แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาฆบูชาเทศนา วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 เวลา 15.00 น. บนโบสถ์ยอดภูเขาพุทธทอง (สวดมนต์)
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้วิสัชชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย ด้วยหัวข้อธรรมะดังที่ยกขึ้นไว้เป็นนิกเขกบทนั้น การจะยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลา ธรรมเทศนาในวันนี้ ท่านทั้งหลายก็ทราบได้ดีอยู่แล้วว่าเป็นธรรมเทศนาปรารถมาฆบูชา คือการบูชาอย่างยิ่งที่กระทำในวันนี้คือวันเพ็ญมาฆบูชา เป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ได้มาประชุมกัน และมีการประกาศหลักพระพุทธศาสนาในที่ประชุมนั้น โดยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามาทำในใจกันให้สำเร็จประโยชน์ เหมาะสมตามเหตุการณ์ที่มีอยู่ในวันนั้น ทุกๆประการเทอญ
อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายจากที่ไกลหลายจังหวัดหลายภาคก็มี มาประชุมกันในที่นี้ มีเหตุผลที่ควรจะกระทำคือจะได้รับผลดีกว่าดีกว่าที่ไม่ได้กระทำ ที่เป็นเหตุผลง่ายๆ ซื่อๆ อย่างนี้ คือจะได้เป็นการย้ำความรู้สึกแห่งจิตใจในการที่มีความเชื่อ มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา วันมาฆบูชาเป็นวันที่ควรจะถือว่าเป็นที่ระลึกแก่พระสงฆ์ แก่พระสงฆ์ทั้งปวงในพระพุทธศาสนา ดังที่จะกล่าวกันได้ว่าวันวิสาขบูชาวันแรกนั้นเป็นวันพระพุทธเจ้า มีเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า วันถัดมาวันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรม เกี่ยวกับการประกาศพระธรรมที่ได้ตรัสรู้ขึ้นมาในโลก ต่อมาก็ถึงวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระอรหันต์ทั้งหลายประชุมกันพันกว่ารูป ในลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่นแล้ว มีความเป็นพิเศษอย่างหนึ่งเพราะว่าทุกองค์เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ ประชุมกันพันกว่ารูปนี่มันจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่พิเศษหรือสูงสุดไปได้อย่างไรกัน ขอให้เราทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ในข้อนี้ ใจความสำคัญของวันนี้ คือวันพระอรหันต์หรือวันมาฆบูชาก็ตาม ก็ได้แก่โอวาทที่พระองค์ทรงแสดงไว้เป็นหลักสำหรับยึดถือ เป็นหลักทั่วไปในพระพุทธศาสนามีใจความสำคัญดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังได้สวดด้วยอยู่เองแล้วว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ ไม่ทำบาปทั้งปวง กุสลสฺ สูปสมฺปทา ทำความดีให้ถึงพร้อม สจิตฺตปริโยทปนํ ทำจิตของตนให้ขาวรอบ แปลตามตัวว่าขาวรอบ ปริโยทปนํ แปลว่าขาวรอบ ใจความสำคัญมันอยู่ที่ตรงนี้แหละ ไม่ทำบาปทั้งปวงข้อแรก แล้วก็ทำความดีกุศลทั้งปวง แล้วก็ทำจิตให้บริสุทธิ์ เอตัง พุทธานะ สาสะนัง นี่เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ข้อนี้มันคล้ายๆ กับยืนยันว่าบรรดาผู้รู้ทั้งหลายพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนก็ตาม ล้วนแต่สอนเป็นใจความอย่างนี้ คือสามข้อนี้ แล้วอาตมาก็เชื่อว่า แม้แต่พวกที่ไม่ใช่พุทธศาสนาโดยตรง เป็นศาสนาที่มีอยู่ก่อนกว่า เขาก็มีหลักอย่างนี้เหมือนกันแหละถ้าเขาเป็นผู้รู้ แต่ไม่ถึงขนาด ยังไม่ถึงขนาดแห่งความสูงสุดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เขาก็เป็นผู้รู้ นี่เขาก็สอนสามข้อนี้เหมือนกันแหละ ทีนี้ก็มีปัญหามันจะต่างกันอย่างไร ถ้าอย่างนั้นจะต่างกันอย่างไร มันก็ต่างกันตรงทำจิตให้บริสุทธิ์นั้นทำอย่างไร บริสุทธิ์ตามลัทธิศาสนาหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง บริสุทธิ์ตามลัทธิศาสนาหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง บริสุทธิ์ตามลัทธิพระพุทธศาสนานี้เป็นอย่างไร นี่เป็นอย่างไร เราก็พิจารณากันในส่วนนี้ ถ้าจะให้พูดให้สั้นด้วยคำเพียงสองสามคำก็ว่าทำจิตให้หมดสิ้นจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนออกไปจากจิตให้หมดสิ้น นั่นแหละจิตจึงจะขาวรอบ จิตจะถึงที่สุดสูงสุดตามหลักพระพุทธศาสนา ผู้อื่นเขาจะมีความบริสุทธิ์ตามแบบของเขา สุดแท้ตามใจเขาสิ แต่เขาก็นิยมหลักข้อนี้เหมือนกันแหละ ว่าทำจิตให้สูงให้บริสุทธิ์นั่นแหละ เป็นธรรมะสูงสุด ที่นี้เราจะถือเอาตามพระบาลีที่ทรงแสดงไว้ในเรื่องของความสุข มาเป็นเครื่องเปรียบเทียบให้เห็น พระพุทธเจ้าได้ตรัสความสุขไว้เป็นสามระดับคือสามชั้น หรือสามลำดับก็ได้แล้วแต่จะเรียก อันดับแรกเป็นความสุขเพราะไม่เบียดเบียน อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก ภานปูเตสุสนฺยโม อันความสำรวมในสัตว์ในชีวิตทั้งหลายไม่เบียดเบียนอยู่นั้นแหละเป็นความสุขในโลก อันดับแรกก็ไม่เบียดเบียนกันหรือ อันที่สอง สุขาเวลา กตฺตา โลเก กามนฺนนฺติกโม อันที่สองก็ว่าคลายความกำหนัดยึดถือ ก้าวล่วงกาม กามทั้งหลายเสียได้ นี่ก็เป็นความสุข ที่เป็นสูงขึ้นมาเป็นอันดับที่สอง เมื่อจิตพรากจากกาม ลำดับสุดท้ายลำดับที่สาม อสฺมิมานสฺส วินโย เอตํเว ปรมํ สุขํ การนำอัสมิมิมานะออกจะได้เป็นความสุขสูงสุด มีคำว่าเว โว้ย,ด้วย นำความยึดมั่นถือมั่นว่าเรามีเราเป็นเรียกว่า อัสมิมานะ อัสมิมานะ ความหมายมั่นยึดมั่นในจิตใจเราเป็นอย่างนั้นเรามีอย่างนี้ นั่นคืออัสมิมานะก็คือตัวตนนั่นแหละ มีตัวตนแล้วก็เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ระดับนั้นระดับนี้ เรียกว่าตัวตน ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเป็นอย่างนี้ นำอัสมิมานะอย่างนี้ออกเสียได้เป็นความสุขสูงสุด ความสุขสูงสุดนั้นอยู่ในระดับที่ว่าหมดความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน ตัวตน แล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ตนก็ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นมาได้ มันจึงเป็นความปราศจากกิเลสโดยประการทั้งปวง แล้วมันก็ไม่เบียดเบียนตนเองแล้วมันก็ไม่เบียดเบียนใคร เรียกว่าหมดความยึดมั่นว่าตัวตนเสียได้เป็นความสุขสูงสุด การทำจิตให้บริสุทธิ์สูงสุดก็ดีตรงนี้แหละ นั่นคือละอัสมิมานะว่าตัวตน อย่างนั้นอย่างนี้ออกเสียได้ เราจะต้องรู้ข้อนี้แหละ ข้อที่สูงสุดข้อนี้เราบริสุทธิ์จากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน จิตฺตปริโยทปนํ ทำจิตของตนให้ขาวรอบ หลีกเลี่ยงให้ทั้งหมดทั้งสิ้นจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ขอให้กำหนดคำๆ นี้ไว้ เพราะเป็นคำสำคัญที่สุด ที่เราพูดกันมากี่ปีๆ มันก็ยังไม่ค่อยจะเห็นผล ยังมีตัวตนมากขึ้นด้วยซ้ำไป ดูให้ดีสิ ไม่ต้องเข้าใครออกใคร ไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อลูกตาตนเองว่าในโลกนี้มันเต็มไปด้วย ความยึดถือว่าตัวตน ว่าตัวกู ว่าของกู แล้วก็เห็นแก่ตัวตน เห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ของกูมากขึ้นในโลก มากขึ้นในโลก เดี๋ยวจะได้พิจารณาให้ดีกันในข้อนี้ เดี๋ยวนี้เพียงแต่บอกให้รู้มันสูงสุดฝ่ายเลวที่สุดอยู่ที่ตรงมีตัวตน เห็นแก่ตน ฝ่ายสูงสุดประเสริฐที่สุดมันก็อยู่ที่ความไม่มีตัวตน ความไม่เห็นแก่ตัวตนนั่นเป็นข้อดีฝ่ายสูงสุด โลกมันกำลังจะวินาศ เพราะมันเพิ่มความเห็นแก่ตน เพิ่มความเห็นแก่ตน ถ้าท่านดูก็จะเห็น ท่านดูเองก็จะต้องเห็น ไม่ต้องเชื่ออาตมา แต่ท่านเป็นคนขี้เกียจดูก็มี ไม่อยากจะดูก็มี มันก็ไม่เห็นนะสิ เราทุกคนนี่ลองดูสิตั้งใจดูจะเห็นว่า โลกนี้มันกำลังเพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม ความเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตน ทุกๆ ที่ ทุกๆ เดือน ทุกๆ ปี เป็นยิ่งๆ ขึ้นไปไม่ได้หยุดนิ่งและไม่ได้ถอยกลับ นี่คือปัญหา
นี้เราจะต้องมีธรรมะที่ถูกต้อง คือทำลายความเห็นแก่ตน ทำลายความเห็นแก่ตน ป้องกันไม่ให้มันเกิด ที่เกิดแล้วนั้นก็ทำลายเสีย เรียกว่าลดมันเสีย จนให้มันหมดสิ้นไป นั่นแหละก็คือธรรมะ ธรรมะที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ มันก็รวมอยู่ที่นี่แหละ คือไม่เห็นแก่ตน คนทำบาป มันก็เพราะเห็นแก่ตน คือเห็นแก่กิเลส ไม่ใช่เห็นแก่ตนที่ถูกต้อง มันเห็นแก่กิเลส แม้ว่ามันเมาบุญ เมากุศลก็เห็นแก่ตนนะ ข้อนี้จะต้องตั้งใจฟังให้ดีนะ อย่าเห็นเป็นเรื่องทำลายล้างนะ แม้แต่บุญกุศลในเทวดา ในเมืองเทวดาเมืองสวรรค ถ้ามันบ้ากามารมณ์กันนัก เพราะมันเห็นแก่ตนมันก็ แม้เป็นพรหมชั้นพรหมแล้วก็ยังเมาตัวตนเมาตัวตน มันก็ไม่อยากนิพพาน พวกพรหมไม่นิพพาน ก็เพราะมันรักตัวตน มันยังมีตัวตนอันสูงสุดยิ่งกว่าพวกใดอีก มันมีตัวตน มันเมาตัวตนกันตั้งแต่มนุษย์ สวรรค์ กระทั่งชั้นพรหมโลก นี่ก็เมาตัวตน แม้ว่าชั้นสวรรค์ชั้นพรหมโลกไม่เบียดเบียนใครก็เบียดเบียนตัวเอง ยึดถือว่าตัวตนของตนหนักอึ้งอยู่ตลอดเวลา มีโมหะ มีอวิชชาว่า ตัวตนๆ ไม่อยากตาย นี่ข้อความตามกล่าวไว้ว่าพวกพรหมทั้งหลาย กล่าวว่าสิ้นตัวตน สิ้นตัวตนนะ หมดสัปปายะดับสัปปายะก็สิ้นตัวตน กลัวที่สุด กลัวกว่ามนุษย์ธรรมดาเสียอีกนี่ เพราะพวกพรหมไม่อยากตาย ยิ่งกว่าพวกมนุษยธรรมดากันเสียอีก เพราะมันแบกได้รับความสุขสูงสุด มันก็เลยไม่อยากตาย พวกมนุษย์นี่บางทียังอยากตาย เพราะมันมีเรื่องยุ่งยากลำบาก ทำด้วยตัวตนๆ ถ้ามันดีเป็นที่พอใจแล้วมันก็แบกไว้ยึดไว้ไม่อยากจะตาย