แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราเหล่าสาธุชนทั้งหลาย ปีนี้ขอโอกาสพูดส่งท้ายปีเก่ากันที่นี่ ไม่มีแรงจะขึ้นธรรมาสน์ ไม่มีแรงจะตั้งนะโมเสียแล้ว ขอโอกาสเปลี่ยนที่พูดมาที่นี่ เพื่อความประหยัดเรี่ยวแรงบ้าง อะไรบ้าง เดี๋ยวนี้เราจะมาพูดกันในลักษณะที่เรียกว่าส่งท้ายปีเก่า ขอให้ทำให้สำเร็จประโยชน์ คืออย่าพอสักว่าเป็นพิธี เป็นพิธีมันไม่ได้อะไร มันน่าหัว จะส่งท้ายปีเก่า หรือจะต้อนรับปีใหม่ก็ขอให้ทำให้สำเร็จประโยชน์
คำว่าส่งท้ายปีเก่าก็ควรจะหมายความว่า ส่งไอ้สิ่งที่มันไม่ควรจะมีอยู่ด้วย หรือเลวร้าย เป็นต้นนี่ออกไป แล้วก็ให้สิ่งใหม่ที่ดีกว่านั้นน่ะเข้ามาแทน นี่เราพูดเอาเอง เราว่าเอาเอง เพราะว่าโดยที่แท้แล้วธรรมชาติมันส่งของมันอยู่เรื่อยตลอดเวลาแหละ แต่เรามันโง่ เรามันหลับตา เรามันไม่มองเห็น ที่ธรรมชาติของมันไหลเรื่อยอยู่ตลอดเวลา ผลักไสของเก่าไป ของใหม่มา แล้วก็ผลักไสเป็นของเก่าไป ของใหม่มา เปรียบเสมือนหนึ่งว่ามันมีนาฬิกาเดินอยู่ในทุก ๆ สิ่งในร่างกายเราก็ดี ในโลกทั้งโลกก็ดี มันมีนาฬิกาประจำแล้วก็เดินอยู่ตลอดเวลา ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่าได้แก่อะไร คนโบราณเขาเรียกว่า พระอนิจจัง พระอนิจจตา พระอนิจจังมันไหลอยู่ตลอดเวลา มันไหลอยู่ตลอดเวลา มันจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ เช่นว่า เด็กมันก็โต ๆ ขึ้นทุกวัน ออกมาจากท้องแม่แล้วก็โตขึ้นไปทุกวัน จนกระทั่งแก่เฒ่าเข้าโลงไป โดยส่วนย่อยก็ยังเป็นอย่างนั้น คือส่วนแต่ละส่วน ๆ ของร่างกายนี่มันก็เหมือนกับนาฬิกาซึ่งเดิน ๆ อยู่ตลอดเวลา หิวก็เดินเลื่อนไปหากิน กินแล้วก็อิ่ม อิ่มแล้วมันก็นอน ทีนี้พอนอนแล้วมันก็ตื่นได้ ถ้านาฬิกาไม่เดิน คุณก็ไม่ต้องตื่น นอน ๆ ตายไปเลย นี่, อะไรมันมาปลุกให้ตื่นเล่า ให้ตื่นให้ทำอะไรต่อไป ทำอันนั้นเสร็จแล้วทำอะไรต่อไป ทำอะไรต่อไป ทำอะไรต่อไป เดี๋ยวปวดปัสสาวะ เดี๋ยวปวดอุจจาระ เดี๋ยวก็...คือว่าเปลี่ยนเรื่อยไป นาฬิกามันเดิน นาฬิกาเรือนนี้สำคัญมาก ขอให้ทุกคนรู้จักไว้ มีเฉพาะของคน ๆ แต่ละคน ๆ เป็นคน ๆไป ในคนก็ดี ในสัตว์ก็ดี ในต้นไม้ก็ดี แม้แต่ในโลกทั้งโลกนี้ก็ดี มันเปลี่ยนไปเรื่อย ทั้งจักรวาลนี้ กี่โลก ๆ รวมกันเป็นจักรวาลมันก็มีเลื่อนไป ๆๆ ไหลไป ๆ เหมือนกับนาฬิกามันเดิน นี่เรียกว่ามันเดินของมันอยู่เอง มันใหม่ เก่าเป็นใหม่ เก่าเป็นใหม่ เก่าเป็นใหม่ แล้วจะดูว่าใหม่เป็นเก่า ใหม่เป็นเก่า ใหม่เป็นเก่า อยู่ทุก ๆ ขณะจิตก็ว่าได้ นี่คือธรรมชาติ มันขึ้นปีใหม่อยู่ทุก ๆ ขณะจิต นี่เรามาบัญญัติเอาตามพอใจของเรา เอาเรื่องของการกำหนดเวลามาเป็นเครื่องกำหนด เพราะมันโง่นี่ มันกำหนดทุกขณะจิตไม่ได้ ต้องเอาฝนตกฤดูหนึ่งเป็นเครื่องกำหนด หลายฤดู สองสามฤดูแล้วปีหนึ่ง มันโง่ขนาดนั้น กำหนดให้ละเอียดว่าเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะจิต มันกำหนดไม่เป็น มันจึงต้องใช้เวลาเป็นปีหนึ่ง ปีหนึ่ง มันโง่เท่าไร ไม่ใช่ปีหนึ่งมันเพิ่งเปลี่ยนไปครบปี ไม่ใช่ มันเปลี่ยนอยู่ทุกขณะจิตแหละ แล้วนาฬิกานี่มันเดินอยู่ทุก ๆ ขณะจิต เราจะต้องรู้ว่าอะไรที่มันเปลี่ยน ที่มันเปลี่ยน คุณยายแก่ ๆ เขาเรียกว่า พระอนิจจัง พระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา ตามแบบของแก นี่มันเปลี่ยนอยู่ทุก ๆ ขณะจิต พระอนิจจังเปลี่ยนอยู่ทุกขณะจิต ไม่ใช่ครบปีจึงจะเปลี่ยนทีหนึ่งนะ มันโง่เอง มันว่าเอาเอง ปีหนึ่งมันเปลี่ยนทีหนึ่ง มันว่าเอง มันเปลี่ยนอยู่ทุกขณะจิต แล้วก็เห็นอยู่ว่ามันเปลี่ยนอยู่ทุกขณะจิต จะต้องต้อนรับ จะต้องแก้ไขให้มันถูกต้องทุก ๆ ขณะจิตอย่างนี้ มันจะดีกว่าที่ว่าปีหนึ่งนี่ต้อนรับกันที เปลี่ยนกันที กี่มากน้อย
จึงอยากจะพูดถึงเรื่องสิ่งที่เรียกว่าเวลา ๆ กันให้เป็นที่เข้าใจบ้าง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวลา ๆ นี่ในทางพุทธศาสนาก็ให้ความสำคัญมาก ให้ความสำคัญมากไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะ ที่จะต้องจัดการกับสิ่งที่เรียกว่าเวลา ๆ นี่ให้ถูกต้อง บางคนโง่นะ ถึงขนาดว่าเวลาไม่มี เวลาไม่มี อะไร มีตัวตนอะไรที่ไหนไหม เป็นเรื่องหลอก ๆ ว่ากันหลอก ๆ ว่าไม่มีเวลา นั่นมันไม่รู้ มันโง่ก็ตามใจมันเถอะ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวลา ๆ นี่มันมีอยู่จริง แล้วมันก็ดุร้าย ดุร้าย ถึงขนาดที่ขบกัดสรรพสัตว์ ฆสติ เวลา ฆสติ ภูตานิ เวลากินสรรพสัตว์ กาโล ฆสติ ภูตานิ กาละ เวลาย่อมกินสรรพสัตว์ กินอยู่ทุก ๆ ขณะจิต เปลี่ยนแปลงทุกขณะจิต แล้วยังมาว่าเวลาไม่มี แต่ขออย่าได้เข้าใจว่าเวลา คือนาฬิกากำหนดดูเวลาเช้า เวลาเที่ยง เวลาบ่าย เวลาวันหนึ่งคืนหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง นั่นหาใช่เวลา ช่วยจำ ช่วยคิดดูนั่นไม่ใช่เวลานะ นั่นมันเครื่องกำหนดเวลา เครื่องวัดเวลา กำหนดเวลาว่านาทีหนึ่งบ้าง ชั่วโมงหนึ่งบ้าง วันคืนบ้าง เดือนบ้าง ปีบ้าง ฤดูกาลบ้าง คือเครื่องกำหนดเวลา ไอ้ตัวเวลาแท้จริงอันนั้นมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นตัว มองไม่เห็นตัว มันจึงกินสรรพสัตว์ได้โดยไม่รู้สึกตัว คือ มันทำให้สัตว์แก่ ๆ ลงไปทุกขณะจิต ทุกขณะจิต หรือว่าใกล้ความตายไปทุกขณะจิต นี่ตัวเวลา เวลา
