แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายวันนี้เป็นการบรรยายต่อจากการบรรยายที่แล้วมา ครั้งที่แล้วมาเราพูดถึงปัญหา ปัญหาที่สุด ปัญหาที่ร้ายที่สุดก็คือมีโรคทางวิญญาณ ชีวิตนี้ไม่ได้รับความสงบเย็นและเป็นประโยชน์เพราะว่ามีโรคทางวิญญาณ วันนี้เราก็จะพูดกันถึงเรื่องการบำบัดโรคทางวิญญาณนั่นเอง สิ่งที่จะรักษาหรือบำบัดในโรคทางวิญญาณก็คือ ความรู้และการปฏิบัติในเรื่องปฏิจจสมุปบาท เราต้องเรียนให้รู้แล้วเราต้องปฏิบัติให้ได้ แล้วเราก็จะทำให้โรคในทางวิญญาณนั้นไม่เกิด ที่เกิดอยู่ก็จะหมดไป อยากจะให้ท่านทั้งหลายพยายามจำคำบาลี คือคำว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ ถ้าให้ดีที่สุดก็ขอเป็นสองคำ คือคำว่าอิทัปปัจจยตา ใช้กับเรื่องทั่วไป เรื่องมีชีวิต ไม่มีชีวิตเรื่องใดก็ตาม ในเรื่องการเกิดดับ เกิดดับของสิ่งเหล่านั้นก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตา แต่ถ้าเราไม่ใช้เฉพาะเรื่องเกี่ยวกับคนหรือมนุษย์ที่มีความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์นี้ แคบเข้ามา แคบเข้ามา เรียกว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปปาทะเป็นบาลี ในเมืองไทยเรียกปฏิจจสมุปบาท ขอให้จำศัพท์สักสองคำว่า ปฏิจจสมุปปาทะแล้วก็อิทัปปัจจยตา ได้สังเกตเห็นว่าไอ้คำที่ไม่สำคัญ มีความสำคัญน้อยนี่ ท่านก็ยังจำคำบาลีของมันได้ หรือเรียกเป็นบาลีได้ แต่เรื่องที่สำคัญที่สุด สูงสุด สำคัญที่สุด เช่นเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่ ท่านก็ไม่รู้จักคำบาลีหรือไม่ค่อยรู้จักใช้คำบาลี จึงขอให้รู้จักใช้คำบาลีกับเรื่องที่สูงสุด สูงสุดหรือเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่จะดับทุกข์ทั้งปวงของมนุษย์ ขอช่วยพยายามจำคำบาลี ปฏิจจสมุปปาทะและอิทัปปัจจยตา สำหรับคำว่า ปฏิจจสมุปปาด๊ะ ถ้าออกเสียงอย่างที่อินเดียออกเสียง ปาด๊ะ ปาด๊ะ ปฏิจจสมุปปาด๊ะ นานแปลว่า Dependent origination แต่ในคำนั้นมันมีความหมายของคำว่า Dependent cessation, dependent cessation …. down (นาทีที่ 8:17)) รวมอยู่ด้วย เพราะมันมี Cessation เกิดขึ้น ปรากฎออกมา Dependent origination เดี๋ยวนี้มันก็มี Dependent cessation รวมอยู่ด้วย ในคำว่าปฏิจจสมุปบาท มันแสดงให้เห็นทั้ง Origination และมันแสดงให้เห็นทั้ง Cessation มันแสดงออกมาถึง Cessation เราจึงใช้คำว่ามันเกิดขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเลย หรือจะเรียกว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือมันดับ ดับตัวตน ดับ Self, ego ethic ……( นาทีที่10.48) มันดับทุกข์ได้ และอีกทางหนึ่งก็พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ที่เห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นคือผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้า มันมีความสำคัญขนาดนี้ ขอพูดว่าแม้ว่าท่านจะไปมีความลำบาก ทนลำบากอยู่ที่ไหนสักหกเดือน สักหกเดือน แล้วท่านรู้ปฏิจจสมุปบาทนั้น คุ้มกันแล้ว คุ้มค่าเวลา คุ้มค่าเวลา แม้ว่าท่านจะเที่ยวไปรอบโลก รอบโลกสักปี กี่ปี กี่ปีรอบโลก รอบโลก ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทนั้นไม่คุ้มค่าเวลา จะไปทนลำบากอยู่ที่ไหนก็ตาม แม้ว่าจะต้องทนสักหกเดือน แต่ถ้ารู้ปฏิจจสมุปบาทแล้วมันคุ้มค่าเวลาที่สุด เพราะมันดับทุกข์หรือแก้ปัญหาทั้งหมดได้ แต่ต้องทราบว่าในเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ บางแห่งหรือบางทีก็อธิบายไม่ถูก สอนไม่ถูก ไม่ถูกตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นคำอธิบายใหม่ ๆ มันหนักไปในทางศีลธรรม ทางศีลธรรม และก็มักจะเป็นตัวตนเสียอย่างนี้ก็มี ปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ก็มี อย่างนี้ไม่เอา ถึงรู้ก็รู้ได้เพื่อศีลธรรมต่ำ ๆ แต่ถ้าเพื่อปรมัตถธรรมอย่างสูงก็จะต้องถูกต้องตรงตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้จริง ขอบอกให้ทราบว่ามันมีคำอธิบายปฏิจจสมุปบาทบางทีที่ไม่ๆ อาศัยไม่ได้ก็มีเหมือนกัน ทีนี้ก็มาถึงที่น่าหัว น่าขันคือน่าหัว เป็นเรื่องอุปมาแต่ว่ามีประโยชน์ คือว่ามีเทวดา เทวดา องค์หนึ่งเขาจะไปเที่ยวหาที่สุดแห่งโลก The end of the world, world ended ที่สุดแห่งโลก คือเขามีความไปเร็ว คือเหาะเร็ว ไปเร็วเหมือนกับลูกศร ความเร็วของลูกศร เขาก็เที่ยวไป เที่ยวไปมาหลายปีแล้ว เที่ยวหาที่สุดจบ สิ้นสุดแห่งโลก ทีนี้เขาก็มาถามพระพุทธเจ้าว่า เอ้อ ถ้าเที่ยวไปโดยความเร็วอย่างนี้หลายปีแล้ว ไม่พบที่สุดของโลก ว่าอย่างไรขอให้ช่วยแนะนำ พระพุทธเจ้าก็ตรัสเหมือนถ้าเราพูดอย่างคนธรรมดา ๆ ก็ว่าไอ้บ้า ไอ้บ้า วิ่งเที่ยวหารอบโลก เที่ยวหารอบโลก เพราะว่ามันมีอยู่ในตัวเรา มันมีอยู่ในตัวเรา ในตัวที่คนตัวที่ยังเป็น ๆ คนที่มีชีวิตยังเป็น ๆ ที่สุดแห่งโลก ที่จบสุดแห่งโลก สิ้นสุดแห่งปัญหา สิ้นสุดแห่งความทุกข์มันมีอยู่ในตัวเรา แกไม่ต้องไปเที่ยววิ่งหารอบโลก นี่ก็ควรจะจำไว้ด้วย คุณจะต้องศึกษาปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทในตัวเอง ในตัวเรา ไม่ใช่ที่ไหน ไม่ใช่ที่ไหน จึงใช้คำว่าในร่างกายของคนเป็น ๆ ไม่ตายนะ คนเป็น ๆ ที่ยาววาเดียว one far ….(แฟทั่มลอง) (นาทีที่ 21:04) ยาววาเดียวนี่แหละ มีโลก มีเหตุให้เกิดโลก มีความดับสนิทของโลก มีหนทางให้ถึงความดับสนิทของโลก คือที่สิ้นสุดของโลกนั้นมันอยู่ในร่างกายซึ่งยาวประมาณวาเดียว ที่ว่า Living, living, being ก็คือว่ามันมีสัญญาและใจ ถ้าพูดตามบาลีมีสองอย่างคือสัญญาและใจ มี Perception และก็มี The mind อันนี้สำคัญ มันอยู่ตรงที่ Perception ของ Mind, mind ก็มี Perception ที่ในร่างกายคนเป็น ๆ ที่ไม่ตาย ที่ยาววาเดียวนี้มันมีอันนั้น มันต้องศึกษาที่อันนั้นแหละ ที่มันมีใจและมี Perception เรียกว่าสัญญา สัญญา นี้รวมอยู่ด้วยกัน ในคนที่ตายแล้วมันไม่มีสองอย่างนั้น ดังนั้น เราไม่อาจจะศึกษาปฏิจจสมุปบาทที่ซากศพ หรือที่อะไรที่มันมีไม่มีสัญญาและใจ พวกเราทุกคนที่นี่ยังไม่ตาย และก็มี perception และมี the mind ดังนั้นเราก็ศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทในตัวเราเอง ในตัวเราเอง ที่นี้เราก็ลงมือศึกษาปฏิจจสมุปบาทในตัวเราเอง ABC ของมันก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้รู้ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์พวกนี้อยู่ข้างใน พวกนั้นอยู่ข้างนอก ก็จะต้องศึกษาในเรื่องสองเรื่องนี้ คือ อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกเป็นจุดตั้งต้นเหมือนกับ ABC ที่นี้ท่านก็นึกถึงคำว่า Dependent หมายความว่ามันต้องมี Depending ของอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก ถ้าไม่ Depend ซึ่งกันและกันแล้วไม่มีปฏิจจสมุปบาท อายตนะยังไม่ Depend ยังไม่มีปฏิจจสมุปบาท พอมัน Depend แล้วก็มี Relation เกิดขึ้นมาอาการนี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท หมายความว่าถ้ามันยังแยกกันอยู่มันไม่มา Depend แก่กันและกันมันไม่มีปฏิจจสมุปบาท ทีนี้มัน Depend กันแล้วระหว่างอายนะภายในกับอายนะภายนอก เช่น ตากับรูป เป็นต้น มันก็เกิดสิ่งใหม่ คือ Consciousness ที่เรียกว่า วิญญาณ วิญญาณ อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกถึงกันเข้าแล้วก็เรียกว่าเกิดวิญญาณ แล้วทีนี้มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ในตัวท่าน ตัวท่านทุกคนที่มีชีวิตอยู่ ก็ในประจำวัน ในชีวิตประจำวันนั้นมี Depending อย่างนี้มากมายเหลือเกิน ไม่มีในซากศพแต่มีอยู่ในพวกเราที่ยังเป็น ๆ เป็น ๆ วันหนึ่งมากน้อย วันหนึ่งมากน้อย ทำไมไม่เห็น ต้องเห็น ต้องเห็นเป็นข้อแรก เป็นปฏิจจสมุปบาทคู่แรกคือวิญญาณเกิดออกมาจากการอาศัยกันซึ่งอายตนะภายในและอายตนะภายนอก