แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คือในภาษาไทยที่ใช้กันมาก่อน ไตรภพ ไตรภพ โดยของเดิมในบาลีติดตามมาภพ ดีก็ภพ ไม่ดีก็ภพ รู้อยู่แต่ในเรื่องของกาม กาม กาม ที่นี่อยู่ในกามภพ ยิ่งรู้ไปกว่านั้นให้มันหลงกาม จะไปหลงในรูปบริสุทธิ์ รูปราคะเรียกว่าราคะ กำหนดยินดี ราคะในรูป ถ้ากามราคะ ก็ราคะในกาม เป็นกามภพ แต่มันมา ราคะในรูป เหนือขึ้นมาก็เรียกว่า รูปราคะ รูปราคะ ต้องรูปภพ คือมันยังสูงไปอีก สูงไปอีก ไอ้นี่มันบ้า ซึ่งสูงไปอีก เป็น อรูป อรูปราคะ ราคะกำหนดยินดี กำหนดยินดี ในสิ่งที่ไม่มีรูป มันก็เรียกว่าอรูปภพ ถ้าเป็นไปได้สามภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ๓ คำนี้จดจำไว้ให้ แม่นยำเถอะ เพราะว่าเรามันเกิดแล้วเกิดเล่า วนเวียนอยู่ในภพทั้ง ๓ นี้ คำสอนโบราณที่สอนกันมาอย่างภาษาสากล ยึดมั่นผิดๆกันมา ชาติอื่น โลกอื่น ที่อื่น คราวอื่นนี่ จึงจะเรียกว่าคนละภพ หรือเปลี่ยนภพ กามภพคือโลกนี้มันเป็นอย่างนี้ โลกนี้เป็น รูปภพ มันต้องเป็นพรหมณ์ พรหมณ์ที่มีรูป ที่อื่น อรูปภพ ก็ต้องเป็นพรหมณ์ที่ไม่มีรูป ไมมีโลกอื่น ที่อื่น ตายแล้วจึงจะไปถึงได้ เขาอธิบายกันอย่างนั้น ก็ตามใจเขา แต่เราก็มีว่า แม้ในโลกนี้ๆ เราอยู่ได้ เมื่อใดจิตใจไปมันหลงไหลมั่วเมาในกาม ความเป็นอย่างนั้นภาวะอย่างนั้น เรียกว่ากามภพ และส่วนมากที่สุด ๙๙ % จะอยู่ที่ในกามภพ ในสัตว์ทั่วไป สัตว์ทั่วไป มันจะวนอยู่ในกามภพ ๙๙% เหลือ ๑% มันก็จะแบ่งไป รูปภพ หลงใหลในรูป คือเวลามันไม่พอใจในกาม เกลียดกามด้วยซ้ำไป มันก็มีเหมือนกัน เพราะเหตุปัจจัยนั้นมันหมดแล้ว มันก็อยากจะอยู่เฉยๆ สนใจแต่ในรูปธรรมอันบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวกับกาม รูปธรรม รูปธรรม คือสิ่งที่มีรูป ไม่เกี่ยวกับกาม ระวังให้ดีนะ บุญกุศลของคนทั่วไปก็ยังเกี่ยวกับกาม บุญของเขาหมายถึงกาม เมื่อเกี่ยวกับกามก็เป็นความโง่ชนิดหนึ่ง ยังหลงไหล ความเป็นไปเกี่ยวกับเรื่องวัตถุธรรม วัตถุธรรมล้วนๆ มันอาจจะรับวัตถุธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ของเล่น แล้วแต่ว่า เครื่องเล่นของลายครามวัตถุ วัตถุล้วนๆ หรือว่าไปสนใจในปลา ในนกเขา ในรูป สวยงาม ในรูปธรรมอย่างนี้ก็มี พวกที่หลงใหลในนกเขา มักจะเห็นเป็นแต่ ไม่สนใจกะลูกกะเมีย ไอ้พวกบ้านกเขา คิดอีกที ถ้าเห็นมันก็เห็นเป็นรูป บางเวลามันก็สนใจเรื่องกาม สนใจในเรื่องรูป แต่สนใจในความว่าง สนใจในกาม ความพักผ่อน ความเงียบ ไม่มีรูป จะไม่สนใจในความดี อำนาจ วาสนา บารมี ที่ไม่ถูกเอามาใช้เพื่อแลกกาม แบบนี้ก็เรียกว่า อรูป ได้เหมือนกัน แต่ก็น้อยนักน้อยหนาแหละ สิ่งที่ไม่มีรูป เราจึงวนเวียน วนเวียน เวียนๆอยู่ในกามภพ อยู่แต่ภพ อยู่แต่ภพ โดยส่วนมากมันจะอยู่ในกามภพ ๙๙% ถ้าออกจากภพนี้ไปได้ มันก็เหนือภพไปได้ ก็เป็นโลกุตตระ มันก็จะไปเรื่องนิพพาน ภพ ไม่ต้องเป็นบ้านเมืองที่อี่นตายแล้วไปเกิด ตามที่เขาสอนกันทั่วไป มันพูดอย่างนั้น เพราะมันพูดอย่างอื่นไม่เป็น มันพูดภาษาคนไม่เป็น เท่านั้น แต่ถ้าภาษาพระธรรม ในพระพุทธศาสนา คือภาวะของจิต อย่างหนึ่งๆ เรียกว่าภพอย่างหนึ่ง แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งก็ ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในเรื่องกาม เรียกว่า กามราคะ กลุ่มหนึ่งก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในรูปล้วนๆ ไม่เกี่ยวกันกาม ก็เรียกว่า รูปราคะ สูงขึ้นไปก็อยู่ในสิ่งที่ไม่มีรูปเรียกว่า อรูปราคะ เรียกว่า อรูปภพ ราคะคือกิเลสเป็นหลัก แต่กามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ สภาวะเป็นหลัก เอาวัตถุเป็นหลัก กามภพ รูปภพ อรูปภพ รู้จักเต็มไปด้วยภพ หรือรู้สึกว่า กูเป็นอะไรในความหมายใดมันก็คือภพหนึ่ง กูเป็นแม่ กูเป็นลูก กูเป็นผัว กูเป็นเมีย กูเป็นผู้หญิง กูเป็นผู้ชาย กูเป็นชาวบ้านอยู่ที่ไร่ กูเป็นชาววัดอยู่ที่วัด เป็นนักบวช เป็นชี เป็นพระ เป็นเณร สำคัญว่ามันเรียกเป็นอะไร ก็เป็นอย่างหนึ่ง เป็นภพ โดยละเอียด ก็ไปแยกเอาเอง ถ้ามันยังใฝ่ฝันอยู่ในกาม มันก็เป็นกามภพ มันเป็นพระเป็นเณร อยู่เป็นพระเถระ ๑๐๐ พรรษาแล้วมันก็ยังเป็นกามภพ ถ้าจิตใจไปสนใจในกามภพ ไปสนใจในรูปไม่เกี่ยวกับกามก็เป็นรูปภพ ไม่เกี่ยวกับกาม เป็นอรูปภพ กาม ภพนี้มันหมดเลย นอกจากภพ เหนือภพมันเป็นนิพพาน แต่เดี๋ยวนี้ในภาษาไทยเรามันน่าสงสาร ฟังแล้วมันเศร้าที่สุด มันน่าสงสาร เอาคำว่าภพมาใช้ เป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องวัตถุ เป็นอะไร มาใช้ในเรื่องอรูป หรือรูป (นาทีที่ ๗.๔๑) เมื่อพูดว่าไตรภพ ไตรภพ มันก็เป็นเรื่องโลกๆๆ นี้ รูป อรูป ในวันหนึ่งฟังวิทยุหุ่นกระบอก คำร้องมันร้องว่า บัดนั้นมีพระอภัยจอมไตรภพ (นาทีที่ ๘.