แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย บัดนี้เป็นโอกาสสำหรับบรรยายธรรมเนื่องในวันวิสาขบูชาขึ้นมาอีกตอนหนึ่งตอนหนึ่ง ไม่ใช่ตอนสำคัญแต่เป็นตอนแถมพกตอนกลางวันไม่ได้พูด แต่ถึงอย่างนั้นก็จะต้องขอโอกาสพูดและยิ่งกว่านั้นก็เป็นเรื่องพูดต่อจากเรื่องที่พูดเมื่อวาน มันยังไม่จบ แล้วก็เป็นการขอโอกาสพูดเป็นพิเศษพูดคำหยาบคายจนถึงกับต้องใช้คำว่าแรดทั้งหลาย นี้เรื่องของแรดยังไม่จบวันนี้ก็จะพูดตอนจบคือ วิธีที่จะให้พ้นจากความเป็นแรด แรดตัวไหนต้องการจะพ้นจากความเป็นแรด ก็ขอให้สนใจแต่ถ้าจะสมัครเป็นแรดต่อไปตามเดิมไม่ต้องก็ได้ไม่ต้องก็ได้ คิดดูแล้วมันก็น่าสงสารน่าเศร้าน่าเสียดายถ้าจะต้องเป็นแรดกันอีกต่อไปไม่รู้จักจบจักสิ้น มันควรจะแก้ปัญหานี้ได้คือหยุดความเป็นแรดกันเสียได้ถ้าผู้ฟังยังไม่ลืมแรดก็คือ สัตว์ที่หนังหนาเหมือนกับก้อนหินไปปะๆไว้ตีด้วยไม้เรียวไม่มีความหมายมันเลยไม่ค่อยจะรู้สึกต่อสัมผัสแล้วก็ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงมันก็ได้เป็นแรด ที่นี้เรื่องนี้มันมาได้แก่เรื่องของเราคือมีความเป็นแรดจนกระทั่งไม่รู้ว่ามาเกี่ยวข้องกับพระศาสนานี้เพราะต้องการอะไรต้องการอะไร บอกไม่ได้ก็เรียกว่ามันต้องเป็นแรดคือโง่ที่สุดที่นี้จะแนะให้ดูที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่ติดกันอยู่ก้าวไปไม่ได้ทำซ้ำๆๆๆอยู่นั่นแหล่ะหนังมันก็หนาขึ้นๆ โง่ครั้งหนึ่งมันก็หนาขึ้นชั้นหนึ่ง โง่ครั้งหนึ่งมันก็หนาขึ้นชั้นหนึ่ง โง่หลายๆครั้งมันก็หลายๆชั้นจนเป็นหนังหนาปึกเป็นหนังแรด ที่นี้ก็จะมาดูว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างไร เกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างไร ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังกันให้ดีๆ อาตมาก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดคำหยาบกระทบกระเทียบเสียดสีอะไรแต่พูดไปตรงๆมันก็มีการกระทบอยู่ในตัว แต่ขอให้ดูให้ดีมันกระทบความเป็นแรดไม่ได้กระทบความเป็นคน ความเป็นคนไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องกระทบแต่ความเป็นแรดมันมีเรื่องที่จะต้องกระทบมากมันแล้วมันก็ต้องมีการกระทบจนหมดๆๆความเป็นแรด ค่อยๆคลายออกค่อยๆหลุดออกคลายออกจนหมดความเป็นแรดหนังที่หนาปึกก็บาง เลิกเป็นแรดมันก็เป็นเสือเป็นราชสีห์เป็นอะไรไปตามเรื่องดีกว่า คือหนังไม่หนาเปรอะเหมือนหนังแรด อะไรๆมันก็ไม่หนาเหมือนแรดยังลืมตามากกว่าแรดแรดนี้ดูคล้ายๆกับตาปิดอยู่เสมอที่เห็นที่สวนสัตว์มันไม่ได้ลืมโพลงอย่างตาสัตว์ทั้งหลายมันลืมนิดเดียว แล้วเรามาพูดถึงเรื่องความเป็นแรดโดยไม่รู้สึกตัวแล้วก็ติดตันอยู่ที่นั่นข้อนี้ก็หมายถึงว่าเรากระทำ กระทำสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดถูกต้องที่สุดมีประโยชน์ที่สุดจะเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ที่สุด แต่แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องแรดไปเสียคือมันไม่ได้มีผลมันไม่ได้ก้าวหน้า แรดทั้งหลายจงฟังดูให้ดีๆว่าได้ว่า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต มากี่สิบครั้งแล้วกี่ร้อยครั้งแล้วกี่พันครั้งแล้วแรดแต่ละตัวละตัวนี่ได้ว่า นะโนมากี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว แล้วมันก็ว่าแต่ปากมันว่าแต่ปากแล้วมันก็ว่าชนิดที่ไม่มีความหมาย นะโมตัสสะ ภะคะวะโต ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง แรดมันว่าเท่านั้นแหล่ะและไม่มีแรดตัวไหนที่พูดออกมาว่าข้าพเจ้าจะพยายามจะพยายามปฏิบัติตามพระองค์ ข้าพเจ้าปฏิบัติตามความตรัสรู้ของพระองค์ แรดตัวไหนมันก็ไม่ได้ว่ามันว่าแต่ข้าพเจ้าไหว้พระองค์ข้าพเจ้าไหว้พระองค์ข้าพเจ้าไหว้พระองค์ซ้ำๆซากๆจนหนังหนาเป็นแรดมันไม่มีความหมายอะไรนี่ มันว่าแต่ว่าข้าพเจ้าไหว้พระองค์ข้าพเจ้าไหว้พระองค์ข้าพเจ้าไหว้พระองค์นะโมทุกทีก็ว่าอย่างนั้นทุกทีไม่มีถ้อยคำตรงไหนที่ยืนยันว่าข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามการตรัสรู้ของพระองค์หรือตามคำสอนของพระองค์ มันก็ได้กลายเป็นแรดสิ เพราะว่ามันว่า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต ซ้ำๆซากๆ ซ้ำๆซากๆ อยู่ได้นับร้อยครั้งพันครั้งนี่เป็นแรดหรือไม่เป็น มัวแต่ว่านะโมตัสสะ ภะคะวะโตอยู่นั่นแหล่ะไม่เคยคิดที่จะปฏิบัติตามหรือว่ายืนยันว่าข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามอย่างนี้มันก็ไม่มี งั้นว่าครั้งหนึ่งว่าเฉยๆว่าอย่างเป็นหมันหนังก็หนาขึ้นมาชั้น ว่าครั้งหนังก็หนาขึ้นมาชั้น ว่าครั้งหนังก็หนาขึ้นมาชั้น ดูหนังแรดตัวแรดมันมีหนังหนาเท่าไหร่แม้แต่เรื่อง นะโมตัสสะ ภะคะวะโต ภะคะวะโต ก็ทำให้กลายเป็นแรดได้มันสนใจแต่แค่ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต ไม่สนใจในข้อที่ว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ตามพระองค์ไป สัมมาสัมพุทโธ มันก็เลยหยุดอยู่ที่นี่นี่เป็นตัวอย่างของความเป็นแรดข้อที่หนึ่งหนังหนาเท่ากับจำนวนที่ได้ว่านะโมมากี่ครั้งกี่ครั้ง ถ้าแรดตัวไหนมันอยากจะเลิกเป็นแรดก็ขอให้คิดไปถึงว่าจะปฏิบัติตามพระผู้มีพระภาคหรือตามพระอรหันต์นี้หรือตามสัมมาสัมพุทธเจ้าให้จริงๆ เอาละไม่กล้าว่าออกมาดังๆกลัวจะผิดเพื่อนผิดหูก็ว่าในใจหรือว่าลับหลังก็ได้ แต่มันก็ไม่ได้ว่านี้ก็เลยเป็นนกแก้วนกขุนทองคือว่าแต่ออกเสียงออกเสียงไม่ต้องรู้ความหมาย นี่อาตมาเห็นว่ามันเป็นความเป็นแรดซ้ำๆๆๆๆๆไปตามจำนวนของการที่ว่านะโม นั้นก็เรียกว่ามันไม่รู้มันไม่มีความรู้ ทีนี้อีกเรื่องต่อมาก็คือเรื่องสำคัญเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาวันวิสาขบูชา อาตมาเคยบอกมาแล้วกี่ครั้งๆก็จำไม่ไหวแต่ได้บอกทุกทีว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันที่ฉลองชัยชนะของมนุษย์ต่อความทุกข์คือต่อกิเลสทั้งหลายที่เปรียบเสมือนมาร เราก็ไม่ได้คิดอะไรกันมาก พระพุทธองค์ชนะมารพระพุทธเจ้าชนะมารสวดพาหุงกันเรื่อยไปชนะมารอย่างนั้นชนะมารอย่างนั้นอย่างนี้ชนะมารชนะมาร พูดแต่อย่างนั้นพระพุทธองค์ชนะมารพระพุทธองค์ชนะมารหารู้ไม่ว่าพระพุทธองค์ชนะมารชนะมารของใครชนะมารของพระพุทธเจ้าชนะมารเพื่อพระพุทธเจ้ามันก็ไม่เกี่ยวกับเรา ไอ้แรดทั้งหลายมันก็มัวแต่ว่าอย่างนั้นล่ะว่าพระพุทธองค์ชนะมารสาธุกาลชนะมารสาธุกาล หารู้ไม่ว่าไอ้มารที่พุทธเจ้าชนะนั้นมันหมายถึงมารที่รังควานคนทุกคนในโลก