แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิก กับธรรมจารี และท่านทายก อุบาสก อุบาสิกา สาธุชนอื่นๆ ผู้มีความสนใจในธรรม อาตมาขอโอกาสบรรยายธรรม อย่างที่เรียกว่าจริยา คือเป็นการปรับความเข้าใจ ว่ากล่าวตักเตือน ข้อร้อง แก้ไขกันไปในตัว นี่เรียกว่าเป็นการบรรยายธรรม ไม่ใช่แสดงธรรมเทศนา แล้วก็ไม่ต้องตั้งนะโมให้เสียเวลา ก็จะขอพูดเริ่มเรื่องที่ต้องการจะพูดไปตามลำดับ เป็นโอกาสพิเศษเนื่องในวันนี้เป็นการประกอบการกุศลเกี่ยวกับอายุ ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ให้สำเร็จประโยชน์โดยแท้จริงและโดยสมบูรณ์
ข้อแรก ขอให้มองย้อนหลังและทราบได้ด้วยตนเองว่า เราได้เคยทำบุญเกี่ยวกับอายุทุกแบบมาแล้ว แบบที่เรียกว่าสมโภชอายุ ทำนองต่ออายุ สมโภชอายุ ก็ได้ทำมาแล้ว กินกันใหญ่ เลี้ยงกันใหญ่ เหมือนกับบ้านี่ ก็ได้ทำมาแล้ว เรื่องสมโภชอายุ และต่อมาก็ ล้ออายุๆ ล้อความบ้าความหลงในเรื่องอายุ ก็เลยทำบุญล้ออายุ ทำบุญล้ออายุๆๆ และต่อมาก็ทำบุญเลิกอายุ เพิ่งได้ยินได้ฟังเข้าหูเข้าใจกันอยู่แล้วทุกคนว่า เลิกอายุแล้ว ทำบุญเลิกอายุแล้ว ก็บอกว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมาก็ได้ เพราะว่าเลิกอายุแล้ว ก็ยังมากันอยู่อย่างนี้แหละ แสดงว่าไม่ได้ยินหรือไม่เข้าใจหรือยังไง ว่ามันเลิกอายุแล้ว
เอ้า... เมื่อมากันแล้วก็ต้องพูดกันเรื่องว่าทำบุญอายุคราวนี้น่ะเป็นการมีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ ฟังให้ดี มีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ ไอ้คนโง่มันก็ว่าบ้า พูดบ้าๆ บอๆ มีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ คนที่ขี้อิจฉาริษยาที่มีไปเต็มทั้งบ้านทั้งเมืองนี่ มันก็ว่าอวดดีอีกแล้ว หลอกคนอีกแล้ว ย้อมแมวขายอีกแล้ว พวกที่มันอิจฉามากกว่านั้น มันก็... นี่อวดอุตริมนุษยธรรมโว้ย อวดคุณธรรมที่วิเศษกว่าธรรมดาที่ว่า มีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ มันจะมีผลอย่างนี้ก่อน ไอ้เรื่องเลิกอายุเราก็มาพูดกันวันนี้เรื่องมีชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องมีอายุ มันเก็บไปเสีย คนโง่ก็ไม่พูดถึง คนอิจฉาริษยาก็ไม่พูดถึง คนมุ่งจะทำลายคิดร้าย คิดร้ายก็ไม่ต้องพูดถึง เรามาพูดถึงที่เรียกว่า มีชีวิตชนิดที่ไม่ต้องมีอายุกันดีกว่า
เอาละ... ถ้าว่าฟังไม่ถูก ก็สมัครเป็นเป่าปี่ให้แรดฟังสักสองสามชั่วโมง ไม่เป็นไร ว่าแต่ว่าแรดทั้งหลายตัวไหนมันจะกระดิกหูขึ้นมาบ้างนั้นแหละ นั่นแหละเป็นเรื่องที่สำคัญ มันจะพูดเรื่องมีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ ฟังดู มีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ ไม่เคยได้ยินใช่ไหม แล้วก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ นี่จะเป็นเครื่องแสดงว่าแรดจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน จะกระดิกหูกันบ้างหรือไม่ว่ามีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ ข้อนี้มันก็น่าเห็นใจที่ว่า คำพูดนี้มันมีความหมายหลายชั้นกับหลายชนิด ใช้ไม่เหมือนกัน พูดไม่เหมือนกัน และลึกตื้นกว่ากันมากมายนัก ต่อเมื่อมีความรู้เกี่ยวกับคำพูดในความหมายที่ตรงกันนั่นแหละจึงจะฟังถูกหรือฟังง่าย นี่เราก็จะต้องขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า ชีวิต และเกี่ยวกับคำว่า อายุ กันต่อไป
แต่ว่าข้อแรกก่อนหน้านั้น มันก็มีอยู่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีความหมายมากเหมือนกัน คือว่าไอ้พวกแรดเหล่านั้นมันไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร นั่น... ฟังดูให้ดีสิ แรดกี่ตัวๆ ที่นั่งอยู่นี่ มันรู้ไหมว่าควรจะต้องการอะไร ต้องการอะไรโดยแท้จริง เกิดมาทำไม และควรจะต้องการอะไรโดยแท้จริง ไม่มีแรดตัวไหนที่มันรู้ว่าควรจะต้องการอะไรโดยแท้จริง แรดตัวไหนบ้างที่รู้ว่าควรจะต้องการอะไรโดยแท้จริง ในใจจริงของมันน่ะ ถ้าว่าจะต้องการนิพพาน มันก็พูดแต่ปาก มันก็ไม่กล้าพูดก็มี มันสูงเกินไป มันไกลเกินไป มันก็ไม่ได้ต้องการน่ะ นิพพานน่ะ ถ้าพูดว่าต้องการสวรรค์วิมาน มันก็ยังมีจิตใจที่เหนียมอายว่าเป็นเรื่องบ้ากามารมณ์ ไม่กล้าพูด หรือไม่กล้าต้องการ หรือเอากันในโลกนี้ๆ มีเงินให้มากที่สุด มีชื่อเสียงให้มากที่สุด มีพวกพ้องให้มากที่สุด มันก็ยังเห็นว่าสุดวิสัย มันก็ไม่กล้าคิดที่จะต้องการ หรือว่าได้เห็น ได้สังเกตเห็นผู้ที่มีเงินมากที่สุด มีชื่อเสียงมากที่สุด มีพวกพ้องบริวารมากที่สุด มันหกคะเมนเทนเท่ถูลู่ถูกังไปไม่รู้กี่คนแล้ว ก็ไม่กล้าต้องการเหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่ ต้องการอะไรกันแน่ แรดทั้งหลายยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่
อาตมาขอสารภาพ และขอประกาศคำด่าบนธรรมมาสน์แด่แรดทั้งหลายว่า มันเป็นชาติโง่ บรมโง่ มันไอ้ชาติโง่ มันไม่รู้มันต้องการอะไร ตัวเองมันไม่รู้มันต้องการอะไร มาทำไม มันต้องการอะไร มันก็ยังไม่รู้ นี่คำด่านี้จะไปถูกแรดตัวไหนก็ได้ ไม่ต้องยกมือนะ ไม่ต้องยกมือ แต่ว่าด่าไปอย่างนี้ว่าแรดทั้งหลายเหล่านี้มันไม่รู้จักตัวเองว่าต้องการอะไร จะไปถูกแรดตัวไหนก็ได้ ไม่ต้องยกมือๆ ไม่อยากเห็น ไม่อยากเชื่อ ยกมือก็ไม่เชื่อ
เอาหละ มันสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ ตรงนี้ล่ะว่าเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าต้องการอะไร นี้ต้องการอะไร ต้องการมรรคผลก็ไม่กล้า นิพพานก็ไม่กล้า สวรรค์ก็ยังกระดากอยู่ จะต้องการเงินทอง อำนาจ วาสนา บารมี ก็เรียกว่า ยังไม่เชื่อตัวเองว่าจะทำได้ แล้วก็เห็นคนเขาหกคะเมนกันทั้งที่มีเงิน มีอำนาจวาสนา มีบารมีก็หกคะเมนกันไปเรื่อยๆ เมื่อไม่รู้ว่าต้องการอะไร อย่างนี้เลยจะเอาอะไร จะทำอะไร จะมาแสวงหาอะไร
ฉะนั้นขอบอกแรดทั้งหลายว่าต้องการมีชีวิตที่ไม่มีอายุ ชีวิตที่ไม่มีอายุนั่นแหละประเสริฐวิเศษสูงสุด ชีวิตชนิดไหนไม่มีอายุ เพราะมันเคยได้ยินแต่ว่ามีชีวิตแล้วก็มีอายุนับปี ปีๆๆ กันทั้งนั้น ชีวิตชนิดไหนไม่มีอายุ ประโยคนี้เป็นประโยคที่สำคัญมากที่สุด ขอให้แรดทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี
“ชีวิตที่ไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ”
จดก็ได้ จำก็ได้ ชีวิตที่ไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ อะไรเป็นที่ตั้งแห่งอายุๆ ที่ทำให้มันมีอายุขึ้นมานั้นน่ะคืออะไร นั่นคือ อัตตา
อัตตา ความโง่ว่าตัวกู ว่าของกู มีอัตตาที่ไหน มันก็มีที่ตั้งแห่งอายุ ก็มันมีตัวกู มีอัตตาสำหรับจะนับว่ามันมีอายุกี่ปี ถ้ามันไม่มีอัตตา มันไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ มันไม่รู้จะนับอะไร มันก็ไม่มีอายุ เป็นชีวิตที่กำลังว่างจากอัตตานั่นน่ะ ชีวิตที่ไม่มีอายุ เพราะมันไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ อัตตาเป็นที่ตั้งแห่งอายุ เดี๋ยวนี้มันไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ มันก็เลยนับไม่ได้ มันก็ไม่มีอายุ มีจิตที่ว่างจากตัวกู ไม่มีที่ตั้งแห่งจะนับได้ว่ากูอายุกี่ปี มันก็ไม่มีอายุ นี่มันคือสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ หลุดพ้นจากอุปาทานว่าตัวกู ว่าของกู
ขอให้แรดทั้งตัวเหลืองและตัวขาวรู้จักสิ่งนี้ไว้ให้ดีที่สุดเลย แรดทั้งหลาย ทั้งที่ตัวเหลืองและตัวขาวน่ะ จงได้รู้จักสิ่งนี้ให้ดีๆ เถอะว่าที่ตั้งแห่งอายุที่ทำให้มีอายุน่ะมันคือตัวตน ตัวอัตตา ฉะนั้นพยายามว่างอัตตา แม้ชั่วขณะก็ยังดี ถ้าว่างหมดมันดีที่สุด มันเป็นพระอรหันต์ แต่เดี๋ยวนี้มันชั่วคราวก็ยังดี มาทำอะไรสักอย่าง พยายามกันสักอย่าง ที่จะให้เกิดการมีชีวิตชนิดที่ไม่มีอายุ
เอ้า... ขอโอกาสสอนภาษาสักหน่อย คือคำว่า ชีวิต ชีวิตๆ นี่ แรดทั้งหลายก็ไม่รู้จักเหมือนกัน เพราะมันหลายความหมายนัก ถ้าตามวิทยาศาสตร์อันลึกซึ้งวิเศษของเขา ชีวิตเขาหมายแต่เพียงว่า ความที่ยังสดอยู่ของเยื่อ Protoplast ในเซลล์ทุกๆ เซลล์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกาย ในเซลล์มี Protoplast และProtoplast นั้นยังสดอยู่นั่นก็คือมีชีวิต ชีวิตของคนทางวิทยาศาสตร์มันแค่นี้ แค่เซลล์ตัวๆ หนึ่งมันก็เรียกว่าชีวิตในคำหนึ่ง เราไม่เอา แค่นั้นเราไม่เอา มันเด็กเล่นเกินไป แม้จะเป็นวิทยาศาสตร์อันสูงสุดมันก็ยังเป็นมันก็ยังเป็นเด็กเล่นเกินไป
