แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาเออขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้คือมาแสวงหาความรู้ทางธรรมะกันเพื่อไปประกอบในหน้าที่การงานของตน ของตนให้สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุดเป็นสิ่งที่ถูกต้องมีเหตุผลควรแก่การอนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่ง อาตมาจึงขออนุโมทนาไว้เออในที่นี้ ในชั้นแรกนี่ควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำๆ นี้เออกันเสียก่อนเพราะมันคงจะแปลกสำหรับบางคน ในเมื่อได้ทราบว่าคำว่าธรรมในภาษาไทยเราคือธรรมะในภาษาบาลี มันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรให้เหลืออยู่นี่เรียกว่าธรรมทั้งนั้นแหละโดยภาษาบาลีเพราะบาในภาษาบาลีคำว่าธรรมมันหมายถึงธรรมชาติ คำว่าธรรมะ - ชา - ติ โดยตรงนี่ไม่ค่อยมีวิธีใช้เออคือไม่ค่อยมีค่อยพบในภาษาบาลี ใช้คำว่าธรรมเออธรรมะนี่ซึ่งหมายถึงธรรมชาติ คำว่าธรรมหมายถึงธรรมชาติแล้วก็ถือว่าไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นธรรมชาติหมด ไม่เหมือนกับภาษาปัจจุบันต่างๆ ในโลกเขายังมีคำว่าเหนือธรรมชาติ ธรรมชาติแล้วมีเหนือธรรมชาติหรือมิใช่ธรรมชาติ แต่ถ้าภาษาธรรมะในพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นธรรมชาติหมดไม่มีอะไรที่มิใช่ธรรมชาติเพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำว่าเหนือธรรมชาติ นี่มันตามกันอย่างนี้ ดังนั้นการศึกษาสิ่งที่เรียกว่าธรรมก็คือศึกษาทุกสิ่ง แต่มันศึกษาไม่ได้ใครจะไปศึกษาทุกสิ่งได้ เออก็ศึกษาเออเท่าที่จำเป็น หรือเท่าที่มันเกี่ยวข้องกันกับเรานะก็ควรจะทราบว่าคำว่าธรรมหมายถึงทุกสิ่งมันอธิบายอย่างไรกัน เออก็กล่าวแล้วว่าธรรมหมายถึงธรรมชาติและมองดูได้ใน ๔ ความหมายคือตัวธรรมชาติแท้ๆ นั่นนะก็เรียกว่าธรรม ธรรมในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติ แล้วกฎของธรรมชาติที่ประจำอยู่ในตัวธรรมชาติเออไอ้กฎธรรมชาติมันก็เรียกว่าธรรมอยู่นั่นแหละโดยภาษาบาลีนะ เมื่อมีกฎแล้วมันก็มีสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ตามกฎนั้น หน้าที่นั้นก็ยังคงเรียกว่าธรรมอยู่นั้นแหละ คงมีหน้าที่แล้วมันก็มีผลที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ไอ้ผลเหล่านั้นมันก็ยังคงเรียกว่าธรรมอยู่นั่นแหละ ธรรมใน ๔ ความหมายเออธรรมคือหน้าที่ คือเออธรรมคือกฎคือธรรมชาติ ธรรมคือกฎของธรรมชาติ ธรรมคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมคือผลที่เกิดจากหน้าที่ นี่จะเรียกว่าเออปฏิกิริยาเออของหน้าที่ก็ได้ คือถ้าลองคิดดูมันมีอะไรเหลือเออทั้งสากลจักรวาลจะมันมีเท่าไร ขอบเขตจะมีเท่าไรก็ให้เท่านั้นแหละมันก็อยู่ใน ๔ ความหมายนะ เออดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์ เออดวงจันทร์ ศุกร์ทั้งหมดมันก็ยังเป็นตัวธรรมชาติ ในสิ่งเหล่านั้นมีกฎของธรรมชาติมันก็เป็นไปตามกฎ ถ้ามันไม่เป็นไปตามกฎมันชนกันแตกกระจารหมดไม่มีเหลือ มันก็คงมีผลออกมาเป็นอุตุนิยมต่างๆ นาๆ มีอิทธิพลเหนือมนุษย์เออ นี่คือไม่ยกเว้นอะไร แต่ทีนี้ที่ว่ามันศึกษาไม่ไหวด้วยไม่จำเป็นจะต้องศึกษาหรอก มันก็ศึกษาเท่าที่มันเกี่ยวกับมนุษย์กับคนโดยตรง มันก็ดูก็เห็นในอัตตภาพของคนๆ หนึ่งนี่มันก็คือธรรมะ ๔ ความหมายนั่นเอง ส่วนที่เป็นร่างกาย ขน ผม เล็บ ฟัน หนังเออหรือที่เรียกธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมมันก็คือตัวร่างกายนี่ นี่คือตัวธรรมชาติ ในเราคนหนึ่งๆ มีตัวธรรมชาติจนกระทั่งถึงว่าเซลล์ๆ หนึ่ง กระทั่งปรมาณูหนึ่งๆ นี่คือธรรมชาติ ทีนี้ในตัวธรรมชาติเหล่านี้มันมีกฎของธรรมชาติทาบอยู่มันจึงเปลี่ยนแปลง มันเจริญเติบโต มันก็เป็นไปตามกฎ ทุกๆ ปรมาณูในร่างกายของเราเออเป็นไปตามกฎ ไม่ว่าจะเป็นขน ผม เล็บ ฟัน หนังมันก็มีกฎมันก็เป็นไปตามกฎ ที่เห็นง่ายๆ ก็เช่นว่ามันงอกมันเจริญแล้วมันเสื่อมไป ในเมื่อทุกๆ ส่วนมันเป็นไปตามกฎถือว่ามันมีกฎมันก็มีหน้าที่ ทุกๆ ส่วนมันก็มีหน้าที่ ตามีหน้าที่อย่างไร หูมีหน้าที่อย่างไรแต่มันยังไม่สำคัญเท่ากับว่าหน้าที่ที่ต้องถูกต้องตามกฎ ดังนั้นมันจึงรอดอยู่ได้ หน้าที่เหล่านี้ธรรมชาติทำเองโดยอัตโนมัติเราไม่ได้เจตนา มันก็มีเช่นว่าปอดมันทำการหายใจก็เพราะใจมันต้องการสูบฉีดโลหิต หลายอย่างมากๆ อย่างมันทำกันอยู่โดยอัตโนมัตินี่ไปถามพวกหมอดูก็รู้ แต่บางอย่างเราต้องทำหน้าที่นั้น ยิ่งเราจะต้องกินอาหาร ทั้งบริหารร่างกายแม้ที่สุดแต่ว่าต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ และต้องกินน้ำ นี่หน้าที่ หน้าที่มีทั้งที่โดยธรรมชาติและโดยที่มนุษย์เจตนาทำตามกฎ มันก็มีหน้าที่ตามธรรมชาติอยู่ในอัตตภาพร่างกายนี้ เมื่อมีหน้าที่แล้วมันก็มีผลเออเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ แล้วแต่ว่าทำหน้าที่ถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร นี่เรียกว่าผลจากหน้าที่มีความหมาย ๔ อย่างเช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ ที่ภายนอกตัวเราออกไปที่ไม่มีชีวิตจิตใจเป็นตัวธรรมชาติในสากลจักรวาลมีความหมาย ๔ ความหมายเหมือนกันเลย นี่จงรู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมคือธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้ยกเว้นอะไรแล้วมันก็ไกลออกไปจนถึงกับว่าบางอย่างที่เราไม่รู้จักก็ยังคงเป็นธรรมชาติ ถ้าพูดกันให้หมดจดกว่านั้นก็ว่าธรรมชาติที่เป็นสังขตะคือมีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนี่ก็เรียกว่าธรรมชาติ แล้วที่ตรงกันข้ามไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่งเป็นอสังขตะ มีอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ที่เห็นชัดๆ เช่นพระนิพพานไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง หรือความว่างโดยแท้จริงไม่ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเพราะมันอย่างเดียวอันเดียวกับพระนิพพาน หรือสิ่งที่เป็นตัวกฎ ตัวกฎนั้นมันก็เป็นอสังขตะ ไม่ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ถ้ามีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกฎมันก็เปลี่ยนหมดนะ นี่เหล่านี้เรียกว่าอสังขตะแปลว่าไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ทั้งสังขตะและอสังขตะก็ยังคงเรียกว่าธรรม ถ้าพุทธ-ธรรมทั้งปวงนะมันหมายอย่างนี้ นี่มารู้กันในเบื้องต้นซะทีว่าคำว่าธรรมมันหมายถึงอะไรมันมีขอบเขตเท่าไร นี่ถ้าเอาสั้นๆ เขาว่าหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรทั้งที่เป็นสังขตะและอสังขตะ เท่าที่เป็นสังขตะเราก็ยังไม่ค่อยจะรู้แล้วจะไปรู้ถึงอสังขตะมันก็ต้องศึกษากันโดยเฉพาะนะและก็รู้เป็นการล่วงหน้าว่าธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งปวงหมายถึงสังขตะและอสังขตะคือธรรมชาติทั้งปวงเราศึกษาไหวรึศึกษาหมดนี่มันๆ ก็ไม่ไหว ก็ศึกษาพิเศษในส่วนที่ศึกษาไหวมันก็ได้แก่ความหมายที่สาม เออความหมายที่หนึ่งตัวธรรมชาติแท้ๆ เราก็เรียนรู้ศึกษาตามสมควรคือรู้จักธรรมชาติ ก็กฎของธรรมชาติในความหมายที่สองนี้เราก็ศึกษาเท่าที่จะศึกษาได้ แต่ในความหมายที่สี่คือหน้าที่นี่มันศึกษากันอย่างถูกต้องและครบถ้วนเพียงพอเพราะว่ามันจำเป็น มันจำเป็นแก่ความอยู่หรือความตาย ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ต้องศึกษาครบถ้วนสำหรับจะรอด จะอยู่รอด ธรรมะในความหมายนี้ก็คือหน้าที่ หน้าที่โดยเรื่องผลของหน้าที่นั้น ถ้าว่ามีหน้าที่ถูกต้องแล้วไม่ต้องเป็นห่วงนะมันก็ถูกต้องไปตาม ...(นาทีที่ 13.29) ศึกษาตัวหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ให้มันถูกต้อง ธรรมะคำนี้ในความหมายที่จำเป็นสำหรับคนเราก็แปลว่าหน้าที่นี่ นี่เรารู้กันอย่างที่ต้องขอใช้คำว่าโง่เขลา .....(นาทีที่ 13.50) คือรู้กันแต่เพียงว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นนะมันไม่ตรงตามความจริง ธรรมะเป็นภาษาอินเดียโบราณที่สุดก็ใช้มาในความหมายที่มันเป็นหน้าที่ เราใช้แก่ทุกลัทธิศาสนาไม่เฉพาะพุทธศาสนามันจะเป็นลัทธิอะไรศาสนาอะไรศาสดาของเขาก็สอนธรรมะกันทั้งนั้น สอนธรรมะก็สอนเรื่องหน้าที่กันทั้งนั้น เพราะตัวคำว่าธรรมะ ธรรมะมันไม่ได้แปลว่าสอน ไม่ได้แปลว่าการสอนแต่มันเลยถึงหมายถึงสิ่งที่สอนคือเรื่องหน้าที่ จึงเกิดมีธรรมะของศาสดาองค์นั้นศาสดาองค์นี้เต็มไปหมดในประเทศอินเดียจึงมีชื่อเรียกว่าธรรมะของพระสมณโคดมก็คือพระพุทธเจ้าคือพุทธศาสนา ก็ธรรมะของนิครนถนาฏบุตร…(นาทีที่15.05) ธรรมะของสัญชัยเวลัฏฐบุตร ....