แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านอาคันตุกะ Visitors ทั้งหลาย แม้ท่านจะมาอย่าง Tourists พวกเราต้อนรับท่านทั้งหลายอย่างกลิมๆ (นาทีที่ 0:55)ในชั้นต้นนี้ขอทำความเข้าใจบางอย่างบางประการกันก่อน ข้อแรกขอเสดงความยินดีในการที่ท่านทั้งหลายมาที่นี่ในลักษณะอย่างนี้คือมาแสวงหาธรรมะโดยตรง ข้อที่สองขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่มาที่นี่เพื่อให้เรามีโอกาสใช้เวลาให้เป็นประโยชน์นี้ขอขอบคุณท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่ต้องขอบคุณอาตมาก็ได้ อาตมาขอขอบคุณท่านทั้งหลายในการที่มาช่วยทำให้เราได้บำเพ็ญประโยชน์ และอีกประการหนึ่งก็คือท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันทำให้ธรรมะ ๆ ที่มีประโยชน์นี้แพร่หลายไปโดยเร็วในโลกนี้ สำหรับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ๆ นั้น ก็คือสิ่งที่จะช่วยให้เรามีชีวิตหรือใช้ชีวิตได้รับประโยชน์จากชีวิตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทีนี้ก็อยากจะทำความเข้าใจว่าทำไมเราจึงเลือกของเวลา ๕ น. อย่างนี้มาพูดกัน ถ้าพูดกันอย่างเป็นส่วนตัวก็ว่าเวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่อาตมามีเรี่ยวแรงสำหรับจะพูดนอกนั้นเป็นเวลาที่อ่อนแอ และท่านทั้งหลายก็พร้อมที่จะฟังเวลาอย่างนี้ท่านทั้งหลายก็พร้อมที่จะฟังอาตมาก็มีกำลังพร้อมที่จะพูด เมื่อคนทั้งหลายก็ใช้เวลาอย่างนี้เป็นเวลาหาความสุขจากการนอนเราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ที่สุดในการศึกษา เวลาที่จวนจะรุ่งอย่างนี้เป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดยธรรมชาติเป็นเวลาที่ดอกไม้ป่าทั้งหลายจะเริ่มบานโดยธรรมชาติดอกไม้ในป่าทั้งหลายจะเริ่มบานเวลาที่เริ่มจะบานหรือพร้อมที่จะเบิกบาน นี่จะมองดูกันอีกทางหนึ่งเป็นคำพูดล้อ ๆ กันเล่นว่ามันเป็นเวลาที่น้ำชายังไม่เต็มถ้วยยังไม่ล้นถ้วย ยังเติมอะไรลงไปได้อีกมากเวลาอย่างนี้มันเติมอะไรลงไปได้อีกมากเราจึงถือว่าเหมาะที่จะเรียนหรือรับอะไรเข้าไป โลกนี้เวลา ๕ น. มันมีอะไรพิเศษอยู่ขอให้ท่านสนใจ โลกเวลา ๕ น. อย่างนี้มีอะไรพิเศษ สามารถใช้ประโยชน์ให้ได้มากกว่าธรรมดา ดังนั้นเราจะพยายามใช้ประโยชน์มันให้มากที่สุดสำหรับโลกเวลา ๕ น. ทีนี้ก็ขอชี้แจงเรื่องเบ็ดเตล็ดบางอย่างว่าท่านมาพักอยู่ที่นี่ขอให้เป็นเวลาของการฝึกฝนในการที่จะอยู่อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ อยู่อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ หมายความว่าท่านจะต้องอยู่อย่างง่ายหรือต่ำที่สุด Plain หรือ Re-plain ที่สุดแล้วท่านก็จะใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด แต่ว่าการที่จะอยู่อย่าง Plain ที่สุดนี้มันต้องการการบังคับตัวเองบ้างหรือมากอยู่เหมือนกันต้องการการบังคับตัวเองอยู่มากเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงมีการเป็นอยู่อย่างมีระเบียบ อย่างภิกษุนี้ Disciplinary rule นี้จะต้องมีพอสมควร เป็นพระภิกษุก็มีอย่างพระ เป็นอุบาสก ฆราวาสก็มีอย่างฆราวาส สิ่งนี้เว้นไม่ได้ต้องมีมันจะส่งเสริมการศึกษาของเราดีที่สุด ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมีการเป็นอยู่อย่างบังคับตัวเอง บังคับตัวเอง ตามกฏระเบียบที่เรามีไว้และคัดเลือกมาเป็นอย่างดีที่สุดแล้ว การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การทำงาน การศึกษาเล่าเรียน การสังคมแก่กันและกัน นี่ก็ขอให้มีการบังคับตัวเองให้อยู่อย่างถูกต้องตามที่ว่ามันจะเป็นประโยชน์ที่สุดในการศึกษาธรรมะ บทเรียนที่บังคับหรือไม่บังคับก็แล้วแต่จะเรียกแต่ต้องมีอยู่เสมอไปก็คือมีชีวิตอยู่ด้วยสุญญตา ว่างจากตัวตนชีวิตที่ว่างจากตัวตนไม่ให้มีความหมายมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน ให้อยู่ด้วยความรู้สึกว่ามันว่างจากตัวตนไม่ว่าจะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะอาบ จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะพูด จะนิ่งก็ตาม ให้มันมีลักษณะไม่มี ไม่มีความหมายหรือไม่มีกำลังแห่งตัวตน มีแต่ความสะอาดตามธรรมชาติสะอาดว่างจากตัวตนคือสะอาดตามธรรมชาติ ที่ต้องการดังนี้ก็เพื่อว่าให้เวลาทั้งหมดเป็นบทเรียนหรือเป็นเวลาเรียนในโรงเรียนเวลาทั้งหมดของเราต้องเป็นบทเรียนเวลาเรียนในห้องเรียนแม้ที่สุดแต่ท่านจะเดินมาที่นี่ก็เป็นเวลาเรียน เป็นเวลาเรียน เราเรียกกันง่าย ๆ ว่าเดินสุญญตา Walking avoidness, avoid walking ( นาทีที่17.37 )เดินมาอย่างไม่มี Ego อย่างไม่มีตัวผู้เดิน เดินมาอย่างไม่มีตัวผู้เดินจึงให้มีแต่ร่างกาย ๆ ล้วน ๆ ไม่มี Ego มีจิตใจกับร่างกายก็เดินมามันก็ยกก้าว ยกก้าว ยกก้าว ยกขา ยกขาเหยียบ ยกขาเหยียบ ยกขาเหยียบโดยไม่ตัวกูผู้เดินทำได้อย่างนี้เป็นบทเรียนสูงสุด คือ บทเรียนเรื่องสุญญตามัน เป็นเพียงการเคลื่อนไหว ๆ ของร่างกาย ร่างกายที่มีจิตใจควบคุมอยู่ไม่มีส่วนใดที่เป็น Ego, ego, etic concept ไม่มี ๆ โดยประการทั้งปวงนี่คือบทเรียนท่านจึงเดินมาอย่างไม่มีตัวผู้เดิน Walking without walker บทเรียนของเราในการเดินมาที่นี่ ท่านจะยืนหรือว่าจะนั่งหรือว่าจะนอนจะรับประทานอาหารอย่างไรที่เป็นไปมันก็เหมือนกันมีแต่เพียงการเคลื่อนไหว ๆ ของร่างกายไม่มีส่วนของ Ego ไม่มีการกระทำของ Ego มีแต่การเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์อยู่ด้วยสติและสัมปชัญญะ นี่คือหัวใจ ๆ ของบทเรียน เราจะเรียกมันว่าวิถีชีวิตแบบชาวพุทธ วิถีแห่งชีวิตแล้วก็แบบชาวพุทธที่มีชีวิตอยู่ด้วยสุญญตาว่างจากตัวกูว่างจากของกูอยู่ตลอดเวลา การดำเนินชีวิตอย่างนี้เราเรียกว่าวิถีชีวิตแบบชาวพุทธ เมื่อเราเรียกมันว่าวิถีแห่งชีวิต Way of live วิถีแห่งชีวิต เราก็จะต้องรู้จักตัวสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ๆ นั้นตามสมควรคือมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก็ได้ จะเรียกว่าตามสมควรก็ได้ คือจะมีคำพูดที่ควรจะต้องสนใจหรือเข้าใจในคำที่เราเรียกว่าชีวิต ๆ นั่น เพราะฉะนั้นขอให้พยายามทำความเข้าใจในความหมายรวม ๆ หรือกว้าง ๆ ของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตกันให้ดีสักหน่อย กันให้ดีสักหน่อย คือเราจะต้องรู้ว่ามันมีอยู่สองความหมาย สองความหมาย ความหมายที่หนึ่งว่าชีวิตนี้ธรรมชาติให้ยืมมา ให้ยืมมาพัฒนา หรือว่าชีวิตนี้มันเป็นไปของมันเอง เป็นไปของมันเอง มันมีสองความหมายว่าธรรมชาติให้ยืมมาเป็นของยืมหรือว่ามันเป็นไปเองตามความหมายของมันว่าตามบุญตามกรรมตามธรรมชาติของมัน ทีนี้สำหรับชาวพุทธ ชาวพุทธทั้งหลายถือว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้ยืมมาแล้วเรายืมจากธรรมชาติหรือว่าธรรมชาติให้ยืมมาสำหรับพัฒนาตามชอบใจแล้วก็ไม่ยึดถือเอาว่าของกูว่าตัวกูเป็นของธรรมชาติคงเป็นของธรรมชาติก็พร้อมที่จะคืนให้ธรรมชาติเสมอ ชาวพุทธถือว่าชีวิตนี้ธรรมชาติให้ยืมมา แต่ว่าพวกอื่น พวกอื่น ที่ไม่ใช่พุทธบริษัทเขาอาจจะถืออย่างอื่นก็ได้ ไม่ถือว่าชีวิตยืม ยืมชีวิตเพิ่มอะไรก็ได้ไม่ใช่ของยืมมาเขาจะถืออย่างนั้นก็ตามใจเขาเถอะ ให้ถืออย่างไรก็ต้องมีวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่ตัวยึดถืออยู่ เมื่อเราถือว่ายืมมาหรือของให้ยืมมา เราก็ต้องปฏิบัติในลักษณะที่ของยืมมาเราอย่าคดโกงตระบัด ๆ หมายความว่ายืมมาแต่เอามาเป็นของตัว อย่างนี้มันก็ตระบัด มัน ๆ ผิดความจริง พุทธบริษัทจะไม่ตระบัดไอ้ของที่ยืมมาจากธรรมชาติคงเป็นของธรรมชาติจึงไม่มีความรู้สึก ไม่มีความรู้สึกว่า Self หรือ Ourselves มันไม่มีเพราะเป็นของยืมมาจากธรรมชาติ ธรรมชาติให้ยืมมาพัฒนาเอาตามชอบใจเราต้องการอย่างไรพัฒนา ๆ เอาตามชอบใจให้ยืมมาแล้วก็ไม่คิดดอกเบี้ยให้ยืมอย่างไม่คิดดอกเบี้ยไม่คิดค่าสึกหรอด้วยจะเอามาทำอย่างไรก็ได้ให้ยืมมาแล้วเราก็รีบพัฒนา ๆ ให้ดีที่สุดให้ตรงตามความต้องการแต่เราไม่คดโกงเอามาเป็นของเรา ดังนั้นบทเรียนที่ท่านเดินมาจากเซ็นเตอร์มาที่นี่เดินมาอย่างสุญญตาไม่มีตัวกูผู้เดินมีแต่สุญญตาไม่มีตัวกูผู้เดินก็คือการปฏิบัติในข้อนี้แหละ ปฏิบัติอย่างของยืมไม่มีเป็นตัวกูไม่มีเป็นของกูเราจึงมี Void mind, void ourselves อยู่เสมอนี่คือปฏิบัติให้ตรงตามความหมายที่ว่าของนี้ยืมมา ของนี้ยืมมานั่งนอนยืนเดินกินอยู่อาบถ่ายอะไรก็ตามอย่างของที่ยืมมา เมื่อไรเราคิดว่าเป็นตัวเราเป็นของเราเมื่อนั้นเราเป็นคนคดโกงเป็นขโมยเป็นคนทุจริตเมื่อเราไม่ได้คิดว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา ๆ ยังเป็นคนที่ถูกต้องเป็นคนตรงเป็นคนจริงไม่เป็นขโมยไม่เป็นคนทุจริต อะไรที่ยืมมาจะดูกันโดยละเอียด ตามหลักพุทธศาสนาถือว่ายืมธรรมชาติมานั้นเป็นธาตุ ธาตุบาลีเรียกว่าธา – ตุ ภาษาไทยเรียกว่า ธาตุ Element เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และก็ธาตุอากาศ และธาตุวิญญาณ หกธาตุด้วยกัน นี่ของที่ยืมมารู้จักไว้ ธาตุดินคือสิ่งที่มีคุณสมบัติกินเนื้อที่ถึงจะเป็นตัวโครงสร้างหรือยืนโรงมันกินเนื้อที่ธาตุดินมันกินเนื้อที่เราก็ต้องเอามา แล้วก็ธาตุน้ำ ๆ น่ะมีคุณสมบัติของการทำให้กุม ๆ กัน เป็น Cohesion กุมกัน ไม่ ๆ มันกระจาย ไม่เช่นนั้นมันกระจาย ถ้ามันมี ไม่มีธาตุน้ำมันกระจายกันหมด ธาตุดินมันจึงปกคลุมกันอยู่ได้เพราะว่ามีธาตุน้ำเป็นเครื่องช่วยให้เกาะกุมไอ้ส่วนที่ทำหน้าที่เกาะกุมนี้เรียกว่าธาตุน้ำ Cohesion ทีนี้ก็มาถึงธาตุไฟคุณสมบัติของการเผาไหม้ Combustion น่ะ เผาไหม้ มันเผาไหม้อันนี้เพื่อให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง ๆ หรือพัฒนาได้มันมีการเผาไหม้คุณสมบัติที่มีการ ที่เป็นการเผาใหม้เราเรียกว่าธาตุไฟ ๆ ธาตุไฟมันจะมีอุณหภูมิเท่าไรก็ตามใจ อุณหภูมิมากอุณหภูมิน้อยมันมีลักษณะเผาไหม้เสมอไปมีมากก็เผามากมีน้อยก็เผาน้อยมีคุณสมบัติที่เผาไหม้ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงธาตุนี้เราเรียกว่าธาตุไฟ ก็ยืมมาด้วยเหมือนกัน ที่สี่เราเรียกว่าธาตุลม ๆ มีคุณสมบัติของการขยายตัว ๆ Expansion, expansion ขยายตัว ๆ ขยายตัวมันจึงเป็นแก๊สที่มันลอยไปได้เพราะมันมีการขยายตัว ธาตุนี้เป็นธาตุแห่งการเคลื่อนไหว ๆ เพราะมันมีการขยายตัวมันจึงมีการเคลื่อนไหว เรามีธาตุแห่งการเคลื่อนไหวเรียกว่าธาตุลม สี่ธาตุนี้เป็นฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายกาย ฝ่าย Physical มีอยู่สี่ธาตุมันก็โครงสร้างเป็นฝ่ายกายสี่ธาตุ ความจริงมันก็มีธาตุที่ห้าคืออากาศธาตุที่แปลวว่าที่ว่าง ที่ว่าง จะเป็นธาตุแห่ง Space ที่ว่างคือมันต้องมีที่ว่างมันจึงจะมีอะไรอยู่ได้ ถ้ามันไม่มีที่ว่างมันก็ไม่มีอะไรอยู่ได้ ท่านต้องนึกดูดี ๆ มันต้องมีธาตุที่มันเป็นความว่าง สิ่งต่าง ๆ จึงจะเกิดขึ้นมาได้อยู่ได้เปลี่ยนแปลงอยู่ในความว่างในพื้นที่ของความว่าง แม้ความว่างนี้เราก็เรียกว่าธาตุ ธาตุแห่ง Space หรือความว่าง เรียกว่าอากาศธาตุ ๆ Space นั้นแหละ คำว่าว่าง ๆ นี้ บางคนคิดว่าไม่มี ๆ ค่า ไม่มี Value ไม่มีค่า คือว่างเท่าไรมันยิ่งมีค่า ถ้ามันไม่ว่างคุณก็นั่งไม่ได้สิเก้าอี้มันต้องว่างคุณจึงนั่งได้ ถ้วยแก้วถ้วยชามก็ต้องว่างมันจึงใส่อะไรได้ ความว่างมันก็มีคุณค่าสำหรับที่จะเป็นที่ตั้งที่อาศัยไอ้ของไอ้ธาตุอื่นๆ อย่าดูถูกว่าว่างแล้วก็จะไม่มีค่าอะไรมันมีค่าอย่างเต็มที่เหมือนกับธาตุอื่่น ๆ ด้วยเหมือนกัน คุณลองคิดดูสักนิดถ้ามันไม่มี Space แล้วโลกนี้มันจะอยู่ได้อย่างไรโลกนี้มันจะอยู่ได้อย่างไรโลกนี้มันอยู่ในธาตุว่าง ธาตุว่าง คือ Space ถ้ามันไม่มีที่ว่างแล้วเราจะนั่งอยู่ที่ตรงไหนเราจะนั่งอยู่ที่ตรงไหนได้ถ้ามันไม่มีที่ว่าง ธาตุว่างมันทำให้สิ่งต่าง ๆ ตั้งอยู่ได้ มีอยู่ได้ เป็นไปได้เป็นเครื่องรองรับไว้ซึ่งธาตุอื่น ๆ ทีนี้เราก็มาถึงธาตุสุดท้าย คือ ธาตุที่หกนี้มันเป็นฝ่ายไม่ใช่ Physical แล้ว Mental หรือจะให้ดีที่สุดเรียกว่าSpiritual มากกว่า เป็นธาตุที่ไม่ใช่ Physical ได้แก่ธาตุวิญญาณธาตุ ตัวหนังสือมันแปลว่ารู้แจ้งโดยประจักษ์มันเป็นธาตุสำหรับที่จะรู้จักแจ้งสิ่งทั้งปวงโดยประจักษ์ถ้าเราไม่มีวิญญาณธาตุจะไม่มี จะไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งทั้งปวงจะไม่มีรู้จักสิ่งทั้งปวงจะไม่สามารถ PHILOSOPHY ( นาทีที่ 46.23 )ในสิ่งทั้งปวง มันเป็นธาตุแห่งความรู้แจ้งหรือรู้ประจักษ์สำหรับสัมผัสและรู้จักแล้วก็รู้แจ้งสิ่งต่าง ๆ ในที่สุดเราก็แบ่งออกได้เป็นสามพวกเป็นสามพวก พวก Physical คือไอ้สี่ ๆ อันข้างต้นมันเป็นพวก Physical และอันสุดท้ายมันเป็นฝ่าย Spiritual ขอเรียกมันว่า Spiritual ส่วนอากาศธาตุ ๆ หรือความว่างนี้ไม่ควร ๆ จะเรียกว่า Physical หรือSpiritual แล้วแต่ว่ามันกำลังรับใช้ฝ่ายไหนถ้ามันรับใช้ฝ่าย Physical มันก็เป็นฝ่าย