เอ้า... ชีวิตชนิดที่ในภาษาธรรมดานี้ว่า จิต จิตที่คิดนึกได้นี่เป็นตัวชีวิต ก็ยังความหมายหนึ่งเหมือนกัน ชีวิตอย่างที่เด็กๆ ก็รู้จักนั่นแหละ เด็กๆ มันก็รู้จัก ชีวิตๆ นี่ก็ยังไม่ตาย แต่ว่าคำว่าชีวิตชนิดนี้มันก็ยังจัดการยาก มันเป็นนามธรรมมากเกินไปก็ได้
เอาชีวิตที่เป็นระบบของการดำรงชีวิต อาชีโวๆ นี่ มีการดำรงชีวิตเป็นระบบๆ อยู่นั่นแหละคือชีวิตที่เป็นปัญหา ที่กำลังเป็นปัญหา ที่เราจะพูดถึงกันในที่นี้ คำว่ามีชีวิตก็คือมีระบบแห่งการดำรงชีวิต แล้วมันก็ถูกต้อง แล้วก็ไม่มีปัญหา ถ้าดำรงอยู่อย่างไม่ถูกต้อง ชีวิตนั่นแหละมันก็กัดตัวเจ้าของ คือกัดตัวเอง ลองควบคุมไม่ถูกต้อง ดำรงอยู่ไม่ถูกต้อง ระบบการมีชีวิตไม่ถูกต้อง เรียกว่ามันมีชีวิตที่ไม่ถูกต้อง แล้วมันจะกัดตัวเอง แล้วชีวิตของคนชนิดนั้นมันเลวกว่าหมา ระวังให้ดีเถิด เพราะว่าหมามันยังไม่กัดเจ้าของ ไอ้ชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของมันต้องเลวกว่าหมาแน่ ถามเด็กๆ ดูก็ได้
ต้องมีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ จะทำยังไง มันก็ต้องชีวิตชนิดที่ไม่มีอัตตา ไม่ยึดมั่นว่ามีอัตตา มีตัวกู มีของกู แล้วเกิดกิเลสนาๆ ชนิด ชีวิตชนิดนี้ไม่กัดเจ้าของ เราต้องการจะมีชีวิตชนิดนี้ ถ้าไม่ต้องการชีวิตชนิดนี้ก็ขอประณามว่ายังโง่ที่สุด ยังไม่รู้จักว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่กล้าต้องการนิพพาน ไม่ต้องการสวรรค์วิมาน มันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีสูงสุด มีเงิน มีอำนาจวาสนาบารมี มันก็ยังไม่เชื่อว่าจะทำได้ มันไปสนใจแต่เรื่องต่ำๆ เรื่องเด็กเล่นไปเสียหมด ไม่สนใจเรื่องสูงสุด สูงสุดน่ะคือชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ
เป็นมหาเศรษฐีชีวิตยังกัดเจ้าของ เพราะมันมีกิเลส มีตัวกู มีของกู หัวยุ่งไปด้วยปัญหาตัวกูเรื่องของกู เป็นเทวดาในสวรรค์แล้วชีวิตมันก็ยังกัดเจ้าของ เพราะเทวดานี่มันหลงใหลในกามารมณ์มากที่สุดก็พวกหนึ่ง หลงใหลในอัตตาตัวตนคือพวกพรหมทุกๆ ชนิด มันหลงใหลอัตตาที่บริสุทธิ์ อัตตาที่บริสุทธิ์มันก็ยังกัดเจ้าของอยู่นั่นแหละ ฉะนั้นต้องเหนือนั้น เหนือภพเหล่านั้น เหนือกามาวจรภพ เหนือรูปาวจรภพ เหนืออรูปาวจรภพ หรือเหนือความมีตัวกู มีตัวกูอย่างมนุษย์ก็ไม่ไหว มีตัวกูอย่างเทวดาในกามาวจรสวรรค์ก็ไม่ไหว มีตัวกูอย่างรูปพรหมก็ไม่ไหว มีตัวกูอย่างอรูปพรหมก็ไม่ไหว นั่นมันจึงจะเห็นว่าต่อไปนี้จะต้องการอะไร คือต้องการมีชีวิตชนิดที่ไม่ต้องมีตัวกู ไม่ต้องมีตัวกู ไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์
ถ้ารู้จักปรารถนาสิ่งนี้ก็เรียกว่าถูกต้อง รู้ว่าเกิดมาทำไม แล้วก็รู้ว่ามันก็จะต้องได้อะไร ถ้าแน่ใจอย่างนี้แล้วก็ขออนุโมทนา เพราะว่าเขาได้พ้นจากภาวะแห่งความเป็นแรดแล้ว ไม่มีความเป็นแรดแล้วนั่นขออนุโมทนา ถ้ายังไม่รู้จักว่าต้องการอะไร ไม่รู้ต้องการอะไร มาทำไมก็ไม่รู้ ต้องการอะไรก็ไม่รู้ ก็ต้องเรียกว่าไม่ไหว ยังไม่ไหว ต้องเรียกว่าเป็นแรดอยู่นั่นแหละ ไอ้พวกที่มันหลงในโลก มันไม่ต้องการล่ะไอ้ชีวิตชนิดที่ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ก็เพราะว่าไอ้ตัวปัญหา ไอ้ตัวความทุกข์น่ะ มันอร่อยสนุกสนานสำหรับพวกนั้น คือกิเลสเป็นที่สนุกสนานเอร็ดอร่อยสำหรับพวกนั้น อยู่ทั้งโลกทั้งเมืองน่ะ ทั้งโลกทั้งจักรวาลนี่มันยังหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ หลงใหลในสุขเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็อยู่แค่นี้
ต่อเมื่อมันเหนือเวทนา เหนือความหลงใหลในเวทนา ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวกูนั่นแหละ มันจึงจะถึงที่สุด ถ้ามันยังหลงใหลในเวทนานี้มันก็ยังมีตัณหา มีอุปาทาน เป็นตัวกูในแง่บวกบ้าง ในแง่ลบบ้าง ไม่บวกไม่ลบคือโง่เท่าเดิมบ้าง มันมีตัวกูอยู่นั่นแหละ นั้นมันก็ไม่มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ไม่มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนามันเป็นเรื่องที่ออกมาเสียจากตัวกูหรือของกู คือจากอัตตานั่นน่ะ
เรื่องมีอัตตาให้มากให้ดีที่สุด เขาสอนกันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้า ในอินเดียเขาสอนกันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้า มีอัตตาชั้นเลิศจนถึงชั้นอรูปฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันสูงสุดอย่างนั้นแล้ว มันก็ยังช่วยตัวไม่ได้ จนพระพุทธเจ้าต้องมาประกาศลัทธิว่าไม่มีตน ไม่มีอัตตา ไม่มีตนนั่น มนุษย์จึงได้ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้ เดี๋ยวนี้พุทธบริษัททั้งหลายน่ะ ยังต้องการสิ่งนี้หรือเปล่า หรือว่ายังต้องการประโยชน์อย่างที่เป็นวัตถุต่ำๆ อย่างที่เด็กๆ มันก็ต้องการ เรียกว่าความสุขทางเนื้อทางหนัง ทางอายตนะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันยังต้องการอย่างนี้อยู่นี่ ไอ้แรดตัวเหลืองๆ ก็ดี แรดตัวขาวๆ ก็ดี มันยังต้องการไอ้สิ่งเหล่านี้อยู่นี่ ต้องการความพอใจสนุกสนานทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันต้องการเพียงเท่านี้ จะเรียกว่ามันถูกต้องหรือยัง มันถึงที่สุดหรือยัง
ฉะนั้นจึงขอกล่าวมาตามลำดับว่า เคยหลงในอายุ สมโภชอายุ ต่ออายุกันพักหนึ่ง ก็เอาล่ะ ดีแล้ว ต่อมามันควรจะรู้จักเลิกๆๆ เลิกเสียบ้าง เลิกอายุกันเสียบ้าง พอเลิกอายุแล้วจะอยู่กับอะไร มันกลายเป็นว่าชีวิตที่ไม่ต้องมีอายุ ไม่มีอายุในที่นี้ หมายว่า... หมายความว่า ไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ ไม่มีที่ตั้งแห่งการนับอายุ คือตัวอัตตานั่น พอไม่มีตัวอัตตา มันก็ไม่อาจจะนับอายุ ไม่อาจจะมีอายุ แล้วจะมีชีวิตชนิดที่ว่างจากอัตตา นี่เรียกว่าชีวิตที่ไม่ต้องมีอายุ คำว่า “อายุ” นี่มันคำพูดที่มายาที่หลอกลวง เช่นเดียวกับคำว่า “เวลา” เวลานี่ เด็กๆ ก็รู้ว่ามันเวลา เป็นเหตุให้กำหนดอายุ หรือว่าอายุกำหนดตามเวลา นี่ความรู้ของลูกเด็กๆ ถ้ารู้ถึงเรื่องนี้แล้วก็จะรู้ว่ามันมีเรื่องที่ไม่มีเวลา คือมันอยู่เหนืออายุ ไม่มีอายุ ไม่มีเวลา มันก็ยังมีอยู่ คือเรื่องหลุดพ้นจากตัวกู ปราศจากตัวกู ว่างจากตัวกู
พูดเรื่องเวลากันสักนิดก็คงจะมีประโยชน์ คนบางคนโง่ถึงขนาดว่าสิ่งที่เรียกว่าเวลาไม่มี เวลาไม่เป็นสิ่งที่ไม่มี เพราะเขาไม่รู้ว่าเวลาคืออะไร บางคนก็ไปรู้ว่าเวลามีที่นาฬิกามันเดิน หรือดวงอาทิตย์มันเดิน นี่เป็นเวลา นั่นมันเรื่องวัตถุสำหรับคนโง่จะคิดอย่างนั้น อันนั้นคือเวลา นั่นมันเพียงเครื่องกำหนดเวลา เป็นเดือน ปี ฤดู ชั่วโมง อะไรก็ตาม มันเป็นเครื่องกำหนดเวลา ไม่ใช่ตัวเวลาอันแท้จริง ตัวเวลาอันแท้จริงนั่นดุร้ายมาก คืออัตตา ดุร้ายมาก มันกัดเจ้าของแหละ ใครมีเวลา เวลามันกัดเจ้าของ เวลานี่คือระยะกาลที่เริ่มตั้งแต่อยากๆ ๆ และกว่าจะได้สมอยาก ระยะนี้เรียกว่าเวลา ถ้าไม่มีความอยาก ไม่มีเวลา ต้องมีความอยาก มันจึงจะเกิดเวลาขึ้นว่าตั้งต้นอยากแล้วได้สมอยาก ตั้งต้นอยากแล้วได้สมอยาก สิ่งนี้คือเวลา พอไม่อยาก เวลาก็หมดไป
เอ้า... พูดบ้าๆ ให้เขาโห่อีกทีว่า พอไม่มีตัณหา ไม่มีความอยาก นาฬิกาก็หยุดเดิน ดวงอาทิตย์ก็หยุดเดิน บ้าเท่าไหร่พูดอย่างนี้ แต่มันเป็นความจริงที่สุด ถ้าไม่มีความต้องการ คือตัณหาชนิดบวก ชนิดลบ หรือชนิดทั้งบวกและลบ คือไม่มีตัณหาประเภทใดๆ แล้ว มันก็ไม่มีเวลา นาฬิกาหยุดเดิน หมายความว่ามันไม่มีเวลาสำหรับคนๆ นั้น ดวงอาทิตย์ก็หยุดเดิน หรือหยุดหมุนก็ตามใจ มันไม่มีเวลาสำหรับคนนั้น และใครชนะเวลาอย่างนี้ได้บ้าง จะชนะเวลาได้ ก็ต้องชนะตัณหา ตัณหาซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเวลา พอไม่มีตัณหาเวลาก็ไม่มี เวลาก็นอนหลับไปเสียด้วย ไม่มีความหมาย ถ้ามีตัณหามีความอยาก มุ่งหมายที่จะไปได้อะไร นึกถึงอะไร ระยะนั้นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าเวลา ระยะที่โง่และอยาก แล้วรอไปกว่าจะได้สมอยาก นั่นเป็นเวลาอันหนึ่งๆ จะนานเท่าไรก็แล้วแต่กิเลสหรือตัณหามันจะมากหรือน้อย
หลักธรรมะหรือว่าพุทธภาษิตมันจึงว่าผู้ใดกินเวลา เอ้อ..ผู้ใดฆ่าตัณหาได้ ผู้นั้นกินเวลา หรือจะว่าผู้ใดกินตัณหาก็ได้ ผู้นั้นก็กินเวลา เวลาไม่มีสำหรับผู้นั้น ไม่มีโดยเด็ดขาดก็แต่พระอรหันต์พวกเดียวเท่านั้น คือท่านไม่มีตัณหา ไม่มีจุดตั้งต้นแห่งความอยากและสมอยาก ไม่มีอีกต่อไป สำหรับพวกเราพวกแรดทั้งหลายนี่มันมีความต้องการ มีตัณหาอยากเป็นจุดตั้งต้นแล้วก็ดิ้นรนทะเยอทะยานพยายามไปจนกว่าจะได้สมอยากไป เป็นเวลาเรื่องหนึ่ง แล้วไม่พอ มันตั้งต้นเรื่องใหม่อีกๆ ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันจึงได้เวียนวนอยู่ในวัฏฏะสงสารคือ ความเป็นอย่างนี้ๆ ๆ
