แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ซึ่งเหลือแต่พระองค์แทน พระองค์ธรรม พระองค์คน พระองค์แทน พระเจ้าสามพระองค์นี่เคยพูดแล้วใช่ไหม ทีนี้พระองค์แทนน่ะมันหลายๆ พระกระดูก พระอัฐิธาตุก็พระองค์แทน แต่ว่าหายากเต็มที หลอกขายทั้งนั้น แล้วแต่ว่าอะไรอะไรที่เนื่องกับร่างกายของพระพุทธเจ้าก็เอามาเป็นพระธาตุเป็นพระองค์แทน เดี๋ยวนี้เขาใช้พระพุทธรูปเป็นพระองค์แทน พระพุทธรูปเป็นพระองค์แทน ใช้เป็นก็มีประโยชน์ ใช้ไม่เป็นก็จะไม่มีประโยชน์ ใช้ผิดอาจจะเกิดโทษ พระองค์แทนระวังให้ดี แต่ครั้งนี้ไม่พูดจะกระทบในหลวง ถ้าท่านทำพระองค์แทนด้วย แห่กันแต่ละคราวละคราวหมื่นองค์แสนองค์ ที่วัดบวร แต่มันก็มีประโยชน์นะไม่ใช่อาตมาจะตำหนิติเตียนว่าพระองค์แทนไม่มีประโยชน์ พระองค์ธรรมไปเสียแล้ว พระองค์คนไปเสียแล้ว ก็เหลือแต่พระองค์แทน ใช้ให้ดีสิ ใช้ให้เป็น ใช้ให้ดีสิ มันจะดับทุกข์ได้เหมือนกัน นาทีที่ 0:02:04 – 0:03:35 ไม่มีเสียงบรรยาย
มีคนปัญญาอ่อนเหลืออยู่ในโลก เป็นปัญญาอ่อน ไม่มีหวังที่จะถึงพระองค์ธรรม ถึงพระองค์แทนกันไปก่อนก็แล้วกัน นี่ถือว่าท่านมาคอยเตือน เตือน เตือน ว่าอย่าทำผิด อย่าทำผิด อย่ายึดมั่น อย่าร้องไห้เลย ก็ใช้พระองค์แทนกันลูกปืน พระองค์แทนนี่ช่วยปลอบใจว่ามี มีสิ่งที่คุ้มครอง ไสยศาสตร์มีประโยชน์แก่ผู้มีปัญญาอ่อน ถ้าไม่มีไสยศาสตร์ ผู้มีปัญญาอ่อนจะไม่มีอะไรยึดถือ เพราะปัญญาอ่อนเขายึดถือไสยศาสตร์แล้วก็อยู่ไป อยู่ไป ปัญญาจะไปแข็งกล้าขึ้น แข็งกล้าขึ้น เขาก็ละไสยศาสตร์มาสู่พุทธศาสตร์ได้ในที่สุด ไสยศาสตร์แปลว่าศาสตร์หลับ พุทธศาสตร์แปลว่าศาสตร์ตื่น แต่ถ้าไปบอกอย่างนี้เขาโกรธ ถ้าไสยศาสตร์เขาจะโกรธ ไม่ต้องบอก แต่ตามความเป็นจริงไสยศาสตร์เป็นศาสตร์สำหรับคนหลับ คือไม่รู้ พุทธศาสตร์เป็นศาสตร์สำหรับคนตื่นคือมีความรู้ เป็นคนไสยศาสตร์ก็รีบๆ ตื่น รีบๆ ตื่นเปลี่ยนเป็นพุทธศาสตร์เสียก็แล้วกัน แต่คนปัญญาอ่อนมันมีอยู่มากกว่าคนปัญญาแก่กล้าในโลกนี้ แล้วเด็กๆ มันคลอดมาจากท้องแม่มันก็ต้องมีปัญญาอ่อนมาก่อนทั้งนั้น ก็รีบสอนเขาสอนเขาให้ปัญญาแก่กล้าเสีย อย่าต้องไปเป็นปัญญาอ่อนอยู่นานนัก ไม่ต้องกลับไปถือไสยศาสตร์ให้เสียเวลา พอคลอดออกมาก็ถูกสั่งสอนให้เป็นปัญญาแก่กล้า ถูกทาง ถูกทาง ก็จะถึงพระองค์ธรรมได้เหมือนกัน เพราะว่าคำสั่งสอนของพระองค์คนนั้นมันเหลืออยู่เป็นพระไตรปิฎกนี่ จะศึกษาไอ้สิ่งนี้ที่พระองค์คนที่ไม่ให้นี่ ไปจนถึงพระองค์ธรรมโน่นได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ต่อพระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์ อย่าไปรังเกียจเดียดฉันอะไรที่ไหน ปฏิบัติให้ถูกต้องต่อพระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์ พระองค์ธรรม พระองค์คน พระองค์แทน แต่เดี๋ยวไปยึดมั่นถือมั่นในพิธีรีตองกันเสียอีก มันก็ก็ออกมาเปลือกนอก ยึดมั่นพิธีรีตอง ยึดมั่นสิ่งของ ยึดมั่นอะไรเสียอีกนี่มันก็นอกออกมาอีก นอกจากพระองค์แทน เอ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อยากจะพูดอีกข้อหนึ่งว่าพระพุทธเจ้า พระองค์คนของเรานี่ไม่สอนให้ติดในพระองค์แทน รูปเคารพ เมื่อพระพุทธเจ้ายังมีพระชนชีพอยู่ ไม่มีรูปเคารพอะไร ทั้งอินเดีย ทั้งอินเดีย ก็เห็นไม่มี ศาสนาอื่นนั้นมันก็ไม่มี ทั้งยุคพุทธกาลทางโบราณคดีศึกษามาแล้ว ปรากฏว่ายุคนั้น ยุคอุปนิษัทที่พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในอินเดีย ก็เลิก เลิกถือรูปเคารพแล้ว ที่ถือกันมากมายมหาศาลมันก็ก่อนโน้น ก่อนสามพันปีก่อนพุทธกาล ฉลาด ฉลาด ฉลาดจนเลิกรูปเคารพ พระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้น ศาสดาอื่นก็เกิดขึ้น เขาไม่ถือรูปเคารพกัน ที่พวกกรีกนี้มันจะเป็นผู้นำของความโง่ ในโลกนี้พวกกรีกเป็นศิลปินจะทำไอ้รูป เทวดา รูปอะไรของเขาเป็นรูปเคารพ ทางโน้นไม่เกี่ยวกับอินเดีย และต่อมาพวกกรีกมารบชนะอินเดีย พ.