ากายนี้แปลว่าหมู่หรือgroup คือหมายถึงเรื่องของลมหายใจก็ได้ เรื่องของร่างกายที่มันเนื่องกันอยู่กับลมหายใจก็ได้ ฉะนั้นรู้ความจริงว่าถ้าเราควบคุมลมหายใจได้ เราก็ควบคุมร่างกายได้ เราควบคุมร่างกายโดยตรงไม่ได้แต่เราควบคุมโดยอ้อมคือควบคุมทางลมหายใจ ถ้าท่านควบคุมลมหายใจได้ท่านก็ควบคุมร่างกายได้ ทำร่างกายให้สงบเย็นโดยการทำลมหายใจให้มันสงบเย็น กระทำที่ลมหายใจแต่มันมีผลที่ร่างกายนี้ด้วย นี่ความลับของข้อนี้ ขอให้ท่านควบคุมลมหายใจให้ได้ตามที่ควรต้องการ แล้วท่านก็จะควบคุมร่างกายได้ ได้ผลตามที่ท่านต้องการ นี่คือกายานุปัสสนา
วิธีการกำหนด เทคนิคของมันก็คือว่า กำหนดเข้าที่ลมหายใจ และรู้ว่าการหายใจเป็นอย่างไร ถ้าหายใจยาวมี effect อย่างไร หายใจสั้นมี effect ต่อร่างกายนี้อย่างไร หายใจหยาบๆ เป็นอย่างไร หายใจละเอียดๆ เป็นอย่างไร จนกระทั่งเรารู้จักลมหายใจทุกลักษณะทุกอาการทุกชนิด แล้วเราก็ใช้ประโยชน์ที่ว่าเราต้องการผลอย่างไร เราก็หายใจให้ถูกวิธี จนกระทั่งเราสามารถจะหายใจอย่างละเอียด,อย่างละเอียด,อย่างละเอียด คือมันมีความเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติมากขึ้น เรามีการหายใจละเอียดสงบระงับ ร่างกายก็สงบระงับ นี่เราบังคับได้อย่างนี้ เราบังคับให้ร่างกายสงบระงับโดยการบังคับลมหายใจให้สงบระงับ ใจความสำคัญของหมวดนี้มันอยู่ที่นี่ ในที่สุดเราก็เป็นนาย เป็นนายเหนือร่างกายโดยทางลมหายใจ เป็นนายเหนือร่างกายก็โดยทางลมหายใจ นั่นแหละประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหมวดที่ ๑ คือเกี่ยวกับร่างกาย เดี๋ยวนี้เป็นนายเหนือลมหายใจ เป็นนายเหนือร่างกาย ต้องการอย่างไรก็บังคับเอาได้ให้เป็นตามที่เราต้องการ นี่เรื่องร่างกายหรือลมหายใจ เป็นอย่างนี้
หมวดที่ ๒ เรียกว่าเวทนา จะเป็นนายเหนือเวทนาให้จนได้ ทุกอย่างในโลกมันไปรวมอยู่ที่เวทนา เรามีเงิน มีครอบครัว มีสมบัติข้าวของอะไร ก็เพื่อมีเวทนาที่เราต้องการ พอเราได้อย่างที่เราต้องการ ก็เกิดเวทนาที่เรียกว่าปีติ-rapture อย่างพลุ่งพล่านไปหมด ถ้า rapture มันค่อยสงบลงมาๆ แล้วก็มีความสุขหรือhappiness จะต้องรู้จักเวทนา ทั้งสองอย่างนี้ให้ดีๆ แล้วควบคุมมันให้ได้ อย่าให้มันเป็นอันตรายขึ้นมา มันจะเป็น rapture หรือจะเป็น happiness ก็ตาม มันต้องไม่มีอันตราย ไม่ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ เราควบคุมมันให้ได้ อย่าให้มันกัดเรา แล้วเราก็จะควบคุมความคิดได้ เพราะเวทนานี้มันทำให้เกิดความคิด เราก็ควบคุมความคิดได้ เพราะควบคุมเวทนาได้ ควบคุมเวทนาได้ก็คือควบคุมโลกทั้งโลกได้ โลกทั้งโลกมันมารวมอยู่ที่เวทนา ขอให้ควบคุมเวทนาให้ได้