พูดเรื่องที่ตรงกันข้ามจากความเป็นอย่างนี้มันก็ฟังไม่ถูก ฉะนั้นการเทศน์ แม้เทศน์บนธรรมมาสน์ มันก็กลายเป็นการเป่าปี่ให้แรดฟัง ไม่รู้จะทำอย่างไร มันก็จำเป็นเหมือนกัน ไม่เป่าปี่กันเสียเลย มันก็เป็นผลร้ายเหมือนกัน เป่าปี่ออกไปแรดทั้งหลายก็ฟังไม่ถูก มันก็ยังเหลืออย่างเดียวคือว่าเลิกความเป็นแรดกันเสียเถิด ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองๆ เลิกจากความเป็นแรด หมายความว่าฟังธรรมะถูก แล้วก็รู้เรื่องความจริงอันสูงสุด เพราะว่าความหลุดพ้นนั้นคือหยุดตัณหา หยุดกิเลส หยุดความต้องการเสียได้ ที่จะหยุดกิเลสตัณหาเสียได้นี้มันต้องหยุดตัวกู หยุดตัวกู หยุดความรู้สึกโง่เขลาว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกูนั่น ถ้ามันยังมีตัวกู เป็นของกูอยู่ มันก็ยังมีกิเลสตัณหา คือมันมีความต้องการ เมื่อมีความต้องการก็ยังมีเวลา ฉะนั้นเวลามันก็กัดกินเจ้าของ
กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา พระพุทธภาษิตว่า เวลากินสรรพสัตว์ เวลากัดกินสรรพสัตว์และตัวมันเอง แล้วก็เวลา เวลามันทำความเจ็บปวดให้แก่สรรพสัตว์ที่มีชีวิต และเวลาก็กินตัวเอง คือไปตามลำดับๆ จนกว่าจะหมดเรื่องของเวลาในกรณีนั้นๆ มันก็ยังมีกรณีอื่นอีก มันยังมี ไม่รู้กี่กรณี ฉะนั้นเวลามันเกิดใหม่เรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด นี่แรดทั้งหลายเคยสำนึกในข้อนี้กันหรือเปล่า ถ้าไม่สำนึกในข้อนี้ก็จะไม่รู้จักว่าตัวเองเกิดมาทำไม ตัวเองควรจะได้อะไร มันก็ไม่มีทางรู้ การเป่าปี่ให้แรดฟังก็มีอยู่ตลอดกาล ตลอดกาล ปวสารก็ได้ อาตมาพูดเรื่องนี้เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องที่ทำอยู่นี่ บอกแล้วว่าเคยสมโภชอายุ แล้วก็เคยล้ออายุ ล้อๆ กันหลายปี ล้ออายุ แล้วก็เคยเลิกอายุปีกลาย ปีก่อน ปีนี้ไม่มีอะไร ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องมาก็ได้ ก็ยังมาเท่าเดิม ก็หมายความว่ามันยังโง่เท่าเดิม ขออภัยพูดตรงๆ อย่างนี้
ไม่มาเสียสักคนมันก็จะดี ดีกว่านะ หมายความว่ามันรู้ มันเข้าใจ ฟังถูก ไม่มาเสียสักคนเดียวก็จะดีกว่ามาเป็นฝูงๆ อย่างนี้แล้วรู้ว่ามาทำไม แล้วไม่รู้ว่าต้องการอะไร ควรจะต้องการอะไร จึงขอด่าบนธรรมมาสน์ว่าไอ้ชาติโง่ มันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ต้องการอะไร ตัวเองไม่รู้ว่าต้องการอะไร เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ต้องการพร่าไปหมด จะไม่ให้เรียกว่าด่า ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร มันก็พูดตรงๆ อย่างนี้ ก็ฟังดูคล้ายกับด่าว่า ไอ้ชาติโง่ หรือบรมโง่ ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ตัวเองต้องการอะไรโดยแท้จริงบอกได้ไหม บอกตัวเองได้ไหมว่าต้องการที่ไม่รู้ว่าอะไรไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต้องการยุติตัวกู ยุติตัวกู เลิกตัวกู เลิกเวลา เลิกอายุ เลิกการหมุนเวียนไปตามอายุ เลิกถูกกัดกินโดยเวลา เวลาไม่กัดกิน เดี๋ยวนี้เวลามันยังนอนหลับ ก็ยังกัดกินอยู่ ฝันร้ายอยู่ ตื่นอยู่นี่ก็กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ กลางคืนอัดควัน กลางวันลุกเป็นไฟอยู่นี่ นี่คือ สิ่งที่เรียกว่าเวลามันกัดกิน
ต้องการจะพ้นสภาพอย่างนี้หรือไม่ ทุกคนมีอิสรภาพ มีเสรีภาพ แล้วก็เป็นประชาธิปไตย ต้องการก็ได้ ไม่ต้องการก็ได้ เอ้า...เอ้า เตรียมตัวสำหรับไม่ต้องการ จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปก็ได้ เตรียมตัวสำหรับจะเลิกต้องการ จะไม่ให้เป็นอย่างนี้ มันก็ได้เหมือนกัน มันมีเสรีภาพเหมือนกัน แต่อาตมาคิดว่าแม้ต้องการเป็นพักๆ ได้ก็ยังดี ไม่ติดต่อกันตลอดไป หยุดได้เป็นพักๆ ก็ยังดี เพราะว่าหยุดได้เท่าไร มันก็มีพระนิพพานตัวอย่าง ได้บรรลุพระนิพพานตัวอย่างน้อยๆ เท่านั้น เวลาใดไม่มีปัญหาความยุ่งยากลำบากที่เกิดจากตัวกูของกูมาสุมอยู่ในจิตใจ ถ้าจะอนุญาตให้พูดอย่างธรรมดาชาวบ้านก็พูดว่าสุมอยู่ในกบาลนั้น ถ้าพูดสุภาพหน่อยก็สุมอยู่ในจิตใจ อย่าให้ไอ้ไฟเหล่านี้มาสุมอยู่ในจิตใจ ควรจะมีเวลาอย่างนั้นบ้าง อย่าให้มันมีตัณหาตลอดกาล และก็มีเวลาตลอดกาล แล้วเวลาก็กัดเจ้าของตลอดกาล อย่างนี้ก็ไม่ใช่พุทธบริษัท จะห่มเหลือง หรือห่มขาวก็ตามใจ ไม่ใช่พุทธบริษัท เพราะมันยังถูกกัดกินด้วยกิเลสตัณหาอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเรียนธรรมะเรียนพุทธศาสนามันก็ไม่เรียนเรื่องนี้ มันก็ไม่เรียนเรื่องนี้ มันก็ไปเรียนเรื่องให้มีเหยื่อมีกิเลส หรือมีอะไรแปลก แปลกๆ ออกไปนั่น ให้ไปนิยมไอ้ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุแผนใหม่ให้เป็นอยู่ยิ่งกว่าเทวดา หรือแข่งกับเทวดา เป็นมนุษย์นั่นมีการเป็นอยู่แข่งกับเทวดา ในย่ามตัวเหลืองๆ น่ะมีกล้องถ่ายรูป ในย่ามของแม่ชีก็มีถ่ายรูป วันนั้นสะดุ้ง แม่ชีแก่ๆ ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปอาตมา มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีได้ แม่ชีแก่ๆ ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นถ่ายรูปอาตมา นี่มันของใหม่ที่สุด แล้วมันเดินมาทางนี้ มันเดินมาทางนี้ๆ แล้วมันไม่ไปสู่ความหลุดพ้นหรือความสงบเย็น หรือความหมดปัญหา หมดปัญหา
ทั้งหมดนี้สรุปความได้อย่างเดียวว่า ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร ช่วยเอาปัญหานี้ไปคิด ตัวเองยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร มาฟังเทศน์ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ปฏิบัติธรรมะก็ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ยังฉ้อโกงกันเสียอีก ก็ไปทำสมาธิเพื่อที่จะให้มีอำนาจจิต มีจิตวิทยาสูง หลอกคนอื่น เอาเปรียบคนอื่นได้มาก เพราะไปทำสมาธิ เพราะไปทำวิปัสสนา อย่างนี้ก็เรียกว่าขบถ ขบถๆ ขบถต่อพระพุทธศาสนาที่ต้องการให้ไปสู่ความสงบเย็น สงบเย็นๆ ไม่มีไฟร้อนคือกิเลสแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความสงบเย็น สรุปความก็ไม่มีตัวกู ถ้าไม่มีตัวกูก็ไม่มีที่ตั้งแห่งกิเลส กิเลสมันก็ไม่เกิด มันก็เป็นความสงบเย็น เพราะความไม่มีตัวกู ที่ว่าให้เลิกกันเสียที สงบเย็นนี้ก็ไม่ใช่สงบเย็นเปล่าๆ สงบเย็นที่เป็นประโยชน์
อยู่ว่างๆ ก็ไม่สนุก บางทีมันก็ทนไม่ได้ที่คนเราจะอยู่ว่างๆ มันต้องทำอะไร อย่างน้อยก็เป็นเรื่องเอ็กเซอร์ไซส์ของร่างกายของจิตใจ มันก็ต้องทำอะไร ทีนี้ก็ต้องเลือกดูให้ดีว่าจะทำอะไรๆ ถ้ามันต้องทำอะไร มันก็ทำประโยชน์ ทำประโยชน์ให้สมบูรณ์ๆ ไม่ใช่สงบสุข สงบสุขอยู่เฉยๆ แต่ว่าทำประโยชน์ทั้งหลายให้สมบูรณ์ เรื่องประโยชน์นี่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็น ๓ อย่าง ๓ ประโยชน์ อัตตัตถะประโยชน์ ประโยชน์ตัวเอง ประโยชน์แก่ตัวเอง ปรัตถะประโยชน์ ประโยชน์แก่ผู้อื่น และอุภยัตถะประโยชน์ ประโยชน์ที่มันผูกพันกันอย่างแยกจากกันไม่ได้ ก็ประโยชน์ตัวเองและประโยชน์ผู้อื่นที่มันผูกพันกันจนแยกกันไม่ได้นี่ก็จัดเป็นอีกประโยชน์หนึ่ง มันก็เลยได้เป็นว่า ประโยชน์ตัวเอง ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ที่ผูกพันกันจนแยกกันไม่ได้
เมื่อมีความสงบเย็นเป็นสุขหมดปัญหาจากการขบกัดของกิเลสแล้วก็บำเพ็ญประโยชน์ให้สูงสุดจนครบทั้ง ๓ ประโยชน์ แต่ลดลงมาว่าแม้ยังไม่สงบเย็นถึงที่สุด มีเวลาจะทำประโยชน์ได้ก็ทำไปเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องรอเป็นพระอรหันต์เสียก่อนแล้วจึงค่อยทำ นั่นมันก็ไม่ถูกหรอก เราทำได้เท่าไรเราก็สามารถช่วยผู้อื่นได้เท่านั้น แล้วก็เป็นการสนุก หรือสะดวก หรือเป็นสุขที่อยู่ในการทำประโยชน์ แต่เขาไปหาความสุขความสนุกทางกามารมณ์ ถ้าเป็นพุทธบริษัทมันก็สับกันเสีย เปลี่ยนกันเสีย ฤทธิ์ของกิเลสตัณหาที่จะไปหากามารมณ์นั้น เอาฤทธิ์ เอากำลัง เอาพลังนั้นมาใช้เพื่อทำประโยชน์ ประโยชน์ทั้ง ๓ อย่างครบถ้วนมันสนุก สนุก เหมือนกัน สนุกสำหรับผู้ที่มีจิตใจสูงพอที่จะไม่ลุ่มหลงในเรื่องกามารมณ์ แต่ถ้าว่าจิตใจมันต่ำแล้วมันก็ทำไม่ได้ มันก็ต้องไปลุ่มหลงในเรื่องกามารมณ์