ศ. ๔-๕00 เห็นจะได้ พ.ศ. ๔-๕00 ชาวกรีกรบชนะอินเดีย จะสร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อตัวเขาเองก็ได้ตามแบบกรีก เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปที่ยุคแรกที่สุดในอินเดียเป็นแบบกรีก นี่โดยชื่อเขาเรียกว่าแบบคันธาระมันแบบกรีก นี่ต่อมาพุทธบริษัทที่เป็นชาวอินเดียเดิมมาก็ย้อนกลับมาสร้างขึ้นอีก อะไรดี มันก็สร้างมากขึ้น มากขึ้น แล้ว พ.ศ. ๕-๖๐๐ เริ่มมีพระพุทธรูป แต่ก็ยังไม่ค่อยมาก มาค่อยมากทีหลัง ในประเทศอินเดียเขาไม่สร้างมากเหมือนเมืองไทย เพราะเขาไม่ได้สร้างพระเครื่องคราวละหมื่นละแสนเหมือนในเมืองไทย แต่ก็เยอะเหมือนกัน นี่รูปองค์โตๆ เยอะเหมือนกัน มันกลายเป็นว่าพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าซึ่งสอนให้ไม่ยึดถือรูปเคารพในครั้งพุทธกาล ไม่ถือรูปเคารพ ก็ถือว่าโง่ มีคำกล่าวเกิดขึ้นว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่อาจจะแสดงได้ด้วยรูป Form พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเราไม่อาจจะแสดงด้วยรูป พระธรรมพระองค์จริง เราไม่อาจจะแสดงด้วยรูป พระสงฆ์พระองค์จริงเราไม่อาจจะแสดงได้ด้วยรูป พุทธบริษัทในยุคพุทธกาลหรือต่อมาสามสี่ร้อยปีไม่มี ไม่มีรูปแทนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พวกอื่นก็เหมือนกัน พวกอื่นก็เหมือนกัน ศาสนาอื่นในอินเดียก็เหมือนกันเขาไม่สร้าง เพราะฉะนั้นไอ้โบราณพุทธสถานของพวกชัยนะ ของพวกอื่นที่ยุคเก่าๆ แล้วก็ไม่มีพระพุทธรูป พอมันมีขึ้นในหมู่พวกพุทธ ก็ย้อนกลับขึ้นมา ทำตามกันขึ้นมาอีก ก็เป็นมีในลัทธิอื่น ในศาสนาอื่น ศาสนาชัยนะนี่เป็นต้นก็มีขึ้นมา ก็มาก มาก มาก จะมีมาก เพราะว่าถ้าไปยึดถือในรูปเคารพแล้วมัน ก็กลายเป็นยึดถือไสยศาสตร์ไปนั่น ทีนี้พูดถึงทางโน้นทางตะวันตกที่ทางอาหรับ พระโมฮัมหมัดที่ทำตัวเป็นอะไร ทำตัวเป็นผู้แก้ไขขึ้นมา พวกกรีกก็ได้มาสอนให้ชาวอาหรับสร้างรูปเคารพไม่แพ้กว่าอินเดีย นี่พระโมฮัมหมัดแต่นี้มันผิด มิจฉาทิฐิน่ะ ก็จัดกองทัพขึ้นเที่ยวทำลายรูปเคารพหมดทั้งทวีปอาหรับ นี่งาน งาน งานพิเศษของพระโมฮัมหมัด ที่ทำลายรูปเคารพกันหมดไปจากนี้ ทุบทำลาย ทุบทำลายอะไรที่เป็นหิน โดยมากเป็นหินเพราะเขาไม่มีโลหะ ก็ถูกทำลาย พระพุทธรูปก็ถูกทำลาย พระเทวรูปทั้งหลายก็ถูกทำลาย แล้วก็โมฮัมหมัดประกาศิตว่าห้ามสร้างรูปเคารพ เดี๋ยวนี้พวกอิสลามยังถือเคร่งครัดอยู่ มันจึงไม่มีรูปเคารพในศาสนาอิสลาม แม้แต่สัญลักษณ์ก็เกือบไม่กล้าทำสร้างไม่ให้ทำรูปเคารพ Idol Idol รูปเคารพ Symbol Symbol น่ะมันสัญลักษณ์ พวกอิสลามกลัวมาก เคร่งมาก จนถึงกับแม้แต่สัญลักษณ์ก็เกือบจะไม่กล้าทำ แต่ที่เห็นมาตอนหลังนี่กล้าทำเป็นรูปพระจันทร์ เป็นรูปอะไรขึ้นมาแทน แต่ก็ไม่ใช่แทนองค์พระศาสดาทีเดียว แทนศาสนา มีอิสลามที่ถือเคร่ง เคร่งครัดอย่างหลับหูหลับตา ไม่กล้าถ่ายรูป อิสลามไม่ถ่ายรูป อาตมาเด็กๆ รู้จักกันหลายคนเขาไม่ยอมถ่ายรูป เพราะมันเป็นการสร้างรูปขึ้นมา แต่นี่มันเพลาลงไปแล้วเพราะมันต้องติดหนังสือเดินทาง ยอมยกให้ว่าอิสลามเคร่งครัดที่สุดในการที่จะไม่มีรูปเคารพจนกระทั่งบัดนี้ ชาวพุทธนั้นเคยถือมาอย่างถูกต้องแล้วก็เปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามสร้างรูปเคารพ สร้างสัญลักษณ์ขึ้นมากลายเป็นรูปเคารพ รูปเคารพกันมีมากคือพระพุทธรูป แล้วก็คนก็ถืออย่างรูปเคารพ ไม่ได้ถืออย่างสัญลักษณ์ อาตมาอธิบายจนสุดความสามารถแล้วก็ขอให้ถือพระพุทธรูปทั้งหลายว่าเป็นสัญลักษณ์ อย่าถือเป็นรูปเคารพ ให้ถือเป็น Symbol อย่าถือเป็น Idol นี่บางคนมันฉลาดมันจะทำให้เหมือนรูปคนถ้าถือเป็น Symbol ทำให้เหมือนรูปคน ก็ต้องบอกแม้จะทำเหมือนรูปคนทุกอย่างก็คือสัญลักษณ์ อย่าถือเป็นรูปเคารพเลย จะเข้าใจยากเพราะมันทำเป็นรูปคน คอยดูสิพระพุทธชินราช พระแก้วมรกต