เมื่อกล่าวตามหลักพระพุทธศาสนา ก็กล่าวได้ว่า ระยะที่ตัณหายังไม่ได้กินเหยื่อ นั่นแหละคือเวลา เมื่อความอยากเกิดขึ้นแล้วในจิตใจ แล้วมันยังไม่ได้ตามที่อยาก สิ่งนั้นแหละที่กัดกินหัวใจนั่นแหละคือเวลา ถ้าอย่ามีความอยาก คือตัณหา แล้วเวลาไม่มี เวลาไม่มีจริง ถ้าผู้ใดเป็นคนธรรมดายังมีตัณหา คือความอยากนั่นอยากนี่ แล้วมันก็อยาก แล้วมันยังไม่ได้ตามที่อยากอันนั้นแหละคือเวลา ระยะที่ตั้งต้นของความอยาก และไม่ได้ตามที่อยาก ตรงนั้นคือเวลา ถ้าผู้ใดไม่มีความอยาก ผู้นั้นไม่มีเวลา เช่น พระอรหันต์ไม่มีตัณหา ไม่มีความอยาก เวลาก็ไม่กินพระอรหันต์ ไม่ขบกัดพระอรหันต์ ไอ้ปุถุชนคนโง่ ๆ นี่มันมีความอยาก อยาก มีความรู้สึกเต็มสำนึกก็มี ใต้สำนึกก็มี กึ่งสำนึกก็มี มันมีอยาก แม้แต่ฝันมันก็ยังอยาก มันก็มีอาการที่ว่ายังไม่ได้ตามที่อยาก ยังไม่สมอยาก ไอ้สิ่งนั้นแหละเรียกว่าเวลา แล้วก็กัด กัด ๆ ผู้ที่อยาก นี่ตัวนี้เรียกว่าตัวเวลา คือระยะที่ยังไม่ได้ตามที่อยาก นี่รุนแรงกว่าอนิจจังที่เปลี่ยนอยู่ทุกขณะเสียอีก อนิจจังมันก็ไปตามแบบของอนิจจัง มันจะไม่ได้กัดใครบ้าง แม้จะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง มันก็ไม่ได้มีลักษณะขบกัด ถ้าเป็นเวลา ๆ แหละมันก็ขบกัด พออยากเท่านั้นแหละ พออยากเท่านั้นมันก็กัด กาโล ฆสติ ภูตานิ เวลานี่มันกินสรรพสัตว์ สพฺพาเนว สหตฺตนา พร้อมทั้งตัวมันเองก็กินตัวเองด้วย กินสัตว์ด้วย นี่คือเรื่องที่เราจะต้องรู้ ถ้าเรากำจัดเวลาได้ก็เป็นพระอรหันต์แหละ เสร็จเรื่องเสร็จราวไป ไม่ต้องมาศึกษาปฏิบัติอะไรให้ลำบากเหมือนอย่างนี้ แต่นี่มันยังโง่ มีกิเลส มีตัณหา มีความต้องการ มันก็ต้องการอยู่ตลอดเวลา แม้แต่หลับก็ต้องการอยู่อย่างในใต้สำนึก ใต้สำนึก หรือบางทีก็ฝันไปเลย ฝันไปเลย มันมีสิ่งที่ทำให้อยาก มันมากมายนัก
โดยตามปกติปุถุชนคนธรรมดาสามัญมันก็มีเรื่องกาม หรือกามารมณ์ สัตว์ชั้นต่ำ พื้นฐานต่ำสุด ต่ำสุดทั่วไปทั้งหมดนี้ก็เรียกว่า สัตว์ชั้นกามาวจร คือมีจิตท่องเที่ยวไปในกาม นี่คนธรรมดาสามัญ ในเรื่องของกามมันมีมากมายนัก เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มันน่ายั่วยวนชวนให้กำหนัด แล้วมันก็มีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างดีมากดีน้อย อย่างอดีตก็มี ปัจจุบันก็มี อนาคตก็มี ไอ้สิ่งที่จะทำให้อยากนั่นน่ะ คือกาม มันมีถึงขนาดนี้ แล้วมันจึงฝังติดอยู่กับกาม กลางวันกลางคืนทั้งหลับทั้งตื่น มีจิตใจฝังติดแน่นอยู่กับกาม เรียกว่าจิตนี้จมอยู่ในกาม กาม คือความใคร่ ก็คือตัณหา ตัณหาก็คือความอยาก อยากอย่างรู้สึกก็กัด ๆ อย่างรู้สึก เจ็บปวด อยากอย่างไม่รู้สึกก็กัดอย่างไม่รู้สึก ตลอดเวลาที่มีความอยากเต็มสำนึก กึ่งสำนึก ใต้สำนึกอะไรก็ตามมันก็กัด ๆๆ อยู่นั่นแหละ นี่เรียกว่าเวลา เวลานั้นกินสรรพสัตว์ ไอ้หมอนี่ไม่มีปีใหม่ปีเก่า กินตลอดเวลาตลอดสายติดต่อกันไป ถ้าเรารู้เรื่องนี้คงจะฉลาดขึ้นมากมาย ดีกว่ารู้เพียงปีเก่าปีใหม่ วันเก่าวันใหม่ เดือนเก่าเดือนใหม่ นั่นมันหยาบมาก นี่มันสมมติกันมาก สมมติอย่างคนหลับตา สมมติไม่รู้ตามที่เป็นจริง ฉะนั้นขอให้รู้ว่ามีความไม่เที่ยง อนิจจตา ไหลเรื่อยไม่มีหยุด ไม่มีหยุดสักขณะจิตเดียว นี่ก็เป็นเวลาชนิดที่ว่าให้เป็นปัญหา ให้สิ่งทั้งหลายล่วงไป ๆ ไอ้ที่เวลาที่มันแสดงบทบาทรุนแรงก็คือมันแสดงความอยากออกมา มันไม่ทันจะได้ตามที่มันอยากนั่นแหละตัวเวลา คือความอยากที่กำลังเผาอยู่ในจิตใจของเรานั่นแหละ ตัวนั่นแหละคือเวลา เวลา ภาษาบาลีเรียกว่าเวลาก็มีเหมือนกัน คำว่าเวลานี่เป็นภาษาบาลีก็มี เรียกว่า กาละ กาโล กาละนี่ก็เรียกเวลา ถ้าเรารู้จักไอ้ตัวเวลานี่ล่ะก็เรียกว่าเรารู้จักลึกซึ้งถึงที่สุด ไอ้เรื่องปีเก่าปีใหม่เป็นเรื่องเด็กเล่น ไม่น่าเกลียด ไม่น่ากลัว ไม่น่าอะไรสักกี่มากน้อย เอ้า, แล้วแต่ว่าเวลานี้ เดี๋ยวนี้ ยุคนี้เรามีการสมมติบัญญัติกำหนดเวลา เรียกว่าปีเก่า ปีใหม่ บ้า ๆ บอ ๆ อะไรก็ไม่รู้ พวกไทยก็กำหนดอย่าง พวกจีนกำหนดอย่าง พวกแขกกำหนดอย่าง พวกฝรั่งกำหนดอย่าง แล้วอย่างไหนเก่าจริง ๆ ใหม่จริง ๆ นี่มันเรื่องของคนที่ว่ามันไม่รู้อะไร ก็ตามสมมติ ๆ กันไป น่าสงสารเด็ก ๆ ตื่นเต้นกันมาก ฉลองกันใหญ่ เล่นหัวกันใหญ่ เต้นรำกันใหญ่ เลี้ยงดูกันใหญ่ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเวลาอยู่ที่ไหน ชีวิตอยู่ที่ไหน ตัวเองอยู่ที่ไหน มันก็ไม่รู้
เดี๋ยวนี้เรามานั่งกันอยู่ที่นี่ ก็พลอยเห่อตามสมมติกับเขาด้วย ประเทศไทยนี้ ก่อนนี้ไม่ได้ขึ้นปีใหม่เดือนมกราหรอก ขึ้นปีใหม่เดือนห้าโน่น แล้วก็ก่อนโน้นไปอีกก็ขึ้นปีใหม่เดือนอ้าย เดือนหนึ่งเดือนอ้ายน่ะขึ้นปีใหม่ ต่อมาเปลี่ยนคติตามพวกอินเดียเปลี่ยนเป็นเดือนห้า ต่อมาตามก้นฝรั่ง เปลี่ยนเป็นเดือนมกรา ดูว่าเวลามันหลอกให้คนเราคิดนึกอย่างไร อ้าว, ทีนี้ก็ดูตัวเวลาที่แท้จริงที่มันไม่ได้มีจุดตั้งต้น คือ ความเปลี่ยนแปลง อนิจตา อนิจจัง ไหลเรื่อย ไหลมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วจะจบเมื่อไรก็ไม่รู้ มีแต่ไหลเรื่อย ไหลเรื่อย มีเหตุมีปัจจัยอยู่ในตัวมันเองก็ไหลเรื่อย มีใหม่ที่ตรงไหน มันใหม่ที่ตรงไหนหละ ใหม่ทุกขณะจิต ทุกขณะจิต ตะครุบไม่ทัน จับไม่ทัน ไอ้เวลาชนิดที่เรื่องของความอยากด้วยแล้ว กัดเอา ๆๆ ต้องการอะไรก็สิ่งนั้นแหละมันกัด เพราะว่าต้องการอะไรแล้วมันยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นเป็นตัวกูเป็นของกู มันก็หนักอยู่บน...ขออภัยคำหยาบคาย หัวกบาล มันหนักอยู่บนหัวกบาลนั่น ความทุกข์ ทุกข์มีสกุลไม่เข้าใจ อาศัยคำนี้แหละ เพราะมันหนักอยู่บนหัวของคนที่ยึดว่าตัวกูว่าของกู นั่นน่ะ คือ ความทุกข์ เพราะความอยาก เป็นตัณหา ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดความยึดถือ คือ อุปาทาน มันก็ยึดถือทั้งหมดทุกอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้องว่าของกู ถ้ามีตัวกูแล้วมันก็มีของกู ข้อนี้มันแน่นอนเหลือที่จะแน่นอน เพราะว่ามันไอ้ตัวกูมันอยู่คนเดียวไม่ได้ ไอ้ตัวกูมันอยู่คนเดียวไม่ได้ มันต้องมีอะไรมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ พออะไรมาเกี่ยวข้องด้วย มันก็เป็นของกูไปหมด ของกูไปหมด ตัวกูเป็นผีหลอกลม ๆ แล้ง ๆ มันคิดว่าตัวกูก็ตั้งอยู่เป็นแกนกลาง ตัวกู อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวกูก็กลายเป็นของกูไปหมด บ้าเท่ากันแหละ ตัวกูกับของกู บ้าเท่ากันแหละ คือเป็นของหนัก ทำให้เกิดทุกข์โดยเสมอกัน ตัวกู ชีวิตของกูก็หนักเท่ากัน ทรัพย์สมบัติของกู เกียรติยศชื่อเสียงของกู อำนาจวาสนาของกู บุตร ภรรยา สามีของกู ๆ นับไม่ไหว ไม่รู้สักกี่สิบอย่างร้อยอย่างพันอย่าง มีตัวกูแล้วก็มีของกู มันต้องมีสิ่งที่มาเกี่ยวข้องเสมอ ฉะนั้นเรารู้จักตัวกู ๆ มันเปลี่ยน ๆๆ มันเหมือนของที่ไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไป แล้วก็มันมีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องก็เป็นของกู ก็ในกระแสที่ไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไปนั่น มันมีสิ่งที่เรียกว่าความอยาก