สังเกตดูเถิด ธรรมชาติมันก็มีอยู่เป็นชั้นๆ อย่างนี้ แมลงผึ้งก็ชอบอย่างหนึ่ง แมลงวันก็ชอบอย่างหนึ่ง เอาของชอบของแมลงวันมาให้แมลงผึ้ง มันก็คงไม่เอา เอาของแมลงผึ้งไปให้แมลงวัน มันก็คงไม่เอา มันอยู่ที่ว่ามันกำลังเป็นอะไร ถ้ารู้จักค่าของเวลาของชีวิต ก็พยายามที่จะยกตนเองให้สูงขึ้นไปตามลำดับ สูงขึ้นไปตามลำดับ เป็นแมลงวันจนเบื่อแล้ว เป็นแมลงผึ้งกันเสียบ้าง พอเป็นแมลงผึ้งจนเบื่อแล้วก็ว่างกันเสียบ้าง เลิกเป็นอะไรกันเสียบ้าง
นี่แหละท่านทั้งหลายไปคำนวณดูเองว่าเรื่องที่จะต้องทำยังมีอีกกี่มากน้อย เรื่องที่จะต้องศึกษาจะต้องปฏิบัตินั้นมันยังมีอีกกี่มากน้อย อย่ามามัวอะไร... มาให้พรอาตมา มันอวดดีถึงขนาดไหนนะที่มันจะมีอำนาจเหนือกฎอิทัปปัจจยตา ชีวิตร่างกายอัตภาพของอาตมาต้องเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไอ้คนโง่คนบ้าที่ไหนมันจะมาให้พรว่าเป็นอย่างนั้นๆ มันดีมาที่ไหน มันดีมาจากไหน มันดีเท่าไร ที่มันจะมีอำนาจเหนือกฎอิทัปปัจจยตานั่น ในชีวิตอัตภาพนี้มันต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา มันก็ให้พรว่าให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ อยู่ไม่รู้จักตาย อย่างนี้มันคนบ้า เพราะมันตั้งตัวเองว่าอยู่เหนือกฎอิทัปปัจจยตานั้น เสียเวลาเปล่าๆ
เรื่องกฎอิทัปปัจจยตาที่ยังไม่รู้จักนี่รีบไปศึกษา รีบไปค้นคว้าให้รู้จัก แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ คือพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นมา สูงขึ้นมา จากแมลงวันเป็นแมลงผึ้งกันเสียบ้าง แล้วก็จะไปสู่จุดหมายปลายทางได้ด้วยอาศัยกฎอิทัปปัจจยตา หลายคนที่นี่เพิ่งมา เมื่อฟังไม่ถูกว่ากฎอิทัปปัจจยตาคืออะไร ก็ขอโทษเถิด ไปศึกษาหาความรู้ ให้รีบรู้จักกฎอิทัปปัจจยตาเสียโดยเร็ว เป็นกฎของธรรมชาติ ครอบงำทุกสิ่ง ครอบงำธรรมชาติทุกชนิดตั้งแต่ขี้ฝุ่นจนถึงจักรวาลทั้งหมด มันถูกควบคุมอยู่ด้วยกฎอิทัปปัจจยตา คนก็ดี สัตว์ก็ดี ต้นไม้ ต้นไร่ก็ดี ถูกควบควบคุมอยู่ด้วยอิทัปปัจจยตา สภาพสังขารร่างกายนี้ เลือดเนื้อชีวิตนี้มันก็ถูกควบควบคุมอยู่ด้วย กฎอิทัปปัจจยตา มันก็ต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา
ที่จะมาทำให้มันฝืนกฎอิทัปปัจจยตา มันก็ทำไม่ได้ พระเป็นเจ้าก็ทำไม่ได้ พระเป็นเจ้ามันเกิดขึ้นมาตามกฎอิทัปปัจจยตา ฉะนั้นเรารู้จักประพฤติปฏิบัติให้ถูกตามกฎอิทัปปัจจยตา แรดทั้งหลาย ฟังให้ดีๆ ศึกษากฎอิทัปปัจจยตาให้มากพอ จะพ้นจากความเป็นแรด คือมันค่อยรู้จักถูกต้องขึ้นมา รู้จักถูกต้องขึ้นมาเรื่องความจริงของธรรมชาติ เรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา นับตั้งแต่รู้จักธาตุทั้งหลายในจักรวาล เป็นธาตุนาม เป็นธาตุรูป เป็นอายตนะ แล้วเป็นวิญญาณ เป็นผัสสะ เป็นเวทนา เป็นตัวธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ คือ อิทัปปัจจยตา แม้แต่ธรรมชาติทั้งหลายก็ยังต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ
จงรู้จักกฎธรรมชาตินั้นให้ดีๆ แล้วก็จะยกตัวเองขึ้นมา ยกตัวเองขึ้นมาๆ จนกว่าจะหลุดพ้น ที่โง่จนขนาด มันก็จะลดลง โง่น้อยลงๆ ก็ฉลาด แล้วก็ฉลาดมากขึ้น ฉลาดมากขึ้นจนสูงสุดของความรู้ที่แท้จริง ก็เลิกตัวกูได้ เลิกตัวกู เลิกของกูได้ มันก็ไม่มีอายุ ไม่มีเวลา ไม่มีสิ่งผูกพันใดๆ เมื่อวันนี้เป็นวันที่ว่าจะ... หลังจากเลิกอายุมาแล้ว ก็บอกแล้วว่าเลิกอายุหมดแล้ว มันก็เหลืออยู่แต่ว่าเราจะมามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีอายุ คนโง่มันก็ตกใจ คล้ายกับบอกให้ฆ่าตัวตาย ไม่ได้ให้ฆ่าตัวตายแล้วจะเลิกอายุได้ มันจะฆ่าตัวตายมันก็ไม่เลิกอายุได้ ถ้ามันยังโง่ว่ามีตัวกูอยู่ มันก็มีตัวกูต่อไปอีก ชาติต่อไปอีก
โดยที่ร่างกายไม่ต้องตายนี้มันก็ไม่ต้องมีตัวกู มันก็ไม่ต้องมีสิ่งที่เป็นที่ให้เกิดที่ตั้งแห่งตัวกู คือ อวิชชา อวิชชาความไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอย่างไร มันไม่รู้เรื่องธรรมชาติ มันไม่รู้เรื่องกฎของธรรมชาติ มันไม่รู้เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันไม่รู้เรื่องผลที่จะเกิดจากหน้าที่ มันไม่รู้เรื่องธรรมชาติก็มันไม่รู้เรื่องสภาวธรรม มันไม่รู้เรื่องกฎของธรรมชาติก็คือมันไม่รู้สัจธรรม มันไม่รู้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็คือมันไม่รู้ ปฏิปัตติธรรม มันไม่รู้เรื่องผลที่จะเกิดจากหน้าที่ก็เพราะมันไม่รู้จักปฏิเวธธรรม พุทธบริษัทใดรู้จักสภาวธรรม รู้จักสัจธรรม รู้จักปฏิปัตติธรรม รู้จักปฏิเวธธรรม คือมรรคผลนิพพาน มันก็จบแหล่ะ เป็นพุทธบริษัททั้งเนื้อทั้งตัวเรื่อยมา สูงขึ้นๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปเป็นแรด
ถ้าหากว่ามันกำลังเป็นแรดอยู่ก็รีบจัดการ อาศัยหลักธรรมะ โดยเฉพาะเรื่องอิทัปปัจจยตา เอามาใช้ให้ถูกตามเรื่อง ตามขั้น ตามตอน ตามระดับของตนน่ะ ตามภูมิ ตามชั้นของตน มันจะเลื่อนภูมิ เลื่อนชั้น สูงขึ้นไปๆ เลื่อนขึ้นไปสูงได้เท่าไรอัตตามันจะลดลงๆ มันน้อยลงๆ กิเลสมันก็ลดลงไปตาม ปัญหามันก็หมดไปตาม ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้น ตัดที่ต้นเหตุอย่างนี้ มันเป็นตัวเหตุอยู่ที่อิทัปปัจจยตา รู้จักต้นเหตุให้ถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้องมันก็ลดความทุกข์ เพราะจัดการที่เหตุอย่างถูกต้อง ขอให้สนใจเรื่อง อิทัปปัจจยตา คือเรื่องเหตุผล เหตุผลๆๆๆๆ ต่อกันไปเป็นสาย จนกว่าจะไปถึงความทุกข์สูงสุดหรือความดับทุกข์สิ้นเชิง อันเป็นตามกฎแห่งเหตุผลคือ อิทัปปัจจยตา
“พุทธบริษัท” แปลว่า ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน ผู้รู้ผู้ตื่นนี่ต้องรู้จักเหตุ ต้องกำจัดที่เหตุ หมดเหตุร้ายก็เบิกบาน คือมีความสงบเยือกเย็น เป็นสุข เบิกบานอย่างไม่มีโรย ไม่รู้จักโรย ทีนี้ไปหลงอยู่ที่อะไรก็ไม่รู้ ต้องการจะดับทุกข์แต่ไปเพิ่มเหตุแห่งความทุกข์ เพราะมันไม่รู้ แล้วมันก็จะไปแก้ไขที่ปลายเหตุ แล้วมีความทุกข์ แล้วกูไปอยู่ในสวรรค์ กูก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องแก้ไขที่ปลายเหตุ เอาเรื่องปลายเหตุมาครอบงำไอ้ต้นเหตุ มันก็เป็นไปไม่ได้
แก้ไขที่ปลายเหตุเป็นลูกหมา แก้ไขที่ต้นเหตุเป็นลูกราชสีห์ เลือกเอาสิ ไปมัวแก้ไขที่ปลายเหตุมันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ลูกหมาใครเอาไม้ไปแหย่มัน มันก็กัดแต่ที่ปลายไม้นั่นแหละ ลูกหมามันทำได้เท่านั้น ถ้ามันเป็นลูกเสือหรือลูกราชสีห์ มันไม่มัวกัดที่ปลายไม้ มันกระโจนเข้าไปหาคนที่ถือไม้ แล้วมันก็กัดคนที่ถือไม้นั่น ลักษณะอย่างนี้มีหรือไม่มี มันมีอยู่แก่พวกเราทั้งหลายหรือไม่มี มัวแก้ไขที่ปลายเหตุ มันก็เป็นลูกหมาชาติโง่เท่านั้น ถ้าแก้ไขที่ต้นเหตุก็เป็นลูกราชสีห์
พระพุทธเจ้าเป็นจอมราชสีห์ เราเป็นสาวกของพระองค์ก็ควรจะเป็นลูกราชสีห์ อย่ามัวแก้ไขสิ่งใดอยู่ที่ปลายเหตุๆ เลย มันจะไม่มีความเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แม้แต่เรื่องโลกๆ เรื่องทำมาหากิน เรื่องโลกๆ ไม่เกี่ยวกับธรรมะ มันก็ยังต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ ไปมัวแก้ไขที่ปลายเหตุมันก็ทำไม่ได้ด้วย แล้วมันจะโง่ แล้วมันจะฉิบหายหมด ถ้าไปมัวแก้ไขแต่ที่ปลายเหตุ ต้องมีความรู้จัดการป้องกันแก้ไขอะไรถูกต้องแต่ต้นเหตุๆ ก็มีแต่ความเจริญๆ เป็นมหาเศรษฐีก็ได้ เป็นเทวดาก็ได้ นี้ว่าเรื่องฝ่ายกิเลสมันก็ยังต้องใช้ความรู้แก้ไขจัดการที่ต้นเหตุ ไอ้ปลายเหตุนั่นมันขึ้นอยู่กับต้นเหตุ ถ้าว่าต้นเหตุมันถูกต้อง ปลายเหตุมันไม่ต้องสงสัย มีมันผลถูกต้อง
ก็เป็นอันว่า ขอให้มีความเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องใจความสำคัญของการประชุมกันในวันนี้ ว่าเราจะมาถึงขั้นที่ว่ามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีอายุ เราเคยหลงใหลในอายุกัน มาสมโภชในอายุ ต่ออายุกันมามากแล้ว แล้วก็เบื่อ ก็เลิกๆ อายุกันเสียที ก็หมดอายุๆ หรือว่าล้อ ล้อเล่นให้มันเข็ด ให้มันถอยหลังกลับ อายุมันถอยหลังกลับ ล้อๆ ๆ ๆ จนพอสมควร แล้วก็เลิกๆ ๆ ๆ พอเลิกแล้วทีนี้จะมีชีวิตอย่างไร มันก็ต้องมีชีวิตอย่างที่ไม่ต้องมีอายุ ทีนี้ไม่รู้ว่าอายุนั้นคืออะไร แล้วมันก็ทำไม่ได้ เพราะมันเคยหลงใหลมาแต่เรื่องตัวกูของกู ตัวกูของกูไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวนี้จะมาเลิกไอ้ตัวกูของกูที่เป็นที่ตั้งแห่งอายุ มันไม่รู้จัก มันก็ทำไม่ได้ ก็เป็นว่าทำอะไรไม่ได้ในการที่จะมาประชุมกันในวันนี้เพื่อหาความรู้ แล้วมีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ
ฉะนั้นขอให้ทำความเข้าใจอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า เวลาคืออะไร อายุคืออะไร มันกัดเจ้าของอย่างไร เอาชนะมันได้หรือฆ่ามันตาย แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะกัดเจ้าของ ถ้าไม่เข้าใจมันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรจริงเหมือนกัน ที่จะพูดกันเรื่องมีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ ถ้าเข้าใจนิดเดียวว่าอายุ อายุนั่น ก็คือที่ตั้งแห่งอายุ มันมีที่ตั้งแห่งอายุคือมีตัวกู มีของกู แล้วมันก็นับได้ว่าตัวกูมีอายุกี่ปี หรืออายุของกูมีกี่ปี นี่มันก็ไปกันตามเรื่องของมัน พอเอาตัวกูออก ไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ มันก็ไม่มีอายุ มันก็เลิกอายุ
ที่ได้พูดกันมาตั้งแต่ต้นที่สุดว่าปัญหามันยาก มันอยู่ที่คำพูด เข้าใจกันไม่ได้ คำพูดคำเดียวกันเข้าใจกันคนละอย่างสองอย่าง หรือคำพูดคำเดียวกันในภาษาอย่างอื่น ภาษาอื่นก็เป็นอย่างอื่น แปลเป็นภาษาอย่างอื่นยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งไกลออกไป ทีนี้ศึกษาภาษาธรรมะภาษาพระพุทธเจ้านี่ให้เข้าใจ มีอยู่เป็น ๒ ระดับ คือเป็นสัมมาทิฐิโง่ แล้วเป็นสัมมาทิฐิฉลาด มิจฉาทิฐิโง่ แต่ว่าสัมมาทิฐิๆ นั่น จงรู้ไว้ด้วยว่ามันยังแบ่งไว้ให้เป็น ๒ระดับเหมือนกัน สัมมาทิฐิสำหรับคนที่ยังมีตัวกู สัมมาทิฐิเมื่อไม่มีตัวกู อย่างนี้ก็ยังเรียกว่าเป็นสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิสำหรับที่ยังโง่อยู่ครึ่งหนึ่ง คือมีตัวกู ให้เชื่อว่าบุญมี บาปมี สวรรค์มี นรกมี โลกหน้ามี สัตว์เป็นโอปปาติกะมี อย่างนี้ก็เรียกว่าสัมมาทิฐิครึ่งหนึ่ง ยังมีโง่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง คือยังมีตัวตนชั้นดีแฝงอยู่ เคยได้ยินไหม ที่ไม่เคยได้ยินอาจจะไม่เชื่อ พวกนักอิจฉาริษยามันก็หาว่าอาตมาหลอกคนทั้งหลายอีกแล้ว เอาแมวมาขาย ย้อมแมวมาขาย มันมีอยู่ในพระบาลี เช่น พรหมชาลสูตร เป็นต้น
สัมมาทิฐิน่ะมีชนิดสาสวา คือมีอาสวะเหลืออยู่ สัมมาทิฐิชนิดอนาสวา ไม่มีมิจฉาทิฐิเหลืออยู่ สัมมาทิฐิของคนที่ยังมีความโง่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งน่ะ มีชนิดหนึ่ง สัมมาทิฐิของผู้ที่ไม่มีความโง่เลย นั่นสมบูรณ์ มีอยู่ สัมมาทิฐิก็ยังเป็น ๒ ชนิด ถ้าไปเทียบกับมิจฉาทิฐิ โน่นมันไม่รู้อะไรเลย มันเกินโง่ไปเสียอีก นั่นเรียกว่ามิจฉาทิฐิ โง่สมบูรณ์ นี่ฝ่ายนี้สัมมาทิฐิเริ่มรู้ถูกต้องแล้ว ก็ยังจัดเป็นชั้น ชั้นธรรมดายังอยู่ในโลก ยังมีอัตตาเหลืออยู่ตามสมควร อัตตาดีๆ เหลืออยู่ตามสมควร จัดเป็นสัมมาทิฐิที่ยังมีอาสวะเหลืออยู่ คือความโง่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง ต่อรองกัน ถ้าหมดความโง่โดยประการทั้งปวงก็เรียกว่า อนาสวาสัมมาทิฐิ นี้ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวกูเหลืออยู่เลย อันนี้จะหมดอายุ จะหมดปัญหา ถ้ายังมีตัวตนเหลืออยู่บ้าง มันก็มีปัญหาเหลืออยู่เท่านั้น ถ้ามีตัวตนที่ดี มันก็ต้องต่อสู้เพื่อตัวตนที่ดี ยังต้องมีอาสวะสำหรับเศร้าหมอง ยังต้องมีความทุกข์สำหรับทนทุกข์ตามสมควร ครึ่งหนึ่งอย่างน้อย
เรียงลำดับใหม่ให้ฟังอย่างง่ายๆ ว่า อย่างเลวที่สุดเป็นมิจฉาทิฐิ ทีนี้พอสูงขึ้นมาเป็นสัมมาทิฐิที่ยังมีอาสวะ ก็คือมีอวิชชาเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง สูงขึ้นไปก็สัมมาทิฐิอนาสวะ ไม่มีอวิชชาเหลืออยู่เลย แรดตัวไหนอยู่ในอันดับไหน ดูเอาเอง ไม่มีใครบอกได้หรอก ดูเอาเอง ดูตัวเอง ว่าเป็นแรดที่อยู่ในระดับไหน ระดับมิจฉาทิฐิสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ ระดับสัมมาทิฐิครึ่งหนึ่ง คือสาสวาสัมมาทิฐิก็ได้ ระดับที่สัมมาทิฐิเต็มเปี่ยมไม่มีอวิชชาเหลืออยู่เลยก็ได้ เป็นอนาสวาสัมมาทิฐิก็ได้ กฎเกณฑ์อันนี้ไม่ยกเว้นว่าแรดตัวเหลืองหรือแรดตัวขาว เหมือนกันด้วยประการทั้งปวง ไม่ยกเว้น
ฉะนั้นอย่าประมาท อย่าประมาทๆ จัดการให้มิจฉาทิฐิหมดไป ให้สัมมาทิฐิเกิดขึ้นแทน มาได้ครึ่งหนึ่งก็เรียกว่าสาสวาสัมมาทิฐิ ให้หมดอวิชชาไปเลยก็เรียกว่าอนาสวาสัมมาทิฐิ อนาสวาสัมมาทิฐิถ้ามันเป็นไปถึงที่สุดแล้ว มันก็บรรลุมรรคผลนิพพาน นี้อยู่ในโลก ต้องคลุกคลีกับเรื่องโลกๆ มันก็เอาสักครึ่งหนึ่งก็ได้ มีตัวตนชนิดดีต่อสู้กันไปอย่างดี ให้มีแต่ความถูกต้อง อยู่กับฝ่ายความถูกต้อง แต่ว่าไอ้การต่อสู้นี้มันต้องเป็นทุกข์แหละ ไม่ว่าทำให้เพื่อดีให้ได้ดี มันก็เป็นทุกข์อย่างดี เพราะมันต้องมีการต่อสู้ มีการต่อต้าน มีการรบ มีการฆ่า ถ้ามันไม่มีเสียเลย มันจึงจะไม่มีปัญหา ถ้ามันมีทุกข์แล้วมันยังต้องดับทุกข์ แล้วมันก็เป็นทุกข์เพราะดับทุกข์ นั้นจงปรารถนาความไม่เกิดทุกข์
ขอบอกให้แรดทั้งหลายที่ฉลาดตั้งต้นว่าปรารถนาความไม่เกิดแห่งทุกข์ ปรารถนาความดับทุกข์ยังโง่อยู่ ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าความดับทุกข์เพราะท่านสอนความไม่เกิดแห่งความทุกข์ ไปดูเรื่องอริยสัจ ไปดูเรื่องอะไร ปฏิบัติตามนั้นแล้วความทุกข์มันไม่เกิด ไม่ใช่ไปสอนทำให้ความทุกข์เกิดแล้วดับมัน นั่นมันบ้า ถ้าไฟไหม้แล้วจึงดับ มันก็ยุ่งตายสิ ไม่ให้ไฟเกิดไม่ดีกว่าหรือ ไฟมันไม่เกิด ไม่ต้องดับ นั่นแหละความประสงค์ ความทุกข์ก็เหมือนกัน มีสติปัญญา มีการศึกษา มีการปฏิบัติถูกต้องประจำอยู่ในจิตในใจ ความทุกข์เกิดไม่ได้ๆ ไม่ต้องไปดับทุกข์ให้ยุ่ง ให้ยาก ให้ลำบาก นี่จงระมัดระวังในข้อนี้ ศึกษาไว้ให้พอ ฉลาดพอ ป้องกันพอ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความทุกข์เกิดไม่ได้ นั่นแหละสัมมาทิฐิที่สมบูรณ์ ไม่ต้องไปมัวดับทุกข์ แต่สามารถทำให้ความทุกข์ไม่เกิด ไม่อาจจะเกิด
ในโลกนี้มันก็ยังบ้ากันอยู่แต่อย่างนี้ มันทำแต่ความทุกข์เกิด แล้วก็จะปัญหาเรื่องดับทุกข์ ดับทุกข์ เรื่องการเมือง เรื่องการเศรษฐกิจ เรื่องการอะไรก็ตาม มันมีแต่เรื่องให้เกิดปัญหา แล้วก็ต้องแก้ปัญหา แล้วมันก็เห็นแก่ตัว แล้วมันจะแก้ปัญหาอย่างไรได้ นี่ได้พูดมาแล้วว่า อัตตาๆ เป็นที่ตั้งแห่งปัญหาให้เกิดทุกข์ เราจงมีชีวิตชนิดที่ไม่มีอัตตา ไม่มีอัตตา หมายความว่าชีวิตที่ไม่เห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ตน ชีวิตที่ไม่มีอัตตาโง่เขลาขึ้นมาเป็นเจ้าเป็นนายบังคับชีวิต ถ้าชีวิตไหนอัตตาครอบงำแล้วก็เรียกว่าปัญหาทั้งนั้นแหละ ชีวิตไหนอนัตตา ความรู้เรื่องอนัตตาช่วยเหลืออยู่ ครอบงำอยู่ ชีวิตนั้นจะไม่มีปัญหา จะเยือกเย็นเป็นสุข ไม่ว่าจะทำอะไร จะอยู่ในโลกนี้ หรือจะไปอยู่ในโลกไหน ก็ไม่มีปัญหา มันจึงมองดูว่าไอ้สิ่งเลวร้ายที่สุดมันอยู่ที่อัตตา อัตตา เพราะว่าอัตตาแล้วมันก็มี อัตตนียา คือตัวกู แล้วมันก็ต้องมีของกู มันก็ยึดมั่นเป็นตัวกู เป็นของกู มันก็เห็นแก่ตัวกู นี้เรียกว่าอวิชชาเต็มที่ เห็นอัตตาเป็นตัวกู อัตตาเป็นของกู ก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว
ศาสนาทั้งหลายเกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็เพื่อจะสอนมนุษย์ให้ไม่ยึดตัวกูเป็นความเห็นแก่ตัว เพราะปัญหามันเกิดจากความเห็นแก่ตัว เมื่อมนุษย์ยังไม่มีความเห็นแก่ตัว ปัญหาไม่มี เมื่อมันยังไม่นุ่งผ้าเป็นมนุษย์สมัยหิน ปัญหามันเกือบจะไม่มี หรือจะเรียกว่ามันโง่ก็ตามใจ พอมันค่อยฉลาด ฉลาดขึ้นมา มันก็มีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ จนเป็นปัญหาร้ายแรง มาถึงปัจจุบันนี้ร้ายแรงที่สุด ปัญหาเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัว โดยสัญชาตญาณของสัตว์มีชีวิตมันก็มีตัว มีตัวแต่ในระดับตัวกลางๆ ยังไม่เห็นแก่ตัว