๑๐) เราสะดุ้งๆ จอมไตรภพ เป็นไปได้หรือ พระอภัย บ้าแล้ว ทีนี้จอมไตรภพ ทั้ง ๓ ภพ ไม่มีอะไรแล้ว นี่แหละภาษาไทย ภาษาไทย ระวังให้ดีเถิด คำว่าภพ ภพ คนที่จะเป็นจอมไตรภพได้ก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น คนในโลกนี้ไม่เป็นจอมไตรภพไปได้ พระอภัยจอมไตรภพ เราเคยอ่านเรื่องพระอภัย เป็นคนโง่หลงในกามที่สุด เป็นกามภพมันข้ามไปไม่ได้ มันติดในรูปภพ อรูปภพ ระวังให้ดีเถอะ (นาทีที่ ๙.๐๓) รู้จักไตรภพให้ถูก จอมไตรภพต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ในกาม ในรูป ในอรูป ภพแปลว่า ความเป็น ภาษาอังกฤษก็หาคำยาก ที่ใช้ๆกันอยู่ existent แปลว่า เป็นอยู่ ก็ไม่ถูกนัก แต่ไม่มีคำอื่น คือ แต่ว่าคำว่า existent เป็นอยู่ มันเป็นกิริยา มันเป็นคำกิริยา แต่ว่า existence มันยาวกว่าและมัน (นาทีที่ ๙.๕๔)กว่า มันไปคู่กับ non-existence คือไม่มี existence เป็นอภพๆ แล้วแต่ว่าจะใช้คำไหน แต่ในปทานุกรม สันสกฤต บาลี ที่มันใช้กันอยู่ เวลานี้เป็น existent แล้วยังไม่มีใครไปแก้ไขมัน ใครจะพูดกับฝรั่ง เดี๋ยวนี้ตามธรรมดา พยายามพูดให้เขาเข้าใจ มันมีเป็นอยู่ในภาวะอย่างนี้อย่างหนึ่งๆ ก็เรียกว่าภพ ไม่มีไม่เป็นอยู่ในภาวะใดๆ มันก็ไม่ใช่ภพ แม้แต่อธิบาย be coming ก็ได้ existent ก็ได้ ภาวะแห่งความมีความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ซึ่งเปลี่ยน เปลี่ยน ไม่รู้จักหยุด เปลี่ยนแต่ละวันละวัน ในแต่ละวันก็เปลี่ยนก็ไม่รู้เปลี่ยนกี่เรื่องกี่ราว มันใช้คำพูดว่า คิดอย่างไร หรือ รู้สึกอย่างไรก็อยู่ในภพนั้น ภพชื่อนั้น แต่ธรรมดา ธรรมดา ธรรมดา ก็ไม่พ้นจากกามภพ คิดอย่างคนดีก็เป็นคนดี คิดอย่างคนชั่วก็เป็นคนชั่ว ภพดี ภพชั่ว แต่ก็ไม่พ้นจากกามภพ น้อยนักที่จะไปรูปจากอรูป แต่ก็เอาๆ บางทีก็มีเหมือนกัน เบื่อกามก็ไปรูป หรือไปอรูป แต่ว่าน้อยนัก ถ้าว่ามันเบื่อภพ ไม่อยากจะมีภพ ไม่อยากจะเป็นภพ มีภพโดยประการใด นี่จึงจะเรียกว่าเหนือภพ สิ้นภพไป กิเลสที่เป็นเหตุให้ผูกพันอยู่ในภพหมดสิ้นไม่มีเหลือ พวกนั้นก็เรียกว่าเหนือภพ เหนือชาติ เป็นพระอรหันต์ ถ้าสูงสุดก็พระอรหันต์ เป็นโสดาบันก็ยัง ยังไม่ ยังเกี่ยวข้อง อยู่บ้าง แต่ใช้คำว่าตัณหาของมนุษย์ ตัณหาของมนุษย์ทุกคนทุกยุคสมัย มันก็คือว่า ทำอย่างไรจะอยู่เหนือภพได้ ถ้ายังต้องตกอยู่ในภพ ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยแห่งภพนั้นๆ ไม่เป็นอิสระแก่ตัว ล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนันตา ไม่เป็นอิสระแก่ตัวมันก็ต้องทนทุกข์ จะต้องแบบนั้นๆ กามภพก็เป็นทุกข์ รูปภพก็แบบรูปภพ อรูปภพก็แบบอรูปภพ ขึ้นชื่อว่าเป็นภพแล้ว ที่จะไม่เป็นทุกข์นั้นไม่มี แม้จะเป็นภพที่ดีที่เรียกว่ากุศล บุญกุศลเป็นภพที่ดี เป็นเทวดา เป็นอะไรก็ตาม เป็นภพที่ดี มันก็มีความทุกข์ไปตามแบบดี ชาวสวรรค์ ก็เป็นทุกข์ไปตามแบบชาวสวรรค์ พวกที่เป็นพรหมก็เป็นทุกไปตามแบบพรหม ไม่มียกเว้น ขึ้นชื่อว่าภพ มันก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะว่าภพทำให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง นี่ใช้กันว่าขึ้นชื่อว่า ภพ จะเล็กหรือใหญ่เท่าไรก็แล้วแต่ก็เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสอุปมา ถึงข้อนี้ว่า ภพเป็นเหมือนกับอุจจาระ ที่จะต้องเป็นของเหม็น แม้ว่ามันจะนิด นิด น้อยๆๆ น้อยมากจนมองไม่เห็น ก็ส่งกลิ่นเหม็น เป็นธรรมดาของอุจจาระ ภพ ภพนี่ก็เหมือนกันจะเล็กหรือใหญ่จะสูงจะต่ำ จะมากจะน้อย จะอะไรก็ตาม มันก็ยังเป็นทุกข์ออกมา เป็นความทุกข์ หลักใหญ่มันจึงต้องการจะสิ้นภพ หมดภพ หรือว่าเหนือภพ ก็เป็นโลกุตตระ พระอริยบุคคล แล้วแต่เขาให้ความหมาย วิมุติ วิมุติ หลุดพ้น พ้นจากภพ แล้วแต่ใช้คำ คำไหน ใช้คำไหนให้ถูกเถอะ หมดภพก็ได้ สิ้นภพก็ได้ เหนือภพก็ได้ พ้นจากภพก็ได้ ภาษาบาลี คำนี้ก็เรียกว่า มันสิ้นความผูกพันอยู่ในภพ หมดความผูกพันอยู่ในภพ (นาทีที่ ๑๕.๒๑) สิ่งที่ผูกพันทำให้ผูกพันอยู่ในภพ สิ้นแล้ว สิ้นแล้ว สิ้นความโง่อวิชชาที่ผูกพันอยู่ในภพ สิ้นแล้ว มันอยากจะดีอยู่เรื่อยไป แต่ตัณหาในภพ มันก็ไม่มีที่สิ้นสุด อยากจะดีอยู่เรื่อยไป มันเดือดร้อน มันอยากจะดีๆๆ มันมีความต้องการภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ คือดีกว่า มันก็ต้องลอยไปในภพ เวียนว่ายไปในภพ ในวัฎฎะ มีคำพูด ที่ว่าพ้นภพ เหนือภพ หลุดภพ แต่เป็นความหมายเดียวกันว่า ก็คือว่าดับทุกข์ พ้นทุกข์คือนิพพาน เหนือภพ พ้นภพ หมดภพ ก็คือนิพพาน อย่าเอาคำว่าไตรภพมาใช้ง่าย ๆ ในพระอภัยมณี ในเรื่องพระอภัย บทกลอนที่เขาไม่รู้ธรรมะ เขียน (นาทีที่ ๑๖.๔๓) เอาคำว่าไตรภพมาใช้ พระจอมไตร พระจอมไตร ใช้กับกษัตริย์ เรื่องอะไร (นาทีที่ ๑๖.