ถ้าท่านทั้งหลายได้ศึกษาเรื่องกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ท่านก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ ถ้าไม่เคยศึกษามันก็ยากเหมือนกัน ขอเสนอนะว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญในหลาย ๆ แง่ แง่แรกก็คือตัวชีวิตนั่นเอง เป็นตัวชีวิตนั่นเอง ก็เป็นตัวความทุกข์นั่นแหละ ตั้งต้นแต่ว่ามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ซึ่งเป็นคู่ ๆ ๆ กันเข้ามาถึงเข้ามันก็เกิดวิญญาณ รูปมากระทบตาเรียกจักษุวิญญาณ เสียงมากระทบหูเรียกโสตวิญญาณ กลิ่นมากระทบจมูกเรียกว่าฆานวิญญาณ รสมากระทบลิ้นเรียกชิวหาวิญญาณ สัมผัสมาถูกกายเรียกว่ากายวิญญาณ ความคิดนึกมากระทบใจเรียกว่ามโนวิญญาณ ถ้าไม่รู้จักก็โง่ที่สุดใช่ไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่ที่นี่ แล้วมันก็เข้ามากระทบที่นี่ แล้วก็จะเห็นด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหล่านี้ ทำไมจะไม่รู้จัก ถ้าไม่รู้จักก็ต้องเรียกว่าโง่เต็มที ทำไมจึงโง่ เพราะไม่ศึกษา เพราะไม่อยากเรียน ยิ่งพวกนักศึกษาสมัยใหม่เหล่านี้แล้ว มันก็ดูถูกว่าพระพุทธศาสนาครึค่ำ งมงาย กูไม่อยากเรียน มันก็เลยไม่รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อายตนะข้างนอกมากระทบอายตนะข้างในเกิดวิญญาณ สามประการนี้ทำหน้าที่รวมกันอยู่ สามประการนี้ เช่นว่า ตา แล้วก็จักษุวิญญาณทางตา กำหนดอยู่ที่รูป ทั้งสามอย่าง สามอย่างนี้กำหนดอยู่อย่างนี้ก็เรียกว่าผัสสะ ผัสสะ คือการกระทบ ถ้าทางตาก็เรียกว่าผัสสะทางตา ทางหูก็เรียกว่าผัสสะทางหู ทางจมูกก็ผัสสะทางจมูก ผัสสะทางลิ้น ผัสสะทางกาย ผัสสะทางจิตใจ เต็มอัดอยู่ข้างในสับเปลี่ยนกันตลอดเวลา เมื่อยังไม่รู้จักอีก ก็จะให้เรียกว่าอะไร ก็เรียกว่าคนโง่ คนไม่รู้จักสิ่งที่ควรรู้ ไม่สนใจสิ่งที่ควรสนใจ มันก็ไม่รู้ เมื่อมีผัสสะอย่างนี้แล้วก็เกิดเวทนา คือความรู้สึกขึ้นที่ผัสสะนั้น คือรู้สึกว่าน่ารักบ้าง ไม่น่ารักบ้าง หรือกลาง ๆ บ้าง คือพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง พูดเป็นภาษาวิทยาศาสตร์ง่ายกว่า คือเป็นบวกบ้าง เป็นลบบ้าง ไม่บวกไม่ลบบ้าง นี่เรียกว่าเวทนา เวทนา ถ้ามันเป็นบวกก็คือถูกใจ มันก็รัก มันต้องการ ก็ยึดถือ ก็ยึดครอง ก็อยากต่อไปอีก ถ้ามันเป็นลบ มันก็ไม่ยึดถือ มันโกรธ มันเกลียด มันจะฆ่าจะทำลายนั่น ถ้าไม่เป็นบวก หรือไม่เป็นลบมันก็โง่เท่าเดิม มันก็โง่เท่าเดิม แต่ละวัน ๆ มีผัสสะ มีเวทนามากระทบเป็นบวกเป็นลบ ไม่เป็นบวกเป็นลบนี่เรียกว่าเวทนา ครั้นมีเวทนา คือรู้สึกอย่างนี้ คือรู้สึกนะ รู้สึกอย่างนี้ ไอ้ความรู้สึกนั้นก็ทำให้เกิดความรู้สึกต่อไปอีกระดับหนึ่งเรียกว่าตัณหา พูดถึงตัณหาเลยดีกว่า อย่าซอยให้มันละเอียดมากนักเลย เวลามันไม่ค่อยจะมี เวทนาทำให้เกิดตัณหา อยากไปตามสมควรแก่เวทนา เวทนาบวกก็อยากอย่าง เวทนาลบก็อยากอย่าง เวทนาไม่บวกไม่ลบก็อย่างหนึ่ง มันมีความอยากเกิดขึ้นมาจากเวทนา ฉะนั้นเกิดความอยาก ๆๆ ความเท่านั้นแหละ ความ หรือภาวะเท่านั้นแหละ ก็เกิดความโง่ต่อไป คือเกิดรู้สึกว่าตัวกูผู้อยาก กูผู้อยากนี่เรียกว่าอุปาทาน เวทนาให้เกิดตัณหา คือ ความอยาก ความอยากก็ให้เกิดความรู้สึกว่ากูผู้อยาก นี่อุปาทาน แล้วก็บ่มไอ้ความรู้สึกตัวกูผู้อยากให้เข้มข้น ๆ ขึ้นไปจนเป็นภพ เต็มที่แล้วก็เป็นชาติ คลอดออกมาแล้วก็เป็นกูร่าอยู่ นี่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
สำคัญ หรือไม่สำคัญ มันคือตัวชีวิตนั่นเอง ชีวิตของคนแต่ละคน เป็นกระแสปฏิจจสมุปบาท เป็นวงอยู่อย่างนี้ ทำกับมันไม่ถูกมันก็กัดเอาเป็นทุกข์ ทำถูกมันก็ไม่กัดเอา แต่ที่สำคัญที่สุดมันก็อยู่ตรงที่ว่า มันโง่ตลอดสาย มันต้องโง่ตลอดสาย เมื่อตากระทบรูปเกิดจักษุวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณโง่ เพราะมันไม่มีปัญญาไม่มีการฉลาด รวมกันเป็นผัสสะ ก็เป็นผัสสะโง่ ผัสสะโง่แล้วออกมาเป็นเวทนา ก็เวทนาโง่ เวทนาโง่ออกมาเป็นตัณหา คือความอยาก ก็ความอยากโง่ ออกมาเป็นอุปาทานยึดมั่นว่าตัวกู ก็ตัวกูโง่ เป็นภพ เป็นภาวะแห่งตัวกู เหมือนตั้งครรภ์ แล้วครรภ์แก่ ๆๆ ก็เป็นครรภ์โง่ ภพโง่ เขาเรียกว่าภพ แล้วคลอดออกมาเป็นชาติ ก็คือชาติโง่ นี่มันโง่ตลอดสาย มันจึงได้หลงยึดมั่นเอาเป็นตัวกูของกูหมด อะไรมาเกี่ยวข้องกับชาติก็เอาเป็นตัวกูหมด ตัวกูไปเอาอะไรมาเป็นของกูหมด มันก็เอา นี่มันเป็นความทุกข์ และที่มันน่าอัศจรรย์สูงสุดก็คือว่า ไอ้ตัวกูนี่เพิ่งเกิดเมื่อมีความอยาก เมื่อยังไม่มีความอยากยังไม่เกิดความรู้สึกว่าตัวกู มีธรรมชาติเป็นผัสสะ เป็นเวทนา เป็นตัณหามาตามธรรมชาตินี่ พอตัณหา ตัณหาอยาก อยากมันจึงค่อยเกิดความรู้สึกว่าตัวกู ดังนั้นตัวกูก็ไม่ใช่ของมีอยู่จริง เป็นผีหลอก เกิดมาจากความอยาก มีความอยากให้เกิดรู้สึกว่าผู้อยาก ตอนนี้แหละหัวใจของพุทธศาสนาที่ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยิน เพราะเขาไม่เอามาสอน เรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้เขาไม่ได้เอามาสอน ท่านทั้งหลายจึงไม่ได้ยิน ศึกษาเล่าเรียนอะไรมาเยอะแยะ ยี่สิบสามสิบปีก็ยังไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้นขอให้ได้ยินเสียเถิดว่า ไอ้ความอยาก ความอยาก ความอยากเท่านั้น ภาวะแห่งความอยากที่รู้สึกอยู่ในใจสร้างความรู้สึกว่าตัวกู ๆ ผู้อยากมันคืออุปาทาน เพราะฉะนั้นไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกู หรือตัวตนนั้นมันผีหลอกเท่านั้นไม่ใช่ของจริง แต่อย่าทำเล่นกับมันนะไอ้ผีหลอกนี่ มันเจ็บปวดที่สุด มันกัดเอาเจ็บปวดที่สุด เพียงแต่ตัณหา ตัณหาเกิดขึ้นแล้วมีความอยาก แล้วยังไม่ได้สมใจอยากก็กัด ๆ หัวใจไปเลย ที่พูดเมื่อตะกี้ เวลา เวลาน่ะคือสิ่งที่ยังไม่ได้ตามที่อยาก อยากแล้วยังไม่ได้ตามที่อยากสิ่งนั้นคือเวลา กัดกินคน กัดกินเจ้าของผู้มีความอยาก นี่เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็เรียก อิทัปปัจจยตาก็เรียก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวชีวิตนั่นเอง ถ้าจัดกับมันไม่ถูก มันก็กัดเอากัดเอาแล้วเป็นความทุกข์ อย่างมาที่นี่มาศึกษาหาธรรมะเพื่อดับทุกข์ แล้วก็น่าหัวที่ไม่รู้ว่าตัวความทุกข์อยู่ที่ไหน ตัวชีวิตที่เป็นเจ้าของความทุกข์ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นขอให้สนใจรู้ไปตามลำดับว่าไอ้ตัวความทุกข์นั่นคืออย่างไร จึงจะรู้ตัวชีวิต ชีวิตที่เป็นทุกข์นั้นเป็นอย่างไร จึงจะสามารถเข้าใจ และดับทุกข์ได้ นี่คือความสำคัญ สำคัญของสิ่งที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท หรือ อิทัปัจจยตา คือตัวชีวิตที่เป็นทุกข์ เป็นทุกข์แล้วก็ไหล ๆๆ ไม่มีหยุดนั่นแหละเป็นอนิจจตา เป็นความไม่เที่ยง และในระยะที่มันเป็นความอยาก การไหลที่ในระยะที่เป็นความอยาก ตัณหามันกัดเจ้าของ กัดเจ้าของ กัดเจ้าของ ชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ เพราะความโง่เรื่องนี้ เรื่องตัณหา เรื่องอุปาทาน มันเข้าไปปนอยู่ในกระแสจิต ชีวิตเลยกัดเจ้าของ กัดเจ้าของ ทั้งวันทั้งคืนทั้งหลับทั้งตื่น ชีวิตกัดเจ้าของ ต่อเมื่อใดมันรู้เรื่องนี้ตามที่เป็นจริง ควบคุมได้น่ะ ชีวิตถึงไม่กัดเจ้าของ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันหลีกไม่พ้นหรอก มันกัดเจ้าของ ช่วยสังเกตดูให้มันเป็นเรื่องจริง อย่าให้เป็นเรื่องพูด อย่าให้เป็นเรื่องตัวหนังสือ ขอให้เป็นเรื่องจริงว่าชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ ขอให้มองให้เห็นได้จริง ๆ ว่าเกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ เป็นตัวกูของกู แล้วมีความอยากนั่นเป็นตัวสำคัญ พอลองอยากแล้วมันกัดทั้งนั้น ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้สมอยาก พอเรื่องนี้สมอยากก็อยากเรื่องใหม่อีกก็กัดต่อไปอีก เรื่องนั้นสำเร็จแล้ว ก็อยากเรื่องอื่นต่อไปอีก ก็กัดต่อไปอีก กัดกัน ๆ จนนิรันดร นี่ก็ขอให้ดูว่าถ้าไม่รู้ธรรมะก็ควบคุมปฏิจจสมุปบาทไม่ได้ ชีวิตก็กัดเจ้าของ คือความอยาก หรือความโง่ที่ทำให้เกิดความอยาก หรือความอยากอย่างโง่ก็ตาม มันกัดเจ้าของ กัดเจ้าของ สำคัญ หรือไม่สำคัญ คนจะมีเงินเป็นมหาเศรษฐี มีอำนาจวาสนาบารมีเป็นเจ้าโลก มันก็ยังกัดอยู่นั่นแหละ นับประสาอะไรกับที่มาเรียน เพื่ออาชีพอย่างนี้แล้ว ยังต่ำต้อยอย่างนี้ ให้มันเป็นมหาเศรษฐี เป็นผู้ครองโลก มันก็ยังกัดอยู่ ยังถูกกัดอยู่ ฉะนั้นรู้เรื่องที่ว่าไม่ถูกกัดกันไว้บ้าง ควบคุมมันไว้ให้ได้
แล้วที่ยังสำคัญอีกหลายข้อ แต่ว่าที่จะยกมาให้เห็นก็ว่าสำคัญอยู่ว่า ท่านทั้งหลายบอกว่านับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เสาะแสวงหาพระพุทธ พระพุทธอยู่ที่ไหน พระพุทธอยู่ที่ไหน อยู่ที่พระพุทธรูปแขวนคอหรอ อยู่ที่พระธาตุในพระเจดีย์หรอ ก็อยู่ที่นั่น อยู่ที่องค์พระพุทธเจ้าที่เป็นคน ๆ ที่เดินอยู่ในอินเดีย แต่เดี๋ยวนี้นิพพานแล้ว ก็ไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าที่จะพบได้อยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์จริงอยู่ที่ไหน นี่ก็อาศัยพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เองว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรมะ ที่ตรัสไว้อีกต่อว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรมะ ฉะนั้นปฏิจจสมุปบาทคือแสดงให้เห็นทุกข์ ดับทุกข์ สิ่งใดที่แสดงปฏิจจสมุปบาทสิ่งนั้นคือพระพุทธเจ้า ฉะนั้นปัญญาสูงสุดของเราที่เห็นปฏิจจสมุปบาทนั่น อันนั้นน่ะคือพระพุทธเจ้า คือปัญญาที่แสดงออกมาซึ่งปฏิจจสมุปบาท สิ่งนั้นคือพระพุทธเจ้า นี่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมพระองค์จริง ที่เป็นพระองค์คนชื่อสิทธัตถะ เกิดแล้วนิพพานแล้วเผาแล้วตายแล้วนั้นให้ปฏิเสธว่านั่นไม่ใช่ฉัน ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ใดเห็นฉันผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นฉันผู้นั้นเห็นธรรมะ หมายความว่าเห็นธรรมะ ๆ ธรรมะนี้คือเรื่องความจริงของปฏิจจสมุปบาท สิ่งใดแสดงให้เห็นปฏิจจสมุปบาทสิ่งนั้นคือฉัน คือพระพุทธเจ้า นี่ก็เห็นได้ว่าไอ้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่สำคัญ สำคัญที่ทำให้รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ไม่ใช่เห็นกันที่ไหน เห็นพระพุทธเจ้าองค์นี้ที่ไหน ถ้าไปดูรูปภาพในตึกใหญ่นั่นแล้วนะ ภาพแรกทางซ้ายมือ ประตูเข้าทางนี้ ซ้ายมือภาพแรก พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ เที่ยวไปหาพระพุทธเจ้า ไปหาที่หลังม่านของความโง่ขอคุณเองนั่น่ะ ม่านแห่งความโง่ของคุณอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ในตัวคุณ ในตัวของคุณมีโง่มีความโง่ เป็นม่านแห่งความโง่อยู่ หลังม่านนั้นมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เอาม่านนั้นออกจะพบพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ที่ตรงนั้น นี่หมายความว่าต้องทำลายอวิชชา ทำลายอวิชชา ทำลายอวิชชา ฉีกม่านทิ้ง เผาม่านทิ้ง ไม่มีม่านแห่งความโง่ของเราก็พบพระพุทธเจ้า นี่หมายความว่าเราได้ศึกษา ได้ฝึกฝน ได้ปฏิบัติจนหมดความโง่ คือ อวิชชา แล้วก็พบพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ไม่ต้องไปหาที่วัด ไม่ต้องไปหาที่อินเดีย อาตมาก็เคยโง่ไปหาที่อินเดีย สักสองสามคราวก็ไม่พบ ในที่สุดก็ต้องมาปลุกปล้ำกันที่ว่าหลังม่านแห่งความโง่นี่ ศึกษาเรื่องความไม่รู้ ความโง่นี่ ปลุกปล้ำกันจนพบว่ามันอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของเราเอง เพียงเท่านี้ก็พบพระพุทธเจ้าแล้ว