(นาทีที่15.10 )ที่เป็นคู่แข่งสำคัญมี ๖ หกคณะและยังมีอีกๆ มาก ธรรมะของศาสเออคำสอนของศาสดานั้นๆ เรียกว่าธรรมะ ธรรมะเสมอกันหมด ประชาชนก็ถะถามกันว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร อย่างเดี๋ยวนี้เราทักกันว่าท่านถือศาสนาอะไรจนถึงว่าถามว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร นั่นแหละมันหมายถึงการถือพระศาสนานั้นๆ ทุกๆ ศาสดาสอนธรรมะก็คือสอนเรื่องหน้าที่เออหน้าที่ หน้าที่นั่นก็คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ทีนี้เขามีความคิดความนึกต่างกันมันก็ต้องสอนต่างกันในเรื่องหน้าที่หรือการปฏิบัติเพื่อความรอด แล้วก็มุ่งหมายความรอดเหมือนกันหมดเลย แม้ว่าความรอดจะมีความหมายต่างกันบ้างตามลัทธินั้นก็ใช้คำเรียกว่าความรอดเพื่อความรอด เพื่อความรอด มันจึงเป็นหน้าที่เพื่อความรอด พระศาสดาเหล่านั้นก็สอนไปตามลัทธิของตน ของตนคือมันไม่เหมือนกันนะ โดยกำหนดเผื่อเลือกตามความชอบใจ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะมาตั้งแต่โบราณกาล เรียกกันภาษาถิ่นนั่นคือภาษาอินเดีย ......(นาทีที่16.50) แต่โบราณกาลไม่ใช่ ...(นาทีที่16.54) พุทธศาสนาเพราะว่าเป็นภาษากลาง ประชาชนก็ยอมรับไอ้ความหมายของคำว่าธรรมะนี่แปลว่างานหน้าที่เพื่อความรอด หน้าที่เพื่อความรอด จะใช้คำอื่นก็ได้เช่นใช้ว่าหนทางหรือการปฏิบัติ ระบบปฏิบัติก็ได้เหมือนกัน แต่ความหมายสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าเป็นหน้าที่เพื่อความรอด นี่คำว่าธรรมะมันประหลาดอย่างนี้หมายถึงทุกสิ่ง ไอ้ความประหลาดมันก็คือสามารถตอบคำถามได้ทุกคำถามที่มนุษย์จะมีคำถามขึ้นมากี่ล้านๆ คำถาม ถามมาซิตอบได้คำๆ คำ คำเดียวธรรมะ คำตอบธรรมะเออ ทำไมจึงเกิดมาก็ธรรมะ ทำไมไม่เกิดมาก็ธรรมะ ทำไมเป็นสุขก็ธรรมะ ทำไมเป็นทุกข์ก็ธรรมะ ทำไมไม่ได้อย่างใจก็ธรรมะ ไม่ถูกต้องถ้าไม่ได้อย่างใจก็ธรรมะให้คนถามร้อยล้านคำถามมันก็ตอบได้ด้วยคำที่ประหลาดมหัศจรรย์ที่สุดคือคำว่าธรรมะ ธรรมะ นี้โดยธรรมชาติ ๔ ความหมายดังตอบไปนี่ นี้มันก็ประหลาดตรงที่ว่าจะแปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ยุ่งยากอย่างภาษาไทยนี่ไม่ๆ แปล ใช้คำว่าธรรมะ ธรรมะไปตามเดิมของมัน เมื่อพระพุทธศาสนาไปยุโรปในประเทศอังกฤษก็มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้สามารถเชี่ยวชาญได้พยายามที่จะแปลคำว่าธรรมะเป็นภาษาอังกฤษก็แปลได้ยินตามรายงานที่พูดกันมานะว่าแปลไปได้ถึง ๓๘ คำยังไม่หมด ไม่หมดความหมายของคำว่าธรรมะ จะแปลว่าคำสอนหรือจะแปลว่าธรรมชาติหรือแปลอะไรก็ไม่รู้ แปลกันนะมันก็ไม่หมด ในที่สุดก็ยอมแพ้ ยอมแพ้ไม่ต้องแปล ไม่ต้องแปลยอมใช้คำว่าธรรมภาษาอินเดียเข้าไปอยู่ในภาษาพูดของภาษาอังกฤษคือเข้าไปอยู่ในปทานุกรมคือใน vocabulary สำหรับคนอังกฤษพูดธรรมะ ธรรมิกะเออก็นั่นนะความถึงน่าอัศจรรย์ พวกอื่นมันพยายามแปลตามความของตนนั้นก็คง ก็คงเหมือนกันนะในที่สุดก็ใช้คำนี้กันทุกภาษา ในๆ ทุกภาษา เออโชคดีที่ว่าเมืองไทยไม่เคยพยายามแปลแต่มันมีแง่ลับอยู่นิดหนึ่งถ้าว่าจะแปลก็แปลได้โดยเอาเปรียบหรือเรียกว่าเอาเปรียบนะคือแปลว่าสิ่ง ธรรมะแปลว่าสิ่งเพราะคำว่าสิ่งมันหมายถึงไม่มากไม่ยกเว้นอะไรได้เหมือนกันนะสิ่ง สิ่งดีสิ่งชั่วสิ่งอะไรก็ตามนะมันเป็นสิ่ง สิ่งนะ แม้พระเจ้าก็เป็นสิ่ง โลกนี้ก็เป็นสิ่ง เป็นสิ่งๆ เป็นรูปธรรมก็เรียกว่าสิ่ง เป็นนามธรรมก็เรียกว่าสิ่ง ถ้ายังไม่เคยเห็นใครแปลในภาษาต่างประเทศ อาตมาก็ใช้คำนี้แปลอยู่ว่าสิ่ง สัพเพ ธัมมาก็ธรรมทั้งปวงถ้าบังคับให้แปลก็แปลว่าสิ่งทั้งปวง สังขตะก็ได้อสังขตะก็ได้ก็แปลว่าสิ่ง นี่คือความประหลาดอัศจรรย์ของคำพูดคำเดียวว่าธรรมะหมายถึงทุกสิ่งนี่ก็ไม่อาจจะแปลเป็นภาษาใดโดยเฉพาะ นี่เรามาพูดกันถึงเรื่องสิ่งนี้ นี้คือธรรมะและก็พูดกันในส่วนที่มันจำเป็นเกี่ยวข้องเออกับมนุษย์ มันก็มองดูความหมายออกไป ความหมายออกไปสิ่งที่เป็นหน้าที่เพื่อความรอดแล้วมันก็เป็นคู่กับสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตต้องมีธรรมะในความหมายว่าหน้าที่ หน้าที่มันจึงจะรอดชีวิตเออถ้ามองในแง่นี้ธรรมะก็คือคู่ชีวิตหรือเป็นตัวชีวิตซะเอง หรือจะพูดให้มันลึกกว่านั้นก็เป็นคู่กับโลก ถ้าไม่มีธรรมะมันก็ไม่มีโลก โลกมันก็อยู่ได้ด้วยธรรมะของโลกสากลจักรวาลนี่อยู่ด้วยธรรมะของสากลจักรวาลคือความจริงของสากลจักรวาลที่เรียกว่าเป็นกฎของธรรมชาติ นับประสาอะไรกับร่างกายเล็กๆ ของคนๆ หนึ่งที่จะไม่ต้องมีธรรมะ มันจึงพูดว่ามันต้องมีทุกกระเบียดนิ้ว ทุกกระเบียดนิ้วให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อีกความหมายหนึ่งโดยภาษานี้คำว่าธรรมะ ธรรมะมันก็แปลว่าถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นี่เราแยกพูดเฉพาะคนมีชีวิตเออธรรมะก็คือความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ก็ศึกษาเอาเองถ้าศึกษาไม่ไหวก็ศึกษาจากคำสอนจากครูบาอาจารย์ที่เขาสอนสืบๆ สืบๆ กันมาเป็นพันปี หมื่นปีและก็ถ้านับตั้งแต่อย่างต่ำ อย่างต้น เบื้องต้นที่สุดถึงสูงที่สุดจนสูงที่สุดถึงระดับที่เรียกว่าความหลุดพ้นคือพระนิพพานเป็นบรมธรรมเป็นยอดสุดของธรรมะเป็นยังไงลองคิดดูจะเรียนไหวไหม มันก็เห็นชัดอยู่ว่ามันไม่จำเป็นจะต้องเรียนทั้งหมดนั้นมันก็เรียนเท่าที่จำเป็นแก่ความรอดจึงขอบัญญัติความหมายของคำๆ นี้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและปฏิบัติสำหรับทุกชีวิต ภาษาไทยเรียกว่าหน้าที่ ภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ หน้าที่ในความหมายที่สามของคำว่าธรรมชาติ ในธรรมชาติคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นี่คือหน้าที่ หน้าที่ คำบัญญัติความที่จะถือให้เป็นหลักเป็นประโยชน์ได้ที่สุดเท่าที่นึกเห็นตั้งแต่นานมาแล้วจนบัดนี้ก็ถือเป็นหลัก ธรรมะคือระบบปฏิบัติ ระบบปฏิบัตินะก็ปฏิบัติครบถ้วนทั้งระบบไม่ใช่ข้อเดียวหลายข้อรวมกันเป็นระบบ ระบบปฏิบัตินี่คำแรก ที่ถูกต้อง ถูกต้อง เออคำว่าถูกต้องมันจำกัดความหมายว่าแก่ความรอด ไม่ใช่ถูกต้องตามภาษาพูด เลอะเทอะ ถูกต้อง ถูกต้องก็คือแก่ความรอดคือมีความรอด ไอ้ความรอดนี่ต้องมีทั้งทางกายและทางจิตมันต้องรอดอยู่ด้วยกันทั้งทางกายและทางจิต แล้วก็ต้องมีตลอดเวลาคือทุกขั้นตอนแห่งชีวิตเออ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตตลอดเวลาตั้งแต่ออกจากท้องแม่จนเข้าโลง มันก็ต้องทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น เพื่อตนเองอย่างเดียวยังไม่เป็นธรรมะที่ถูกต้องเออเพราะว่าโลกนี้มันต้องอยู่กันมากๆ ให้อยู่คนเดียวไม่ได้ ตาย ตายแน่ๆ ยกโลกทั้งหมดให้ครองคนเดียวอยู่คนเดียวมันก็อยู่ไม่ได้มันก็ตาย สัตว์ก็อยู่ตัวเดียวไม่ได้ต้องอยู่กันมากๆ ตามแบบสัตว์ ต้นไม้ก็อยู่ต้นเดียวไม่ได้ด้วยต้องอยู่กันอย่างครบถ้วน เพราะฉะนั้นคำว่าเพื่อผู้อื่นจึงมีความสำคัญเหมือนกันเป็นธรรมะที่ต้องรับรู้ ต้องปฏิบัติทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น อาตมาขอยืนยันว่าเป็นคำบัญญัติ ขออะคำที่พอ พอใช้ให้เป็นประโยชน์ได้สำหรับคำๆ นี้ทบทวนใหม่นิดหนึ่งว่าธรรมะหรือหน้าที่ ธรรมะหรือหน้าที่คือ ระบบปฏิบัติเรียกว่าไม่ใช่แต่เพียงความรู้พูดได้จ้อมีอยู่ในกระดาษเออ มันเป็นตัวระบบปฏิบัติอยู่ที่กาย วาจา ใจ เออไอ้ตัวอัตตภาพ มันก็ครบถ้วนทุกๆ ข้อที่ต้องมีจึงเรียกว่าระบบ ระบบปฏิบัติที่ครบถ้วนเรียกว่าจำกัดความออกไปว่าที่ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องนี้หมายๆ ความว่าแก่ความรอด ไอ้คำว่าถูกต้อง ถูกต้องตามภาษาพูดของนักภาษานะเพ้อเจ้อ อย่าไปเอากับมันนะ ถูกต้องตาม logic บ้าง ถูกต้องตาม philosophy บ้าง บ้าบอกันนั่นแหละเพราะมันมีเหตุผลที่จะแยกแยะ คัดค้าน คัดง้างออกไปเรื่อย philosophyแล้วยิ่งแล้วใหญ่ไปไม่มิดไม่มีจุดจบ แต่อย่าใช้คำว่าปรัชญานะ คำว่า philosophy ไม่ใช่ปรัชญา ในเมืองไทยเอามาใช้ผิดๆ พวกอินเดียเขาโกรธเขาต่อว่าๆ ใช้ของเขาผิดๆ ถ้าปรัชญาสมัยถูกต้องครบถ้วนยอดสุดของปัญญาแต่ philosophy มันไม่ใช่อย่างนั้นมันยังพูดไปได้เรื่อยไม่มีจบ ภาษาอินเดียแปลคำ philosophy ว่า ทรรศนะ ทรรศนะ คล้ายกับ opinion หรือความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง philosophy แปลว่าทรรศนะไม่ได้แปลว่าปรัชญา นี่ดีใจมีสองภาษา (นาทีที่ 30.01) เขาโกรธและเขาดูถูกคนไทยว่าเอามาใช้ผิดๆ ถูกต้องทางปรัชญาใช้ไม่ได้หรอก ถูกต้องทาง logic ก็ใช้ไม่ได้ มันคัดค้านด้วยเหตุผลคนเด็กๆ ได้เรื่อยไปแล้วก็ไม่มีจุดจบ ถูกต้องต้องถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของพระศาสนาคือได้รับประโยชน์และก็ไม่มีโทษแก่ฝ่ายใด ได้รับประโยชน์แก่ทุกฝ่ายเป็นความรอดจากความทุกข์หรือปัญหาเรียกว่าถูกต้อง ถูกต้อง คำว่าถูกต้องนั้นต้องดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้จึงใช้คำว่าถูกต้องแก่ความรอดเออไอ้ความรอดนี่ก็เหมือนกันเป็นคำสำคัญที่สุด ถ้าไม่รอดก็หมายความว่าถูกกักขังถูกจองจำนี่มันก็มีความทุกข์ ถ้ายิ่งเป็นไปโดยไม่รู้สึกตัวด้วยละก้อน่าสงสาร ติดอยู่ในวัฏฏะคือความทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว นี่ไม่มีความรอดไม่ใช่ความรอด ศาสนาทุกศาสนาต้องการจะช่วยให้หลุดไปจากการกักขังนี่เรียกว่าของรอด แปลความหมายตรงๆ ก็นี่แปลว่ารอดจากความตายหรือรอดจากความทุกข์ ร่างกายรอดจากความตายที่ยังไม่ถึงเวลา จิตใจรอดจากความทุกข์ รอดสองอย่างนี้แล้วก็เรียกว่ารอดๆ เป็นจุดหมายของชีวิต หรือเป็นจุดหมายของการกระทำของชีวิตเพื่อความรอด ใช้คำตรงกันหมดละทุกๆ ศาสนามีคำว่าความรอดใช้กันทั้งนั้นนะ เป็นคำสากลที่สุดเพื่อความรอด มันก็รอดทั้งทางกายและทางจิตและต้องรอดตลอดเวลาทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ตั้งแต่เกิดจากท้องมารดาจนเข้าโลง แต่เราอาจจะพูดให้มากกว่านั้นให้สมกับอิทธิพลของธรรมะนั้นรอดตลอดกาลนิรันดรนะ คือว่ารอดตั้งแต่ว่าเริ่มมีมนุษย์ขึ้นมาในโลกและก็มาสู่ความโง่มีปัญหาเออเป็นสัตว์ไม่นุ่งผ้าเออจนรู้จักนุ่งผ้า รู้จักทำบ้านเรือน รู้จักทำความเจริญๆ เจริญๆ เจริญมาจนเป็นมนุษย์อย่างปัจจุบันนี้ มันก็เรียกว่านับตั้งแต่เป็นสัตว์ป่าไม่นุ่งผ้าและมาเป็นอยู่อย่างแข่งกับเทวดาเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ก็ต้องใช้คำว่าทุกขั้นตอนเหล่านั้นนะต้องมีธรรมะ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตมิฉะนั้นมีปัญหามิฉะนั้นมีความทุกข์นี่เรียกว่ารอดทุกขั้นตอนแห่งชีวิตด้วยกันทั้งหมดหรือทั้งตนเองและทั้งผู้อื่น ยอมรับหน้าที่เพื่อผู้อื่นด้วย อย่าๆ ถือเอาแต่หน้าที่ว่าเพื่อตัวกู ตัวกูคนเดียวนี่ไม่ถูก หน้าที่มีเพื่อจะช่วยให้ทั้งหมดรอดก็เพื่ออยู่กันอย่างมีสันติภาพ ถ้ามีพวกหนึ่งไม่รอดเป็นทุกข์ทรมานอยู่มันๆ ไม่มีสันติภาพในโลกนี้ มันต้องมีความถูกต้องทั้งโลกและก็รอดด้วยกัน คำว่าประโยชน์ในภาษาไทยเรามักจะแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวมก็ได้เหมือนกัน ส่วนตัวก็ได้รับประโยชน์ส่วนรวมก็ได้รับประโยชน์ แต่ภาษาธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดนะประโยชน์แบ่งเป็น ๓ ประโยชน์ตนเรียกว่าอัตตัตถประโยชน์นี่ประโยชน์ส่วนตนและก็ประโยชน์ส่วนผู้อื่นคือปรัตถประโยชน์และประโยชน์ที่สองฝ่ายเกี่ยวข้องกันโดยแยกจากกันไม่ได้ ประโยชน์นี่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันโดยไม่อาจจะแยกถ้าแยกมันกลายเป็นไม่ใช่ประโยชน์เรียกว่าอุภยัตถประโยชน์ อัตตัตถประโยชน์ ปรัตถประโยชน์ อุภยัตถประโยชน์ ประโยชน์ตนเองเออประโยชน์ผู้อื่นและประโยชน์ทั้งสองฝ่ายที่ผูกพันกันมันจึงจะเรียกว่ามีประโยชน์อย่างครบถ้วน ด้งนั้นเราจงรู้จักประโยชน์ครบทั้ง ๓ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาเลวร้ายที่สุดอย่างที่กำลังเกิดอยู่เดี๋ยวนี้เออคือมันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว กำลังสร้างปัญหาเลวร้ายทั้งโลกและมันไม่มีอุภยัตถประโยชน์มันมีแยกเป็นมึงเป็นกูเสียเช่นว่ามันเป็นลูกจ้าง เป็นนายจ้างมันก็คนละประโยชน์มันก็ขัดกันและมันก็ต่อสู้กันตลอดนิรันดร ปัญหาลูกจ้างนายจ้าง นั่นก็อย่างเมืองไทยเรานี้กำลังเป็นปัญหาทั้งโลกกำลังเป็นปัญหา มันก็แยกเป็นผู้ขาย เป็นผู้ซื้อ เป็นผู้ผลิต เป็นผู้ๆ ๆไป ในที่สุดมันก็ยังแยกเป็นสามีภรรยา มันก็แยกเป็นประโยชน์อย่างนี้มันก็มีขัดแย้งเออไม่มากก็น้อย ถ้ามันเป็นคนเดียวกันเสียเหมือนกับสหกรณ์ปัญหาจะไม่มี เพราะทุกคนมีธรรมชาติมาจากธรรมชาติเป็นคนเดียวกันอย่าไปแยกให้เป็นหลายคนให้ชีวิตทั้งจักรวาลนี่รวมเป็นคนเดียว เป็นลูกจ้างหรือนายจ้างก็ตามคิดว่าทำเพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติมันก็ไม่ต่อสู้แย่งชิงกันอย่างเดี๋ยวนี้ ทุกคนทำประโยชน์อุภยัตถประโยชน์คือประโยชน์ที่สัมพันธ์กันมันเกี่ยวข้องกัน เกี่ยวข้องกันเป็นร่วมกันทำเป็นหน่วยเดียว เป็นกลุ่มเดียวเหมือนความหมายของคำว่าสหกรณ์เออเป็นประเทศทั้งประเทศเป็นคนเดียวหน่วยเดียวไม่ต้องมีฝ่ายนั้นฝ่ายนี้สำหรับทะเลาะกัน ฉะนั้นเดี๋ยวนี้คนเรา ๒ คนพอมาถึงกันเข้ามันก็เป็นมึง เป็นกูไม่มีความเป็นสหกรณ์ มาแย่งประโยชน์ต่อสู้เพื่อประโยชน์ เมื่อมันไม่มาเกี่ยวข้องกันมันก็ยังไม่เกิดปัญหา พอมาเกี่ยวข้องกันมาถึงมันเกิดเป็นมึงเป็นกูมันก็ต่อสู้กัน เดี๋ยวนี้การต่อสู้กันนี่จะมีแม้ระหว่างพ่อแม่กับลูกด้วยนะคุณไปสังเกตดูให้ดี ไอ้ความเห็นแก่ตัวไม่ยอมรับไปผูกพันเป็นคนเดียวนี่ขยายตัวแรงขึ้น แรงขึ้นตามความเจริญทางวัตถุ เจริญทางวัตถุทำให้หลงความสุขทางเนื้อทางหนังมันก็แยกเป็นส่วนตัวเป็นคน เป็นคนไปเรื่อย มันขัดแย้งกันระหว่างสามีภรรยามันฆ่ากันตาย ขัดแย้งกันระหว่างบิดามารดากับลูก ลูกฆ่าพ่อฆ่าแม่มากขึ้นและมันไม่รู้จักความเป็นอันเดียวหรือความเป็นสหกรณ์ เรากล่าวได้ว่าลูกฆ่าพ่อฆ่าแม่มากขึ้นอย่างที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ ถ้าเรามีชีวิตเป็นสหกรณ์เดียวกันหมดไม่มีปัญหา มนุษย์ก็เป็นสหกรณ์อันเดียวกัน สัตว์เดรัจฉานก็เป็นสหกรณ์อันเดียวกัน ต้นไม้ต้นไร่ก็เป็นสหกรณ์อันเดียวกันและก็ไม่ทำลายกันก็มีความสงบสุขเหลือประมาณด้วยกันทั้งนั้นก็มาอยู่ด้วยกันเป็นสหกรณ์ใหญ่เออ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ต้นไม้ต้นไร่นี่ชีวิตทั้งสามประเภทนี้เป็นสหกรณ์เดียวกันนั่นแหละคือธรรมะสูงสุดเออธรรมะสูงสุดอยู่ที่นั่น คนบางคนมันก็จะพูดบ้าแล้ว บ้าแล้วทำไมทำกันมากถึงอย่างนั้นทำไม่ไหวบ้าแล้วไม่เอา ไม่อยากฟังก็ได้ แต่มาพูดตามความเป็นจริงของธรรมชาติตามความหมายของคำว่าธรรมะ ธรรมะเออหมายถึงทุกสิ่งในความหมายที่มองดูเป็นส่วนเออส่วนๆ ไป ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลจากหน้าที่นั้นๆ ประพฤติให้ตรงตามนี้ให้ครบถ้วนตามนี้แล้วก็จะหมดปัญหา และก็จะเป็นไปเพื่อรวมกันได้เป็นสหกรณ์ของสิ่งที่มีชีวิตทำให้ชีวิตรอด คนก็รอด สัตว์ก็รอด ตันไม้ต้นไร่ก็รอด เมื่อแยกออกเป็นส่วนๆ แล้วมันก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเห็นประโยชน์ของตัวก็ขัดแย้งกัน มันก็ทำลายกันฆ่าฟันกันไม่ๆ ต้องรับผิดชอบอะไร ฆ่าฟันใครก็ได้เพื่อประโยชน์ของกูเออไอ้ความรู้สึกแตกแยกเป็นเห็นแก่ตัวเป็นตัวกู ตัวสูนั่นแหละคือความไม่มีธรรมะเออ ถ้าเป็นตัวเดียวกันเท่านั้นไม่ต้องมีตัวกูตัวสูนั่นแหละคือความมีธรรมะ ถ้าท่านศึกษาธรรมะถึงที่สุดก็จะพบความเป็นอย่างนี้ ธรรมะเป็นไปเพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านและก็ประโยชน์ที่ผูกพันกันเรียกว่าความถูกต้อง ถูกต้องเพื่อความรอด ความหมายที่จะแยกเอามาปฏิบัติเฉพาะก็เรียกว่าความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ตามหน้าที่หรือตามผลของหน้าที่เรียกว่ามีความถูกต้อง ถูกต้องแล้วก็ไม่มีผิดพลาดไม่มีทุกข์โทษ ไม่มีเสนียดจัญไรอะไรถ้ามันมีความถูกต้อง ถ้ามันยังมีความทุกข์เหมือนเสนียดจัญไรอะไรอยู่แล้วมันยังไม่ถูกต้อง ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายสนใจคำนี้ว่าธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งตนเองและผู้อื่น หมดไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้ก็มาดูถึงความหมายที่สามคือหน้าที่ หน้าที่ ทางกายถูกต้องหากินได้ตลอดๆ ชีวิตนี้ก็เรียกว่าเป็นธรรม ธรรมดามากอะรอดชีวิตเออขออภัยใช้คำหยาบคายว่าแม้แต่หมามันก็รู้จักหากินเพื่อรอดชีวิตเออ มันจะไปเห็นแก่ตัวหรือแก่ (...นาทีที่ 42.11) มันก็มากไป พระเยซูเออพูดว่าแม้แต่นกกระจิบนกกระจอกมันก็หากินได้โดยไม่ตายทำไมจะไปเห็นแก่ปากแก่ท้องไม่เห็นแก่ธรรมะเล่า นั่นนะต้องรู้ในข้อนี้ว่าไอ้หน้าที่ทางกายนี้มันดูไม่ค่อยจะยุ่งยากลำบากอะไรแต่ว่าถ้าทำไม่ถูกต้องมันก็มีความทุกข์ ดังนั้นเราจึงมีระบบปฏิบัติอีกส่วนหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาทางจิตใจไม่ให้มีทุกข์เออธรรมะนี่สำคัญ จึงขอพูดอย่างตรงๆ อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยแม้ที่ท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็เพราะมีปัญหาเรื่องธรรมะคือเรื่องความรอดทางจิตใจ ถ้ามันเป็นรอดทางร่างกายก็ไม่ต้องมาที่นี่แต่แล้วมันก็มีปัญหาคาบเกี่ยวกัน การที่จะทำความรอดทางกายทำมาหากินนะมันยังมีความทุกข์ดังนั้นจึงต้องมีธรรมะเพื่อไม่ให้การทำมาหากินหรือการทำความรอดทางกายเป็นทุกข์ธรรมะมันช่วยอย่างนี้ ทุกคนจึงแสวงหาความรู้ที่จะช่วยไม่ให้เกิดความทุกข์เออในการทำมาหากินนี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะเออกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น มากขึ้นเพราะความทุกข์มันทำเอาเจ็บปวดทั้งโลก ทั้งโลก เจ็บปวดคราวใหญ่ๆ ก็เป็นสงครามโลกเออมีมาสองหนแล้ว แต่ว่าแม้ไม่ได้มีสงครามนี้ก็มีสงครามใต้ดินอยู่ตลอดเวลา ก็มีปัญหาทรมานคนอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นสงครามระหว่างความผิดกับความถูกเออ ถ้าชีวิตนี้ดำเนินไปผิดมันก็ได้รับความทุกข์เออทำสงครามกับความทุกข์ มาหาวิธีชนะสงครามคือธรรมะ ธรรมะ เมื่อมองให้เห็นความสำคัญของธรรมะก็เอาชนะไอ้ความทุกข์ทั้งปวง พระศาสดาเป็นผู้เปิดเผยวิธีการอันนี้เอง สอนธรรมะ เผยแผ่ธรรมะ เออท่านทั้งหลายจงพยายามเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะในลักษณะอย่างนี้ก็ศึกษาให้ถูกจุดคือตรงกับปัญหาของตนแล้วก็เอาไปปฏิบัติๆ เพื่อแก้ปัญหานั้นให้ได้ มันก็เลยมีอยู่เป็น ๓ ขั้นตอนอีกเหมือนกัน ธรรมะสำหรับศึกษาให้ถูกต้อง ถูกต้องในส่วนการศึกษาธรรมะ คือศึกษาธรรมะแล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง ธรรมะถูกต้องในส่วนการปฏิบัติหรือก็ถูกต้องในการเสวยผลของการปฏิบัติให้มันถูกต้องและพอดี เดี๋ยวนี้ยุคนี้มันเกินไป มันเกินไป กินเกินจำเป็น แต่งเนื้อแต่งตัวนุ่งห่มเกินจำเป็น จะใช้ไม้สอยเกินจำเป็น ที่อยู่อาศัยเกินจำเป็น