แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันสำหรับพระธรรม เป็นวันพระธรรม เป็นวันที่ระลึกแก่พระธรรม วันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรมมีเรื่องพระธรรม วันมาฆบูชาเป็นเรื่องพระสงฆ์ ซึ่งจำกันได้ง่ายๆตามเหตุการณ์ที่ได้มีอยู่ในวันนั้นๆ ยุติว่าวันนี้เป็นวันพระธรรม เราจะกระทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระธรรมให้สำเร็จประโยชน์ในการที่มีพระธรรม ขอให้ตั้งใจรวมจิตใจทั้งหมดให้เหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว คือเรื่องพระธรรม เรื่องพระธรรม
ถ้าจะถามกันว่าพระธรรมคืออะไร ธรรมะคืออะไร ท่านลองคิดดูทีว่าท่านจะตอบอย่างไร สำหรับอาตมานั้นอยากจะแยกออกเป็น 2 อย่าง คือ ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระธรรมเป็นอย่างไรและคืออะไร ที่เกี่ยวกับมนุษย์พระธรรมคืออะไรและเป็นอย่างไร แยกดูกันคนละที
เอาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าก่อนว่า พระธรรมคืออะไร
พระธรรมคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบตรัสรู้
เมื่อพระธรรมคือสิ่งที่ทำให้พระสิทธัตถะ กลายเป็นพระพุทธเจ้า เพราะค้นพบธรรม เพราะตรัสรู้ธรรม เพราะมีธรรม เพราะบรรลุธรรม พระธรรมก็ได้ทำให้บุคคลเป็นพระพุทธเจ้า ในกรณีนี้ของเราก็คือ ทำพระสิทธัตถะให้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เกิดอุบัติโดย โอปปาติกกำเนิด กลายจากพระสิทธัตถะก็มาเป็นพระพุทธเจ้า นี้ก็อย่างหนึ่ง
พระธรรมคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าแจกแก่คนทั้งโลก พระพุทธเจ้าทรงแจกธรรมะให้แก่คนทั้งโลก ที่ท่านดูสังเกตดูถ้าฝ่ายที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระธรรมคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ พระธรรมคือสิ่งที่ทำบุคคลนั้นให้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา พระธรรมนั้นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแจกให้ทั่วไปหมด พระธรรมคืออย่างนี้
สิ่งที่เกี่ยวกับมนุษย์เกี่ยวกับมนุษย์หรือฝ่ายมนุษย์ พระธรรมเป็นคู่กับชีวิตมนุษย์ มนุษย์ไม่มีธรรม ไม่มีพระธรรมนั้นมันต้องตาย เพราะว่าพระธรรมนี้ มี ๔ ความหมาย พระธรรมคือธรรมชาติ พระธรรมคือกฎของธรรมชาติ พระธรรมคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ พระธรรมคือผลตามหน้าที่ มนุษย์เราตั้งอยู่โดยธรรม ธรรม ๔ ความหมาย มีธรรม ๔ ความหมายจึงรอดชีวิตอยู่ได้ จึงถือว่าพระธรรมเป็นของคู่ชีวิต ทำให้มนุษย์รอดชีวิตอยู่ได้ นี่จะพูดว่าเป็นตัวชีวิตกันเลยก็ได้เหมือนกัน เพราะขาดธรรมเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น
ท่านจงพยายามเข้าใจธรรม ๔ ความหมายนี้ให้ดี ขอพูดซ้ำๆซากๆอยู่นี่ว่า ในตัวคนๆเดียวคนหนึ่งนี่มันมีธรรมะ ๔ ความหมาย ด้วยร่างกายจิตใจอะไรที่ประกอบกันขึ้นเป็นอัตภาพนี้ทั้งหมดนี้คือธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณที่จะมองดูว่าเป็นขุมขนและฟันหนังอะไรก็แล้วแต่เป็นตัวธรรมชาติธรรมชาติ ที่ในธรรมชาติแต่ละอย่างนั้น มันก็มีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ ขุมขนและฟันหนังจึงเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องตามราวของขุมขนและฟันหนังหรือทำหน้าที่ของมันตามหน้าที่ มีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ เมื่อมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ก็มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติตามกฎ โชคดีที่บางอย่างมันทำหน้าที่เอง เช่น หัวใจสูบฉีดโลหิตเอง ปอดสูบลมเอง อะไรเอง ส่วนที่มันทำเองก็มีอยู่มากมายมหาศาล อยากรู้ดีก็ไปถามพวกหมอ แต่ว่าที่เราต้องทำ มันไม่ทำเอง ต้องทำ มันก็มี อยู่ส่วนหนึ่ง ต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจาระ ปัสสาวะ ต้องอาบไม่ได้ต้องอาบน้ำ ต้องบริหาร ก็เรียกว่าหน้าที่ที่ต้องทำ ส่วนหน้าที่ที่ทำเองก็เป็นหน้าที่ ที่ต้องทำก็เป็นหน้าที่ เพราะฉะนั้นมันอยู่ด้วยหน้าที่ มันมีหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่มันคือตาย ไม่ทำหน้าที่ก็มีผล ในทุกคนมนุษย์ทุกคน
มีธรรมะ ๔ ความหมายที่ในตัวจักรวาลแผ่นดินทั้งโลกนี้ก็มี ๔ ความหมายเหมือนกันเลย ตัวแผ่นดิน ตัวโลก ตัวจักรวาล นี่เป็นธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ให้เป็นไปตามกฎ แล้วมันก็มีหน้าที่เป็นไปกฎ ทำหน้าที่เป็นไปตามกฎ มิฉะนั้นก็สูญสลาย คือตายนั้น มันก็มีผลออกมาจากหน้าที่นั้น เป็นทุกข์ เป็นสุข ส่วนเป็นส่วนรวมของโลก โลกมันก็มีธรรมะ ๔ ความหมาย ดังนั้นจึงดูทีก็เห็นได้ว่า ธรรมะนี้คู่กันกับโลก ถ้าไม่มีโลกมันก็มีธรรมะไม่ได้ ไม่มีธรรมะโลกก็มีไม่ได้ โลกมีธรรมะเป็นไปตามธรรมะจึงตั้งอยู่ได้ ธรรมะก็อาศัยโลกตั้งอยู่ ควบคุม ยุติเป็นที่ให้เห็นให้ปรากฏอยู่
นี่ถ้ามองดูในส่วนที่เกี่ยวกับมนุษย์ ธรรมะเป็นของคู่ชีวิตของมนุษย์เป็นของคู่โลก แล้วก็มีอยู่ ๔ ความหมายกำกับอยู่ในธรรมชาติ ๔ ความหมาย
พูดกันอีกทีหนึ่ง ธรรมะคืออะไร ถ้าเกี่ยวกับพุทธเจ้า ธรรมะคือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้วทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เพื่อแจก แจก แจกธรรมะที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า นี่ที่เกี่ยวกับมนุษย์ ที่ต้องมีในมนุษย์ ต้องมีในโลก ต้องมีในสากลจักรวาล นับเป็นของคู่คู่กันกับโลก ทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี รอดชีวิตตั้งอยู่ได้เป็นไปทั้งจักรวาล เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลาย ก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ
ธรรมะคืออะไร
ท่านพอจะมองเห็นได้เองแล้วว่าธรรมะคือทุกสิ่ง ทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร ไม่ยกเว้นอะไร
ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดจากหน้าที่ นี่คือธรรมะ จะเป็นรูปธรรม มีรูปก็ได้ เป็นนามธรรมไม่มีรูปก็ได้ ไม่เป็นรูปไม่เป็นนามอะไรก็ยังเรียกว่าเป็นธรรมชาตินั้นแหละ ธรรมะคือธรรมชาติ นี่หมายความอย่างนี้
ที่นี่ก็ดู ว่าเราจะต้องเกี่ยวข้องกับธรรมะนี้อย่างไร ธรรมะนี้อย่างไร ข้อแรกศึกษาให้รู้ธรรมะ ข้อที่สองปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมะ ข้อที่สามก็มี มีไว้ประจำตัว ข้อที่สี่ก็ใช้ ใช้ธรรมะ ใช้ธรรมะให้ถูกต้องตามเหตุการณ์ แล้วก็รักษาธรรมะให้มี ประจำตัวอยู่ตลอดเวลา เราต้องเรียนให้รู้ ต้องปฏิบัติให้ได้ ต้องให้มีอย่างคล่องแคล่ว แล้วใช้อย่างคล่องแคล่ว รักษาไว้ให้มีอยู่ ท่านทั้งหลายก็สำรวจดูตัวเอง รู้ธรรมะกี่มากน้อย รู้ธรรมะกี่มากน้อย และรู้เรื่องอื่นๆกี่มากน้อย แต่ละวัน ละวันสนใจธรรมะกี่นาที สนใจเรื่องอื่นปฏิบัติเรื่องอื่นเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นกี่กี่นาที สรุปความแล้วคนสนใจแก่ธรรมะนี่ คิดเป็นเวลาเทียบส่วนแล้วไม่ถึง ๑ %ของเวลา อย่าว่าแต่ ๕% บางวันไม่ได้สนใจเลย ในหน้าที่ แต่ธรรมะก็ยังคงเป็นธรรมะ ยังควบคุมชีวิต ยังเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมะ มนุษย์ไม่สนใจ ก็ตามเรื่องของมนุษย์ ก็ได้รับผลคุ้ม คุ้มกันแล้ว
ฉะนั้นเรามาคิดดูกันใหม่ ว่าเรา ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ มีธรรมะพอสมควรพอสมควรแล้วหรือยัง ถ้าไม่ยังถึงขนาดพอสมควรก็รีบเถอะรีบทำให้ถึงขนาด ที่สมควรรู้ธรรมะให้สมควร ปฏิบัติธรรมะให้สมควร สมควรนี้เท่าไร สมควรนี้ก็คือเท่าที่ดับทุกข์ได้ นี้ถึงขนาดป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ได้ก็ยิ่งดี ยิ่งดี ไม่เป็นผู้ไม่มีปัญหา เป็นผู้ไม่มีความทุกข์ เพราะจะได้รับประโยชน์ มีความเป็นมนุษย์โดยพื้นฐานที่ถูกต้อง
คราวนี้คอยฟังให้ดีๆ เป็นมนุษย์โดยถูกต้องตามหลักพื้นฐานว่าจะต้องเป็นมนุษย์กันอย่างไรเท่าไรจึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ ต้องเป็นมนุษย์โดยหลักพื้นฐานให้ได้เสียก่อน แล้วจึงจะเป็นมนุษย์ตามจิตหรือหน้าที่ที่จะต้องกระทำ ทำหน้าที่ของพ่อ ทำหน้าที่ของแม่ ทำหน้าที่ของเจ้านาย นายจ้าง ทำหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ทำหน้าที่ผู้ปกครอง ทำหน้าที่ไม่ได้หยุดแม้ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ต้องเป็นมนุษย์โดยพื้นฐานให้เป็นมนุษย์กันเสียก่อน แล้วจึงจะเป็นมนุษย์อย่างนั้น มนุษย์อย่างนี้ มนุษย์อย่างนู้นได้ เดี๋ยวนี้โดยพื้นฐานก็ยังไม่ได้เป็นมนุษย์ มันยังไม่เป็นมนุษย์โดยพื้นฐาน ขอให้มีธรรมะโดยหลักพื้นฐาน เพื่อให้เราได้เป็นมนุษย์โดยหลักพื้นฐานให้เพียงพอเสียก่อน
เอาตามตัวหนังสือก็ว่า มีจิตใจสูง มีความรู้พอสมควร มีคุณธรรมพอสมควรนั้นเรียกว่า หลักพื้นฐาน
คำนี้มันแปลว่าจิตใจสูงก็ได้ มนุษย์คำนี้แปลว่ามีจิตใจสูงก็ได้ อีกทีก็แปลว่าเป็นเหล่ากอลูกหลานของมนูญ มนูญ มนะ อุตสยะ มนูญ มนูญก็คือผู้มีจิตใจสูงอีกนั้นเอง มนุษย์ผู้มีจิตใจสูงสุดเป็นคนแรก และทุกคนก็เป็นลูกหลานก็เลยมีจิตใจสูงนี้เรียกว่า เป็นเหล่ากอลูกหลานของมนูญ ถ้าแยกออกมาเป็นคนๆทุกคนเป็นผู้มีจิตใจสูงเรียกว่าเป็นมนุษย์ เมื่อมีจิตใจสูง ตามที่มนุษย์ควรจะมี เป็นมนุษย์ถูกต้องตามพื้นฐานแล้ว จะทำอะไรก็ถูกต้อง ได้คนดี จะให้เป็นผู้มีหน้าที่สูงต่ำอย่าไรก็ทำได้ผลดี นี่คือประโยชน์โดยตรง
แต่ว่าที่น่าสนใจกว่านั้น อาตมาก็อยากจะบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้ามีความเป็นมนุษย์โดยพื้นฐานถูกต้องแล้ว ท่านทั้งหลายจะมีชีวิตสงบเย็นและเป็นสุข ก็จะทำงานสนุก งานไม่มี ไม่มีงานล่ะเป็นเล่นไปหมด เพราะว่ามีสติปัญญาเพียงพอ มีจิตใจสูงเพียงพอ มันไม่มีอะไรยาก มันง่ายไปหมด มันเลยสนุกไปหมด ให้ทำงานอะไรยากอย่างไรก็เลยทำได้ทำสนุกไปหมด เป็นลูกเด็กๆกันอีกครั้งหนึ่ง
ท่านทั้งหลายเคยสังเกตไหมว่า ลูกเด็กๆ ทารกให้มันทำอะไร ใช้มันทำอะไร มันเป็นเล่นไปหมด สนุกไปหมด จะใช้ขนของมันสนุก ขนสนุก ใช้มันถูบ้าน มันก็ถูสนุก แม้จะใช้มันล้างถ้วยล้างจาน มันก็เล่นสนุกไปเลย เด็กๆ มันดีกว่าผู้ใหญ่ มันทำอะไรกลายเป็นสนุกไปหมด เป็นเล่นสนุกไปหมด ผู้ใหญ่ไม่เป็นอย่างนั้น บ่นแล้วก็ไม่อยากจะทำแล้วก็แยกออกจากเป็นนี้ อย่างนี้เป็นทำงาน อย่างนี้เป็นเล่นสนุก จะโง่กระมัง สู้ลูกเด็กๆให้มันทำอะไรก็เป็นเล่นสนุกไปหมด
เดี๋ยวนี้อาตมาคิดว่าทำได้ เราก็ทำได้ ขอให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องโดยพื้นฐานเสียก่อน มันก็มีธรรมะสำหรับมนุษย์เพียงพอ เมื่อมีธรรมะเพียงพอมันก็ไม่มีอะไรยากให้ทำอะไรก็ง่ายก็สนุกไปหมด ให้ทำงานยากๆอะไรก็สนุกไปหมด จึงอยู่ได้สบายไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ชนิดที่เขาไม่อยากทำ เขาเบื่อ เขาเกลียด เขาเหนื่อย เราทำได้ง่าย ทำได้ดี ทำได้สนุก เพราะมีความเป็นมนุษย์ถูกต้องโดยพื้นฐาน ร่างกายก็แข็งแรง จิตใจก็แข็งแรง สติปัญญาก็เพียงพอ ส่งอะไรเข้ามาทำสนุกไปหมด เลยเล่นไม่ค่อยทำเหมือนกัน เล่นสนุกไปหมด
ทำนา ทำไร่ ทำสวน ค้าขาย แม้แต่ขนของหรือทำอะไรก็ตาม มันรู้จักทำจิตใจ ให้ถูกต้อง ให้ยินดี ให้พอใจแล้วก็ทำได้ดี เมื่อทำได้ดีก็สำเร็จประโยชน์ สำเร็จประโยชน์ก็พอใจ พอใจ ก็สนุก อันนี้ความวิเศษ การงานสนุกไปหมด การงานก็เป็นสุขไปในตัวการงาน ชีวิตนี้ก็เยือกเย็น เยือกเย็น ไม่มีร้อน แล้วก็ไม่เครียด
ภาษาบ้าๆ บอๆ อะไรก็ไม่ทราบที่ใช้กันอยู่ พูดกันอยู่ใช้กันมากขึ้น ก็เครียดๆ บ่นมันหมด ได้ก็เครียด ไม่ได้ก็เครียด ความเป็นบวกก็เครียด ความเป็นลบก็เครียด มันเครียดกันคนละอย่าง นั่นคือจิตใจมันโง่ มันไม่สามารถจะต้อนรับทุกสิ่งให้กลมกลืนกัน มันก็เครียด นั้นที่เรียกว่าเซ็ง เซ็งมันก็เครียดชนิดหนึ่งเหมือนกัน เครียดฝ่ายลบ เครียดฝ่ายบวกได้มาก็กลุ้มไปหมดเหมือนกัน ไม่ได้มีความสงบ ดีใจจนนอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลง มันเครียดฝ่ายบวก ถ้ามีธรรมะมีธรรมะแล้วไม่ต้องกลัว ไม่มีเครียด ไม่มีเครียด มันกลมกลืนกันไปหมด มันพอดีกันไปหมด สนุกไปหมด
กล้าพูดให้คนไม่เชื่อ คือพูดว่า แม้เจ็บไข้ก็สนุกไปหมด อาตมาจะพูดอวดดีสักหน่อย ตัวเองนี้ไม่มีแรง เดี๋ยวนี้ไม่มีแรง เหมือนเจ็บไข้ชนิดหนึ่ง แต่แล้วมันก็สนุก สนุกไปกับความไม่มีแรงนี้แหละ ความที่ไม่ค่อยมีแรง ลุกขึ้นลำบาก มันจะต้องระมัดระวังเต็มที่แต่มันก็สนุก ความเจ็บไข้ ความที่ไม่ได้ตามต้องการมันก็สนุกไปเสียอีก ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร นี่ก็เพราะว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะมันทำให้รู้จักสิ่งต่างๆตามที่เป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รู้ว่ามันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง มันมีความเป็นเช่นนั้นเอง นี่ก็หัวเราะได้ แล้วก็มีความสุข มีความพอใจว่ามันเช่นนั้นเอง ไม่ต้องเป็นทุกข์อะไร เรียกว่าหมดปัญหาในทุกความหมาย
หมดปัญหาในทุกความหมาย เจ็บไข้ก็สนุก ไม่เจ็บไข้ก็สนุก ยังไม่เคยตาย แต่ท้าทายเลยว่า ถ้าตายก็คงสนุกเหมือนกัน ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว มันจะแก่ จะเจ็บ จะตาย ก็ให้เป็นเรื่องของธรรมดา เป็นเรื่องของธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทั้งชีวิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะมีปัญหาอะไร ก็เรียกว่ามันหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง นี่คืออานุภาพของพระธรรม อานุภาพของพระธรรม ธรรมะนั่นแหละ ส่วนที่เป็นความจริงของธรรมชาติเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วก็พยายามรู้ เข้าใจถูกต้องแล้วก็ปฏิบัติ มันก็ได้ผลเป็นอย่างนี้ มันควรจะขอบคุณพระธรรม ขอบคุณพระธรรม ถ้ายังไม่มีหรือไม่ค่อยจะมีก็รีบหามาใส่ให้มันเพียงพอจนกว่าจะได้ประโยชน์สูงสุด พระธรรมรักษา พระธรรมคุ้มครอง อะไรๆมันเป็นปัญหา ไม่เป็นปัญหา เป็นสิ่งที่ไม่เป็นปัญหา ถ้าใครมีพระธรรมได้เท่าไรพระธรรมก็คุ้มครองเท่านั้น อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันธรรมะนะ เราพูดกันถึงเรื่องธรรมะ ก็พูดกันให้หมดจด ให้หมดเรื่องของธรรมะ ให้ใช้ธรรมะให้ได้ถึงที่สุด