เรื่องที่จะต้องรู้ จะต้องเรียนกันจริง ๆ มันมีไม่มากมาย มันมีไม่มากมายนะ เช่นเพียงเท่านี้มันก็พบพระพุทธเจ้าแล้ว เพียงเท่านี้มันก็พบความทุกข์แล้ว พบเหตุให้เกิดทุกข์แล้ว กำจัดเหตุของมันเสียก็ไม่มีทุกข์ ก็เรียกว่ากำจัดเวลาให้มันหมดไปไม่กัดกินเราอีกต่อไป เท่านี้มันพอแล้ว เท่านี้มันพอแล้วนี่ เอาสิ, ถ้าไม่พอค่อยมาด่า ค่อยมาต่อว่าทีหลัง เท่านี้มันพอแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ที่ตถาคตรู้นี่มีปริมาณมากเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า ที่เอามาสอนพวกเธอนี่เท่ากับใบไม้กำมือเดียว มันไม่มาก แต่คนพวกไหนไม่รู้ทำให้มากเป็น ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ ไอ้พวกบ้านั่น แล้วหลอกเอาด้วยว่านี่พระอรหันต์ตั้งขึ้น พระอรหันต์บัญญัติขึ้น พระอรหันต์แบ่งขึ้นในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ มีแบ่งพระธรรมเป็น ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์นี้ไม่จริง นี้ไม่จริงนะ ทำสังคายนาไม่ได้กำหนดแบ่งพระธรรมเป็น ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ มีแต่จัดว่าเรื่องนี้ว่าอย่างไร เรื่องนี้ว่าอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวจัดไว้พวก เรื่องนี้เป็นเรื่องขนาดกลางจัดไว้พวก เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นจัดไว้พวก นี้เบ็ดเตล็ดจัดไว้พวก จัดเป็นสี่นิกาย หรือห้านิกายเท่านั้นแหละ ไม่ได้พูดถึง ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ มันมากเกินไปไม่สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ฉันสอนเธอเท่ากับใบไม้กำมือเดียว แม้ว่าความรู้นั้นมันมากเท่ากับใบไม้ทั้งป่า คุณเรียนพุทธศาสนามากี่ปีแล้ว คงจะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมชั้นมัธยม แล้วเดี๋ยวนี้รู้อะไร เดี๋ยวนี้รู้จักพระพุทธเจ้าไหม เดี๋ยวนี้รู้จักความทุกข์ไหม ดูเอาเอง ดูเอาเอง เมื่อไม่รู้จักเรื่องนี้ ความทุกข์ก็กัด ๆๆ เจ้าของ เวลาน่ะกัดเจ้าของ ชีวิตน่ะมันกัดเจ้าของ เป็นคำที่มีความหมายมาก ไอ้ชีวิตนั่นมันกัดเจ้าของ เรามีชีวิตที่กัดเจ้าของอยู่ตลอดเวลาที่เรายังไม่รู้สิ่งนี้
พวกฝรั่งที่มาศึกษาอบรมกันที่นี่มันชอบคำนี้มากที่สุดเท่าที่สังเกตดู พอเราบอกให้รู้ ท่านทั้งหลายจะรู้จัก หรือจะได้พบชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เรามีวิถีทางแห่งชีวิตชนิดนี้ Way of Life, Life ที่ไม่กัดเจ้าของ ชอบมาก สนใจกันมากเลย เลยทำสรุปความว่าชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ถ้าเรายังมีชีวิตที่กัดเจ้าของ มันแย่มากนะ ต้องรีบทำให้เสร็จทันก่อนปีใหม่ มันกัดมาหลายปีแล้ว ให้ชีวิตมันหยุดกัดเจ้าของเสียทีดีไหม หมามันยังไม่กัดเจ้าของ แต่ชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ มันก็เลวกว่าหมาเท่านั้นเอง ชีวิตนี้ ชีวิตของเรานี้ เพราะว่าหมามันยังไม่กัดเจ้าของ พยายามศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้ง แจ่มแจ้งจนชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ นั่นแหละคือรู้พระพุทธศาสนา นั่นแหละคือรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์จริง เรื่องปฏิจจสมุปบาท รู้ตัวชีวิต รู้ตัวปัญหา ตัวความทุกข์ แล้วก็รู้จักตัวผู้ที่ชี้ให้เห็นความดับทุกข์ นั่นแหละพระพุทธเจ้าพระองค์จริง การศึกษาเรียนรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันได้ผลใหญ่โตสองความหมายก่อนเป็นทีแรก ข้อแรกคือดับความทุกข์ได้หนึ่ง ก็รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอีกหนึ่ง รวมเป็นสองอย่าง เท่านี้คุ้มค่าแล้ว คุ้มค่าที่จะอุตส่าห์มาศึกษาเล่าเรียน มาสวนโมกข์กัน แต่ถ้าไม่ได้ ไม่ได้ มาพูดอะไรไม่รู้เพ้อเจ้อทั้งวันทั้งคืน มันก็ไม่ได้อยู่นั่น ก็มันไม่รู้สิ่งที่จะคุ้มค่าเวลา มันก็ไม่คุ้มค่าเวลา มันก็ขาดทุน ฉะนั้นขอให้สนใจรู้เรื่องนี้ รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ความทุกข์ที่ไหลอยู่เป็นเกลียวไป เป็นตัวเวลากัดกินเจ้าของ
(นาทีที่44.20 -47.11ในหลวงทรงดำรัส) อ้าว,นี่อย่างไร...ถ้าในหลวงพูด ก็เปิดให้ดังขึ้นมาสิ สั่งไว้แล้ว ยังเหลวไหลขนาดนี้ว่าอย่าให้เราพูดเข้าไปในเวลาของในหลวง ปิดเสียทำไม ปิดเสียทำไมเล่า นายกพูด ใครพูด ยังมี
ทีนี้ก็จะได้พูดต่อไปถึงเรื่องส่งท้ายปีเก่า ส่งท้ายปีเก่านี้ควรจะมีความหมายว่า ส่งสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาออกไปเสียให้หมดสิ้น ให้พ้นจากการเกี่ยวข้องกับเรา สิ่งไม่พึงปรารถนามีอะไรบ้างก็จะได้พูดกันโดยละเอียดสักหน่อย แต่เดี๋ยวนี้ก็จะขอพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่พูดค้างคาไว้นั้นว่า โดยอาศัยการปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทนั้นแหละ เราจะสามารถส่งไอ้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาออกไปได้ คือเราควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับชีวิตจิตใจของเราให้ถูกต้อง อย่าให้มันเกิดโง่ อย่าให้โง่เมื่อผัสสะ อย่าให้โง่เมื่อเวทนา อย่าให้โง่เมื่อตัณหา แล้วมันก็ไม่โง่เมื่ออุปาทาน ถ้ามันไม่โง่กันตลอดเวลาเหล่านี้แล้ว มันก็ไม่มีสิ่งเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นมาได้ จงศึกษาให้เข้าใจที่สุดในเรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วก็ปฏิบัติ ฝึกฝนเรื่อย ๆ ไปจนสามารถปฏิบัติได้ ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทในชีวิตนี้ไว้ให้ถูกต้อง แล้วชีวิตนี้ก็จะไม่กัดเจ้าของ ดังที่ได้เอ่ยไว้แล้ว ถ้าควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทไม่ได้ชีวิตนี้มันก็จะกัดเจ้าของ ท่านฟังเอง สังเกตเอง ดูเองก็พอจะเข้าใจได้ว่าที่มันปล่อยไปตามกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้นมันเกิดกิเลส