พอเกิดมาจากท้องแม่ มันได้สัมผัสนั่นนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเริ่มๆ ค่อยๆ หลงในตัว แล้วก็เห็นแก่ตัวๆ ทารกไม่มีความเห็นแก่ตัวมาแต่ในท้อง มันเป็นเพียงชีวิตเฉยๆ จะมีแต่ความรู้สึกก็ว่าเป็นตัวสำหรับที่จะเป็นเครื่องรักษาเอาไว้ให้มันมีอยู่เป็นหลัก เป็นประธานว่า มีสิ่งที่ต้องรักษาเอาไว้ มีตัว อย่างนั้น แต่ยังไม่เห็นแก่ตัว พอออกมาจากท้องมารดาแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะสัมผัสนั่น สัมผัสนี่ มีความรู้สึกในทางบวก ก็ยินดีๆ เกิดกิเลสประเภทโลภะบ้าง ราคะบ้าง ที่ไปถูกเข้าที่ไม่น่ายินดีเป็นฝ่ายลบ มันก็เกิดความโกรธบ้าง เกิดโทสะบ้าง นี่มันเพิ่งเกิด ความเห็นแก่ตัวมันเพิ่งเกิด ถ้าว่าบวกบ้างลบบ้าง ไม่รู้ว่าสุขหรือทุกข์นี่ มันก็โง่เท่าเดิมๆ มันก็ยึดถือตัวกูอย่างโง่ๆ ไปเท่าตามเดิม ฉะนั้นจะพูดว่าเรานี่ มีชีวิตขึ้นมา พัฒนาขึ้นมาตามลำดับนี้ ก็เพื่อพ้นจากตัวกู คืออัตตา และก็จะพ้นจากความเห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัวเป็นภาษาไทย ภาษาบาลีว่าความเห็นแก่ตัวเป็นอย่างไร ค้นเกือบตายในพระไตปิฎกมันก็ยังไม่พบ ที่จะให้ว่าเห็นแก่ตัวตรงๆ นี่ยังไม่เคยพบ มันก็มีอัตตา ตัวตน อัตตนียา ของตน อัตตวาทุปาทาน ความยึดถือว่ามีตัวตน มันยังไม่เข้มข้นจนถึงกับเห็นแก่ตัวๆ จนไม่เห็นแก่สิ่งใด แต่ได้พบคำๆ หนึ่ง พอใจมาก ใช้แทนกันได้ คือคำว่า “อัตตัตถปัญญา” นี้สำคัญมากนะ อัตตัตถ อัตตัตถปัญญาปัญญาเห็นแต่ประโยชน์ของตน ปัญญารู้แต่ประโยชน์ของตน “อัตตะ” ตน “อัตถะ” ประโยชน์ “ปัญญา” คือปัญญา ปัญญารู้แต่ประโยชน์ของตน อัตตัตถปัญญาไม่รู้ประโยชน์ของสิ่งอื่น ของสิ่งใดเลย นอกจากประโยชน์ของตน มันก็เห็นแก่ตน นี่คือคำนี้จะใช้กับคำว่าเห็นแก่ตน selfish ที่ฝรั่งมันเรียกกันทั่วโลก มันก็จะตรงกับคำว่า อัตตัตถปัญญา ปัญญาที่รู้แต่ประโยชน์ของตน อสุจี มนุสสา เป็นมนุษย์อสุจิ
พระบาลีตอนนั้นเป็นคำกลอน อัตตัตถปัญญา อสุจี มนุสสา ผู้มีปัญญารู้แต่ประโยชน์ของตน เป็นมนุษย์อสุจิ คำว่า “อสุจิ” ในภาษาบาลีนั้นหมายความว่า สิ่งที่น่ารังเกียจเดียดชังที่สุดถึงที่สุด เรียกว่าอสุจิ มนุษย์ที่มีปัญญารู้แต่ประโยชน์ของตนเป็นมนุษย์อสุจิ นี้จะพ้นจากนี้ได้มันก็ต้อง... ต้องเลิกไอ้ตัวตนนั่นแหละ มันจะไม่มีที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตน มันก็เห็นแก่สิ่งที่ตรงกันข้าม เห็นแก่ความไม่ใช่ตน เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ความไม่ปรุงแต่ง เห็นแก่ความสงบสุข นี่ปัญญาในพระพุทธศาสนา เห็นไอ้ความดับสนิท ความหลุดพ้น หรือความเป็นอิสระ หรือมรรคผลนิพพาน เรียกว่าเห็นแก่ความดับก็ได้ เห็นแก่ความดับสนิทแห่งปัญหาด้วยประการทั้งปวง
นี่เราช่วยกัน ช่วยตัวเอง ช่วยตัวเองให้หลุดพ้นออกมาจากความเป็นมนุษย์อสุจิ ให้เป็นมนุษย์สุจิ คือสะอาด สะอาดก็หมดของสกปรก คือตัวตน หรือความเห็นแก่ตน แล้วเราก็จะตอบได้เองทันทีว่า เรากำลังต้องการอะไร เราควรจะต้องการอะไร เราก็พ้นจากความเป็นแรดที่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ต้องการอะไรก็ไม่รู้ มันก็เป็นความเสียหายทางจิตใจ ทางวิญญาณ ถึงที่สุดที่ว่าไม่รู้ว่าต้องการอะไร มาศึกษาธรรมะพุทธศาสนานี่ก็ไม่รู้ว่ามันเพื่ออะไร มันก็เพื่อสิ่งที่ตนรัก เพื่อสิ่งที่ตนหลงมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น มันก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก มันไม่ใช่เพื่อต่อสู้ ต่อต้าน หรือแก้ไขในสิ่งที่ตนรัก หรือสิ่งที่ตนหลง จะไม่ให้เรียกว่าเป็นแรดแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
ศึกษาพุทธศาสนาเพื่อหมดอวิชชา หมดอวิชชาก็มีความเป็นอิสระ หลับตามองดูเถิด ไอ้คนหนึ่งมันขี่ควาย ไอ้คนหนึ่งมันแบกควาย สมัครเป็นคนไหน ไอ้คนหนึ่งมันแบกควาย แบกควายไป แต่อีกคนหนึ่งมันขี่ควายไป คุณจะเลือกเป็นคนไหน จะเลือกเอาเป็นคนไหน คนหนึ่งมันขี่ควายแล้วกั้นร่มด้วย ฝนก็ไม่ตกสู่มัน แล้วมันก็ไม่ต้องเดินด้วย แต่คนหนึ่งมันแบกควาย มันแบกควายจมโคลนอยู่นั่น ระวัง พวกเรามันจะเป็นอยู่ใน ๒ อย่างนี้ได้ ควรจะเลือกเอา ก็ต้องขี่ควาย ก็คือขี่อวิชชา อวิชชา ฆ่าอวิชชา อยู่เหนือนอวิชชา อย่างนี้เรียกว่าขี่ควาย ถ้ามันโง่ มันมีอวิชชา มันก็อยู่ข้างใต้ควาย มันก็แบกควาย แล้วมันจะอวดดีด้วย แล้วมันจะไม่เชื่อใครด้วย แล้วมันจะเอาแต่แบกควาย แบกควาย เทิดทูนอวิชชาอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมปล่อย แล้วจะหมดอัตตาได้อย่างไร ไม่หมดอัตตาแล้วจะมีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุได้อย่างไร มันก็ต้องเห็นเป็นไปไม่ได้ มีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุนี่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่เข้าใจคำพูด
เข้าใจคำพูดเสียมันก็หมดปัญหา มีชีวิตโดยไม่มีอายุก็คือ ไม่มีอัตตาอันเป็นที่ตั้งแห่งอายุ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา กำจัดสิ่งที่เรียกว่าอัตตาออกไปเสียได้ ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า อัตตวาทุปาทาน มีอุปาทานยึดมั่นในสิ่งใดว่าเป็นอัตตา ยึดมั่นในสิ่งใดจนปากพูดว่าอัตตาบ้าง อัตตนียาบ้าง คือเป็นตัวกูบ้าง เป็นของกูบ้าง แล้วมันก็มีความเคยชินที่พูดว่าตัวกูบ้าง ว่าของกูบ้าง เป็นอหังการะ เป็นตัวกูบ้าง เป็นมมังการะ เป็นของกูบ้าง เกิดความเคยชินเป็นนิสัยๆๆ นิสัยสันดานร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เรียกว่ามานานุสัย ความเคยชินที่จะหมายมั่นว่าตัวกูบ้าง ว่าของกูบ้าง จริงไม่จริง ตัวเองก็ได้ ผู้อื่นก็ได้ ดูตั้งแต่ลูกเด็กๆ ขึ้นไป มันมีความเคยชินที่จะ... ปากพูดออกมาว่าตัวกูบ้าง ของกูบ้าง เพราะมันมีอนุสัยแห่งความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ เรียกเป็นบาลียาวหน่อยนะ อหังการะ มมังการะ มานานุสัย มันยาวอย่างนี้
อหังการะ มมังการะ มานานุสัย ละความเคยชินแห่งมานะว่าตัวกู ว่าของกู ได้แล้วก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าละหมดเป็นพระอรหันต์ ถ้าละได้น้อยหน่อยก็เป็นพระอริยบุคคลชั้นรองๆ ลงมา น้อยลงมาอีกก็เป็นปุถุชน ปุถุชนชั้นดีๆ อย่าเป็นปุถุชนชั้นแรดเลย มันเกินไป ชั้นดีๆ พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คือมีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู มันน้อยหน่อย มันน้อยหน่อย
นี่คือสิ่งที่เป็นวัตถุประสงค์ของการเป็นพุทธบริษัท แล้วพุทธบริษัทก็ยังไม่รู้จัก พุทธบริษัทยังต้องการให้รดน้ำมนต์ ปีหนึ่งๆ มาที่นี่ ที่มาขอให้รดน้ำมนต์มากเหลือเกิน อาตมาไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร ก็ได้แต่ว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำๆ เขาก็ชักจะสงสัยว่า เอ..วัดนี้ทำไมถึงไม่ทำ แล้วก็บางทีก็ให้เป่าหัว ให้เป่าหัวเป็นผู้หญิงก็มี ให้ช่วยเป่าหัว บอกทำไม่เป็น ไม่เชื่อๆ แล้วก็ไม่อยากเรียน แล้วก็ทำไม่เป็น เป่าหัวไม่เป็น มันก็ไม่เชื่อว่าเป่าหัวไม่เป็น แต่เราก็ไม่เชื่อและก็ทำไม่เป็น แล้วไม่อยากจะทำ ถ้าเป็นพุทธบริษัทที่ยังต้องรดน้ำมนต์ ต้องเป่าหัวอยู่แล้ว มันก็เป็นแรดเกินแรด แรดที่เกินกว่าแรด จะเอากันยังไง มีที่นี่ เดือนๆ ปีๆ มีเยอะแยะ ทั้งปีแล้วก็มีหลายร้อยราย ให้รดน้ำมนต์ ให้เป่าหัว มาถึงก็ถามว่าไหนล่ะ โอ่งน้ำมนต์อยู่ไหน เราบอกว่าไม่ได้ทำ ไม่มี ในที่เลี้ยงปลา เอาสิน้ำมนต์
มันทำกันไม่ไหวไอ้เรื่องที่ว่า มันตรงกันข้ามเลย มันไม่อยากจะรู้ธรรมะแม้แต่นิดเดียว ต้องการแต่ให้รดน้ำมนต์ ให้เป่าหัวเท่านั้น แล้วก็จะเจริญรุ่งเรือง แล้วที่มากอีกๆ มากกว่านี้อีกนะ ยังมากกว่านี้อีกนะ อีกพวกหนึ่ง ให้พร ขอให้พร ขอพร ให้พร อันนี้มันจะมาทำให้กูบ้า กูจะไปให้พรมึงได้ยังไง เพราะกูยังต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา ไอ้มึงก็ต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา กูจะไปฝืนมึงได้อย่างไร ก็ต้องบอก ไปปฏิบัติธรรมะปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง ถูกต้อง มันก็จะเป็นพร เป็นพรที่แท้จริง มันก็จะเจริญ เจริญขึ้นมาถ้าปฏิบัติธรรมะให้ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ นั่นแหละคือตัวพรที่แท้จริง
ไอ้พรที่ขอแล้วให้ ขอแล้วให้ มันเป็นลมๆ แล้งๆ ได้กันมากจนไม่มีโกดังจะใส่อยู่แล้ว มันให้กันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ให้พรๆ จนไม่มีโกดังจะใส่อยู่แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น นี่มันจะมาเกณฑ์ให้เราโง่ มีอำนาจเหนือกฎอิทัปปัจจยตา ให้พรใครได้ สั่งให้ใครเป็นอะไรได้ตามที่เขาต้องการ เราไม่เอา เราไม่โง่ถึงขนาด เพราะว่าตัวเราเองก็ยังต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา
นี่สถานะของความเป็นพุทธบริษัท มันมีอยู่อย่างนี้ แล้วจะไม่ให้เรียกว่าเป็นแรด แล้วจะให้เรียกว่าอะไร โกรธก็โกรธ อยากโกรธก็โกรธ มันต้องเรียกด้วยคำที่เหมาะสมที่ถูกต้องว่ามันมีลักษณะที่เขาสมมต สมมตให้เรียกว่าเป็นแรด ในบรรดาสัตว์ที่โง่เขลา งมงาย หลับหูหลับตา ไม่มีอะไรเกินแรด มันก็ยังเป็นแรด แรดมันก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ใครไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรก็ต้องเป็นแรด ระวังให้ดีๆ
ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ ที่ได้ยินเสียงอาตมาทั้งหมดนี้ ไปรีบไปทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งเสียว่าต้องการอะไร ต้องการอะไร ควรจะต้องการอะไร เดี๋ยวนี้เมื่อยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร ก็เป็นแรดเหลือเกิน ยังเป็นแรดเหลือเกิน ต้องการความดับทุกข์ก็ยังดีหน่อย ต้องการความไม่เกิดทุกข์ นี่ฉลาดกว่า ดับทุกข์มันยุ่ง ไม่เกิดทุกข์มันไม่ยุ่ง ก็อะไรหล่ะ ก็ความรู้ที่ถูกต้อง การปฏิบัติที่ถูกต้อง มันก็ทำไม่ให้เกิดทุกข์ ความรู้ที่ถูกต้องที่สูงสุดอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่รู้ว่า โอ้... มันไม่ใช่อัตตา มันไม่ใช่ตัวตน มันไม่ใช่อัตตา มันเป็นอวิชชาทำให้คิดว่าเป็นอัตตา และเป็นมาโดยสัญชาตญาณก็มีเป็นทุนเดิม เป็นเดิมพัน แล้วก็ถูกแวดล้อม แวดล้อมให้ เข้าใจว่ามีอัตตา
พยายามตั้งบทเรียนขึ้นมาตามลำดับๆ สูงขึ้นๆ เพื่อจะกำจัดอัตตาเสีย มันก็ยากนะที่จะให้รู้ รู้ถึงความจริง เดี๋ยวนี้มันก็ต้องคลำไปจากความโง่ คลำเข้าไปจากข้างนอก อัตตาๆ มาจากอะไร ตาเห็นรูป ระบบประสาทตาเห็นรูป มันก็ว่ากูเห็น กูมาแต่ไหน กูเห็นรูปนี่กูมาแต่ไหน มันต้องมีการกระทบทางอายตนะก่อนมันจึงเกิดเห็นรูป พอเห็นรูปแล้วมันจึงโง่ว่ากูเห็นรูป ฉะนั้นตัวกูมันเป็นผีหลอก เพิ่งเกิด เกิดมาตามการปรุงแต่งของไอ้การเห็นรูป ตัวกูมันไม่ได้เกิดอยู่ก่อน มันไม่ได้รออยู่ก่อน มันมีการกระทบตามธรรมชาติทางอายตนะโดยทางตา แล้วจึงว่ากูเห็นรูป ศึกษาข้อนี้ให้มาก
ถ้าตาเห็นรูปก็อย่าว่ากูเห็นรูปสิ ว่าตาเห็นรูปสิ ตาเห็นรูปแล้วสติปัญญาหรือจิตใจควรทำอย่างไร จัดการไปอย่างไร ก็เป็นเรื่องของจิตของสติปัญญา ไม่ต้องเป็นเรื่องของกู เพราะว่ากูเป็นสัตว์มาทีหลัง มาตามหางความโง่ มีการกระทำใดๆ อย่างไรแล้วมันก็ยังเกิดตัวกูทำ หรือได้เสวยรส เสวยอารมณ์ อร่อยไม่อร่อย เป็นสุขเป็นทุกข์เสียก่อน มันจึงจะเกิดความรู้สึกว่ากูอร่อย หรือกูไม่อร่อย กูนี้มันเป็นผี เป็นมายา ลากหางมาจากการสัมผัสบ้าง จากการกระทำบ้าง จากการเสวยรสแห่งการกระทำบ้าง
ถ้ามันเป็นตัวกูจริงๆ มันก็ควรมีอยู่ก่อน นี่มันต้องเกิดนี่ เพิ่งเกิดมามีการกระทบทางตา กระทบทางหู กระทบทางจมูก เป็นต้น มันโง่ พื้นฐานว่าตาเห็นรูป มันว่ากูเห็นรูป หูได้ยินเสียงมันว่ากูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นมันว่ากูได้กลิ่น ลิ้นได้รสมันก็ว่ากูได้รส ผิวหนังได้รับสัมผัสมันก็ว่ากูได้รับสัมผัส จิตรู้สึกตามอารมณ์ ตามสิ่งที่มากระทบ มาก็ว่ากูคิด กูคิด นี่เริ่มสังเกตศึกษาให้ดีว่า กู กูไม่ได้มีตัวจริง เป็นเพียงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นมาจากการกระทบทางอายตนะ คือการเสวยอารมณ์ ได้รู้รสของการกระทบ นี่เรียกว่ากู แล้วโดยสัญชาตญาณมันไม่รู้ว่าจะตั้งต้นมาแต่ครั้งไหน พอรู้สึกอะไรกระทบ เด็กทารกในท้องแม่จะรู้สึกแต่เพียงว่ามีอะไรมากระทบ เจ็บ ไม่เจ็บ สบาย ไม่สบาย
ความรู้สึกว่ากูมันยังไม่มีในเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา เพียงแต่ประสาทสัมผัสล้วนๆ ระบบประสาทสัมผัสล้วนๆ มันก็บอกว่าเป็นอย่างนั้นๆ เจ็บหรือไม่เจ็บ มันรู้สึกเพียงเท่านั้น มันไม่ได้คิดว่ากูเจ็บ หรือกูอร่อย หรือกูสบาย แต่เอาสิ พอมันคลอดมาจากท้องแม่แล้ว ในเวลาอันไม่นาน ตามันสัมผัสนั่นสัมผัสนี่ กูมันสัมผัสนั่นสัมผัสนี่ จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสนั่นสัมผัสนี่ ได้รู้รสจากการสัมผัส ถ้าเป็นไปในทางบวกมันก็ดีใจๆ ถ้าเป็นไปในทางลบมันก็เสียใจ ขัดใจ มันเริ่มเรียนรู้อย่างนี้ก่อน พอหนักเข้ามันจึงว่า กู น่ะกู กูดีใจ กูเสียใจ กูขัดใจ หรือว่ากูอร่อย กูไม่อร่อย กูไพเราะ กูไม่ไพเราะ กูเกิดทีหลังแล้วก็รุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้นทุกๆ ครั้งที่มันได้สัมผัสอารมณ์ ออกมาจากท้องแม่แล้วก็สัมผัสอารมณ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพิ่มขึ้นๆ ๆ ทุกคราวที่สัมผัสอารมณ์ เกิดตัวกูครั้งหนึ่งๆ นี้มันจึงเหนียวแน่น เหนียวแน่น เหลือประมาณ เพราะมันตั้งเป็นพันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง ล้านครั้ง
สิ่งแวดล้อมนี่ก็ช่วยแวดล้อมให้เด็กๆ นั้นน่ะหลงผิดว่าเป็นตัวตน เป็นของตน เพราะว่าผู้พูดมันนั่นก็พูดด้วยคำว่าในความหมายของตัวตนทั้งนั้น นี่ของหนูๆ ให้แก่หนู พ่อของหนู แม่ของหนู ตุ๊กตาของหนู อะไรของหนู มันเพิ่มความหมายแห่งตัวตนเรื่อยไปๆ นั่นแหละ เด็กทารกเริ่มได้ยินที่มันเป็นไปตามธรรมชาติมันก็รู้สึกได้เอง เอ้า... นี่เด็กทารกของเราเดี๋ยวนี้เดินได้แล้ว เดินได้แล้ว ไปชนเก้าอี้โครมเข้า หรือไปชนเสาโครมเข้า มันเจ็บ มันก็เกิดตัวกูที่ ๒ ไอ้ตัวกู ฝ่ายนั้นมันทำกูเจ็บ ถ้ามันเจ็บแล้วมันรู้สึกว่ากูเจ็บ แล้วมันโง่ถึงอันที่ ๒ ตัวที่ ๒ ว่าไอ้เสาเป็นตัวตนอันหนึ่ง ฝ่ายตรงกันข้าม หรือเก้าอี้ก็ตาม มันก็เตะเก้าอี้บ้าง เตะเสาบ้าง มันก็โง่ ๒ ชั้น ทีนี้ข้างคนเลี้ยง หรือบางทีพ่อแม่มันช่วยไปตีเสา ช่วยไปตีเก้าอี้อีก มันก็โง่ ๓ ชั้น มันก็เพิ่มความโง่เรื่องตัวกูๆ อย่างนี้ กว่าจะโตเป็นเด็กวัยรุ่น เป็นเด็กหนุ่มสาว มันอัดแน่นเป็นนิสัย หรือเรียกว่าความเคยชิน คืออนุสัย อหังการะ มมังการะ มานานุสัย ความเคยชินแห่งความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวกู เป็นของกู มันก็แน่นแฟ้น
นี่คือสมบัติของปุถุชน ฟังถูกไหม สมบัติของปุถุชนไม่มีอะไร มีแต่ความเคยชินเป็นนิสัยที่จะรู้สึกว่าตัวกู ว่าของกู เอาอันนี้ออกไปค่อยกลายเป็นชั้นดี เอาออกไปหมดกลายเป็นพระอริยเจ้า ความไม่มีตัวกูของกูนั้นเป็นสมบัติของพระอริยเจ้า ความเต็มอัดไปด้วยตัวกูของกูเป็นสมบัติของปุถุชน คือแรดทั้งหลาย อย่า เสียใจเลย เมื่อพูดความจริงแล้วก็ไม่ควรจะโกรธนะ มันไม่รู้จะเรียกว่าอะไรนี่ เพราะมันเต็มไปด้วยความเขลาความหลงสุดขีดและสุดเหวี่ยง ขอสมมตกันว่าให้เป็นแรด
บางทีก็ใช้คำว่า เต่า พอๆ กับแรด เป่าปี่ให้เต่าฟังพอๆ กับเป่าปี่ให้แรดฟัง งั้นเลือกเอาเองจะเป็นเต่าหรือ เป็นแรดก็ตามพอใจ ถ้าไม่อยากเป็นก็เริ่มลืมหูลืมตา เริ่มลืมหูลืมตา เริ่มเห็นว่าไอ้ตัวกู ตัวกู นี้มันเพิ่งเกิดมา เพิ่งเกิดมาเมื่อมีการกระทบอะไรเข้าแล้ว หรือได้ทำอะไรเข้าไปแล้ว หรือรับผลแห่งการกระทำอะไรเข้าไปแล้ว กระทบจนตาเห็นรูปก็เกิดตัวกูเห็นรูป รู้สึกเอร็ดอร่อยก็ตัวกูขึ้นมาแล้ว มันค่อยๆ เกิดตามมาทีหลัง นี้ก็เรียกว่าตามกฎอิทัปปัจจยตาเหมือนกัน ใครจะไปฝืนให้ตรงกันข้ามมันไม่ได้ ไปในทางเป็นทุกข์ มันก็เป็นทุกข์ ไปในทางไม่ทุกข์ มันก็ไม่ทุกข์ พอรู้เรื่องนี้มากเข้าๆ นั่นแหละจะเรียกว่าพุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไอ้ความเป็นแรดหรือความเป็นเต่ามันลดลงๆ ความเป็นคนเป็นมนุษย์มันก็เพิ่มขึ้นๆ พอถึงที่สุดจริงๆ ก็เป็นพระอรหันต์ก็หมดความรู้สึกว่าเป็นอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ไม่เป็นแรด หรือไม่เป็นคน หรือไม่เป็นอะไร ไม่เป็นเทวดา ไม่เป็นพรหม ไม่เป็นอะไรด้วย ไม่เป็นอะไรทั้งหมด ใครต้องการบ้าง นี่มันไม่สนุก มันต้องการจะเป็นอะไรสนุกๆ อยู่ที่นี่ เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นวัยรุ่น เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นนาย เป็นบ่าว เป็นผู้ร่ำรวย เป็นผู้ยากจน ก็แล้วแต่
ถ้าว่ามันหมดความโง่มันก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร หรือมีอะไรที่เป็นอะไร หรือมีอะไรที่เป็นของอะไร มีแต่กระแสแห่งการปรุงแต่งตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ตามอำนาจของธรรมชาติ ที่เรียกว่ากฎของธรรมชาติ หรือเรียกว่าสัจธรรม หรือธรรมสัจจะ ให้เป็นไปอย่างนั้นๆ นี่เราจะจัดการกันอย่างไร เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว อาตมาต้องขอพูดว่าไม่เท่ากันทุกคน ที่บรรดาที่นั่งๆกั เยอะแยะนี่ ไม่เท่ากัน เป็นแรดตัวโตบ้าง เป็นแรดตัวเล็กบ้าง เป็นแรดตัวย่อมๆ บ้าง ไม่เท่ากันทุกคน แล้วแต่อวิชชามันจะมีมากน้อยกว่ากันเท่าไร แต่ปัญหามันเหมือนกันหมด หัวอกเดียวกันหมด คือว่าต้องรีบละอวิชชา ก็จะละความเป็นแรด