อ้าว,ที่นี้มันดูต่อไปดีกว่า ให้มันกว้างให้มันไกลไปในระดับโลกๆ ระดับโลกทั้งโลก ทั่วโลกดีกว่า เพราะว่าโลกนี้มันไม่ได้มีแต่เราคนเดียว เรื่องของโลกไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียว มันเป็นเรื่องของโลกทั้งโลกที่มามองดูกันในแง่ที่เป็นเรื่องของคนทั้งโลก และทุกคนมีธรรมะโลกนี้ก็เป็นโลกมีสันติภาพ มีสันติสุข
ธรรมะแปลว่าความถูกต้อง ทุกคนมีความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ และโลกนี้ก็เป็นโลกที่มีสันติภาพ ไม่ต้องรู้ธรรมะอะไรมาก สามีภรรยาแต่ละคู่ละคู่ในโลก ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง รักใคร่กลมเกลียวกันถึงที่สุด อย่าให้มีปัญหา ถ้ามามีปัญหาเดี๋ยวผัวมีชู้ เดี๋ยวเมียมีชู้ ไม่ได้ทำหน้าที่ของครอบครัวที่ดี นั่นแหละคือความฉิบหาย วินาศของโลก หย่ากันเสีย ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด โลกมันก็ขาดประโยชน์
ถ้าผัวเมียทุกคู่สนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างแน่นแฟ้นมั่นคง ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ ทุกคู่ ทุกคู่ โลกนี้จะมีสันติภาพ เพราะการทำหน้าที่นั้นคือการปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ หน้าที่อะไรก็ตามของมนุษย์ที่ถูกต้องนั่นก็เรียกว่าธรรมะทั้งนั้น เพียงแต่สามีภรรยาทุกคู่ในโลกทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง โลกก็มีสันติภาพ ไม่ต้องถูกต้องถึงกับเป็นอริยบุคคล เป็นคนธรรมดาสามัญนี่แหละ เป็นปุถุชนนี่ ขอให้มันถูกต้อง เป็นปุถุชนที่ถูกต้อง ครองเรือนเป็นบุตร ภรรยา เป็นสามี ภรรยาแล้วก็ถูกต้องตลอดเวลามีแต่ผลดีอย่างเดียวเกิดขึ้น บ้านเมืองนี้ก็มีความสงบสุข เป็นผลแก่โลกมีสันติภาพ
แล้วก็อาจจะสามัคคีกันทั้งโลก ร่วมมือกันได้ทั้งโลก เหมือนว่าโลกนี้มีคนๆเดียว ไม่มีปัญหาถ้ามันมีคนๆ เดียวไม่มีปัญหาขัดแย้งกับใคร
เดี๋ยวนี้มันไม่มีความถูกต้อง มันมีความขัดแย้ง ก็หาความสงบสุขไม่ได้ ไอ้ความขัดแย้งนะมันไม่ใช่ธรรมะ ถ้ามันเป็นธรรมะมันไม่มีความขัดแย้ง ความขัดแย้งนั้นบาลีเรียกอุบัติทวะ อุบัติทวะนั่นคืออุบาทว์ สิ่งที่เรียกว่าอุบาทว์ อุบาทว์อะไร อุบาทว์อะไร ที่ไหนก็ตามแต่ มันคือความขัดแย้ง มันทำกันไม่ได้ มันมีแต่ความขัดแย้ง มีความขัดแย้งที่ไหน ก็มีสิ่งที่เรียกว่าอุบาทว์ที่นั่น มีมากก็มาก มีน้อยก็น้อย มีเวลาไหนก็อุบาทว์เวลานั้น มันมีความขัดแย้งเพราะมันไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะมันไม่มีความขัดแย้ง นี่คือประโยชน์อานิสงของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ มีความรู้ความเข้าใจถูกต้อง มันทำความเข้าใจกันได้ มันไม่ต้องขัดแย้ง ระหว่างบุคคลแต่ละบุคคลมันก็ไม่ขัดแย้ง ระหว่างครอบครัวมันก็ไม่ขัดแย้ง ระหว่างสังคมก็ไม่ขัดแย้ง ระหว่างประเทศชาติก็ไม่ขัดแย้ง ระหว่างศาสนาก็ไม่มีการขัดแย้ง แล้วคุณก็ดูเอาเองว่ามันจะวิเศษประเสริฐสักเท่าไร เมื่อมันไม่มีความขัดแย้ง
เดี๋ยวนี้มันมีความขัดแย้งแม้แต่ในครอบครัว ระหว่างสามีภรรยา ใครๆก็มีความขัดแย้งทันที เมื่อมีบุคคลที่สอง มันเป็นเอามากมากถึงกับว่า มันอยู่คนเดียวก็ความขัดแย้งตัวมันเอง มันมีความขัดแย้งอยู่ในตัวมันเองมีความโง่อยู่ส่วนหนึ่ง พอมีความฉลาดอยู่บ้าง มันก็ทะเลาะกัน ความขัดแย้งระหว่างภายในบุคคลคนเดียวมันก็เป็นความอุบาทว์ ถ้ามีความขัดแย้ง เดี๋ยวก็เป็นบ้า ได้ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า
มองดูธรรมะเถอะมันช่วยกำจัดความขัดแย้งเพราะมันเป็นความถูกต้อง ถูกต้องของความรู้ ของความคิด ของสติปัญญา ของการกระทำ มันไม่มีความขัดแย้ง บางทีผัวเมียอยู่กันสองคนก็ขัดแย้งกันตลอดเวลา แถมพ่อแม่ขัดแย้งกับลูกเสียอีก นี่มันเริ่มจะเป็นแล้ว โลกนี้มันเริ่มจะเป็นแล้ว คือว่ามันมีความเห็นแก่ตัวจัดขึ้นมาๆจนมีความขัดแย้ง แม้ระหว่างพ่อแม่กับลูก ขัดแย้งระหว่างสามีกับภรรยา ขัดแย้งระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เดี๋ยวนี้มันขัดแย้งถึงขนาดระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ ที่เลวร้ายถึงขนาดขัดแย้งระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ แล้วมันจะทำอะไรได้ มันไม่มีความถูกต้อง มันจึงมีความขัดแย้ง
พูดอย่างนี้ฟังดูเหมือนคล้ายกับกำปั้นทุบดิน มันไม่มีทางผิดแล้วก็จริง มันมีความเห็นแก่ตัว มันมีความเห็นแก่ตัวในความหมายใดในความหมายหนึ่ง คนหนึ่งก็มีตัวของตนแบบหนึ่ง เห็นแก่ตัวของตนแบบหนึ่ง เข้าคู่กันมันก็ขัดแย้ง มันเป็นเสียอย่างนี้ขัดแย้งกันสนุกๆ ขัดแย้งทางความคิดเห็นเล่นๆ ไปอย่างฉะนั้นเมื่อเกิดความขัดแย้งไม่ได้ มีอะไรมากมาย ถ้าว่ามีประโยชน์ขัดกันขัดแย้งกันถึงที่สุด เดี๋ยวนี้ประโยชน์ไม่ขัดกันมันยังทำการขัดแย้งกันได้เลย แต่ถ้ามองให้ดีประโยชน์มันขัดกันเพราะว่ามันชิงเอาหน้า มันอยากจะดี อยากจะเด่นกันทั้งสองฝ่ายมันชิงเอาหน้า บางทีก็ขัดแย้งกันได้เหมือนกัน
บางทีเอาเป็นเอาตายกันด้วย อยากจะดีเด่นออกหน้าเมื่อคนนี้มายืนบังหน้าอยู่ เราก็ต้องทำลายมันเสีย ก็ออกมาในรูปของความอิจฉาริษยาอย่างที่มีอยู่ทั่วๆไป นั่นคือความไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะ ไม่มีความขัดแย้งก็ต่อเมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัว มันมีความเห็นแก่ตัวเป็นทรัพย์สมบัติของบุคคลปุถุชน หากเขามีอวิชชา ความไม่รู้ถูกต้องตามเป็นจริง เขาก็รู้สึกเป็นมีตัวกู
ที่จริงมันไม่ได้โง่มาแต่ในท้องแม่ มันเพิ่งโง่ เมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่แล้ว พอพบสิ่งที่ถูกใจก็หลงไป ไม่ถูกใจก็โกรธ เกลียดไป เกิดความเป็นบวกเกิดความเป็นลบ พอรู้สึกว่าเป็นบวกดีใจ ถูกใจก็เกิดตัวกูตัวกูผู้ดีใจ พอไม่ถูกใจเป็นโกรธ เกลียด มันก็เกิดตัวกู ผู้โกรธ เกลียด นี่มันเป็นความโง่ของอวิชชา ท่านทั้งหลายต้องศึกษาเรื่องอนัตตานี่ให้ดีๆ