เกิดกิเลสทุกประการ คือทุกประเภท ประเภทบวกก็เกิด กิเลสประเภทราคะ หรือโลภะ คือมันจะเอา ถ้าเกิดกิเลสประเภทลบ มันก็จะฆ่า มันก็จะทำลาย คือประเภทโทสะ หรือโกธะ ไม่บวกไม่ลบมันจะโง่เท่าเดิมมันก็ทำผิดต่อไป นี่ขอให้เราควบคุมให้ได้ ไม่ให้เกิดกิเลสเหล่านี้แล้วก็มันจะไม่มีอะไรมากัดเจ้าของ ไม่มีกิเลสอะไรมากัดเจ้าของ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวความรักมันกัด เดี๋ยวความโกรธมันกัด เดี๋ยวความเกลียดมันกัด เดี๋ยวความกลัวมันกัด เดี๋ยวความตื่นเต้น ตื่นเต้น ฟุ้งซ่านมันกัด เดี๋ยววิตกกังวลอนาคตกัด เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์อดีตกัด เดี๋ยวอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด นี่ยกตัวอย่างมาสิบอย่างก็จะเกินพอแล้ว และเป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายก็รู้จักดีอยู่แล้วไม่ต้องอธิบายก็ได้ ความรักเกิดขึ้นแล้วมันกัดจิตใจอย่างไร คงจะซึมซาบกันดี ความโกรธก็เหมือนกัน เกิดแล้วมันเป็นไฟอย่างไร ความเกลียดจนไม่มีแผ่นดินอยู่ ความกลัวก็ทรมานจิตใจ ความตื่นเต้นไม่สงบระงับก็หาความพักผ่อนไม่ได้ วิตกกังวลไอ้ที่มันยังไม่มานะ กัดอย่างไม่รู้สิ้นสุด อาลัยอาวรณ์ที่ล่วงไปแล้วมันก็ทรมานจิตใจ อิจฉาริษยานี่สำคัญมาก มันกัดผู้อิจฉาริษยาทันที ๆ ผู้ถูกอิจฉาริษยายังไม่รู้ด้วยซ้ำไป มันก็กัดเอาไอ้ผู้ที่อิจฉาริษยานี่ก่อน ยังไม่ได้กัดผู้ที่คิดว่าจะอิจฉาริษยาเขา กัดไอ้ผู้อิจฉาริษยานี่ก่อน สังเกตดูให้ดีว่าสิ่งนี้เลวมาก ความอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน ความหวง ความหึงโดยเฉพาะทางเพศ ทางอะไรนี่มันถึงกับฆ่ากันตาย อย่าให้สิ่งเหล่านี้มันกัดได้ แล้วก็นับว่าประเสริฐที่สุด ชีวิตไม่กัดเจ้าของมันดีอย่างนี้
ทีนี้ก็ดูต่อไปถึงข้อที่ว่าจะใช้ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทกันอย่างไร ก็พูดมาแล้วว่าปฏิจจสมุปบาทมีลำดับอย่างไร เลวร้ายที่ตรงไหน เลวร้ายตรงที่เกิดตัณหา แล้วเกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ แล้วก็วุ่นวายไปหมด ฉะนั้นควบคุมให้ดี ควบคุมให้ดี อย่าให้โง่เมื่อผัสสะ ไม่โง่เมื่อเวทนาก็ไม่เกิดตัณหา ไม่เกิดอุปาทาน มันเลวร้ายที่ว่าถ้ามันเกิดอุปาทานเป็นตัวกู ๆ แล้วมันก็ทำไปตามอำนาจแห่งอุปาทานนั้นแหละ มันกัดตัวผู้นั้น กัดอย่างยิ่ง แล้วเมื่อควบคุมไปไม่ได้ มันก็กัดผู้อื่นแหละ เพราะว่าถ้าเกิดความรู้สึกว่าตัวกู ๆ แล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกตามมาอีกอันหนึ่ง คือ ความเห็นแก่ตัว มีความรู้สึกว่าเป็นตัว ตัวข้า ตัวกู ตัวฉันนี้แล้วมันจะตามมาอีกอัน คือ ความเห็นแก่ตัว
คำว่าเห็นแก่ตัวในที่นี้โดยภาษาแล้วมันกำกวม บางคนอาจจะแย้งว่าถ้าเห็นแก่ตัวเพื่อจะทำดีเล่า นี่เป็นยังไง ขอบอกว่าเห็นแก่ตัวเพื่อจะทำดี เขาไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวหรอก เขาเรียกว่าเคารพตัว พัฒนาตัว สร้างตัวอะไรทำนองนั้น เขาไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว ถ้าเรียกว่าเห็นแก่ตัวแล้ว เลวร้ายทั้งนั้นเลยไม่มีอะไรดี ภาษาไทยก็เป็นอย่างนี้ ภาษาฝรั่งก็เป็นอย่างนี้ มาใคร่ครวญดูแล้ว คำว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวนี่ Selfish นี่มันมีแต่เลวร้ายท่าเดียว มันเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ทำลายรอบด้าน ทำลายรอบด้าน นอกจากทำลายตัวแล้วก็ทำลายผู้อื่น ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายทำจิตใจให้ดี ให้ละเอียดลออ ใคร่ครวญไปดูทั่วโลกทั้งโลกเวลานี้ความเห็นแก่ตัวนี้มันกำลังครองโลก หมายความว่าทุกคนในโลกมันเห็นแก่ตัว จนเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องสูงใหญ่ ครอบครองโลกไปตามอำนาจความเห็นแก่ตัว มันจึงเกิดความเลวร้ายนา ๆ ประการ คือ ทำลายล้างซึ่งกันและกันแหละ พูดกันง่าย ๆ เดี๋ยวนี้มาพูดกันภายใน ในวงแคบกันก่อน ว่าเห็นแก่ตัวแล้วเป็นอย่างไร ตามธรรมชาติคนที่เห็นแก่ตัวนั้นจะขี้เกียจ ไม่อยากทำงาน อยากจะนอน แต่อยากจะเอาประโยชน์ คนเห็นแก่ตัวจะขี้เกียจทำหน้าที่ แต่จะเอาประโยชน์ เอากะมันสิ แล้วคนเห็นแก่ตัวนั้นน่ะ เอาเปรียบ คอยจ้องที่จะเอาเปรียบสารพัดอย่าง คงจะเข้าใจได้ดี แล้วคนเห็นแก่ตัวนั้นอิจฉาริษยา อิจฉาริษยาเป็นเจ้าเรือน ไม่อยากให้ใครมาดีเท่าตัว มาบังหน้าตัวนี่มันอิจฉาริษยา เห็นใครจะดีเท่าตัวก็ไม่ได้เสียแล้ว แล้วอาจจะอิจฉาริษยาคนที่ต่ำกว่ากลัวว่ามันจะขึ้นมาเท่าตัว คนเห็นแก่ตัวนี้ แล้วมันก็ทำไปตามอำนาจของความเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ส่วนรวม ดังนั้นจึงทำลายธรรมชาติ ทำลายสมบัติส่วนรวม แล้วก็สร้างมลภาวะเต็มไปหมด มลภาวะ สิ่งเลวร้าย สกปรก รกรุงรัง อะไรที่มันเกิดในบ้านในเมืองน่ะคนเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละที่ทำขึ้นมา แล้วในที่สุดมันก็ไปรวยรัด คือไปอันธพาลไม่ทำงาน ก็มันเหน็ดเหนื่อย เหงื่อมันออกมามันโกรธ แล้วมันก็ว่าจะมาทำงานให้เหนื่อยอยู่ทำไม ไปปล้น ไปจี้โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยนี้ดีกว่า เขาก็ไปเป็นอันธพาล ดังนั้นอันธพาลมันจึงรกมากขึ้น มากขึ้น ตามจำนวนของผู้เห็นแก่ตัวมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุให้เกิดอันธพาล อันธพาลก็มากขึ้น ๆ ท่านทั้งหลายพอจะมองเห็นว่ามันเป็นจริงอย่างไร เมื่อสักหกสิบปีมาแล้ว อาตมาไปกรุงเทพรู้สึกว่าปลอดภัย หาไอ้คนเลวร้าย อันธพาลเลวร้ายยาก แต่นั่นมันหกสิบปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้ตามที่ได้ยินข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ มันมีเสียทุกหัวระแหง มันบุกรุกเข้าไปในบ้านในเรือนอะไรต่าง ๆ อันธพาลมันมากอย่างนี้