๕๕) จอมไตร มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่เป็นจอมไตร (นาทีที่ ๑๗.๐๓) ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน อุปาทานทำให้เกิดภพ แต่ละวันเรามีตัณหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ยึดมั่นในความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นไปตามแบบที่ยึดมั่นถือมั่น เปลี่ยนทุกๆห้านาทีก็ได้ ถ้าเป็นมาก ก็เปลี่ยนทุกๆนาทีก็ได้ ถ้าอย่างเก่งมากก็เปลี่ยนทุกนาทีเปลี่ยนภพ ทุกห้านาที ทุกสิบนาที มาจากตัณหาอยากจะเป็นอะไร สร้างอุปาทาน หรือสร้างภพสิ่งหนึ่ง เรื่องปฎิจจสมุปบาท เป็นเรื่องที่วิเศษ (นาทีที่ ๑๗.๕๕) ไม่เข้าใจ เวทนา เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดภพ ภพทำให้เกิดชาติ ชาติทำให้เกิดทุกข์ทั้งปวง ตอนนี้เข้าใจ เข้าใจดีที่สุด กำจัดภพ กำจัดชาติได้ ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าภพ มันมีอย่างที่ไม่รู้จัก เห็นกลัวกันนัก มันจะต้องเป็นทุกข์ (นาทีที่ ๑๘.๒๘) แม้แต่อยากจะดับทุกข์อยากจะพ้นทุกข์ ถ้าอยากด้วยโง่ ความโง่ตามๆกันมา ก็จะเป็นภพ เป็นสัตว์ผู้หิวกระหาย แต่ดับทุกข์ แต่พระนิพพาน แต่มันอยากด้วยความโง่ตามๆกันมาได้ยินเขาว่าตามๆ กันมาเป็นตัณหา เป็นภพชนิดใดชนิดหนึ่ง ถ้ามีปัญญาเห็นแจ้งชนิดใดชนิดหนึ่งนั้นนะ ภพนี้ไม่ไหวๆ อยากจะมีภพชนิดนี้ จึงจะถูกต้อง ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทานไม่มีภพ ไม่มีชาติ แล้วจะไม่มีทุกข์ สมมุติว่า หญิงสาวคนหนึ่งเขาอยากจะแต่งตัวให้สวย คิดอยู่เรื่อย เปลี่ยนกี่ชุด กี่ชุด หามาเป็นสิบๆชุด สวย สวย เขาต้องการจะเปลี่ยนแต่งตัวให้สวยอยู่เรื่อยๆ มันก็จะมีภพ มีภพ แบบนั้นอยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องมีเรื่องอื่น มีเรื่องเดียว มีแต่ความจะเป็นผู้สวยงามตามแบบนั้นๆ หมดเลยไม่ต้องทำอะไรกันเลย มีตัณหา (นาทีที่ ๑๙.๕๗) หลายร้อยชนิด มีตัณหาเรื่องภพ มันกำลังขบกัดมนุษย์อยู่อย่าง ไม่น่าเชื่อให้เห็นมากเกินไป ตลอดเวลามากเกินไป ไม่อยากจะดับทุกข์ ถ้าอยากด้วยความโง่ก็เป็นภพ ถ้าอยากจะดับภพ ถ้าอยากจะสิ้นทุกข์ อยากจะดับภพด้วยความฉลาด มันก็จะเป็น เหนือภพ สิ้นภพ หมดภพ มันเป็นความรู้สึกเอาเองว่าภพอย่างนี้ยังไม่ ยังไม่ดีถึงที่สุด กูจะให้ดีถึงที่สุด มันก็เวียนอยู่ในภพ จึงไม่พ้นจากทุกข์ สังเกตดูตรงนี้ว่า เราจิตใจของเราจะรู้สึกว่า เราเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ มันก็ต้องการจะเปลี่ยนๆๆ เปลี่ยนให้มันไปตามที่เราว่าเห็นว่าดีกว่า เหนือกว่า สูงกว่า หรือเป็นไปตาม ถ้าไม่สิ้นภพ ภพ ภพ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยไปไม่มีสิ้นสุด จนกว่ามันจะไปสิ้นภพหรือหมดภพ คือนิพพาน ทั้งที่มันอยู่ในภพ ๓ ภพนี่ ๓หมวดใหญ่ๆนี่ โดยรายละเอียดเราไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนกี่แสนชนิด มันก็ย้ำกันอยู่ตรงนี้ ย้ำกันอยู่กับการเป็น ที่มีความทุกข์ มีความยึดถือแล้วเป็นทุกข์ ภพจะเป็นที่ตั้งความยึดถือ ก็มันออกมาจากอุปาทานคือความยึดถือ นี่มันเรื่องใกล้ตัว เรื่องอยู่ในตัว อย่าไปมองที่อื่น อย่ามองไกลไปที่อื่น มองเข้าไปในตัวก็จะพบทุกอย่างที่เป็นเรื่อง เหล่านี้ทั้งหมดมันรวมอยู่ในตัว ในกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง ที่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ถ้ามันยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ พอมันตายมันก็หยุด หยุดทุกข์ หยุดโศก นี่มันไม่ตาย คิดได้เปลี่ยนได้ คิดได้เปลี่ยนได้ อยู่เป็นประจำ มีความทุกข์ ทรมานก็เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ ที่นี้ไอ้ความจริงหรือคำพูดที่จริงเป็นคำพูดที่เข้าใจยาก เป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องรู้สึก ยึดถือว่าเป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง พูดให้ฟังไม่ถูก มีภพ โดยไม่ยึดถือภพ มีภพเป็นภพ อย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่ยึดถือว่าเป็น (นาทีที่ ๒๓.๐๖) เมื่อเรามีความเป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นชาววัด เป็นอุบาสิกา เป็น (นาทีที่ ๒๓.๑๔) พราหมณ์ เป็นอะไรก็ตามแต่ เป็นผู้สอน เป็นผู้ฟัง เป็นผู้พูด ไม่ต้องไปยึดถือว่าเป็น นั่นแหละเป็นทางออก เป็นทางออก เหนือภพ สิ้นภพ สิ้นภพ สิ้นชาติ สิ้นภพ สิ้นชาติ สิ้นชาติก็สิ้นทุกข์ ไปขันที่อื่นเถิด (เสียงไก่ขัน) เป็นไปไม่ได้ ถ้ามันยังมีการยึดถือ ยึดถืออยู่ มันก็ยึดถือหมด ทั้งข้างนอกข้างใน ถ้าจิตไม่ยึดถือ แม้อยู่ในภพ ในโลกนี้ก็ไม่ได้อยู่กับเขาหรอก สิ้นภพ หรือเป็นอภพ เป็น คือมันไม่มีภพ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ มันจะรู้สึกว่าเป็นอะไรก็เอาเถอะ รู้สึกว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ถ้าไม่ได้ยึดถือในความเป็น ก็เรียกว่ามันไม่มีภพ ไม่มีของหนัก ไม่มีของหนัก ไม่มีอัตตา ไม่มีภพ ไม่มีของหนัก จะเรียกว่าศิลปะ หรือว่ายอดศิลปะ เรียกว่าเทคนิค ก็ยอดเทคนิค เหนือและสูงสุดของเทคนิค เทคนิคสำหรับไม่มีความทุกข์ มันลึกซึ้ง เมื่อเป็นโดยไม่ต้องมีความเป็น โดยไม่ต้องยึดถือในความเป็น มันก็เป็นตามธรรมชาติ มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ ร่างกายจิตใจก็เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ว่าจิตฉลาดจะไม่ยึดถือกับความเป็น จิตหลุดพ้น พ้นจาก ตัณหา อุปาทาน พ้นจากภพ พ้นจาก ถ้าเรายังมีชีวิตทุกครั้งที่หายใจออกเข้าชนิดที่ว่า ไม่มีภพ อยู่เหนือภพ ไม่เป็นภพ อานาปานสติในขั้นสุดท้ายกับชีวิตฉันทะ ก็คือระดับนี้ สลัดตัวตนออกไปหมดแล้ว ก็มี ก็ไม่มีภพ ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เหลืออยู่ก็คือการถือไว้ เป็นความไม่เที่ยง ก็มีราคะ เมื่อมีราคะ จะมีโลภะ มีโลภะแล้วก็หมด หมดในสิ่งที่ยึดถืออยู่ สิ้นภพ สิ้นชาติ สิ้นทุกข์ สิ้นอะไรต่างๆตอนนี้ ถ้ามีสติก็ทำได้ แม้แต่ชั่วคราวๆก็ยังดี ดีกว่าไม่มีเสียเลย ไม่มีเวลาที่ไม่มีความทุกข์ มีเวลาที่ไม่มีความทุกข์ ถ้ามีความทุกข์ติดต่อกันไม่มีว่างเว้นไม่มีว่าง ไม่ไหว ความหลับมันก็ยังฝันให้เป็นภพได้ มันเป็นมากเกินไป มันไม่รู้สึกเป็นอะไร มันก็ไม่ฝัน มันจะเป็นอะไรอยู่มันก็เอามาฝัน เป็นโน่นเป็นนี่ นี้สรุปใจความสั้นๆว่า เรื่องทั้งหมดในพุทธศาสนา มันก็เป็นเรื่อง สิ้นภพ หมดภพ เหนือภพ กำจัดภพ พ้นจากภพ แต่เราก็ไม่ค่อยได้พูดกันโดยสำนวนนี้ พูดไปในแง่ความทุกข์ เหนือทุกข์ สิ้นทุกข์ ดับทุกข์ มันก็สิ่งเดียวกันทั้งหมด หมดภพ ก็หมดทุกข์ ไอ้ความทุกข์มันก็อาศัยอยู่ในภพ คือความเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไปคิดดูเถิดว่า ถ้าจะต้องพูดให้ฝรั่งฟังจะพูดอย่างไร จะใช้คำอย่างไร เขาจึงจะเข้าใจถูกต้องได้ เพิ่งมีๆ ความคิดว่าฉันเป็นอะไร เกิดจาก ตัณหา อุปาทาน ตัณหาแล้ว อุปาทานแล้ว มันจึงมีความคิดว่าฉันเป็น คือฉันต้องการอะไร แล้วก็ฉันจะเป็นอย่างนั้น แล้วแต่เถอะ แต่จะดีถ้าจะเข้าใจคำไหน จะเข้าใจด้วยคำพูดคำไหน ถ้าตายแล้วก็หมดเรื่องก็ได้ ถ้าจะคิดอย่างนั้น ก็ดีเหมือนกัน มันง่ายๆ มันก็ยังมีความคิดแบบตัวตน เป็นตัวตนอยู่ มันก็มีตาย ตลอดไป มีตายตลอดเวลาที่มีตัวตน ถ้าคุณยืนยันว่า เข้าโลงแล้วหมดตัวตน แล้วถ้าคิดกันได้ ถ้าเข้าโลงก็หมดตัวตน มันก็ง่ายนิดเดียวนะ ก็รอเข้าโลง ก็ดับทุกข์ทีเดียว ถ้าไปเกิดใหม่ก็มีปัญหาอย่างเดียวกันอีก ถ้าไม่เกิดก็ดี (นาทีที่ ๒๙.๕๐) เดี๋ยวจะไปเข้าเรื่องตัวอย่างคำสอนที่หนังสือพิมพ์ลง มันชวนกันกินยาฆ่าตัวตายหมด ไปอ่านหนังสือพิมพ์วันนี้ ไม่ใช่ทั้งครอบครัวแต่ทั้งคณะ นิกาย ……(นาทีที่ ๓๐.๑๓) เขาก็บอกกันว่า นี่ไงมันปฏิบัติถูกต้องแล้วนี่ ถ้าตายก็ไปอยู่กับพระเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย แล้วเราจะรอเสียเวลาอยู่ที่นี่ทำไม ก็จะรีบไปหาพระเจ้า ชวนกันกินยาตาย ลูกเล็กเด็กแดง (นาทีที่ ๓๐.๓๙) ตายกันทั้งนิกายและทั้งคณะนิกายหมด ถือว่าความตายเป็นหนทางแห่งการหมดปัญหานี้ (นาทีที่ ๓๐.๔๙) แต่เดี๋ยวนี้ก็กลัวตาย กลัวตาย จนกว่าจะรักความตายถึงขนาดนี้ และเดี๋ยวนี้ก็เชื่อว่าตายแล้วเกิดอยู่ด้วย ตายแล้วเกิด มันอาจจะคิดว่าตายแล้วหมดปัญหา ไปเกิดอีกก็ตั้งต้นกันใหม่อีก มันสอนกันแบบ (นาทีที่ ๓๑.๑๕) ที่นี่ก็ไม่ได้เกิดอยู่ ที่นี่ก็ไม่ได้เกิดอยู่ ดีกว่า แต่ว่าประโยชน์สูงสุด ที่เกิดอยู่ ที่นี่ก็ไม่มีความทุกข์ (นาทีที่ ๓๑.๒๗) ที่นั่งอยู่ไม่เกิด เกิดอยู่ไม่มีตัณหา อย่างนี้ดีกว่า ตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตายแล้วใครจะเป็นคนได้รับประโยชน์ ไม่มี เหนือตาย เหนืออะไร (นาทีที่ ๓๑.๔๕) เกิด จึงไม่มีตัวตนหรือเหนือตาย เหนือเกิด เหนือตาย นิพพานกันโดยไม่ต้องตาย นั่นแหละพุทธศาสนา วันหลังก็พูดเรื่องนิพพาน นิพพานโดยแท้จริงก็ไม่ต้องตาย ไม่ต้องรอก็ตายแล้ว หมดความทุกข์ หมดตัวตน นิพพานทันที ก็อยู่สบาย สบาย มันไม่มีคำพูดจะใช้ อยู่เหนือทุกข์ หมดตัวตนก็อยู่เหนือความทุกข์ นิพพานเดี๋ยวนี้ ที่นี่โดยไม่ต้องตาย แล้วแต่ว่าภพ พอกันที รู้ความหมายคำๆนี้ถูกต้อง ใช้ความหมายถูกต้อง ใช้ถูกต้อง อย่างไปเข้าใจผิด ไปตามพวกที่เข้าใจผิด โดยใช้ความหมายคำๆนี้ มันผิด อย่าไปยกพระอภัยว่าเป็นจอมไตรภพ เรื่องต่อไป เรื่องเรียนอะไรก่อน หัวข้อว่าเรียนอะไรก่อน มันน่าประหลาดที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆ ตรัสไว้ตรงๆ ก็ไม่เอาถือเป็นหลัก เรียนเรื่องอะไรก่อน