ตัวกูเป็นอัตตานี่มันเพิ่งเกิด เมื่อมันมีอะไรสักอย่างหนึ่งก่อนมันจึงจะเกิดตัวกู เช่น ตา ตาล้วนๆ จักษุประสาท เห็นลูกตาล้วนๆ เห็นลูกพอมีการเห็นรูปทางตา ทางจักษุประสาท มันก็โง่ กูเห็นรูป มันพลอยโง่ก็ขอโง่เป็นกูเห็นรูป ของกู เห็นรูป ประสาทหูรับเสียงได้ฟังเสียง ได้ยินเสียง มันก็ขอโง่หน่อย กูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นเอามาเป็นกูได้กลิ่น ลิ้นได้รส ก็ขอเป็นกูได้รส อันนี้ร้ายกาจมาก ถ้าเป็นเพียงลิ้นได้รสมันไม่ค่อยมีเรื่องหรอกถึงจะอร่อยหรือจะไม่อร่อย มันก็ไม่ค่อยมีเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องกูได้รสนี้มีเรื่อง ถ้าถูกใจเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่คิดอะไรหมดไม่คิดหมดเรื่องอะไร ถ้าเกิดไม่อร่อย ไม่ถูกใจก็ไล่แม่ครัว ถ้ากูเข้ามาแล้วมันก็มีเรื่องอย่างนี้
ให้มันเป็นเพียงเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มันก็ไม่มีเรื่องอะไรนักหนามันแก้ไขได้ง่ายๆ เช่น ลิ้นไม่อร่อยเติมน้ำพริก เติมเกลือ น้ำส้ม น้ำตาลนิดเดียวก็หมดปัญหา แต่ถ้าตัวกูไม่อร่อย มันเป็นยักษ์ เป็นมาร มันขว้างปามันทำร้าย เป็นยักษ์ขึ้นมาไล่แม่ครัว นี่ขอให้เป็นเรื่องของนามรูป นามรูปอย่ามีตัวกู ตัวกูมันพลอยเกิดเป็นผีหลอก พลอยเกิด เจ็บหนามตำเนื้อ พอหนามตำเท้า มันก็ตัวกูเป็นหนามตำกู มันก็มีความทุกข์มากถึงเอาเป็นเอาตายกันเลย
อาตมายังจำได้เรื่องไม่มีสาระอะไร แต่มันก็เป็นธรรมะสูง เมื่อก่อนนี้มีเณรคนหนึ่งซึ่งมันมีประสาทอ่อนไหว เพียงแต่หนามเกี่ยวขีดเป็นรอย มันเป็นลม มันถึงกับเป็นลม ที่มันเป็นลมมันกลัวตาย เพราะมันมีตัวกูจัด เพียงแต่หนามเกี่ยวเป็นลมจะตาย เพราะหนามเกี่ยวเกี่ยวเนื้อ เกี่ยวไปสิ ไม่ได้เกี่ยวตัวกู ต้องแก้ไขอย่างไร ได้ไม่ต้องถึงกับเป็นลม มีตัวกูมันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสำหรับคนโง่ สำหรับปุถุชน แต่มันต้องมีอะไรเป็นเรื่องเสียก่อนเช่นว่า เห็น ก็กูเห็น ได้ยินเสียง ก็กูได้ยินเสียง ลิ้นอร่อยก็ต้องว่ากูเสียก่อน อะไรๆ มันต้องเกิดกู ตัวกู นี่แหละคืออัตตา อัตตา มีอัตตานี้เป็นตัวกู มีอัตตานั่นเป็นตัวสู
เด็กเล็กๆเดินไปโดนเก้าอี้ก็โกรธว่า เก้าอี้ทำร้ายกู กูก็เตะมึง มันก็เตะเก้าอี้ ตัวกูฝ่ายนี้ กับตัวกูฝ่ายนั้น เป็นข้าศึกกัน คนเลี้ยงเด็กบางทีก็เป็นพ่อแม่เด็ก แต่เป็นแม่โดยมาก ไม่ใช่ช่วยแก้ตัวให้พ่อ ว่าช่วยตีเก้าอี้ ช่วยตีเก้าอี้ให้ที ให้เด็กมันหายโกรธ หายเจ็บ หายร้องไปส่งเสริมให้เก้าอี้เป็นตัวขึ้นมาอีก ให้ตัวกูของเด็กเข้มข้นขึ้น นี่คือตัวกู
มันต้องมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติแก่ระบบประสาทแล้วก็โง่ โง่ให้เป็นตัวของกู เป็นเรื่องของกู อร่อยก็กูอร่อย ไม่อร่อยก็กูไม่อร่อย มันยังเต็มไปด้วยตัวกูเกิดขึ้นเกิดขึ้น เรื่องทางตา เรื่องทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ๖ ทาง แต่ละทางๆเกิดได้เป็นสิบๆอย่าง เกิดตัวกูตัวกูจนชินเป็นนิสัย มีตัวกูยืนเป็นหลักอยู่ เพราะอะไรที่มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับตัวกู หรือมาเกี่ยวข้องกันกับตัวกู มันก็เกิดเป็นของกูเป็นธรรมดา เพราะมีตัวกูมันก็ต้องมีของกู
ตัวกูเรียกว่าอัตตา ภาษาบาลี ภาษาธรรมะ ตัวกูเรียกว่าอัตตา ของกูเรียกว่าอัตตนียา อัตตนียาแปลว่าเกี่ยวข้องกันอยู่กับอัตตา นี่เป็นเรื่องธรรมดา ตามปกติ ปกติมีอัตตาเป็นตัวกู มีอัตตนียาเป็นของกู และถ้ามันเป็นเรื่องเข้มข้นเลวร้ายถึงขนาดที่เรียกว่าหวั่นไหว หวั่นไหวเป็นไฟ มันก็มีคำเรียกอย่างอื่นเรียกว่าอหังการ มมังการทำความรู้สึกว่าอหัง ทำความรู้สึกว่ากู มมังการทำความรู้สึกว่าของกู กิเลสมันเข้มข้น เข้มข้น เป็นกิเลสเข้มข้น มีความเคยชินเป็นนิสัยฝังแน่นอยู่ในสันดาน อหังการ มมังการเมื่อเคยชินฝังแน่นอยู่ในสันดานก็เรียกว่าอนุสัย กิเลสนี้คือกิเลสประจำ เป็นสมบัติของปุถุชนทุกคนดูให้ดี ถ้าอยากจะรู้ธรรมะ จะมีธรรมะ ต้องรู้จักสิ่งนี้
ทุกคนมีอหังการะ มมังการ มานานุสัย ชื่อยาวเฟื้อย อหังการะ มมังการ มานานุสัย ความเคยชินแห่งการกระทำความสำคัญว่าตัวกูว่าของกู อหังการะว่าตัวกู มมังการว่าของกู มานะความสำคัญมั่นหมาย อนุสัยความเคยชิน เก็บไว้ สะสมไว้ ประจำใจเรียกว่าอนุสัย ทุกคนมีอหังการะ มมังการ มานานุสัยคือ ความเคยชินที่จะเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูของกู นั่นล่ะมันเป็นเหตุที่ให้กระทบกัน ขัดแย้งกัน เป็นความอุบาทว์สูงสุดขึ้นมาเพราะอันนี้ แต่มันเป็นธรรมดาของปุถุชน มีต้องควบคุม ถ้าไม่ควบคุมต้องขัดแย้งกัน ต้องกัดกัน ถ้ามันหมดสิ่งนี้เสียทีเดียวเป็นพระอรหันต์ ข้อปฏิบัติทำลายกิเลสสูงสุดหมดจดสิ้นเชิงไม่มีเหลือมันเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่เป็นเพียงโสดาบันปฏิภาคา ถ้าไม่มีความสำคัญมั่นหมายเป็นตัวกูของกูเลยก็เป็นพระอรหันต์เลย ไม่ใช่เป็นเพียงโสดาบันปฏิภาคา โสดาบันปฏิภาคาก็มียังมีอยู่ แต่มันไม่ได้หยาบคายรุนแรง ไม่กระด้างหยาบคายเหมือนปุถุชน ยังไม่ถึงกับขัดแย้งกัน หรือจะพูดให้หยาบคายมันไม่กัดกัน อหังการ มมังการ มานานุสัย ถ้าควบคุมไว้ไม่ได้มันเป็นไปเต็มขนาดของมันแล้วมันก็ต้องกัดกัน แม้แต่ภรรยาสามีอันเป็นสุดที่รักแก่กันมันก็ต้องกัดกัน เพราะสิ่งที่เรียกว่า อหังการะ มมังการ มานานุสัย
ช่วยจดจำกันไว้ทุกคนทุกคนที่สมบัติเดิมเกิดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มมีความรู้สึกคลอดมาจากท้องแม่ อยู่ในท้องแม่นั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่อะไร มันยังเงียบอยู่ยังเป็นเพียงความรู้สึก เจ็บปวดบ้างก็ยังไม่ถึงกับเป็นตัวกูของกูอย่างงี้ พอมันออกมาจากท้องแม่แล้วนี่ ออกมาจากท้องแม่แล้วนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมพันธ์อารมณ์เกิดความรู้สึก แบ่งได้เป็น๒ ประเภทคือ ถูกใจเรียกว่า บวก ไม่ถูกใจเรียกว่า ลบ พอถูกใจบวก ก็เกิดตัวกู บวก ไม่ถูกใจมันเป็นลบ มันก็เกิดตัวกูลบ ดังนั้นทารกน้อยๆ นั้นเดี๋ยวเกิดตัวกูบวก เดี๋ยวเกิดตัวกูลบ โดยที่มันไม่รู้จัก จิตใจมันโง่ มันก็รู้สึกขึ้นมาตามธรรมชาติของความโง่ พอชอบ มันก็กูชอบ พอไม่ชอบก็กูไม่ชอบอย่างนี้ แต่ละวันแต่ละวันไม่รู้กี่เรื่องกี่ราวจนชินเป็นนิสัย จึงยังมีความรู้สึกชอบไม่ชอบ แล้วมันก็รู้สึกว่ากูผู้ชอบ กูผู้ไม่ชอบ ตัวกูของกูก็มากขึ้นมากขึ้น อารมณ์ก็เปลี่ยนสูงตามกันไป ไม่ใช่เป็นเรื่องของเด็กทารกแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่นขึ้นมาแล้ว เป็นเรื่องของเด็กเต็มขนาด
เป็นหนุ่มเป็นสาว ไอ้เรื่องของตัวกูของกูมันก็แก่ แก่กล้า ถึงระดับ สำหรับหนุ่มสาวนี่เรื่องมันก็ไปตามระดับของมันสูงสุดแล้ว ตัวกูของกูสำหรับลูกเด็กทารกนี่มันไม่ร้ายกาจเท่าไร แต่พอเด็กโตเป็นวัยรุ่นขึ้นมานี่มันเริ่มแล้วมันเริ่มจะมีปัญหาแล้ว พอเป็นหนุ่มสาวเป็นปัญหาแล้ว หนังสือพิมพ์ลงบ่อยๆฆ่าพ่อฆ่าแม่ เพราะแม่ไม่ตามใจในเรื่องเพศ ไม่ตามใจในเรื่องเล่นหัว ฆ่าพ่อฆ่าแม่เอากับมัน เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่แล้วมันก็เรื่องหลงใหลในเพศ เพศหญิงเพศชาย ตัวกูก็แก่กล้าเต็มที่