ที่เรียกว่า appreciate นั้นระวังให้ดี appreciate ในสิ่งใดก็เป็นทาสของสิ่งนั้น เราจะมี appreciate ชนิดที่ว่ามันไม่ทำอันตราย ไม่ต้องเป็นทาสของสิ่งที่เราappreciate ข้อนี้เราต้องควบคุมเวทนาให้ได้ คือไม่หลง positive และ negative ทุกคนต้องการจะมีสิ่งที่ appreciate แต่ระวังให้ดี สิ่งนั้นแหละมันจะกลายเป็นปัญหา เป็นโทษ เป็นอันตรายขึ้นมา ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ แม้จะ appreciate ในสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะไม่เป็นปัญหา จะไม่กัดเราทีหลัง
ที่เรียกว่า feeling ทั้งหลายนั้นมันทำให้เกิดความคิด thought หรือ concept ต่อไป ถ้าเราควบคุม feeling ไม่ได้ เราก็คิดในทางที่ไม่ควรคิดหรือว่าคิดผิดๆ ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ เราบังคับให้ไม่คิดก็ได้ ให้คิดไปในทางที่ดีที่มีประโยชน์ก็ได้ หรือว่าจะมี appreciate ในสิ่งใด เราก็ควบคุมให้มันเป็นไปแต่ในทางที่ไม่เป็นอันตราย นี่เรียกว่าควบคุมเวทนาได้ เมื่อควบคุมเวทนาที่มีอำนาจมากๆ อย่างนี้ได้ ก็ควบคุมเวทนาน้อยๆ เวทนาเล็กๆ ได้ เป็นอันว่าควบคุมได้หมดทุกระดับของเวทนา นี่หมวดที่ ๒ คือฝึกการเป็นนายเหนือเวทนาโดยประการทั้งปวง
หมวดที่ ๓ ก็เป็นเรื่องของจิต เราจะควบคุมจิตให้ได้ เราจะต้องรู้จักจิตทุกชนิด ทุกคนก็รู้จักจิตตามที่ตัวเองรู้สึกอยู่แล้ว ความรักความไม่รักหรือความโง่นี้ รู้จักจิตที่มีลักษณะอย่างนี้อยู่แล้ว ทีนี้ถ้าที่เรายังไม่รู้จัก เราก็อนุมานในสิ่งที่ตรงกันข้าม เรารู้จักความรักดีแล้ว เราก็สามารถอนุมานรู้ว่าถ้าไม่รักถ้าเหนือความรักจะเป็นอย่างไร รู้จักความโกรธดีแล้ว ก็สามารถจะรู้ว่าถ้าไม่โกรธจะเป็นอย่างไร รู้จักความโง่ของโง่ดีแล้ว ถ้าไม่โง่จะเป็นอย่างไร นี่เราจึงรู้จักมันทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่มันเป็น positive และ negative หรือฝ่ายมีหรือฝ่ายที่ไม่มี เรารู้จักจิตทุกๆ อย่าง แล้วเราก็เลือกเอาตามที่ว่าอันไหนจะมีประโยชน์มาก เราก็สามารถจะเลือกได้โดยวิธีฝึกหมวดที่ ๓ นี้
ในที่สุดเราก็บังคับจิตได้ตามที่ต้องการ คือต้องการให้มันบันเทิงรื่นเริง-joyful เมื่อไหร่ก็ได้ ให้มันตั้งมั่น ตั้งมั่นเป็นสมาธิ-stableness,firmness เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเราก็บังคับให้มันปล่อย ปล่อยสิ่งที่เราไปหลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียด หลงกลัว คือไป attach อยู่ เราก็บังคับให้มันปล่อยก็ได้ มี ๓ ความหมายว่า บังคับให้พอใจยินดีปรีดาก็ได้ บังคับให้เป็นสมาธิรวมกำลังตั้งมั่นไม่มีความหมายอะไรก็ได้ หรือบังคับให้ปล่อย,ปล่อยสิ่งที่มันทำให้เราเป็นทุกข์นั้น ปล่อยออกไปก็ได้ บังคับใน ๓ ประการนี้ได้แล้ว ก็เรียกว่าเรามีอำนาจเหนือจิต,มีอำนาจเหนือจิต