ท่านนับได้ไหมว่ามันมีกี่ครั้ง การกลืนกันเข้าระหว่างตากับรูป หูกับเสียง เป็นต้นนี้ วันหนึ่งมีกี่ครั้งท่านนับได้ไหม นับได้ไหม มันมากจนนับไม่ไหว แต่ท่านก็ไม่เผลอนับ ท่านก็ไม่รู้ไม่ชี้ Ignore มันตลอดเวลา ไม่รู้ไม่ชี้ นี่คือไม่มีการศึกษาเรื่องปฎิจจสมุปบาท มันมีอยู่หกคู่ หกคู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และท่านดูเถิดว่าคู่ไหนสำคัญที่สุด คู่ไหนสำคัญที่สุด คู่สุดท้ายนั้นสำคัญที่สุด สนอกสนใจที่สุด คือใจกับความคิด จิตกับความคิด The mind and thought of the mind ห้าคู่แรก ห้าคู่แรก พอมันทำหน้าที่เสร็จแล้วมันก็ส่งผลไปยังคู่สุดท้ายคือใจ Conclusion ทั้งหมดถูกส่งไปที่คู่สุดท้าย คือใจ เพราะฉะนั้นคู่สุดท้ายมีความสำคัญที่สุดมันจะรวมอะไรทั้งโลกไว้ที่สิ่งที่เรียกว่าใจ ทีนี้ก็ต่อไป ปฏิจจสมุปบาทที่เราจะเห็นต่อไปก็คือว่า อายตนะภายในอายตนะภายนอก Depend กันแล้วก็เกิดสิ่งที่สาม คือ Consciousness ทีนี้ทั้งสามอย่างนี้ต้อง Depend กันอีกที สามอย่างนี้ Depend กันอีกทีหนึ่ง จึงจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ ๆ หรือ Contact ถ้าสามอย่างนี้มีแล้วมันก็ต้องมี Contact หลีกไม่ได้ Contact จะมีวันละกี่ครั้ง กี่ครั้งมันก็อยู่ที่อายตนะมันสัมผัสกัน นี่ก็เรียกว่าขั้นที่เป็น Contact ผัสสะ เขามักจะพูดกันผิด ๆ ในเมืองไทยนี่ว่า Contact มีของ ๆ สองอย่าง คือ ตากับรูป เป็นต้น ที่พูดว่า Contact มี Factor สอง มีองค์ประกอบสองอย่างนี้ไม่ถูก ไม่ถูก ให้จำว่า Contact จะต้องมีสามเสมอ จึงจะรู้จักปฏิจจสมุปบาทตัวร้ายกาจตัวที่ร้ายกาจตัว ๆ นี้ที่เรียกว่าผัสสะนี่แหละ ทีนี้ก็มาถึงต้องมี Depending, dependent, depending ที่ Contact กันอีกทีหนึ่ง มันจึงจะมีสิ่งที่เรียกว่า Feeling หรือเวทนา มัน Depend upon the contact มันจึงจะมี The feeling นี่ก็เป็นปฏิจจสมุปบาทอาการที่ถัดมา อาการที่ถัดมา Depending upon the contact แล้วก็ feeling ก็ออกมา ที่นี้มันก็ Depend คือ เวทนาต่อเวทนา มันจึงจะเกิดความหมายหรือคุณค่าแห่ง Positive และ Negative ถ้าไม่เช่นนั้น Positive กับ Negative จะไม่ปรากฎ เพราะมันอาศัยอยู่กับเวทนาก็เนื่องมาจากเวทนา ค่าหรือความหมายหรืออิทธิพลของความเป็น Positive และ Negative มันก็ออกมาปรากฏแก่จิตใจ ถ้า ถ้า ว่ามันไม่มีความรู้สึกเป็น Positive หรือ Negative เรื่องมันจบนะ เรื่องมันจบนะ ทีนี้มันมีความหมายของ Positive หรือ Negative นี้คือเวทนามันมีความรู้สึกให้เป็นพอใจหรือไม่พอใจ Pleasant กับ Unpleasant นี้คือ Positive กับ Negative อาศัย Positive กับ Negative ของเวทนานี้มันก็จะเกิดตัณหา ตัณหา Caving หรือ Desire ข้อนี้หมายความว่าไม่มี ไม่มีวิชชา ไม่มีความรู้ที่ถูกต้องมาตลอดเวลา เวทนาจึงให้เกิดตัณหา Caving or desire แต่ถ้ามันมีความรู้ที่ถูกต้อง มีวิชชา มีความรู้ที่ถูกต้องมาตลอดเวลา มันไม่เกิดตัณหา คือไม่เกิด Caving or desire แต่มันไปเกิดความต้องการที่ ที่สะอาด ท่านก็จะมีแต่ความต้องการที่สะอาด มัน Aspire, aspiration ความต้องการที่ไม่โง่แล้วเราจะเรียกว่า Aspiration ถ้าว่าเรื่องมันมาโดยวิชชา เดี๋ยวนี้เรื่องมันมาโดยอวิชชา อวิชชามันจึงเกิดความต้องการที่โง่ มันจึงเรียกว่า Caving หรือ Desire ถ้ามันเป็นเรื่องของ Caving หรือ Desire มันเสียหาย มันผิด มันเสียหาย มันเลวร้าย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของ Aspiration นี้มันจะเป็นไปในทางดีหรือทางถูกต้องคือดับทุกข์