ทีนี้มันไปแต่งงานมันก็เป็นสามีภรรยา อ้าว,มันก็มีตัวกูอย่างสามีภรรยา ถ้ามันจะฟัดกันก็ฟัดกันอย่างสามีภรรยานี้เรียกว่า ตัวกูมันก็เจริญสูงตามขึ้นไปเรื่อย อายุมันมากเรื่องทางเพศมันก็คลายไปแล้ว มันก็เป็นเรื่องทางฝ่ายตัวตน ตัวตนล้วนๆมากขึ้น มันก็เป็นเรื่องยึดมั่นถือมั่นในเรื่องเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ อำนาจ วาสนา บารมี ไปหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ ที่ไปยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้มันก็มีตัวกู ที่น่ากลัวเป็นยักษ์เป็นมารใหญ่โต นี่ตัวกูของผู้ใหญ่ เป็นผู้แก่เฒ่าลงมาเป็นตัวกูหนังเหนียว จะเข้าโลงนั่นก็มีตัวกูในแบบคนแก่คนเฒ่า
ท่านจงพิจารณาดูให้เห็นว่า ตัวกูของกู ตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ แบบอย่างนั้นก็ได้รับอารมณ์ มากระทบหนาวร้อนเป็นต้น อร่อยไม่อร่อย เป็นต้น มันมีกู กูหนาว กูร้อน กูอร่อย กูไม่อร่อย สูงขึ้นมาสูงขึ้นมาเต็มไปด้วยความเคยชิน ที่จะเป็นอย่างนั้น จนเป็นอนุสัยอนุสัยน้อยๆสำหรับเด็กทารกน้อยๆ เมื่อเติบโตขึ้นตามที่เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน กิเลสนี้เข้มข้นถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ปุถุชน เราก็ไม่รู้จักมัน บางทีเราก็ส่งเสริมเสียอีก ส่งเสริมจะให้ได้ตามที่มันต้องการอีก นี่คือปัญหา
เดี๋ยวจะถามว่า มาวัดทำไมกัน เดี๋ยวจะโกรธกัน มาวัดเพื่อส่งเสริมตัวกู หรือมาวัดเพื่อละตัวกู เลิกละตัวกู ทำบุญให้ทาน ทำบุญเพื่อละเลิกตัวกู หรือทำบุญเพื่อส่งเสริมตัวกู ถ้ามันจะทำบุญเอามากกว่าเดิมจะสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยเอาเมืองสวรรค์เลยตัวกูก็โตเท่าเมืองสวรรค์
มันไม่ละ น่าสงสารสังเวช ที่เรายังทำบุญทำทานเพื่อส่งเสริมตัวกู ตัวกูอย่างมนุษย์ไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจ ตัวกูอย่างสวรรค์ อย่างสวรรค์ กามาวจร ตัวกูมันกระโดดไกลอย่างงี้ แม้ว่าจะเบื่อสวรรค์กามาวจร พรหมโลกเป็นที่หลงใหลขั้นสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่พระนิพพาน หลงใหลโลกมนุษย์เป็นข้อต้น หลงใหลสวรรค์ โลกสวรรค์กามาวจรถัดมา หลงใหล รูปโลก รูปปรง หลงใหลอรูปโลก อรูปปรงไปสุดกันที่โน้น ทำลายอันนั้นตอนนั้นได้มันก็เป็นเรื่องที่แย่ เป็นนิพพาน
นี่เราอยู่ในโลกแต่ละโลกแต่ละโลกเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวกู ตัวกูด้วยกันทั้งนั้น ตัวกูเท่าไรเห็นแก่ตัวเท่านั้น เห็นแก่ตัวเท่าไรก็สร้างปัญหาเท่านั้น ปัญหาตนเอง ปัญหาผู้อื่น ศึกษาเอาเอง ว่าความเห็นแก่ตัวเป็นอย่างไรเด็กคนไหนเห็นแก่ตัว คนๆไหนเห็นแก่ตัว มันเป็นอย่างไรดูเอาเอง เห็นแก่ตัวก็ขี้เกียจไม่อยากทำอะไร แต่พอถึงเวลากินมันก็จะกิน พอเวลาได้ประโยชน์มามันก็จะเอา เอากับมันสิ เห็นแก่ตัวมันขี้เกียจในการทำหน้าที่ แต่มันจะเอาประโยชน์มากกว่าคนที่ทำหน้าที่ ไปชวนคนเห็นแก่ตัวมาทำหน้าที่ทำประโยชน์หรือสามัคคีทำเรื่องส่วนรวมเนี้ยยากเหลือเกินจนพูดเป็นอุปมาว่า ชวนช้างลอดรูเข็มเสียยังง่ายกว่าชวนคนเห็นแก่ตัวมาทำประโยชน์ส่วนรวม ที่บ้านก็มี ที่วัดนี่ก็มี เรื่องอย่างนี้ลักษณะอย่างนี้มันก็มี เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ยังมีกิเลสตัณหา
โลกไม่มีสันติภาพเพราะคนเห็นแก่ตัวเหล่านี้ คนเห็นแก่ตัวเหล่านี้มันก็เอาเปรียบตลอดเวลา เอาเปรียบตลอดเวลา ขัดแย้งตลอดเวลา รวยลัดไม่ต้องทำงาน ปล้น จี้ ขโมย ไม่มาทำนาทำไร่เสียเวลา ปล้นจี้ทีเดียวได้เป็นแสนเป็นล้านดีกว่า แบบของคนเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบ ไม่รับผิดชอบเกิดมลภาวะสกปรกรกรุงรัง ไม่รับผิดชอบ มลภาวะเต็มโลกเลย เพราะคนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ทั่วโลกไม่เฉพาะเมืองไทย ปัญหามลภาวะมีทั่วโลก และปัญหาอุบัติเหตุ อุบัติเหตุบังเอิญมาจากคนเห็นแก่ตัว คนสะเพร่า คนเห็นแก่ตัวอุบัติเหตุก็มากมากขึ้นในโลกนี้
ครั้งหนึ่งทางฝ่ายแพทย์เคยรายงานว่า คนเจ็บไปโรงพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุมากกว่าโรคมะเร็ง จริงเท็จไปถามหมอ ว่าคนที่ต้องไปโรงพยาบาลมีมูลมาจากอุบัติเหตุมากกว่าเป็นโรคมะเร็ง เห็นแก่ตัวมันก็ไม่รับผิดชอบ ไม่รับรู้ สะเพร่า เลินเล่อ ชนกันวินาศท้องถนน ในแม่น้ำลำคลองที่ไหนที่ไหนก็ตาม อุบัติเหตุมีได้ กระทั่งว่าเรือบินตกตายทั้งลำ มันเป็นความเห็นแก่ตัว ความโง่ ความสะเพร่าอะไรของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ถูกต้องเพราะความเห็นแก่ตัว มีเรื่องมันมาถาม ไอ้คนที่มันรู้เรื่องดี มันเป็นนักบินชั้นนสูง มันบอกว่ารายนั้น อย่าออกชื่อ มันไม่ควรออกชื่อ มันเสียชื่อ รายนั้นเครื่องบินตก นักบินมันขึ้นมาในลักษณะอากาศที่ไม่ควรขึ้น เพราะว่ามันจะรีบไปเล่นม้าให้ทันเวลา เครื่องบินตกตายทั้งลำ ความเห็นแก่ตัวของคนคนเดียว เป็นเรื่องจริงและก็มีอีกหลายๆ เรื่องที่เครื่องบินตกเพราะความเห็นแก่ตัวของผู้ควบคุมนั่นเอง มันไม่ควรจะไปมันก็ไป นี้เรียกว่าอุบัติเหตุ
เมื่อมันเห็นแก่ตัวมันก็ทำลาย ทำลายธรรมชาติ ส่วนรวม ทำลายป่าไม้ ทำลายทำลายธรรมชาติ แล้วมันก็ทำลายสิ่งที่เขาสร้างไว้ดีแล้ว สวยงามแล้วมันก็ยังทำลาย ยังขโมย ลักมาเป็นของตัวเสีย ทำลายสาธารณะประโยชน์ ถนนหนทาง ห้วยหนอง คลองบึง เขาทำไว้ดีแล้ว มันทำเสียหายหมด เพื่อประโยชน์ของมันเอง ทำลายทั้งธรรมชาติ ทำลายสิ่งที่เขาสร้างไว้ดีแล้ว
เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัวเข้มข้นเข้มข้นเข้มข้นมันก็ได้เป็นบ้าไปอยู่โรงพยาบาลบ้า ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าตัวเองตายตามไปในที่สุด ไม่น่าเชื่อเห็นแก่ตัวกับฆ่าตัวเอง เพราะความเห็นแก่ตัวเป็นความมืดบอดโง่เง่าที่สุด ข้อนี้เพราะมันขาดธรรมะ
ฟังให้ดีคำตอบมีคำเดียว ขาดธรรมะ ขาดธรรมะคำเดียว สิ่งเลวร้ายเหล่านี้มันจึงได้เกิดขึ้น เปลี่ยนหมดเมื่อความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น แล้วก็เปลี่ยนหมดครูโรงเรียนเห็นแก่ตัว หมดความเป็นครู เป็นคนเลวร้ายที่สุด อย่างที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ทุกวัน พอหมอเห็นแก่ตัว ก็หมดความเป็นหมอ เป็นพ่อค้าขูดรีดสูบเลือด ตุลาการเห็นแก่ตัวก็หมดความเป็นตุลาการ เป็นผู้สูบเลือดจำเลย พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวมันก็สูบเลือดทายก ทายีกา มันก็ไม่มีอะไรเหลือ นี่เพราะว่ามันมีมีอะไรมีสิ่งที่มิใช่ธรรมะ มันมีสิ่งที่มิใช่ธรรมะ ถ้าพูดอย่างละเอียดตามทางภาษาก็มีธรรมะ ซึ่งไม่ใช่ ธรรมะ มันเป็นอธรรมจะทำอะไรได้อย่างนี้ ธรรมะสำคัญๆอย่างนี้ ถ้ามีธรรมะคงเป็นธรรมะก็ไม่เกิดสิ่งเหล่านี้ พอไม่มีธรรมะก็เกิดสิ่งเหล่านี้