อะไรทำเป็นรูปคนทั้งนั้น เพื่อไม่ให้เสียหายเพื่อไม่ให้ถอยหลังเข้าคลอง ก็ถือว่าแม้แต่ทำเป็นรูปคนก็ถือเป็นสัญลักษณ์ พวกคริสเขาค่อยยังชั่วเขาไม่ทำรูปสัญลักษณ์เป็นรูปพระเยซูรูปคน เขาทำเป็นกางเขนแล้วเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสียสละ เราพูดเอาใจพวกคริสเพราะว่าไอ้กางเขนของคุณนั่นล่ะ คือการตัดอัตตา ตัดอัตตา อย่างในพุทธศาสนา ไอ้ตัวนี้มันอัตตา เราก็ตัดมันเสียคือตัดอัตตา เพราะว่าเรามาเป็นพวกเดียวกันได้ นี่คริสกับพุทธก็คือตัดอัตตาด้วยกัน ตัดอัตตาด้วยกัน การไถ่บาปต้องตัดอัตตา Redemption ไถ่บาป Redeem แปลว่าไถ่บาป คุณตัดอัตตา คุณตัดอัตตา อัตตาตัด ตัดคือเป็น Redeem Redeem ไถ่ ไถ่ตัวออกมาจากอวิชชา จากพญามาร ไถ่ตัวเองออกมาเสียจากความทุกข์ นี้ถ้ามีเพื่อนมีฝูงเป็นอิสลามหรือเป็นคริสก็ดี พูดให้เข้าใจกันได้อย่างนี้ จะไม่ได้เกลียดกัน จะไม่ต้องเกลียดกัน มนุษย์เคยฉลาดถึงกับไม่ทำรูปเคารพ แล้วมันมีคนอุตริสั่งทำรูปเคารพแล้วมันก็ระบาด ระบาด แต่อิสลามยังเก่งมาก ยึดเอาไว้ได้ไม่ยอมเปลี่ยน ยึดเอาไว้ได้แม้กระทั่งบัดนี้ ในโบสถ์อิสลามไม่มีรูปเคารพแล้วก็ไม่มีแม้แต่สัญลักษณ์ซะด้วยนะ นี่หัวข้อนี้ก็คือหัวข้อเรื่องรูปเคารพ พุทธศาสนาพุทธบริษัทไม่มีรูปเคารพไม่ถือรูปเคารพ แต่แล้วมันได้เปลี่ยนเป็นมาถือรูปเคารพ เราจะต้องขอปฏิเสธ เราปฏิเสธว่าอันนี้มันไม่ใช่พุทธศาสนาเดิมแท้ของพระพุทธเจ้า มันเป็นของที่ได้ผลิตขึ้นมาทีหลัง ถ้าพระพุทธเจ้าบังเอิญมาเดี๋ยวนี้ท่านจะไม่รู้ว่านี่รูปอะไร ถ้าพระพุทธเจ้าเผอิญมาเดี๋ยวนี้ท่านจะไม่รู้ว่านั่นน่ะรูปอะไร ท่านจะไม่รู้ ท่านจะไม่รู้จัก พอทีพูดแล้วมันกระทบกระเทือน พระพุทธเจ้ามาท่านจะไม่รู้จักว่านี่คืออะไร นี่คือศาสนาอะไรกัน จึงได้มากมายอย่างนี้ มีโบสถ์ มีวิหาร มีพระเจดีย์อะไรมากมายอย่างนี้ นี้มันศาสนาอะไรกัน พระพุทธเจ้าไม่รู้จักโบสถ์ เพราะในครั้งพุทธกาลไม่มีโบสถ์ พระพุทธเจ้าไม่รู้จักโบสถ์ ทำสังฆกรรมทำตรงไหนก็ได้ ไม่มีโบสถ์ ไม่มีโบสถ์อย่างเดี๋ยวนี้หมายความว่าโบสถ์อย่างที่มีอย่างเดี๋ยวนี้ที่พระพุทธเจ้าไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก อย่าพูดพูดมันกระทบกระเทือน สรุปความว่าอย่าไปยึดมั่นในความผิดพลาดที่มันเกิดขึ้นทีหลัง เพราะมันเปลี่ยนจากความถูกต้องมาสู่ความไม่ถูกต้อง อย่าไปยึดมั่นไอ้คนที่หลังๆ คำสอนก็ดี อะไรก็ดี รูปเคารพก็ดี อะไรก็ดี อย่าไปเอามายึดมั่น เอาธรรมะแท้ไว้เรื่อยไป เอาธรรมะแท้ รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมไว้ยิ่งขึ้น พระองค์ธรรมไว้ยิ่งขึ้น พระองค์คนก็นิพพานไปแล้ว แต่ก็ได้ฝากคำสั่งสอนแนะนำไว้มากมายให้รู้จักพระองค์ธรรม พระไตรปิฎกนี่ก็ยังมีอยู่ก็ชนชั้นหลังก็จะรู้จักพระองค์ธรรมได้ การเรียนปริยัติมันไม่เสียหลายล่ะถ้าเรียนให้ถูกต้อง ถูกต้อง ก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมเกิดขึ้นมาอีก นี้ถ้าจะต้องไปพูดกับพวกฝรั่งพุทธศาสนามีรูปเคารพไหม เราก็บอกว่าไม่มีโดยเด็ดขาด แล้วพวกนั้นก็จะถามทำไมในโบสถ์นั้นมีพระพุทธรูป เราก็ต้องบอกไม่ใช่รูปเคารพ ก็คือเป็นสัญลักษณ์ กู้หน้าเอาไว้ทีแม้ปากกับใจไม่ตรงกัน กู้หน้าเอาไว้ให้ที พุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพ แม้แต่สัญลักษณ์ก็ไม่เคยมี แต่เอาละขอยอมเป็นเพียงสัญลักษณ์ สัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนากลายเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า สัญลักษณ์ของพระศาสนาค่อยยังชั่ว ที่จริงสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าหรือของพุทธศาสนา มันก็ไม่ควรจะทำเป็นรูปคนหรอก มันควรจะทำเป็นรูปความว่าง นี่ความว่างเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า สอนเรื่องความว่าง พระพุทธศาสนาปฏิบัติเพื่อความว่าง อาตมาก็คิดอย่างนี้ล่ะเพราะฉะนั้นในตึกนั้นจึงเห็นว่ามีรูปวงกลมอยู่รูปแทนจอ ในวงกลมอยู่ในแขวนจอใหญ่ข้างบนรูปวงกลม ตั้งใจจะให้เป็นภาพความว่าง สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ให้มีจอบังหน้าเสีย ให้มีจอบังหน้าเสียเวลาฉายภาพ รูปวงกลมจึงไม่ค่อยเห็น เราชอบรูปวงกลมเป็นสัญลักษณ์ของความว่างหรือความไม่มีที่สิ้นสุด วงกลมน่ะมันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีท่ามกลาง ไม่มีเบื้องปลาย มีความหมายตรงคำว่าว่าง ว่าง ว่าง จึงถือเอาสัญลักษณ์วงกลมเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ถือกัน จำเป็นหรือจำใจที่จะถือพระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา นี่มันแก้ตัวยากมันทำเหมือนรูปคนทุกอย่าง มีอะไรเหมือนคนทุกอย่าง แล้วมาบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ เดี๋ยวนี้คำพูดที่มันพูดกันอยู่ในนักศึกษาของโลกมันมีอยู่ข้อหนึ่ง มีรูปเคารพหรือไม่มีรูปเคารพ นี่ก็เป็นกฎเกณฑ์ที่เขาจะต้องถาม พุทธศาสนาเป็น Pessimistic หรือเป็น Optimistic นี้มันก็ถามอยู่แล้ว มันก็ต้องตอบให้ถูกต้อง พุทธศาสนาเป็น Ethic หรือเป็น …(นาทีที่ 24:09) นี้มันก็ต้องถามอยู่แล้วจึงต้องตอบให้ถูกต้อง พระพุทธศาสนามีรูปเคารพหรือไม่มีรูปเคารพ มันก็ต้องพูดให้ถูก ตอบให้ถูกต้อง กระทั่งว่าพระพุทธศาสนานี้คือหลักรูปธรรมเป็นใหญ่ หรือนามธรรมเป็นใหญ่ คือวัตถุนิยมหรือนามนิยม เราก็บอกว่าไม่ ไม่ ถือธรรมะ ไม่ใช่ คำพูดเหล่านี้ต้องรู้ให้ถูกต้อง และต้องพูดให้ถูกต้อง เพราะมันมีที่พูดผิดๆ อยู่หลายคำ เขาก็เข้าใจพุทธศาสนาผิด นักศึกษาชั้นเลิศชั้นเอกอะไรของเยอรมัน ชื่ออ่านยากอ่าน โชเพนเฮาเออร์ Schopenhauer หรือ โชเพนแอ โชเพนแอ โชเพนเฮาเออร์ คนนี้ถือยึดเรียกโดยพุทธศาสนาเป็น Pessimistic สอนแต่เรื่องทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ มองในแง่ร้าย นี่คนชนิดที่มีสติปัญญาชั้นสูง ยังเข้าใจผิดอย่างนี้ เขาจัดพุทธศาสนาเป็น Pessimistic เขาก็สอนลูกศิษย์ลูกหาของเขา พุทธศาสนาเป็น Pessimistic เราก็แย้งเอ้าก็ทำไมพระพุทธเจ้าสอนเรื่องดับทุกข์ ดับทุกข์ แก้ไขที่มันเป็นทุกข์ให้ไม่มีทุกข์จะเรียกว่า Pessimistic ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่เอา ไม่ยอม เพราะสามารถแก้ไขทุกข์ให้เป็นไม่มีทุกข์ ถ้าอยู่ในแง่ที่หวังดีก็ควรจะเป็น Optimistic ได้ ถ้าเห็นว่าเป็น Pessimistic แล้วก็ไม่ชอบพุทธศาสนา ไม่อยากศึกษาพุทธศาสนา นี่คนมาเขียนลงในหนังสือพิมพ์มหาโพธิ์ยุคโน่นยุคแรกๆ อาตมาอ่านปุ๊บ โอ้มันมีผู้ที่เห็นมองจัดพุทธศาสนาเป็น Pessimistic เคยมีแล้ว เราเป็นลูกศิษย์ชั้นหลังก็ตอบให้ถูกว่าไม่ ไม่ ไม่มีรูปเคารพ ไม่เป็น Pessimistic ไม่มีอะไรทำนองนี้ แต่ว่าเรื่องอย่างนี้ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องพระนิพพาน ที่สอนว่านิพพานคือความตายมันเสียหายหมด สะอุปาทิเสสะ นิพพานก็ดี อนุปาทิเสสะ นิพพานก็ดี มีพระบาลีชัดๆ ก็ไม่ได้ตาย ไม่ได้ตาย ยังมีความรู้สึกอยู่ มาสอนแบบนี้พลานสิตาย จะถึงพระนิพพานได้ต่อเมื่อตายแล้ว แล้วก็ต้องรออีกนานมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีกิเลสคือนิพพาน ไม่มีกิเลสชั่วคราวก็นิพพานชั่วคราว ไม่มีกิเลสโดยเด็ดขาดก็นิพพานสมบูรณ์ ก็เลยถือเอามากกว่านั้นก่อน ไม่ใดไม่มีกิเลสเอง กิเลสไม่เกิดเองเหมือนเรามีนิพพานเกิดเอง เล็กๆ น้อยๆ ชั่วขณะ ชั่วขณะ ไม่ต้องเกี่ยวกับความตาย แล้วก็เวลานั้นสบายที่สุดคือไม่เกิดกิเลส โดยเหตุใดก็ตามคือมันไม่เกิดกิเลส เวลานั้นสบายที่สุด พักผ่อนที่สุดขอบคุณพระนิพพานให้ความสบายที่สุด ไม่เป็นบ้า ไม่เครียด ไม่อะไร ขอบคุณพระนิพพาน รู้จักพระนิพพานในชั้นอย่างนี้กันไว้ก่อน มันจะได้กำไรไปพลาง เล็กๆ น้อยๆ ไปพลาง กว่าจะถึงอันดับสุดท้าย เดี๋ยวนี้มาสอนกันเสียว่านิพพานเป็นข้าศึกแก่การพัฒนาเสียอีกเอามาสอนในโรงเรียน