จะต้องรู้จักจิตที่เป็นสมาธิให้ดีที่สุด concentrated mind นั้นเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ที่ถูกต้องนั้นจะต้องประกอบเป็น ๓ factor คือว่า จิตนี้สะอาดๆ กำลังไม่มีกิเลสเลย นี่เรียกว่าจิตนี้สะอาด แล้วจิตนี้ก็รวมกำลัง รวมกำลังที่มันเคยกระจายกันอยู่ รวมกำลังเหมือนกับแก้วรวมแสงแดดจนลุกเป็นไฟ กระแสจิตถูกรวมกำลังให้มาเป็นสิ่งเดียวจุดเดียวโฟกัสเดียวนี้มันก็ stable มากที่สุด เมื่อเป็นอย่างนี้ได้แล้ว ก็บังคับให้มัน active ว่องไวในหน้าที่การงาน หน้าที่การงานอะไรมัน active ที่สุด มันก็มีสะอาด-clean มันก็มีตั้งมั่น-stable แล้วมันก็มีว่องไวในหน้าที่คือactive ครบ ๓ อย่างนี้จึงจะเรียกว่า concentrated mind ในพระพุทธศาสนา
เมื่อเราเป็นนายเหนือจิตได้ เราก็เป็นนายเหนือโลกทั้งหมดได้ ถ้าเป็นนายเหนือจิตก็เป็นนายเหนือโลกทั้งโลกได้ จะให้จิตสร้างโลกอะไรขึ้นมาได้ตามที่เราต้องการถ้าเราบังคับจิตได้ บังคับให้มันสร้างโลกชนิดไหนขึ้นมาให้เราก็ได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ จึงเหมือนกับว่าเราเป็นนายเหนือจิตแล้ว เราก็เป็นนายเหนือโลกทุกโลก นั่นแหละประโยชน์ของการบังคับจิตหมวดที่ ๓ ที่เรียกว่าจิตตานุปัสสนา เราสามารถบังคับจิตได้ว่า เอ้า,แกสร้างความรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกอย่างนั้นไม่เอา แกสร้างความรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกอย่างนู้นไม่เอา นี่ถ้าบังคับจิตได้ขนาดนี้ ก็เท่ากับบังคับให้มันสร้างอะไรตามที่ควรจะต้องการได้ ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง,ถูกต้อง,ถูกต้อง แล้วก็หมดปัญหา เราบังคับโลกได้นั้นคือหมดปัญหา
ทีนี้เราก็มาถึงหมวดที่ ๔ เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคำนี้มีความหมายทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไร แต่ที่จะเอามาเป็นบทเรียนของการฝึกนี้ ธรรมะในที่นี้หมายถึงสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่ง attachment แห่ง delusive attachment นั้น สิ่งใดๆ มันเป็นอย่างนี้ เราเอามาๆ เอาสิ่งเหล่านั้นแหละมาพิจารณาดู จนเห็นความจริงสูงสุดว่า ไม่,ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น ธรรมะในที่นี้คือสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือที่มีอยู่ทั่วโลกเต็มไปทั้งโลกนั้น เอามาเฉพาะในแง่ที่ว่ามันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ นั่นเรียกว่าธรรมะในความหมายนี้ในหมวดที่ ๔ นี้