เล่าเรื่องไหน ต้องเล่าเรื่อง ขอเล่าเรื่องหน่อย จะตอบคำถามว่าเรียนอะไรก่อน คือจุดตั้งต้น ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้า ท่าน เหมือนใครนะ อยู่องค์เดียว รู้สึกนั่งอยู่องค์เดียว มองไม่มีใคร ท่านก็ท่อง ปฎิจจสมุปบาท เหมือนกับเด็กๆ ท่องสูตรคูณ ท่องสูตรคูณ หรือว่าใครก็ตามที มันปากไม่สุก ว่าง ๆ ก็ร้องเพลง ปัจจัยมันมีเพียงเท่านี้เอง มันอยากจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง มันก็ท่องออกมา ผิวปากเล่น ร้องเพลงเล่น ท่านท่องเป็นปฎิจจสมุปบาทขึ้นมา แต่ว่าไม่ต้องตั้งต้นมาจากอวิชชา สังขาร วิญญาณ เรื่อง อายตนะ อายตนะ โดยที่ไม่ต้องอธิบาย โดยไม่ต้องถาม อายตนะ มาจากไหนนะ เอาเป็นว่าเรามีอายตนะกันแล้ว ตา ลิ้น จมูก หู กาย ใจ มีอยู่แล้ว รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มีอยู่แล้ว ตั้งต้น อายตนะ ว่า ปฎิจจสมุปบาท เข้ามาสัมผัสก็มีอยู่แล้ว อรูป
(นาทีที่ ๓๕-๓๗) ประโยคแรก วิญญาณ โส ๓ อย่างนี้รวมกันอยู่เรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ เวทนา ปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดภพ เกิดความคิดทั้งปวง
เรื่องตา ตาถึงกันเข้ากับรูป เกิดสติวิญญาณ มาถึงเรื่องหู หูกับเสียง เสียงกันเข้าเกิดโสตวิญญาณ จมูกกับกลิ่นก็เหมือนกัน เกิด วิญญาณ มาถึงกันเข้าก็เกิด จิตกันทันมาลิ้นกับรสมาถึงกันเข้า วิญญาณ ถึงกันเข้าก็เรียกว่ามโนวิญญาณ ทั้ง ๓ประการนี้ เวทนา เวทนา เรียกว่าผัสสะ ถ้านั่งสาธยายกันอยู่อย่างนี้ ใช้คำว่าสาธยายเหมาะที่สุด ถ้ามันหมดเรื่องที่เจ้าต้องเรียนแล้ว รู้ ไม่ใช่ท่องสูตรคูณก็ได้ กระท่อนกระแท่น อาตมาเดาเอาเพราะเรื่องนี้มันเต็มปรี่อยู่ในจิตใจของท่าน ท่านต้องการจะตรัสรู้ หลุดพ้นเรื่องนี้ พ้นเรื่องนี้ เรื่อง ปฎิจจสมุปบาท และวันนั้นก็ตรัสรู้ ตรัสรู้เรื่อง ปฎิจจสมุปบาท ในยามสาม แล้วก็มานั่งย้ำ ๆในเรื่องนี้มานั่ง ในเรือนแก้ว เรื่อง ปฎิจจสมุปบาท นี้มันต้นเหตุอยู่ที่จิตใจ เป็นไปว่าพอว่างขึ้นมา เวลาว่างขึ้นมาไม่มีอะไรรบกวน ปากก็พูดออกมา เรื่อง ปฎิจจสมุปบาท เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ที่เผอิญมีพระภิกษุองค์หนึ่งมันแอบอยู่ข้างหลัง พระเจ้าเห็นแอบอยู่ข้างหลัง มันก็แสดงตัวออกมา พระพุทธเจ้าท่านก็เหลือบไปเห็นเข้า ชาวบ้านก็เหลือบไปเห็น แล้วท่านก็บอกอ้าว อยู่นี่ อยู่นี่ เอาไปๆๆ นี้เป็น อาทิพรหมจรรย์ อาทิพรหมจรรย์ ก็คือจุดตั้งต้น เบื้องต้นของพรหมจรรย์ คือเรื่องนี้ คือเรื่องปฎิจจสมุปบาท มันชัดเหลือเกินคือเรื่องนี้ พระพุทธเจ้า ตั้งต้นศึกษาเรื่องนี้ เรื่องนี้คือเรื่อง ปฎิจจสมุปบาท แต่บัดนี้เราไม่เห็นอย่างนี้นะ เรื่อง ปฎิจจสมุปบาท เรื่องนี้ยากมาก ลึกมาก ไว้เรียนทีหลัง ไปเรียนเป็นนักธรรม นักธรรมชั้นสูง เป็นเรื่องที่ยาก เอามาเรียน เรื่องแรก แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่านี้คือ อาทิพรหมจรรย์ จุดตั้งต้นของเรื่องพรหมจรรย์คือ เรื่องนี้ คือหมายความว่าเราต้องตั้งต้นด้วยศึกษาปฎิจจสมุปบาท กอ ขอ กอกา ของพรหมจรรย์ ก็คือเรื่องนี้ กอ ขอ กอกา แรกเริ่ม กอ ขอ กอกา กอ ขอ กอกา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส เกิดผัสสะทางอารมณ์ คือ อายตนะ ๖ คู่ คือ กอ ขอ กอกา จงเรียนเรื่องนี้เป็นเรื่องตั้งต้น เป็นอายตนะถึงกันเข้า อายตนะถึงกันเข้าเกิดวิญญาณ ที่ว่ากันไว้ในสูตร มีอายตนะ ใน นอก และวิญญาณ ๓ ประการก็เรียกว่า ผัสสะ มีผัสสะก็มีเวทนา มีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน มีภพ มีชาติ มีทุกข์ทั้งปวง นี่คือ กอ ขอ กอกา แรก ที่จะเรียนเป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ คือ เรียนเรื่องอายตนะ จะมีปัญหาอะไร มันมีอยู่แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีอยู่แล้ว รูป เสียง กลิ่น รส มันมีอยู่แล้ว พบ ก็พบกันอยู่แล้ว จะเรียนเรื่องอายตนะภายใน อายตนะภายนอก เกิดวิญญาณ เมื่อ ๓ ประการนี้มันถึงกันอยู่ ที่เรียกว่า อายตนะ ภายในมันสัมผัสภายนอก โดยอาศัยวิญญาณเป็นเครื่องมือ ๓ ประการนี้ถึงกันอยู่ก็เรียกว่า ผัสสะ เป็นสิ่งที่เห็นกัน มีอยู่จริง ยังไม่รู้จัก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่จำเป็น รูป เสียง กลิ่น รส เข้ามา เกิดวิญญาณขึ้นมา ผัสสะ ผัสสะ รู้จักผัสสะ รู้จักเวทนา เกิดจากผัสสะ เกิดตัณหา อุปาทานขึ้นมา อย่าฟังเป็นเรื่องภาษาบาลี ไม่รู้ว่าอะไร ผัสสะ ในความรู้สึกอยู่ ก็เกิดเวทนา สัมผัสอยู่กับเวทนา มีเวทนาก็รู้สึกอย่างไร ก็เกิดตัณหา เกิดความอยากๆไปตามเวทนานั้น อยากในสิ่งใดก็มีอุปาทานในสิ่งนั้น ยึดมั่นถือมั่น แล้วมันก็เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูผู้อยากขึ้นมา นี่คือภพ ภพ มันมีความอยากก่อน ก็เกิดความรู้สึก เป็นตัวกูผู้อยาก มันก็คือภพ มีชาติ มีตัวกู มันแสดงบทบาทออกมา เต้นแร้งเต้นกา คว้าเอาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องด้วยเป็นความทุกข์ เรื่องนี้มีความประหลาดก็คือ เรื่องนี้มันมีอยู่แล้วๆ มีอยู่ทุกวินาที มันก็ไม่สนใจว่าเป็นเรื่องจุดตั้งต้นเรื่องของศึกษา (นาทีที่ ๔๒.