แล้วก็ปัญหามันก็อยู่ที่ว่าเป็นความรู้สึกเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว คืออัตตา อัตตา อัตนียาเป็นตัวเป็นของตัว เป็นอหังการ มมังการ เป็นตัวกู เป็นของกู กำลังทำให้เกิดความยุ่งยากลำบาก ทนทุกข์ทรมาน ในครอบครัวก็เพราะเหตุนี้ ในบ้านเมืองก็เพราะเหตุนี้ ในประเทศก็เพราะเหตุนี้ ในโลกทั้งโลกก็เพราะเหตุนี้ เดี๋ยวนี้ประเทศชั้นมหาอำนาจยิ่งเห็นแก่ตัวใหญ่ที่สุด เอาเปรียบประเทศเล็กๆ มหาประเทศก็เห็นแก่ตัว ประเทศเล็กๆก็เห็นแก่ตัวตอบโต้ นายทุนก็เห็นแก่ตัว กรรมกรชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างเห็นแก่ตัว นายจ้างเห็นแก่ตัว เศรษฐีเห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว คนขายเห็นแก่ตัว คนซื้อก็เห็นแก่ตัว คนผลิตเห็นแก่ตัว คนมารับก็เห็นแก่ตัว มันมีแต่การต่อสู้กันระหว่างความเห็นแก่ตัวไปเสียทุกหนทุกแห่งทุกชนิดของการงาน โลกนี้มันไม่มีความสงบสุข เพราะเหตุไร เพราะคำตอบคำเดียวคำตอบคำเดียวมันไม่มีธรรมะ มันไม่มีธรรมะ ความเห็นแก่ตัวเข้ามาครองโลก เข้ามาครองโลกดูเอาเองอย่าต้องเชื่อคนอื่นพูด ว่าความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลกครองโลกมากขึ้น
ยิ่งเจริญทางวัตถุ ลุ่มหลงทางวัตถุไม่มีที่สิ้นสุดความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น ไอ้เรื่องทางวัตถุมันได้เปรียบเพราะมันมีเครื่องจักรมาผลิต ผลิตออกมามากมายมหาศาล ให้คนหลงไม่มีที่สิ้นสุด ผลิตของใหม่น่ารักน่าใช้น่ามีน่าอะไรกว่า ผลิตออกมา มันก็ต้องเปลี่ยนกันเรื่อยไป เดี๋ยวนี้รถยนต์ราคาแสนใช้กันไม่ได้แล้ว ต้องใช้รถยนต์ราคาสี่ล้านห้าล้าน มันเขยิบไปอย่างนี้เรียกว่าเพิ่มความเป็นปัญหาเดือดร้อนทุกข์ยากมากขึ้น
คดีที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลก็มากขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว คดีแพ่งก็ดี คดีอาญาก็ดี มาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าสมมติว่าเป็นไปได้ มนุษย์หยุดเห็นแก่ตัว ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา ศาลปิดหมด กฎหมายเอาไปทิ้งทะเลไม่ต้องใช้ ถ้ามนุษย์ไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาก็ไม่ต้องมี ถ้ามนุษย์ไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่ต้องมีศาสนา ไม่มีศาสนาไปบังคับไปชำระความเห็นแก่ตัวของมนุษย์
พูดแล้วก็คงจะไม่มีใครเชื่อ แต่ถ้าคิดดูก็พอจะมองเห็นว่า ในโลกทั้งหมดไม่เห็นแก่ตัว เลิกกฎหมาย เลิกศาล เลิกตำรวจ เลิกคุก เลิกตาราง เลิกวัดวาอาราม เลิกศาสนา เพราะไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วมันไม่มีปัญหาอะไร นั่นแหละเป็นธรรมะธรรมะสูงสุดมหาศาลถึงขนาดนั้น
ขอให้มีธรรมะเห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ธรรมะก็ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ธรรมะปัญหามันก็ไม่มี นี่เราจะช่วยกันได้ไหม คิดดูคิดดูให้ดี อาตมานี้เอา คนอื่นไม่เอาตามใจ คนอื่นจะว่าบ้าตามใจ อาตมามุ่งหวังเด็ดขาดอย่างนี้ที่ว่าจะพยายามให้ธรรมะครองโลก ให้ธรรมะมีแล้วก็ถึงขนาดครองโลก ทำความเข้าใจระหว่างศาสนาทุกๆศาสนา สอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น แต่แล้วมันไม่ใช้กัน ไม่ปฏิบัติกัน ปรับความเข้าใจระหว่างศาสนาได้ มาร่วมมือกันได้ ก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว ในโลกหมดความเห็นแก่ตัวมัน ก็หมดปัญหาอย่างที่ว่ามาแล้ว ไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีศาสนา
แต่เดี๋ยวนี้มันยังไม่ได้ ความเห็นแก่ตัวมันยังมีหนาขึ้นมากขึ้น เพราะมันเจริญไปในทางวัตถุ ยิ่งเจริญทางวัตถุ มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะเขาใช้เครื่องจักรผลิตเหยื่อ ผลิตของยั่วยวนใจที่ให้เห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญทางอุตสาหกรรมมันก็ยิ่งเป็นอย่างงี้ คือมันเกิน อุตสาหกรรมมันผลิตส่วนเกิน ก็สร้างปัญหา ถ้ามันไม่ผลิตส่วนเกินมันก็ดีสิ แต่ว่าเจ้าของเครื่องอุตสาหกรรมเขาอยากได้เงินมาก กระทั่งใช้เครื่องจักรผลิตออกมามาก ใช้ศิลปะโฆษณาขายมันหมด ผลิตดีกว่านั้น แพงกว่านั้น ออกมาก็ขายกันหมด ถ้ายังอยู่ภายใต้วัตถุนิยมอย่างนี้มันไม่หยุด ไม่หยุดเห็นแก่ตัว ธรรมะเอาไม่อยู่ แปลว่า ขอให้พุทธบริษัทเราโดยเฉพาะอย่ายอมแพ้ อย่ายอมแพ้ ช่วยกันสร้างธรรมะ พยายามยึดหลักธรรมะก่อสร้างความมั่นคงของธรรมะ ให้แก่ธรรมะโดยอาศัยพระพุทธศาสนาที่แสนจะประเสริฐของเรา
อาตมาจึงได้คิดความตั้งใจเอาไว้เป็นปณิธาน ของเก่ามาเล่าอีกแล้ว ปณิธาน สามประการของพุทธทาส ผู้ที่เป็นทาสของพระพุทธเจ้า มีปณิธานสามประการ ข้อที่หนึ่ง ให้ทุกคนเข้าถึงหัวใจศาสนาของตนของตน อย่าติดอยู่ที่เปลือก อย่าติดอยู่ที่กระพี้ มันไม่จริงมันไม่ใช่ของจริง ให้เข้าถึงหัวใจศาสนาของตน อาตมาสำรวจดูดีแล้ว ทุกศาสนาสอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัว ต้องการให้ ศาสนิกทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ศาสนายิว ศาสนาคริตส์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ เล่าจื้อ ขงจื้อ ทุกอันมันมุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัว แต่ไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้เพราะคนไม่ถือ คนไม่ปฏิบัติตาม มาทำความเข้าใจกันได้ก็ดี แต่เดี๋ยวนี้คนมันไม่เข้าถึงหัวใจของพระศาสนาของตนของตน มันติดอยู่แค่เปลือก แค่กระพี้ มันเข้ากับศาสนาอื่นไม่ได้ ถ้ามันเข้าถึงหัวใจศาสนาของตน มันก็จะพบข้อนี้คือความไม่เห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ตน มันเข้ากันได้ทุกศาสนา ช่วยกันทำมนุษย์ทั้งโลกให้ไม่เห็นแก่ตน ศาสนาก็มีสันติภาพ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นข้อแรกที่ว่าให้ทุกคน ถือศาสนาอะไรก็ตาม เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนของตนกันเสียก่อน คือหัวใจแห่งความไม่เห็นแก่ตน บริสุทธิ์สะอาดไม่เห็นแก่ตน เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ธรรมะ
คราวนี้จะเปรียบก็เปรียบเหมือนกับน้ำ จะเป็นน้ำส้ม น้ำตาล น้ำอัดลม น้ำโคลน น้ำหนอง น้ำเลือด น้ำในส้วม น้ำอะไรก็ตามที น้ำกี่น้ำในแต่ละน้ำมีน้ำบริสุทธิ์อยู่ในนั้น เอาของสกปรกที่เพิ่งเข้ามาปนออกเสียให้หมด มันก็จะเหลือน้ำบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ แม้แต่น้ำอุจจาระ น้ำปัสสาวะ น้ำส้ม น้ำตาล น้ำอัดลม น้ำอะไรก็ตาม มีน้ำแท้ๆอยู่ในศูนย์กลางของมันให้เข้าถึงน้ำก็ได้ น้ำแท้ๆออกมาด้วยกันทุกน้ำ มันผสมกันได้ดีน้ำแท้ๆ แต่ของสกปรก กลิ่นต่างๆสีต่างๆที่มันเป็นเปลือกข้างนอกของใหม่เพิ่งเข้าไปนั้น อย่าเอามา อย่าเอามา มันปะทะกันก็เพราะเหตุนี้ ที่ว่าศาสนาแต่ละศาสนายังกระทบกระทั่งกันเพราะมันเรื่องเปลือกทั้งนั้น มันส่วนเปลือกทั้งนั้น ไปยึดถือส่วนเปลือกมากเกินไป เมื่อเห็นแก่ประโยชน์ตนอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ยึดมั่นถือมั่นเรื่องเปลือก ก็จะรักษาประโยชน์ของตนไว้ มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง นี่ศาสนามันจึงขัดกัน ในระหว่างศาสนา
บางทีมันก็ศาสนาเดียวกัน มันแยกเป็นนิกาย มันก็ยังขัดกันระหว่างนิกาย เมื่อต้องการประโยชน์ขัดกัน บางทีในนิกายเดียวกัน บุคคลก็ยังขัดกันขัดกัน เพราะประโยชน์มันขัดกัน ในบ้านเรือนในครอบครัวเดียวมันก็ยังขัดกัน เพราะมันมีประโยชน์ที่ขัดกัน มันไม่ได้เอาความจริงความถูกต้อง หรือหัวใจของสิ่งที่ดีที่แท้เป็นหลัก มันเอาผิวนอกเอาเปลือกนอกเป็นหลักก็ขัดกัน มีที่แท้เป็นหลัก มันเอาผิวนอกเปลือกนอกเป็นหลักขัดกัน ที่ข้อแรก ขอให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนของตนด้วยกันทุกคนก่อน
ข้อที่สอง ทำเข้าใจระหว่างศาสนา มันจะร่วมมือกันได้จนคล้ายๆ กับว่าในโลกนี้มีเพียงศาสนาเดียว ที่นี่มันทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้อที่สามต้องชำระคนแต่ละคนให้ออกมาเสียจากอิทธิพลของวัตถุนิยม อย่าตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยมเลย จะได้เป็นอิสระเป็นอิสระที่จะถือศาสนาให้ถูกต้อง แล้วสามารถทำความเข้าใจระหว่างกันได้ อาตมาเชื่อแน่ว่าปณิธานสามข้อนี้ช่วยสังคมหรือช่วยโลกให้มีสันติภาพ หรือสันติสุขอยู่ได้ เข้าใจให้ถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน ศาสนาของตน คือไม่เห็นแก่ตัว ทำความเข้าใจระหว่างศาสนา จนมาร่วมมือกันได้ ที่นี่ก็ข้าศึกศัตรูคือความไปหลงในวัตถุนิยม ออกไปเสียก่อน ยึดมั่นในธรรมะไม่ยึดมั่นในกิเลสมันก็ทำได้
เดี๋ยวนี้แม้องค์กรโลก องค์กรสูงสุดของโลกก็ยังไม่ทำในข้อนี้ ทำเพื่อประโยชน์ของตนของตน พวกของตนมันก็เลยเป็นหมัน ศาสนากำลังเป็นหมันเพราะไม่ได้ใช้หัวใจเนื้อแท้ของตนของตน ให้เป็นประโยชน์ โลกมันก็จะต้องมีปัญหามากขึ้น คือจะรบรา ฆ่าฟันจะทำลายล้างกันมากขึ้น
เดี๋ยวนี้การศึกษาวิปริตหมดแล้ว ศึกษาฉลาดเพื่อเอาเปรียบ เพื่อเห็นแก่ตัว ศึกษาให้ฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว ให้เก่ง ให้ชนะ แล้วก็ได้ประโยชน์ ก่อนนี้เขาศึกษาฉลาด เพื่อจะทำลายกิเลสเพื่อลดความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ศึกษาฉลาด เพื่อส่งเสริมความเห็นแก่ตัว การศึกษาทั้งโลกมันเพียงเพื่อให้ฉลาด ฉลาดแล้วก็ใช้เพื่อเห็นแก่ตัว สนับสนุนการเมือง สนับสนุนการเศรษฐกิจ สนับสนุนการทหาร ทำให้ได้เปรียบ ไม่ได้สร้างเพื่อสันติภาพของโลก
ก่อนนี้ก็ยังซื่อตรง ศาสนาแฝงอยู่กับการศึกษา ไม่แยกจากกัน ศาสนาก็ควบคุมการศึกษาให้มันถูกต้อง ยิ่งฉลาด ยิ่งเห็นแก่ความสงบ สุขสันติภาพเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง การศึกษาทำให้เกิดสุภาพบุรุษที่แท้จริง เดี๋ยวนี้การศึกษาทำให้เกิดสุภาพบุรุษผู้เห็นแก่ตัวอย่างลึกลับอย่างซ่อนเร้น แล้วจะเอาความสงบสุขมาแต่ไหน
การกีฬาก็เหมือนกัน ก่อนนี้มันเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้การกีฬานั่นแหละ ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เตรียมพร้อมที่ว่าจะไปแข่งขันที่เมืองจีนนี้ กูจะมีวิธีเอาเปรียบมึงอย่างไร ซักซ้อมกันไปแต่นี้เลยเพื่อจะไปเอาเปรียบ แล้วกองเชียร์นั่นคือส่งเสริมความเห็นแก่ตัวหมดทั้งกองเลย การกีฬากลายเป็นส่งเสริมความเห็นแก่ตัวพึ่งไม่ได้ ก่อนนี้การกีฬาเรายังหวังพึ่งว่าจะลดความเห็นแก่ตัว แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน เดี๋ยวนี้ว่าแต่ปาก เตรียมพร้อมที่จะคดโกง แล้วไปเล่นกีฬา แล้วโกงมามากที่สุด ที่จะมากได้ ถูกไล่ออกไม่เป็นไรไม่ละอาย การกีฬาสมัยนี้มันไม่ใช่การกีฬา มันวิธีโกงวิธีเอาเปรียบ วิธีหาประโยชน์ใส่ตน เอาเรื่องกีฬาบังหน้า การศึกษาก็พึ่งไม่ได้ การกีฬาก็พึ่งไม่ได้ ในการที่จะทำลายล้างความเห็นแก่ตัวแล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ดูเอาเอง
ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัวลึก ยิ่งโกงลึก เห็นแก่ตัวลึก การศึกษามันมีแต่เพียงทำให้ฉลาด แล้วควบคุมความฉลาดไม่ได้เพราะอะไร ก็เพราะไม่มีสิ่งเดียวที่ว่า คือ ไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะก็ควบคุมความฉลาดของการศึกษาไว้ได้ ก็เลยใช้ความฉลาดในการสร้างสันติภาพ เดี๋ยวนี้ฉลาดฉลาดเพื่อเอาเปรียบ เพื่อส่งเสริมเครื่องมือเอาเปรียบการเมือง การเศรษฐกิจ การทหารเหล่านี้ เป็นเครื่องมือเอาเปรียบ การศึกษาให้ฉลาด สำหรับที่จะส่งเสริมสิ่งเหล่านี้มันก็พอแล้ว ทั้งโลกเป็นอย่างนี้
จึงขอสรุปความเสียทีว่า ขาดธรรมะ ขาดธรรมะเพียงคำเดียว เตรียมตัวมีธรรมะชดใช้ความผิดพลาดของมนุษย์ มนุษย์พวกเราเดี๋ยวนี้เตรียมตัวชดใช้ความผิดพลาดที่มีมาแล้วแต่หนหลังเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง กตัญญูต่อโลก เตรียมตัวเป็นสัตตบุรุษ เป็นสุภาพบุรุษให้ลูกให้หลานที่จะมาในอนาคตได้รับประโยชน์ ทำตัวเป็นบุพการีให้แก่ลูกหลานที่จะมาในอนาคต ใช้บาปใช้กรรมของคนที่ทำไปแล้ว แล้วเราก็จะไม่ทำ นี่ก็จะได้มีธรรมะ มีธรรมะ มีความสงบเย็นเป็นประโยชน์ จะได้นอนตาหลับ ตายหลับตาโดยไม่ต้องมีใครมาช่วยปิดตา เพราะมันมีความถูกต้อง มันมีความสงบเยือกเย็น
นี่ถ้าจะร่วมมือกันก็ช่วยกันรักษาส่งเสริมปณิธานของพุทธทาสสามประการ ช่วยกันพิทักษ์พุทธทาสปณิธาน พุทธทาสปณิธานสามประการอย่างที่ว่ามาแล้ว ช่วยกันพิทักษ์รักษาปณิธานนี้ให้มันมีขึ้นมา ให้มันมีอยู่ต่อไป ที่เรียกว่าช่วยกันสร้างสันติภาพขึ้นในโลก เอาบุญเอากุศลก็ได้ เอาความสันติภาพ ความสงบสุขเป็นเนื้อเป็นตัวก็ได้ ช่วยกันส่งเสริมปณิธานของผู้เป็นทาสของพระพุทธเจ้า
พยายามแก้ไขปรับปรุงความผิดพลาด ความมืดมน ความอ่อนแอ ความเหลวแหลกให้ฟื้นกลับมาสู่ความถูกต้อง มีพระศาสนาชั้นเนื้อแท้ไม่ใช่ชั้นเปลือก เป็นหลักยึด ธรรมะก็จะกลับมา รู้จักธรรมะก็คือรู้จักสิ่งที่จะช่วยให้รอด ธรรมะ ธรรมะนี้คือการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องๆๆๆ แก่ความรอดๆๆๆทั้งทางกายทั้งทางจิต ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อของเราและผู้อื่น ทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่น มันรอด คนเดียวไม่ได้ อยู่ในโลกคนเดียวก็ตาย ธรรมะคือระเบียบปฏิบัติ ระบอบปฏิบัติคือต้องทำหลายๆอย่าง ระบอบปฏิบัติและถูกต้องถูกต้องถูกต้องแก่ความรอด รอดทั้งทางกายและทางจิต รอดหมดทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อเราเองและเพื่อผู้อื่น สิ่งนี้คือธรรมะ