ที่เราได้ออกชื่อมาแล้ว ในฐานะเป็นสิ่งเลวร้ายไม่พึงปรารถนานั้น ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ที่ออกชื่อมาแล้วนั้น ทั้งหมดนั้นมันเกิดมาจากattachment,delusive attachment ในสิ่งนั้นๆ เราเอาสิ่งนั้นๆ มาพิจารณามาดูให้เห็นตามที่เป็นจริงว่ามันเป็นอย่างไร และattachment จะได้เลิกกันเสีย โดยเฉพาะ positive thing ที่เรา attach มันมากๆ appreciate มันมากๆ นั้น อันนั้นแหละสำคัญที่สุด ต้องเอามา เอามาดู ดูความจริงของมัน การดูความจริงของมันก็มีเป็นลำดับๆ ขั้นแรกก็ดูให้เห็นความที่มันหลอกลวง คือมันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนเรื่อย,มันเปลี่ยนเรื่อย,มันเปลี่ยนเรื่อย นี่เป็นความจริงสิ่งแรกที่จะต้องดูให้เห็นในสิ่งที่เรา attach อยู่ ครั้นเห็นความที่มันหลอกลวง คือมันไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเรื่อย เปลี่ยนแปลงเรื่อยแล้ว เราจะคลายความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นคือมันจะค่อยๆ คลายออก จางออกๆ นี่ก็ต้องดูให้เห็นว่า เดี๋ยวนี้ attachment กำลังจางอยู่ จางอยู่ จางอยู่ เรียกว่าเห็นความจางคลายแห่ง attachment ถ้าเรียกเป็นบาลีก็เรียกว่าวิราคะ เห็นวิราคะในสิ่งที่เรา attachment
เมื่อเราเห็นความไม่เที่ยง อนิจจตา-ความไม่เที่ยงเห็นแล้ว มันจะเกิดความจางคลายแห่งความยึดมั่นถือมั่น นี้เรียกว่าวิราคะ จางคลายอยู่ จางคลายอยู่ จางคลายอยู่ เดี๋ยวมันก็หมด มันคือความดับแห่งความยึดมั่นถือมั่น เรียกว่านิโรธะ เห็นความไม่เที่ยง แล้วจะจางคลายๆ ก็เห็นความจางคลาย จางคลายๆ เดี๋ยวมันก็หมด หมดก็เห็นว่ามันหมดแล้ว attachment มันหมดแล้ว ในที่สุดต้องเห็นอีกชั้นหนึ่งเป็นชั้นที่ ๔ หมด,จบ,หมดสิ้นเรื่อง โยนทิ้งไปหมดแล้ว ปัญหาต่างๆ ความทุกข์ต่างๆ burden ต่างๆ โยนทิ้งไปหมดแล้ว นี่เรียกว่าเห็นการโยนทิ้ง,ปฏินิสสัคคะ เห็นอนิจจตา ความไม่เที่ยง เห็นคลายออกแห่งความยึดถือ ดับหมดแห่งความยึดถือ เห็นว่าเดี๋ยวนี้เรา free เพราะเราโยนทิ้งไปหมดแล้ว ๔ อย่างนี้เรียกว่าธัมมานุปัสสนา
เดี๋ยวนี้เราหลุดพ้น หลุดพ้น หลุดพ้น-liberated,emancipated นี่ถึงสิ่งสูงสุด เรียกว่าอยู่กับพระเป็นเจ้า เข้าถึงพระเป็นเจ้าคือสิ่งสูงสุดนั้น คำว่าพระเป็นเจ้านี้เราจะเอาคำเรียกว่าสิ่งสูงสุด ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นภาวะอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เราก็ได้ถึงสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี่เรื่องมันก็จบ เพราะได้ถึงสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ เพราะเราบังคับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ที่มันหลอกให้เรายึดมั่นถือมั่น เราปัดทิ้งไปได้ เราบังคับได้ หมวดที่ ๔ ก็จบแล้ว