๓๓) การศึกษาพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ ในเมืองไทยก็ดี พม่าก็ดี ลังกาก็ดี มันไม่ได้ยกเรื่องนี้เป็นการศึกษาเรื่องแรก เรื่อง (นาทีที่ ๔๒.๔๙) ก็ลึกลับอยู่นะ ลึกลับอยู่ เรียนอะไรไม่รู้ เรียนเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียมากมาย ไปเรียนเรื่องทำบุญให้ทานกันเสียมากมาย เต็มไปหมดไม่เรียนเรื่องปฎิจจสมุปบาท แต่มีปัญหาว่าเรียนเรื่องอะไรเป็นเรื่องแรก พยายามจะทำความเข้าใจทุกคน เอ้อเรื่องแรก เรียนจากสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว เป็นอายตนะ เป็นวิญญาณ เป็นผัสสะ เป็นเวทนาที่มีอยู่ทุกวันๆๆๆ เรียนเรื่องไปตามลำดับ จะไปพบ พบจุดสุดท้ายปลายทางคือดับทุกข์ นี่คือเรียนเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเรียนในเรื่องสิกขา ไม่รู้สิกขาอะไร ที่ไหน ก็ไม่รู้ ยอดสุดของการสิกขา คือเรื่องนี้ มาดูที่อาสนะ ดูวิญญาณ ดูผัสสะ ดูเวทนา ดูตัณหา มันจะลัดสั้นที่สุด เร็วที่สุด ดับทุกข์ได้เร็วที่สุด นี้เป็นเรื่องที่เรียกว่า ควรจะรู้เป็นเรื่องแรก ควรจะรู้เป็นเรื่องแรกๆ เรื่องแรก จุดตั้งต้นเรื่องแรกที่จะศึกษา อาตมาก็เหมือนกันพอบวชเข้ามามันก็ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ สนใจศึกษาเรื่อง ปัจเวก ในทางปฎิญาณบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องนี้ มันเป็นคำพูดที่อ้อมค้อมจนไม่รู้ว่าเป็นเรื่องนี้ นี่เราเรียนนักธรรม เรียนนักธรรม ตามแบบ เผลอแล้วเราก็อาจไมรู้กี่เรื่อง กี่เรื่อง เสียเวลาเป็นเดือนๆไป ก็ไม่เจอเรื่องปฎิจจสมุปบาท ปีที่สองเรียนนักธรรมโท จึงจะมีเรื่อง ปฎิจจสมุปบาทมาให้เรียน ครูก็สอนแบบไหนก็ไม่ทราบ ไม่เข้าใจได้เลยๆ ก็คือว่าในนักธรรมโท หลักสูตรมันสอนปฎิจจสมุปบาทแบบ พุทธโฆษาจารย์ (นาทีที่ ๔๕.๐๔) สำนัก การมีตัวตน เวียนว่ายตายเกิด (นาทีที่ ๔๕.๑๐) ใหญ่โต มันบอก จำไม่ได้ เป็นเรื่องปฎิจจสมุปบาท ที่มีตัวตน เวียนเกิดเวียนตาย ข้ามภพ ข้ามชาติ เห็นว่าปฎิจจสมุปบาท ข้ามภพ ข้ามชาติ เราไม่เอาๆ เดี๋ยวนี้เราไม่เอา ในพระพุทธศาสนา นี่คือทำให้เราพลาดกัน จากเรื่องที่ควรจะเป็นเรื่องตั้งต้น คือเรื่อง ปฎิจจสมุปบาท เป็นเรื่องสูงสุด และก็ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง แต่เราไม่สอนกัน ไปสอนเรื่องไม่มีตัวตน ดับทุกข์ ตรงกันข้ามเตลิดเปิดเปิงไปที่อื่น จะเป็นไปได้ไหมอาตมาขอร้องหรือท้าทายว่าเลย ไปสอนรุ่นเด็กๆ ที่เรียนชั้นประถม เคยรู้จักๆไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้จักไหมๆ อะไรมากระทบตา อะไรมากระทบหู อะไรมากระทบจมูก ทั้งหมดนี้รู้จักไหม รู้จักไหม ไม่รู้จัก เมื่อกระทบกันแล้วมันเกิดอะไร เช่นตากระทบรูป หรือรูปมากระทบตา เกิดการเห็นทางตา ใช่ไหม ไม่มากระทบ ไม่มีการเห็นทางตา เมื่อมากระทบทางตาแล้ว ก็มีเห็นทางตา มีการได้ยินทางหู มีการได้กลิ่นทางจมูก มีการได้รสทางลิ้น มันเป็นเรื่องชัดเจนที่เด็กๆจะเข้าใจได้ มันมีการสัมผัสกันระหว่างสิ่งนี้คือ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน และ วิญญาณ เรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ คือการกระทบของสิ่งทั้ง ๓ (นาทีที่ ๔๗.๐๕) ตามจริง ๓ ผัสสะ ก็มี ๓ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน และวิญญาณ ๓ ประการทำหน้าที่กันอยู่ เรียกว่า ผัสสะ สอนกันมาผิดๆ ตามไร้สาระ ๒ อย่าง ตากระทบรูปเรียกว่าผัสสะ นี่มันไม่ถูก มันไม่มีวิญญาณ ที่จะมาทำความรู้สึกทางตา (นาทีที่ ๔๗.๓๐) เห็นชัดตามบาลี ๓ อย่างนี้ ตา ก็คือ รูป การเห็นทางตา มันเป็น ๓ อย่าง มันทำงานถึงกันอยู่ ด้วยกันอยู่ เรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ มีการกระทบกัน แล้ว โดยสมบูรณ์เกิดขึ้นแล้ว รู้สึกแก่จิต จิตนี้ มีเวทนานี้ มีความรู้สึก พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง หรือใน ๓ อย่างนี้ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง เด็กก็เข้าใจ ทำไมจะไม่เข้าใจ ถ้ามีความสุข รู้สึกเป็นสุข อยากจะได้อย่างในฐานะที่เป็นสุข ถ้ามันเป็นความทุกข์ มันก็อยากจะทำลายในฐานะที่เป็นความทุกข์ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์มันก็โง่เท่าเดิม มันก็สงสัยอยู่ว่ามันจะเป็นอย่างไร ได้แต่เสนอให้ดีก่อนว่า