ละอวิชชาละความเป็นแรดหมดแล้ว ท่านก็จะเข้าใจคำพูดที่พูดในวันนี้ว่า เรามามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีอายุ เราหลงในอายุ สมโภชอายุ ต่ออายุกันมาก มากๆ แล้ว พอเราค่อยๆ รู้เข้า เราก็ล้ออายุเล่น ล้ออายุเล่นต่อมาก็ถึงกูไม่เอากับมึง เลิกๆๆ พอเลิกแล้วจะทำอะไร มันก็ต้องมีชีวิตอยู่ชนิดที่ไม่มีอายุ คือไม่มีตัวตน ไม่มีตัวกูเสีย ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งการนับอายุ การนับอายุมันนับให้แก่ผู้ที่มีความรู้สึกว่ามีตัวตน ถ้าไม่มีความรู้สึกว่าตัวตน มันก็ไม่มีทางที่จะนับ มันก็ไม่มีอายุ
นี่รู้จักความหลอกลวงของสิ่งที่เรียกว่าอายุ รู้จักความหลอกลวงของสิ่งที่เรียกว่าเวลา ที่เรียกว่าเวลา เวลา เป็นพระอรหันต์แล้วก็อยู่เหนือความมีอายุ อยู่เหนืออิทธิพลของเวลา อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกหรือความเป็นลบ ในทางธรรมะมันพูดกันแต่เพียงว่าความยินดียินร้าย สุขหรือทุกข์ เราอยากจะเรียกแต่คำรวมว่าปัญหา ปัญหาทั้งหลาย อยู่เหนือปัญหาทั้งหลาย ทุกข์ก็เป็นปัญหา สุขก็เป็นปัญหา ดับทุกข์หมดแล้วถ้าไปเอาสุขเข้าอีก สุขก็เป็นปัญหา มันต้องแค่คำว่าเหนือบวกเหนือลบ ภาษาวิทยาศาสตร์ก็ได้ ในทางธรรมะก็เหนือความมีตัวมีตนซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเป็นบวกหรือความเป็นลบ เรื่องมันก็จบ อยู่เหนือความเป็นบวกและเป็นลบแล้วไม่มีทางเกิดกิเลส เพราะมันไม่มีทางที่จะเกิดเวทนาโง่ แล้วก็เกิดตัณหาโง่ แล้วก็เกิดอุปาทานโง่ โง่จนเป็นทุกข์
เอาละสรุปความว่า อาตมาได้พยายามที่สุดแล้วที่จะให้ท่านทั้งหลายเข้าใจไอ้สิ่งต่อท้ายหรือสุดท้ายออกไปๆ หลงอายุ แล้วก็ล้ออายุ แล้วก็เลิกอายุ แล้วก็อยู่โดยไม่ต้องมีอายุ ถ้าเข้าใจมาตามลำดับๆ ก็จะดีมาก กระทั่งว่าพ้นดีหมดปัญหา ไอ้ดีนี่ก็อย่าไปเอากับมันนัก บ้าดี เมาดี หลงดี เป็นแรดตัวโตเหมือนกันล่ะ ไม่บ้าดี ไม่เมาดี ไม่หลงดี แต่เมื่อพูดตามธรรมดามันก็ต้องพูดอย่างนี้ไปทีก่อนล่ะ คือว่าค่อยดีขึ้น ดีขึ้นๆ จนกว่าจะเหนือๆ ดี คือเหนือบวกและเหนือลบ นี่มันก็จบกันที่ตรงนี้ มีชีวิตโดยไม่ต้องมีตัวตน แล้วก็ไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ มันก็ไม่ต้องมีอายุ มันก็อยู่เหนือความมีอายุ เรียกว่าจิตรู้จักสิ่งที่เป็นอมตะไม่รู้จักตาย หรือเป็นนิรันดรอนันตกาล เกิดมาทีหนึ่งไม่เสียชาติเกิด เพราะได้รู้จักสิ่งที่เป็นนิรันดร เหนือบวกเหนือลบ
เอาละ ทีนี้ก็เลือกเอาเอง ชอบหรือไม่ชอบ เอาหรือไม่เอา ไม่มีเรื่องจะพูดแล้ว เพราะมันได้พูดมาจนถึงเลิกตัวตนแล้วนี่ ก็ต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีตัวตน คนโง่มันก็ว่าบ้า เป็นไปไม่ได้ มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีตัวตน หรือว่าถ้าอยากจะทำให้อะไรมันก็ไปฆ่าตัวเอง มันก็จะพูดขึ้นมาอย่างนั้น แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น มันต้องหมดความโง่ว่าตัวตน หมดความโง่ว่าตัวตนๆ ไปเรื่อย เรื่อยๆๆ จนหมด หมดเลย ก็มีชีวิตอยู่ด้วยความว่าง ว่างจากตัวตน มันก็คือว่างจากทุกสิ่ง เพราะไม่มีตัวตนที่เป็นที่ตั้งแห่งปัญหา ว่างจากตัวตนเสียได้ คือว่างจากทุกสิ่ง
ฉะนั้นหลักธรรมะจึงสรุปความว่า นิพพานว่างอย่างยิ่ง คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคสรุปความข้อนี้ไว้ว่า นิพพานว่าง ว่างๆๆๆๆ จนไม่รู้จะพูดอะไร เรียกว่านิพพานว่างอย่างยิ่ง ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ก็เพราะมันว่างจากความทุกข์ ฉะนั้นคำว่าความสุขที่พระพุทธองค์ตรัสนี้มีความหมายอย่างอื่น ไม่ใช่มีความหมายอย่างลูกเด็กๆ หรือวัยรุ่น หรือว่าคนหนุ่มสาวที่กำลังหลงใหลในกามารมณ์ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ความสุขอย่างนั้น
ความสุขคือว่างจากทุกข์ หมดความทุกข์ หมดปัญหาๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์จะดีกว่า ไม่สุขไม่ทุกข์คือความสุขอย่างยิ่ง ไม่ชั่วไม่ดี คือดีอย่างยิ่ง ถ้าพูดอย่างชาวบ้านพูด พูดอย่างสมมต แต่ถ้าพูดอย่างพระอริยเจ้าพูด มันไม่ดีไม่ชั่วคือมันว่าง ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ว่าง ไม่ชั่วไม่ดีก็ว่าง ไม่บุญไม่บาปก็ว่าง ไม่ได้ไม่เสียก็ว่าง ไม่แพ้ไม่ชนะก็ว่าง ไม่หัวเราะไม่ร้องไห้ก็ว่าง ไม่ยินดีเสียใจยินร้ายก็ว่าง ว่าง คนโง่มันก็ว่า โอ้ย... ไม่มีรสชาติอะไรๆ ยังต้องเติมเกลือเติมน้ำตาลอะไรกันอีกมาก กูไม่เอาๆ จะทำยังไงได้ ความว่างนั้นไม่ใช่จืด ไม่ใช่จืดชืดอย่างนั้น มันเหนือรสทุกอย่างก็ได้ หรือว่าจะผสมอยู่ด้วยทุกอย่างทุกๆ รส มันผสมกันเป็นรสอันนี้ก็ได้
เอาล่ะ ไอ้ตอนเช้านี้ก็คิดว่าจะพูดเรื่องนี้ เพียงเรื่องเดียวนี้ว่า มาเข้าใจคำว่า หลงอายุ แล้วเลิกล้ออายุ แล้วเลิกอายุ แล้ว ก็มาอยู่กับความไม่มีอายุ เข้าใจได้เท่าไรก็คุ้มค่ามาเท่านั้น ถ้าไม่เข้าใจเสียเลยก็ขอเชิญเป็นแรดกลับไปได้ เท่าเดิมหล่ะ ถ้าให้พูดตรงๆ ก็ต้องว่าโง่เท่าเดิมๆ กลับไปบ้าน ถ้าฟังถูกเท่าไรมันก็ลดความโง่ลงไปได้ มันก็พาความโง่ไปบ้าง น้อยกว่าเมื่อมา ก็คือทิ้งไว้เสียที่วัด กับส่วนหนึ่งเอาไปบ้าน เอาไปบ้านแต่น้อยน้อยกว่าเดิม
เข้าใจได้ไหม หรือว่าพอไหมเพียงแต่พูดว่ามีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ คือไม่มีอัตตา ไม่มีอัตตาก็คือไม่มีที่ตั้งแห่งปัญหา ไม่มีที่ตั้งแห่งกิเลส ไม่มีที่ตั้งแห่งความทุกข์ หรือจะพูดอีกทีว่า ที่ตั้งแห่งกิเลสและความทุกข์ลดลง ลดลงๆๆ จนหมด พอหมดแล้วกิเลสก็ไม่มีที่ตั้ง ความทุกข์ไม่มีที่ตั้ง ก็เรียกว่าที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ ทุกขัสสะ อันโต ทุกขะ อันตะ (นาทีที่ 1.44.05) ทุกข์ที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ เป็นความมุ่งหมายแห่งพรหมจรรย์ หรือพระพุทธศาสนา ก็ขอบอกให้เลยว่า ถ้าถามว่าต้องการอะไร บอกว่าต้องการที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ ยังดีกว่า แม้ยังไม่เข้าใจ บอกว่าอย่างนั้นยังกู้หน้าได้ว่า ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ข้าพเจ้าต้องการที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ นี่ใช้คำตามธรรมเนียม ตามระเบียบตามธรรมเนียม
แต่อาตมาชอบใจอยู่คำหนึ่งว่าสิ้นสุดแห่งปัญหา ดีกว่า สิ้นสุดแห่งความทุกข์ เอ้า..ความสุขเหลืออยู่ มันก็เป็นปัญหาขึ้นมาอีก เป็นปัญหากับความสุข รบกับความสุขอีก ถ้าให้หมดทั้งสุข และหมดทั้งทุกข์ เรียกว่าหมดปัญหาดีกว่า ข้าพเจ้าต้องการความหมดสิ้นแห่งปัญหา ในพระบาลีก็มีอยู่หลายแห่งเหมือนกัน เท่าที่นึกได้ใช้คำว่าสิ้นสุดแห่งปัญหา สิ้นสุดแห่งสิ่งที่เป็นปัญหา
หมดปัญหาก็คือว่าหมดสิ่งที่ไม่รู้ สิ่งที่ไม่รู้มันได้รู้หมดแล้ว มันก็หมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เป็นความลับคือยังไม่รู้ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็เรียกว่า อรหะ อรหะ “อะ” แปลว่า ไม่ “รหะ” แปลว่า ความลับ “อรหะ” แปลว่า ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เป็นความลับ อรหะคือพระอรหันต์ แต่ไม่แน่ว่าอยากเป็นพระอรหันต์นั้น เดี๋ยวเขาจะหาว่าอวดดี อย่าเพิ่งใช้คำอย่างนั้น ใช้คำว่าต้องการความสิ้นสุดแห่งปัญหา เหนือบวกเหนือลบโดยทุกๆ ประการ
เสียเวลา ๒ ชั่วโมงตอนเช้านี้ก็พอกันที พูดแต่เพียงให้เข้าใจว่ามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีอายุนั้นหมายความว่าอะไร มีชีวิตอยู่โดยไม่มีที่ตั้งแห่งปัญหา อายุเป็นที่ตั้งแห่งปัญหา อัตตาเป็นที่ตั้งแห่งอายุ อายุเป็นที่ตั้งแห่งปัญหา เลิกเสียทั้งหมด มันก็หมดทั้งอายุ หมดทั้งอัตตา หมดทั้งปัญหา หมดทั้งสิ่งที่รบกวน จิตใจเกลี้ยงเป็นอิสระเหนือสิ่งรบกวน มันก็ควรจะรู้จักแล้วก็ต้องการด้วยสติปัญญา ต้องการด้วยสติปัญญา อย่าต้องการด้วยตัณหา ให้ได้สิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้นๆ
มีลมหายใจเข้าออกสะอาดสงบเย็นไม่มีปัญหาก็ใช้ได้แต่ละวันๆ หายใจเข้าหรือหายใจออกก็ตาม มีแต่ความสงบเย็นไม่เป็นปัญหา นี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าสนใจก็ค่อยพูดกันคราวอื่น คราวนี้ยุติไว้แต่เพียงว่ามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีอายุ คือมีอัตตา ต้องหยุดนี่ไม่ใช่เพราะว่าเรื่องมันจบ แต่เพราะว่ามันหมดแรงที่จะพูด เอาไว้ค่อยพูดกันตอนบ่ายสามโมงอีกทีก็ได้ ถ้ายังมีแรงก็พูดกันตอนกลางคืนอีกทีก็ได้ ตอนนี้ยอมแพ้แล้ว ไม่มีแรงพูด