คุณดูเอาเองในบ้านในเรือนเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่จำเป็นนะอยู่มากเอาไปทิ้งเสียก็ไม่เป็นไรจึงจะมีปัญหาน้อยหน่อย ต้องบอกว่าบ้านบางบ้านนะห้องน้ำอย่างเดียวมีราคา ๓ ล้านบาทอาตมาไม่อยากจะเชื่อแต่เขาก็บอกว่าเชื่อเถอะ เชื่อเถอะมันเป็นความจริงอะห้องน้ำอย่างเดียวมันมีราคา ๓ ล้านบาทมาสร้างวัดได้ตั้งหลายวัดห้องน้ำห้องเดียวไม่มีหรอกมันเกิน มันเกินเพราะถูกหลอก ถูกหลอกด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ เออโฆษณาชวนเชื่อนี้กำลังเจริญๆ สอนกันเป็นศาสตร์อันหนึ่งเลยโฆษณาสำเร็จ โฆษณาเก่งให้คุณยายขี้เหนียวซื้อตู้เย็นก็ทำได้ ฝีมือของการโฆษณาเออก็ขายได้หมดจะผลิตออกมาเป็นส่วนเกินยังไงก็ขายได้หมด ระบบอุตสาหกรรมก็ผลิตออกมา ผลิตออกมาขายไม่ได้แต่ระบบโฆษณาก็ช่วยๆ ช่วยจนขายได้หมดก็ผลิตอย่างอื่นออกมาอีกระบบโฆษณาก็ช่วยขายได้หมด ต่อไปเกิน ต่อไปเกิน ต่อไปเกินต่อไป ความเกินนั้นมันก็มีมากขึ้นเออเดี๋ยวนี้รถยนต์ราคาแสนไม่มีใครนั่ง จะนั่งรถยนต์ราคาสี่ล้านห้าล้านกันลองคิดดู บ้านเรือนราคาแสนไม่มีใครอยู่ได้ต้องอยู่บ้านเรือนราคาสี่ล้านห้าล้าน นี่ความหลอกลวงของอุตสาหกรรม ถ้าควบคุมไว้ไม่อยู่อุตสาหกรรมนั้นนะจะทำความพินาศให้แก่มนุษย์ ถ้าควบคุมไว้ได้ผลิตแต่พอดีส่วนที่จำเป็นพอดีก็ดีคือควบคุมไว้ได้อย่าให้คนมันโง่ไปหลงซื้อส่วนเกินเหล่านั้น ควบคุมทางฝ่ายคนซื้อมันก็ยิ่งดี ควบคุมทั้งฝ่ายคนผลิตก็ยิ่งดี ถ้าอย่างนี้ระบบอุตสาหกรรมไม่เป็นอันตรายถ้าปล่อยเป็นไปตามความเกินนั้นนะมันผิดธรรมะ มันดูถูกธรรมะ มันเหยียบย่ำธรรมะ มันจะได้วินาศสมน้ำหน้า โลกนี้มันจะได้วินาศสมน้ำหน้าเพราะมีส่วนเกินเท่าไรมันก็เห็นแก่ตัวเท่านั้น มันเกินออกไปเท่าไรมันก็เห็นแก่ตัวเท่านั้นมันไม่เห็นแก่ธรรมะ มันตรงกันข้ามถ้าเห็นแก่ตัวก็ไม่เห็นแก่ธรรมะ ถ้าเห็นแก่ธรรมะมันก็ไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเจริญก็ได้โอกาสมีสิ่งหลอกให้สนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลินจนเห็นแก่ตัวอย่างไม่รู้ตัว อย่างลืมตัวนะ เห็นแก่ตัวจนสร้างปัญหา มลภาวะทั้งหลายเกิดจากผู้เห็นแก่ตัว เพียงเท่านี้ก็ทำโลกให้วินาศไปได้ ถ้าโลกมันเต็มไปด้วยมลภาวะมันก็วินาศ ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่ควรจะเกิด รถชนกัน เรือชนกัน อุบัติเหตุใดๆ ที่ทำให้เจ็บป่วยก็ไม่มี ผู้เห็นแก่ตัวมันประมาณ มันเลินเล่อ มันเห็นแก่ตัวมันทำให้มี มันก็ทำให้ไปหลงในสิ่งที่ไม่ควรจะไปหลงไอ้ความเอร็ดอร่อยที่ไม่ควรจะเกี่ยวข้องด้วยมันก็หลงมันก็ได้ไปติดยาเสพติดจนเป็นปัญหาโลกอยู่เหมือนกัน ติดอบายมุขจนเป็นปัญหาโลกเออแล้วก็ได้เป็นโรคชนิดที่เป็นปัญหาโลก โรคเอดส์โรคแอดอะไรก็ไม่รู้แต่ว่ามันเป็นปัญหาโลกเพราะมันเห็นแก่ตัวจะไปหาความอร่อยชนิดที่แปลกออกไปมันก็ได้เป็นโรคเอดส์เป็นโรคที่แม้แต่สุนัขมันก็ไม่เป็นเออคนได้เป็นโรคที่สุนัขก็ไม่เป็นก็สมน้ำหน้ามัน ก็ดีมันยังไม่มีทางปราบเออโรคเอดส์นี่จะเป็นผู้ช่วยควบคุมไม่ให้พลเมืองล้นโลกกลายเป็นของดีไปเสียอีกกระมัง มนุษย์จะต้องพึ่งโรคเอดส์นะ เมื่อควบคุมกำเนิดกันไม่ไหวโดยคนละก้อให้โรคเอดส์ช่วยควบคุมนี่บางทีมันจะไม่เหลือสักคน นี่ละความไม่มีธรรมะ ความไม่มีธรรมะก็ไปเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวหนักเข้า หนักเข้ามันก็ได้เป็นบ้าก็อยู่โรงพยาบาลบ้า เดี๋ยวนี้ก็เห็นแก่ตัวกันจนมาสร้างคุกตารางเท่าไรก็ไม่พอ สร้างตำรวจเท่าไรก็ไม่พอ สร้างศาลเท่าไรก็ไม่พอ สร้างวัดวาอารามเท่าไรก็ไม่พอคนมันยังเห็นแก่ตัว กระทรวงยุติธรรมประกาศว่าไม่มีเงินจะสร้างศาลแล้วต้องวางนโยบายอย่างอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อมาคือไม่ต้องสร้างตัวศาล หรือคุก หรือเรือนจำ นั้นคือความเห็นแก่ตัวกำลังจับมนุษย์ใส่นรกทั้งเป็นๆ นั่นแหละคือความขาดธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะสิ่งเหล่านี้ไม่เกิด มันมีแต่ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง อะไรๆ ก็ถูกต้อง ถูกต้อง ท่านจงถือเป็นหลักว่าถือความถูกต้องมันไม่ชวนให้เป็นบ้า ถ้าไปถือว่าดีๆ ดีแล้วเดี๋ยวก็บ้าดี เมาดี หลงดี เลวไปถึงหนักยิ่งไปกว่าเดิม ถ้ายึดถือความถูกต้องมันไม่มีเมา ไม่มีบ้า มันถูกต้องมันพอดีมันปรับตัวของมันพอดี ไอ้ชั่วนั้นไม่ไหวไม่เอาแน่แต่ว่าดีนั้นก็ถ้าไปหลงกะมันๆ ก็สร้างปัญหาขึ้นมาอีกทางหนึ่ง ดังนั้นจงเอาที่ตรงกลางคือความถูกต้อง ถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็สอนธรรมะสูงสุดของพระองค์คือธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรแสดงออกมาเป็นครั้งแรก ก็แสดงแต่ความถูกต้อง ถูกต้องไม่แสดงความดี ไม่ๆ บอกไม่ๆ ชวนให้หลงดีแต่ชวนให้ยึดถือความถูกต้องทำมาถูกต้อง สัมมาทิฏฐิเออความคิดความเห็นความเชื่อความเข้าใจถูกต้อง สัมมาสังกัปปะความปรารถนาถูกต้อง สัมมาวาจาพูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันโตการงานถูกต้อง สัมมาอาชีโวอาชีวะถูกต้อง สัมมาวายามะพากเพียรถูกต้อง สัมมาสติระลึกถูกต้อง สัมมาสมาธิตั้งจิตมั่นอยู่ในความถูกต้อง ปัญหาหมด ความถูกต้องนั้นนะแก้ปัญหาได้เพราะมันไม่ชวนให้เฟ้อ มันพอดี แต่ถ้าไปหลงดี บูชาดีเหลือเกินนี่มันรู้รสเกินมากมาย กินเกิน อยู่เกิน แต่งเนื้อแต่งตัวเกินอะไรเกินๆ ๆ จนบ้าดี บ้าดี บ้าบุญ เมาบุญก็วินาศจงพอใจในความถูกต้องแล้วก็ไม่ต้องบ้านั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะ ธรรมะชวนให้บ้าไม่ได้แต่ถ้าไม่ใช่ธรรมะนั่นช่วยให้บ้าได้ ฝ่ายบวกก็บ้าบวก ฝ่ายลบก็บ้าบ๊อบบ้าลบคือบ้าชั่วก็ได้บ้าดีก็ได้ อย่างนี้ไม่ใช่ธรรมะ ไม่บ้าอะไรเลยมีแต่ความถูกต้อง ถูกต้องนั่นแหละคือธรรมะ ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายสนใจศึกษาความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องทางกายทางวาจาเรียกว่าศีล ถูกต้องทางจิตเรียกว่าสมาธิ ถูกต้องเออทางสติปัญญาเรียกว่าปัญญา เมื่อมีความถูกต้องครบแล้วก็เรียกว่ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา รวมหมดทั้ง ๓ อย่างนั้นเรียกว่าธรรมะเออ ท่านต้องการ ท่านสนใจกี่มากน้อยวันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงหลายร้อยหลายพันนาทีท่านสนใจธรรมะกี่นาที สนใจตัวเอง สนใจตัวกู สนใจความเอร็ดอร่อยสนุกสนานของตัวกูกี่นาที บางคนไม่เคยสนใจเลยทั้งวัน ทั้งวัน ทั้งวันนานๆ จะสนใจสักครั้งไม่กี่นาทีเออมันก็ไม่ถูก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้รอดใช้เวลาสนใจไม่ถึง ไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ ไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมด เอาเวลาไปสนใจเรื่องของความเห็นแก่ตัว เรื่องของกิเลสเป็นบ้า ไม่ทันรู้หรือจะเป็นบ้างอมแงมให้อาตมาไปช่วยที ช่วยที อาตมาก็บอกว่าช่วยไม่ได้แล้วละเดี๋ยวนี้คุณฟังธรรมะไม่ถูกแล้วคุณกำลังจะเป็นบ้าแล้วไปหาหมอดีกว่า ไปหาหมอระงับอาการนี้มันปกติเสียก่อนจึงค่อยมาศึกษาธรรมะเออ ธรรมะจึงจะช่วย อย่างนี้มีมากนะไม่ใช่แกล้งพูดมีมากมีบ่อย มาๆ มาๆ หานั่นนะยิ่งกว่าคนเมาเสียอีกแต่เขาก็รู้ตัวว่าเขากำลังแย่ เขากำลังแย่เออมาให้ช่วยทีเออช่วยสอนธรรมะที อาตมาบอกว่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลให้ช่วยระงับไอ้อาการนี้ของคุณให้ปกติเสียก่อนจึงจะฟังธรรมะรู้เรื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วอาตมาจะพูดธรรมะเท่าไร เท่าไรคุณก็ฟังไม่รู้เรื่อง นี่คือโทษของการที่เขาไม่สนใจธรรมะ ๒๔ ชั่วโมงทั้ง ๒๔ ชั่วโมงไปสนใจความสวยงาม สนุกสนาน เอร็ดเพลิดอร่อยเพลิดเพลินจนได้เป็นโรคที่สุนัขก็ไม่เป็นนะมันสมน้ำหน้ากี่มากน้อยคิดดู คนได้เป็นโรคที่แม้แต่สุนัขก็ไม่เป็นและกำลังจะมากขึ้น มากขึ้นเพราะมันไม่มีธรรมะเออ ฉะนั้นขอให้สนใจธรรมะในความหมายว่าถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องของอะไร ถูกต้องของหน้าที่ความหมายที่สามความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฏของธรรมชาตินะธรรมะจะคุ้มครอง ธรรมะจะป้องกันไม่ให้เกิดทุกข์โดยประการทั้งปวง นี่ธรรมะคืออย่างนี้ ท่านทั้งหลายมาที่นี่ต้องการแสวงหาความรู้ทางธรรมะแต่ท่านจะต้องการอย่างนี้หรือไม่อาตมาไม่แน่ใจ ท่านทั้งหลายรู้ตัวจากตัวเองว่าต้องการธรรมะในความหมายอย่างนี้หรือเปล่าหรือต้องการเพียงความรู้ออกไปอวดคนไปคุยจ้อเออไปพิมพ์ออกโฆษณาเออโดยไม่ได้ต้องการไอ้ผลอันแท้จริงคือความรอดทั้งทางกายและทางจิตซึ่งถ้ามันถูกต้องจริงมันก็ต้องการความรอดทั้งกายและทางจิตโดยบิรสุทธิ์ใจ การศึกษาธรรมะโดยบริสุทธิ์ใจด้วยความเคารพในธรรมะแล้วก็ไปปฏิบัติโดยสุจริต ปฏิบัติโดยเคารพธรรมะ เราก็จะได้ผลสมตามต้องการ แต่ถ้าเล่นไม่ซื่อกับธรรมะ ไปตบตาธรรมะ หาความรู้ธรรมะไปตบตาคนหาประโยชน์ทางโลกๆ เอออันนี้ไม่มีธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ไปพิมพ์โฆษณากันสักเท่าไรมันก็ไม่มีผลของธรรมะเกิดขึ้น ฉะนั้นขอให้กลุ่มผู้ศึกษาสนใจในการศึกษาและการปฏิบัติเออรู้จักธรรมะให้ถูกต้อง รู้จักธรรมะให้ถูกต้องแล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วก็ต้องรับผลให้มันถูกต้อง