จะได้ผลเป็นอย่างไร หวังว่าจะได้ผลอย่างนั้น มีตัณหาอย่างนี้ ตามเวทนา อยากๆๆ อย่างนี้แล้ว เกิดอยาก ที่อยากที่ต้องการอย่างนั้นๆ ตัวกูที่เกิดใหม่เป็นผีหลอกขึ้นมา อยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้ เรียกว่า อุปาทาน ตัวกูมีอยู่ก่อน เป็นเพียงปฏิกริยาของความอยาก เป็นความรู้สึกที่อยากๆ ก็ยึดถือเป็นตัวกู อย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อมีตัวกูมาแล้ว มี existence มีตัวกู คือมีความเป็นตัวกูขึ้นมาแล้วอย่างนี้ มันก็เรียกว่าภพ ความมีแห่งตัวกู จุดตั้งตน จิตตั้งต้น เหมือนกับว่ารับสัมผัส แก่เข้าๆๆ คลอดออกมาเป็นธาตุๆ ตัวกูกระโดดมาแสดงบทบาท มันก็เป็นทุกข์ อย่างนี้ทุกเรื่อง ก็ไปคว้าเอามาเป็นของกู ของกู ของเกิด ของแก่ เด็กเข้าใจได้ ประเสริฐที่สุด (นาทีที่ ๔๙.๕๐) วิเศษที่สุด มันเข้าใจหัวใจพระพุทธศาสนา ถูกต้องตรงตามพระพุทธประสงค์ ถ้าอาตมาไปเสนอกระทรวงศึกษาธิการให้เขาจัดการศึกษาอย่างนี้ เขาก็จะว่า บ้า บ้าแสนบ้า ไอ้เรื่องอย่างนี้มาสอนเด็ก มันเป็นอย่างนี้ มันทำไม่ได้ นั่นคือพระพุทธเจ้าท่านเป็น อาทิพรหมจรรย์ อาทิพรหมจรรย์ เอาไป เอาไป เอาไป เอาไปถือ รับเอาไป อย่าง อาทิพรหมจรรย์ นี่คือ ปฎิจจสมุปบาท คือ พระพุทธเจ้าท่านนำไปสาธยายเองแล้วมอบให้ เป็นครั้งแรกแก่ภิกษุ นี้เป็นอาทิพรหมจรรย์ คือจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ ดังนั้นถ้าเราจะถามว่า จะเรียนอะไรเป็นเรื่องแรกล่ะ เรียนอะไรเป็นเรื่องตั้งต้น จุดตั้งต้นกัน เรียนพระพุทธ เรียนพระธรรม เรียนพระสงฆ์ เรียนพุทธประวัติ เรียนเป็นเดือนๆ พุทธประวัติ เรียนเป็นเดือนๆ (นาทีที่ ๕๑.๐๕) แล้วเดี๋ยวนี้มีแต่ความเจริญ อะไรนะ เขาเรียกกันที่อะไรเอ่ย ศาสนวัตถุ ศาสนอะไร หลายอย่างๆ เหล่านี้ไม่เกี่ยวกับ ปฎิจจสมุปบาทเลย ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ศาสนกิจ ศาสนอะไร เรียนเรื่องวิสาขะ มาฆะ อาสาฬ เต็มไปหมด (นาทีที่ ๕๑.๒๙) ไม่มีตัวตน ใครช่วยทำที ให้กระทรวงศึกษาธิการเขารับเอาเรื่องต้นของพรหมจรรย์ เป็นจุดตั้งต้นให้เด็กเรียน มันจะรู้ธรรมะ แล้วมันจะไม่เห็นแก่ตัว มันจะไม่มีตัว มันจะไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะไม่กัดกัน หนังสือพิมพ์วิทยาการ เอาอะไร อาตมาพูดตรงนี้ไปลงแล้ว อาตมาพูดหยายคายที่สุด พอสัมภาษณ์ที่เป็นส่วนตัวที่นี่ เอาไปลง เอาไปลงในวิทยาการ ระบุตัวอาตมาว่า (นาทีที่ ๕๒.๐๘) เดี๋ยวนี้ในมหาวิทยาลัยมีแต่กัดกัน ไม่เป็นอันเล่าเรียน เห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาด ยิ่งเรียน ยิ่งฉลาด ยิ่งเห็นแก่ตัว พ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ แม่ฆ่าลูก (นาทีที่ ๕๒.๒๓) หมางเมิน ไม่เข้าใจเรื่องอะไรเกลียดกัน กลายเป็นเรื่องแรกไม่รู้จักจบ ตั้งต้นเรียนพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ก็คือ เรียนเรื่องความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร แล้วความทุกข์จะดับลงไปได้อย่างไร นั่นคือเรื่อง ปฎิจจสมุปบาท ในเรื่อง ปฎิจจสมุปบาท มันสอนวิเศษทั้ง ๒เรื่องก็คือว่า ไม่มีตัวตน ปฎิจจสมุปบาท จะเห็นว่าไม่มีตัวตน ปฎิจจสมุปบาท จะเห็นว่าจะดับทุกข์อย่างไร มี ๒ เรื่อง ไม่มีตัวตนเรื่องหนึ่ง ดับทุกข์อย่างไรเรื่องหนึ่ง ทว่าประเทศไหน กระทรวงศึกษาของประเทศไหน บรรจุให้เรียนเป็นเรื่องแรก การศึกษาพระพุทธศาสนาจะวิเศษ วิเศษ จะวิเศษ ไม่เป็นหมัน ไม่รอช้าๆ ให้เลือกใช้ มันจะเรียนเรื่องอะไร (นาทีที่ ๕๓.๓๖) ที่มันมีให้เรียน มันไม่เกี่ยวกับไม่มีตัวตน นี่ประเทศไทย ประเทศไทย ที่เด็กๆไม่รู้พุทธศาสนาที่เป็นประโยชน์ ประเทศไทย ประเทศไทย ช่วยโวย โวยให้กระทรวงศึกษาได้ เข้าใจเรื่องนี้ๆ ให้เด็กเรียนเป็นเรื่องเแรก เรียนเรื่องจากตัวจริงที่มีอยู่ที่ตัวจริงๆ ที่เนื้อที่ตัวจริงๆ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอะไรมากระทบ แล้วเกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา อย่างนี้มันถ้าจะเรียนหมด เรียนทั้งหมด พอเราเข้าใจเรื่องนี้ เข้าใจเรื่องดับทุกข์ เราก็จะรักพระพุทธเจ้าโดยอัติโนมัติ เราจะรักพระธรรมโดยอัติโนมัติ เราจะรักพระสงฆ์โดยอัติโนมัติ โดยไม่ต้องเรียน ไปเสียเวลาเรียนเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ไม่รู้อะไร เป็นวักเป็นเวร ไปเรียนเรื่องหัวใจของมัน (นาทีที่ ๕๔.๓๖) ทุกเรื่อง คนนั้นจะรักพระพุทธเจ้าในฐานะที่รู้เรื่องนี้ สอนเรื่องนี้ วิเศษเหลือเกิน พระธรรมก็คือเรื่องนี้วิเศษเหลือเกิน พระสงฆ์จะน่าเคารพบูชา เพราะท่านปฎิบัติเรื่องนี้ได้ พระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง ก็เกิดขึ้น แต่เดี๋ยวนี้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนกแก้วนกขุนทอง อมตะแบบ นกแก้วนกขุนทอง (นาทีที่ ๕๕.