ถ้าไม่ถึงนิพพานแล้วก็ไม่หมดตัวตน ในโลกสัตว์เตรัจฉานก็มีตัวตน ในโลกสัตว์มนุษย์ก็มีตัวตน ในเมืองสวรรค์ก็มีตัวตน ในเมืองพรหม พรหมโลกก็มีตัวตน พอมีตัวตน ก็เห็นแก่ตนไปตามแบบใดแบบหนึ่ง เห็นแก่ตนอย่างเลวที่สุดก็เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น อย่างนั้นก็เหมือนเบียดเบียนตนเองด้วย เห็นแก่ตนอย่างดีมันก็ไม่เบียดเบียนใคร แล้วก็หนักอยู่ที่ตัวมันเองนั่นแหละ ยึดถือตัวเองมันหนักอยู่ที่ยึดมั่นถือมั่นตัว ไม่เบียดเบียนใคร อย่างนี้เรียกว่าเบียดเบียนตนเอง ถ้ามันเป็นอย่างเลว มันก็เบียดเบียนทั้งสองฝ่ายคือเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น ถ้าดีขึ้นไปก็เบียดเบียนแต่ตนเองอยู่คนเดียวไม่เบียดเบียนใคร ต่อเมื่อหมดความเห็นแก่ตนนั้น จึงจะไม่เบียดเบียน ไม่เบียดเบียนใครโดยประการทั้งปวง นี่เราจะต้องมีธรรมะขั้นสูงสุดนี้ ธรรมะสูงสุดธรรมะประเสริฐที่สุดนี้ คือความไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน และไม่เห็นแก่ตน ดังบทบาลีที่ว่า อสฺสมิมานสฺส วินโย เอตํเว ปรมํ สุขํ ละอัสมิมานะคืออุปทานว่าตัวตนเสียได้ ว่าฉันมีอยู่เสียได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง นี่ขอให้เรามีธรรมะแห่งสูงสุดนี้นะ ข้อแรกก็มีอย่างเรียนรู้ เรียนรู้คือเรียนให้รู้ เรียนให้รู้ ต่อไปก็ปฏิบัติให้ได้ ปฏิบัติให้ได้ มีอย่างที่ปฏิบัติได้ ต่อไปก็มีอย่างที่ว่าได้รับผลของการปฏิบัติ ได้รับผลของการปฏิบัติ การมีธรรมะนั้นเป็น เป็นสามขั้นตอนอย่างนั้นอย่าประมาท ขั้นแรกเพียงแต่เรียนรู้เรียกว่า เรียนรู้ เป็นบ้าหอบฟางนั้นก็มี คือเรียนรู้ เรียนรู้ เรียนให้รู้ ก็ต้องเรียนให้รู้ ก็ต้องมีมีธรรมะอย่างเรียนรู้ แล้วก็ปฏิบัติ ปฏิบัติให้ได้ ก็เรียกว่ามีธรรมะอย่างที่ปฏิบัติ ปฏิบัติ เรียกว่ามีธรรมะอยู่ที่การปฏิบัติ นี่ก็ได้รับผลของการปฏิบัติเป็นความสุขสงบเย็นอย่างนี้ก็เรียกว่ามีธรรมะที่เป็นผลของการปฏิบัติ
ขอแสดงความหวังให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงได้มีความรู้ครบทั้งสามสถาน ครบทั้งสามลำดับ ครบทั้งสามอาการ คือเรียนรู้ก็มี ปฏิบัติได้ก็มี ได้รับผลของการปฏิบัติได้ก็มี ดังนี้เป็นดังนี้ ทั่วกันทุกคน ธรรมะอะไรสูงสุดในพระพุทธศาสนา ประเสริฐที่สุดที่จะคุ้มครองสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงให้พ้นจากความทุกข์ได้ ธรรมะนั้นเราจะต้องรู้จัก รู้จัก รู้จัก รู้จัก รู้จักยิ่งกว่ารู้จัก รู้จักโดยทำให้มีขึ้นมาในตน โดยผลนั้นเรียกว่ารู้จัก รู้จัก มันก็อยู่ที่ว่าจะต้องฟังให้ดี ต้องฟังให้ดี ข้อแรกฟังให้ดี ให้เข้าใจ แล้วไปปฏิบัติให้ได้ ทีนี้ถ้าว่าเราฟังไม่ดี ถ้าสมมติว่าตรงนี้ก็ฟังกันไม่ดีนะ มันก็เกิดการเป่าปี่ให้เต่าฟังกันที่ตรงนี้ เป่าปี่ให้แรดฟังกันที่ตรงนี้ถ้าลองฟังไม่ดีจริง เป่าปี่ให้แรดฟังกันที่ตรงนี้ อาตมาไม่ต้องไปเป่าปี่ให้แรดฟังกันที่ตรงนี้ ถ้าผู้ฟังฟังไม่ถูกคนฟังก็จะเป็นคนเป่าปี่ให้แรดฟัง มันโง่กันทั้งสองฝ่าย ไปเป่าปี่ให้แรดฟังก็ไม่ใช่หัวอกไม่ใช่ฉลาด ฟังไม่ถูกก็ไม่ใช่ฉลาด ฟังกันจนโง่กระทั่งคนเป่าและคนฟัง ถ้าฟังไม่ดี ถ้าฟังไม่ดี ขอให้ทุกท่านทั้งหมดทั้งหลายจงตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี ฟังให้ดี ให้เข้าใจแล้วไม่เกิดการเป่าปี่ให้แรดฟังกันที่ตรงนี้ นี่คงจะไม่ลืมนะ ก็อย่าให้มันมีการเป่าปี่ให้แรดฟัง มีการเป่าปี่ให้คนฟังหรือให้ผู้ที่รู้จักความไพเราะของพระธรรม ของพระศาสนา ของพรหมจรรย์ อาทิกลฺยาณํ ไพเราะในเบื้องต้น มชฺเฌกลฺยาณํ ไพเราะในท่ามกลาง ปริโยสานกลฺยาณํ ไพเราะในที่สุด ก็เห็นว่าไพเราะในสามสถานอย่างนี้แล้วไม่มีนะ ไม่มีการเป่าปี่ให้แรดฟัง ก็มันฟังถูก ก็มันรู้นี่ ว่าไพเราะนั่น คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้แต่ละบทละข้อนั่นไพเราะ ไพเราะ ไพเราะ ถ้าเป็นเบื้องต้น เป็นธรรมะเบื้องต้น ก็ไพเราะเบื้องต้น ถ้าเป็นท่ามกลางก็ไพเราะท่ามกลาง ถ้าเป็นเบื้องสุด ก็ไพเราะสูงสุด มีแต่ความไพเราะทั้งนั้น ไพเราะสูงสุดเพราะว่าหมดความเห็นแก่ตัว ข้อนี้กล่าวโดยท้าทาย โดยท้าทายทั้งจักรวาล ทั่วโลก ทั่วสากล ศาสนาไหนบ้างสอนอย่างนี้ ศาสนาไหนบ้างสอนสูงขึ้นมาถึงกับหมดความเห็นแก่ตัว หมดตัวอย่างนี้มันก็ไม่มี หาไม่พบ มันมีแต่สอนให้มีตัวดีที่สุด ไปหยุดที่ตัวดี ตัวดีที่สุด อยู่กับพระเจ้าก็ได้ อยู่กับตัวเองก็ได้ มันมีตัวดีที่สุด แต่พระพุทธเจ้าท่านสมมติตัวกันที่นี่ หมดตัวกันที่นี่ หมดตัวกันที่นี่ ไม่ใช่รอตายแล้วนะ ถ้าเราหมดตัวอย่างกะตายแล้ว ฆ่าตัวเองตายก็คงหมดเรื่อง ยิ่งฆ่าตัวเองตายยิ่งโง่ มันยิ่งตายไปทั้งโดยยังไม่รู้จักตัว นั้นเราจะฟังถูกคือไม่เป็น มันไม่เป็นแรด ฟังถูกว่าฆ่าตัวเองตายมันเป็นหมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่เอามีดไปเชือดให้มันตาย แต่ว่าเอาปัญญา ปัญญาที่คมที่สุดมาตัดความโง่ ตัดความโง่ เป็นความโง่ว่าตัวกู ว่าของกู ให้มันหมดไปเสีย ตัวกูไม่มีว่างจากตัวกูนี่ก็เรียกว่าตายได้เหมือนกันแหละแต่ไม่ใช่ตายอย่างธรรมดา ไม่ใช่ตายอย่างฆ่าให้ตาย ตายอย่างทำให้ว่างไป ไม่มีตัวตน นั้นฟังให้ดีสอนกันมาผิดๆ ว่านิพพานคือความตาย ก็ให้รู้เถิดว่ามันไม่ใช่ตายอย่างฆ่าตัวตายหรือตายเข้าโลง มันตายอย่างนี้ได้นี่ มันตายอย่างนี้ได้อย่างเนี๊ยะ คือมันไม่มีตัวตนในจิตใจ นี่มันๆ หมดแล้วมันตายก่อนตายมันตายเสียก่อนตาย ตายก่อนเข้าโลงเสียเรียกกันว่าตาย ธรรมะสูงสุด ขอให้ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนและดู ดู ดูมันมีอะไรเกิดขึ้น มันไม่มีปัญหาต่างหาก มันก็เกิดราคะไม่ได้ โทสะไม่ได้ โมหะไม่ได้ มันก็เกิดตัวตนไม่ได้เกิดของตนไม่ได้ มันก็ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ใดๆ นั่นแหละสูงสุดธรรมะสูงสุด เราเป็นมนุษย์พวกที่ได้รับธรรมะสูงสุดจากพระพุทธเจ้า ซึ่งผู้อื่นเขาไม่มีเขาไม่สอนกันอย่างนี้ นี่เราจะให้โชคดีของเรานี้เป็นโชคดี คือได้รับประโยชน์สูงสุดโดยแท้จริง จะได้พูดกันเรื่องนี้ให้เป็นที่เข้าใจ เรื่องความไม่มีตัวและก็ไม่เห็นแก่ตัว ธรรมะสูงสุด ธรรมะสูงสุดอยู่ที่ว่า ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวเพราะว่าไม่มีตัว ทำไมไม่มีตัว ก็มีแต่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ธาตุนี้เป็นของธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติ ธรรมชาติให้ยืมมา ให้ยืมมาเป็นชีวิตหนึ่ง แล้วก็เกิดปรากฏมาเป็นคนๆ หนึ่งนี้ มันเหมือนกับว่าเป็นผู้ยืมชีวิตมาจากธรรมชาติแล้วก็พัฒนากันเสียโดยเร็วให้ชีวิตนี้ถึงที่สุด ให้ถึงที่สุดของวิชาความรู้อย่างที่ว่านะ เห็นได้เองว่ามันไม่มีตัวของมัน เพราะมันเป็นชีวิตที่ยืมมาจากธรรมชาติ เป็นธาตุตามธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติไม่ต้องมีตัว นั้นอย่าอวดดีอย่ายกหูชูหางว่ามีตัวกู มีตัวกูมันคนโง่ มันเหลือที่จะโง่ไอ้ความคิดที่ว่ามีตัว มีของตัว มีตัวกู มีของกูนั้นเป็นยอดสุดของความโง่ ฉะนั้นจงรู้ธรรมะข้อนี้ตามที่เป็นจริงว่ามันไม่มีหรอกไอ้ตัวกู ตัวกูนั้นมันเป็นเพียงความคิด ความคิดมาจากความโง่ เกิดจากความโง่แล้วมันก็คิดเอาเอง ตาเห็นรูปมันก็ว่ากูเห็นรูป ทั้งโง่และทั้งโกง มันทั้งโง่และทั้งโกงนั่นล่ะ ตาเมื่อเห็นรูประบบประสาทตาระบบประสาทที่อยู่ในกลุ่มตามันเห็นรูป แต่ชาติโง่ชาติขี้โกงมันก็ว่ากูเห็นรูป พอหูได้ยินเสียงระบบประสาทหูได้ยินเสียงมันก็กูได้ยินเสียง ระบบประสาทจมูกได้กลิ่นมันก็ว่ากูได้กลิ่น ระบบประสาทได้รสมันก็กูได้รส ระบบประสาทผิวกายทั่วไปได้สัมผัสมันก็กูได้สัมผัส นี่มันถูกผีหลอก ถูกผีหลอก ไม่ใช่ตัวจริงแล้วมันก็เกิดขึ้นมา นั่นแหละมันมีปัญหาที่ว่า มันไม่ใช่ของจริง มันไม่ใช่ของจริง ลูกเด็กๆ ก็พอจะเข้าใจได้นะอยากจะพูดให้ฟังนะลูกเด็กๆ อ้าวพอกินข้าวเคี้ยวไปไม่อร่อย ลิ้นมันไม่อร่อยแต่มันว่ากูไม่อร่อย มันโง่มันชิงเอาลิ้นมาเป็นของกู พอลิ้นชิมว่าอร่อยมันว่ากูอร่อย กูอร่อย ลองคิดเลขดูทีว่ามันต่างกันกี่มากน้อย ลิ้นไม่อร่อยกับกูไม่อร่อยนี่มันต่างกันกี่มากน้อย ลิ้นไม่อร่อยนั้นมันไม่มีปัญหาอะไร ถ้ากูไม่อร่อยมันตีหม้อข้าวแตกแน่ มันเตะแม่ครัวนั่นถ้ากูไม่อร่อย แล้วถ้าลิ้นมันอร่อยมันก็เท่านั้น แต่ถ้ากูอร่อยแล้วก็บ้ารส ซื้อหามากันใหญ่ กินกันใหญ่ ตะกละตะกลามกันใหญ่ นั้นจึงว่ากูอร่อย กับระบบประสาทอร่อยนั้นมันต่างกันมาก ถ้าเห็นว่าตาเห็นว่าสวย กับกูเห็นว่าสวยนั้นมันต่างกันมากนะ ตาเห็นว่าสวยนั้นก็ทำไปตามธรรมชาติ แต่ถ้ากูเห็นว่าสวยมันก็ไปทำอย่างกิเลสตัณหาที่มันกระทำ เรื่องไพเราะก็ดี เรื่องหอมเรื่องเหม็นก็ดี เรื่องอะไรก็ดีทุกๆ เรื่อง ถ้ามันเป็นเรื่องของกู ของกูแล้วมันมีความหมายมาก มันเกิดกิเลสขึ้นมาทุกชนิด ถ้าเป็นของฝ่ายบวกฝ่ายพอใจมันก็จะเอาเป็นของกู ถ้าฝ่ายลบไม่พอใจมันก็จะฆ่าจะทำลายเสีย นี่เกิดกิเลสราคะโลภะซึ่งจะเอามาบ้าง เกิดกิเลสประเภทโทสะโกรธะทำลายเสียบ้าง เมื่อเกิดกิเลสประเภทโมหะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีมัวเมาอยู่ที่นั่นวิ่งอยู่รอบๆ วิ่งอยู่รอบๆ กิเลสประเภทหนึ่งดูดเข้ามาหาตัว นี่พวกโลภะราคะชื่อมากแต่ว่าหัวหน้ามันชื่อราคะ พวกหนึ่งว่าเป็นลบไม่เอาผละออกแล้วจะฆ่าเสียกิเลสพวกนี้ เรียกว่าโทสะชื่อหัวหน้าหมู่ก็เรียกว่าโทสะ กิเลสโง่วิ่งอยู่รอบๆ ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่ นี่เรียกว่าโมหะ เพราะมีตัวกูเท่านั้นแหละถ้าไม่มีตัวกูมันก็ไม่เกิดชอบหรือไม่ชอบหรืออะไร มันไม่เกิดราคะโทสะโมหะได้ นั้นถ้ามันไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกู มันไม่มีผู้ที่จะรู้สึกว่า น่ารักหรือไม่น่ารัก น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ มันเป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจล้วนๆ มันมีความหมายเป็นกิเลส แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของกู เรื่องของกู มันก็มีความหมายแห่งกิเลส ราคะโทสะโมหะก็เป็นไฟเผาให้เร่าร้อนและเป็นทุกข์ไป ถ้าหมดกิเลสเหล่านั้นก็เป็นนิพพาน หมดราคะ โทสะ โมหะไม่มีตัวกูเหลือ มันก็ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะนี่ก็เรียกว่านิพพาน ธรรมะสูงสุดมันอยู่อย่างนี้มันมีอยู่อย่างนี้ ให้ท่านทั้งหลายรู้ว่าชีวิต ชีวิต ชีวิตทีเรียกว่า ชีวิต ที่รักนักรักหนาหวงแหนนักหนานั้นนะ มันไม่ใช่ตัว แล้วมันก็ไม่ใช่ของตัวด้วย มันเป็นของเป็นไปตามของธรรมชาติหรือเป็นมาตามธรรมชาติ ยืมมาจากธรรมชาติ ก็เป็นชีวิต ไม่เกินร้อยปีมันก็ตายแล้วก็คืนเจ้าของนะ นี่เราจะอะไรล่ะจัดการ ควบคุม ปรับปรุงอะไรก็ตามเถอะแล้วแต่จะเรียก กับสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตนั้นคืออย่าให้มันเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา ให้มีแต่ความสงบเย็น สงบเย็นยิ่งขึ้นๆ สงบเย็นยิ่งขึ้นเป็นที่พอใจยิ่งขึ้น สงบเย็นส่วนตัวถึงที่สุดแล้วก็ช่วยให้ผู้อื่นให้สงบเย็นด้วย เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง ทั้งแก่ผู้อื่น ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า ได้สิ่งที่ดีที่สุด ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ได้มีสิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ของตัวทั้งนั้น เป็นของธรรมชาติยืมมา จิตในชีวิตที่เป็นจิต จิตที่เป็นชีวิตในชีวิตที่มีจิต จิตนั้นอย่าได้โง่ อย่าได้โง่ อย่าได้โง่ตัวกูเป็นตัวกู อะไรๆ เป็นของกู ตัวกู เป็นของกู ชีวิตเป็นของกู ไม่รู้ว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ ส่วนหนึ่งเป็นร่างกาย ส่วนหนึ่งเป็นจิตใจ ส่วนที่เป็นจิตใจนั้นคิดได้สารพัดอย่างที่โง่ๆ ก็ได้ คิดฉลาดๆ ก็ได้ คิดผิดก็ได้ คิดถูกก็ได้ มันอยากกันเป็นที่แน่นอนว่าถ้ามันเป็นไปเพื่อความทุกข์ก็เรียกว่าคิดผิดแล้ว การกระทำนี่ก็ผิด พูดนี่ก็ผิด ถ้ามันเป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่ต้องถามใคร ถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์แต่มันเป็นไปเพื่อความสงบเย็น ไม่มีปัญหาก็เรียกว่ามันถูกๆ ถูกๆ เป็นกุศล เป็นฝ่ายถูก จิตอย่าได้หลงโง่คิดว่าเป็นตัวกู นั้นอะไรเกิดขึ้นแก่จิตก็อย่าเอาเป็นของกู นี่เป็นของตามธรรมชาติ ให้เป็นของธรรมชาติ ซึ่งเป็นของสากลอยู่ตลอดกาลนิรันดร สรุปใจความสั้นๆ ก็ว่า ธรรมะสูงสุดนั้นก็สอนเรื่องไม่มีตัวตนไม่เป็นของตน นี่มันลึกมันฟังยาก มันลึกที่สุดในการที่จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของตน มันลึกมันฟังยาก มันยังฟังไม่ออกก็เป็นแรดกันไปก่อน เขาจะเป่าปี่กันสักเท่าไหร่แรดก็ยังฟังไม่ถูกอยู่อย่างนั้นแหละ หรือเพราะฟังไม่ถูกมันจึงเป็นแรดกันไปก่อน จนกว่าเมื่อไรก็ไม่ทราบ เราบอกไม่ได้ว่าเมื่อไรมันจะฟังถูก มันจะค่อยๆ คลายหายจากความเป็นแรด แล้วก็ฟังถูก แล้วก็รู้จัก ใช้ให้เป็นประโยชน์ พูดอย่างนี้จะดีไหม เมื่อมาทำมาฆะ วิสาขะกันแต่ละปีๆ มากันทุกปี มาทำให้วิสาขะ อาสาฬหะ มาฆะนี้ มาเพื่อลดความเป็นแรด มาเพื่อลดความเป็นแรด ให้น้อยลงๆๆ จนกว่าจะเป็นแรด จะหายแรด หายความเป็นแรด เป็นแรดที่ไม่เป็นแรด คือปุถุชนมันจะกลายเป็นพระอริยเจ้า ถ้ามันยังเป็นแรดก็ยังเป็นปุถุชนอยู่เรื่อยไป มนุษย์ก็เป็นปุถุชนลดลงไป ลดลงไปความเป็นอริยะก็เข้ามาแทน ที่นี้ก็ขอให้พยายามกันอย่างนี้แหละทุกปีๆ ทุกปี ขอให้มันลดความเป็นแรดลงไป ให้มันเพิ่มความเป็นพระอริยเจ้านั่นแหละขึ้นมาๆ ถ้าอย่างนี้ล่ะคุ้มค่ากว่า บางคนอุตส่าห์มาจากภาคเหนือภาคอีสานก็มีนี่ คุ้มค่าไหม คุ้มค่าเวลา คุ้มค่าเหนื่อย คุ้มค่าเงินไหม อาตมาคิดว่าถ้าลดความเป็นแรดได้สักนิดนะคุ้มค่า ไม่ต้องทั้งหมดหรอก ลดได้สักนิดก็ยังมีกำไรที่ว่าโธ่ มันไม่ใช่ตัวสักหน่อย คุ้มค่าๆ ค่าเงิน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเหน็ดเหนื่อย เวลาที่เสียไปจะคุ้มค่า ถ้ามาแล้วมันทำให้มีธรรมะอันแท้จริงอันสูงสุดในพระพุทธศาสนา เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจนั้นก็คุ้มค่า นี่ก็ไม่ต้องพูดถึงคนที่มาแต่ไกลแล้วคนที่อยู่ใกล้ๆ นี้ก็เหมือนกัน มันก็ไม่คุ้มค่า ก็เรียกว่ามันไม่ ไม่ลดความเป็นแรด มันไม่ลดความเป็นแรด ต่อให้อยู่ที่วัดนี้ถ้าไม่ลดความเป็นแรดก็ไม่คุ้มค่า อย่างในวัดนี้ก็มีแรดอยู่ฝูงหนึ่งเหมือนกัน ไม่ขอขัดใจกันอย่างนั้นจะดีกว่า พูดกันเท่าไรมันก็ไม่รู้เรื่อง พูดกันเท่าไรมันก็ไม่รู้เรื่อง มันมีแต่ตัวกู มีแต่ของกู มีแต่ตัวกูยกหูชูหางอยู่เรื่อยไป อย่างนี้มันก็เป็นแรดเลยเหมือนกันนะ แม้มันจะไม่เท่ากันหรือเหมือนกันมันก็อยู่ในความเป็นแรด ตัวกูของกู มีแต่ความดื้อรั้นประชดประชัน บิดพลิ้วไม่เอาความจริงเป็นหลัก ไม่เอาความจริงเป็นหลัก เอากิเลสมันเป็นหลัก ขออภัยพูดแรงไปหน่อยเข้าใจไหม ที่พูดแรงไปหน่อยนี้ก็ต้องขอความเห็นใจด้วย เพราะมันจะตายแล้ว มันจะตายแล้วอีกไม่กี่ปี มันจะตายแล้ว อาตมารู้สึกว่าอีกไม่กี่ปีจะต้องตายแล้ว ไม่แน่เหลือว่าอีกไม่กี่เดือนก็ได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีแรงมันอยู่อย่างไม่มีแรงอยู่อย่างคนไม่มีแรง สบายดีแต่ไม่มีแรงนี่ นี่มันจะตายแล้ว มันเป็นบาป มันเป็นบาปที่ว่ามันมีอายุเกินพระพุทธเจ้าไปห้าปีแล้ว นี่เป็นบาปทั้งนั้นนะ มันก็ต้องได้รับความยุ่งยากลำบากเข็ญ มีอายุเกินพระพุทธเจ้าไปห้าปีแล้วมันก็คงไปไม่ได้อีกกี่ปีมันก็ต้องตายแล้ว เพราะเห็นว่ามันจะตายนี่มันจะตายจากกันเสียก่อนนี้จึงขอพูดอะไรตรงๆ กันหน่อย พูดกันตรงๆ ให้ทันแก่เวลา ให้ทุกคนพยายาม รู้ธรรมะ รู้ธรรมะ รู้ธรรมะอันประเสริฐอันสูงสุด ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าธรรมะ รู้ธรรมะเรื่องสูงสุดก็คือรู้ธรรมะเริ่องไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน ตัวตนเป็นความรู้สึกเป็นเพียงความรู้สึกของจิตโง่ของจิตที่เป็นผีหลอกๆ มันโง่กี่มากน้อยแล้ว สมมติว่าหนามตามธรรมชาติ แทงเข้าไปที่เท้า มันก็ไม่คิดว่าหนามแทงหลอกมันก็ว่ากูเจ็บเป็นหนามแทงกูทั้งนั้น นี่ไอ้ตัวกูมันมาแต่ไหน ตัวกูไม่ได้รออยู่มันพึ่งโง่เมื่อถูกหนามแทงแล้วนั่นมันเรียกว่าตัวกู ว่าตัวกูตัวกูเป็นเพียงปฏิกิริยาของความโง่ เมื่อมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ตาม เหมือนได้มีความรู้สึกเสวยผลทางความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามมันก็ตัวกูมันก็โผล่หัวออกมา ออกมารับเป็นตัวกู เป็นของกู เป็นตัวกู ของกู เมื่ออยู่ในท้องแม่มันคิดอย่างนี้ไม่เป็นหรอก เมื่ออยู่ในท้องแม่มันไม่มีความคิดอย่างนี้ เพราะมันไม่มีอะไรกระทบ พอออกมาจากท้องแม่มันมีอะไรมากระทบตา กระทบหู จมูก กลิ่นแล้วมันก็รู้สึกว่าเป็นบวกและเป็นลบ รู้สึกเป็นบวกก็มีตัวกูบวกเกิดขึ้น กูพอใจ ตัวกูเป็นลบเกิดขึ้นก็มีตัวกูลบเกิดขึ้นด้วยความไม่พอใจ นั้นเด็กๆ จึงเริ่มมีความรู้สึกว่าเป็นตัวกูๆ ตามบวกตามลบ หรือตามที่ไม่รู้ว่าจะเป็นบวกหรือจะเป็นลบ มันก็เป็นแต่พวกโมหะไปตามเรื่อง เกิดมาแล้วก็ถูกสอนข้อนี้ คนเลี้ยงเด็กมันจะสอนเด็กให้โง่ ว่าอะไรก็ของหนู อะไรๆ ก็ของหนู บ้านของหนู พ่อของหนู แม่ของหนู เงินของหนู อะไรก็ไม่รู้ เด็กมันก็โง่หนักขึ้นไปอีก นี่ทว่าเด็กๆ มันวิ่งไปชนเสาชนเก้าอี้เจ็บ เตะเก้าอี้ คนเลี้ยงก็ช่วยตีเก้าอี้ คนเลี้ยงเด็กก็ช่วยตีเก้าอี้ เออ มันทำมึง มันทำมึงเจ็บกูช่วยตีด้วย กูช่วยตีด้วย มันสอนให้เด็กโง่ขึ้นไปอีก เด็กโง่ขึ้นไปอีก โง่คนเดียวไม่พอ มันสอนให้เด็กโง่ขึ้นไปอีก ครูก็ช่วยตีเก้าอี้ เป็นอย่างนี้มาแหละ พ่อแม่นี่คอยทะนุถนอมให้ได้ตามที่ต้องการในฝ่ายบวกทั้งนั้น ให้สบายที่สุดให้อร่อยที่สุดให้สนุกที่สุด ความโง่เช่นนี้ยิ่งมีมากขึ้น ก่อนนี้ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ความเจริญแปลกใหม่มาถึง ความโง่อย่างนี้มันก็มีมากขึ้น มีพ่อแม่คนไหนบ้างนะ ที่พาลูกไปที่ร้านสรรพสินค้า ขายสินค้าวิเศษ ร้อยอย่างพันอย่างสวยสดงดงามน่าเล่นน่าหัวเราะพาไป ที่ร้านสรรพสินค้า แล้วบอกลูกมึงจะเอาอันไหนกูจะซื้อให้ทั้งนั้น หรือว่ามีพ่อแม่คนไหนที่พาไปที่ร้านสรรพสินค้าแล้วบอกลูกว่า ทั้งหมดนี้เขามีไว้ให้เราโง่นะลูกเอ๋ย มันมีพ่อแม่คนไหนทำอย่างนี้บ้าง มันมีแต่พ่อแม่ที่บอกลูกว่ามึงเอาอันไหนกูจะซื้อให้แพงก็ไม่ว่า แล้วเด็กๆ มันจะเป็นอย่างไร เด็กๆ มันจะเกิดนิสัยอย่างไร ก็ไอ้ที่ร้านอาหารอร่อยๆ สั่งอะไรก็ได้กูจะซื้อให้ ไม่ได้บอกว่าพวกนี้เขามีไว้สำหรับให้เราโง่ ไม่มี เด็กๆ มันก็โง่มากขึ้น โง่มากขึ้น พอพ้นจากการควบคุมของบิดามารดาแล้วมันก็โง่ ฟรีกันสนุกกันใหญ่ นี่ความมีตัวตนอย่างบวกก็ดี มีตัวตนอย่างลบก็ดีมันก็มากขึ้นๆ มันจึงเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ อารมณ์รัก คู่ตรงกันข้ามรักหรือโกรธ โกรธหรือรักก็แล้วแต่ มันเป็นคู่ตรงกันข้าม ถูกใจมันก็เป็นบวกไม่ถูกใจมันก็เป็นลบ เพราะฉะนั้นก็เป็นอารมณ์คู่ตรงกันข้าม มีผลให้บางทีไปนั่งร้องไห้อยู่บางทีก็หัวเราะร่าอยู่ มีผลบางทีก็ดีใจๆ บางทีก็เสียใจๆ เป็นคู่กันอยู่อย่างนี้ ไม่ได้รู้ความจริงว่าอารมณ์เหล่านี้เกิดจากความโง่ อย่าไปหลงบวกหลงลบก็จะไม่เกิดตัวตน ไม่เกิดตัวตน บวกหรือตัวตนลบก็ไม่เกิดขึ้นมา แล้วมันก็ไม่เกิดความเห็นแก่ตัวอย่างบวกหรือความเห็นแก่ตัวอย่างลบ ความเห็นแก่ตัวอย่างบวกมันจะเอา มันจะยึดครอง มันจะเอาทุกอย่าง ความเห็นแก่ตัวอย่างลบมันอยากจะฆ่าจะทำลาย ตรงกันข้ามอย่างนี้ เอาไว้ไม่ได้นะทั้งสองตัว ไม่ว่าบวกหรือลบ ให้มันเหนือบวกเหนือลบจะต้องไม่มีสองอย่างนี้ ทำให้มีสันติสุข มีสันติภาพ อสฺสมิมานสฺส วินโย เอตํเว ปรมํ สุขํ แรดทั้งหลายท่องได้มาก แรดหลายตัวท่องบทนี้ได้มาก อสฺสมิมานสฺส วินโย เอตํเว ปรมํ สุขํ แรดในวัดเป็นฝูงๆ มันก็ท่องได้ แต่มันก็ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ดีนั่นแหละ ฉะนั้นขอให้ละความยึดมั่นถือมั่น ตัวกูของกูนะ มันไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ แล้วก็ไม่เป็นกิเลสประเภทใดๆ กิเลสบวกหรือจะกิเลสลบมันก็ไม่มี อย่างนี้สรุปเรียกสั้นๆ ว่ามีธรรมะ มีธรรมะ มีธรรมะ มีธรรมะที่ดับทุกข์ได้ ความรู้ข้อนี้ช่วยดับทุกข์ได้ การปฏิบัติข้อนี้มันดับทุกข์ได้ ปฏิบัติข้อนี้เสร็จแล้วจะไม่มีความทุกข์เลย กายิทาโย กายิทายะ โยมพระพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อรู้ว่าพระพุทธศาสนามีหัวใจอยู่ตรงนี้ มีความมุ่งหมายอยู่ที่ตรงนี้ นับถือพระพุทธศาสนานั่นก็เพื่อจะได้สิ่งนี้ คือความพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงออกจากความทุกข์ทั้งปวง สรรพทุกขนิกนะ นิพพานะ ออกเสียจากความทุกข์ได้รับผลนิพพานคือเครื่องออกเสียจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่มีความทุกข์เหล่านี้เกี่ยวข้องได้นั่นเรียกว่านิพพาน ยังไม่ต้องตาย นิพพานต้องได้กันที่นี่และเดี๋ยวนี้ หมดตัวตนเมื่อไรมันก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น นิพพานก็ดับไม่เหลือ แต่ไม่ใช่ดับไม่เหลือแห่งชีวิต มันดับไม่เหลือแห่งตัวตน มันดับไม่เหลือแห่งตัวกู บ้าๆ โง่ๆ เขลาๆ ตัวกู ตัวกูๆของกูๆ อย่างนั้นดับไปเสีย อย่าให้มีเหลือนั่นแหละคือนิพพาน นิพพาน เรารับผิดชอบร่วมกันโดยมีพระพุทธศาสนานี้ พระพุทธเจ้าทรงมอบไว้ในกำมือของพุทธบริษัททั้งสี่คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แม้จะเหลืออยู่เพียงสามบริษัทก็ต้องรับผิดชอบให้เต็มที่ ช่วยกันสืบไว้ยังคงมีอยู่ คือมีการศึกษาอยู่ มีการปฏิบัติอยู่ มีการได้รับผลของการปฏิบัติอยู่ แล้วก็สอนสืบต่อๆ ต่อๆ กันไปโดยสื่อความหมายนั่น มีความรู้อยู่แล้วก็ปฏิบัติอยู่ ได้ผลอยู่แล้วก็สอนต่อๆ ไป แล้วคุณจะสอนอะไรถ้าคุณเป็นแรดคุณก็สอนความเป็นแรดเท่านั้นล่ะ ต่อมาเมื่อมีความไม่ใช่แรดมันจึงจะสอนความไม่ใช่แรด ถ้าตัวเองยังเป็นแรดนั้นจะสอนอะไรมันก็สอนความเป็นแรดมีตัวกูของกู ตัวกูของกู ยกหูชูหางกันอยู่ทั่วไปอยู่ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ข้อนี้ต้องฟังให้ดีนะเพราะมันมีความรู้สึกว่า ตัว ตัว มีความรู้สึกว่าตัว แล้วมันจึงเห็นแก่ตัว ถ้ามันไม่มีความรู้สึกว่าตัวมันจะเห็นแก่อะไรมันก็ไม่เห็นแก่ตัวอยู่ดีแหละ ฉะนั้นพระพุทธศาสนาของเรานั้นวิเศษมากคือสอนกันอย่างดีว่าสอนเรื่องไม่มีตัว เข้าถึงให้ได้โดยแท้จริงว่า ไม่มีตัว ดังนั้นก็จะได้ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตน มันจะเป็นนิพพานทันทีที่นั่นเมื่อนั้น ถ้าศาสนาอื่นใดนั้นเขาจะสอนให้มีตัว มีตัว รักษาตัวให้ดี ทำตัวให้ดีนั้นเขาก็แรดนะแต่เขาก็ลำบากมากกว่าเรา ต้องมีตัวที่ต้องไปทำเสียให้มันดี มีตัวแล้วทำให้ยึดถือแล้วมันยาก แต่เขาก็มีทั้งนั้นล่ะ เขาก็มีตัว ปล่อยให้ตัวไปอยู่เสียที่ไหน มอบตัวให้กับพระเป็นเจ้าก็อย่าเอาไว้เองก็มีตัวอย่างนี้ ก็พอไปได้เหมือนกัน แต่ดูๆ มันไม่ค่อยจะซื่อตรงนัก มันเล่นตลก นี่คือผู้ไม่มีตัวอย่างแบบของพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เมื่อใดมีความรู้สึกว่าตัว เมื่อนั้นจะมีความวิตกกังวลหวาดระแวงความกลัวความอะไร มันกลัวจะตาย กลัวจะเสียหายหรือกลัวจะไม่ได้หรือว่ากลัวจะไม่ก้าวหน้าหรือกลัวจะล้าหลังหรือกลัวจะสอบไล่ตกนั้นมีตัว เมื่อนั้นมีก็ต้องมีความทุกข์ ไม่มีตัวมีแต่สติปัญญา ทำด้วยสติปัญญา ให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด มันจะได้ ได้มาทุกสิ่งที่ควรจะได้ โดยไม่ต้องอยาก โดยไม่ต้องหวัง โดยไม่ต้องปราถนาให้มันกัดหัวใจ คนโง่ๆ เขาก็สอนให้อยู่ด้วยความหวัง พวกฝรั่งมันก็สอนให้คนอยู่ด้วยความหวัง พวกเราเป็นพุทธบริษัทอย่าอยู่ด้วยความหวัง จงอยู่ด้วยสติปัญญาไม่ต้องหวัง ให้รู้ว่าอะไรเป็นอย่างไรควรทำอย่างไรก็ทำไป ทำไปโดยไม่ต้องหวังให้มันกัดหัวใจ นี่พอหวังหรือหิวหรือต้องการมันกัดหัวใจ นี่คือชีวิตมันกัดเจ้าของมีเพราะมันโง่ มันก็หวังด้วยความโง่ อยากด้วยความโง่ ความโลภมันก็เกิดขึ้น ตัญหามันก็เกิดขึ้น โดยตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องสักหน่อยนะ สังเกตุดูยังเข้าใจผิดๆ กันอยู่ ก็คนบางพวก อาจารย์บางพวกคนบางกลุ่มเขาสอนว่าอยากมีความอยากแล้วเป็นความโลภ เป็นตัณหาทั้งนั้นอย่าไปเชื่อมันสอนผิดๆ นั้นก็เป็นความอยากด้วยความโง่ อยากด้วยอวิชชามันจึงจะเป็นโลภ จึงจะเป็นตัณหา ถ้ามันอยากด้วยปัญญา อยากด้วยวิชชา ทำให้ถูกให้ดี ไม่เรียกว่าความโลภ ไม่เรียกว่าตัณหาหรอก เขาเรียกว่า สังกัปโป สังกัปปะ เช่นเราเห็นความทุกข์แล้วเราอยากจะพ้นทุกข์ ความอยากนี้ไม่เรียกว่าตัณหา ไม่เรียกว่าความโลภ แต่เรียกว่า สังกัปปะ สังกัปโป สังกัปปะ สัพเพตุเรตุสังกัปปา พระมาฉันที่ไหนอย่างไรก็ให้พรว่าอย่างนี้ ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปาจันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณี โชติระโส ยะถา อะไรล่ะ สังกัปปา สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปาๆ ให้สังกัปปะขอท่านทั้งหลายเต็ม จันโท ปัณณะระโส ยะถา เหมือนดวงจันทร์ มะณี โชติระโส ยะถาเหมือนแก้วมณี อันนี้ก็สังกัปปาเต็ม ความอยากที่ฉลาดความต้องการที่ฉลาดโดยสติปัญญา สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จงเต็มๆๆ เต็มๆ ไม่ใช่ตัณหาเต็มไม่ใช่โลภะเต็มแยกกันให้ดี เดี๋ยวจะเป็นแรดอีกแบบหนึ่งไม่ทันรู้ จะให้ตัณหาเต็มให้โลภะเต็มอย่างนี้ก็ ความปราถนาที่ถูกต้องไม่เป็นไปด้วยอวิชชาจึงเกิดเต็มๆ เต็มได้แล้วก็ดับทุกข์ได้ แล้วก็เป็นนิพพาน นั้นก็มีความเยือกเย็นกันที่นี่
ทีนี้ขอให้เราเห็นธรรมรู้จักธรรมะตัวนี้ธรรมะตัวนี้ขออภัยต้องขอใช้คำว่าตัวนี้ ข้อนี้บทนี้ว่าความเห็นแก่ตัวมันมาจากความโง่ว่ามีตัว ความโง่ว่ามีตัวเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว คือเห็นแก่กิเลส เห็นแก่ตัว ทีนี้มันเห็นแก่กิเลสมันไม่ใช่ความถูกต้อง หรือทำไปตามอำนาจกิเลสเพราะความเห็นแก่ตัว มันก็เบียดเบียนตัวเองเบียดเบียนผู้อื่นเบียดเบียนทุกอย่างเบียดเบียนตลอด ในที่ทุกหนทุกแห่งเรียกว่าความเห็นแก่ตัว แล้วที่มันน่าหัวยิ่ง มันทำลายตัว ความเห็นแก่ตัวนั้นมันฆ่าตัวมันทำลายตัว ช่วยไปคิดดูให้ดีนะ ช่วยไปคิดดูให้ดีถ้าไม่เข้าใจข้อนี้เป็นแรดตัวโตนะ อืม ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันฆ่าตัว ไอ้ที่มันฆ่าตัวเองตายหรือที่มันให้ตำรวจยิงตายนี่ก็ตามเพราะมันฆ่าตัวมันเองตาย ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันฆ่าตัว ไม่ต้องมาจากที่อื่น อย่าเห็นแก่ตัวทำให้มันถูกต้องๆ มันก็มีแต่ความเจริญๆๆ โดยไม่ต้องมีตัว ไม่ต้องเห็นแก่ตัว จะสมมติเรียกว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ขอให้เรียกว่าโดยสมมติๆ พระพุทธเจ้าแม้จะท่านตรัสกับชาวบ้านก็ต้องพูดอย่างมีตัวเหมือนกันพูดว่าอาตมาพูดว่าอย่างนั้น แต่ว่าไม่ได้ยึดถือว่ามีตัว คือตัวซึ่งไม่ใช่ตัว ข้อนี้สำคัญมากเป็นมนต์ศักดิ์สิทธิ์ถ้าใครถือมนต์นี้ได้แล้วหมดเป็นแรด ใครมีความรู้ข้อนี้ถือมนต์ข้อนี้ได้คนนั้นจะหมดความเป็นแรด คืออมีตัวซึ่งมิใช่ตัวฉันเองตัวซึ่งไม่ใช่ตัว คือความรู้สึกที่เกิดอยู่ภายใจนั้นว่าตัวกูของกูนั้นมันไม่ใช่ตัว ตัวซึ่งไม่ใช่ตัว ตัวของความโง่นั้นเป็นตัวที่ไม่ใช่ตัว เกิดขึ้นก็ต้องพูดกันตามธรรมดาภาษาคนที่ยังไม่รู้ธรรมะก็ต้องพูดว่าตัว ว่าตัวเท่านั้นแหละแต่ต้องให้ตัวนั้นมิใช่ตัว ท่านจึงได้ใช้คำว่า อนตฺตา อนัตตา ตัวซึ่งมิใช่ตัว ถ้ามีตัวไปเสียหมดมันก็บ้าสุดเหวี่ยง ถ้าไม่มีตัวเสียเลยมันก็บ้าสุดเหวี่ยง มีตัวซึ่งไม่ใช่ตัวนั้นเป็นพุทธศาสนา มันอยู่ตรงกลาง มันมีตัวซึ่งมิใช่ตัว มีตัวซึ่งไม่ได้ยึดถือว่าตัวนี่มันก็ ถ้ามีตัวจริงๆ ไปเสียหมดมันก็บ้าไป เป็นทุกข์เหลือประมาณ ไม่มีตัวเสียเลยก็ทำอะไรไม่ถูกมันก็บ้าสุดเหวี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง ไม่มีตัวเสียเลยเขาเรียกว่านิรัตตาๆ ไม่มีตัวเสียเลย ถ้ามันมีตัวเต็มที่ก็เรียกว่าอัตตาๆๆ นั้นมีตัวเต็มที่สุดเหวี่ยงทางมี นิรัตตาๆ สุดเหวี่ยงทางไม่มี ที่ถูกต้องอยู่ตรงกลางเรียกว่า อนัตตา แปลว่าไม่ใช่นะ ไม่ใช่ตัว อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัว อย่าแปลว่าไม่มีตัว