นี่ธรรมะจะช่วยได้และก็มีประโยชน์โดยแท้จริงทำให้ได้ชีวิตชนิดใหม่ชนิดหนึ่งเป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เออท่านเคยได้ยินไหมชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ อาตมาคิดว่าคงจะไม่เคยได้ยินเพราะเรามันเพิ่งพูดกันว่าชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ พูดให้พวกฝรั่งที่มานี่ฟังมันเลยชอบใจยึดถือคำนี้คำเดียว เขาพอใจที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาศึกษาธรรมะและก็ได้พบชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ก่อนนี้มีแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของชีวิต เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นฟุ้งซ่านกัดเออเดี๋ยวความวิตกกังวลกัด เดี๋ยวความอาลัยอาวรณ์กัด เดี๋ยวความอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัดๆ จนตายไปเลย ยกตัวอย่างมาสิบอย่างเท่านั้นนะที่มันจะกัดเจ้าของที่จริงมันมีหลายๆ สิบหลายร้อยอย่างที่มันจะกัดเจ้าของ แค่สิบอย่างก็พอแล้วขอร้องไปใคร่ครวญให้ดีๆ ว่าสิ่งที่กำลังกัดเจ้าของอยู่ ความรัก ความรักทุกชนิด รักอย่างกามารมณ์ก็กัดรุนแรง แม้แต่รักอย่างเมตตากรุณามันก็กัดก็เมื่อมันยังเป็นห่วงเช่นรักลูกเท่าไรมันก็ต้องเป็นห่วงต้องทุกข์ยากลำบากเท่านั้นนะเมตตากรุณามันก็ยังกัดไปตามแบบนั้นนะ ความโกรธนั้นไม่ต้องพูดกัดเท่าไรก็เห็นกันอยู่เออความเกลียดก็ไม่มีที่อยู่ถ้าเกลียดนั่นเกลียดนี่ก็ไม่มีที่อยู่ มันโง่จนไปเกลียดไส้เดือน เกลียดจิ้งจก เกลียดตุ๊กแกอย่างนั้นมันก็ไม่มีที่อยู่นะ ความกลัว กลัวสารพัดอย่าง กลัวยากจน กลัวความเจ็บไข้ กลัวอะไรกลัวศัตรูมันก็กัดเออความตื่นเต้น ตื่นเต้นต้องไปดูเออสิ่งที่ให้เกิดความตื่นเต้นไปดูกีฬา ไปดูมวยเพื่อให้เกิดความตื่นเต้น ตื่นเต้นมันไม่สงบเออมันก็กัด วิตกกังวลอนาคตมันก็กัด อาลัยอาวรณ์อดีตแต่หนหลังก็กัด อิจฉาริษยายิ่งกัด ความหวงก็กัดตลอดเวลา ความหึงก็กัดจนตาย ชีวิตกัดเจ้าของเลวกว่าหมา ก็ไม่เคยพบหมาตัวไหนกัดเจ้าของ ใครเคยพบบ้าง แต่ชีวิตกลับกัดเจ้าของเพราะชีวิตนั้นไม่มีธรรมะ ถ้าเป็นชีวิตที่มีธรรมะไม่กัดเจ้าของเออนั่นชีวิตแท้ ถ้าได้ชีวิตที่ยังกัดเจ้าของอยู่ก็คือชีวิตที่ไม่มีธรรมะ ฉะนั้นจงพยายามขวนขวายศึกษาหาความรู้ให้เพียงพอ ให้มีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องเพียงพอชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของมีแต่ทำความสงบเยือกเย็น นี้อาตมาได้พูดปรารภเบื้องต้นเป็นอารัมภคาถาในเบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เป็นการชักชวนเออให้สนใจธรรมะ ปฏิบัติธรรมะอย่างเป็นธรรมะที่ถูกต้องมันมีหลักการทั่วไปอยู่อย่างนี้ ท่านจะประพฤติปฏิบัติได้มากน้อยเท่าไรก็แล้วแต่เออ ทีนี้ก็จะอธิบายเออข้อสงสัยที่คุณดุษฎีเขียนมาให้ว่ามีผู้สนใจจะทราบ อาตมาก็ขอบรรยายเป็นการถามตอบไปเสียเลยจะดีกว่ามันง่ายกว่าประหยัดกว่าเข้าใจได้ง่ายกว่า การศึกษาและปฏิบัติธรรมคืออะไร เนื่องกันอย่างไร ตอบ ถ้าท่านรู้จักธรรมะ ธรรมะในลักษณะที่อธิบายมาแล้วก็ไม่ต้องบอกว่าคืออะไร การศึกษาธรรมะก็ศึกษาสิ่งที่จะช่วยให้รอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมะก็คือปฏิบัติเพื่อให้ได้อย่างนั้นเออ เรื่องการศึกษากับการปฏิบัตินี่มันเนื่องกันนะ ถ้ามีแต่ความรู้ไม่มีการปฏิบัติมันก็ยังไม่ได้รับประโยชน์ ฉะนั้นถ้ามีข้าวยังไม่ได้หุงกินมันก็ยังไม่มีประโยชน์ ไอ้ความรู้ก็ยังเหมือนกับวัตถุดิบเหมือนเป็นข้าวสารต่อเมื่อหุงเป็นข้าวสุกด้วยการปฏิบัติมันก็กินได้มันก็เนื่องกันนะ ไอ้ๆ ความรู้เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วก็จะได้รับประโยชน์อย่างที่ว่า ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น จะต้องรู้จักมันเออทั้งในแง่ทฤษฎีคือหลักวิชาและในแง่ปฏิบัติแล้วปฏิบัติให้ได้แล้วต้องถูกต้องและพอดีนี่ เดี๋ยวนี้ไปเรียนเรื่องที่ไม่ต้องเรียนไม่ๆ จำเป็นแก่ชีวิต เรื่องที่จำเป็นแก่ชีวิตไม่ได้เรียนเออ ความรู้ก็ท่วมหัว ความรู้ก็ท่วมหัวแล้วก็เอาตัวไม่รอด ถ้ามันไม่ได้เรียนตรงจุดที่เป็นปัญหาของชีวิตมันก็เป็นคนบ้าหอบฟางเออ ดีกรียาวเป็นหางตั้งกิโล กิโลเออมันก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่เรียกว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะมันไม่มีครบทั้งทฤษฏีและปฏิบัติถ้ามีครบแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วมันก็ไม่ต้องเรียนทั้งหมดไม่ต้องเรียนเพ้อเจ้อเรียนแต่ที่มันตรงจุดตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าก่อนๆ มันก็ดีเดี๋ยวนี้ก็ดีฉันไม่พูดเรื่องอื่นฉันพูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้นเรื่องอื่นไม่พูด มันจึงไม่มีปัญหาเรื่องที่เราสนใจกันเหลือเฟือ ไม่สนใจแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์เราสนใจเท่าที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสที่ว่าทุกข์กับดับไม่เหลือแห่งทุกข์ มันก็จะไม่เป็นบ้าหอบฟาง มันมาจากความโง่ มันเกิดความเห็นแก่ตัว เกิดตัณหาเกิดอุปาทานแล้วก็เป็นทุกข์เออ นี้เราก็รู้จักแล้วก็ควบคุมไว้ได้ ชีวิตนี้ก็คือตัวธรรมะ ต้องเป็นธรรมชาติ ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติมีธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งในทางทฤษฏีทั้งในทางปฏิบัติเออชีวิตที่มีธรรมะและก็รอดๆ ด้วยกันทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่าย หัวข้อต่อไปว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม มีปัญหาไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครค่อยจะยอมเชื่อเพราะว่าเขาเอาการงานไว้ที่บ้าน ธรรมะไว้ที่วัด ไม่มีโอกาสพบกันแล้วการงานจะเป็นการปฏิบัติธรรมได้อย่างไร ทีนี้เราก็มารู้ความจริงเสียใหม่ว่าไอ้การงานนั่นนะกับการปฏิบัติธรรมนะสิ่งเดียวกัน ไม่ว่าการงานชนิดไหนมันเพื่อความรอดทั้งนั้น จะทำไร่ทำนาขุดดินอยู่โครมๆ มันเป็นการงาน นั้นมันก็เพื่อความรอด ถ้ามันเป็นการกระทำเพื่อความรอดมันก็เป็นธรรมะหมด ธรรมะเพื่อความรอด นี่การงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันในฐานะเป็นสิ่งที่ทำให้รอดด้วยกัน ถ้าการงานไหนไม่ได้ทำเพื่อความรอดหรือหมดปัญหามันก็ไม่ใช่การงานที่ถูกต้อง ถ้าการงานที่ถูกต้องมันก็เป็นการปฏิบัติธรรมหมด จะขุดดิน ทำสวนทำไร่หรือจะค้าขายหรือจะทำอะไรทุกอย่างเป็นไปเพื่อความรอดแม้แต่การเป็นอยู่ มันต้องกินอาหารให้ถูกต้อง อาบน้ำให้ถูกต้อง ถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้ถูกต้อง คอยควบคุมความถูกต้อง ถูกต้องอยู่ทุกกระเบียดนิ้วแม้แต่นั่งถ่ายอุจจาระปัสสาวะเออ การงานที่ออกที่ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว การงานที่บ้านก็ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว แม้เมื่อไปพักผ่อน พักผ่อนก็ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว นี่เรียกว่าการงานที่ถูกต้องมันก็เป็นการปฏิบัติธรรม แม้จะคันก็เกาให้ดีที่สุดให้ถูกต้อง การเกาก็เป็นการปฏิบัติธรรมด้วยเหมือนกันถ้ามันเป็นการกำจัดทุกข์ จะทำสิ่งที่เป็นการกำจัดความทุกข์ให้ถูกต้องเรียกว่าปฏิบัติธรรมหมด อย่าแยกกันเอาไว้ที่ๆ เดียวกันคือที่ตัวคน ให้การงานก็อยู่ที่ตัวคนนั่นแหละ การปฏิบัติธรรมก็อยู่ที่ตัวคน อย่าโง่แยกเอาธรรมะไว้ที่วัด ทำการงานอยู่ที่บ้านอยู่ที่ออฟฟิศอย่างนี้มันโง่มากเออ ถ้ามันอยู่ที่ตัวคน มันถูกต้องอยู่ที่ตัวคน การงานถูกต้องก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นอยู่ที่ตัวคน นี่เรียกว่าการงานกับการปฏิบัติธรรมนี่เป็นสิ่งเดียวกัน เป็นสิ่งที่ต้องอยู่ด้วยกันถ้าไปแยกกันไม่ตรงตามกฎของธรรมชาติ คนโดยมากแยกธรรมะไว้สูงสุดแล้วการงานก็อยู่ต่ำสุดตามทุ่งนานั่นไงนั่นมันคนไม่รู้เออเขาไม่รู้ธรรมะ ถ้าเขารู้ธรรมะเขาก็จะรู้ว่าความทุกข์อยู่ที่ไหนต้องมีการดับทุกข์ที่นั่นๆ ก็คือการงานหรือการปฏิบัติธรรมเออ จะนั่ง นอน ยืน เดิน ก็ถูกต้อง ถูกต้องก็เป็นการปฏิบัติธรรมเพราะทำหน้าที่ให้ถูกต้อง แม้แต่จะเขียนหนังสือสักตัวหนึ่งก็ตั้งใจเขียนให้ดี ตัวเดียวนี่เป็นที่พอใจมันก็พอใจหมดก็มีความสุขได้ตลอดเวลาเพราะว่าต้องทำการทำงานแม้ที่สุดแต่ว่าต้องเขียนหนังสือหนังหาเขียนทุกตัวให้ถูกต้องเท่านั้นแหละมันก็จะเป็นความสุขอยู่ที่การงานไม่ว่าทำการงานอะไร แต่คนโง่มันแยกออกไปการงานเป็นที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์ไม่อยากจะทำงานแต่จะเอาเงินนี่มันโง่ หน้าที่ที่ทำไปนั่นนะทำถูกต้องแล้วมันเป็นธรรมะทั้งนั้น ถ้าพอใจเพราะตั้งใจทำดีที่สุด ตั้งใจทำดีที่สุดมันก็พอใจ พอใจมันก็เป็นสุขทั้งนั้นนะแม้ว่าการงานนั้นจะยากเย็นจะเหน็ดจะเหนื่อยอาบแดดอาบเหงื่ออยู่กลางทุ่งและกลางแดดก็สนุกมันกลายเป็นสนุก ทำให้เหมือนลูกเด็กๆ เอาอย่างลูกเด็กๆ หน่อยอย่าละอายไอ้ลูกเด็กทารกให้มันทำอะไร ให้มันทำอะไรมันเป็นการเล่นไปหมดนะคุณลองสังเกตดู ลูกทารกเขาทำอะไร เขาทำสนุกเป็นการเล่นไปหมด