เห็นแก่ตัวหนักเข้าๆ มันก็มีสองทางเท่านั้นแหละ คือเป็นบ้า หรือฆ่าตัวตาย ถ้าความเห็นแก่ตัวควบคุมไว้ไม่ได้ มันหลงทาง หลงทาง ๆ ในที่สุดก็เป็นบ้าไอ้คนบ้าตามโรงพยาบาลทั้งหลายไปตรวจสอบประวัติดู มันตั้งต้นมาจากความเห็นแก่ตัวทุกคนเลย แต่ถ้าดูหยาบ ๆ จะไม่เข้าใจ จะดูไม่ออก ต้องดูกันอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าคนบ้าเหล่านั้นมันตั้งต้นขึ้นมาด้วยความเห็นแก่ตัว เข้มข้น ๆๆ จนหลงทางแล้วก็เป็นบ้า อีกทางหนึ่งความเป็นบ้าของมันนั้นมันรุนแรงมาก ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามไปเลย อย่างนี้ก็ยังทำได้ นี่ความเห็นแก่ตัว คิดดูว่ามันจะเล็กหรือใหญ่ มากหรือน้อยสักเท่าใด เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมันกำลังเพิ่มขึ้นนะ ไม่ใช่มันคงที่ แล้วมันเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย เพิ่มขึ้นมาก เพิ่มขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน จนออกปาก ออกปากกันมากขึ้น ๆ
หมอเห็นแก่ตัว ก็เป็นพ่อค้าขูดรีดสูบโลหิตคนไข้ หมอที่เห็นแก่ตัวมันกลายเป็นผู้สูบเลือดคนไข้ ครูบาอาจารย์เห็นแก่ตัว มันก็ทำนาบนหลังผู้ปกครองของลูกศิษย์ ผู้พิพากษาเห็นแก่ตัวมันก็ทำนาบนหลังจำเลย ไม่มีอันไหนที่จะยกเว้น ถ้าความเห็นแก่ตัวเข้ามาแล้วมันสูญเสียความปกติ ความเห็นแก่ตัวเข้ามา ไอ้เพื่อนรักกันมันก็ต้องแตกแยกกัน เลิกกันไม่ต้องเป็นเพื่อนกัน ต่อให้เป็นผัวเมีย ถ้าความเห็นแก่ตัวมันเข้ามามากมันก็ต้องหย่ากันเท่านั้น เดี๋ยวนี้ลูกกับแม่พ่อน่ะมีความเห็นแก่ตัวแทรกเข้ามาเป็นปัญหา คือลูกวัยรุ่นลูกหญิงลูกชายก็ตาม มันไม่รักพ่อแม่ ไม่กตัญญูพ่อแม่ ทำสิ่งที่พ่อไม่พึงปรารถนา ให้แม่โดยเฉพาะน้ำตาไหล นี่ตลอดเวลา ไอ้เด็กลูกหญิงวัยรุ่นเป็นอย่างนี้มากขึ้น เท่าที่อ่านในหนังสือพิมพ์ หรือคนพูดจากันก็ดี อาตมาอยู่ที่นี่ก็ยังมีคนแถวนั้นเข้ามาปรารภ มาร้องทุกข์ มาพูดว่าเดี๋ยวนี้ลูกทำให้พ่อแม่น้ำตาไหล นี่มันเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว
ท่านลองเทียบเคียงดูก็ได้ว่าความเห็นแก่ตัวนี่มันน่าหัว หรือมันน่าสงสาร คนกรุงเทพเห็นแก่ตัว ยุงก็เลยครองกรุงเทพ ยุงเป็นเจ้าของกรุงเทพ เพราะคนกรุงเทพมันเห็นแก่ตัว มันจะช่วยคนละไม้ละมือปราบยุงก็ได้ แต่มันไม่ทำนี่ มันเห็นแก่ตัว ยุงก็ยิ่งเป็นผู้ครองกรุงเทพอยู่นั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเกือบจะพูดได้แล้วว่า ไอ้คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว ได้ต่อสู้ ๆๆ กันเพราะความเห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว มันก็ไม่ได้รักกันอย่างผู้มีพระคุณต่อกัน มันกลายเป็นผู้ต่อสู้กันไปเสีย เพราะความเห็นแก่ตัว ประเทศมหาอำนาจมันเห็นแก่ตัว ปัญหามันจึงยุ่งไปทั้งโลก นี่เรียกว่าทั้งโลก ทั้งโลก เพราะว่ามันมีสิ่งที่ยั่วให้เห็นแก่ตัว คือสิ่งประดิษฐ์ บำรุงบำเรอส่งเสริมกิเลส หรือเหยื่อของกิเลสมันถูกสร้างขึ้นมามากนัก แล้วมันสร้างด้วยเครื่องจักรอุตสาหกรรม มันสร้างกันอย่างเนรมิต มันก็มาก ๆๆๆ เกินไป คนหลงใหลในสิ่งเอร็ดอร่อยสวยงามเหล่านี้ ไปซื้อไปหามาหล่อเลี้ยงกิเลสของตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น ๆๆ ยิ่งเจริญด้วยอุตสาหกรรมประเภทนี้แล้วความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น ๆ มาหาความสงบสุขไม่ได้ ดูโฆษณาสินค้าที่มีอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์บางฉบับเต็มไปด้วยโฆษณาสินค้า อาตมาลองไล่เลียงตรวจสอบดู โอ้, นี่เราไม่รู้จะซื้ออะไรแม้แต่สักชิ้น ในบรรดาโฆษณาเหล่านั้น แต่เขาก็โฆษณากันอยู่ได้ เพราะมันมีคนซื้อ แล้วมันขายได้ นี่มันสร้างส่วนเกิน สร้างส่วนเกินที่ไม่จำเป็นก็ได้ ไม่ต้องมีก็ได้ สร้างส่วนเกิน ก็อุตส่าห์ซื้อมา รื้อของเก่าซื้อของใหม่ แม้แพงเท่าใดก็เอาทั้งนั้น กะทั่งมันเห่อรถยนต์ มันเห่อ ตู้เย็น มันเห่ออะไร ทีวีอะไรมันก็เปลี่ยน ๆ แพงเรื่อย ๆ ขึ้นไป นี่โฆษณามันรุนแรงถึงขนาดนี้ แล้วมันตกเป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว
คำนวณดูเองก็พอจะเห็นได้ว่า เมื่อสักสิบปีมานี่ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นเท่าไร อีกห้าสิบปีไปโน่นเพิ่มขึ้นเท่าไร ดูเถอะ คนป่าสมัยที่ยังไม่นุ่งผ้า หมื่นปี แสนปีนั้นเกือบจะไม่รู้จักความเห็นแก่ตัว เพราะมันโง่ เพราะมันไม่ต้องการอะไรมาก เดี๋ยวนี้คนเรามันเจริญต้องการอะไรไปเสียหมดสารพัดอย่าง ความคิดลึกซึ้งเฉียบแหลมก็เห็นแก่ตัวอย่างลึกซึ้ง ใช้ความฉลาดอย่างลึกซึ้งนี้เห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่น พอรู้ทันกันเข้าก็ต่อสู้กัน ต่อสู้กัน ฉะนั้นการเบียดเบียนกันระหว่างผู้เห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้นในโลก มากขึ้นในโลกโดยไม่ต้องสงสัย มันเป็นไปได้นะ ถึงกับว่าประชาชนราษฎรทุกคนเห็นแก่ตัว แล้วมันก็เลือกผู้แทนที่มาจ้างให้เลือก มันก็เลือกได้ผู้แทนที่เห็นแก่ตัวไปเป็นรัฐสภาของผู้เห็นแก่ตัว ฉะนั้นเลือกเอาไปตั้งรัฐบาลจากคนเห็นแก่ตัวเหล่านี้ ก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัว จะมีอะไรเหลือเล่า คุณลองคิดดู ประชาชนเห็นแก่ตัว รัฐสภาเห็นแก่ตัว รัฐบาลเห็นแก่ตัว ก็ลงไปหมด ลงไปถึงลูกเล็กเด็กแดงมันก็พลอยเห็นแก่ตัว พระเจ้าพระสงฆ์ก็เถอะ เริ่มเห็นแก่ตัว ถ้ามันถึงขนาดนี้ มันจะมีอะไรเหลือ บางทีจะพูดได้ว่าหมาสุนัขแมวก็จะเห็นแก่ตัว หมาจะไม่เห่าตามหน้าที่ แมวจะไม่จับหนูตามหน้าที่ ถ้ามันเห็นแก่ตัว เมื่อผู้คนทั้งหลายมันเห็นแก่ตัว มันใช้วัตถุสิ่งของ ไอ้วัตถุสิ่งของก็มีความหมายของผู้เห็นแก่ตัวไปด้วยได้เหมือนกันแหละ ก้อนหินอย่างนี้ เมื่อมันถูกใช้โดยผู้เห็นแก่ตัวมันก็เป็นก้อนหินที่เห็นแก่ตัว จะน่าหัว หรือไม่น่าหัว สิ่งมีชีวิตก็เห็นแก่ตัว สิ่งไม่มีชีวิตก็เห็นแก่ตัว แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไรในโลกที่เห็นแก่ตัวอย่างนี้ นี่ความเลวร้ายของความเห็นแก่ตัวกำลังไปทั่วทุกหัวระแหง ในรายละเอียดปลีกย่อย ๆๆ ลงมา รวมความแล้วก็คือว่ามันรักกันไม่ได้ มันสามัคคีกันไม่ได้ เพราะมันเห็นแก่ตัว มันก็มีแต่ความเบียดเบียน นี่คือสิ่งเลวร้ายที่สุดของมนุษย์เรา