ตอนนี้อยากจะขอถามว่าวิทยาศาสตร์นั้นบัญญัติแต่เพียงใน Positive หรือ Negative สองอย่างเท่านั้น มีบัญญัติอย่างที่สาม คือ Non positive หรือ Non negative นี้มีหรือไม่ นี่อาตมาไม่ทราบ แต่ในทางธรรมะ ในทางพุทธศาสนานี้มันมี คือ มันจะเป็นสุข คือเป็น Positive มันเป็นทุกข์ คือเป็น Negative และมันไม่ Positive คือ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เรียกว่า คำว่าทุกข์คำว่าสุขมีอีกอย่างหนึ่ง(นาทีที่ 46:36) เรียกเป็นสามอย่าง ความหมายของเวทนานั้นเป็นสามอย่าง สุข ทุกข์ แล้วก็ ไม่ ๆ ไม่ ๆ ไม่กล่าวได้ว่าสุขหรือทุกข์ ไม่อาจจะ Classify ได้ว่าสุขหรือทุกข์นั้นมีอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเวทนา เวทนาเป็น Positive มันก็เกิดตัณหา คือความอยาก ในทางที่จะเอา ที่จะได้ ที่จะมี ที่จะยึดครอง ที่จะยึดครอง นี่เรียก Positive ถ้ามันเป็น Negative มันก็มีตัณหาในทางไม่เอา ไม่เอา ไม่ต้องการ อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย ก็เป็น เป็นตัณหาเหมือนกัน คือถ้ามันไม่ Positive ไม่ Negative มันเกิดความสงสัย ความต้องการมันเป็นไปในทางความสงสัย คือ อยากจะรู้ว่ามันจะ มันจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ และมันก็เกิดความสงสัย ติดตาม พยายามติดตาม และมันก็มีความทุกข์เหมือนกัน มันไม่ใช่ว่าทุกข์ว่าสุข มันก็ทำให้เกิดตัณหาชนิดที่ว่าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และก็มีความสงสัย สงสัยอย่างแรง แล้วก็ ก็เป็นความทุกข์เหมือนกัน เวทนาทั้งสามชนิดก่อให้เกิดตัณหาได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้ามัน ถ้าเวทนามันเป็น Positive มันก็เพิ่มราคะ ราคะ กิเลสที่จะเอา ถ้าเวทนามันเป็น Negative มันก็เพิ่มโทสะ โทสะที่จะไม่เอาที่จะทำลาย แต่ถ้าว่ามันไม่ Positive ไม่ Negative คือไม่ทุกข์ไม่สุขนี้มันเพิ่มโมหะ โมหะ โง่ ๆ โง่ ๆ ขึ้นไป สงสัยมากขึ้นไป มันจึงเป็นปัญหา เป็นปัญหาทั้งสามชนิดของเวทนา ท่านต้องรู้จักเวทนาให้ดี ๆ ทั้งสามชนิดว่ามันเป็นปัญหาโดยเท่ากัน เพิ่มราคะบ้าง เพิ่มโทสะบ้าง เพิ่มโมหะบ้าง ท่านต้องรู้จักมันให้ดีทั้งสามชนิด อันหนึ่งมันดึงเข้ามา ดึงเข้ามา มัน Pull in อันหนึ่งมันผลักออกไป มัน Push out อันหนึ่งมันทำอะไรไม่ถูก แต่มันก็รบกวนประสาท รบกวนประสาท มันอยู่ในความสงสัย ไม่รู้ว่าจะ Push หรือ Pull ดี มันก็เป็นความทุกข์คือมันรบกวนประสาท เต็มไปด้วยความสงสัย ในอันนี้ก็ไม่ใช่เล่นนะ มันรบกวนความสงบสุขของเรามากทีเดียว ความสงสัย ความสงสัย หมดความสงสัยเป็นพระอรหันต์ ท่านลองคำนวณดูในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ในสามอย่างนี้มีอันไหนมาก มีอันไหนมาก ที่รบกวน รบกวนเรามาก จะดึงเข้าหรือผลักออกหรือไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ความไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรนี้มันเป็นเรื่องลังเล Hesitate, hesitation ลังเล ๆ สงสัยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นี่ก็กัด ๆ กัดจิตใจ เป็นทุกข์มากเหมือนกัน ควรไปสังเกตดูว่าวันหนึ่ง วันหนึ่ง ในสามอย่างนี้มีอันไหนมากรู้เอาเอง นี่มันรบกวน วันนี้ไม่รู้ว่าจะทำอะไร วันนี้ไม่รู้ว่าจะทำอะไร หรือเดือนนี้ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ปีนี้ไม่รู้ว่าจะทำอะไร หรือทั้งชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะทำอะไร อย่างนี้ก็เรียกว่ามีปัญหา หรือมีความทุกข์ เพราะไอ้ที่มัน มันไม่รู้ว่าบวกหรือลบ มันเต็มไปด้วยความสงสัย เป็นปัญหาตัวใหญ่เหมือนกันแหละ เป็นปัญหาตัวใหญ่ที่กัด กัดชีวิตนี้มากเหมือนกัน เรามีงานทำ มีงานทำ ดีอยู่แล้ว ทำดีอยู่แล้วทุกวัน ๆ วันหนึ่งมันเกิดสงสัยขึ้นมาว่านี่ท่า(สงสัย) จะใช้ไม่ได้ นี่ท่า(สงสัย)จะผิดซะแล้ว เราจะต้องเลิกงานนั้น เราจะทิ้งงานนั้น ไปหางานใหม่อีก มันก็เป็นอย่างนี้อีก ไอ้ความสงสัยนี่ เป็นอันตราย เป็นอันตราย จะต้องกำจัดออกไป จะต้องกำจัดออกไป มันอยู่ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ทีนี้ปฏิจจสมุปบาทมาถึงตอนที่สำคัญที่สุด ตอนที่สำคัญที่สุด คือมีตัณหา มี Caving or desire จบแล้ว มันจะเกิดความรู้สึกโง่ที่สุดขึ้นมาว่ามีฉันผู้อยาก มีแต่ความอยาก ความอยาก