ถ้าถามกันว่าธรรมะคืออะไร ในเรื่องเกี่ยวกับการสันติสุข สันติภาพของโลก ก็ตอบอย่างนี้ อย่าตอบเหมือนกับครูสอนลูกเด็กๆในโรงเรียน ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นั่นมันหลับตาตอบ มันตอบโง่ ตอบผิด มันไม่รู้ความจริง อาตมาสอบถามดู ครูในโรงเรียนยังสอนลูกเด็กๆทั้งนั้น สมัยอาตมาครูก็สอนลูกเด็กๆอย่างนั้น ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันไม่มีความจริง ในอินเดียคำสอนของศาสนาไหนเรียกว่าธรรมะทั้งนั้น ไม่ว่าศาสดาองค์ไหน ศาสดาสอนก็เรียกว่าธรรมะๆจนต้องระบุชัดว่าธรรมะของใคร ธรรมะของพระสมณโคดม หรือธรรมะของนิครนถนาฏบุตร ธรรมะของกันสยะอะเกสอัญชลี(นาทีที่1:21:30) มันมีตั้งหลายๆศาสดา คำสอนเขาเรียกว่าธรรมะ ธรรมะตามที่ชื่อนั้น ประชาชนก็เลือกเอาเองว่าชอบใจธรรมะของใคร ก็หมายความว่า เขาถือศาสนานั้นๆแต่อย่างไรก็ดี ธรรมะ
ธรรมะคำสอนนั้นไม่ใช่ตัวคำสอน ธรรมะไม่ใช่ตัวคำสอน ธรรมะคือตัวหน้าที่ มันสอนเรื่องหน้าที่ว่าทำอย่างนั้น อย่างนั้น มันทำอย่างนั้น จะดับทุกข์ มันสอนต่างๆกันเพราะมันรู้ต่างๆกัน ก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน ธรรมะผิดธรรมะถูกก็ไม่รู้ แต่ธรรมะแท้จริงต้องแก้ปัญหาได้ ต้องดับทุกข์ได้ ไม่ต้องเชื่อใคร ธรรมะหรือไม่ ธรรมะ มันดูที่ว่าดับทุกข์ได้หรือว่าดับทุกข์ไม่ได้ ธรรมะคำสอนของสำนักไหน ของอาจารย์ไหน ของคณะไหนถูกหรือผิด ตัดสินกันได้ตรงที่ว่ามันดับทุกข์ได้หรือไม่ได้ ก็ดูที่ว่ามันดับทุกข์ได้หรือไม่ได้ ถ้ามันดับทุกข์ได้ก็ใช้ได้ นี้คือธรรมะต้องดับทุกข์ได้ คือแก้ความเห็นแก่ตัวได้ เลิกความเห็นแก่ตัวได้
เห็นแก่ธรรมะเลิกความเห็นแก่ตัว มันก็เห็นแก่ธรรมะโดยอัตโนมัติ เห็นแก่ธรรมะแล้วมันก็เกิดความถูกต้อง ถูกต้อง มันก็เกิดสันติภาพ สันติภาพ นี่คือธรรมะ ธรรมะ ที่มาพูดกันเดี๋ยวนี้ พูดกันในเรื่องสำหรับโลก พูดกันบนภูเขาเมื่อตอนเย็น นั้นมันพูดเรื่องของฝ่ายธรรมะของโลกุตระไปนู้น แต่เดี๋ยวก็จะพูดเรื่องโลกเป็นเรื่องของโลก ธรรมะเป็นสิ่งที่จะช่วยโลก เราจงทำโลกให้มีธรรมะ เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมันครองโลกเอาไว้ ช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตัว แล้วเอาธรรมะมาครองโลก แล้วโลกก็จะมีความสงบสุข เป็นสันติภาพ
ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักธรรมะให้ถูกตัวธรรมะ ถูกตัวธรรมะแล้วมันจะแก้ปัญหาได้ ถ้าไม่ใช่ธรรมะเป็นธรรมะปลอม ธรรมะปิด มันก็แก้อะไรไม่ได้มันก็ไม่ช่วยอะไรได้ ให้ธรรมะเป็นธรรมะ ธรรมะถูกต้องมันก็กำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ธรรมะ คือกิเลสและความทุกข์ ไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์ควรจะพอใจ อย่าต้องการอะไรมากไปกว่านั้น ขอให้เคลื่อนไหวทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว อย่าเคลื่อนไหวไปในทางส่งเสริมความเห็นแก่ตัว แม้แต่ทำบุญให้ทานนี้ก็เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัว อย่าเพิ่มความเห็นแก่ตัว ทำบุญเอาหน้า ทำบุญแลกเอาสวรรค์ ทำบุญเอาอำนาจวาสนา กลุ่มคนนี้มันทำบุญอย่างนี้มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องทำบุญเพื่อลดความเห็นแก่ตัว ทำบุญบาทเพื่อลดความเห็นแก่ตัวบาทหนึ่งอย่าเอาเพื่อจะเอา ๑๐ บาท ๑๐๐ บาท หรือเอาวิมาน ทำบุญเท่าไรมันลดความเห็นแก่ตัวเท่านั้น อย่าเอากำไรเกินควร
กลับมา นี่คือธรรมะ ธรรมะ ซึ่งอาตมาก็รู้สึกว่าได้อธิบายแก่ท่านทั้งหลาย จนพอที่จะรู้จักธรรมะได้ในระดับหนึ่งแล้ว ในตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะ สอง ชั่วโมง ก็สรุปกันเสียทีว่าวันนี้เป็นวันพระธรรม แล้วก็แยกเอาพระธรรมมาส่วนหนึ่ง สำหรับจะช่วยโลก เพื่อสันติภาพของโลกเอามาปราบความเห็นแก่ตัว กำจัดความเห็นแก่ตัว ทุกคนช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัว เข้าใจถึงหัวใจของพระศาสนาของตัว ร่วมมือกับศาสนาอื่น ซึ่งเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตัวแล้วเหมือนกัน ช่วยกันเลิกเป็นทาสของวัตถุนิยม อย่าบูชาวัตถุนิยม อย่ากินเกิน อย่าแต่งเนื้อแต่งตัวเกิน อย่าใช้เกิน อยู่เกินเล่นหัวเกินอะไรเกินๆๆๆๆน่ะมันเป็นวัตถุนิยม อย่าไปเอากับเขาเลย เขาจะเอาตามใจเขา เราจะไม่เอาในส่วนที่มันเกิน เป็นทางสายกลางพอดี กินอยู่พอดี แต่งเนื้อแต่งตัวพอดี เครื่องใช้ไม้สอยพอดี บ้านเรือนพอดี ยานพาหนะพอดี อะไรๆๆพอดีๆๆเรียกว่า สัมมา สัมมา ถูกต้องๆ มัชฌิมามัชฌิมา เป็นกลางๆพอดีๆ ก็จะตรงตามความหมายของคำว่าพระธรรม พระธรรม
วันนี้เป็นวันพระธรรม วันแสดงธรรมจักรกัปปะวัฎนะสูตร แสดงความเป็นสายกลาง ถูกต้องพอดี เลื่อนชั้นขึ้นไปตามลำดับ จนถึงพระนิพพาน หมดความทุกข์ หมดปัญหา เราจะได้ชีวิตใหม่ ชีวิตที่สะอาดสว่าง สงบเย็น เป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่เราควรอยู่ด้วย ความเห็นแก่ตัวหรือกิเลสนั้นมันกัดเจ้าของ เห็นแก่ตัวในสิ่งใดยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด สิ่งนั้นแหละมันกัด แม้บุญกุศลไปยึดมั่นถือมั่นมันกัด มันหมดความเป็นบุญเป็นกุศล เป็นสัตว์ร้าย กัดการไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดสิ่งใด โดยความเป็นตัวกูเป็นของกู มีตัวตนอย่างนี้ออกไปแล้วธรรมะก็เข้ามาไม่เห็นแก่กิเลสตัณหา เห็นแก่ธรรมะเรื่องจบ
การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว เข้าใจว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะเพิ่มขึ้นๆๆมาอีกส่วนหนึ่งต่อจากที่ได้บรรยายกันแล้วในตอนเย็นบนภูเขา นี่ก็แยกออกมาธรรมะชี้ให้เห็นเป็นพิเศษ เรื่องสำหรับจะสร้างโลกให้มีสันติภาพ ให้ทุกคนมีธรรมะ มีความไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กำจัดความเห็นแก่ตัวให้หมดไปจากบ้านจากเมือง ก็จะมีความถูกต้อง มิฉะนั้นมันก็ขอร้องกันแต่ปากไม่ได้ผลอะไร ขอร้องอย่างนั้น ขอร้องอย่างนี้ คนเห็นแก่ตัวมันทำไม่ได้หรอก จะกำจัดความเห็นแก่ตัวเสียได้ มันก็ทำได้หมดไม่ว่าจะขอร้องให้ลึกซึ้งขนาดไหนมันก็ทำได้ พอแล้วเป็นอันว่าเตรียมตัวสำหรับจะสร้างสันติภาพให้แก่บ้านเมือง ให้แก่ประเทศชาติ ให้แก่โลก ไม่เสียทีที่ว่าเราก็เป็นคนในโลก เป็นสมาชิกในโลก ช่วยกันสร้างโลกให้สงบเย็น และเป็นประโยชน์สงบเย็นและเป็นประโยชน์
ขอยุติการบรรยายด้วยความสมควรแก่เวลา และด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายเข้าใจธรรมะกันมากขึ้นเท่าไรก็จะได้ปฏิบัติตนให้มีความเจริญงอกงามไปตามทางของพระธรรม ของธรรมะจนกว่าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับด้วยความตั้งใจจริง อย่าทำเล่นๆอย่าทำหวัดๆอย่าทำแต่ปาก ทำอย่างไม่รับผิดชอบ ทำเล่นๆนี้มีอยู่โดยมาก ไม่ได้รับผลอะไร เสียเงินเสียเวลาหรืออะไรเปล่าๆ ขอยุติการบรรยาย