Physical ถ้ามันไปรับใช้ฝ่าย Spiritual ก็เป็นฝ่าย Spiritual เราจึงถือว่าไม่บัญญัติว่าเป็นฝ่ายไหนเราจึงมีฝ่าย Physical, Spiritual และฝ่ายที่เรายังไม่อาจจะบัญญัติว่าฝ่ายไหนมันจึงเป็นสามฝ่ายอย่างนี้ ไอ้ตัวสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ๆ นี้ มันประกอบอยู่ด้วยธาตุทั้งหกนี้ธาตุทั้งหกนี้รวมกันประกอบกันนี้เรียกว่ามีชีวิต แล้วสิ่งที่เรายืมมาก็คือชีวิตที่ประกอบอยู่ด้วยหกธาตุนี้จะยืมธาตุทั้งหกมาก็ได้ก็เรียกง่าย ๆ ว่ายืมชีวิตมาก็ได้ ชีวิตนี้เป็นของยืมจากธรรมชาติ พุทธบริษัทมีหลักสำหรับคิดสำหรับศึกษาในแง่ที่ว่าชีวิตนี้เป็นของยืมมาจากธรรมชาติ นี้พวกอื่นพวกตรงกันข้ามเขาจะถือว่าไม่ใช่ ๆ ของยืม มันเป็นตัวมันเอง เป็นตัวมันเองที่เป็นมาโดยตัวมันเองไม่ใช่ของยืมเขาอาจจะคิดอย่างนี้ก็ได้เขามีสิทธิ์ที่จะคิดอย่างนั้นก็คิดอย่างนั้นก็ได้แต่ท่านลองคำนวณดูว่าคิดอย่างไหนมีประโยชน์ทางศีลธรรมสำหรับสันติภาพในโลกหรือว่ามีประโยชน์ทางปรมัตถธรรม ๆ ที่จะดับความทุกข์ในจิตใจได้โดยสิ้นเชิงควรจะคิดอย่างไหนควรจะคิดอย่างเป็นของยืมหรือเป็นของในตัวมันเอง ถ้าเราคิดว่าเป็นของยืมมามันก็มีคำอธิบายไปอย่างหนึ่งไอ้ที่เป็นตัวมันเองไม่ใช่ยืมมามันก็มีคำอธิบายไปอีกแบบหนึ่ง นี่เราจะไม่ ไม่ตัดสินว่าอันไหนถูกอันไหนผิดอันไหนจริงอันไหนไม่จริง แต่เราจะมองอันไหนคิดอย่างไหนมีประโยชน์ที่สุด คิดอย่างไหนมีประโยชน์ที่สุดในการที่จะดับทุกข์คิดอย่างไหนจะดำเนินชีวิต Real Life ให้ดีที่สุดน่ะคิดอย่างไหนมันยืมมาหรือว่าเป็นตัวมันเอง ทีนี้เสรีภาพที่จะคิดหรือยอมรับอย่างไหนอาตมาก็ไม่ได้บังคับไม่ได้ขอร้องว่าให้ท่านชอบอย่างไหนคิดอย่างไหน ท่านมีเสรีภาพที่จะคิดอย่างไหน ถ้าท่านชอบหรือจะลองคิดจะคิดอย่างพุทธบริษัทว่าเป็นของยืมเป็นของยืมอาตมาก็มีคำอธิบายมากมายเหมือนกันที่จะใช้เป็นประโยชน์ที่สุดหรือใช้ของยืมให้เป็นประโยชน์ที่สุดและปลอดภัยที่สุดทีนี้เราก็จะตั้งต้นคิดไปในรูปแบบว่าเป็นของยืม ธรรมชาติให้ยืมมาชีวิตประกอบด้วยธาตุหกธรรมชาติให้ยืมมา ยืมมาเพื่อพัฒนาเอาตามใจชอบตาม ๆ ที่เราจะชอบอิสระที่สุด เมื่อเราอิสระที่จะเลือกแล้วเราอิสระที่สุดที่เราจะพัฒนา ๆ ต้องการอะไรพัฒนาคือพัฒนาชีวิตให้เป็นผลดีที่สุดถูกต้องที่สุดและเป็นผลดีที่สุดหรือว่าเป็นผลดีที่สุดอย่างถูกต้องนี่เราจะพูดกันถึงข้อนี้ว่าเราจะต้องพัฒนาชีวิตซึ่งยืมมาจากธรรมชาติให้ถูกต้องและทันแก่เวลาให้ได้รับผลดีที่สุด ถ้าท่านมองเห็นว่าชีวิตนี้เป็นของยืมมาเพื่อพัฒนาก็หมายความว่าท่านมาที่นี่มาที่เซ็นเตอร์มาที่นี่เพื่อศึกษาวิธีพัฒนา ๆ ให้ถึงที่สุดให้ได้รับประโยชน์ที่สุดแม้ว่าจะเป็นของยืมมาพัฒนาอย่างถูกต้องและทันแก่เวลา ท่านมีสิทธิที่จะเลือกตามพอใจเลือกยึดถือว่าชีวิตนี้ยืมมาหรือว่าชีวิตนี้มันเป็นของมันเอง ข้อนี้มันมีความจริงอยู่ว่าถ้าท่านคิดผิดตัดสินใจผิดแล้วชีวิตจะไม่พัฒนานะแล้วมันจะกัดท่านนะมันไม่พัฒนาแล้วมันยังจะกัดท่านให้เจ็บปวด เอ้าทีนี้ท่านก็ลองสังเกตดูเองสังเกตดูอย่าง อย่างอิสระที่สุดว่าเดี๋ยวนี้ชีวิตของเรากำลังถูกกัดหรือไม่ กำลังถูกกัดหรือไม่ขอให้ดูกันเรื่องนี้ ทดสอบได้ง่าย ๆ ความรักกำลังกัดไหม ถูกกัดมาแล้วอย่างมากน้อยเท่าไร ความโกรธ ๆ กัดไหมถูกกัดมาแล้วเท่าไร ความเกลียดกัดไหมแล้วเคยกัดมาแล้วเท่าไรเหมือน เหมือนกับไฟเผามาแล้วเท่าไร ความกลัว กลัวโดยเฉพาะกลัวอย่างโง่เขลากัดไหมแล้วมันกัดมาแล้วเท่าไร ความตื่นเต้น ตื่นเต้น Excitement มันเคยกัดเรามาแล้วกี่มากน้อย แต่เราก็ยังรัก ๆ รักที่จะหาความตื่นเต้นมาทำความตื่นเต้นให้แก่เรา นั่นจะมองดูในแง่กัดไหม ๆ ความตื่นเต้นมันกัดไหม ทีนี้ก็วิตกกังวลต่ออนาคตหวังต่ออนาคตความคิดวิตกกังวลที่ยังไม่มาต่อสิ่งที่ยังไม่มาน่ะมันกัดไหม ๆ เราสามารถที่จะกระทำหน้าที่การงานโดยไม่ต้องวิตกกังวลถึงอนาคตได้ไหม เราไม่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังแต่เรามีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญานี่จะได้ไหม ในที่สุดท่านก็เห็นได้เองว่าวิตกกังวลถึงอนาคตนั้นมันได้กัดไหม มันได้กัดมาแล้วเท่าไร มันได้กัดมาแล้วเท่าไร ทีนี้ก็มาถึงความอาลัยอาวรณ์สิ่งที่ผ่านมาแล้วในอดีตอาลัยอาวรณ์อดีตที่ลืมไม่ได้ลืมไม่ได้ติดอยู่ในจิตใจเสมอนี่กัดไหม