พระพุทธเจ้าชนะมารแต่ไม่ใช่เพื่อพระองค์ไม่ใช่มารของพระองค์คนเดียวแต่ชนะมารที่มันรังควานไอ้คนโลกทั้งโลก ไอ้แรดทั้งหลายมันก็ไม่รู้สึกว่าได้รับประโยชน์จากการชนะมารของพระองค์พระพุทธเจ้าชนะมารไม่ใช่องค์เดียวเพื่อพระองค์ แต่ได้ชนะมารที่รังควานคนทุกคน ฉะนั้นการชนะมารของพระองค์ก็คือการคุ้มครองสรรพสัตว์ไม่ยกเว้นอนุญาตให้พูดคำหยาบอย่างที่ตกลงกันตอนแรกวันนี้ขอพูดคำหยาบ ก็ต้องขอพูดว่าพระพุทธองค์ทรงชนะมารคุ้มครองกบาลกบาลหัวของสัตว์โลกทุกคนการชนะมารของพระพุทธเจ้ามันคุ้มครองกบาลหัวของสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ใช่เพื่อพระองค์องค์เดียวไม่ใช่ชนะมารเพื่อพระพุทธองค์องค์เดียว การชนะมารเพื่อคุ้มครองกบาลของสรรพสัตว์ทั้งหลายซึ่่งควรจะขอบพระคุณอย่างยิ่งแต่มันก็ไม่เคยนึกขอบพระคุณ ปากมันว่าแต่จิตใจมันไม่รู้สึกมันก็ไม่ได้ขอบพระคุณ มันก็หนาเป็นแรดไม่รู้สึกพระคุณไม่รู้สึกพระคุณก็หนาเป็นหนังแรดขึ้นมาอีก และเมื่อออกปากว่าพระพุทธองค์ทรงชนะมารตามบทที่สวดพาหุง ทั้งแรดตัวเหลืองและแรดตัวขาวมันก็ว่าพาหุงเป็นกันทั้งนั้นและไม่เคยนึกถึงว่าชนะมารอะไรชนะมารเพื่อใครนี่ขอให้เลิกความเป็นอย่างนั้นกันเสียที ถ้าพระพุทธองค์ชนะมารก็คือพวกเรานี่ได้พลอยชนะมารไปตามพระองค์กิเลสมารอะไรก็ตามมารทั้งหลายไม่ครอบงำย่ำยีเราก็ได้พลอยเป็นผู้ชนะมารไปด้วย เมื่อเราได้รับผลอย่างนี้ก็ควรจะอะไรขอบพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ ไม่ใช่พูดไปเฉยๆสั้นๆร่วนๆพระพุทธองค์ทรงชนะมารแล้วก็สวดพาหุงจบแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร ตันเตชะสา ชะยะสิทธิ ชะยะมังคะลานิ (0:17:15) ไปอ้างมาเปรียบว่าเพราะคำพูดนี้ขอให้เรามีขอให้ท่านมีสวัสดีมงคลอย่างยิ่งไม่ได้ทำอะไรสักนิดนึง พูดว่าพระพุทธเจ้าชนะมารอย่างนั้นๆๆแล้วก็เพราะการกล่าวคำอย่างนี้่ท่านทั้งหลายได้มีชัยมงคลอย่างยิ่ง ไอ้แรดตัวเหลืองมันว่าอย่างนั้นไอ้แรดตัวขาวมันก็สาธุ นี่ขอให้มันมองให้ลึกว่าชนะมารมันชนะมารของใครชนะมารเพื่อใครทำในใจขอบพระคุณขอบพระมหากรุณาธิคุณสูงสุดแล้วก็รู้ว่าเราได้พลอยชนะด้วยในนามของมนุษย์ทั้งหมดเลย ฉะนั้นวันวิสาขบูชาให้ถือว่าเป็นวันชนะมารของพุทธบริษัททั้งหลายทั้งปวงกี่ล้านกี่ร้อยล้านกี่พันล้านก็ชั่งแต่ทั้งหมดนั่นมันได้ชนะมาร วันวิสาขบูชาเป็นวันชนะมารของมนุษย์ที่ได้ชนะเนื้อมารคือสิ่งเลวร้ายที่ทำให้เกิดความทุกข์หรือยุ่งยากลำบากตามแบบของมาร ถ้าว่าแรดทั้งหลายมีความกตัญญูรู้สึกพระคุณข้อนี้โดยแท้จริงและนึกในใจอยู่ทุกครั้งที่ออกพระนามว่าพระพุทธองค์ผู้ทรงชนะมารแล้วก็ขอบพระมหากรุณาธิคุณแล้วก็ปฏิบัติตามเพื่อชนะมารหรือให้ชนะมารมากขึ้นๆตามลำดับๆ มันก็พ้นจากความเป็นแรดในความหมายนี้ นี้ปากพูดว่าพระพุทธองค์ผู้ชนะมารแต่ตัวเองไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็เอาเปรียบว่าเพราะได้กล่าวคำพูดคำนี้ขอให้มีสวัสดีมงคล มันเอากำไรเกินควรมันไม่ได้พยายามประพฤติปฏิบัติให้ตรงตามเรื่องที่ว่าจะชนะมารพญามารกันได้อย่างไร ไอ้พาหุงทั้งแปดบทถวายพรพระทั้งแปดบทเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น พาหุงถวายพรพระแปดบทไม่มีในพระไตรปิฎกพวกลังกาหรือพวกไหนแต่งขึ้นเมื่อไรไม่รู้ แล้วก็เอามาใช้ยึดมั่นถือมั่นเอาเปรียบเอากำไรจนได้กลายเป็นแรดพูดแต่ปากแล้วไม่ทำอะไรเลย นี่มาร อย่างที่สองเรื่องชนะมาร บางทีก็ดูถึงไตรสรณาคมน์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามี ไตรสรณาคมน์ มันมีแต่สรณาคมน์ท่องจำ ถ้าเป็นพุทธบริษัทโดยแท้จริงต้องมีสรณาคมน์จริงอยู่ในใจจริงไม่มีขาดตอน กล้าท้าทายยืนยันปริญญาว่าข้าพเจ้ามีสะระณะ หรือ สะระณา.... (0:21:04)ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้มาขอร้องมาขอสรณาคมน์กันอีกหมายความว่ามันขาดหมดแล้วมันถึงต้องขอร้อง ทรัพย์สินทุกทีขอร้องทุกทีมันได้ปล่อยให้ขาดไปหมดแล้วทุกที สรณาคมน์มันขาดหมดแล้วทุกที อาตมาขี้เกียจให้จึงให้ว่าเอาเองเมื่อวานให้ว่าเอาเองให้ว่าเอาเอง มันจะจริงว่าเรามันเป็นพุทธบริษัทมีสรณาคมน์อยู่ตลอดเวลายึนยันอยู่ว่าข้าพเจ้ามีตลอดเวลาไม่ต้องขอไม่ต้องต่อสำหรับเรื่องสรณาคมน์ นี้ถ้ามันจะต้องต่อๆๆๆอย่างไม่มีความหมายอย่างไม่รู้ว่าต่ออะไรต่อทำไมเหมือนกับเด็กๆ นะโมก็ต้องให้บอกให้ว่าเองไม่ได้นะโมว่าเองไม่ได้ พวกแรดทั้งหลายว่านะโมเองก็ไม่ได้ต้องให้บอกให้ พอถึงสรณาคมน์อีกก็ไม่ยืนยันข้อที่ว่ามีอยู่ตลอดเวลาข้าพเจ้ามีอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าขอประกาศว่าข้าพเจ้ามีอยู่ตลอดเวลาแล้วก็ว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ไม่ต้องขอกับพระไม่ต้องขอจากพระไม่ต้องขอ อย่างนี้ถือว่าเลิกความเป็นแรดมาได้ข้อหนึ่ง ทีนี้มันยังมีเรื่องที่ละเอียดกว่านั้นอีกมันไม่มีที่ตรงไหนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้พึ่งพระพุทธให้พึ่งพระธรรมให้พึ่งพระสงฆ์มันไม่มี คำว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พึ่งพระพุทธพึ่งพระธรรมพระสงฆ์มันมีฝ่ายผู้ฟังเมื่อพระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้ใครฟังๆๆๆ เข้าใจพอใจจนบรรลุมรรคผลก็ได้ให้จิตใจมันสว่างแจ่มใสมันพอใจมันขอบใจมันจึงกล่าวออกมาว่าข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระธรรมพร้อมทั้งพระสงฆ์เป็นสรณะจนตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกให้ถือให้รับเลยว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิเหมือนอย่างที่เราว่ากัน มันเป็นเรื่องของผู้ที่ชอบใจพอใจในพระพุทธเจ้าในพระธรรมและในพระสงฆ์ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงให้ฟังแล้วก็ร้องออกมาโดยเก็บไว้ไม่ได้อดกลั้นไว้ไม่ได้ปากมันทนไม่ได้ใจมันดันออกมาปากมันทนไม่ได้ต้องว่าข้าพเจ้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าว่าดูมีนิดเดียวคือวินัยที่ว่าจะไปบวชคนไกลๆน่ะให้พระที่จะไปบวชให้ให้เขารับสรณาคมน์แล้วคนนั้นก็เป็นภิกษุไป แล้วไม่เท่าไรก็สั่งเลิกไม่เอานั่นน่ะถ้าจะว่าสั่งให้ให้สรณาคมน์มันก็มีแต่เรื่องอย่างนั้น ไอ้เรื่องที่ให้ถือเป็นที่พึ่งเป็นสรณะโดยแท้จริงโดยเด็ดขาดตลอดไปมันไม่มีสำหรับพระพุทธเจ้า แต่มันไปมีอย่างที่ว่าแรดทั้งหลายไม่อยากฟังไม่อยากเชื่อ พระพุทธองค์ตรัสว่า อัตตทีปา