ไม่เอามาใช้เป็นหลักการใดๆ ก็เป็นอะไร เป็นบาป เป็นกรรมของชาวพุทธ ที่สอนกันผิดๆ สอนให้เด็กๆ รู้จักเวลาที่จิตใจไม่มีกิเลสนั้นดีกว่า เมื่อไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว อันนั้นดีที่สุด สบายที่สุด คือไม่เป็นบวกไม่เป็นลบก็ได้ สบายที่สุด ไม่ดีใจไม่เสียใจก็ได้ ดีที่สุด ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องให้ นี่ตัวอย่างของหลักธรรมะจะเรียกว่าเบ็ดเตล็ดก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นข้อเล็กๆ เล็กๆ แต่สำคัญที่สุด ตายตัวที่สุด อุตส่าห์ศึกษารวบรวมไว้ รวบรวมไว้ ไม่เหลือวิสัย คือไม่ถึงพันข้อ ไม่ถึงพันข้อ สักห้าร้อยข้อมันจะพอ ถ้าเอากันเพียงข้อเดียว ข้อเดียว ทั้งหมดเป็นข้อเดียวกัน ไม่ยึดมั่นถือมั่น อะไร อะไรว่าเป็นตัวตน ข้อเดียวก็มีเท่านั้น แยกออกไปเป็นสิบข้อ เป็นร้อยข้อ ไม่เกินห้าร้อยข้อ หรือไม่ถึงพันข้อ พูดให้ถูกกันหมด สอนให้ถูกกันหมด เห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวง เห็นอนัตตาของสิ่งทั้งปวงนี่ใจความสำคัญ เดี๋ยวนี้มันต้องการให้เที่ยง ต้องการให้มีความพอใจ พอใจยินดี พอใจตลอดเวลา คือมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่ พอใจก็ไม่ ไม่พอใจก็ไม่ คือไม่บวกไม่ลบ บวกลบทำอะไรเราไม่ได้ เราก็สบายตลอดเวลา เดี๋ยวนี้หวังบวกหิวบวกก็ไปทนทุกข์ทรมานไป กลัวลบเกลียดลบ กลัวลบก็ทรมานไป ทั้งบวกและทั้งลบ ในโลกนี้มันเต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้เกิดบวกๆ ลบ มันก็ลำบาก ลำบากที่จะอยู่ในโลกชนิดนี้ แล้วคนที่เขาติดบวกติดลบ มันมีมากๆ คนที่จะไม่บวกไม่ลบหาที่อยู่ยาก ถ้าเราจะทำตนเป็นผู้รู้จริงเป็นผู้ฉลาดมันก็ลำบาก เพราะว่าส่วนใหญ่เขาเป็นผู้ไม่ยอมรู้จริง หรือไม่ยอมฉลาด เขาจะเป็นคนบ้าอยู่ตามเดิม บ้าบวกบ้าลบ ลำบากก็เกิดขึ้นแก่เรา มันต้องแถมพกพิเศษไปอีกข้อหนึ่ง มีธรรมะสำหรับอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า มีธรรมะสำหรับอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ใครไม่มีคนนั้นลำบาก ใครไม่มีธรรมะนี้คนนั้นจะลำบาก มีธรรมะสำหรับจะอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า คือคนที่ไม่ถือความถูกต้องมันมีมากขึ้น มากขึ้น เราก็หนีไปไหนไม่พ้น ต้องอยู่ในโลกเดียวกัน นี่เรียกว่าอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ถ้ามีธรรมะพอ มันก็พอจะอยู่กันไปได้ ถ้ามีธรรมะไม่พอมันก็ลำบากเอง เราจะให้คนโง่หรือคนอันธพาลรับผิดชอบน่ะมันไม่ได้ พอเราขับรถมาไอ้คนหนึ่งมันจะถือว่ากูถูก ไอ้ฝ่ายนั้นต้องถูก เมื่อฝ่ายนั้นมันไม่ถูกมันก็ชนฝ่ายนี้ตาย พอจะยืนยันว่าฝ่ายใดถือถูก มันต้องเผื่อไว้บ้างว่ามันอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ก็ต้องยอมแพ้หลบหลีกมัน ยอมแพ้มัน อยู่ร่วมโลกกับคนบ้าจึงจะอยู่ได้ ไอ้ฝ่ายหนึ่งมันยึดถือว่ากูถูกแล้วก็ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอมเสียเปรียบ หรือไม่ยอม ไอ้คนบ้ามันก็ชนเอา มันก็ตายกันทั้งสองฝ่าย ใครจะรับผิดชอบ แต่ถ้าแม้เราเป็นฝ่ายถูก ไอ้ฝ่ายนั้นมันบ้ามาแล้วก็ยอมหลีก ยอมหลีก ยอมแพ้ ยอมหนี คนขับรถเดี๋ยวนี้มันมุทะลุดุดันกันทั้งนั้น มันไม่ยอม ฉันจะถูกท่าเดียว ถูกชนแล้วก็ตายเหมือนกัน มันยังมีเรื่องบ้าอย่างอื่นอีกมากมาย มากมาย เรื่องโลกธรรมนี่ มันมีเรื่องอื่นอีกมากมาย คนที่มาถามปัญหากับอาตมานี่ถามว่านายเขาทุจริตจะให้ผมทำอย่างไร ถามอย่างนี้มานายเขาจะติดสินบนให้เขา จะให้ผมทำอย่างไร อาตมาตอบอย่างนี้ คุณไปคิดเอาเองคุณต้องอยู่ร่วมโลกกับค้นบ้า คุณไปขยับขยายปรับปรุงเอาเอง อย่าให้มันมีเรื่อง เพราะว่าในตัวเราเองมันก็มีคนบ้าอยู่ส่วนหนึ่ง มีกิเลส มีคนบ้าอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว อยู่ร่วมกับมันให้ได้ยังไง เอ้ามีปัญหาอะไรอีกที่จะถามหรือที่จะต้องพูด