ๆ อันที่ล่วงมาแล้วนั้นมันเป็นเรื่องผูกพันอาลัยอาวรณ์แล้วไม่ใช่เราปรารถนาในสิ่งที่ล่วงมาแล้วเราไม่ได้ปรารถนาแต่มันผูกพันเราลืมไม่ได้ปล่อยไม่ได้นั่นน่ะมันกัดไหม ๆ ทีนี้ก็มาถึงสิ่งเลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือว่าความริษยา ๆ ไม่อยากให้ใครได้ดีเห็นเขาดีแล้วเราก็เป็นเรา ๆ ไม่อยากให้ใครดีเท่าเราหรือไม่อยากให้ใครดีเสียเลยก็ได้หรือเราไม่อยากจะให้เขาเจริญอยากจะให้เขาด้อยกว่าเราอยู่เรื่อยไปนี้ก็เรียกว่าความริษยาคิดทำลายผู้อื่นอยู่เรื่อยไปนี้มันกัด มันกัดไหมกัดกี่มากน้อย ถ้าโลกนี้ไม่มีความริษยาโลกนี้ไม่มีสงครามจริงไหม ทีนี้เราดูตัวเองดีกว่าดูที่ตัวเราเองถ้าเราริษยาใครคนใดคนหนึ่งมันไม่กัด มันไม่กัดผู้นั้นเลย แต่ว่ามันกัดเรา กัดเราผู้ริษยาไอ้คนนั้นมันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องก็ไม่ถูกกัด แต่เราริษยาคนนั้นมันกลับมากัดเรา กัดเรา นี่ความริษยากัดกี่มากน้อย นี่ต่อมาก็ถึงความหวง ๆ หวงไม่ ๆ ยอมให้ ความไม่ยอมให้ไอ้ความหวงขี้เหนียวภาษาไทยเรียกว่าขี้เหนียวมีความขี้เหนียวนี่รบกวนจิตใจอยู่เสมอบางทีกลัวว่าเพื่อนจะขออะไรเพื่อนจะมาขออะไรด้วยซ้ำไปนี่ความหวงความขี้เหนียวกัดไหม ทีนี้ก็มาถึงความหวงแต่เป็นไปในทางเพศตรงกันข้ามความหวงในทางเพศตรงกันข้ามน่ะภาษาไทยเรียกว่าความหึง ความหึงนี่ถึงกับฆ่ากันตายไม่มี ไม่มีหยุด ไม่มีความสุขระแวงอยู่เสมอหึงอยู่เสมอกัดหัวใจผู้ที่มีความหึงกี่มากน้อยลองคิดดูเอง ท่านอาจจะต้องค้นหาคำเรียกหรือชื่อเรียก เรียกเอาเอง เอาเองอย่างถูกใจของท่านก็ได้ แต่เรามาทบทวนกันอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ท่านจะเข้าใจดี แล้วก็ไปหาคำเรียกให้เหมาะตามความพอใจของท่านหนึ่งความรักที่มาจากความโง่ สองความโกรธ นี่เราไม่ต้องพูดออกมาจากความโง่เพราะโกรธมันโง่อยู่เองแล้ว สองความโกรธ สาม สามความเกลียด สี่ความกลัว ห้าความตื่นเต้น ตื่นเต้น หกวิตกในอนาคต วิตกในอนาคต หกใช่ไหม รัก โกรธ เกลียด กลัว ตื่นเต้น วิตก เจ็ดอาลัยในอดีตอาลัยในอดีต แปดอิจฉาริษยา เก้าหวง ๆ โดยทั่วไป สิบหึงคือหวงทางเพศ มันมีมากกว่านี้มากมายนัก แต่นี่เป็นตัวอย่างแค่สิบอย่างก็เกินพอแล้ว เกินพอแล้ว ตัวอย่างเพียงสิบอย่างว่ามันมันกัดหรือไม่กัดนี่ขอยกตัวอย่างมาสิบอย่างก็พอแล้ว ชีวิตที่ไม่มีการพัฒนาอย่างถูกต้องมันเกิดถูกกัดอย่างนี้เสมอไป ดังนั้นการพัฒนาก็คือการทำให้ไม่ถูกกัดเลย ทีนี้เราก็มาตั้งปัญหาว่าจะพัฒนามันด้วยอะไร ท่านมาที่นี่หาอะไรเพื่อจะพัฒนาชีวิต นี่เราจะต้องมองให้เห็นว่าจะพัฒนาด้วยอะไรด้วยอะไร คำตอบสั้น ๆ สั้นที่สุดว่าพัฒนาด้วยสิ่ง ๆ เดียว คือ ธรรมะ ๆ คำเดียว ๆ พอ คำว่าธรรมะ ๆ มีความหมายมากมายนับไม่ถ้วน นับไม่ถ้วน นับไม่ไหวด้วยความหมายของธรรมะแต่เราเอาความหมายที่สำคัญที่สุดความหมายเดียว ธรรมะ ๆ คือความถูกต้อง ความถูกต้องแก่การพัฒนาหรือการดับทุกข์ เมื่อหลายปีมาแล้วที่ประเทศอังกฤษมีนักศึกษาพยายามแปลคำว่าธรรมะ ๆ นี้เป็นภาษาอังกฤษเขาแปลออกมาได้ ๓๘ คำนะ ไม่หมด ๓๘ คำยังไม่หมดความหมายของคำว่าธรรมะเขาจึงยอมแพ้ ยอมแพ้ ไม่แปลไม่ต้องแปลใช้คำอินเดียว่าธรรมะ ๆ ตามเดิม เขาไม่ต้องแปลเรียกว่าธรรมะ ๆ ภาษาอินเดียไปตามเดิมดีกว่าธรรมะ ๆ นี่เราควรจะใช้คำที่รัดกุมที่สุดซึ่งอาตมาก็เห็นว่าเป็นคำที่ดีที่สุดคือใช้คำว่า Buddha dharma, Buddha dharma ธรรมะของผู้รู้น่ะ ธรรมะเฉย ๆ ก็ยังแคบไป Buddha dharma นี่คือสิ่งที่อาตมาพบเพื่อการพัฒนาและเพื่อการดับทุกข์ แต่ท่านทั้งหลายมักจะเรียกมันว่า Buddhism เราไม่ชอบความหมายของคำว่า Dhism, dhism เราไม่ชอบมันมี Authority มันมีอะไรที่มันไม่น่ารักขอใช้คำว่าBuddha dharma แทนคำว่า Buddhism บางคน ๆ ใช้คำว่าพุทธศาสนาคือ Religion แล้วก็มันพร่าไปมันกว้างไปเอา Buddha dharma ดีกว่าพุทธศาสนาดีกว่า Buddhism, Buddha dharma หรือจะอยู่ในรูปของการเล่าเรียนการศึกษาเล่าเรียนคือปริยัติก็ได้อยู่ในรูปการปฏิบัติคือการกระทำ Commitment นี่ก็ได้ หรืออยู่ในรูปผล ๆ ดีที่ได้รับจากการกระทำก็ได้สามความหมายนี้เป็นBuddha dharma ได้ทั้งนั้น ที่เซ็นเตอร์ที่เซ็นเตอร์ที่ท่านอาศัยอยู่นั้นน่ะท่านอาจจะทำได้ครบทั้งสามอย่าง บางเวลาอาจารย์สอนๆ ให้เรียน ๆ เรียน บางเวลาอาจารย์สอนให้ปฎิบัติฝึก ๆ ฝึก แล้วความรู้สึกก็เกิดขึ้นจากการปฎิบัติท่านได้รับความรู้สึกว่าเย็นลงๆ นี่คือชีวิตไม่กัด ชีวิตไม่กัดหรือกัดน้อยลง กัดน้อยลง ท่านหาได้ครบทั้งสามอย่างเมื่อท่านมีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องในเซ็นเตอร์ จะมีทั้งการเรียนมีทั้งการปฎิบัติและผลของการปฎิบัติ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอันยุติว่าเราจะใช้ธรรมะ ๆ นี้ในความหมายว่าถูกต้องสำหรับการพัฒนาชีวิตเพื่อจะดับทุกข์ ธรรมะคือความถูกต้อง ความถูกต้องในการจะใช้พัฒนาชีวิตพัฒนาชีวิต ธรรมะคือความถูกต้องสำหรับใช้ในการพัฒนาชีวิตหรือดับทุกข์ ดับทุกข์ ทีนี้ก็อยากจะให้ ให้ความหมาย ความหมายที่ชัดเจนกว่า ชัดเจนกว่า ละเอียดกว่าอีกคำหนึ่งขอให้ฟังให้ดี ว่าธรรมะนั้นคือ Gentle healing, gentle healing for spiritual disease ถ้าจะพูดเป็นไทยก็จะแปลเป็นอย่างอื่นเสีย Gentle healing for spiritual disease ช่วยอธิบายคำนี้ที Gentle healing คำว่า Gentle, gentle มันจะ Gentle จนถึงกับท่านไม่รู้สึกก็ได้ มันละเอียดอ่อนจนถึงกับท่านไม่รู้สึกก็ได้ ขอให้เรียนความหมายคำว่า Gentle มันละเอียดจนถึงกับเราไม่เห็นการกระทำหรือวุ่นวายอะไร ละเอียดประณีตแต่พร้อมกันนั้นมันก็ Heal, heal, healing, healing, healing แล้วก็แก้โรคทาง Spiritual บางคนมันมองไม่เห็นความจริงข้อนี้เห็นแต่ธรรมะไม่ได้ทำอะไรธรรมะไม่ได้ทำอะไรแต่เพราะเหตุที่ธรรมะกระทำหรือประโยชน์ของธรรมะกระทำอย่างสุภาพที่สุดอย่างละเอียดที่สุดประณีตที่สุดจนเขาไม่รู้จักเขาไม่เห็น เราจะต้องนึกถึงข้อที่ว่าโรค ๆ มีอยู่หลายระดับ ถ้าเป็นโรคทางร่างกายทางวัตถุทางฟิสิกส์นี่เราก็ไปที่โรงพยาบาลที่มีอยู่ทั่ว ๆ ไปแต่ถ้าว่าเป็นโรคทางจิตเราก็ไปโรงพยาบาลโรคจิตโรคประสาท แต่ถ้าเราเป็นโรคทาง Spiritual ไม่ ๆ มีทางอื่นต้องไปหาโรงพยาบาลของธรรมะคือโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า ขอให้แยกโรค ๆ นี้เป็นสามชั้นอย่างนี้ แล้วจะเห็นประโยชน์ เห็นอานิสงส์ของธรรมะมากยิ่งขึ้นแล้วยังจะต้องรู้ว่าโรคทางวิญญาณนั้นยังเป็นเหตุให้เกิดโรคทางกายและทางจิตให้ได้อีกเป็นอันมาก ถ้าไม่มีโรคทางวิญญาณแล้วโรคทางกายโรคทางจิตเกือบจะไม่มี เกือบจะไม่มี อุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นมันมาจากความสะเพร่าความไม่มีศีลธรรมของเราเองมันจึงเกิดอุบัติเหตุทางถนนซึ่งเป็นเรื่องทางร่างกายล้วน ๆ เพราะมันเป็นโรคทางวิญญาณซะแล้ว มันโง่มันสะเพร่า มันเห็นแก่ตัวอย่างนี้ โรคประสาทหรือโรคจิตที่ไปโรงพยาบาลโรคจิตนั้นมันก็มาจากโรคทางวิญญาณคือมิจฉาทิฎฎิ มิจฉาทิฎฎิ เข้าใจผิดเพิ่มขึ้น ๆ มันก็เกิดเป็นโรคจิตโรคประสาทขึ้นมา แม้แต่โรคจิตมันก็มีมูลมาจากโรคทางวิญญาณ ยิ่งกว่านั้นไอ้โรคทางกายไอ้โรคทางจิตนี้ไม่ได้เป็นอยู่ตลอดเวลา มาเป็นเวลาเป็นบางคราวมันน้อยมาก ส่วนโรคทาง Spiritual เป็นอยู่ตลอดเวลาจะเรียกว่าทุกวินาทีก็ได้ถ้าเรายังไม่รู้ธรรมะ ไม่แจ่มแจ้งในทางธรรมะเราจะเป็นโรคทาง Spiritual อยู่ตลอดเวลา ๆ ไม่เป็นคราว ๆ ทีนี้เราก็มาดูต้นเหตุ ๆ ของโรคทางวิญญาณ ต้นเหตุของโรคทางวิญญาณก็คือความโง่ความเข้าใจผิดว่ามีตัวกูมี Self มี Ourselves นี้เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคทางวิญญาณ แล้ว Self, ourselves มันเป็นต้นเหตุให้เกิด Selfishness, selfishness พอมี Selfishness แล้วมันกัดเจ้าของ มันกัดเจ้าของตลอดเวลา โรคทางวิญญาณมีมูลเหตุมาจากความโง่ว่ามีตัวตนแล้วมีความเห็นแก่ตนสองขั้นตอน ในความรู้สึกหรือ Concept ว่ากู ว่ากู ว่า Self, ourselves เป็นของใหม่ที่สุดไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา บางคนมองผิดว่าเกิดอยู่ตลอดเวลา เป็นของใหม่ที่สุดเพิ่งเกิดเมื่อเรามีความโง่ต่อสิ่งที่เรียกว่า Positivness, Negativness เราเป็นทาสโง่ต่อPositive และ Negative เมื่อนั้นความคิดว่าตัวตนมันจะเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติอย่างเป็นของใหม่ที่สุดเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ เมื่อใดเราไปหลงความหมายคือเป็นทาสตกเป็นทาสของ Positive คือสิ่งที่เข้ามากระทบให้คนเป็น Positive เมื่อนั้นเราก็เกิด Self ที่เป็นPositive เมื่อเราไปหลงฝ่ายที่เป็น Negative เมื่อนั้นเราก็เกิด Self ฝ่าย Negative, Self จริง ๆ มีทั้งฝ่าย Positive และ Negative แต่แล้วมันก็เป็นความโง่เท่ากัน มันกัดเจ้าของเท่ากัน มีความรู้สึกว่า Self เมื่อไร ชีวิตมันจะกัดเจ้าของทันที เราไม่ต้องโง่ต้องหลงความหมายหรือคุณค่าของ Positive และ Negative แล้วเราก็จะไม่เกิด Self ชนิดใด ๆ เลย บรรพบุรุษของมนุษย์เคยฉลาดในเรื่องนี้มาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว พัน ๆ ปีแล้ว บรรพบุรุษเราเคยฉลาด แต่เราไม่ฉลาดเรากลับโง่ คำสอนในคัมภีร์ของยิวโบราณ Old Testament Bible ประเภทแผนก Old Testament น่ะ พระเจ้าบอกอาดัมกับอีฟมนุษย์คู่แรกว่าอย่าไปกินผลไม้ที่ทำให้เกิดความรู้เป็น Good and Evil คือเป็น Positive หรือเป็น Negative นั่นเอง พอแกรู้ Positive, Negative กินผลไม้นี้แกจะต้องตายคือ Attest เป็น Self ขึ้นมาแล้วมันก็กัดเอา กัดเอา มีความทุกข์ นี่เข้าใจว่าหลายพันปีแล้วหกพันปีแปดพันปีก็ได้คัมภีร์ยิวก่อนคริสต์น่ะเคยฉลาดมาถึงอย่างนี้แล้ว แต่เดี๋ยวนี้เราก็ยังมาหลง Positive กับ Negative กันอยู่ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ ซึ่งมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์กว่าเราก็พูดว่ามนุษย์เพิ่งจะมีปัญหาหรือเริ่มจะมีปัญหาเรื่องความทุกข์ก็ต่อเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จัก Discriminate สิ่งต่างๆออกเป็น Positive และ Negative ก่อนหน้านั้นไม่ Discriminate อะไร Positive, Negative มันก็ไม่มีปัญหาเมื่อไรหรือยุคไหนมนุษย์มันมีการแยกออกเป็น Good and Evil หรือ Positive หรือ Negative มันก็ Attest ต่อสิ่งนั้นก็เป็น Selfishness ขึ้นมาความทุกข์มันเพิ่งจะเกิดเมื่อเรารู้จักแบ่งแยกสิ่งต่าง ๆ เป็น Positive และ Negative เรามองเห็นได้ว่าคัมภีร์เก่า Old Testament นั้นของยิวก่อนโน้นมันตัดราก Selfishness ตัดรากสิ่งที่เรียกว่า Selfishness โดยไม่มี Positive ไม่มี Negative ไม่มี Self แต่คัมภีร์ใหม่ New Testament ของท่าน JESUS CHRIST เป็นแต่เพียงควบคุมเท่านั้น ควบคุม Selfishness ไม่ได้ตัดราก ศึกษาคัมภีร์เก่าตัดรากPositive และ Negative สิ้นเชิงกว่า ถ้าจะดับทุกข์กันสิ้นเชิงก็ตัดรากของความเป็น Positive และ Negative ไม่ใช่เพียงแต่ควบคุมไว้ ควบคุมไว้ รักผู้อื่น รักผู้อื่น นี้มันเพียงแต่ควบคุมไว้ไม่ได้ตัดราก คัมภีร์เก่าเพียงตัดรากความเห็นแก่ตัวคัมภีร์ใหม่เพียงแต่ควบคุมความเห็นแก่ตัว ที่กล่าวอย่างนี้ก็เพราะคิดว่าท่านทั้งหลายส่วนมากจะต้องเป็นคริสเตียนอย่างน้อยบิดามารดาของท่านเป็นคริสเตียนจึงได้ขอยกเอาคัมภีร์คริสเตียนมาพูดว่าวิเศษที่สุดคือฉลาดถึงที่สุดหลายพันปีมาแล้วมันไม่มีความหลงใน Positive และ Negative ไม่เป็นทาสของ Positive และ Negative สอนอย่างนั้นเหละคือตัวธรรมะสูงสุดอย่างเดียวกับพุทธศาสนา ไม่สร้าง Self ขึ้นมาในรูปของ Positive และ Negative ไม่มี Self แล้วไม่มี Selfishness แล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไรชีวิตนี้ก็ Perfect ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์นี้ขอให้สนใจว่าขอให้ลึกลงไปถึงว่าอย่าไปหลงใน Positive และ Negative อย่าไปเป็นทาสของ Positive และ Negative ก็ไม่มี Self ไม่มี Self ก็ไม่มี Selfishness ไม่มี Selfishness ก็ไม่มีความทุกข์ใด ๆ ชีวิตไม่กัดเจ้าของเลย ชีวิตไม่กัดเจ้าของเลยถ้าไม่มี Selfishness ขอร้องให้ท่านไปศึกษา Old Testament Bible อีกทีเถอะ ขอให้ศึกษาข้อที่ว่า God ห้ามไม่ให้ผัวเมียคู่แรกอาดัมกับอีฟน่ะไม่ให้กินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้จัก Good and evil หัวใจพุทธศาสนาอยู่ที่ตรงนั้นไม่ Attest good and evil คือไม่ Attest กุศล ไม่ Attest อกุศล ไม่ Attest บุญ ไม่ Attest บาป แล้วก็ไม่เกิด Self ไม่เกิด Self มันก็ไม่มี Selfishness มันก็ไม่มีปัญหา มันไม่มีความทุกข์ ขอให้สนใจว่าคนบรรพบุรุษของเราเคยฉลาดมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว ๆ ลูกหลานมันโง่มันกลับโง่จะทำอย่างไรได้มันก็มีปัญหาที่จะต้องศึกษากันใหม่เท่านั้น