แปลว่าไม่ใช่ตัว ถ้าแปลว่าไม่มีตัวอธิบายยาก มันก็อธิบายซับซ้อนกว่าไม่มีตัว ซึ่งเป็นตัวแท้มันพูดยากยุ่งยากเปล่าๆ พูดว่าไม่มีตัวซึ่งเป็นตัวคือไม่ใช่ตัว ใช้คำสั้นๆ ว่าไม่ใช่ตัว รูปังอนัตตา รูปไม่ใช่ตัว เวทนาอนัตตา เวทนาไม่ใช่ตัว สัญญาอนัตตา สัญญาไม่ใช่ตัว สังขาราอนัตตา ไม่ใช่ตัว วิญญาณังอนัตตา ไม่ใช่ตัว มันมีความรู้สึกว่าตัว รู้สึกตัวที่รูปก็ได้ ร่างกายมันทำอะไรได้คนโง่มันก็ว่าร่างกายนั่นแหละเป็นตัวมันกระดุกกระดิกได้ หรือมันทำอะไรได้มันก็เอาร่างกายเป็นตัวเรียกว่าเอารูปเป็นตัว พอมีความรู้สึกขึ้นมา เอ รู้สึกสุขทุกข์ได้นี่ก็ว่าตัวอีกแล้ว เวทนาเป็นตัวอีกแล้ว สัญญามั่นหมายอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้นสัญญามีความหมายขึ้นมาเอ้า เอาเป็นตัวอีก มันก็ไม่ใช่ตัว สังขารอย่างความคิดจะทำอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ตัว ไอ้วิญญาณนี่รู้แจ้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็ไม่ใช่ตัว นี่คืออนัตตาๆ ตัวซึ่งมิใช่ตัว ใครมีความรู้ข้อนี้แล้วคนนั้นจะหมดความเป็นแรด จะเป็นมากี่ปีแล้วก็ตามใจ ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกู เป็นของกูมากี่ปีแล้วก็ตามแต่ พูดเรื่องอนัตตาฟังไม่ถูก เป่าปี่ให้แรดฟังก็ว่าแรดมันไม่รู้เรื่องความไม่มีตัว พอมันรู้เรื่องความไม่มีตัวมันก็ช่วยกันได้ มันไม่มีการเป่าปี่ให้แรดฟัง ธรรมะมันอยู่อย่างนี้ ยังมีลักษณะเหมือนกับเป่าปี่ให้แรดฟังอยู่เป็นอันมาก จึงขอแสดงความยินดีได้มากล่าวท่านมาจากที่ไกลเหน็ดเหนื่อยมาก แต่ขอร้องท่านได้รับผลคุ้มกัน ได้รับผลของการมาคุ้มค่า คุ้มเวลา คุ้มค่าเหน็ดเหนื่อย คุ้มค่าเงิน คุ้มค่าอะไร ได้รู้เรื่องความไม่ใช่ตัว ก็คือไม่มีตัวที่จะยึดถือว่าตัว แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว พอไม่เห็นแก่ตัวก็หมดปัญหา หมดปัญหา หมดความทุกข์ หมดปัญหาทุกอย่างทุกประการ ปัญหาและความทุกข์ทุกอย่างมันมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันมีแต่ความโง่ๆๆ โง่ว่ามีตัวๆๆ มันโง่ๆ พอมีตัวเข้าก็เห็นแก่ตัวๆ ในทางบวกก็ได้ในทางลบก็ได้ เป็นเหตุให้ต้องหัวเราะบ้างร้องไห้บ้าง ดีใจบ้างเสียใจบ้าง มีเรื่องที่จะชวนให้ดีใจเสียใจหัวเราะร้องไห้มากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที เพราะว่าสมัยนี้นี้เขามีเรื่องที่ชวนให้เป็นอย่างนั้นมากขึ้นทุกที เขาเจริญทางวัตถุ เจริญทางวัตถุ คือสิ่งที่ยั่วให้หลงความเป็นบวกหลงความเป็นลบมากขึ้นทุกที ความเป็นบวกเกิดขึ้นก็มีตัวอย่างบวกหนักขึ้นไป ความเป็นลบเกิดขึ้นก็มีความเป็นตัวอย่างลบมากขึ้นไป มันมีตัวกูบวกมีตัวกูลบมากขึ้นๆ ขอระวังเถิดว่าอันนี้จะเป็นเครื่องทำลายโลก ขอให้เห็นธรรมะ คำสั้นๆ เห็นธรรมะๆ สั้นๆ คำว่า เห็นธรรมะ เห็นธรรมะคือเห็นอะไรคือเห็นความไม่มีตัว พอเห็นความไม่มีตัวความทุกข์ก็ไม่เกิด เมื่อเห็นว่าความทุกข์เกิดก็มีตัว ความทุกข์ดับเพราะไม่มีตัว นี่เรียกว่า เห็นธรรมะๆ แล้วก็ไม่เกิดตัวแล้วก็ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่เกิดไฟคือกิเลสขึ้นมาเผาตัว กิเลสเปรียบเหมือนไฟเผาให้ร้อน ถ้าเห็นธรรมะเสียแล้วมันก็ไม่เกิดกิเลสใดๆ นี่มันมีประโยชน์อย่างยิ่งอย่างนี้แหละ คือมันจะได้สิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือความสงบเย็นๆ ไม่มีไฟนะ นี่คือสงบเย็นๆ แล้วก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ตัวเองด้วย แก่ทั้งสองฝ่ายด้วย ผู้มีธรรมะมีความสงบเย็นจะเป็นประโยชน์ทั้งสามฝ่าย คือตัวเองด้วย ผู้อื่นด้วยและที่เกี่ยวข้องกันอย่างแยกกันไม่ได้อีกด้วย นี่มันก็เป็นสามฝ่ายอยู่อย่างนี้ บรรดาสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ๆ นี้พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็นสามฝ่ายอย่างนี้ อัตตัตถะประโยชน์ ประโยชน์แก่ตัวเอง ปรัตถะประโยชน์ ประโยชน์แก่ผู้อื่น อุภยัตถะประโยชน์ ประโยชน์ที่ผูกพันกันทั้งสองฝ่ายอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ อันมีประโยชน์อยู่สามชนิดนะ ขอให้เราได้ทำประโยชน์ทั้งสามชนิด ถ้าเราละตัวกู ละตัวตนได้ มันก็เห็นแก่ผู้อื่น มันก็ทำประโยชน์เหล่านั้นได้ ถ้ามันยังเห็นแต่ตัวกู เห็นแต่ตัวกู มันไม่เห็นแก่ประโยชน์ใครล่ะ มันทำประโยชน์ตัวกูได้แล้ว หรือถ้ามันจะช่วยเหลือใครได้แล้วก็จะเอามาเป็นพวก เป็นพวกอันตพาลด้วยกันนะแหละ มันสร้างประโยชน์ด้วยตัวกูยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างนี้ไม่เรียกว่าทำประโยชน์หรอก มันหาพวก ทำเลวให้มากขึ้นไป ไม่ใช่บำเพ็ญประโยชน์ ถ้ามาบำเพ็ญประโยชน์ก็มาช่วยกันดับทุกข์ๆๆ ให้กว้างออกไป กว้างออกไป นี่แหละประโยชน์ของธรรมะ เราจะได้อะไรเสียในประโยชน์ของธรรมะ มีความเยือกเย็นๆๆ เยือกเย็นแล้วมันเป็นประโยชน์ๆๆ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่ามีสุขภาพอนามัยดีที่สุด ทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางวิญญาณ เอาว่าท่านผู้ใดมีจิตใจสงบเย็นๆ เพราะไม่มีไฟกิเลส ผู้นั้นก็จะมีสุขภาพดี อนามัยดี มีความไม่มีโรคหรือการป้องกันการเกิดโรคก็ดี ทั้งทางกายทางกายก็ไม่เกิดโรคทางกายทางจิตก็ไม่เกิดโรคจิต ทางสติปัญญาทิฐฐิความคิดความเห็นก็ไม่เกิดโรคมิฉาทิฐฐิ นี่เรียกว่าไม่มีโรคทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางวิญญาณ ธรรมะช่วยให้ได้อันนี้ ถ้าพูดกันอย่างเป็นรูปธรรมตรงไปตรงมา ธรรมะจะช่วยให้เราได้รับสุขภาพอนามัยดีทั้งทางกายทางจิตทางวิญญาณ มันมีค่าเท่าไร มาจากภาคเหนือภาคอีสานเสียค่ารถมาเท่าไร เสียเวลามาเท่าไรคิดดู คิดดู ถ้าท่านได้สิ่งนี้มันเกินค่าหรือไม่เกินค่า คุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า ฉะนั้นขอให้ทำได้รับประโยชน์คุ้มค่าของการที่เสียสละหมดเรื่องได้รับสุขภาพอนามัยดี ทางกายทางจิตทางวิญญาณ
แล้วข้อต่อไปก็อยากจะพูดว่า ทำให้ได้มีสมรรถนะๆ สมรรถภาพดีทั้งทางกายทางจิตทางวิญญาณ คนที่มีธรรมะอย่างนี้แล้วมีความสามารถทั้งกายทั้งทางจิตทั้งทางวิญญาณ สามารถจะทำหน้าที่เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทั้งทางกายทางจิตทางวิญญาณ นี่เรียกว่ามีสมรรถนะที่ดี ทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางวิญญาณ ที่นี้ดูต่อไปมันก็เย็นสนุกชีวิตเย็น สนุกด้วยความเยือกเย็นสนุกโดยการทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่ช่วยตนช่วยผู้อื่นด้วยการให้ธรรมะก็ปฏิบัติธรรมะสนุก ปฏิบัติธรรมะสนุกชีวิตก็เต็มไปด้วยธรรมะ มันช่วยทำงานสนุก ไม่มีความรักโกรธเกลียดกลัวในชีวิตประจำวัน มีแต่ความเยือกเย็นพอใจสนุกในการทำหน้าที่ สนุกในการปฏิบัติธรรมะ สนุกในการปฏิบัติประโยชน์ คนเขาไม่เชื่อนะ ธรรมะสนุกนี้ไม่มีใครเชื่อ เราไม่ ไม่ต้อง ไม่ทำงานนอนเสียดีกว่า นี่ก็ไม่ค่อย ทีนี้ขอให้มีธรรมะเถิด มีความเข้าใจถูกต้อง ความคิดความเห็นความเข้าใจถูกต้อง แล้วก็จะทำงานสนุก ทำงานสนุก ไม่ต้องทำด้วยความกลัว ไม่ต้องทำด้วยความหวัง ไม่ต้องทำด้วยความหิว ไม่ต้องทำด้วยความอยาก ไม่มีวิตกกังวลใดๆ มารบกวนจิตใจ จิตมันสงบเย็น ธรรมะให้ผลอย่างนี้ ดังนั้นจึงกล่าวได้อย่างหนึ่งว่าชีวิตนี้เป็น ธรรมะนี้เป็นคู่ชีวิต ชีวิตนี้มีธรรมะเป็นคู่ ธรรมะเป็นคู่ชีวิต ชีวิตเป็นคู่ธรรมะ กับธรรมะ ธรรมะก็มีชีวิตเป็นคู่ คู่ คือถ้าไม่มี ชีวิตมันไม่รู้จะไปตั้งอยู่ที่ไหน ฉะนั้นชีวิตนี้มันต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต เป็นคู่ชีวิต ชีวิตนี้มีธรรมะนะเป็นคู่ชีวิต แล้วมันจะน่าหวง ที่ว่าถ้าธรรมะเป็นคู่ชีวิต ชีวิตนี้มีธรรมะเป็นคู่เป็นชีวิตที่มีธรรมะเป็นคู่ ชีวิตนั้นจะไม่กัดเจ้าของฟังดูนะ ชีวิตที่ไม่มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต ชีวิตนั้นจะกัดเจ้าของ ชีวิตที่ไม่มีธรรมะนะ เดี๋ยวมันรักบ้าง เดี๋ยวมันโกรธบ้าง เดี๋ยวมันเกลียดบ้าง เดี๋ยวมันกลัวบ้าง เดี๋ยวมันตื่นเต้นบ้าง เดี๋ยวมันวิตกกังวลบ้าง เดี๋ยวมันอาลัยอาวรณ์บ้าง เดี๋ยวมันอิจฉาริษยาบ้าง เดี๋ยวมันหวง เดี๋ยวมันหึง มันกัดเจ้าของ ชีวิตที่ไม่มีธรรมะ ชีวิตนั้นเองกัดเจ้าของ กัดเจ้าของ ถ้าชีวิตนี้มีธรรมะสงบเย็นๆ ไม่ถูกกัดด้วยความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้นวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยาหวงหึงนี่ ไม่มี ชีวิตไม่กัดเจ้าของเป็นชีวิตที่มีธรรมะแล้วไม่กัดเจ้าของ อยากจะบอกเป็นพิเศษสักหน่อยนะคือพวกฝรั่งในบรรดาที่เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมะที่นี่กันทุกเดือนๆ กันมากๆ นั้น ชอบข้อนี้ ไตร่ถามดูแล้วฟังดูแล้วว่าชอบข้อนี้ ที่เข้ามาศึกษาธรรมะ พบธรรมะ รู้ธรรมแล้วก็ชอบใจข้อนี้จะได้มีชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เขาเรียกว่าชีวิตใหม่หรือวิถีชีวิตใหม่ซึ่งไม่กัดเจ้าของ ที่แล้วมาแต่หนหลังเขามีชีวิตที่มันกัดเจ้าของ มีงานทำ มีครอบครัวมีอะไรๆ หมดก็ยังกัดเจ้าของ ที่กระเสือกกระเส็นมาเที่ยวหาดูจะให้ เมื่อไรจะพบชีวิตที่น่าพอใจ พอพบชีวิตที่มีธรรมะเป็นคู่ชีวิตก็พอใจ ไม่กัดเจ้าของๆ จึงถือว่าเป็นของใหม่ เป็นวิถีชีวิตใหม่หรือไอ้ตัวชีวิตที่มันใหม่ที่มันไม่กัดเจ้าของ นี่เป็นที่พอใจสนใจของชาวต่างประเทศเป็นพิเศษ คือชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ถ้ามันกัดเจ้าของมันก็เลวกว่าหมาแล้วนะ ก็หมามันยังไม่กัดเจ้าของ นี่คิดดูสิ หมาแท้ๆ นี่ ยังไม่กัดเจ้าของ ชีวิตจะกัดเจ้าของได้ยังไง ถ้าชีวิตกัดเจ้าของมันก็เลวกว่าหมา ถามว่าเอาไปทำไม เอาไปทำไม มีทำไม จัดการเสียให้มันเสร็จสิ้นเด็ดขาด ไม่มีอาการที่เรียกว่าชีวิตกัดเจ้าของอีกต่อไป ไม่มีอาการ ที่เรียกว่าชีวิตกัดเจ้าของอีกต่อไป มันก็เป็นอย่างที่ว่าต้องเป็นชีวิตที่ไม่โง่เรื่องมีตัวตนหรือไม่มีของตน ไม่มีความเป็นบวก ไม่มีความเป็นลบในความรู้สึก เมื่อไม่มีความเป็นบวกหรือเป็นลบ ไม่มี Positive ไม่มี Negative ในความรู้สึกมันก็ไม่เกิดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยาหวงหึง ชีวิตมันไม่กัดเจ้าของนั่นเพราะเหตุนั้น มันไม่มีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบมันเห็นเช่นนั้นเอง มันเห็นเช่นนั้นเอง อร่อยเช่นนั้นเอง ไม่อร่อยเช่นนั้นเอง หอมเช่นนั้นเอง เหม็นก็เช่นนั้นเอง ไพเราะก็เช่นนั้นเอง ไม่ไพเราะก็เช่นนั้นเองจัดการลงไปให้มันถูกกับเรื่อง ไม่ต้องไปเสียเวลาเป็นบวกเป็นลบกับมัน คือเมื่อไปเสียเวลาพอใจ หรือไม่พอใจกับมัน มีแต่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็จัดการให้ถูกกับเรื่องก็แล้วๆ กันอย่างนี้ ไม่มีโอกาสที่ชีวิตกัดเจ้าของ ในเมื่อว่ามันไม่กัดเจ้าของแล้วก็ไม่มีความทุกข์แล้วก็ชีวิตจะเย็นเป็นนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ อยู่ตลอดเวลามันก็หมดปัญหาๆ ความเป็นมนุษย์ถูกต้องที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เยือกเย็นและเป็นประโยชน์ครบทุกอย่างทุกประการ ในเมื่อเราก็พัฒนาชีวิตนี้ให้ทันแก่เวลา ธรรมชาติให้ยืมมาไม่เกินร้อยปีนะ ธรรมชาติให้ชีวิตยืมมาใช้นี้มาพัฒนาไม่เกินร้อยปี ต้องรีบทำให้มันเสร็จทันเวลา ให้ได้รับประโยชน์สูงสุดคือเยือกเย็นและเป็นประโยชน์ นั่นต้องรู้จักขอบคุณธรรมชาติผู้ให้ยืมเสียบ้าง ธรรมชาติให้ยืมมานะ แต่สัญชาติโง่ สัญชาติโกงมันว่ากูนะ มันไม่ว่าธรรมชาติให้ยืมมานะมันว่าตัวกูของกูนะ มันคดโกงอย่างนี้มันจึงถูกลงโทษให้มีความทุกข์เหลือประมาณ มันคดโกงธรรมชาติให้ยืมมามันว่าตัวกูมันว่าของกู การไม่ การจะไม่คดโกงอย่างนั้นเขาให้ยืมมาร้อยปีเป็นอย่างมากก็เอามาพัฒนาๆ ขอบใจธรรมชาติๆ ให้ยืมมาไม่คิดดอกเบี้ยนะ ธรรมชาติให้ยืมมานี้ไม่ได้คิดดอกเบี้ยนะยืมมานี้ไม่คิดค่าสึกหรอ ไม่คิดค่าอะไรหมด ให้ยืมมาให้มึงพัฒนากันต่อไป แล้วมึงก็โกงว่าของกู ของกูๆ นี่ไม่ใช่ของธรรมชาติ ให้ยืมมา เลิกเป็นคนโกง เลิกๆๆ เลิกเป็นอันธพาล คดโกงเนรคุณกันเสียที ขอบใจธรรมชาติให้ยืมมาภายในเวลาอันจำกัด ฉันจะศึกษา ฉันจะปฏิบัติ ธรรมะให้ถึงสูงสุดแล้วก็สำเร็จเรื่องที่จะต้องทำ อย่างนี้เขาเรียกว่ามันจบอีกพรหมจรรย์ มุสิตวา จบกิจพรหมจรรย์ กตกรณีโย ทำกิจที่ควรทำ ทำสำเร็จแล้ว โออิตภาโล ปลงของหนักลงได้แล้ว อนุปัตตกทัตโถ มีประโยชน์ของตนอันตนทำได้แล้ว ปริภูนภาวสนโยชโน เครื่องผูกพันให้จิตอยู่ในการเวียนว่ายในภพตัดขาดแล้ว สมปัญญาวิมุตโต หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบ นี่เป็นลักษณะของพระอรหันต์จบกิจจบเรื่องที่จะต้องจัด จะต้องทำอันเกี่ยวกับชีวิต ไม่มีหน้าที่ใดเหลืออยู่ นี่เรียกว่าเป็นมนุษย์สูงสุด สุดท้ายจบกิจพรหมจรรย์เป็นพระอรหันต์ มันให้ประโยชน์ถึงอย่างนี้ คุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า ขอให้ลองดูขอให้คิดดู พิจารณาอย่างซื่อตรงไม่ลำเอียงว่าธรรมะนี้ดีอย่างไร ธรรมะนี้มีอานิสงค์อย่างไร ธรรมะนี้จะให้ประโยชน์อย่างไร ปฏิบัติให้ถึงที่สุดให้ได้รับประโยชน์นั้นๆ เดี๋ยวมันก็น่าหัว เดี๋ยวเป็นประโยชน์แก่ชีวิตนั่นเอง นั้นเป็นประโยชน์แก่ชีวิตนั้นเอง มันยังไม่เอาเลย ชีวิตนั้นจะได้รับประโยชน์นั่นเองมันยังไม่เอายังคดโกงๆ มันยังประพฤติผิดธรรมะ ฉ้อฉลเจ้าของเดิมเป็นตัวกูเป็นของกูเกิดกิเลสตัณหาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด มันเกิดขึ้นโดยไม่มี โดยไม่มีเสียนิดเดียวที่จะมีความสงบสุข
นี่เรามาทำมาฆบูชาวันพระอรหันต์วันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์เรียกว่าวันมาฆบูชา ขอให้เอาคุณของพระอรหันต์ มากระทำไว้ในใจ อรหังโสติภินาโต ท่านเป็นอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว อรหันต์ตัวหนังสือแท้ๆ แปลว่าไม่มีความลับ แปลอย่างอื่นก็ได้แต่ไม่ตรงตามตัวหนังสือ ตามตัวพยัญชนะแท้ๆ อ แปลว่า ไม่ รห แปลว่า ลับ อรหะ แปลว่า ไม่มีความลับ ก็แปลว่าไม่มีความโง่ใดๆ เหลืออยู่ ความที่ว่าไม่มีความไม่รู้ใดๆ เหลืออยู่ ถ้าเหลืออยู่มันเป็นความลับ อรหันต์รู้หมดจนไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นความลับต่อท่านท่านจึงถูกเรียกว่าอรหันต์ผู้ไม่มีความลับเหลืออยู่ คือท่านรู้หมดเท่านั้นเอง แต่ท่านรู้ในสิ่งที่ต้องรู้เท่านั้นแหละ ไม่บ้าบอไปรู้สิ่งที่ไม่ต้องรู้เหมือนคนสมัยนี้ไปรู้สิ่งที่ไม่ต้องรู้สิ่งที่ควรรู้ไม่รู้ ถ้าเป็นพระอรหันต์รู้หมดทุกสิ่งที่ควรรู้ก็เรียกว่าไม่มีความลับเหลืออยู่ ความรู้ที่จำเป็นจะต้องรู้ไม่เหลืออยู่ๆ นี่เรียกว่าอรหันต์ อขีนาสโว ขีนาสโว ไม่มีอาสวะไหลออก ส่วนอาสวะนี่ต้องอธิบายหน่อยว่าคนที่มันหลงบวกหลงลบมีตัวกูแล้วมันก็เกิดกิเลส โลภ โกรธ หลงนี่เรียกว่ากิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เกิดอยู่เดี๋ยวนี้เรียกว่ากิเลส ฉะนั้นเกิดกิเลสเสร็จแล้ว มันก็เหลืออยู่เป็นความชิน ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสอีก ที่จะเกิดกิเลสอย่างนั้นอีกก็เหลืออยู่ ความเคยชินนั้นเหลืออยู่ ความเคยชินนี้เรียกว่าอนุสัย อนุสัยเก็บไว้ในใจ อนุสัยเก็บไว้มากๆๆ มันจะออกมา พอได้เหตุปัจจัยจากภายนอกยั่วสักนิดเดียวมันก็พุ่งออกมาทันที นั้นคืออาสวะ อนุสัยที่เก็บไว้ภายในพอได้เหตุปัจจัยภายนอกอะไรมา มันก็พุ่งออกมาไหลออกมาเป็นอาสวะ ขี้คร้านถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีอนุสัยอะไรมันจะไหลออกมาเล่า คิดดูสิ ถ้าไม่มีอาสวะไหลออกมาก็ไม่มีกิเลส ก็ไม่มีอนุสัยที่เก็บอยู่ ไอ้เรามันเก็บไว้มากนี่ ความเคยชินที่จะเกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลงเก็บไว้เต็มอัดๆ มันก็ไหลรี่รั่วออกมาเล็กๆ น้อย แล้วก็พอได้เหตุปัจจัยเต็มที่ ก็ไหลท่วมออกมา เหมือนกับว่าไหใบหนึ่งใส่น้ำลงไปเรื่อย เติมลงไปๆๆ มันก็เต็มไหน้ำก็ปรี่ที่จะออกมาถ้ามีรั่วตามดสักนิดหนึ่งมันก็ออกมาๆ อนุสัยมันก็ออกมา อย่างนี้เป็นนิวรณ์ แต่ถ้ามันมีเหตุปัจจัยดีกว่านั้นเจาะรู อะไรมาเจาะรูถุงมันก็พุ่งออกมาเลย นี่เรียกว่ากิเลสออกมาใหม่ เป็นอาสวะ อาสวะคือกิเลสที่ไหลกลับออกมา พระอรหันต์เป็นขีนาสโวไม่มีอาสวะจะไหลออกมา เพราะว่าในจิตใจไม่มีอนุสัย มันก็ไม่มีอนุสัยเพราะมันไม่มีกิเลสที่สร้างจิตอนุสัย เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่สามารถรู้ เหมาะสมรู้ หรือว่ามีเหตุผลที่จะทำตามพระอรหันต์ ไม่ทำกิเลส ไม่สะสมอนุสัยนั่นคือทำตามพระอรหันต์ แล้วในที่สุดก็จะไม่มีอาสวะไหลออกมาเหมือนกัน อรหังโหติขีนาสโว อมุสิตวา จบพรหมจรรย์เรื่องปฏิบัติจบ กตกรณีโย บรรดาสิ่งที่มีชีวิตจักต้องทำ ทำเสร็จแล้วก็เรียก กตกรณีโย โอหิตภาโล ปลงของหนักลงได้แล้ว ของหนักนี้คือตัวกู คือของกูที่ยึดถือไว้ด้วยความโง่ยังไง ชื่อว่าของหนัก นี่ปลงโยนลงไปหมดแล้ว โออิตภาโร อนุปัตสปทัตโถ ประโยชน์ใดที่ควรจะเป็นประโยชน์ ที่ตนควรจะได้รับ ก็ได้รับแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ควรได้รับประโยชน์อะไร ก็ได้รับประโยชน์นั้นแล้ว เรียกว่า อนุปัสสปัตทัตโถ ถึงจะผูกพันให้เกิดใหม่ ตายเกิดตายเกิดก็ไม่มี เรียกว่า ปริชีนสวสัญโยชโณ สรุปเรียกในที่สุดว่า สมัตปัญญาวิมุตโต วิมุตแล้วหลุดพ้นแล้วด้วยปัญญาอันชอบของตนเองที่ได้สะสมๆๆ ไว้ นี่เป็นปํญญาอันชอบของพระคุณท่าน พระอรหันต์ก็คือผู้ที่มันไม่มีปัญหาเหลือไม่มีความทุกข์เหลือ มีแต่ความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ นี่ขอให้คิดดูให้ดีว่า เราได้รับประโยชน์อันนี้กันแล้วหรือยัง ความสุขมีสามอย่างบอกแล้วข้างต้น ความสุขอันหนึ่งเกิดก็ไม่เบียดเบียนกันความสุขชั้นสองเกิดเพราะไม่กำหนัด ไม่มีราคะกำหนัด ในสิ่งเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดคือกามล่วงกามเสียได้ ความสุขที่สามหมดตัวกู หมดของกู หมดตัวกู หมดของกู พระอรหันต์มาถึงนี่แล้วท่านก็หมดกิจๆ จบกิจที่จะต้องทำ