อัตตสรณา อนันญสรณา ธัมมะทีปา ธัมมะสรณา อนันญสรณา แปลว่าเธอทั้งหลายจงมีตนเป็นสรณะมีตนเป็นประทีปอย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นประทีป เธอทั้งหลายจงมีธรรมะเป็นสรณะหรือเป็นประทีปอย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะหรือเป็นประทีป พูดให้ชัดๆง่ายๆสั้นๆก็ว่าเธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่งอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เธอทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง บางแห่งมี ยะทิทัง จัตตาโร สะติ ปัฏฐานา คือการเจริญสติปัฏฐานทั้งสี่เรียกว่ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่งนี้เรียกว่ามีตัวเองเป็นที่พึ่งเพราะว่าต้องปฏิบัติธรรมะโดยตนเอง ไอ้ตนตนนึ้แม้จะเป็นตนชั่วคราวตนไม่จริงก็ตาม ไอ้ตนที่มีอยู่นั้นแหล่ะที่มีอยู่ในจิตใจนั่นแหล่ะที่มีอยู่ในความรู้สึกมาทำที่พึ่งให้แก่ตนนั้น ที่จริงความหมายในที่นี้มีแต่คำว่าเองเองอย่าให้ผู้อื่นทำให้ไม่ต้องช่วยผู้อื่น คือทำที่พึ่งของตนเองด้วยตนเอง นี่พระองค์ตรัสว่าให้พึ่งตนเองให้พึ่งธรรมะ แต่ไอ้แรดหัวดื้อมันก็ไปว่า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง ไปยึดถือสิ่งอื่นแม้แต่ว่าเป็นพระพุทธเป็นพระธรรมเป็นพระสงฆ์ไม่ได้ยึดถือให้ตรงตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่าจงมีตนเป็นที่พึ่งมีธรรมะเป็นที่พึ่ง ไอ้คนหัวดื้อก็ว่าฉันจะเอาพระพุทธเป็นที่พึ่งเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งและบางทีก็เอาผีสางเทวดาพ่วงเข้าไปด้วยก็ไม่รู้ ข้อนี้มันไม่ตรงตามพระพุทธประสงค์ จงมีตนเองเป็นที่พึ่งจงมีธรรมะเป็นที่พึ่งคือตนเองนั่นแหล่ะปฏิบัติธรรมะแล้วมันก็ได้ผลแก่ตนเอง แม้ว่ายังเป็นอัตตาของคนโง่ก็เป็นที่พึ่งแก่คนโง่นั่นแหล่ะเพราะคนโง่มันทำที่พึ่งแก่ตนเองมันก็เป็นที่พึ่งแก่คนโง่ ทีนี้แรดหนังหนามันหัวดื้อคอยเข้าใจว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าแรดนอกจากจะโง่แล้วมันยังดื้อด้วยมันดื้อๆๆๆ นี้ระวังให้ดีมันจะได้แก่เรื่องนี้เมื่อพระพุทธองค์ตรัสให้พึ่งตนเองหรือพึ่งธรรมะก็ไปพึ่งสิ่งอื่นแล้วมันก็ไม่มีผลตรงตามที่ควรจะได้หรือตรงตามที่พระพุทธองค์ต้องการมันก็เท่ากับไม่ได้มันเท่ากับไม่ได้เพราะมันเล่นตลกกันเสียนี่ นี่คือความเป็นแรดอีกชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน แรดทั้งหลายจัดการเสียใหม่มีที่พึ่งให้ตรงตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่า อัตตะทีปา อัตตะสรณา อนันญสรณา ธัมมะทีปา ธัมมะสรณา อนันญสรณา ยะทิทัง จัตตาโร สะติ ปัฏฐานา เจริญสติปัฏฐานสี่โดยหัวใจก็คืออานาปานสติสี่ปฏิบัติให้ครบถ้วนให้ถูกต้องแล้วก็จะเกิดการพึ่งตนเองหรือพึ่งธรรมะอย่างแท้จริงถูกต้องขึ้นมาแล้วก็สำเร็จประโยชน์ในการมีที่พึ่งแล้วก็ดับทุกข์ได้จริง ก็หมดความเป็นแรดขอให้แรดทั้งหลายฟังข้อนี้เกี่ยวกับการพึ่งตนเองหรือพึ่งธรรมะ ถ้าจะว่าพุทธัง สะระณัง ธัมมัง สะระณัง สังฆัง สะระณัง ก็ได้ก็ได้ไม่มีใครว่าแต่ก็อย่าว่าเฉยๆอย่าว่าเปล่าๆ ต้องมีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ พระพุทธองค์เป็นผู้ชี้แนะหนทางพระธรรมก็คือตัวทางพระสงฆ์ก็คือผู้ที่เดินทางจนสำเร็จให้ดูแล้วก็สืบสืบไว้เป็นตัวอย่างอย่าให้สูญหายไปสืบศาสนาแล้วก็สืบวิธีการเดินทาง ฉะนั้นเราถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งก็หมายความว่าพึ่งธรรมะแหล่ะ เพราะมารวมอยู่ว่าพึ่งธรรมะให้เกิดความรอดก็เรียกว่าพึ่งตัวเองก็ทำเองข้อนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าอะไร ตุมเหหิ กิจจัง อาตัปปัง อักขาตาโร ตะถาคะตา กิจเป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายต้องทำเองหน้าที่เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายต้องทำเอง พระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้แนะทางชี้ทาง ครั้นจะมาเดินให้แทนก็ไม่ได้ช่วยอะไรก็ไม่ได้แต่ชี้ทางได้และคนนั้นก็เดินเองทำเองๆๆจนตลอด นั้นล่ะเรียกว่าพึ่งตนเองหรือพึ่งธรรมะ ให้ใช้ตนเองปฏิบัติธรรมะเดินไปตามทางของธรรมะนี่ก็จะจะพ้นจากความเป็นแรดไปอีกทีหนึ่ง เดี๋ยวนี้เราก็มีกันแต่พูดไม่ยืนยันว่าได้กระทำอยู่หรือจะกระทำจนตลอดชีวิต ขอให้นึกไปถึงคำปฏิญาณที่ใช้ปฏิญญากันอยู่ปฏิญญาลูกเสือ ปฏิญญาทหารปฏิญญาอะไรก็ตามที่เขาปฏิญญากันน่ะ เขาใช้คำที่มันดิ้นได้ข้าพเจ้าจะจงรักภัคดี ข้าพเจ้าจะซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าจะไม่เห็นแก่ตัวอะไรก็ตามมันพูดแต่ว่าข้าพเจ้าจะมันไม่ได้ทำซะที ปฏิญญาอย่างนี้อาตมาไม่เอาวันก่อนเด็กๆเขามาปฏิญญาอย่างนี้ไม่เอาๆๆกูไม่เอามึงว่าอย่างนี้ ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วบัดนี้และจะกระทำต่อไปซึ่งความจงรักภัคดีหรือความซื่อสัตย์หรืออะไรก็ตาม นี่เราก็อย่าให้มันเป็นอย่างนั้นจะถือศีลจะถือศีลจะปฏิบัติจะปฏิบัติแล้วมันก็ไม่ได้ปฏิบัติ ให้มันกล้าพูดออกมาอย่างนักเลงว่าข้าพเจ้าปฏิบัติแล้วบัดนี้และจะปฏิบัติต่อไปจนตลอดชีวิตซึ่งสิกขาบทนี้ๆๆซึ่งธรรมะนี้ๆๆต้องเป็นอย่างนั้น และคำที่สวดที่ร้องที่ว่าข้าพเจ้าจะข้าพเจ้าจะเปลี่ยนเปลี่ยนความหมายเสียใหม่หรือเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ เอ้าทีนี้ก็จะพูดเรื่องอายุที่เมื่อวานไม่รู้จักคำว่าเลิกอายุหรืออยู่อย่างไม่มีอายุ รู้จักแต่สมโภชอายุต่ออายุต่ออายุสมโภชอายุเลี้ยงกันใหญ่กินกันใหญ่อะไรกันใหญ่ แรดทั้งหลายมันรู้จักแต่เพียงเท่านั้น ไม่รู้จักคำว่าล้ออายุเพราะมันน่าล้อ น่าล้อเพราะมันหลอกมันหลอกตลอดเวลาน่าล้อกูก็จะล้อ พอล้อพอใจกูก็เลิกๆๆพอเลิกเลิกแล้วจะอยู่กับอะไร ก็มีชิวิตอยู่ชนิดที่ไม่ต้องมีอายุ คือไม่ต้องมีที่ตั้งแห่งอายุอัตตาอัตตาตัวตนตัวกูอย่าไปมี เพราะตัวนั้นไม่มีแล่วอายุก็ไม่มีมันนับอะไรไม่ได้มันนับที่ไหนไม่ได้ ฉะนั้นมีชีวิตอย่างไม่มีอัตตานั่นแหล่ะเรียกว่ามีชีวิตอยู่กับการที่ไม่ต้องมีอายุไม่ต้องมีอายุเป็นที่ยึดมั่นหมายมั่นเพื่อจะได้ประโยชน์อย่างนั้นประโยชน์อย่างนี้กำไรอย่างนั้นกำไรอย่างนี้ ล้วนแต่ฟุ้งซ่านทั้งนั้นไม่สงบสุขฉะนั้นขอให้รู้จักว่าต่ออายุหรือสมโภชอายุก็ไปอย่างหนึ่ง แล้วล้ออายุเลิกอายุจนกระทั่งว่ามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีอายุ นี้แรดทั้งหลายฟังไม่เข้าใจเป็นเด็กๆ มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีอายุ มันเข้าใจว่าถ้าไม่มีอายุก็คือตาย เรามีอายุชนิดที่ไม่ใช่อายุชนิดที่ไม่ต้องล้อไม่ต้องล้ออายุต่ออายุอีกต่อไปคือไม่มีที่ตั้งแห่งอายุไม่มีอัตตาไม่ต้องมีอัตตนียาตัวกูตัวตนของตนนั้นไม่ต้องมี มันไม่มีก็ไม่มีที่ยึดมั่นไม่มีที่หมายมั่นแล้วก็มีชีวิตฟรีเลยไม่ต้องมีอายุแล้วเป็นชีวิตชนิดที่ว่าไม่ตายด้วยไม่ตาย แล้วพูดให้แรดทั้งหลายฟังยากอีกทีหนึ่งก็ว่ามีอย่างที่ไม่มี มีชีวิตอย่างที่ไม่มีชีวิตเป็นอยู่อย่างที่ไม่ได้เป็นอยู่นี่ยิ่งฟังยากหนักเข้าไปอีกฟังยากเกินกว่าที่ว่ามีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ มีชีวิตโดยไม่ต้องมีเป็นอยู่โดยไม่ต้องเป็นอยู่นี่เป็นอยู่อย่างนี้มันความหมายพิเศษภาษาธรรม ถ้าภาษาคนก็เห็นกันตรงๆอยู่ว่ามีตนอยู่มีอะไรอยู่สมโภชอายุนี่ชอบกันนักหนา อาตมาเมื่อแรกบวชก็เคยไปหลายๆแห่งเขาทำบุญต่ออายุหมอบแล้วเอาผ้าคลุมแล้วดึงสายสิญจน์มาพระถือแล้วก็สวดปฏิจจสมุทปบาทมันบ้าที่สุดสวดปฏิจจสมุทปบาทเพื่อต่ออายุ อัฎฐิ ปุณะหิ .... (0:36:18) พอจะไปกันได้แต่ว่าสวดปฏิจจสมุทปบาทเพื่อต่ออายุนี่ไม่ไหว ไอ้ปฏิจจสมุทปบาทหรืออิทัปปัจจยตามันเป็นคำสอนคำบอกที่มันไม่มีคนมันไม่มีตัวมันไม่มีตนมันไม่มีบุญมันไม่มีบาปมันไม่มีไอ้สิ่งเหล่านี้คำว่าสวดต่ออายุ แล้วก็เป็นแรดตัวโตคราวนั้นมันไม่รู้เรื่องอะไรเขานิมนต์ก็ไปเพื่อนเขาพาไปที่จริงก็ไม่อยากจะไปไปสวดต่ออายุ นึกๆสงสารตัวเอง อ้าวที่นี่ก็จะพูดถึงเรื่องให้พรให้พรขอพรและให้พรเคยเล่าให้ฟังมาบอกกันมาทีหนึ่งแล้วว่าแต่ละวันๆนี่มีคนมาขอพรโดยเฉลี่ยแล้วไม่เกินไม่ๆๆน้อยกว่าห้าราย เดี๋ยวมาขอพรเดี๋ยวมาขอพรเดี๋ยวขอพรขอพร กลับไปบ้านให้ปลอดภัยนี่ขอพรขอพร บางทีไม่ได้มีเรื่องอะไรเลยตรงเข้ามาขอพรเฉยๆอุตสาห์มาจากที่ไกล ไอ้เราไม่รู้จะทำยังไงสงสารก็สงสารก็บอกให้ว่าไปทำหน้าที่ทำหน้าที่ให้ถูกต้องพอใจหน้าที่อะไรมีกี่อย่างกี่อย่างทำหน้าที่เหล่านั้นให้ดีที่สุดให้ถูกต้องพอใจ ความพอใจมันเป็นพรไอ้หน้าที่มันคือธรรมะปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะมีความถูกต้องได้รับผลเป็นที่พอใจๆมันก็คือพร มันฟังไม่ค่อยถูกชักจะไม่ชอบ ฟังไม่ถูก ก็เลยบอกอีกหน่อยว่าไอ้พรที่ขอให้กันด้วยปากนี่คุณมีกันจนไม่มีโกดังจะใส่แล้วใช่มั๊ยรับไว้มากรับไว้มากจนไม่มีโกดังจะใส่แล้วพรชนิดนั้น ไม่เห็นช่วยอะไรไม่เห็นช่วยอะไรมีจนไม่มีโกดังจะใส่เพราะได้รับพรมาตั้งแต่เด็กๆเล็กๆจนโตนี้ก็ยังพรๆๆๆกันอยู่อย่างนั้นจะไม่มีโกดังจะใส่ก็ไม่เห็นได้อะไรเพราะมันไม่จริงพร เอาพรจริงกันดีกว่าทำหน้าที่ทำหน้าที่ทุกอย่างให้ถูกต้องพอใจๆๆสูงสุดตรงที่ว่ายกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไรยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นก็เรียกว่ามีพรหรือเป็นพรอันสูงสุด นี่แรดทั้งหลายเป็นอันมากมัวแต่ขอพรมัวแต่ให้พร ที่นี้ทางกลับกันในทางกลับกันอยากจะบอกให้ทราบว่าไอ้คนให้พรหรือถวายพรน่าสงสารมากกว่าคนขอพร คนขอพรมันยังไม่รู้อะไรมันยังกลัวมันยังขี้ขลาดขอพร เอาขอพรแต่คนให้พรถวายพรหรือให้พรจะเป็นแรดมากกว่าคนขอพรซะอีก เพราะว่าชีวิตทุกชีวิตคนแต่ละคนต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาของตนๆๆอย่างเฉียบขาดที่สุดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ที่ไปให้พรว่าอย่างนั้นอย่างนี้ก็หมายความว่ามันมีอำนาจเหนือกฎอิทัปปัจจยตา อย่างนี้มันเป็นไปได้ที่ไหนไอ้คนปุถุชนธรรมดามีอำนาจเหนือกฎอิทัปปัจจยตาพระเจ้ายังไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าอวดดีว่ากูมีอำนาจเหนือกฎอิทัปปัจจยตากล้าเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยาตาประจำบุคคลประจำบุคคลประจำบุคคล ชีวิตแต่ละชีวิตแต่ละคนต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์แห่งอิทัปปัจจยตาอย่าถือว่าได้กำไรขาดทุนเสียเปรียบบุญบาปอะไรมันเป็นอิปปัจจยตาซึ่งไม่ต้องเรียกว่าบุญหรือบาปหรอก มันต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนั้นไม่มีคำว่าบุญว่าบาปในเรื่องของอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุทปบาท มันมีแต่ว่าเหตุปัจจัยเป็นอย่างนั้นมีผลอย่างนั้นและเป็นเหตุปัจจัยอย่างนี้แล้วผลเป็นอย่างนั้น อันนั้นกลายเป็นเหตุปัจจัยอีกก็มีผลอย่างนั้น อันนั้นกลายเป็นเหตุปัจจัยอีกก็มีผลอย่างนั้นๆมันมีเท่านั้น แต่แรดทั้งหลายมันก็เห็นโชคดีโชคร้ายมีอะไรอ่ะ ประกาศิตอะไร อะไรประกาศิตก็ไม่รู้ พอไม่ได้อย่างใจมันก็ว่าเป็นบาปเป็นกรรมมันไม่รู้ว่ามันเป็นกฎอิทัปปัจจยตา เรือบินตกตายโหงมากมายอย่างนี้ก็ไม่ใช่บุญบาปอะไรมันเป็นกฎอิทัปปัจจยตาของสิ่งเหล่านั้น ไม่ต้องไปยึดให้มันจนเสียหลักกฎเกณฑ์ของปฏิจจสมุทปบาทหรืออิทัปปัจจยตา ถ้าถือกฎเกณฑ์อันนี้ได้ไม่มีกลัวอะไรแล้วก็ไม่หลงรักอะไรไม่หลงเกลียดอะไร ไม่โกรธไม่เกลียดไม่กลัวไม่ตื่นเต้นไม่อะไรๆกับสิ่งใด นี่ก็คือว่ารู้ความจริงของสิ่งทั้งปวงในสากลจักรวาลมีธรรมชาติมีกฎของธรรมชาติคือกฏอิทัปปัจจยตาแล้วก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎอิทัปปัจจยตาเฉียบขาดยิ่งกว่าสิ่งใดแล้วมันก็ไม่ค่อยจะรู้ไม่ค่อยจะเชื่อฟังไม่ค่อยจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎอิทัปปัจจยตามันก็เลยโง่หลงถูกหลอกจะถูกหลอกโดยกฎอิทัปปัจจยตาเสียเลยก็ได้ มารู้สึกโอ้โชคดีโชคร้ายได้เสียไม่ถือว่ามันเป็นอย่างนี้ตามกฎของอิทัปปัจจยตามันดีกว่าที่จะไปคิดว่าเป็นบาปเป็นกรรมเป็นบุญเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันนึกเอาเองด้วยความกลัวถ้าปล่อยไปตามความจริงมันก็เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตากฎของธรรมชาติประจำอยู่ในทุกๆปรมาณูของสิ่งที่เป็นธรรมชาติแม้ในทุกๆปรมาณู ที่นี้หลายปรมาณูเป็นกลุ่มของปรมาณูเป็นกลุ่มของเซลล์เป็นกลุ่มของร่างกายอะไรขึ้นมาก็ได้อยู่ใต้กฎอิทัปปัจจยตาทั้งนั้น เราไม่รู้ก็ขลาดก็กลัวไปเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้อย่างที่เชื่อพรมลิขิต พรมลิขิตจะมาอย่างไรก็ส่งอิทัปปัจจยตาเข้าไปจ่อหน้าก็เตะพรมลิขิตกระจายหายไปหมด โชคดีโชคร้ายเข้ามาคุณก็ส่งอิทัปปัจจยตาเข้าไปก็เตะกระจายหายไปไหนหมดไม่มีดีไม่มีร้ายมีแต่เป็นไปอย่างตรงตามกฎของอิทัปปัจจยตาซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุทปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเรา การเห็นอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุทปบาทนั้นมีผลเท่ากับเห็นพระองค์เอง ก็รู้จักกฎอิทัปปัจจยตานี้ในฐานะพระพุทธเจ้าก็ได้หรือเป็นพระเจ้าโดยแท้จริงพระเจ้าที่ไม่รับสินบนพระเจ้าที่แท้จริงไม่รับสินบนก็ได้ กฏอิทัปปัจจยตาถ้าพระเจ้ายังรับสินบนยังให้เขาบูชาบวงสรวงอ้อนวอนแล้วประทานพรพระเจ้าอย่างนี้ พระเจ้ากินสินบนไม่จริง ถือเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ พระเจ้าอิทัปปัจจยตาไม่รับสินบนมันตั้งบวงสรวงเท่าไรมันก็ไม่รับสินบนมันไปตามกฎอิทัปปัจจยตานี่เรียกว่าจริงๆๆลืมหูลืมตา ไม่หลับตาปิดเป็นแรด ศึกษาให้มากเถอะเรื่องอิทัปปัจจยตาอย่างกว้างๆก็เรียกว่าอิทัปปัจจยตา ถ้าพูดเฉพาะสิ่งที่มีชีวิตรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ได้ก็เรียกว่าปฏิจจสมุทปบาทแต่มาใช้ปนเปกันกลับๆกันเสียก็มีแทนที่จะพูดใหัถูกว่าอิทัปปัจจยตาพูดว่าปฏิจจสมุทปบาท เช่นว่าฝนมันไม่ตกต้องตามที่ตัวต้องการไปอ้างเรียกเป็นปฏิจจสมุทปบาทที่จริงเป็นอิทัปปัจจยตา จำไว้ง่ายๆว่าถ้ามันเป็นเรื่องทั่วไปไม่ยกเว้นอะไรก็เรียกว่าอิทัปปัจจยตากฎเกณฑ์อันนี้ แต่ถ้าเอามาใช้มุ่งหมายเฉพาะสิ่งที่มีชีวิตเป็นเวทนียะคือรู้สึกต่อเวทนาได้จึงจะเรียกว่าปฏิจจสมุทปบาท ฉะนั้นปฏิจจสมุทปบาทก็เรื่องดับทุกข์ใช้กับสิ่งที่รู้สึกเป็นทุกข์ ถ้าอิทัปปัจจยตาใช้กับทุกสิ่งแม้สิ่งไม่มีชีวิตเป็นก้อนหินก้อนดินอะไรก็ได้มันเป็นไปตามกฏของอิทัปปัจจยตาแล้วก็สามารถที่จะต่อสู้กรรม ฉะนั้นเราไม่กลัวกรรมชั่วกรรมดีอะไรไม่กลัวทั้งนั้น กรรมไหนเข้ามาส่งอิทัปปัจจยตาออกรับ อิทัปปัจจยตาก็ขยี้กรรมหมดไปเลยทั้งกรรมดีกรรมชั่วนี่เราไม่กลัว กรรมหนหลังกรรมหนหน้าไม่กลัวทั้งนั้นมาเมื่อไหร่ก็รับแก้ด้วยอิทัปปัจจยตาเป็นไปตามปัจจัยอย่างนั้นเองอย่างนั้นเองตามกฎของอิทัปปัจจยตาไม่มีดีไม่มีชั่ว นี่เรียกว่าเป็นที่พึ่ง ฝีสางมารร้ายกรรมบาปอะไรเข้ามาก็ต้อนรับมันด้วยอิทัปปัจจยตา ไปศึกษาให้เข้าใจถ้ายังไม่เข้าใจ เอ้าที่นี้จะพูดถึงเรื่องที่ว่าจะถือเป็นเรื่องเล็กๆก็ได้คือเรื่องที่เราทำอะไรพอเป็นพิธีไม่ได้ทำอย่างเต็มที่ทำพอเป็นพิธีพูดตรงๆทำวิสาขบูชานี้แรดทั้งหลายทำพอเป็นพิธีทำพอเป็นพิธีตามพิธีสวดร้องตามพิธีพอเป็นพิธีอย่างนี้มันไม่พอหรอก มันต้องทำให้ถึงที่สุดทำด้วยจิตใจจริงๆถึงที่สุดจริงๆให้ถูกตามวิธี ไอ้เรื่องนี้น่าหัวมากคือว่าทั้งวิธีและทั้งพิธีเป็นคำๆเดียวกันที่เป็นบาลีก็วิถีวิถิคือวิธีพอมาตกมาเป็นภาษาไทยเป็นคำคู่ขึ้นมาอีกคำว่าพิธีพิธีที่จริงมันคำเดียวกันพิธีกับวิธีภาษาเดิมเป็นคำเดียวกันพอตกมาถึงเมืองไทยเกิดเป็นสองคำก็เลยความหมายต่างกันมากวิธีก็ทำพอเป็นพิธีเป็น Ceremony เป็น Ceremony เป็นพิธีๆแต่ถ้าวิธีๆมันเป็นเทคนิคซึ่งจะทำให้ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของมัน วิธีมันเป็นเรื่องของเทคนิคพิธีมันเป็นเรื่องของ Ceremony ตามพิธีตามพิธีหลับหูหลับตาทำก็ได้ ฉะนั้นอย่าทำอะไรชนิดที่ว่ามันเป็นพิธีมันจะหลอกตัวเองมันจะหลอกคนทั้งเมืองจงทำให้มันเป็นวิธีวิธีถูกต้องตามวิธีและจะสำเร็จประโยชน์สำเร็จประโยชน์แท้จริง พิธีมันสำเร็จประโยชน์เพียงพิธีแต่ถ้าวิธีมันสำเร็จประโยชน์ถึงที่สุดแม้เราจะกราบไหว้ก็ขอให้มันเป็นวิธีด้วยจิตใจถูกต้องถึงที่สุดจะว่าจะท่องจะบ่นจะว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นี้ก็อย่าให้มันเป็นเพียงพิธีให้มันออกมาจากจิตใจส่วนลึกด้วยความรู้สึกอย่างนั้นแล้วก็กราบออกมาเป็นเสียงว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พิธีก็เป็นเรื่องของนกแก้วนกขุนทองเอามาสอนเดี๋ยวเดียวมันก็ว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิได้ ถ้าเป็นพิธีก็เป็นเรื่องของนกแก้วนกขุนทอง ถ้าเป็นพิธีมันมันไม่ให้ผลเพียงพิธีเท่านั้นแหล่ะ แต่ถ้าเป็นวิธีมันให้ผลตามกฏเกณฑ์ของมันจนถึงที่สุดเป็นชิ้นเป็นอันเป็นจริงจังขึ้นมา แรดทั้งหลายก็ทำอะไรเพียงพอเป็นพิธีแรดทั้งหลาย แรดตัวใดอยากจะหมดความเป็นแรดเลิกเลิกทำอะไรพอเป็นพิธีแต่ว่าทำให้ถูกวิธีตั้งแต่จุดตั้งต้นจนสุดท้าย ก็ได้รับประโยชน์จริงจังฉลาดร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าเป็นแรดมันก็หลับตาร้อยเปอร์เซ็นต์เปะๆปะๆตามบุญตามกรรม เอ้าที่นี้ไหนๆพูดแล้วก็พูดซะให้หมดทุกเรื่องดีกว่าเพราะมันจะไม่มีเวลาพูดกันอีกแล้ว เรื่องที่ควรจะเอามาพูดให้แรดฟังเพื่อเลิกความเป็นแรดก็ยังมีอีกหลายเรื่องบางเรื่อง เดี๋ยวนี้มันมีแต่การบวชตามธรรมเนียมตามประเพณีมันไม่ได้บวชด้วยการกลัวความทุกข์เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ในคำบวชอย่างโบราณอย่างมหานิกายอย่างโบราณมันมี....... นิพานะ สะกิริยายะ (0:52:12) บวชเพื่อกระทำพระนิพพานที่เป็นที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวงให้แจ้ง เดี๋ยวนี้มันไม่มีมันบวชตามพิธีบางทีแม่ยายในอนาคตว่าไม่บวชไม่ให้ลูกสาวมันเป็นซะอย่างนี้โดยมาก มันก็บวชไม่ใช่บวชโดยความเป็นบวชด้วยจิตใจบวชสมัยนี้มันมีแต่บวชตามประเพณีบ้างตามพิธีบ้างตามความจำเป็นอย่างอื่นบ้าง มันไม่ได้บวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งทำพระนิพพานอันเป็นที่ดับสิ้นแห่งความทุกข์ทั้งปวงให้แจ้ง บวชแล้วเป็นอะไรก็ต้องเป็นแรดอยู่ดีบวชแล้วก็ยังเป็นแรดอยู่นั่นแหล่ะ บวชเข้ามาแล้วก็ยังเป็นแรดอยู่ก็รีบรู้สึกตัวแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยเร็วอย่าให้มันเป็นเรื่องของพิธีอย่าให้เป็นเรื่องของธรรมเนียมหรืออย่าให้เป็นเรื่องของหลับหูหลับตาตามๆกันมา ควรจะจำเข้าใจดีแล้วจำไว้อบรมลูกหลานเล็กๆให้มันรู้จักเรื่องของความทุกข์ ถ้ามันเกลียดกลัวความทุกข์แล้วมันก็ต้องบวชเพื่อดับทุกข์โดยบริสุทธิ์ใจไม่อย่างนั้นมันก็บวชตามธรรมเนียมตามประเพณีหรือตามอะไรก็ไม่รู้ บวชแก้บุญอ้าแก้บนมันบวชแก้บนก็มีไม่พ้นเป็นแรดถ้าไม่ได้บวชเพื่อดับทุกข์ด้วยเจตนาจะดับทุกข์มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ก็เป็นเรื่องพิธีหมด ไม่เฉพาะบวชพระนะบวชอะไรก็ได้บวชชีบวชอะไรก็ได้ มันก็ต้องมีความถูกต้องออกไปตั้งแต่เจตนาตัวแรกเกลียดกลัวความทุกข์แล้วก็บวชชีก็ได้บวชเณรก็ได้บวชพระก็ได้หรือจะบวชอย่างอื่นก็ได้ ถ้ามันเป็นการบวชที่แท้จริงแล้วมันก็จะเป็นเรื่องออกจากความทุกข์ออกจากความทุกข์ เอ้าทีนี้ก็จะพูดถึงการเผยแผ่บ้างการเผยแผ่บวชแล้วก็สอนสอนเผยแผ่นี้มันก็ยังมีไอ้แง่มุมที่จะกลายเป็นแรดการเผยแผ่อย่างนกแก้วนกขุนทองว่าไปไม่รับผิดชอบมันก็เป็นแรดได้เหมือนกันแหล่ะ นั่งพูดจ้ออยู่บนธรรมาสไม่รู้ว่าเรื่องอะไรไม่รับผิดชอบในคำที่ได้พูดออกไปมันก็กลายเป็นแรดขึ้นมานั่งบนธรรมาสแล้วก็พูดจ้อมันก็ใช้ไม่ได้มันใช้ไม่ได้ ต้องปรับปรุงกันเสียใหม่คำสั่งสอนหรือการสั่งสอนอะไรที่จะต้องทำกันอีกมาก ให้มันเป็นเรื่องที่ว่าความจริงถูกประกาศถูกชี้แจงถูกแนะนำถูกเปิดเผยให้เขาได้รับความรู้จริงแล้วก็เอาไปปฏิบัติได้จริงแล้วก็ได้ผลจริงๆ ถ้าอย่างนี้เป็นการเผยแผ่ตามแบบของพระพุทธองค์นี้มันเผยแผ่กันทำแบบว่ามันอยากจะอวดมันอยากพูดอยากอวดมันจึงเทศน์อย่างนี้ก็มี ไอ้คนชนิดนี้มักจะเทศน์แต่เรื่องจริยาด่าเขาเหมือนอาตมานี้พูดเทศน์จริยาวิพากษ์วิจารณ์เขาเรียกเทศน์จริยา ถ้าเทศน์ธรรมะไม่ๆๆแตะต้องไม่พูดอย่างนั้นพูดแต่เรื่องธรรมะข้อนี้ว่าอย่างไรว่าอย่างใดธรรมะข้อนี้ว่าอย่างไรว่าอย่างไร ก็เรียกว่าเทศน์ธรรม เทศน์ธรรมะถ้าพูดเล่าเรื่องนั้นเล่าเรื่องนี้วิจารณ์คนนั้นวิจารณ์คนนี้เรียกว่าอย่างนี้หรือแม้แต่แนะแม้แต่มัวแต่แนะไม่ได้แสดงบทธรรมมัวแต่วิพาษ์วิจารณ์แก้ไขอย่างแก้การเมืองนี่อย่างนี้เขาเรียกว่าเทศน์จริยา พระเด็กๆของเรามักจะเป็นอย่างนี้บวชได้ไม่กี่พรรษารู้ธรรมะบ้างแต่ก็เทศน์จริยาไม่เทศน์ธรรมะเพราะเทศน์ไม่เป็น ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์เล่าเรื่องเล่าอะไรต่างๆไอ้เนื้อธรรมะมันไม่ค่อยจะมี แต่ถ้าเอาเนื้อธรรมะเป็นสูตรสูตรสูตรมาแสดงอย่างนี้ให้ชัดเจนออกไปก็เรียกว่าเทศน์ธรรม เทศน์ธรรมะ ถ้าเป็นเรื่องแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์หรือเล่าเรื่องร้อยแปดอย่างนี้ก็เรียกว่าเทศน์จริยา ไอ้เทศน์จริยามันนำมาซึ่งชื่อเสียงกว่าสนุกกว่าตลกคะนองก็ได้ยิ่งกว่าเทศน์ธรรมะ เดี๋ยวนี้การเทศนาสั่งสอนเป็นเรื่องเทศน์จริยากันเสียหมดมันก็ไม่ได้เปิดเผยหนทางแห่งพระนิพพานจะต้องปรับปรุงปรับปรุงปรับปรุงให้มันกลายเป็นเรื่องของธรรมะโดยตรงเรื่องธรรมะโดยตรงว่าดับทุกข์อย่างนั้นดับทุกข์อย่างนั้นดับทุกข์อย่างนั้นไม่ต้องไปอ้างคนนั้นไม่ต้องอ้างคนนี้ไม่ต้องเหตุการณ์ที่นั่นเหตุการณ์ที่นี่ไม่ต้องไม่ต้อง เทศน์ธรรมะล้วนๆๆๆแต่ธรรมะถูกต้องถูกต้องนี่ก็ต้องปรับปรุง นักเทศน์เป็นแรดก็ได้หรือแรดเป็นนักเทศน์ก็ได้จะต้องมีการปรับปรุงด้วยเหมือนกัน เอ้าที่นี้อยากจะพูดว่าทายกทายิกาที่พูดจากันอยู่ตามศาลาวัดที่บ้านที่เรือนก็ระวังก็ระวัง รู้จักพูดให้มันเป็นเรื่องของธรรมะอย่าให้มันเป็นเรื่องจริยาวิพาาษ์วิจารณ์การบ้านการเมืองการอะไรก็ไม่รู้บางทีก็นั่งนินทา การแสดงธรรมะการเผยแผ่ธรรมะยังไม่ไม่ได้ทำตามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมะธรรมะเทศน์ธรรมะล้วน และมีลักษณะวิเศษประเสริฐเหลือที่จะกล่าวแหล่ะ เมื่อพระพุทธเจ้าจะพูดเรื่องอะไรออกไปจะพูดคำอะไรออกไปนี่ไอ้คำพูดเหล่านั้นมีองค์ประกอบวิเศษคือคำที่ท่านพูดออกไปนี่น่ะผู้ฟังจะรู้สึกโอ้นี่ไม่เคยไม่ยินนี่แปลกใหม่นี้น่าสนใจท่านมีวิธีพูดอย่างนั้น พอเอ่ยออกไปไอ้คนฟังมันจะต้องรู้สึกอู้มันแปลกใหม่มันน่าอัศจรรย์มันน่าอัศจรรย์เสียพอได้ยินแล้วก็ท่านก็มีเหตุผลในคำพูดแต่ละคำแต่ละประโยคจะมีเหตุผลแสดงอยู่ที่พอจะเห็นได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเชื่อผู้พูดก็ได้ ความจริงมันแสดงด้วยเหตุผลอยู่ในตัวมันเอง โดยบุคคลนั้นอาจจะเห็นได้เองเช่นว่ากิเลสเป็นของร้อนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่ากิเลสเป็นของร้อนผู้ฟังไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าหรอกป่วยกาลถ้ามันรู้อยู่แล้วว่ากิเลสมันร้อนมันมีเหตุผลอยู่ในตัวมันเองอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสถ้อยคำที่มีเหตุผล อันที่สามก็ว่ามีปาฏิหารย์หมายความว่าคำใดที่ตรัสให้ฟังหรือนำมาสอนให้ฟังคำนั้นปฏิบัติได้ไม่เหลือวิสัยเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ไม่เหลือวิสัยก็เรียกว่ามีปาฏิหารย์ นี่ขอให้ปรับปรุงกันเสียใหม่ให้ดีๆนักเทศน์แรดทั้งหลายให้มีลักษณะเป็นว่าคำพูดนั้นมีความประหลาดน่าอัศจรรย์น่าสนใจตั้งแต่แรกได้ยินและคำที่กล่าวนั้นมีเหตุผลอยู่ในตัวมันเองอย่างเพียงพอและคำกล่าวนั้นมีปาฏิหารย์อยู่ในนั้นคือว่าสามารถปฏิบัติได้ให้สำเร็จได้ตามนั้นไม่ใช่พูดสิ่งที่ใครๆปฏิบัติไม่ได้นี้ก็เรียกว่าสิ่งที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขในยุคปัจจุบันนี้สำหรับแรดทั้งหลายที่ตั้งตัวเป็นนักเทศน์นักแสดงธรรมหรือแม้แต่ที่จะพูดจะคุยกันตามศาลาวัดตามบ้านตามเรือนตามทุ่งตามนาก็เถอะถ้าจะพูดธรรมะให้เป็นธรรมะให้สำเร็จประโยชน์แล้วก็ขอให้มีการพูดอนุโลมตามหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส พูดออกไปอย่างน่าอัศจรรย์เป็นของใหม่ของแปลกมีเหตุผลอยู่ในตัวมันเองมีปาฏิหารย์คือสามารถปฏิบัติให้สำเร็จตามนั้นได้มีความน่าอัศจรรย์มีเหตุผลและก็มีปาฏิหารย์ อ้าวที่นี้ไม่ต้องพูดถึงแรดนักเทศน์เหมือนพ่อแม่ที่จะสอนลูกจะสอนลูกให้รับฟังให้เชื่อฟังลองลองพูดด้วยหลักเกณฑ์อันนี้ พ่อแม่หรือคนที่ตัวกว่าจะพูดให้น้องหรือคนเล็กกว่าฟังก็พูดอย่างมีหลักเกณฑ์อันนี้จะสำเร็จประโยชน์ เดี๋ยวนี้แรดที่เป็นพ่อมันพูดไม่รู้เรื่องมันพูดไม่มีหลักเกณฑ์ไอ้ลูกเด็กๆมันไม่เชื่อมันดื้อจนเคยตัวจนเสียนิสัยตลอดชีวิตมันไม่เคยเชื่อฟังพ่อแม่มันเพราะมันพูดไม่เป็น นี่เป็นเรื่องที่ว่าเราจะปรับปรุงกันในหลักการแห่งการสั่งสอน สั่งสอน ถ่ายทอดคำสอนออกไป ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนมันก็ยังโง่มันยังไม่พูดเป็นอย่างพระพุทธเจ้าแล้วมันก็สอนไม่ค่อยจะสำเร็จ อยากให้ครูบาอาจารย์ตามโรงเรียนทั้งหลายปรับปรุงวิชาสอนของตนเสียใหม่ให้มันประกอบด้วยหลักสามประการนี้เหมือนอย่างของพระพุทธเจ้า มันก็จะขึ้นยุคใหม่ขึ้นศักราชใหม่การสอนการเรียนที่สำเร็จประโยชน์ดี ศิษย์เชื่อฟังครูอย่างเคร่งครัดเคารพรักใคร่นี้เรียกว่าการเผยแผ่ที่ต้องปรับปรุงการสั่งสอนที่ต้องปรับปรุงการพูดจาที่ต้องปรับปรุงแม้ที่สุดแต่นายจ้างจะพูดกับลูกจ้างก็เหมือนกันถ้ามันมีธรรมะก็ช่วยให้ลูกจ้างเชื่อฟังรับปฏิบัติตามอย่างยิ่งถ้ามันใช้วิธีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องอย่างนี้ นายจ้างจะพูดให้ลูกจ้างรับฟังเหมือนกับว่าคนฟังเทศน์ อ้าวทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องทำบุญทำกุศลเกี่ยวไปถึงความเห็นแก่ตัว การทำบุญทำกุศลถ้ามันถูกต้องแท้จริงมันทำเพื่อล้างบาปเพื่อล้างบาปขูดเกลาบาปขูดเกลาความทุกข์ นี้เรียกว่าทำบุญหรือทำกุศลที่ถูกต้องตามความหมายเดิมๆเดี๋ยวนี้แรดทั้งหลายมันทำบุญเพื่อค้ากำไรเกินควร ทำบุญเท่านี้แต่มันเอาผลมากมายมันกลายเป็นทำบุญเพื่อความเห็นแก่ตัวทำบุญบาทเอาวิมานหลังบางทีถูกบอกว่าตักบาตรช้อนเอาวิมานหลัง ที่ไหนมันมีกำไรขนาดนี้ที่ไหนมันมีเป็นการค้ากำไรเกินควร การทำบุญมันเป็นค้ากำไรเกินควรและเป็นการส่งเสริมความเห็นแก่ตัวส่งเสริมกิเลสที่เป็นความเห็นแก่ตัวแล้วก็เรียกว่าทำบุญ พวกแรดทั้งหลายเขาทำกันอย่างนี้ถ้าจะเลิกความเป็นแรดกันเสียทีก็ขอให้ทำบุญนี้เพื่อล้างบาปเพื่อชะล้างบาปคือสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจในร่างกายคือความชั่วหรือความบาปนี้ ทำบุญออกไปเท่าไรมันล้างบาปออกไปเท่านั้นมันจะเป็นบุญกุศลที่แท้จริง ทำบุญเอาหน้าเอาเกียรติแล้วมันยังเห็นแก่ตัวอยู่แหล่ะ ทำบุญให้สวยให้รวยให้ไปเกิดในเมืองสวรรค์เรื่องเห็นแก่ตัวทั้งนั้นไม่ใช่บุญแท้จริง มันกลายเป็นเพิ่มบาปทำบุญเพิ่มบาปทำบุญด้วยความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นการทำบุญเพิ่มบาป นี้อาตมาขอโอกาสพูดคำหยาบสักวันต่อเมื่อวาน ขอพูดเป็นเรื่องสุดท้ายอีกข้อหนึ่งว่าแรดทั้งหลายมันมีกันแต่ไตรสิกขาหางด้วน ศีล สมาธิ ปัญญาเรียกว่าไตรสิกขามันมีกันแต่ไตรสิกขาหางด้วนไม่สมบูรณ์ไม่ถูกต้องไม่เรียบร้อยไม่สัมพันธ์กันด้วยดีจนตลอดสาย และไตรสิกขานี้มีมันหางด้วนเพราะว่ามันไม่ไปสู่พระนิพพานมันไปถึงพระนิพพานไม่ได้มันไปขาดตอนซะตรงไหนก็ไม่รู้รักษาศีลจนตายมันก็ไม่มีศีล ทำสมาธิจนตายมันก็ไม่มีสมาธิ ทำวิปัสสนาจนตายก็ไม่เห็นธรรมะ นี้เรียกว่าหางมันด้วนไปเสียหมดเพราะอาจารย์ผู้สอนมันก็สอนเอาชื่อเสียงหรือสอนเอาประโยชน์ไอ้ลูกศิษย์ที่มันมาเรียนก็เพื่อเอาประโยชน์เป็นวัตถุมากกว่ามันไม่ต้องการนิพพาน ไตรสิกขาของคนพวกนี้หางด้วนคือมันไปไม่ได้มันไปไม่ได้มันไปไม่ถูกทางแล้วก็ไปไม่ได้เพราะมันไม่มีหางที่จะบังคับให้มันถูกทาง ขอให้ทุกคนพิจารณาดูโดยละเอียดว่าศีล สมาธิ ปัญญา ของตนๆนั้นมันถูกต้องมันครบถัวนมันเป็นไปอย่างเรียบร้อยราบรื่น ถ้าถูกต้องมันจะสัมพันธ์กันอย่างดีจะส่งเสริมกันอย่างดีจะเป็นปัจจัยแก่กันและกันเป็นอย่างดี ศีลก็ส่งเสริมสมาธิ สมาธิก็ส่งเสริมศีล สมาธิก็ส่งเสริมปัญญา ปัญญาก็ส่งเสริมสมาธิ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ก็มีหวังมันไม่ด้วนมันไม่ด้วนมันไม่ขาดตอนมันไม่ลุ่มๆดอนๆมันถูกต้องตามหลักของไตรสิกขาที่จะต้องมีครบทั้งสามอย่างมีเพียงอย่างเดียวหรือสองอย่างไม่ได้ และการมีนั้นต้องสัมพันธ์ติดต่อกันแล้วจะต้องเป็นอัญญมัญญปัจจัยคือส่งเสริมกันและกันเขาเรียกว่าอัญญมัญญปัจจัยส่งเสริมแก่กันและกันไม่ใช่ส่งเสริมข้างเดียวนี่ ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็รุ่งเรืองรุ่งเรืองรุ่งเรืองรุ่งเรือง เจริญขึ้นไปเป็นลำดับจนถึงขั้นที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ศีล สมาธิ ปัญญา ชั้นชาวบ้านอยู่ในบ้านประพฤติในบ้านก็เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญาได้ ชาวบ้านชั้นเลวก็มีระดับเลวชาวบ้านชั้นดีก็มีระดับดีออกมาบวชก็มีระดับพระปฏิบัติขึ้นไปยิ่งๆขึ้นก็จะถึงระดับอริยบุคคล คำนี้ใช้ได้ตลอดตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุดอยู่ที่บ้านที่เรือนก็มีหลักการนี้ให้ดีๆ มีศีลคือความถูกต้องทางวัตถุทางกายทางวาจาถูกต้องถูกต้อง แล้วมันก็จะช่วยเกิดความถูกต้องทางจิตใจทางจิตใจถูกต้องทางจิตใจแล้วมันก็ช่วยให้ถูกต้องทางปัญญาทางสติปัญญาหรือวิชาความรู้ ไอ้ความรู้มันถูกต้องถึงที่สุดแล้วมันก็ทำลายปัญหามันตัดปัญหาคือมันตัดกิเลสตัดความทุกข์ไม่มีปัญหาเหลือ คนทำนาทำไร่ก็ใช้ไตรสิกขาได้ คนค้าคนขายคนประกอบกิจกรรมหาประโยชน์ใช้ศีลสมาธิปัญญาได้ เป็นนักศึกษาเป็นศิลปินเป็นทนายความเป็นอะไรก็ใช้ศีลสมาธิปัญญาได้ เป็นกรรมกรก็ใช้ศีลสมาธิปัญญาได้เป็นขอทานก็ได้ศีลสมาธิปัญญาได้ตามภาษาคนขอทาน ไม่เท่าไรก็จะพ้นจากความเป็นคนขอทานถ้ามันเป็นคนขอทานที่มีหลักการกระทำอยู่ในศีลสมาธิปัญญาอยู่ในชีวิตประจำวัน เศรษฐีก็เป็นได้ขอทานก็เป็นได้มนุษย์ก็เป็นได้เทวดาก็เป็นได้จึงได้เรียกว่าพรหมจรรย์พรหมจรรย์ ศีลสมาธิปัญญาเมี่อประพฤติปฏิบัติถูกต้องถึงที่สุดแล้วเรียกชื่อเสียใหม่ว่าพรหมจรรย์การประพฤติที่ประเสริฐสูงสุดอย่างประเสริฐคำว่าพรหมไม่ได้หมายถึงพรหมในพรหมโลกหรอก คือหมายถึงประเสริฐประเสริฐที่สุด จรรย์จรรย์จริยะคือประพฤติ พรหมจรรย์คือประพฤติอย่างประเสริฐที่สุด ฉะนั้นใครตั้งใจทำอะไรดีที่สุดเป็นพรหมจรรย์ได้ทั้งนั้นแหล่ะแม้เรื่องบ้านเรื่องเรือนหน้าที่การงานทำให้ดีที่สุดไม่มีมลทินไม่มีที่ตำหนิก็เรียกว่าพรหมจรรย์ สรุปความว่าอะไรที่ตั้งใจทำอย่างมีระเบียบแบบแผนถูกต้องถึงที่สุดดีถึงที่สุดปลอดภัยแท้จริงถึงที่สุดเรียกว่าพรหมจรรย์ได้ มีได้ตั้งแต่เด็กๆๆวัยรุ่นหนุ่มสาวพ่อบ้านแม่เรือนมีพรหมจรรย์ได้ไม่ใช่ว่าเรื่องเว้นจากกิจกรรมทางเพศอย่างเดียวนั้นไม่ใช่แต่นั้นก็เป็นพรหมจรรย์ได้ แต่พรหมจรรย์อย่างอื่นก็มีทั่วไปตั้งใจอะไรทำอะไรอย่างดีที่สุดแน่นอนที่สุดถูกต้องที่สุดสุดความสามารถก็เรียกว่าพรหมจรรย์ได้ ในที่นี้ก็หมายถึงศีลสมาธิปัญญาที่มีอยู่โดยที่แรดทั้งหลายไม่รู้จักไม่รู้สึกทั้งที่ควรจะมีบางทีมันก็มีตามๆกันไปอย่างไม่รู้จักมันก็เห่อๆตามๆกันไป ไปชำระสะสางกันเสียใหม่เรียกว่าตรวจสอบกันเสียใหม่ให้มีศีลความถูกต้องทางวัตถุสิ่งของทางกายทางวาจา ให้มันมีความถูกต้องในเรื่องทางจิตใจจิตใจถูกต้องแล้วก็จะมีกำลังเข้มแข็งที่สุดมีจิตใจสะอาดที่สุดมีจิตใจว่องไวในหน้าที่การงานที่สุดนี่เรียกว่ามีสมาธิ ครั้นแล้วก็ฉลาดคือรู้ๆๆๆจักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงเมื่อรู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงก็ปฏิบัติทุกๆสิ่งให้สำเร็จประโยชน์ได้ถูกต้องทางปัญญาปัญญา ถูกต้องทางศีลถูกต้องทางสมาธิถูกต้องทางปัญญาก็เรียกว่ามีพรหมจรรย์ สำเร็จประโยชน์เป็นเหตุให้ได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา พรหมจรรย์เป็นอย่างนั้นมันประเสิรฐหรือไม่ประเสริฐลองคิดดูมันให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดแท้จริงจริงไม่ปลอมที่มนุษย์ควรจะได้รับในการที่เกิดมา ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นมนุษย์ครึ่งหนึ่งก็ไม่ได้บางทีเลวมากเกินไปจนเป็นบ้าหรือไปอยู่ในคุกในตารางพรหมจรรย์อะไรที่ไหนกัน มีพรหมจรรย์ศีลสมาธิปัญญาที่ถูกต้องก็มาอยู่ในสภาพชีวิตเย็นๆๆๆเป็นนิพพุติไปเรื่อยๆๆจนกว่าจะเป็นนิพพาน มีชีวิตเยือกเย็นๆๆๆพร้อมกันนั้นก็เป็นประโยชน์เป็นประโยชน์แก่ทุกคนทุกฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่าเยือกเย็นส่วนตัวอย่างเดียวขอให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจึงต้องใช้คำว่าเยือกเย็นและเป็นประโยชน์ ส่วนตัวนั้นสงบสุขเยือกเย็นไม่มีไฟกิเลสหรือความทุกข์ใดๆพร้อมกันนั้นก็เป็นประโยชน์แก่ทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้อย่างนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่าเป็นผู้มีพรหมจรรย์ แรดทั้งหลายรีบชำระสะสางชีวิตของตนให้มีพรหมจรรย์ถูกต้องมากขึ้นสูงขึ้นสูงขึ้นแล้วก็จะพ้นจากความเป็นแรด มันจะทำยังไงได้เล่าเกิดมาจากท้องมารดามันไม่ได้ฉลาดมามันไม่มีความฉลาดมาแถมมันยังมีอวิชชาด้วยซ้ำไปคือมันไม่รู้อะไร ทีนี้ออกมาแล้วเกิดมาแล้วก็จัดการกับความไม่รู้ให้มันเป็นความรู้ๆๆๆ รู้ยิ่งขึ้นไปรู้ถูกต้องยิ่งๆขึ้นไปทุกสิ่งที่ควรจะรู้มันก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ไอ้ทั้งหมดนี้เราจะมาคิดค้นเอาเองศึกษาเอาเองหลักเกณฑ์เอาเองไม่ได้มันตายเสียก่อนแหล่ะ เราหาทางลัดรับเอาความรู้ที่คนแต่ก่อนเขาได้คิดไว้ดีแล้วสอนไว้ดีแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งของพระพุทธเจ้า สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าเคยคิดได้สอนได้เราก็เอามาเรียนเอามาสอนมาปฏิบัติมันก็เร็วเข้าถ้าจะให้เราคิดเอาเองตั้งต้นใหม่ตายสิบชาติยี่สิบชาติมันก็ยังไม่พบ ก็ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลที่ได้เกิดมาและมีพระศาสนาอยู่ในโลกนี้แล้วรับเอาให้ดีรับเอาให้ดีสมาทานอย่าอุปาทานรับเอามาด้วยสติปัญญาเขาเรียกว่าสมาทานรับเอามาด้วยกิเลสด้วยความโง่ความเขลาก็เรียกว่าอุปาทานยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ไม่สำเร็จประโยชน์ไม่อุปาทานแต่มีสมาทานสิ่งที่รับมานั้นจะไม่มีโทษ เรียกว่าเจริญๆไปด้วยประโยชน์จนกว่าจะถึงที่สุด เอาและอาตมาขอยุติพูดคำหยาบละขออนุญาตพูดคำหยาบเมื่อวานวันและวันนี้อีกวันเดี๋ยวนี้ไม่พูดคำหยาบแล้วเข้าใจว่าไอ้แรดทั้งหลายได้กลายกลายได้กลายเป็นมิใช่แรด กลายเป็นราชสีห์เป็นควายเป็นม้าเป็นลาเป็นอะไรไปเรื่อยๆจนเป็นเสือเป็นราชสีห์ชนะปัญหาชนะความทุกข์ทุกอย่างได้ เรามาทำวิสาขบูชาฉลองความชนะของพระพุทธเจ้าที่มีชัยชนะเพื่อประโยชน์แก่คนทุกคนไม่ใช่เพื่อพระพุทธเจ้าองค์เดียวขอให้ทุกคนมีส่วนในการชนะมารของพระพุทธเจ้าเท่านี้มันก็พอแล้ว อย่าให้มันเป็นเรื่องเป็นพิธีๆๆไม่มีความหมายอะไรได้ยินได้ฟังได้ยินได้ฟังได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้นทุกปีๆสติปัญญามันก็สูงขึ้นไปทุกปี ฉะนั้นถ้าจัดการให้ดีให้ถูกต้องมันก็ไม่ต้องกี่ปีนักล่ะมันไม่ต้องหลายปีนักเพียงไม่กี่ปีมันก็จะเข้าถึงความถูกต้องความถูกต้องความถูกต้อง มันจนครบถ้วนแห่งความถูกต้องมันก็หมดปัญหามีชีวิตเยือกเย็นและเป็นประโยชน์ไม่ต้องร้อนเป็นไฟไม่ต้องรักไม่โกรธไม่ต้องเกลียดไม่ต้องกลัวไม่ต้องตื่นเต้นไม่ต้องวิตกกังวลไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ไม่ต้องอิจฉาริษยาไม่ต้องหึงไม่ต้องหวงเท่านี้ก็พอยังมีมากกว่านี้เอาเท่านี้ก็พอแล้ว มันเป็นชีวิตชนิดที่เย็นๆๆและเป็นประโยขน์ๆ ไม่รู้จักความทุกข์ไม่มีความทุกข์ไม่รู้จักความทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดเคยเกิดมาแล้วก็ไม่เกิดอีก ความทุกข์ใหม่ก็ไม่มีอีกเรียกว่าหมดความทุกข์พร้อมกับหมดความเป็นแรดเอ้าจบๆๆว่าจะไม่พูดคำหยาบอีกต่อไป ขอยุติเตรียมยุติการพูดจาเพราะมันรู้สึกเหนื่อยมันเจ็บคอเจ็บคออย่างแรงต้้งแต่เมื่อวานพูดจบ ถูกฝนเมื่อวานนี้ก็เรียกว่าไม่มีอะไรจะพูดมากมายไปกว่านี้และมีความตั้งใจอยู่ว่าเวลาที่เหลือต่อไปนี้ขอให้ท่านสมาชิกทั้งหลายที่มาร่วมพิธีวิสาขบูชานี้ได้พูดจา พูดจา ด้วยความปรารถนาจะพ้นจากความเป็นแรดจะมาสารภาพบาปก็ได้จะไม่เป็นแรดอีกต่อไปจะแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างดังที่ได้ยกมาแล้วเป็นตัวอย่างให้ถูกต้องให้ถูกต้อง มีที่พึ่งให้ถูกต้องคือตนเองหรือธรรมะมีไตรสรคมณ์ที่แท้จริงด้วยจิตใจว่า นะโม ก็นะโมชนิดที่ว่ามีส่วนร่วมไม่ใช่นะโมแต่ปากนะโมแต่ปาก จะพุทธัง ธัมมัง สังฆังก็ให้มันจริงๆๆๆ มีความจริงต่อธรรมะก็ทำจริงทำจริงไม่แต่เพียงพูดว่าจะๆๆๆอย่างนี้ไม่ไหวและกล้าหาญพอที่จะเลิกอายุเลิกอายุและก็อยู่อย่างไม่ต้องมีอายุชนิดที่เคยมี มันมีอายุใหม่ที่ไม่มีอัตตาปราศจากอัตตาปราศจากตัวตนไม่ต้องมีอายุมีธรรมะที่สะอาดแทน ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตาให้ชีวิตเต็มไปด้วยไตรสิกขา แน่นอนว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นที่ออกจากทุกข์ทุกประการโดยทุกประการ นี้เป็นคำสรุปท้ายใครสงสัยตรงไหนจะให้วิจารณ์ก็ได้ช่วยกันวิจารณ์ก็ได้ จะถามอาตมาบ้างก็ได้เวลามันยังไม่ดึกนักใช้เวลาที่เหลือให้เป็นประโยชน์ต่อไป ขอเชิญชวนสมาชิกท้ังหลายทั้งที่เป็นฆราวาสหรือเป็นครึ่งฆราวาสหรือเป็นบรรพชิตได้มาเปิดเผยไอ้ความรู้สึกแสดงอาบัติคือแสดงไอ้สิ่งที่มันผิดพลาดที่จะไม่เอาไว้ต่อไปแสดงสิ่งนั้นให้มันหลุดออกไปเสีย มันก็ไม่พ้นไอ้ความเป็นแรด มาสารภาพความเป็นแรดแล้วก็ตั้งใจที่จะละทิ้งมันออกไป ถ้าทำได้อย่างนี้อาตมาคิดว่ามีประโยชน์คุ้มค่าในการที่อุตส่าห์มาจากที่ไกลๆมาจากที่ไกลๆแล้วก็ควรที่จะได้ประโยชน์คุ้มค่า ค่าของเวลาค่าของเรี่ยวแรงของลงทุนเหน็ดเหนื่อยขอให้คุ้มค่าคุ้มค่ายิ่งๆขึ้นไปในที่สุดก็ไม่ต้องการอะไรเพราะมันได้สิ่งที่ควรจะได้สิ่งที่ควรจะได้สิ่งที่ควรจะได้อย่างครบถ้วนถูกต้องแล้วทุกๆประการ เอาละอาตมาขอยุติการบรรยายเพราะว่าหมดกำลังที่จะพูดและเพราะว่าอยากจะเป็นโอกาสสำหรับให้สมาชิกทั้งหลายได้พูดบ้าง จะถามปัญหาก็ได้เอาสิจะให้เวลาสักตอนถามปัญหาก็ได้แต่ขออย่าให้เป็นปัญหาเพ้อเจ้อถ้าปัญหาเพ้อเจ้อก็ขอโอกาสไม่ตอบ