ใช้ให้เขาขนของเหงื่อแตกเขาก็สนุกๆ ขนของ ใช้ให้เขาถูเรือน ถูเรือนเขาก็เป็นการเล่นสนุกถูบ้านถูเรือนเป็นการเล่นสนุกไปเสีย จะใช้ให้ทำอะไรเขาก็หาความสนุกได้จากสิ่งนั้นๆ ดังนั้นการงานที่ทรมานยุ่งยากเหนื่อยลำบากไม่มีแก่ทารกเพราะเขาสามารถทำให้มีความหมายเป็นการเล่นสนุกไปหมด เหงื่อออกก็สนุก นี่เราเอาอย่างนี้ทำให้มันเป็นเรื่องเป็นสุขและสนุกไว้เสียให้หมดแม้เหงื่อจะไหลอยู่ท่วมตัวเหมือนอย่างเด็กทารก นี่การงานก็จะเป็นการให้ความสุข การปฏิบัติธรรมก็ให้ความสุขอยู่ทุกกระเบียดนิ้วทุกวินาทีไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอะไร ให้คนเขาเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมมันอยู่ส่วนหนึ่งในส่วนสูงการงานมันอยู่ส่วนต่ำมันเป็นอันเดียวกันไม่ได้อยากจะเข้าใจตามนั้นก็ตามใจก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเข้าใจให้ถูกต้องแล้วการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องเป็นการปฏิบัติธรรม เมื่อถูกต้องก็พอใจ เมื่อพอใจก็เป็นสุข แต่แล้วคนโง่ทั้งหลายมันทำให้ถูกต้องไม่ได้มันก็เลยไม่มีความพอใจไปเสียหมดมันเป็นความเหน็ดเหนื่อยน่าละอาไปเสียหมดแล้วเดี๋ยวก็ได้ไปเป็นอันธพาลเลย โกงๆ ดีกว่า พักเดียวไปจี้ไปปล้นไปโกงได้ตั้งล้านสองล้านมันก็คิดไปเสียอย่างนั้นมันก็ไม่ๆ มีทางที่จะมีธรรมะเออ ข้อต่อไปว่าการปฏิบัติธรรมทางลัด เป็นทางลัดเป็นเคล็ดลับดับความทุกข์ด้วยสติ นี่จำ จำกัดมาเสียแล้วว่าให้อธิบายว่าด้วยสติ ไม่ถูก มีการว่าจะตัดปัญหาได้ด้วยสติก็ต้องตัดด้วยปัญญา สติเออเป็นลูกน้องของปัญญาช่วยร่วมมือกับปัญญา ความลับไอ้ทางลัดนั้นมีๆ แน่ มันๆ ลึกซึ้งหรือมันวิเศษเกินไปคนโง่รู้ไม่ได้แต่มันก็มีแน่วิธีลัดมันเป็นเทคนิคอันหนึ่งเหมือนกันนะ การทำให้มันง่ายๆ ให้เร็วให้สะดวกให้ลงทุนน้อยให้ลำบากน้อยมันเป็นเทคนิค การปฏิบัติธรรมก็มีได้โดยมีเทคนิคปฏิบัติได้ง่ายปฏิบัติได้เร็วก็ได้ผลใหญ่หลวงกว้างขวางนี้ก็พอจะเรียกว่าเป็นทางลัดมันก็ขึ้นอยู่กับความหมายของคำว่าธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้อง ถ้ามันมีความถูกต้องมันจะเป็นทางลัดโดยอัตโนมัติในตัวมันเองโดยตัวมันเองขอให้ทำให้ถูกต้อง ถูกต้องมันจะก้าวหน้าพรวดๆ พรวดๆ โดยเฉพาะความถูกต้อง ทางลัดมันจึงอยู่ที่ความถูกต้องท่านจงแสวงหาความรู้ที่เกี่ยวกับความถูกต้องให้มากเออธรรมะ ธรรมะตัวแท้ที่เป็นความถูกต้อง ความรู้ถูกต้อง หน้าที่ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องมันก็เป็นทางลัดโดยอัตโนมัติการที่จะขจัดความทุกข์นั้นก็ต้องขจัดด้วยของมีคมเรียกว่าตัด สิ่งนั้นคือปัญญา สติเป็นเพียงเครื่องช่วยวิ่งไปเอาปัญญาอาวุธมาทันเวลาและถูกต้องถ้าเรามีปัญญากันมากทุกอย่างครบทุกอย่างทำการศึกษาเก็บไว้เป็นปัญญามากมายแต่พอเหตุการณ์ร้ายอันใดเกิดขึ้นมันต้องการจะตัดเราก็ตั้งสติเป็นหน้าที่ของสติเร็ววิ่งไปเอามาทันเวลาและก็ถูกต้องด้วยคือเลือกเอามาอย่างถูกต้องปัญญามันมีมากเหมือนอาวุธมีมากอย่างเรานะมีไว้พร้อมทุกอย่างแต่พอเกิดเรื่องร้ายขึ้นมาจะต้องใช้อาวุธอย่างไหน สติไปเอามาให้ถูกต้องให้ทันแก่เวลาถึงจะเกิดความผิดพลาดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอย่างนั้นอย่างนี้ สติเป็นผู้รู้ว่าจะเอาอะไรมาและก็เอาปัญญาส่วนนั้นแหละมาเป็นปัญญาโดยเฉพาะไม่ได้เอามาทั้งหมด ครั้นเอาปัญญาเฉพาะหน้าเฉพาะเหตุการณ์มาได้แล้วก็เอามาทำเป็นสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเรียกว่าสัมปชัญญะ คุมเชิงอยู่ต่อหน้าเหตุการณ์ร้ายที่มันเกิดขึ้น สัมปชัญญะนี้ก็คือปัญญานะปัญญามาๆ อยู่ในรูปของสัมปชัญญะ ปัญญาเก็บไว้เฉยๆ มากๆ เรียกว่าปัญญา ปัญญาที่มาทำหน้าที่เฉพาะเหตุการณ์เรียกว่าสัมปชัญญะเออ สติไม่เอาปัญญามาทำเป็นสัมปชัญญะ ช่วยกันคุมเชิงอยู่ทั้งสติและสัมปชัญญะ ปัญญาก็ทำหน้าที่ตัดปัญหา ตัดปัญหานี้ยังไม่พอจะต้องมีเออน้ำหนักให้ปัญญาตัดได้ปัญญานั้นคือความคม มีดคมอะไรคมๆ คมเหลือที่จะคมแต่ถ้าไม่มีน้ำหนักกดมันไม่ตัดหรอกมันคมเป็นหมัน ความคมก็เป็นหมันมันไม่ตัดเพราะมันไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไปต้องมีน้ำหนักที่จะกดลงไป น้ำหนักนั้นคือสิ่งที่เรียกว่าสมาธิเออถ้ามันพอแล้วมันก็ตัดถ้ามันยังไม่พอก็ต้องเพิ่มสมาธิ เพิ่มกำลังของสมาธิให้แก่ปัญญา ปัญญาได้รับน้ำหนักพอมันก็ตัดขาดไปขาดไปหมดตามความคมเออนี่ทางลัดหรือเทคนิค มีปัญญาสะสมไว้เรื่อยคือเรียนรู้ไว้เรื่อย สะสมไว้เรื่อยเรียกว่าปัญญา พอมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นหน้าที่ของสติ วิ่งไปเอาปัญญามาทันเวลา ปัญญาเท่าที่เอามาเปลี่ยนรูปเป็นสัมปชัญญะพร้อมๆ ที่จะทำหน้าที่แล้วปัญญาสัมปชัญญะนี่มันก็จะตัดปัญหาถ้าน้ำหนักไม่พอต้องเอาสมาธิมาให้น้ำหนักพอเออความคมก็ตัดขาดไปเพราะมีน้ำหนัก ปัญญาคือความคม ถ้าไม่มีสมาธิคือน้ำหนักมันก็ไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า (...นาทีที่ 1.21.04) สมถะคือสมาธิ วิปัสสนาก็คือปัญญา มาเป็นคู่เกลอ คือน้ำหนักกับความคม เราจะต้องมีความรู้เป็นปัญญา มีสมาธิเป็นน้ำหนัก ปัญญาก็ตัดนี่คือเทคนิคที่จะเรียกว่าความลับก็ได้ ทางลัดก็ได้ มันก็จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่าใช้คำว่าตัดความทุกข์ด้วยสติ สติอย่างมากก็จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา แต่ถ้าเกิดปัญหามันก็ นี่มีสติไปเอาปัญญามาทำเป็นสัมปชัญญะแล้วก็ตัดปัญหาแล้วเพิ่มน้ำหนักให้แก่ปัญญาคือสมาธิ ถ้าท่านสนใจที่จะใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ปัญหา ท่านต้องฝึกฝนปฏิบัติๆ ให้เป็นผู้มีสมาธิเออเอ้ยมีสติรวดเร็วพอตัว ให้มีปัญญาครบถ้วนสะสมไว้พอตัวให้ใช้เป็นสัมปชัญญะได้ทันทีทันเวลาและก็มีสมาธิมากพอ มากพอเพิ่มกำลังน้ำหนักให้แก่ปัญญา เกิดเป็นสมาธิเออเกิดเป็นสติก่อน เกิดเป็นปัญญา เกิดเป็นสัมปชัญญะ เกิดเป็นสมาธิเออถ้าจะพูดให้มันเป็นลำดับของการปฏิบัติก็ว่ามีปัญญาสะสมไว้ สะสมไว้ แล้วก็มีสติที่จะเอามาใช้ทันเวลาถูกต้องแก่เวลาแล้วก็ทำให้เป็นสัมปชัญญะสามารถตัดปัญหาได้แล้วก็มีสมาธิเป็นกำลังให้ตัดๆ ตัดๆ ด้วยน้ำหนักที่มากมายเลยได้เป็น ๔ เกลอ ทำงานร่วมกันแม้แต่ธรรมะแท้ๆ มันก็ยังทำงานเป็นสหกรณ์ร่วมกันเป็นสหกรณ์ระหว่างเกลอ ๔ เกลอคือปัญญา สติ สัมปชัญญะและสมาธิ ท่านทั้งหลายจงพยายามมี ๔ เกลอนี้เป็นคู่ชีวิต มีธรรมะ ๔ เกลอเป็นคู่ชีวิตนี่ก็คือมีธรรมะที่เพียงพอ อย่าทำเล่นๆ อย่าเข้าใจผิดต้องเห็นชัดและก็ทำจริง สะสมความรู้เออที่ควรจะรู้ไม่ต้องรู้ทั้งหมดให้มันรู้เฉพาะที่จะดับทุกข์ได้สะสมไว้ให้เพียงพอเมื่อมีสติว่องไวที่ไปเอามาใช้ทันเวลาเอามาแล้วสามารถจะเปลี่ยนให้เป็นสัมปชัญญะคือทำหน้าที่ ทำหน้าที่ต่อสู้ข้าศึกแล้วก็มีสมาธิเป็นกำลัง กำลังเพิ่ม กำลังเพิ่ม กำลังเพิ่มกำลัง นี่ปัญญา สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ๔ เกลอนี่ช่วยได้มีธรรมะสมบูรณ์แน่ๆ ในเมื่อมีไอ้ ๔ เกลอนี้เออขอให้ทุกคนพยายามมี ๔ เกลอนี่มีกันไว้ให้เพียงพอเออ ข้อต่อไปว่า การเจริญอานาปานสติและสติปัฏฐานเออก็คืออะไร คืออย่างไร ก็เป็นคำถามเออที่ ที่แสดงว่ายังไม่รู้ ยังไม่รู้จักว่าอานาปานสติคืออะไร สติปัฏฐานคืออะไร ถ้าเอาคำว่าสติปัฏฐานเป็นหลักมันก็ดูจะมุ่งแต่สติแต่ถ้าเอาคำว่าอานาปานสติเป็นหลักมันจะครอบหมดแหละทั้งสติ ทั้งปัญญา ทั้งสัมปชัญญะ ทั้งสมาธิ ระบบอานาปานสตินี่มันครบอย่างนี้ จนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเมื่ออานาปานสติสมบูรณ์ สติปัฏฐานก็จะสมบูรณ์เออเอง สติปัฏฐานสมบูรณ์โพชฌงค์เอออาอริยมรรคก็จะสมบูรณ์ อริยมรรคสมบูรณ์โพชฌงค์ก็จะสมบูรณ์เออโพชฌงค์สมบูรณ์ก็ตรัสรู้ได้เออนี้เมื่อเราก็มีอานาปานสติเป็นหลัก พวกฝรั่งที่มาที่นี่เราสอนสองเรื่องเท่านั้นนะ สองเรื่องเท่านั้นนะ เรื่องความรู้ว่าความทุกข์เกิดดับอย่างไร มันเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องที่หนึ่ง และเรื่องที่สองก็การที่จะควบคุมปฏิจจสมุปบาทหยุดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนี่คือการปฏิบัติอานาปานสติ ถ้าปฏิบัติอานาปานสติได้ก็ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ ควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทได้ก็ไม่มีความทุกข์เออ เอากระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทเออเป็นปัญหาขึ้นมาก่อนแล้วก็จะเข้าใจ เมื่อตาเห็นรู้ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นเป็นต้นนี่เออมันก็เกิดวิญญาณ ตาเห็นรู้ก็เกิดจักษุวิญญาณ หูได้ยินเสียงก็เกิดโสตวิญญาณ จมูกได้เออกลิ่นก็เรียกว่าฆานวิญญาณ เกิดวิญญาณขึ้นมารู้สึกขึ้นมา วิญญาณเพิ่งเกิดเมื่อมีการกระทบของอายตนะเออ เมื่อมีอายตนะนอกในและวิญญาณแล้วก็เรียกว่าผัสสะ ผัสสะคือการกระทบ เมื่อมีผัสสะ ผัสสะก็มีเวทนา เวทนารู้สึกจะเป็นบวกหรือลบก็ตาม เวทนาเหล่านั้นก็ให้เกิดตัณหา เวทนาบวกก็เกิดตัณหาจะเอา เกิดเวทนาลบก็เกิดปัญหาจะทำลายล้าง เมื่อมีเวทนาขึ้นมา เวทนาอย่างไรก็ให้เกิดความอยากอย่างนั้นแหละตามสมควรแก่เวทนา ก็มีความอยากๆ ๆ ๆ อยากรุนแรงถึงที่สุดแล้วมันก็โง่ขึ้นมา กูอยาก กูเป็นผู้ต้องการ กูเป็นผู้ได้รับทุกข์กูจะดับทุกข์เออนี่ตัณหาให้มีให้เกิดอุปาทาน ความอยากนั่นแหละทำให้เกิดตัวผู้อยาก ตัวผู้อยากนั่นเป็นผีหลอกเออเป็นผีหลอกที่มีความหมายทำให้เป็นทุกข์เออเมื่อมีอุปาทานเป็นตัวกูขึ้นมาในใจแล้วเออก็เรียกว่ามีภพละ มีภพมีความเป็นขึ้นมาแล้ว มีภพเท่าไรก็ออกคลอดออกมาเป็นชาติตัวกูมาเต้นโหยงๆ เอาตัวเองเป็นตัวกู เอาสิ่งทั้งหลายเป็นของกู อะไรเอาเป็นของกูหมดแม้แต่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็เป็นของกู มันก็ได้เป็นทุกข์สมน้ำหน้ามันแล้วเออเพราะตัวกูมันจะกว้านเอาทุกอย่างมาเป็นของกูนี่เรียกว่ากระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ถ้าเราปฏิบัติอานาปานสติสำเร็จแล้วไปหยุดกระแสนี้จะได้ตั้งแต่แรกเออ ตั้งแต่ตาเห็นรูปเออหยุดกระแสเสียตอนนั้นว่าไม่ใช่ตาเออตาเห็นรูปไม่ใช่กูเห็นรูป คนเราทุกคนโง่ ไอ้ตาเห็นรูปมันก็ว่ากูเห็นรูปเออ ระบบประสาทหูได้ยินเสียงมันก็ว่ากู กูได้ยินเสียง ระบบประสาทเออจมูกได้กลิ่นก็กูได้กลิ่น ลิ้นได้รสก็ว่ากูได้รส ผิวหนังสัมผัสก็กูสัมผัส จิตมันคิดว่ากูคิด มันเอากูๆ ๆ ก็ผิดมาตั้งแต่ต้นทีนี้พอมาปฏิบัติอานาปานสติมีปัญญารู้มันก็รู้ว่าไม่ใช่กูมาตั้งแต่ต้น มันก็ไม่เกิดไอ้ตัวกูได้ ไม่เกิดตัวกูได้ ไม่เกิดกิเลสได้มันก็ไม่มีทุกข์เออ อานาปานสติโดยใจความก็แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอน ขั้นตอนที่หนึ่งหมวดที่หนึ่งจัดการให้ร่างกายนี้มีคุณภาพสมบูรณ์ที่สุดเป็นกายที่สงบระงับมีกำลังนี่หมวดกาย และหมวดที่สองเวทนากำจัดอำนาจของเวทนาไม่ให้เวทนามาข่มขี่บังคับหลอกลวง และหมวดที่สามเรื่องจิตรู้จักจิตทุกชนิดและก็บังคับจิตให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรฝึกมัน ฝึกมัน ฝึกให้มันยินดีแล้วฝึกให้มันหยุดเป็นกลาง เป็นสมาธิแล้วฝึกให้มันปล่อยๆ สิ่งที่มันยึดถือ นี่หมวดจิตและหมวดสุดท้ายหมวดธรรมะ ธรรมะคือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มันจะมาหลอกให้เราโง่หลงยึดถือมัน สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าอะไร ถ้าเราโง่เราจะไปยึดถือเป็นตัวตนของตนทั้งที่สิ่งนั้นมันไม่ใช่ตัวตนของตนเราก็ยึดถือเป็นตัวตนของตนไม่ยึดถือเอาตามชอบใจแห่งความโง่ให้มันรู้ว่าสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่เรายึดถือเป็นตัวตนมาแล้วแต่หนหลังหรือกำลังยึดถืออยู่เดี๋ยวนี้หรือจะยึดถือต่อไปก็ตาม สิ่งๆ ที่ทำๆ ทั้งปวงเหล่านั้นไม่ใช่ตัวตนโดยมองเห็นความไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอส่วนนี้เห็นง่ายก็เห็นกันก่อน นี้ว่ามันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ก็เห็นว่าต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่เที่ยงนี้เป็นทุกข์แล้วเมื่อมันทั้งไม่เที่ยงและเป็นทุกข์มันจะเป็นอัตตาตัวตนได้อย่างไร พอเห็นอย่างนี้จิตก็เริ่มคลายความยึดถือ เห็นความไม่เที่ยงก็คลายความยึดถือเรียกว่าเห็นวิราคะ คลายความยึดถือ คลายซิ คลายซิ คลายๆ ๆ ถ้ามันคลายเรื่อยไปมันก็หมดมันก็หยุดดับหมดนี่ก็เห็นนิโรธ ดับตัวกู ดับความทุกข์ดับอะไรหมด มาดูอีกทีมาโอ้เห็นหมดแล้ว หมดแล้ว โยนความทุกข์ออกไปหมดแล้ว โยนความโง่กิเลสตัณหาอวิชชาออกไปหมดแล้ว นี่เป็นหมวดที่สี่ หมวดที่หนึ่งจัดการกับเรื่องกายให้หมดปัญหาคือให้พร้อมที่จะทำหน้าที่ หมวดที่สองจัดการกับเวทนาไม่ให้มันหลอกลวงได้เออ หมวดที่สามจัดการกับจิตให้ปล่อยวางได้ หมวดที่สี่ก็เห็นความไม่เที่ยงแล้วปล่อยวางไปตามลำดับจนหมด ใจความสำคัญมันอยู่ที่ทำจิตเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธินั้นนะดูจะมีปัญหาอยู่ในนี้อีกข้อหนึ่งเหมือนกันว่าจะทำอะไรได้นี่เพราะเข้าใจว่าเป็นสมาธิต้องไปนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ความเป็นสมาธิในธรรมะนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ความเป็นสมาธิคือจิต สะอาดไม่มีกิเลสนิวรณ์รบกวนเป็นจิตอิสระแล้วก็รวมกำลังจิตนั้นเป็นจุดเดียวนี่เป็นสมาหิตะหรือสมาธิตัวความหมายของสมาธิเมื่อรวมเป็นจิตเดียวและทำการอบรมดีแล้วมันก็ว่องไวในหน้าที่ที่มันจะต้องทำเรียกว่ากัมมนียะ ภาษาสากลก็ๆ ก็เรียกกันว่า active activeness ความเป็นแอคทีฟคือความว่องไวในหน้าที่ ถ้าจิตเป็นสมาธิโดยแท้จริงมันจะมีลักษณะอย่างนี้คือว่องไวในหน้าที่ ไม่ใช่ไปหลับตาตัวแข็งทื่อเหมือนกับคนตายแล้วหรือครึ่งตายนั่นไม่ใช่อย่างนั้น นั่นไม่ใช่สมาธิ สมาธิของสำนักไหนก็ตาม อาจารย์ไหนก็ตามถ้ามันเป็นสมาธิจริงมันต้องจิตสะอาด จิตรวมกำลังเป็นจุดเดียวและก็จิตนั้นว่องไวในหน้าที่ที่จะทำหน้าที่ ปริสุทโธจิตสะอาด สมาหิโตจิตรวมกำลังเป็นจุดเดียว กัมมนีโยจิตว่องไวในหน้าที่เป็น active ที่สุดคำว่า active นี่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางโลกและทางธรรมเพราะมันเป็นแอคทีฟมันจึงจัดการกับปัญหาได้ นี่จิตเป็นสมาธิเป็นอย่างนี้เพราะฉะนั้นไม่ขัดกันกับที่ว่าจะทำอะไรได้ไหม มีคนโง่ๆ ถามว่าถ้าเป็นสมาธิแล้วมันจะทำอะไรได้ไหมนั่งตัวแข็งอยู่ นั่นมันโง่ มันโง่ บรมโง่ คำว่าสมาธิในที่นี้หมายถึงอิทธิพลของความเป็นสมาธิเหลืออยู่ในจิตเออท่านจะลุกขึ้นไปเดิน ไปนั่ง ไปนอนไปทำอะไรที่ไหนอิทธิพลนั้นยังเหลืออยู่คือจิตยังมีความเป็นสมาธิเหลืออยู่ ไม่ใช่เข้าฌานนั่งนิ่งอยู่ แต่ว่าการเข้าฌานนั่งนิ่งอยู่นั่นมันฝึกความเป็นสมาธิเสร็จแล้วไอ้ผลนั้นมันยังเหลืออยู่เป็นความเคยชินเป็น momentum ความเป็นสมาธิจะยังคงเหลืออยู่คือความสะอาดแห่งจิต ความรวมกำลังแห่งจิตเออความว่องไวในหน้าที่แห่งจิต แม้แต่จะไปเดินอยู่อันนี้ก็ยังเหลืออยู่ในจิตไม่ได้นั่งอยู่ไม่ได้นั่งเข้าฌานนะออกจากฌานนะเดินไปทำหน้าที่ที่ไหนผลของสมาธิก็ยังเหลืออยู่เออเป็นความสะอาดแห่งจิต เป็นความรวมกำลังจุดเดียวแห่งจิต เป็นความว่องไวในหน้าที่แห่งจิต ฉะนั้นคุณจะไปไถนาก็ได้ ทำงานที่ออฟฟิศก็ได้ ไปเป็นรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ ถ้ามันมีสิ่งที่เรียกว่าความหมายหรืออิทธิพลหรือคุณภาพของสมาธิเหลืออยู่ในจิต ฉะนั้นอย่ารังเกียจสมาธิหรืออย่ารังเกียจธรรมะ มีธรรมะที่เรียกว่าสมาธิแล้วไปทำอะไรที่ไหนก็ได้มันเป็นอย่างนั้น เจริญอานาปานสติถูกต้องสมบูรณ์แบบแล้วจะมีสติมาก จะมีปัญญามาก จะมีสัมปชัญญะมากแล้วก็จะมีสมาธิมาก มี ๔ เกลอเต็มอัดไปหมดเลยถ้าเจริญอานาปานสติสำเร็จ ฉะนั้นอย่ารังเกียจพยายามทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ได้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ มันก็ค่อยได้นะแต่คนโง่ไม่มีความอดทนมันจะขี่รถจักรยานนะแต่จะขี่ได้ต้องหกล้มถลอกปอกเปิดหลายครั้งแต่ไม่ยอมแพ้มันก็ได้ ค่อยๆ ได้ ค่อยๆ ได้จนขี่ได้เรียบวุธปล่อยมือก็ได้ การทำสมาธิก็เหมือนกันครั้งแรกมันจะหกล้มหกลุกเหมือนคนแรกขี่จักรยานแต่พอทำไป ทำไปมันก็ค่อยๆ ได้ ค่อยๆ ได้ละก็ได้ๆ ๆ ได้เป็นได้อย่างใจเออก็ได้ ๔ เกลอมาเป็นคู่คิด คู่กระทำ คู่อะไรชีวิตนี้มันก็จะหมดปัญหา ถ้าเรียกชื่อว่าอานาปานสติมันมีทั้ง ๔ หมวดคือเรื่องกาย เรื่องเวทนา เรื่องจิต เรื่องธรรม แต่ละหมวด ละหมวดมีบทฝึกหัด ๔ ข้อ ๔ ข้อรวมกันมันก็เป็น ๑๖ ข้อมันเป็นเทคนิคละเอียดเรียกว่าอานาปานสติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตถาคตอยู่ในวิหารธรรมคืออานาปานสติจึงได้ตรัสรู้จะขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำว่าสติปัฏฐานนะไม่ได้เคยใช้ท่านใช้คำว่าอานาปานสติ เมื่ออานาปานสติสมบูรณ์สติปัฏฐาน ๔ ก็สมบูรณ์โดยอัตโนมัติเออและก็มีสมบูรณ์ไปตามลำดับมีอริยมรรคสมบูรณ์ มีโพชฌงค์สมบูรณ์ มีโพชฌงค์สมบูรณ์ มีอริยมรรคสมบูรณ์ มีความหลุดพ้นได้ นี่คือเรื่องอานาปานสติมีใจความอย่างนี้ รายละเอียดก็มีมากมายศึกษาได้จากหนังสือคู่มืออานาปานสติพิมพ์ขึ้นแล้วทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จึงอยากรู้ว่าความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมนั้นวัดผลด้วยอะไร วัดผลด้วยความไม่มีทุกข์ วัดผลด้วยความทุกข์ลดลงไป ถ้าความทุกข์ไม่ได้ลดลงไปยังไม่ถูกแม้อาจารย์คนไหนจะยืนยันว่าเธอเป็นโสดาบันแล้วก็อย่าไปเชื่อป่วยการ ต้องมันดับทุกข์ได้ มันลดความทุกข์ลงไปได้นั่นนะจึงจะเรียกว่ามีผล เดี๋ยวนี้เขาเชื่ออาจารย์บอกเธอสำเร็จแล้วไปได้อย่าไปเชื่อมันป่วยการ วัดด้วยความที่มันดับทุกข์ได้ ความทุกข์มันลดลงไป ลดลงไป นั้นนะวัดผลด้วยอันนั้น มันแน่นอนไม่มีทางที่จะผิดพลาดเออ นี้ก็อยากจะรู้ความสัมพันธ์กันของการอ่าน ของการฟัง ของการทำสมาธิ ของการจงกรม นี้ไม่หมดนะแต่ว่าเอาละพอเป็นหลัก อ่านคือการศึกษาเออครั้งๆ โบราณเขาไม่มีหนังสืออ่านนะเขามีพูดด้วยปาก ฉะนั้นการอ่านนั้นๆ เออการฟังนั้นคือการศึกษาเดี๋ยวนี้สะดวกที่ว่ามีการอ่านเอาๆ เอามาใช้แทนการเขาพูดและก็ฟังจนเข้าใจเดี๋ยวนี้ว่าทำสมาธิโดยเฉพาะอานาปานสติอย่างที่ว่า ส่วนการจงกรมนั้นนะมันเข้าใจผิดก็ให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ไอ้จงกรมก็แปลว่าเดินนะเพราะคนเรามันต้องเปลี่ยนอริยาบถต้องเดินให้เป็นเดินชนิดที่ไม่เป็นทาสเพื่อแก่สมาธิและก็เดินชนิดที่เป็นการฝึกสมาธิอยู่ในตัวอย่างนี้เรียกว่าเดินๆ จงกรมคือเดินด้วยสติเรียกว่าเดินจงกรมก็หมายความว่าเมื่อนั่งก็มีสติ เมื่อยืนก็มีสติ เมื่อนอนก็มีสติ เมื่อเดินก็มีสติ เดินจงกรมคือว่าเดินเป็นส่วนหนึ่งของอริยาบถทั้งสี่เดินด้วยสติมันก็สำเร็จประโยชน์ได้ ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายฝึกสติ ฝึกสติ ฝึกความมีสติและก็ทำการงานได้ดีที่สุดเพราะมีสติ มีปัญญา มีสมาธิและก็พอใจ ชอบใจ ชื่นใจด้วยกันทำได้ดีที่สุดก็หาความสุขได้จากการทำการงานนั้นเอง ทำไร่ไถนาอยู่ก็ได้ถูกต้องพอใจแล้วก็ยิ้มร่าอยู่กลางแดดเหงื่อไหลท่วมตัว ที่ออฟฟิศก็ได้ทำงานอยู่ให้มีการเขียนหนังสือทุกตัว ทุกตัว ทุกตัวเขียนอย่างดีอย่างถูกต้องอย่างพอใจมันก็เป็นสุขทุกตัวหนังสือที่เขียนนั้นและมีการเคลื่อนไหวชนิดไหนก็สุขพอใจทุกการเคลื่อนไหว ทำงานเป็นสุขและสนุกอยู่ได้ทุกชนิดของการงานถ้ามีธรรมะคือมี ๔ เกลอมีสติ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ ทุกการงานก็จะสนุกๆ เหมือนลูกเด็กๆ ทารกให้มันทำอะไรมันทำสนุกไปหมด ให้มันขนของเหงื่อแตกมันก็ยังสนุกอยู่มันสนุกเป็นการเล่นนี่ซิ นี่ก็เป็นตัวอย่างเป็นอุทาหรณ์ที่จะควรเอามาคิดดู นี่อย่าให้ลูกเด็กๆ มันเก่งกว่า ลูกเด็กๆ มันสามารถทำให้การงานและการเคลื่อนไหวทุกชนิดเป็นการเล่นสนุกไปหมด ก็ลองสังเกตดูเราก็เคยเป็นมาแล้วถ้าพ่อแม่ใช้ให้ขนของเหงื่อไหลไคลย้อยก็สนุกสิ ขนของสนุกสิ ใช้ให้กวาดๆ มันก็สนุกในการกวาดหัวเราะสนุกไปให้ถูพื้นเอ้าก็ถูพื้นอย่างสนุกถ้าแข่งกันหลายคนก็ยิ่งสนุกให้มันทำอะไรมันกลายเป็นสนุกเออไปหมด นี่เราทำได้ถ้าเรามีธรรมะโดยเฉพาะมีสติ ปัญญา สัมปชัญญะและสมาธิ การงานที่ให้เกิดความรู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ พอใจ มันก็สนุกก็เป็นสุข นั้นนะคือเป็นผลดีของพระธรรม อยากจะขอแถมพกว่าเป็นพร พรอันประเสริฐคือความรู้สึกพอใจเมื่อทำหน้าที่สำเร็จและสนุก ทุกคนมาที่นี่เพื่อขอพร ขอพร ขอพรบางทีโง่ถึงขนาดให้ช่วยเป่าหัว ให้รดน้ำมนต์ ก็เพราะที่นี่ไม่ได้ทำ ทำไม่เป็นไม่เรียนไม่เชื่อ ไม่เชื่อเรื่องรดน้ำมนต์ ถ้าคุณต้องการพร คุณต้องทำพรของพระพุทธเจ้าคือทำหน้าที่การงานทุกชนิดให้รู้สึกว่าถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ ไอ้พอใจนะคือพร หน้าที่ที่ทุ่ง ทุ่งนาก็ถูกต้อง หน้าที่ที่ออฟฟิศก็ถูกต้อง ที่บ้านที่เรือนก็ถูกต้อง พักผ่อนก็ถูกต้อง ถูกต้องแม้แต่กินข้าว อาบน้ำ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มันถูกต้อง ถูกต้อง รู้สึกว่าถูกต้องที่ไหนเมื่อไรเป็นพรเมื่อนั้นนะนี่คือพรจริง พรแท้จริง มีจริง พรที่แนะให้โดยพระพุทธเจ้า ส่วนให้พร ให้พร ปากว่าตามธรรมเนียมนั้นนะและธรรมเนียมเกิดขึ้นทีหลังสำหรับคนด้อย คนปัญญาอ่อนมันทำอะไรไม่เป็นมันก็ให้พรกันด้วยปาก ให้พรกันด้วยปาก คุณไม่มีโกดังจะใส่แล้วใช่ไหม ไอ้พรที่ให้กันด้วยปากไม่มีโกดังจะใส่แล้วอะ มันมากนักเออพอกันทีกระมัง มาเอาพรปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องพอใจที่ไหนก็จะเป็นพรที่นั่น แม้แต่ล้างถ้วยล้างจานให้สะอาด พอใจถูกต้องมันก็เป็นพร อยู่ล้างถ้วยล้างจานนั่นนะ จะกินข้าว จะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด ดีที่สุดทุกกระเบียดนิ้วทุกวินาทีก็เป็นพร เป็นพรอยู่ที่อาบน้ำ กินข้าวเออถ่ายอุจจาระปัสสาวะนี่ได้กำไรเท่าไร มหาศาลเท่าไรขอให้รู้เถิด เพราะมีธรรมะ มีธรรมะที่ไหนก็มีพรที่นั่นนะ ธรรมะให้เกิดพรคือสิ่งที่เขาต้องการกันนักทุกหนทุกแห่งทุกเวลาทุกสถานที่เออที่มีธรรมะเออ ท่านทั้งหลายมาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมะ อาตมาก็บอกไปตามเรื่องของความจริงของธรรมชาติ ว่าธรรมะคืออะไรเออธรรมะคือความถูกต้องสำหรับจะมีความรอด ใช้คำว่าความรอดนี้มันดีอย่าใช้ว่ามีความสุขเลย ความสุขเดี๋ยวเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาอีกอะ บ้าได้ เมาได้ หลงได้ ความสุขเปลี่ยนเป็นความทุกข์ได้ ความสุขใหญ่หลวงเท่าไรก็เปลี่ยนเป็นความทุกข์ใหญ่หลวงได้เท่านั้นนะ อย่าไปสนใจกับไอ้ความสุข สนใจกับความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องก็จะตัดปัญหาได้ ตัดปัญหาได้ก็ไม่มีปัญหาทั้งจากความสุขและจากความทุกข์อย่าไปบ้าบวก หลงบวกเหมือนคนสมัยนี้ เขียนจดหมายสักคำหนึ่งก็ๆ จะเขียนลงไปว่าจดหมายนี้คงมาถึงเธอโดยความเป็นบวกเออ positive เออมันบ้าๆ positive จนหายใจเป็น positive เป็นบวกอย่างนี้ยิ่งแล้วใหญ่ยิ่งเปิดหนทางให้เกิดความผิดหวัง ยิ่งหวังเท่าไรก็ผิดหวังเท่านั้น ฉันไม่หวังอะฉันทำอย่างถูกต้อง หวังคิดก่อนทีคิดให้ว่าทำอย่างไรแล้วก็เลิกหวังมีแต่ทำๆ ๆ ๆ ทำอย่างถูกต้อง อย่าไปโง่ตามภาษาภาษิตอะไรบ้าๆ บอๆ ให้อยู่ในความหวัง พ่อแม่โง่ก็สอนลูกให้อยู่ในความหวัง เป็นโรคตายไปหลายๆ ๆ หละ อย่าให้ อย่าให้เด็กๆ ต้องทรมานด้วยความหวังเออไม่ต้องอยู่ด้วยความหวัง อยู่ด้วยความถูกต้อง อยู่ด้วยสติปัญญา ต้องการอะไรคิดเสียให้เสร็จแล้วก็มีแผนการทำตามนั้นมีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญาอย่าอยู่ด้วยความหวังมันจะกัดหัวใจให้เป็นบ้านะ นี่อานิสงส์ของธรรมะเป็นเครื่องรางคุ้มครองไม่ให้มีความทุกข์เลยตั้งแต่ลูกเด็กๆ ทารกขึ้นไปจนเข้าโลงไม่ต้องมีความทุกข์ถ้ามีธรรมะ ท่านรีบศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะเสียให้เพียงพอ เพียงพอด้วยความรับผิดชอบว่าจำเป็น จำเป็น เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ รีบศึกษาและปฏิบัติเสียให้เพียงพอ อย่าไปโง่แก้ตัวว่าเอ้อก็ฉันไม่ได้ปัญญามาว่าเกิดมานี่จะมาปฏิบัติธรรมะนี่เออฉันไม่ได้ปัญญามาฉันก็ไม่ต้องปฏิบัติ เอ้าคุณก็ลองดู ลองดูอย่างนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเออธรรมชาติมันตายตัวมันไม่ๆ ๆ ไม่ลำเอียง มันมีอยู่เที่ยงตรง ไม่รู้จักธรรมะสำหรับดำเนินชีวิตให้ถูกต้องมันก็ต้องเป็นทุกข์ จะได้สัญญาหรือไม่ได้สัญญาอะไรมาก็ตามอะมันต้องเกิดมาแล้วมันต้องปฏิบัติให้ถูกต้องจะตั้งใจเกิดมาหรือไม่ได้ตั้งใจเกิดมาอะไรก็ตามใจเมื่อมันเกิดมาแล้วมันต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ถูกต้องนั้นก็คือธรรมะ ก็รีบศึกษาธรรมะ รีบปฏิบัติธรรมะ ได้รับผลของธรรมะจะได้ถูกต้องถึงที่สุดเท่าที่มนุษย์ควรจะได้รับแล้วก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมา ไม่เกิดมาเปล่า ถ้ายิ่งเติมคำว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้รับพระพุทธศาสนาอย่างนี้ก็ยิ่งจำกัดชัดเจนเลยว่ามีความรู้ถูกต้องจนดับทุกข์ได้จึงจะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ดังนั้นรวมความว่าธรรมะช่วยแก้ปัญหาหมดแต่ต้นจนปลายไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้าสามารถดำเนินชีวิตถูกต้อง ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้วเออไม่มีปัญหาทั้งทางกายและทางจิตนี่อานิสงส์ของธรรมะเออธรรมะจึงเป็นที่พึ่งจึงเป็นสิ่งสูงสุดแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็เคารพธรรมะ ธรรมะที่ท่านตรัสรู้ขึ้นมาเองนั่นนะ ท่านกลับเคารพธรรมะเพราะท่านประกาศยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวงในอดีตหนหลังก็ดี ที่มีอยู่ในบัดนี้ก็ดี ที่จะมีมาในอนาคตก็ดี พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพธรรมะดังนั้นเธอทั้งหลายจงเป็นผู้เคารพธรรมะ (สัจจธรรมมาฆรูโณ...นาทีที่ 1.50.51) อันเป็นผู้เคารพในธรรมะ ท่านทั้งหลายมาแสวงหาความรู้ทางธรรมะอย่างนี้อาตมาจึงพอใจจึงยินดีจึงขออนุโมทนาพยายามให้ความรู้ (เออ..นาทีที่ 1.51.07) อย่างสูงสุดเท่าที่จะทำได้ทั้งที่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีแรงแต่ไม่ใช่ทวงบุญคุณนะ เออขอบอกหน่อยท่านไม่ต้องขอบใจอาตมานะ ไม่ต้องขอบใจนะเพราะมันเป็นหน้าที่ของอาตมาที่จะต้องทำ อาตมาเสียอีกขอบใจท่านทั้งหลายที่มาให้อาตมาได้ทำหน้าที่ให้มีงานทำอาตมาขอบใจท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่ต้องขอบใจอาตมา อย่าๆ ไปนึกอย่างนั้นอาตมาดิขอบใจท่านทั้งหลายมาทำให้อาตมาเป็นคนมีประโยชน์ได้ทำหน้าที่ที่มีประโยชน์ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอขอบคุณท่านทั้งหลายเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยความอดกลั้นอดทน ๒ ชั่วโมงแล้วนี่คุณนั่งมา ๒ ชั่วโมงแล้วด้วยความอดกลั้นอดทนข้อนี้ก็ขอขอบใจขอบคุณมันจะได้เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ความดับทุกข์ มันเป็นการสมควรแก่เวลาแล้วที่อดทนพูด อดทนฟังมา ๒ ชั่วโมงแล้ว ขอให้ความหวังที่ตั้งใจมาเพื่อจะศึกษาธรรมะจงได้ประสบความสำเร็จคือรู้ธรรมะ เข้าใจธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ มีธรรมะและก็ใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์แล้วก็เสวยสุขจากการมีธรรมะ ให้อยู่มีความสุขสวัสดีในชีวิตนี้ ในหน้าที่ตลอดการงานทั้งหลายทั้งปวงนี้อยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ เออขอยุติการบรรยาย