ที่นี้เรามาพูดกันถึงเรื่องของเรา เรื่องของเราที่เหลืออยู่เฉพาะหน้าในบัดนี้ ปัญหาที่เหลืออยู่เฉพาะหน้าในบัดนี้ ว่ามันคืออะไร มันคืออะไร มันก็คือความเต็มอัดอยู่ด้วยตัวตน ด้วยตัวกู ด้วยของกู เต็มอัดอยู่ด้วยความรู้สึกเป็นตัวกู เป็นของกูอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อืม มันมีความเห็นแก่ตัวๆ พอออกมาไม่มีที่สิ้นสุดสารพัดอย่าง ร้อยอย่างพันอย่างหมื่นอย่างแสนอย่างล้านอย่างเป็นความเห็นแก่ตัวเป็นตัณหาทั้งนั้น มันมาจากความมีตัวอย่างโง่เขลา พลาดท่ามีตัวมันก็โง่เขลาแล้ว เพราะว่าตัวมันเกิดจากอวิชชาทั้งนั้นแหละมันไม่เกิดจากวิชชาไม่เกิดจากปัญญาแต่มันเกิดจากโมหะ มันเกิดจากอวิชชาถ้าชื่อว่าตัว ตัวๆๆ นี้เราก็มีตัว รู้สึกว่ามีตัวมีตัวกู ได้รับความบอกเล่าว่านิพพานเป็นสุขที่สุดก็เลยเอากับเขาสักหน่อย ไม่ได้แสวงหานิพพาน แต่ถ้าพลอยต้องสละตัวกู มันก็ไม่เอามันก็ยังรักตัวกูอยู่นี่ ยังเห็นแก่ตัวกูอยู่นี่ เล่านิทาน ย่อๆ คือเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งเขาอยากไปนิพพาน อาตมาบอกว่าในเมืองนิพพานไม่มีรำวง เขาบอกว่างั้นไม่ต้องๆ ไม่ไปแล้ว คิดดูสิมันเกิดอยากไปนิพพานกับเขา ได้ยินเล่าเขาบอกมา เขาบอกว่าเมืองนิพพานไม่มีรำวงก็ไม่เอา ไม่ต้องไม่เอาแล้ว เพราะว่าแกชอบรำวงเป็นชีวิตจิตใจเลย นี่ระวังให้ดีนะที่จะหมดตัวกูมันหมดไม่ได้เพราะมันยังรักตัวกู มันยังรักตัวกู มันยังหลงตัวกู มันยังหวงแหนตัวกู ยังเอร็ดอร่อยสนุกสนานอยู่ด้วยตัวกู เพราะเกิดมามันโง่ ไม่ได้ของโง่มาแต่ในท้องหรอก มันพึ่งมาโง่ เมื่อเกิดมาแล้วได้รับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดบวกเกิดลบ แล้วก็โง่ๆ ไปหลงบวกหลงลบ หลงบวกจะเอา หลงลบจะฆ่าจะทำลาย นี่มันพึ่งโง่ แล้วมาโง่ๆๆๆ ความเห็นแก่ตัวนี่พึ่งเกิดเมื่อเกิดมาแล้วจากท้องแม่ นี่ระวังให้ดี
อ้าวเวลาเหลืออยู่หน่อยหนึ่ง ก็พูดกันถึงเรื่องนี้สักทีเรื่องตัวกูนี่ โลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวของคนในโลกที่เพิ่มขึ้น คนในโลกเพิ่มขึ้นๆ ก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ข้อนี้ยังไม่เท่าไหร่ มันมีสิ่งที่ล่อหลอกให้เห็นแก่ตัวมันมากขึ้นๆ สิ่งสวยงามสนุกสนาน เอร็ดอร่อยที่ส่งเสริมกิเลสนั่นแหละมันเพิ่มขึ้นในโลก สมัยคนป่าโน้นไม่มีผ้าอะไรด้วยไม่ต้องนุ่ง เดี๋ยวนี้มันมีอะไรบ้างล่ะ ในบ้านในเรือนเต็มไปด้วยอะไร เต็มไปด้วยความบำรุง ส่งเสริมความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเบิกบาน แล้วก็ติดกันด้วยเครื่องจักร นี่ก็ตั้งเครื่องจักร ติดไอ้สิ่งเหล่านี้ คนมันก็หลงซื้อกัน เพราะว่ามันทำให้ดีกว่าเก่าทุกที เสื้อผ้าอาหาร อาหารมันก็อร่อยกว่าเดิม เสื้อผ้าก็งามกว่าเดิม เครื่องใช้ไม้สอยก็สนุกสนานสวยงามอร่อยกว่าเดิม แม้แต่หยูกยามาเดี๋ยวนี้มันก็เหมือนจะไม่เป็นหยูกเป็นยาแล้วนะไม่ขมไม่เหม็น มันทำให้เอร็ดอร่อยสวยงามกว่าเดิม ประดิษฐ์ด้วยเครื่องจักร อย่างนี้มันก็ต้อง มันโฆษณาเก่ง จนคนโง่ก็แล้วกัน คนโง่ก็ต้องซื้อ มีวิทยุอยู่แล้วฟังได้ดีอยู่แล้วยังต้องซื้อเครื่องใหม่ มันออกมาดีกว่านั้น มีตู้เย็นอย่างนี้ใช้ได้อยู่แล้ว มันก็ซื้ออันใหม่ที่ดีกว่านี้อีก มันโง่สองชั้น สามชั้น สี่ชั้น ห้าชั้นมาเป็นลำดับๆ เพราะว่าโลกมันเจริญด้วยการหลอกลวง โดยติดเหยื่อของกิเลสในทางวัตถุจึงพูดได้ว่ายิ่งเจริญทางวัตถุยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งเจริญด้วยวัตถุยิ่งเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ยิ่งเจริญทางวัตถุเหมือนอย่างปูวิ่ง เขาสร้างเครื่องจักรผลิตนั่นผลิตนี่ผลิตโน้น ให้สวยงามเอร็ดอร่อยยั่วยวนไปทั้งนั้น จนเด็กวัยรุ่นจะเป็นบ้าตายหมดแล้วเด็กวัยรุ่นเดี๋ยวนี้น่าสงสาร มันไม่รู้ว่าจะเอายังไง มันหลงบวกหลงลบกับที่เขาผลิตขึ้นมาล่อนี่ รู้แต่ว่าน่ารักน่าพอใจแต่ว่าไม่รู้ว่าคุณโทษอะไรกัน นี่แหละโลกมันกำลังจะวินาศ มันเพราะความเห็นแก่ตัว ที่น่ากลัวอย่างยิ่งอย่างหนึ่งคือการโฆษณา ศิลปะของการโฆษณามันเหลือเกิน อาตมาก็ยังกลัวแต่ไม่ได้ซื้ออะไรสักนิดแต่กลัว นี่กลัวโฆษณาหน้าโฆษณาตามหนังสือพิมพ์กลัวที่สุดเลย กลัวแทนคนโง่ คือมันจะต้องซื้อไอ้สิ่งที่ไม่ต้องซื้อ สิ่งที่ไม่ต้องซื้อมันโฆษณาเก่ง โฆษณาให้ยายแก่ขี้เหนียวขึ้ตืดซื้อตู้เย็นมันก็ทำได้ มันก็ทำได้ มันโฆษณาเก่ง นี่มันทำได้สารพัดอย่างไอ้เรื่องโฆษณาๆๆ โลกนี้เจริญด้วยศิลปะแห่งการโฆษณา คนก็เห็นแก่ตัวๆ ที่นี้พื้นเพกำพืดของความเห็นแก่ตัวนั้นมันเป็นความเลวร้ายเป็นศัตรูเป็นความเลวร้ายเป็นปัญหา มีความเห็นแก่ตัวที่ไหนก็มีความเลวร้ายที่นั่น มีความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ก็มีความร้ายในโลกนี้เห็นแก่ตัวที่เมืองนี้ก็เลวร้ายที่เมืองนี้ ที่ครอบครัวนี้ ที่บ้านเรือนนี้มีความเห็นแก่ตัว มันก็เลวร้ายที่นั่น ขอโอกาสพูดให้หมดนะ อดทนนิดหน่อยนะ ว่าความเห็นแก่ตัวนั้นมันมีสักกี่เรื่อง ความเห็นแก่ตัวมันก็ขี้เกียจ มันไม่อยากทำงานอยากนอน เมื่อก่อนอาตมาเห็นคนเป็นเจ้านาคอยู่ที่พุมเรียง วัดโพธาราม นอนตะพืดๆ ไม่ต้องทำอะไร นอนตะพืดไม่ทำอะไรเลยมันเห็นแก่ตัว ตื่นนอนขึ้นมาก็กินข้าวเหลือบาตร แล้วก็นอนตะพืด คนเห็นแก่ตัวมันไม่ต้องการจะทำอะไรมันให้คนอื่นทำมันก็ขี้เกียจ คือคนเห็นแก่ตัวมันก็เอาเปรียบๆ ไม่ทำมันยังเอาเปรียบอีก น่าหัวไหม ไม่ทำเองแล้วมันยังเอาเปรียบอีก คอยจ้องจะเอาเปรียบ คอยจ้องจะเอาเปรียบโดยพร้อมจะเอาเปรียบในทุกอย่าง แล้วมันก็อิจฉาริษยาความโง่ความเห็นแก่ตัวมันก็อิจฉาริษยาทั้งตัวเองไม่มีอะไรจะดีแล้วมันยังอิจฉาริษยาคนที่ดี แล้วมันก็ไม่สามัคคีกับใครๆ มาชวนคนเห็นแก่ตัวให้ทำความดีให้ช่วยกันสร้างสรรค์ เหมือนกับชวนช้างลอดรูเข็ม เห็นแก่ตัวมันไม่สามัคคีกัน เมื่อตอนแรกที่อาตมาชวนทำถนนขึ้นเส้นนี้ที่เดินจากถนนต่อมาสู่แถวๆ นี้ก็มีคนมาช่วยมากนะ มาช่วยมากตามความเป็นจริงก็มีคนมาช่วยมาก แต่มันยังมีคนสองคน คนสองคนมันพูดว่าเออ มึงๆทำ เถอะกูไปเดิน กูไปเดินให้มึงได้บุญ มันไม่มาทำๆ อย่าออกชื่อว่าใครเลย มึงทำเถอะ กูก็ไปเดินให้มึงได้บุญนะ คนเห็นแก่ตัวมาทำไหมสามัคคีมันได้บอกอย่างนี้ คนเห็นแก่ตัวมันก็อวดดียกตนข่มท่าน ยกตนข่มท่านอยู่เสมอ แล้วมันก็ชอบใส่ร้ายผู้อื่นด้วย คนเห็นแก่ตัวเขาไม่มีความผิดมันก็หาเรื่องนินทาว่าร้าย ทำแบบของความเห็นแก่ตัว มันทำลายสาธารณประโยชน์สิ่งที่เขามีไว้เป็นทำสาธารณะประโยชน์ทำลายสิ้น ทำลายห้วยน้ำลำธารสุดหนองห้วยหนองคลองบึงวางไว้มันทำลายหมด คนเห็นแก่ตัว มันก็สร้างมลภาวะ สร้างมลภาวะ สิ่งไม่พึงปราถนาสกปรกรกรุงรัง โลกกำลังเป็นปัญหาอยู่ด้วยปัญหาข้อนี้ เราอยู่ที่นี่ไม่ค่อยรู้สึก ที่บ้านนอกที่ๆ เมืองนอกอันกว้างขวางก็กำลังลำบากด้วยมลภาวะ ที่คนเห็นแก่ตัวมันสร้างขึ้นเป็นควันพิษ เป็นน้ำเน่า เป็นสิ่งสกปรกรกรุงรัง เป็นอะไรก็ตาม เป็นมลภาวะ เดี๋ยวก็มันคนเห็นแก่ตัวนี้มันก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน เป็นต้น มันเห็นแก่ตัว ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวมันผ่อนผันสัญญาณกันอุบัติเหตุเช่น รถชนกันนี้จะไม่มี นี่คนเห็นแก่ตัวมันสร้างอุบัติเหตุเต็มไปหมด กระทบกระทั่งกันไปหมด บรรดาอุบัติเหตุมันก็มาจากกูเห็นแก่ตัว แล้วก็ความเห็นแก่ตัวมันก็ฆ่าตัวทำลายตัวมันก็ได้ติดยาเสพติด ไอ้พวกที่ติดยาเสพติดนี้มันมีความเห็นแก่ตัวมีความโง่เห็นแก่ตัวแม้แต่ความอยากลอง อยากลองก็เพราะว่าเห็นแก่ตัว พออร่อยติดเข้าไปแล้วมันก็เห็นแก่ตัว มันก็ละไม่ได้ มันก็ติดยาเสพติดเป็นนิสัยเพราะมันเห็นแก่ตัว ในที่สุด ไอ้คนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เอร็ดอร่อยโดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องอะไรนี้ ไม่ติดเพียงยาเสพติดนะ มันก็ได้เป็นโรค เป็นโรคภัยไข้เจ็บนิดที่หมามันก็ไม่เป็น โรคภัยไข้เจ็บชนิดที่หมามันก็ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัวมันจะได้เป็น เรื่องโรคสำส่อนเรื่องโรคเอดส์ โรคแอตอะไรก็ไม่รู้ อาตมาไม่เคยรู้แต่รู้ว่าโรคนี้หมาไม่เป็น หมาไม่ได้เป็นแต่ไอ้คนมันก็เป็น คนมันก็เป็น คนเห็นแก่ตัวมันก็ได้เป็นโรคเอดส์โรคอะไร เป็นปัญหาทั่วไปทั้งโลก มันเป็นโรคที่แม้แต่หมาก็ไม่เป็น ที่นี้มันก็เป็นอันธพาลนะ เห็นแก่ตัวไม่ได้อย่างใจก็จี้ปล้นลักขโมยเอาซึ่งหน้า ฆ่ากันซึ่งหน้าเห็นไหมตามแบบของอันตรพาล เพราะมันเห็นแก่ตัว ทำลามกอนาจารได้โดยไม่มีความละอายที่ไหนก็ได้เพราะมันเห็นแก่ตัวเกินไปๆ จะทำอย่างไร มีรัฐบาลๆ สร้างคุกเรือนจำเท่าไรก็ไม่พอ ไม่พอที่จะกักขังคนเหล่านี้ ได้ฟังรายงานของกระทรวงมหาดไทยเรื่องคุกเรือนจำ ไม่มีเงินจะสร้างคุกถ้าจะต้องใช้วิธีอย่างอื่นแล้วไม่มีเงิน ตำรวจก็สร้างเท่าไรก็ไม่พอ ศาลสร้างเท่าไรก็ไม่พอ แล้วกระทรวงเขาก็ไม่มีเงินจะสร้างศาล สร้างศาลเท่าไรก็ไม่พอ กับมนุษย์ที่มันเห็นแก่ตัวมากขึ้น สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไรมันก็ไม่พอ เรามีคนบ้าที่ต้องเก็บไว้ เพราะไม่มีโรงพยาบาลที่จะรับ รัฐบาลไม่มีเงินจะสร้างต่อ สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างคุกเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างตำรวจเท่าไรก็ไม่พอ สร้างเรือนจำเท่าไรก็ไม่พอ สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไรมันก็ไม่พอ เมื่อคนเห็นแก่ตัวมันเดือดจัดมันหลงทางหลงทางแล้วมันก็ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองเองตายตามที่ท่านเห็นบ่อยๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ เห็นแก่ตัว สรุปความว่ามันต้องเป็นบ้าหรือตายในที่สุด ปิดฉากคนเห็นแก่ตัวคืออย่างนั้น ฉะนั้นเราจงมองเห็นความน่าเกียจน่ากลัวนี้แล้วก็พูด ช่วยกันพูดๆ ช่วยกันบอก ในโรงเรียนครูต้องสอนเรื่องความน่ากลัวความเลวร้ายของความเห็นแก่ตัวจัดเป็นหลักสูตรที่ต้องมาสอนในโรงเรียน สอนอยู่ๆ สอนอยู่อย่างนี้จนเด็กๆ นะมันกลัว กลัวความเห็นแก่ตัว โตขึ้นไม่อยากเห็นแก่ตัวมันละอาย มันละอาย เดี๋ยวนี้โรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องเห็นแก่ตัว สอนแต่ฉลาดๆๆๆ วิเศษวิโสเอาความฉลาดไปเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดเท่าไรมันยิ่งเอาไปใช้เห็นแก่ตัว