โยมถาม : ขอกราบพระอาจารย์คะ มีธรรมอยู่สองหมวดนะคะ ที่เป็น ที่เริ่มด้วยอนิจจัง วิราคะ นิโรธะ ปฏินิสสัคคะ กับคำที่ว่าด้วยหมวดของวิเวก วิราคะ นิโรธะ โวคสัคค สองหมวดนี้ใช้ต่างกันอย่างไร
ท่านพุทธทาสตอบ : ชื่อมันคล้ายกันแล้วมันก็เกี่ยวข้องกัน บรรดาธรรมะชื่ออะไรก็ตามกี่อย่างก็ตาม ทุกๆ ธรรมะ ถ้าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง ถูกต้อง คือเป็นไปเพื่อพระนิพพานแล้วก็ให้มันประกอบอยู่ด้วยไอ้ลักษณะ ๔ ประการนั้น วิเวกนิสสิตัง วิราคะนิสสิตัง นิโรธนิสสิตัง โวคสัคคปรินามิง นี้ดี ดีมาก จำไม่ได้แล้ว แต่ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วต้องถูกต้องตามนี้ล่ะคือหลักแท้จริงของพระพุทธศาสนา ถ้าอธิบายถูกต้อง ถูกต้องอย่างอื่นเป็นเรื่องเด็กๆ ไป ไม่ใช่กำปั้นทุบดินแล้ว ถูกต้องต้องดับทุกข์ได้ก็เหมือนกันแต่มันไม่เข้าใจได้ แล้วจึงแยกตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า วิเวกนิสสิตัง เพื่อวิเวกอาศัยวิเวกจึงได้ปฏิบัตินี้ วิราคะนิสสิตัง ก็เพื่อคลาย คลาย คลายอุปาทาน แล้วก็ นิโรธนิสสิตัง เพื่อดับอุปาทานเพื่อดับทุกข์ โวคสัคคปรินามิง คือมันน้อมไปเพื่อโยนทิ้ง น้อมไปเพื่อโยนทิ้ง โยนทิ้ง โยนทิ้ง คือไม่ยึดถือ ไม่ยึดถือจนหมด จะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติธรรมะข้อไหน ขอให้มันประกอบอยู่ในลักษณะ ๔ ประการนี้ ทีนี้ในอานาปานสติเอามาเป็นหลักอยู่ในหมวดที่ ๔ สองอย่างหรือว่าสามอย่างก็ได้ เอาปฏินิสสัคคะ เป็นโวคสัคคปรินามิง ก็ถูกตามหลักนั้นน่ะ ถูกตามหลักที่ว่าในที่สุดการปฏิบัติอานาปานสติของเรา มันก็มาพบกันเข้ากับหลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าขอให้มันเป็นไปเพื่อวิเวก มันเป็นไปเพื่อวิราคะ มันเป็นเพื่อนิโรธ มันเป็นไปเพื่อโวคสัคคะ ก็ใช้ได้ไม่ได้ขัดกัน เล็งถึงซึ่งกันและกันโดยเป็นหลักของความถูกต้อง ถ้าไม่มาสู่วิเวก นิโรธะก็ไม่ถูกต้อง ปฏิบัติอานาปานสตินั้นมันก็ไม่ถูกต้อง เพื่อความถูกต้องมันก็มาที่นี่สี่อย่างนี้ แล้วเข้ากับหลักที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ถ้าปฏิบัติให้ถูกต้องคือเพื่อพระนิพพานแล้วมันก็ต้องให้สี่ประการนี้แหละให้จำไว้ให้ดี ให้ปฏิบัติสี่ประการนี้ ถ้าปฏิบัติเพื่อเงินมันก็ไม่วิเวก เพื่อสวรรค์มันก็ไม่วิเวก เราพูดอย่างนี้ถ้าให้เราพูดเราพูดอย่างนี้ แต่ว่าเขาไม่ชอบหรอก เขาโกรธ เขาพูดว่าสวรรค์ก็ไม่ใช่วิเวก สวรรค์ยังเป็นกิเลส พวกนั้นไม่ชอบ แต่ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น จะทำทานจะรักษาศีล ขอให้เป็นไปเพื่อวิเวกคือสงัดจากกิเลสเหล่านี้ ให้เป็นไปเพื่อวิราคะ คือ จางออก จางออก จางออก แห่งความยึดมั่นถือมั่น ถ้ารักษาศีลหรือบำเพ็ญทาน เพื่อยึดมั่นศีลและทานนั้นยิ่งบ้าใหญ่เลย หรือยึดมั่นผลของศีลและทานนั้นก็ยิ่งบ้าใหญ่ ต้องมาจางออก จางออก แห่งความยึดมั่นถือมั่น ในตัวการปฏิบัติก็ดี ในตัวผลการปฏิบัติก็ดี ต้องคลายออก คลายออก นี่เรียกว่า วิราคนิจจิตตัง อาศัยวิเวกเป็นเหตุให้ทำ ทำเพื่อวิเวก แล้วในที่สุดก็ดับกิเลสดับทุกข์ก็เป็นวิโรธนิจจิตตัง หรือทั้งหมวดนี้เรียกว่าสลัดออก สลัดออกอยู่เสมอ โวคสัคคะ มันแปลว่ลง โยนลง สลัดลง แต่เราใช้คำอื่นว่า สลัดไป สลัดออก ก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องสลัด สี่ประการนั้นเป็นเครื่องวัด ว่าถูกต้องต่อหนทางแห่งพระนิพพาน อริยมรรคมีองค์ ๘ ประกอบ แต่ละองค์ ละองค์ ประกอบอยู่ด้วยคุณธรรมคุณลักษณะ ๔ ประการนี้เสมอ เมื่อประกอบด้วยลักษณะสี่ประการนี้ จึงมีสิทธิหรือความถูกต้องที่จะใช้คำว่า สัมมา สัมมา สัมมา ถ้าทิฐิไม่ประกอบอยู่ด้วยองค์สี่ประการนี้ จะไม่เรียกว่าสัมมาทิฐิ ถ้าไปเรียกว่าสัมมาทิฐิมันต้องประกอบด้วยหลักสี่ประการนี้ สัมมาสังกัปโป วาจากัมมันโต อะไรก็เหมือนกันน่ะ เรามันประกอบด้วยหลักสี่ประการนี้ จึงควรจะใช้ว่าสัมมา สัมมา ทั้งแปดสัมมา หรือสิบสัมมา ถูกต้องต่อพระนิพพาน เรียกว่าสัมมา สัมมา สัมมา ถูกต้องต่อพระนิพพานน่ะเครื่องดับทุกข์ จำไว้สี่อย่างนั้นน่ะ เพื่อให้เป็นลักษณะของความถูกต้องเพื่อนิพพาน แล้วอานาปานสติของเราก็เป็นหลักที่ถูกต้องแล้ว เพราะมันไปจบลงด้วยวิราคะ นิโรธะ ปฏินิสสัคคะ ก็ถูกต้องแล้ว อานาปานสตินี่ก็เป็นไปเพื่อพระนิพพาน จะทำบุญจะให้ทาน อะไรนี่ก็ตามใจที่ว่าเป็นบุญเป็นกุศลแล้วคอยประกอบด้วยสี่อย่างนี้ ไอ้ที่เราทำกันมากประชาสงเคราะห์ที่นิยมทำกันมาก สงเคราะห์นั่นสงเคราะห์นี่กันทั้งบ้านทั้งเมือง มันประกอบด้วยหลักสี่อย่างนี้หรือเปล่า หรือมันทำเพื่อเอาเหรียญตราหรือได้เป็นคุณหญิง ที่กรุงเทพคุณนัทสนทนาธรรมะกันที่ไหนที่บ้านใคร บ้านคุณนายอุ่น ที่กรุงเทพมีบ่อนสนทนาธรรมที่ไหน ที่สวนคุณสมแย่ไปแล้ว มีแต่คนแก่พูดไม่มีเสียง คุณชินเสริมเขาก็พูดบ่อยๆ จะเปิดบ้านให้เป็นบ่อนศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะ อาจารย์ระวีก็เปิดธรรมะสถาน ได้ยินว่ายังไม่เข้ารูป บุญยงค์ ว่องวาณิช เขาก็อยากจะมีสักแห่ง เขาบอก เขาจะเชิญใครมาเป็นครูไม่แนใจ เขาจะมีสำนักที่สำโรง เขามีที่ดินแล้วเขาจะจัดที่ให้เหมาะแล้วก็จะหาครูมาสอน ดีทำไปก่อนเถอะ ทำไปเถอะมันจะค่อยๆ ดีเอง ค่อยๆ ถูกเอง มันจะต้องมีที่สนทนาธรรมอย่างสะดวกแล้วก็ได้ผลดีสะดวก ปฏิบัติต่อไป ธรรมะก็จะกลับมา พระนิพพานก็จะกลับมา
โยมถาม : ขอโอกาสถามพระอาจารย์คะ กิเลสที่ทำให้ยกหูชูหางนี่ต่างกันอย่างไรกับสัจจาพินิเวธ
ท่านพุทธทาสตอบ : มันถือตัวถือตนไอ้รูปอื่น เครือเดียวกัน สัจจาพินิเวธ ยึดมั่นถือมั่นในความดีของตัว ในอะไรของตัว อวดคนอื่นข่มเหงเขา ทับถมคนอื่นเหมือนกันเท่ากับยกหูชูหาง เป็นเรื่องเพื่อจะทับถมคนอื่นเท่านั้น
โยมถาม : จะหาในหัวข้อ สัจจาพินิเวธ
ท่านพุทธทาสตอบ : ได้ก็ได้นี่ นั่นก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้ยกตนข่มท่าน เรื่องอื่นก็มีที่ทำให้ยกตนข่มท่าน หลงใหลในเกียรติยศชื่อเสียงหลงใหลในอะไร หรือว่ากิเลสประเภทที่ชื่อนั้นโดยตรงมันก็มี ชื่อ มักขะ ปลาสะ นี่เป็นเรื่องยกตนข่มท่าน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังมี มันมีแสดงบทบาทให้ตัวอื่นกลัว พอมันโตเต็มที่ขึ้นมามันจะแสดงบทบาทอย่างนี้ทั้งนั้น ไก่ตัวที่มันเต็มที่โตเต็มที่แล้วมันก็จะขึ้นที่สูงแล้วมันก็ขัน ไม่มีใครเข้าเคียงคู่ ยกตนข่มท่าน ลัทธิกิ้งก่า ศาสนากิ้งก่า ยิ่งยกตนข่มท่านเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่ามีกิเลสมากเท่านั้น มีอัตตา อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น ยอมแพ้เสียยังดีกว่าหรือนิ่งเสียยังดีกว่า เมื่อคุณอยากจะชนะคุณก็เอาไป ฉันไม่พูด ถอนอุปาทาน บรรเทาอุปาทาน ลดอุปาทานเรื่อยไป เรียกว่ามานะ มานะ สำคัญตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ต้องการจะให้เหนือผู้อื่น มานะ มานะทิฐิก็มีความหมายอย่างนี้ อย่าสำคัญตนว่าเป็นอะไรเสียเลย เพราะไม่มี เพราะเราไม่ได้จัดตัวเราเองว่าอยู่ในระดับไหนฐานะไหน มันจะไปยกตนข่มใคร หรือว่าใครจะมายกตนข่มเราได้ เราไม่อยากฐานะของเราสำหรับเปรียบเทียบ ป้องกันได้หมดทั้งสิ้นทั้งร่อง ไม่ยกตนข่มใคร แล้วใครๆ เขาก็ไม่อาจจะมายกเขาข่มเรา ไอ้ที่มันกำลังทำสงครามกันอยู่นี่ เราไม่แน่ เราไม่รู้แน่ว่าความแท้จริงเป็นอะไร แต่ลักษณะภายนอกมันแสดงว่าอเมริกันน่ะมันไม่ให้อิรักหือขึ้นมา อิรักมันทำตามที่มันต้องการ ใครอย่าไปเกี่ยวข้องก็แล้วกัน ที่อเมริกันไม่ยอมให้อิรักหือขึ้นมาเป็นคู่ใหญ่คู่โต เลยจัดการสาบอิรัก ทีเมื่อฝรั่งที่ออกหาเมืองขึ้นทำไมไม่มีใครจัดการลงโทษบ้าง นี้ก็ตั้งตัวเป็นตำรวจโลก เป็นตำรวจโลกจะจัดโลก อยากจะเหนือกว่าผู้อื่น อยากจะเหนือกว่าคนอื่น ว่าอย่างไรทั้งหมดนี่รวมกันแต่งกลอน เขียนคำนำ เขียนคำนำ แล้วที่จะออกนี่เป็นคำกลอน คำกลอนมีประโยชน์ บทธรรมะลึกซึ้งแต่โบราณเขาเขียนเป็นคำกลอนทั้งนั้น บาลีก็ตามสันสกฤตก็ตาม เพราะมันจำง่ายกว่านี่ กลอนมันช่วยให้จำไว้แล้วมันก็ผิดยาก เพราะสัมผัสมันบังคับอยู่อย่างนี้พอเราอ่านผิด มันผิดสัมผัสก็รู้ว่าอันนี้จำผิดแล้ว กลอนมันช่วยให้จำง่ายขึ้นตั้งไม่น้อยกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อแต่งเป็นกลอนแล้วช่วยให้จำง่ายขึ้น หรือว่าผิดยาก ไม่น้อยกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ บทธรรมะชั้นสูงจะมียุคแต่โบราณมันก็เขียนเป็นกลอน คัมภีร์พระเวทก็เป็นกลอน พระไตรปิฎกก็มีส่วนที่เป็นกลอนอยู่มาก คัมภีร์สุตตนิบาต สุตตนิกายก็เป็นคำกลอนทั้งนั้น หรือว่าสูตรโดยมากสรุปท้ายเป็นคำกลอนทั้งนั้น คำกลอนเป็นภาชนะที่ดีที่จะใส่รองรับของไว้ให้คงที่ ให้คงที่ อะไรที่ Preserve Preserve ให้ได้ดีกว่าคำร้อยแก้ว เขาเรียกอะไรนะลืมแล้วที่ทำของไม่เน่า ดองไว้ในกระป๋อง เป็นไทยว่าอะไร ถนอม ถนอมอาหาร ถนอมอาหาร คำกลอนน่ะมันถนอมของไว้ได้สะดวกกว่าง่ายกว่าอะไรกว่า นี่แต่งเป็นคำกลอนไว้อ่านสองสามเที่ยวก็จำได้ แต่งเป็นร้อยแก้วอ่านสิบเที่ยวยังจำไม่ได้ แต่มันไม่มีธรรมเนียมที่เรายังไม่อ่านเป็นทำนองกลอน เขาเขียนกันเป็นกลอน เอามาอ่านอย่างร้อยแก้วหมด อย่างร้อยแก้ว ที่เรียกว่าสวดสรภัญญะนั้นน่ะ เขาอ่านตามแบบเป็นกลอน แต่ก็ไม่ค่อยมีใครใช้อ่านกันธรรมดาไป แม้แต่ยะถาที่อ่านยะถานี่ก็เป็นคำกลอน นี่พระไม่สนใจอ่านว่าผิดๆ ถูกๆ วรรคตอน ถ้าอ่านถูกต้องนี่จะเป็นคำกลอนแปดพยางค์ แปดพยางค์ แปดพยางค์ ทุกๆ บาท
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง
เอวะเมวะ อิโต ทินนั ง เปตานัง อุปะกัปปะติ
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา
มะณิ โชติระโส ยะถา ฯ
สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ
มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ
อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ฯ
มันเป็นบาทละแปดพยางค์ แปดพยางค์ แต่พระบางองค์ว่าจนผิดหมดจนฟังไม่รู้ จนฟังไม่รู้ก็มี แล้วก็เทศน์ขรุขรักขรุขรัก เพราะว่ายะถาให้ไม่มีใครเคยเรียน เหมือนเคยอยู่วัดเป็นเด็กเป็นเณรจำได้แล้วมันก็ไม่รู้กฎของภาษาของกาพย์กลอน มันก็ว่าว่าเลยก็ไม่ลงตัว การเมืองเรื่องของพระธรรม วันก่อนพูดเรื่องการเมืองเรื่องของมนุษย์ วันนี้จะพูดเรื่องการเมืองเรื่องของพระธรรม ต่อไปก็พูดไว้แล้วการเมืองเรื่องของธรรมชาติ ครั้งต่อไปก็พูดอัดไว้เสร็จแล้วการเมืองเรื่องของพระโพธิสัตว์ ต่อไปการเมืองเรื่องของพระศาสนาพูดใส่เทปไว้แล้วทั้งนั้น สี่ครั้ง สี่ครั้ง ถ้าวันนี้วันที่ ๒๐ เป็นวันอาทิตย์ ก็เรื่องนี้การเมืองเรื่องของพระธรรม ถ้าฟังกันแต่ชื่อทำไมพูดอย่างนี้คัดค้านกันหมดน่ะ เดี๋ยวการเมืองเรื่องของพระพุทธ การเมืองเรื่องของธรรมะ การเมืองเรื่องของมนุษย์ที่มีธรรมะที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเป็นอุดมคติของพวกโพธิสัตว์ แล้วเป็นศาสนาเขาว่าจะจัดโลกให้มีสันติภาพ ไม่ได้ขัดแย้งกันแม้จะพูดตามๆ กัน เราต้องการสุนัขเลียแผล สุนัขยอมตายเพื่อเจ้าของ เราไม่ต้องการสุนัขปากร้ายกัดไม่ปล่อย สุนัขหลอกลวง สุนัขกินเดน คืออย่างนี้พูดไม่ดีอย่างนี้จะโกรธก็โกรธช่างหัว คุณมีวิทยุ ให้เปิดที่หอสูงโน่น เปิดหอสูงฟังกันทั้งวัด กนิกาลาวปุสิตา อุทยานของเทวดา เต็มไปด้วย กนิกาลาวปุสิตา ก้านโน้นน่ะเขาไปใส่ให้ขนมสีสวยคนโบราณทำ ให้ขนมสีสวยเลยตำก้านกรรณิการ์ใส่ลงไป ของนี้ไม่ใช่ของเดิมในเมืองไทย เอามาจากอินเดียแต่ใครเอามาครั้งใหนก็ไม่ทราบ สารภี พิกุล กรรณิการ์นี่มาจากอินเดีย เดี๋ยวช่วยบอกให้คุณเปิดวิทยุบนหอสูง ให้คุณปรีชาเปิดวิทยุบนหอสูงด้วย เพราะว่ามีสมาชิกคอยจะฟังและ เด็กๆ ก็เยอะ เด็กมันก็จะได้ฟัง แล้วเปิดให้ฟังง่ายไว้ให้ชัดเจน อย่าให้มันอู้อ้า