๐๙) รักอย่าง นกแก้วนกขุนทอง พุทธศาสนาไม่แพ้ชาติใด (นาทีที่ ๕๕.๑๗) มันมีแต่เปลือก กระทรวงศึกษาธิการ มันมีแต่เปลือก เปลือกกับขี้ เต็มไปหมด พุทธศาสนา คาดเดาไม่ถูกเลย เขาไม่ได้จัดให้ ไม่ได้จัดให้ ช่วยไปคิดๆ ศาสนา เรียนเรื่องอะไรก่อน พุทธบริษัทจะต้องเรียนอะไรก่อน เขียนไว้เท่านั้น เท่านั้นนะ จึงจะพบเอง จะพบได้เอง พุทธบริษัทจะต้องเรียนอะไรก่อน ลูกเด็กๆก็ดี หนุ่มสาวก็ดี พ่อบ้าน แม่เรือน คนเฒ่า คนแก่ก็ดี จะต้องเรียนอะไรก่อน อีกหน่อยมันก็จะพบว่าไอ้เรื่องที่ควรจะเรียนก่อน สำเร็จไปถึง (นาทีที่ ๕๖.๐๕) มันคือเรื่องนี้ เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีผัสสะ มีเวทนา มีความทุกข์ มีความบ้าเป็นตัวกู ของกู ตัวกู ของกู เห็นแก่ตัวๆ เป็นกิเลสมหาศาลขึ้นมาแล้วก็ทำลายความสงบสุข ให้เรียนอย่างที่เรียนนี้ เด็กไม่มีทางที่จะเกลียดความเห็นแก่ตัว มันจะทะเลาะกันระหว่างนักเรียนด้วยกัน ระหว่างชั้น ระหว่างวิทยาลัย มันจะตีกันเรื่อยไป มีตัวกูของกู หา (นาทีที่ ๕๖.๔๕) ให้เรียนเรื่องที่มันหยุด หยุดตัวกู หยุดของกู หยุดตัณหา อุปาทาน เด็กจะพบแต่สิ่งที่น่ารักคือการดับทุกข์ มันจะไม่เห็นแก่ตัวต่อไป มันจะไม่มีตัณหาเกิดขึ้น เป็นพ่อแม่ที่ดี สอนลูกถูกต้อง บ้านเมืองก็สงบ โลกนี้ก็สงบ ขอโอกาสพูดว่าไอ้สหประชาชาติมันบ้าบอที่สุด มันไม่เอาเรื่องที่มีประโยชน์ที่สุดไปให้คนเรียนกันทั้งโลก ปฏิบัติกันทั้งโลก ไอ้เรื่องเห็นแก่ตัวๆไปทะเลาะกัน มันก็ไม่ได้ผล ที่สุดที่เห็นแก่ตัวก็อยู่ที่สหประชาชาติ ต่างฝ่ายต่างทะเลาะโต้เถียงกันเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัว จะมีกี่สหประชาติ ที่จะมาช่วยเพื่อโลก มีดอกเตอร์สอนเรื่องหัวใจของพุทธศาสนา ทำลายความเห็นแก่ตัวไม่มีเปลี่ยน ถ้าจะเอาเข้มข้นที่สุดก็เอาของพระพุทธศาสนาไป คือเรื่องที่กำลังพูดนี่แหละ เรียนเรื่องอะไรก่อน ดีแล้ว (นาทีที่ ๕๘.๐๘) ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีอยู่แล้ว ไม่หยิบขึ้นมาดู เรื่องเกี่ยวกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องผัสสะ เป็นเวทนา เป็นตัณหา ไม่หยิบขึ้นมาดู แล้วเรื่องที่มีอยู่ (นาทีที่ ๕๘.๒๕) ไม่หยิบขึ้นมาดู แล้วมันจะเรื่องดับทุกข์ได้อย่างไร ความทุกข์มันอยู่ที่นี่ ไปเที่ยวหารอบโลกคิดดู เด็กๆ เรียนเรื่องรอบโลกประเทศทั้งหลาย มีโลกกี่โลกมันรู้หมดแล้ว ประเทศไหนมีเมืองหลวงชื่ออะไร ตั้งอยู่ที่ไหน (นาทีที่ ๕๘.๕๐) ไปหากันรอบโลก เรื่องนี้มันอยู่ที่นี่ (นาทีที่ ๕๘.๕๔) เทวบุตรที่เคยเล่าให้ฟัง เทวดาองค์นี้วิ่งไปหาที่สุดโลก (นาทีที่ ๕๙.๐๕) ในความเลวสูงสุดก็ไม่พบที่สุดโลกไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปพบที่สุดโลก (นาทีที่ ๕๙.๑๕) ถ้าพูดอย่างสำนวนโวหารธรรมดาที่เราพูดกัน ธรรมดา ไอ้บ้า มึงไปเที่ยวหาทั่วรอบโลก มันอยู่ในร่างกายนี้ ที่สุดของโลกอยู่ในร่างกายนี้ ไม่ต้องไปหา (นาทีที่ ๕๙.๓๑) ไอ้บ้า (นาทีที่ ๕๙.๓๖) มันมีบัญญัติอยู่ไว้ มันในร่างกายนี่ เพื่อที่จะเป็นอิสระ (นาทีที่ ๕๙.๔๕) ไอ้บ้าไปเที่ยวหารอบโลก มันอยู่ในร่างกายนี่ (นาทีที่ ๕๙.๕๓) ไม่ต้องไปหารอบโลก กระทรวงศึกษาธิการ สอนเด็กให้ไปเที่ยวหาทั่วโลก ทั่วโลก ไปหาทั่วโลก ไม่หาในร่างกายนี่ อยู่ตรงคำถามที่ว่า เราจะตั้งต้นเรียนเรื่องอะไรกันก่อน ถ้าเชื่อในพระพุทธเจ้า ก็ตั้งต้นเรียน เรื่องนี้เรื่องที่มีอยู่ในตัว คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในรูปของปฎิจจสมุปบาท นี่มัน ๓ ชั่วโมงแล้ว มันเป็นเรื่องฟังดูจะคล้ายกับเบ็ดเตล็ด แต่ความจริงมันเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับเบ็ดเตล็ด (นาทีที่ ๖๐.๔๗) ของเรื่องแต่ละเรื่อง แต่ละเรื่อง แต่ละเรื่อง ที่เราทำกันไม่ถูกต้อง คือมันยังไม่ถึงหัวใจ (นาทีที่ ๖๐.๕๓) แล้วท่านจะกลับเมื่อไร แล้วอีกกี่วัน อยากจะทราบ กลับวันที่ ๒๐ วันนี้วันที่เท่าไร ๑๖ มีอีก ๓-๔ วัน ก็มาฟังก็ได้เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน ๑๗ ให้เจ้าหน้าที่ เที่ยวไปหาที่สุดโลกรอบโลก ไปดูรูปภาพของพระพุทธเจ้า อยู่ที่หลังม่านความโง่ของคุณ คุณไปหาที่เมืองไทย คุณไปหาที่อินเดีย แต่ความจริงอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ ที่ในตัวคุณ คุณไม่หา (นาทีที่ ๖๒.๒๔) ทุกคราวไป อย่าให้มันขาด เฮ้ยมึงผิด กูถูก เฮ้ยมึงผิด กูถูก คำนี้ รู้ (นาทีที่ ๖๒.๕๒) ไปดูคำอธิบายที่ (นาทีที่ ๖๒.๕๕) เฮ้ย เฮ้ยมึงผิด กูถูก ปัญหาล่าสุด มันไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรอก ถ้าพยายาม พบที่ธรรมะ ไม่ได้ใช้ ไม่กินอาหาร ไม่กินอาหาร