มาตามธรรมชาติ มาตามธรรมชาติ เพราะว่าถ้ามีตัณหา มีตัณหาแล้วมันจะเกิดความรู้สึกเป็นความโง่ที่สุดว่ามีตัวกูผู้อยาก ตัวกูผู้อยาก อย่างนี้เรียกว่าอาศัยตัณหา Positive ก็ตาม Negative ก็ตาม มันจะเกิดตัวกูผู้อยาก เรียกว่า อุปาดานะ อุปาดานะ อุปาทาน Attach, attach ในสิ่งมันอยากนั่นแหละ ที่ที่มัน Attach นั้นมันโง่ว่ามีตัวกูผู้อยาก เรียกว่าตัณหา อาศัยตัณหาแล้วก็มีอุปาทาน ท่านก็ควรจะเห็นแล้วว่า ไอ้ความรู้สึก ความรู้สึกอยาก ตัณหา กับคำว่ามีตัวกูผู้อยากนั้นมันคนละอัน คนละอัน ตัวกูผู้อยากนี้เป็นผีหลอก เป็นมายา เป็น Illusive เป็น Illusive ไม่ใช่ตัวจริง แต่ตัวความอยากนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง นี่ขอให้แยกกันให้เด็ดขาดว่าความอยากกับตัวกูผู้อยากนั้นมันคนละอัน ความโง่ยังมีอยู่มันก็เกิดตัวกูผู้อยากออกมาจากความอยาก ความอยากเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ตัวกูผู้อยากนี้เป็นความโง่ เป็นความโง่ หรือว่าผิดธรรมชาติก็ได้ อย่างเรากินอาหารอะไร แล้วลิ้นนั้น ลิ้นนั้น ระบบประสาทที่ลิ้นมันรู้สึกอร่อย อร่อย นี่ก็เป็นความจริง แต่ความโง่มันจะไม่ว่าระบบประสาทอร่อย มันบอกกูอร่อย กูอร่อย ฉันอร่อย กูหรือฉันนี่ตัวนี้คือของที่ไม่จริง ของที่ไม่ได้มีอยู่จริง และเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็มี มีปัญหามาก มันมีอำนาจมากนะไอ้กู กูนี้ เช่น ตาเห็นรูปก็กูเห็นรูป หูได้ยินเสียงก็กูได้ยินเสียง กูอร่อยลิ้น ลิ้นอร่อย ก็กูอร่อย ลิ้นไม่อร่อย ก็กูไม่อร่อย มันผิดกันมากที่ว่าลิ้นไม่อร่อยกับกูไม่อร่อย มันมีปัญหาไกลกันมาก อันหนึ่งมันมีเรื่องร้าย ร้ายกาจเกิดขึ้นได้ มันจะฆ่าคนก็ได้ ถ้ามันมีกูขึ้นมา ถ้ามันเป็นเพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เป็นไรมันไม่ถึงกับฆ่าใคร แต่ถ้ามันเป็นของตัวกูขึ้นมาแล้วมันก็จะทำหลาย ๆ อย่างทั้งทางบวกและทางลบ จะรุนแรงมาก นี่ขอให้รู้จัก อุปาทานะ อุปาดานะ มันเกิด Self ที่เรียกว่าตัวกูนี้ให้ดี ๆ ที่มันสูงสุดขึ้นไปก็มันเป็นในความรู้สึกทางเพศ ทางกามารมณ์ ทางเพศ ที่จริงมันเป็นความรู้สึกของ Nervous system ตามธรรมชาติ ตามธรรมดา Nervous system มันมีอะไรมาก มันก็รู้สึกมาก แต่จิตโง่มันว่าตัวกู เป็นเรื่องของกู มันก็หลงรักในความรู้สึกทางเพศมากจนถึงฆ่าผู้อื่นก็ได้ ฆ่าตัวเองก็ได้นั่นแหละ อย่าไปโง่กับมัน ความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกู หรืออุปาดานะ อุปาดานะ ระวัง ๆ สรุปสั้น ๆ ว่า อย่าเอาความรู้สึกของ Nervous system นั้นมาเป็นความรู้สึกของตัวกู ของตัวกู ของ Self, myself, ourselves นี้มันเป็นตัวกู ไอ้ Self นี่มันเป็นเรื่องผีหลอก เรื่องผีหลอก ไม่ใช่เรื่องจริง Nervous system เป็นเรื่องจริง ถูกทำให้โง่เป็นเรื่องของผี ของตัวกู ซึ่งเป็นความหลง ไม่ใช่มีตัวกูมันก็มีตัวกูขึ้นมาก็ไอ้ความรู้สึกนั่นมันหลอกเอา เวทนามันหลอกเอา ตัณหามันหลอกเอา อุปาทานมันหลอกเอาในภาษาไทยเขาพูดว่าเป็นเรื่องผีหลอก ก็ฟังถูกแล้วไม่ต้องอธิบาย ในภาษาอังกฤษนั้นไม่ทราบ ผีนั้นมันมีอย่างหนึ่ง ผี ถ้ามันไม่หลอกก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าผีนั้นมันหลอกเสมอไป เพราะฉะนั้นเราจึงเรียกว่าคบไม่ได้ ผีมันต้องหลอกเสมอไป Halogenation คือเรื่องที่เกิด ที่เกิดของผีหลอก เพราะฉะนั้นอย่าให้อุปาทาน อุปาทานมันหลอก คือไม่เกิดอุปาทานดีกว่า เป็นเรื่องรู้สึกตามระบบของประสาทมันรู้สึกอย่าเอาเป็นตัวกูรู้สึก ตรงนี้เป็นใจความที่สำคัญมากของเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่จะให้เกิดความทุกข์มหาศาลก็ตรงนี้ ที่จะให้เกิดความอยากและเกิดตัวกูผู้อยาก ตัณหาให้เกิดอุปาทาน ถ้าท่านดูตัวเอง ดูตัวเองทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีไหม เกิดวันละกี่ครั้ง เกิดวันละกี่ครั้ง ผี ผีนี้มันหมายความว่าไม่ได้มีอยู่จริง