ไม่ใช้เพื่อดับความเห็นแก่ตัวเพราะโรงเรียนมันสอนผิด มันไปตามก้นไอ้การศึกษานอกประเทศโน้น ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว การศึกษาแต่ก่อนของเรายิ่งฉลาดก็ยิ่งมีศีลมีระเบียบมีวัฒนธรรมมีแล้วไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ไม่ ฉลาดเท่าไรก็ฟรีเท่านั้นแหละเพราะเห็นแก่ตัว ตามความฉลาดที่ได้มีๆๆ มันก็เลยเป็นโลกที่มีความเห็นแก่ตัวที่ยุ่งยากที่ลำบากที่เหลือความสามารถที่เราจะกำจัดมันเห็นไหม เดี๋ยวนี้มาพิจารณากันลุยสักนิดอีกสักรอบนะ ถ้าว่าครู ครูเห็นแก่ตัวเป็นอย่างไร ครูสอนหนังสือเห็นแก่ตัว มันก็หมดความเป็นครู ทำนาบนหลังลูกศิษย์ ทำนาบนหลังพ่อแม่ของลูกศิษย์มันก็หมดความเป็นครู ถ้าครูเห็นแก่ตัวมันก็หมดความเป็นครู นี่พวกหมอ หมอเห็นแก่ตัวมันก็ทำนาบนหลังคนไข้ ทำนาบนหลังคนยากจนเจ็บไข้หมอกลายเป็นพ่อค้าหมดความเป็นหมอเพราะเห็นแก่ตัว ถ้าตุลาการเห็นแก่ตัวมันก็หมดความเป็นตุลาการมันก็เป็นพ่อค้าทำนาบนหลังจำเลย ถ้าตุลาการเห็นแก่ตัวขึ้นม ถ้าพระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวมันก็ทำนาบนหลังทายกทายิกาทั้งหลาย บอกให้รู้ว่าทายกทายิกาทั้งหลายที่นั่งอยู่นี้ ถ้าพระบรรพชิตเห็นแก่ตัวเมื่อไหร่มันก็ทำนาบนหลังพวกคุณนั่นแหละ ความเห็นแก่ตัวเอากับมันสิ ถ้าพระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัว ก็ทำนาบนหลังทายกทายิกา เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว มันก็จะเอายังไง จะแก้ปัญหากันอย่างไร เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว มนุษย์ก็มีแต่ความขัดแย้งกันอยู่ตลอดไป ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว มันก็มีการต่อสู้ ๆๆ เป็นคู่ทะเลาะวิวาทนายจ้างลูกจ้างไม่ใช่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายแก่กันและกันเหมือนแต่โบราณ แต่โบราณโน้นครั้งพุทธกาลลูกจ้างนายจ้าง คนรวยกับคนจนก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายนะ เดี๋ยวนี้เป็นคู่ขัดแย้ง ระบบคอมมิวนิสต์ระบบอะไรก็แล้วแต่จะเรียก คนจนกับคนรวยมัน ลูกจ้างกับนายจ้างมันคู่ต่อสู้กัน ถ้าประชาชนราษฎรทั้งหมดเห็นแก่ตัว มันจะเป็นอย่างไรมันก็เลือกผู้แทนด้วยความเห็นแก่ตัวมันก็ได้ผู้แทนที่เต็มไปด้วยผู้เห็นแก่ตัว เราก็ได้รัฐสภาของผู้เห็นแก่ตัว รัฐสภาของผู้เห็นแก่ตัว รัฐสภานี้มาตั้งรัฐบาล ก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัวไม่ต้องสงสัย รัฐบาลเห็นแก่ตัวแล้วข้าราชการทุกคนมันก็จะเห็นแก่ตัว รัฐบาลเองก็เห็นแก่ตัวด้วย ข้าราชการทุกคนก็เห็นแก่ตัว แล้วประชาชนจะเป็นอย่างนั้นหมดๆๆ กันไม่มีอะไรเหลือแล้วโลกนี้ บ้านเมืองนี้มันจะอยู่อย่างไรมันจะอยู่ได้อย่างไร นักบวชก็เห็นแก่ตัว ลูกเล็กเด็กแดงก็เห็นแก่ตัวขึ้นมาไม่เคารพพ่อแม่ไม่ซื่อสัตย์กตัญญู กำลังทำให้พ่อแม่น้ำตาไหลอยู่ดี โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นรุ่นใหม่ที่มันหลงไอ้ความเจริญสมัยใหม่นี่มันทำให้พ่อแม่น้ำตาไหลนะ นี่พูดตรงๆ หน่อยนะอย่าโกรธ เอาล่ะที่ว่าเอามันอย่าเป็นเอามากมันก็จะเป็นไปได้นะ ถ้าหมาถ้าแมวนี่มันก็เกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมาแล้วมันจะเป็นอย่างไรกัน นี่สมมติ ถ้าหมามันเห็นแก่ตัว มันเกิดไม่เห่าขึ้นมาจะเป็นอย่างไร ถ้าแมวมันเกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมา มันไม่จับหนูแล้วมันจะเป็นอย่างไร ท่านที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้คงไม่นึกประหลาดหรือไม่นึกกลัว เพียงแต่ไม่มีแมวอย่างเดียวคนจะเป็นบ้าตายแล้วลองดู ถ้าไม่มีแมวเดี๋ยวหนูมันจะครองบ้านครองเรือน อาตมาเคยมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ไม่มีแมวหนูมันกัดนิ้วนอนหลับหนูมันกัดนิ้วนี่ความไม่มีแมว เพียงแต่ว่าไม่มีแมว คือถ้าแมวมันเกิดทรยศขึ้นมามันเห็นแก่ตัวมันไม่จับหนู ถ้าไก่มันเกิดไม่ขันขึ้นมาหรือมันไม่ทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งตามแบบของไก่มันก็แย่ไปตามๆกันนะ อะไรๆ มันเกิดเห็นแก่ตัวหมดแล้วก็คือวินาศ ต้นไม้ต้นไร่ก็เห็นแก่ตัว ก้อนหินก้อนดินก็เห็นแก่ตัวมันก็เลยไม่ต้องมีอะไรเหลือ อะไรมันจะพอมองเห็นได้แล้วมั้งว่า ความมีตัว มีตัว มีตัว แล้วเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวนี่ มันให้ความเลวร้ายอย่างไร ถ้าไม่เห็นแก่ตัว เอ้า ขอเวลานิดหน่อย ถ้าไม่เห็นแก่ตัวๆๆ ไม่ต้องมีศาสนามีพระมีเณรมาบวชให้รุงรังหรอกเกะกะอย่างนี้ไม่ต้องมีพวกคุณไม่ต้องมีอุบาสกอุบาสิกา ถ้าว่าในโลกนี้ไม่มีความเห็นแก่ตัวมันไม่ต้องมีศาสนา ไม่ต้องมีวัฒนธรรมไม่ต้องมีระเบียบอะไรกันก็ได้ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่ทำความผิดใดๆ มันมีแต่คนทำประโยชน์ คนสงบเย็นและเป็นประโยชน์ โดยไม่ต้องมีศาสนาไม่ต้องมีวัดวาอารามให้ยุ่งยากอะไรมาก ไม่ต้องมีรัฐบาลที่จะปกครองบ้านเมือง ไม่ต้องมีกฏหมาย ไม่ต้องมีอะไรทุกอย่าง ถ้าไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัว มีกฏหมายเท่าไรๆ ก็ไม่ไหว มีคุกตะรางเรือนจำเท่าไรก็ไม่ไหว นี่ศาสนาอย่างนั้นอย่างนี้ทุกๆ ศาสนาก็ยังไม่ไหว มีแต่ว่าจะมีศาสนาให้มากกว่านี้ถ้ามันยังเห็นแก่ตัวอยู่มันก็ไม่ไหว สร้างพระพุทธรูปให้เต็มโลก แปลพระไตรปิฎกไว้ให้เต็มโลกถ้าคนมันเห็นแก่ตัวอยู่มันก็ไม่ไหวอยู่นั่นไม่ไหวอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวโดยประการทั้งปวงมันก็ไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ๆ และท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องมาที่นี่เออ ท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องมาจากที่ไกลมาที่นี่ให้ลำบาก ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันไม่มีความทุกข์มันไม่มีปัญหา ไม่ต้องวิ่งมาศึกษาหาธรรมะอะไรที่ไหนให้มันสงบเย็นกันไปหมดอย่างนี้ นี่ประโยชน์ของความไม่เห็นแก่ตัว สรุปความแล้วความไม่เห็นแก่ตัวเป็นหัวใจของทุกๆ ศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหนอาตมาพยายามค้นพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของเขาศึกษาดูโอ้ ไปอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ศาสนาเมื่อหลายพันปีมาแล้วเมื่อสองพันกว่าปีคือพุทธศาสนาก็ดี ต่อมาคริสต์ อิสลามนี่ก็ดี มันล้วนแต่เรื่องไม่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น แต่แล้วมันไม่มีคนปฏิบัติ มันไม่มีคนปฏิบัตินี่แสดงว่าอย่างไรเล่า ศาสนาก็เป็นหมัน ถ้ามีศาสนาแท้จริงไม่เป็นหมันมันก็ไม่มีความเห็นแก่ตัวเหลืออยู่ในโลกได้ ก็ทุกศาสนามันกำจัดความเห็นแก่ตัว ถ้าถือศาสนากันอย่างเดียวมันก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว ถ้าคนนึงมันไม่มีความเห็นแก่ตัวเสียเองมันก็ไม่ต้องมีศาสนา มันมากถึงอย่างนี้มันสำคัญถึงอย่างนี้ เป็นพระอรหันต์กันหมด ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเป็นพระอรหันต์กันหมดนะ หรือว่าเป็นปุถุชนชั้นดีเป็นพระอริยเจ้าชั้นดีกันทั้งหมดเลย ถ้าไม่เห็นแก่ตัวตามลำดับๆ
ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนอุตส่าห์เหน็ดเหนื่อยยุ่งยากลำบากมาจนถึงที่นี่เพื่อจะมาฟังธรรมะในวันนี้ซึ่งเป็นวันพระอรหันต์ อาตมาก็พูดเรื่องพระอรหันต์คือบุคคลผู้ไม่เห็นแก่ตัวหมดความเห็นแก่ตัวคือเป็นพระอรหันต์ เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์แต่เราจงทำตามพระอรหันต์ เราจงเดินตามรอยหรือทำตามพระอรหันต์ข้อนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม แล้วก็เราก็ไม่ได้ทำเพราะอวดดิบอวดดีอะไรที่ไหนแต่นี่ทำเพื่อขจัดปัญหาๆ ในโลก จึงขอให้สนใจเป็นพิเศษเถิด ว่าหัวใจของธรรมะนั้นคือความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่เห็นแก่ตัวนั้นมาจากความรู้ว่าไม่มีตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีกิเลสใดๆ ไม่มีกรรม บาปผิดใดๆ มันก็เป็นสุข สงบเย็นและเป็นประโยชน์ ดังนั้นขอให้ทุกคนๆ เข้าใจเรื่องนี้ให้ดีกว่าที่แล้วๆ มา ถ้าอนุญาตให้พูดโดยไม่ต้องเกรงใจก็พูดว่าขอให้เป็นแรดน้อยกว่าปีที่แล้วมาถ้าอนุญาตให้พูดนั้นเราจะพูดอย่างนี้ถ้าไม่อนุญาตพูดอย่างนี้ก็พูดเป็นผู้ปฏิบัติธรรมะนะมากกว่าปีที่แล้วมาดีกว่าปีที่แล้วมาก็ได้เหมือนกัน อย่าให้เป็นนั้นอย่าให้เหน็ดเหนื่อยเพราะขนกันมาบนภูเขานี้มานั่งประชุมกันอย่างนี้ มันก็ต้องลำบากเหน็ดเหนื่อยนี่ก็ขอให้ได้รับผลตอบแทนคุ้มกับที่ได้รับความลำบากเหน็ดเหนื่อย กลับไปนี้ด้วยความรู้เข้าใจที่เพิ่มขึ้นๆๆ คือมีสติปัญญามีแสงสว่างเพิ่มขึ้น มีความลดอวิชชา ลดโมหะลดความไม่รู้ลดลงๆ หมดอวิชชาเมื่อไรๆ พบพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า พระพุทธเจ้านี้อยู่หลังม่านแห่งอวิชชาของคนทุกคน คนแต่ละคนไม่พบพระพุทธเจ้าเพราะม่านแห่งอวิชชาของตนบังอยู่ หลังพบม่านอวิชชามีพระพุทธเจ้าจงทำลายม่านของอวิชชา ทำลายม่านของอวิชชาหรือเพิกไปกวาดไปเลิกไปเสียก็คงจะดี จะพบพระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของตนๆๆ กันทุกๆ คน ขอให้สิ่งนี้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ทุกๆ ปี ท่านทั้งหลายจงได้ประสบความสุขสวัสดีงอกงามตามหลักพระพุทธศาสนา อยู่ทุกทิภาราตรีกาลเทอญ.1.55.42