หรือเราจะไปดูคำสอนของเต๋า Taoism ของเหลาจื้อก็มีสอนว่าอย่าAttest หยิน and หยาง หยิน and หยางมันก็ Positive และ Negative อย่าไป Attest ให้มันเป็นหยินเป็นหยางขึ้นมามันก็ไม่มีปัญหามันก็ไม่มีความทุกข์นี่ก็หลายพันปีมาแล้วเหมือนกันเพราะเราเคยฉลาดแล้วกลับโง่นี่ขอให้นึกดูมันน่าสงสารที่ว่าครั้งหนึ่งบรรพบุรุษเคยฉลาด แล้วเราก็กลับไม่ได้ฉลาดเหมือนบรรพบุรุษมัน Attest positive และ Negative มากขึ้น แล้วเราก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น เดี๋ยวนี้ทั้งโลก ทั้งโลก Attest positive เกิน ๆ เยอะเกิน ขอพูดคำสรุปสั้น ๆ ว่าเราจะไม่บูชาไม่ Worship แล้วก็ไม่Share it (นาทีที่ 02:00:50) positive และ Negative ทั้งคู่ แต่เราจะฆ่ามันเสียทั้ง Positive และ Negative เดี๋ยวนี้ท่านบูชา Positive มากเกินไปฆ่าไม่ลง ฆ่าไม่ลง ก็ยิ่งมีปัญหายิ่งมีปัญหา ยิ่งมี Positive ก็ยิ่งมี Self จัด Selfishness จัด แล้วมันก็มีแต่ความทุกข์ เราจะไม่บูชา Positive และNegative แต่เราจะฆ่ามันเสียด้วยความรู้ที่ถูกต้อง ของยิวหลายพันปีมาแล้วก็ดี ของเต๋าก็ดี ของ Buddhism ก็ดี เราให้พรวันปีใหม่กับเพื่อนของเรากับเพื่อนของเราว่าขอให้ท่าน ทุก ๆ อย่างของท่านเป็นไปในทาง Positive เป็น Positive way ให้เขามีแต่ Positiveness นั่นคือเราทำให้เขาโง่ ๆ โง่ ๆ โง่มากขึ้นไป ไปขอร้องให้อะไร ๆ เป็น Positive เสมอไปมันก็โง่ ๆ โง่ ไปหลงPositive มันก็มี Self เข้มข้นมี Selfishness เข้มข้น มันก็เหมือนกับฆ่าเพื่อนของเราให้ตายอย่างคัมภีร์ Bible เมื่อกินเข้าไปแล้วจะต้องตาย อย่า ๆ ไปบูชา Positive, Negative อย่าให้มัน Endless เราอย่าให้ Positive, Negative endless เราอยู่ใต้อิทธิพลของ Positive และ Negative นั่นเหละหัวใจสูงสุดสูงสุด ๆ ของพระศาสนาสูงสุดเป็นทางออกของการที่จะดับทุกข์และดับทุกข์ทั้งปวงเป็น Gentle healing of spiritual disease ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในข้อนี้ เมื่อเราได้พัฒนาพัฒนาชีวิตของเราสูงขึ้นมาสูงขึ้นมาจนพ้นจากความเป็นทาสของ Positive และ Negative แล้ว ชีวิตนี้เต็มแล้ว ชีวิตนี้ก็จะมีแต่ Peacefulness กับ Usefulness มันจะมีแต่ Peaceful, Useful นั่นเหละหมดปัญหามันเป็นสิ่งที่มีคำอธิบายมากที่เราจะจำไว้พูดกันต่อไปในวันหลัง ๆ วันนี้ขอแต่ให้รู้ว่าเราต้องออกมาเสียจากอิทธิพลแห่ง Positive และNegative โดยการปฎิบัติธรรมะ ปฎิบัติธรรมะ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนท่านก็จะได้ยินคำว่า Original sin ,Original sin จุดตั้งต้นดั้งเดิมของความเป็นบาป Original Sin เป็น Attest good and evil, Positive และ Negative เพราะกินผลไม้ต้นนั้นเข้าไปทำให้โง่แล้วจะหมด Original Sin โดยประการทั้งปวงก็เพราะว่าเรากำจัดอิทธิพลอิทธิพลของ Positive และ Negative หมดสิ้นไปเมื่อปฎิบัติอย่างนี้แล้วก็จะได้รับผลดีสูงสุดในทุก ๆ ศาสนาที่เคยฉลาด เป็นยิวโบราณก็ดี เป็นพุทธก็ดี เป็นเต๋าก็ดี แม้แต่เป็นฮินดูก็ดี ทำไปร่วมกัน ๆ โดยกำจัดอิทธิพลของ Positive และ Negative ออกไปเสีย ออกไปเสีย โดยทะเบียนหรือโดยสำมโนครัวท่านก็เป็นยิวเป็นคริสเป็นอิสลามเป็นฮินดูเป็นพุทธเป็นเต๋าตามพอใจเป็นได้โดยทะเบียน แต่โดยหัวใจ ๆ ของท่านจงเป็นผู้ที่อยู่หนือ Positive และ Negative นั้นดีที่สุดถูกต้องที่สุด แม้เราจะเรียกตัวเองโดยชื่อศาสนาต่าง ๆ ศาสนาชื่อต่าง ๆ เราเรียกตัวเองว่าอย่างนั้นแต่ว่าผลที่ Emancipation, Emancipation ถ้าเรามีอย่างเดียว อย่างเดียว อย่างเดียวเท่านั้น จะเรียกตัวเองว่าเป็นพุทธ คริสต์ อิสลามหรือไรแต่ Emancipation ศาสนาเดียวมีอย่างเดียวร่วมกันเป็นอย่างเดียว ออกจากอิทธิพลของ Positive และ Negative แล้วก็เป็นมนุษย์สมบูรณ์มีชีวิตที่เป็นPeaceful and useful เต็มตามความหมาย ขอบพระคุณท่านทั้งหลายเป็นอันมากเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยความอดทนอย่างยิ่ง ๒ ชั่วโมงกว่าแล้ว ดังนั้นขอยุติการบรรยาย ขอบคุณในความเป็นผู้ฟังที่ดี ขอให้ได้รับประโยชน์คุ้มกัน ขอปิดการประชุม Walking without walker กลับไปเซ็นเตอร์ ใครจะแจก ใครจะแจกดอกไม้ไหม (นาทีที่ 02:13:25) ฟังไม่ถูกผมก็เป็นคนบ้า