ไม่ได้มีอยู่จริง จึงเรียกว่าผี คือมันไม่ได้มีอยู่จริง ถ้าจะให้เป็นจริง มันก็จริงของความไม่จริง จริงของความโง่ จริงของความไม่จริง ถ้าให้จริง ผีมันไม่ได้มีอยู่จริง ถ้าจะให้ผีเป็นของจริงก็เป็นในความโง่ เป็นความที่ไม่จริง จริงของความไม่จริง ความไม่จริงมันก็มีอยู่เหมือนกัน เป็นความจริงของความไม่จริง ระวังข้อนี้ให้มาก ลักษณะแห่งอุปาทานนั้นมันไปเอาเรื่องที่ไม่จริงมาเป็นความจริง มันก็จริง มันก็จริงด้วยความโง่ มันก็ทำอะไรด้วยความโง่ ความทุกข์มหาศาลก็เกิดขึ้น นั่นแหละ อย่าทำเล่นกับไอ้ผี ความจริงของความไม่จริงนั้นก็คือความโง่ ตอนที่เราโง่ที่สุด โง่ที่สุดในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ตอนที่มีอุปาทาน อุปาทานว่าตัวตนว่าของตน ภาษาไทยพูดให้มันถ้าจะให้ชัด ตัวกูของกู เป็นตัวกูของกู นี้เป็นเรื่องผีหลอก จริงของความไม่จริง จริงของความไม่จริง ต่อไปทีนี้ อุปาดานะ ความยึดมั่นถือมั่นด้วยความโง่ ถ้าจะเรียก Attachment ก็ Attach ด้วยความโง่ ไม่ได้มาจาก Attach ด้วยความถูกต้อง มันมีอุปาดานะ Attachment ในสิ่งใดมันก็จะเกิดตัวกู ตัวกูสำหรับสิ่งนั้น ซึ่งแท้จริงมันไม่มี มันไม่ได้มีพอมันโง่มันก็เกิดขึ้นมา มันก็เปรียบเสมือนหนึ่งอาการตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์เพื่อจะโตออกไปเป็นทารก ที่เราเรียกว่า อุปาดานะให้เกิดภะวะ ภะวะ Existence จุดตั้งต้น จุดตั้งต้นหรือการตั้งครรภ์ของตัวกู คือผีนั้นมันตั้งครรภ์ ผีมันตั้งครรภ์เรียกว่า ภะวะ ไม่ใช่ของจริง มันโง่เอาว่ามี โง่เอาว่าเป็น มันโง่ว่านี่เกิดภะวะ อุปาดานะให้เกิดภะวะ ละเอียดมาก ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่รู้จักทั้งที่มันมีอยู่ทุกวันมันมีอยู่มากมายทุกวัน ๆ ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่รู้จัก
กิริยา กิริยาของอุปาดานะ อุปาดานะ ไอ้นั่นน่ะมันถูกยึดถือ มันเป็นเพียงกิริยาของอุปาดานะ Attach, attach to, clinging, cling to, grasp at คำเหล่านี้เป็นความหมายของอุปาทาน จะเป็น Attach หรือเป็น Cling หรือเป็น Grasp เป็น Illusive ไอ้ Grasp at illusive มายา มายา ไม่ใช่ตัวจริงเอามาเป็นตัวจริง มันก็เกิดสิ่งใหม่ คือสิ่งใหม่ คือสิ่งที่ไม่จริง คือสิ่งที่หลอกลวงหรือสิ่งที่้หมือนกับผีมันก็ได้เกิดขึ้นจริงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะมี Attach, attach หรือว่า Cling ก็ตาม วันหนึ่งกี่ครั้ง ๆ ท่านดูให้ดี แล้วมันมีมากมายเหลือเกิน น้อยบ้าง มากบ้าง เต็มสำนึกบ้าง ใต้สำนึกบ้าง นี่ก็มีความชัดก็มี นี่จุด ๆ จุดที่มันจะเกิดความทุกข์ มันอยู่ที่ว่ามันมีภะวะนี้ ภะวะนี้มันก็ตั้งครรภ์ แล้วต่อไปมันก็จะเกิดชา-ติ Birth พูดทีเดียวกันก็ได้ว่ามันมีภะวะตั้งครรภ์แล้วมันก็มี Birth คลอดออกมา มันเป็นตัวกูในความรู้สึก เต็มที่ในความรู้สึกเต็มที่ มันเป็นตัวกูของกูกระโดดโลดเต้นออกมา แสดงบทบาทกันเต็มที่ ในเมื่อมันมี Birth หรือชา-ติแห่งตัวกู นี่คืออันสุดท้ายของปฏิจจสมุปบาท เราจะตั้งขอสังเกตุขึ้นมาว่าไอ้ความรู้สึกที่เรารู้สึกอยู่ในใจ รู้สึกอยู่ในใจว่าเงินของฉัน ทรัพย์สมบัติของฉัน อำนาจวาสนาบารมีของฉัน สามีของฉัน ภรรยาของฉันนี้ ของฉัน ของฉันเหล่านี้ มันเป็นเพียง Illusive attachment หรือว่ามันเป็นของจริง หรือมันเป็นของจริง ถ้าท่านรู้ความจริงข้อนี้คือท่านรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท สิ่งที่ถูก Attach หรือว่าถูก Cling ถูก Grasp มันเป็นของจริงหรือมันเป็นเพียงอุปาทานที่มันเป็นมายา ปฏิจจสมุปบาทตอนสำคัญก็ตอนนี้ ขอให้ดูที่ว่าเรา Attach สิ่งใดอยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลา มันเป็นของจริงหรือมันเป็นของหลอก มันเป็นของจริงหรือเป็นของหลอก ทีนี้ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาว่า เราจะมี มีสิ่งเหล่านี้ มีสิ่งที่ว่านี้ มีสิ่งเหล่านี้ กินสิ่งเหล่านี้ ใช้สิ่งเหล่านี้ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ โดยที่ไม่ต้องมี Attachment เลยนี้เป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ ท่านคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ ท่านจะมีเงินโดยไม่มีความคิดว่าเงินของฉัน ท่านมีอะไร ๆ โดยที่ไม่ต้องมีความคิดว่าของฉัน กระทั่งว่ามีชีวิต ๆ ชีวิตนี้ไม่ใช่ของฉันจะเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ มี Attachment ในสิ่งใด สิ่งนั้นแหละมันกัด พูดมันหยาบคายหน่อย ... (นาทีที่ 01:33:22) Attach ในสิ่งใด สิ่งนั้นแหละมันกัด ๆ กัดให้เจ็บ มันจะมีสิ่งต่าง ๆ ทุกอย่างที่เราจะต้องเกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องด้วย โดยไม่ต้องมี Attachment จะได้หรือไม่ มันจะได้ไม่กัด ไม่กัด ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของ ตั้งคำถามขึ้นมาว่า มีเงินโดยไม่รู้สึกว่าเงินของฉัน มีภรรยาสามีโดยไม่ต้องรู้สึกว่าภรรยาของฉันสามีของฉัน นี่เป็นคนบ้าหรือเป็นคนดี มีปัญหาว่าอย่างนี้ตลอด แต่โดยหลักธรรมะแล้วเมื่อไม่ยึดมั่นว่าของฉันนั้นมันไม่กัด มันไม่กัด ท่านลองดูเอาเอง พอเรายึดว่าเป็นของฉันแล้วมันกัด เรามีเราใช้เรากินเราอยู่โดยไม่ยึดมั่นว่าเป็นของฉันนี้ จะได้ไหม แต่มันจะไม่กัด มันจะไม่กัด คือว่าจะไม่เกิดความทุกข์ คำสอนในไบเบิลในตอน New settlement เซนต์พอลสอนประชาชนชาวโครินธ์เกียน (นาทีที่ 1:36:52) ว่ามีภรรยาก็เหมือนกับ ก็ทำเหมือน ก็เป็นเหมือนกับไม่มี มีสามีก็เป็นเหมือนกับไม่มี มีเงินทองทรัพย์สมบัติก็เป็นเหมือนกับไม่มี แม้จะมีความสุขก็เหมือนกับไม่มี มีความทุกข์ก็เหมือนกับไม่มี ไปซื้อของที่ตลาดถือมาก็ไม่ได้คิดว่าฉันมี นี่คำสอนของคริสเตียน คริสเตียนที่ดีที่ถูกต้องจะต้องไม่ Attach สิ่งใดว่าเป็นตัวฉันหรือเป็นของฉันเหมือนกัน นั่นแหละขอให้ท่านคิดดูเถิดจะใช้คัมภีร์คริสเตียนก็ยังได้ การที่ไม่ Attach สิ่งใดว่าเป็นตัวฉันหรือเป็นของฉันก็เป็นหลักสูงสุดในคริสเตียน ในคริสเตียนก็มีด้วย ชีวิตนี้จะมีอะไรมากมาย ๆ เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ไม่มี เหมือนมันมี (นาทีที่ 01:39:36) ถ้าคิดว่าของฉันนั้นมันเป็นอย่างไร ถ้าไม่คิดว่าเป็นของฉันนั้นมันเป็นอย่างไร มันไม่มีภาระหนัก ไม่มีภาระหนัก จะไม่มี Burden of life, life จะไม่เป็น Burden ขึ้นมา นี่การไม่ Attach ไม่ถือไว้สิ่งใดไว้มันก็ไม่มีหนัก ไม่มีความหนัก นี่จะเรียกว่ามันเป็นความลับหรือเป็นศิลปะก็ยังได้ เป็นศิลปะในการที่จะมีชีวิต หรือมีสิ่งของต่าง ๆ มีชีวิตโดยศิลปะชนิดนี้ก็ยังได้ ก็มันไม่มีความทุกข์ แต่ทางพระพุทธศาสนานี้ถือว่าเป็นธรรมะอันสูงสุดแล้ว ไม่มี Attachment ในสิ่งใดก็ไม่มีความทุกข์เลย ฉะนั้นขอให้ท่านเข้าใจคำว่า Attachment ให้ดี ๆ มีชีวิตโดยไม่ต้องเป็นของฉัน ถ้าท่านเป็นผู้นิยมศิลปะ ถ้าท่านชอบ Art ลองคิดว่าถ้าเรามี Art ที่จะมีสิ่งใด ๆ โดยทุก ๆ สิ่งโดยไม่มีความหนัก หรือปัญหาหรือความทุกข์แก่เราโดยประการทั้งปวง นี่เป็น Buddhist art เป็น Art ที่สูงสุดของ Buddhist เอาอย่างนี้ก็ได้ ข้อที่ต้องสังเกตุอันสุดท้ายก็คือว่า ถ้ามันไม่มีตัวกู ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แล้วของ ๆ ตนมันจะมีได้อย่างไร ไม่มี Very self ไม่มี Intrinsic self ไม่มี Self ที่แท้จริง แล้วของ ๆ Self, ourselves, myself มันจะมีได้อย่างไร อย่ามี Self เพียงอันเดียว ourselves, myself มันก็หายไปเอง มันก็ไม่มีไปเอง นี่เราก็ไม่มีตัวตน เราก็ไม่มีของตน มันก็เบา แล้วก็ Clean แล้วก็เป็นชีวิตที่ไม่มีความทุกข์เลย มีพุทธภาษิตสั้น ๆ ว่า เมื่อตัวตน ตัวตนมันไม่มีแล้ว ทรัพย์สมบัติของตน ภรรยาของตน ลูก ๆ ของตนจะมีมาแต่ไหน เมื่อตัวตนมันไม่มีเสียแล้ว ทรัพย์สมบัติ เงินทอง บุตร ภรรยา สามีมันจะมีมาแต่ไหน