หมวดที่ ๑ ทำให้เราเป็นนาย เป็นนายเหนือกาย ซึ่งรวมลมหายใจอยู่ในนั้นด้วย หมวดที่ ๒ ทำให้เราเป็นนาย เป็นนายมีอำนาจเหนือเวทนา ไม่ให้เวทนาหลอกลวงเรา แต่เราจะบังคับเวทนา ให้เวทนาสร้างความคิดนึกที่ดีที่มีประโยชน์ หมวดนี้เรียกว่าเราเป็นนายเหนือเวทนา หมวดที่ ๓ ทำให้เราเป็นนายเหนือจิต บังคับจิตได้ จะสร้างโลกได้ตามต้องการถ้าบังคับจิตได้ หมวดที่ ๓ เป็นนายเหนือจิต หมวดที่ ๔ ทำให้เราเป็นนายเหนือสิ่งที่มันหลอกให้เรายึดมั่น สิ่งที่เราเคยไป attach, appreciate แต่มันหลอก ทีนี้เราเป็นนายเหนือสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
นี้คือหัวใจ-essence หัวใจของสิ่งที่เรียกว่าอานาปานสติ ที่อาจารย์ได้ฝึกสอนท่านแล้วที่เซ็นเตอร์ สรุปเป็นหัวใจได้เป็น ๔ อย่างอย่างนี้ ขอให้รู้จักไว้ว่ามีประโยชน์ที่สุด บังคับปฏิจจสมุปบาทได้ มีนิพพานได้ตามที่เราต้องการ ความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสติจะทำให้เรามีอำนาจเหนือสิ่งที่เป็นคู่ๆ คือเป็น positive เป็น negative เป็น good เป็น evil ที่เป็นคู่ๆ เหล่านี้ทั้งหมด ก็คือเราเป็นผู้อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง เหนือสิ่งทั้งปวงที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ เราเหนือสิ่งทั้งปวงที่เราเป็นทุกข์ เราก็หมดปัญหา เราก็มี blissfulness,usefulness เต็มอัตราของมัน
ถ้าพูดอย่างวิทยาศาสตร์ เราก็มีอำนาจเหนือ time and space มีอำนาจเหนือ time and space ท่านอาจจะไม่เชื่อ ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองปฏิบัติดู แล้วท่านจะพบความจริงว่าเดี๋ยวนี้ท่านจะมีอำนาจอยู่เหนือ time and space ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับ time and space อีกต่อไป เรื่องมันก็จบอย่างนี้,จบๆ เป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะรู้ ควรจะปฏิบัติ และควรจะได้รับเอามาเป็นสิ่งสูงสุดในชีวิตของตนๆ เรื่องอานาปานสติจบ
สรุปความว่า ถ้ามีอานาปานสติคือสติสมบูรณ์แล้ว เราก็บังคับกระแสปฏิจจสมุปบาทได้ เมื่อบังคับกระแสปฏิจจสมุปบาทได้ ก็อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง เรียกว่ามีนิพพาน หรือมี emancipation สูงสุดของทุกๆ ศาสนา เรื่องก็เป็นอันว่าจบ
นี้ถือว่าเป็นเรื่องลึกซึ้ง ลึกซึ้งที่สุดในพระพุทธศาสนา มันก็ต้องมีความลำบากบ้างในการที่จะศึกษาเรื่องที่ลึกซึ้งที่สุด แต่ว่ามันมีประโยชน์ที่สุด จนถึงกับเคยอุปมาว่า ท่านจะต้องไปทนลำบากๆ อยู่ที่ไหนสัก ๖ เดือนเพื่อรู้ปฏิจจสมุปบาท เท่านั้นก็คุ้มค่าๆ ท่านต้องมีอานาปานสติแล้วก็ควบคุมปฏิจจสมุปบาทได้ สูงสุดของสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้รับ เรื่องก็จบ
ขอบพระคุณๆ ท่านมีความอดทนในการฟัง วันนี้สองชั่วโมงครึ่ง เพราะมันเป็นเรื่องลึกซึ้ง ขอขอบพระคุณในการเป็นผู้ฟังที่ดี ขอยุติการบรรยาย