ทีนี้ท่านจะต้องมองเห็นชัดต่อไปอีกว่า นี่ไม่ใช่ Pessimistic ไม่ใช่ Pessimistic ไม่ใช่ Pessimism แต่เป็นการบอกให้มองให้ถูกต้อง ให้ชัด ให้ชัด แล้วจะแก้ปัญหาทั้งหลายได้ ถึงจะกลายเป็น Optimism ด้วยซ้ำไป ที่จะมองเห็นโดยไม่ใช่ตัวตน และไม่ยึดถือว่าตัวตนนี้ ก็จะให้ความพอใจว่าไม่มีความทุกข์เลย ควรจะมองความรู้นี้ว่าเป็น Optimism อย่ามองเป็น Pessimistic จะขอบอกให้เป็นที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่งว่า พุทธรรมหรือพุทธศาสนานี้จะไม่เป็น Optimist หรือ Pessimist แต่จะสามารถขจัด ขจัดความหมายที่จะทำให้ยึดมั่นถือมั่นออกไปเสียให้หมดได้ มันเลยมีลักษณะที่ว่าฟรี ฟรีหรือว่าง ฟรีไม่เป็น Optimist ไม่เป็น Pessimist มันจึงจะเป็นฟรี เป็นว่าง คือเป็นหลุดพ้น เป็น …….. เป็น …. (นาทีที่ 1:48:46) ก็ต่อเมื่อเราไม่เป็น Optimist หรือ Pessimist จึงขอให้ท่านเข้าใจไว้ด้วย ในที่สุดก็ขอยืนยันว่า ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทได้สำเร็จนี้จะช่วยให้เราเป็นอย่างนี้ คือเราอยู่เหนือ เหนือ เหนือบวกเหนือลบเหนือทุก ๆ อย่าง คือไม่มี Attach ในสิ่งใด ไม่ Attach ไม่ Attach ไม่มีในสิ่งใด ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทและเราปฏิบัติได้จะช่วยให้เราถึง ขึ้นมาถึงสภาพอย่างนี้ คืออยู่เหนือสิ่งทั้งปวง เหนือสิ่งทั้งปวง ขอให้ท่านสนใจศึกษาให้ดีแล้วปฏิบัติให้ได้ ในเซ็นเตอร์นั้นขอให้ศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทจนใช้ปฏิบัติได้ ถ้าที่นี่ไม่ได้ก็ศึกษาต่อไปวันข้างหน้าก็คงจะปฏิบัติได้ เมื่ออยู่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์ทั้งปวงด้วยเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ปฏิบัติได้ ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทให้พ้น ที่สำคัญที่สุดที่ดีที่สุดเป็นสองอย่าง อย่างแรกคือให้รู้ว่า โอ้ มันไม่มีตัวตน มันไม่มีตัวตน มันมีแต่กระแส Stream of dependent origination เพียงแต่กระแสแห่ง Dependent origination ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์แห่งปัญหามันก็ไม่มีความทุกข์ เพราะมันไม่มีตัวตน ปฏิจจสมุปบาทช่วยให้เรารู้ว่ามันไม่มีตัวตนอันโดยแท้จริง ข้อที่สอง ประโยชน์ข้อที่สองก็คือทำให้เรารู้ว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความไม่มีทุกข์ดับทุกข์จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร หมายความว่าเรารู้ถึงการเกิดและการดับของความทุกข์ และก็สามารถจะปิดกั้นการเกิดแห่งความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ก็ควรจะพอใจแล้ว อย่าต้องการให้มากไปกว่านั้นเลย ชีวิตนี้สงบเย็นและเป็นประโยชน์ก็พอแล้ว นี่เป็นประโยชน์ข้อที่สอง เพราะเหตุที่ทำให้เรารู้ความจริงว่าไม่มีตัวตน และทำให้เราสามารถปิดกั้นการเกิดแห่งความทุกข์ได้ ดังนั้น เราจึงถือว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นหัวใจพุทธศาสนาหรือเป็นตัวแท้ของพุทธศาสนาก็ได้ ขอให้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ เพราะฉะนั้นท่านจะเสียเวลาไปทนลำบากอยู่ที่ไหนสักหกเดือน แต่ท่านได้รู้ปฏิจจสมุปบาทนี่คุ้มค่าแล้ว คุ้มค่าแห่งเวลา คุ้มค่าเสียสละทุกอย่างแล้ว นี่คือสิ่งที่เราเรียกชื่อมันในวันก่อนว่า Gentle healing for spiritual disease รักษาโรคทางวิญญาณอย่าง อย่าง อย่าง อย่างเงียบเชียบ อย่างเยือกเย็น อย่างเงียบเชียบที่สุด คือ ปฏิจจสมุปบาท แต่ว่าการที่เราจะประสบความสำเร็จในการมีและการใช้ปฏิจจสมุปบาทนี้ จะสำเร็จได้ด้วยการมีสติ สติสมบูรณ์ เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเราจะไว้พูดกันวันหลัง ด้วยเรื่องการมีสติสมบูรณ์ด้วยการฝึกอานาปานสตินี่เราจะไว้คุยกันวันหลัง ขอบคุณ ขอบคุณท่านทั้งหลาย เป็นผู้ฟังที่ดีเป็นเวลาสองชั่วโมงเต็ม ๆ แล้ว ขอปิดการประชุมวันนี้