ขอให้ช่วยกันจัดการส่งไปกับปีเก่า หยุดเสีย อย่าให้มันมา อย่าให้มันเหลืออยู่ ทำอย่างปีเก่ามันตายไปกับปีเก่า อย่าให้มามีในปีใหม่ ให้ปีใหม่นี้เห็นแก่ตัวน้อยลง เห็นแก่ตัวน้อยลง จนไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะเปลี่ยนหมด ชีวิตจิตใจก็จะเปลี่ยน ไอ้โลกบ้านเมืองนี้มันก็เปลี่ยนใหม่เป็นของผู้ไม่เห็นแก่ตัว เราก็จะอยู่กันอย่างที่ไม่ต้องเดือนร้อน เหมือนที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันเผลอไม่ได้นะ เผลอนิดเดียวแล้วก็ถูกอันตราย ถูกทำร้าย ถูกเอาเปรียบ ถูกจี้ปล้น ถูกข่มเหงสารพัดอย่าง เพราะความเห็นแก่ตัว จะไล่กลับไปอยู่กับปีเก่า อย่ามา ให้มันสูญสิ้นไปกับปีเก่าจะทำอย่างไร มันก็ยากอยู่เหมือนกัน ทุก ๆ ศาสนามันเกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็ด้วยอำนาจของปัญหาของมนุษย์ คือความเห็นแก่ตัว มันจึงเกิดศาสนาเก่า ๆ เช่น ศาสนายิว ปาเลสไตน์ เมื่อหลาย ๆ พันปีมาแล้ว นี่ผู้คนตรงนั้น ยุคนั้นมันเห็นแก่ตัว มันจึงเกิดศาสนาขึ้นมาสอนให้ไม่เห็นแก่ตัว มันจึงเกิดศาสนาเต๋าขึ้นมาในเมืองจีน เมื่อสามพันปีมาแล้ว มันก็เห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่ตัวมันจึงต้องสอนเรื่องเต๋า ไม่ให้เห็นแก่ตัว ไม่ให้เห็นแก่บวก ไม่ให้เห็นแก่ลบ แล้วก็ไม่ให้เห็นแก่ตัว ในอินเดียก็เหมือนกัน ศาสนาฮินดูเกิดขึ้นก็เพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว พอพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้วยิ่งมุ่งหมายกำจัดลึกซึ้ง
ทีนี้มาดูว่ากำจัดกันอย่างไร กำจัดกันอย่างไร ศาสนาประเภทหนึ่ง คือหลายศาสนานะ กำจัดชนิดที่ว่าอย่าให้หลงบวก หลงลบ ศาสนายิว คัมภีร์ไบเบิลตอนแรก เรียกว่าคัมภีร์เก่าน่ะมันเริ่ม ๆ ขึ้นมาด้วยคำนี้ พระเจ้าสร้างมนุษย์แล้วก็สั่งมนุษย์ว่าอย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว หรือรู้บวกรู้ลบ กินเข้าไปแล้วจะตาย มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟัง ไปกินเข้า มนุษย์ก็หลงบวกหลงลบ ตัวอย่างเช่น ลูกของไอ้มนุษย์ที่ถูกพระเจ้าห้ามมันไม่เชื่อ แล้วพอมันมีลูกออกมาพี่ชายมันก็หลอกน้องชายไปฆ่าเสียในป่า เพราะว่าพ่อรักน้องชายอย่างเดียวมากเกินไป ไม่รักเขาซึ่งเป็นพี่ชาย พี่ชายมันหลงบวกคือมันติดดี มันก็เลยหลอกน้องชายไปฆ่าเสียในป่า อย่างนี้ว่าหลงบวกหลงลบ ศาสนาเต๋าเขาไม่ให้หลงบวกหลงลบ ศาสนาคริสต์มันสืบต่อมาจากศาสนายิว มันก็คำสอนเดิมนั่นแหละ ศาสนาอิสลามออกมาจากศาสนาคริสต์อีกทีหนึ่ง ถ่ายทอดกันมา มันก็เหมือนเดิม ไม่ให้หลงบวกหลงลบ แต่มันก็ไม่มีใครถือ ในอินเดีย ศาสนาฮินดูก็ไม่ให้หลงบวกหลงลบ ให้เหนือบุญเหนือบาป แล้วไปเป็นอัตตา อาตมันนิรันดร นิรันดร ส่วนพุทธศาสนาก็อย่าไปหลงบวกหลงลบ ก็อย่าไปหลงกุศล หลงอกุศล แล้วก็ว่างนิรันดร
สรุปความแล้วพวกหนึ่งไปสอนให้มีตัวที่ไม่เห็นแก่ตัวโดยว่าเป็น เชื่อพระเจ้า แต่พุทธศาสนาเราไปเหนือเมฆเลย สอนให้รู้ว่ามันไม่มีตัว ถ้ามันไม่มีตัวแล้วมันจะเห็นแก่ตัวได้อย่างไร ถ้ารู้พุทธศาสนาลึกซึ้งจะมองเห็นความไม่มีตัวยึด ไม่ยึดอะไรเป็นตัว มันก็ไม่มีตัว ก็ไม่เห็นแก่ตัว ก็หมดปัญหา ถ้ายังมีตัว ต้องเอาตัวไปฝากกับพระเจ้า หรือไปอายัดที่ไหนกันคงจะลำบากกว่า แต่เดี๋ยวนี้สรุปความได้ว่าทุกศาสนาแหละมันเกิดขึ้นมาในโลกนี้ เพราะว่าที่นั่น สมัยนั้น ยุคนั้นมันมีปัญหาเรื่องมนุษย์เห็นแก่ตัว หัวใจของศาสนาทุกศาสนามุ่งจะกำจัดความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ แล้วมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะคนมันไม่ถือนี่ ถือศาสนาเดียวกันแท้ ๆ มันยังฆ่ากันได้เป็นวรรคเป็นเวร นี่เพราะมันไม่ถือ ๆ ไม่ถือหลักคำสอนที่จะไม่ให้เห็นแก่ตัว นี่เราจึงได้เห็นว่าโลกนี้มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวรูปนั้นรูปนี้ แบบนั้นแบบนี้ หาความสงบสุขไม่ได้ แม้เดี๋ยวนี้มันก็มีการเบียดเบียนแก่กันและกัน โดยตรงโดยอ้อมอยู่เสมอ เงียบ ๆ เป็นสงครามเย็นอยู่ใต้ดินก็ทำอยู่ ร้อนเป็นสงครามแจ้งยิงกันมันก็ยังมีอยู่ ยังมีอยู่ทั้งโดยสงครามบนดิน หรือใต้ดินก็เพราะความเห็นแก่ตัว ถ้าเมื่อไรมันหมดความเห็นแก่ตัวเหล่านี้แล้วมันก็หยุด ไม่มีใครฆ่าใคร มันรักผู้อื่นมันก็ฆ่ากันไม่ได้ เห็นแก่ความถูกต้อง มันก็ฆ่ากันไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่กิเลสของตัวก็ฆ่ากันได้เป็นว่าเล่น มิตรสหายก็แตกกันได้ ผัวเมียก็แตกกันได้ แม่กับลูกก็ยังทารุณเหลือเกินแล้ว คือลูกไม่กตัญญู ไม่ซื่อสัตย์ ไม่เคารพบิดามารดา ทำให้บิดามารดาน้ำตาไหลด้วยความรักลูกนั่นเอง
จึงขอสรุปความว่าเราจะส่งท้ายปีเก่านี่ ขอให้ส่งกลับไปพร้อมกับความเห็นแก่ตัว ให้ปีเก่ามันพกเอาความเห็นแก่ตัวไป ๆๆๆ ให้หมดอย่าให้เหลือ นั่นแหละถูกต้องที่สุด แล้วใครจะเป็นผู้ส่งนอกจากเราแล้วจะมีใคร เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำตัวเราเวลานี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ให้มันหมดความเห็นแก่ตัว เพื่อขึ้นปีใหม่ ต้อนรับปีใหม่ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว จึงขอร้องให้ศึกษาปฏิจจสมุปบาทให้แตกฉาน ให้เชี่ยวชาญจนควบคุมจิตได้ ควบคุมจิตได้น่ะสำคัญ ปฏิบัติอานาปานสติได้แล้วก็ควบคุมจิตได้ ควบคุมจิตได้ก็ควบคุมปฏิจจสมุปบาทได้ ปฏิจจสมุปบาทก็จะปรุงกันมาอย่างถูกต้องโดยไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทานที่เห็นแก่ตัว รอดตัวอย่างนั้น จงสนใจฝึกอานาปานสติเป็นวิปัสสนา หรือเป็นกรรมฐานที่ประเสริฐที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสประทานไว้ แล้วท่านก็ยกย่องสรรเสริญว่า กรรมฐานระบบนี้ช่วยได้ ตถาคตอยู่ด้วยกรรมฐานระบบนี้จึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็มอบให้พวกเรา ให้ศึกษาอานาปานสติ เจริญอานาปานสติ แล้วก็จะกำจัดข้าศึกศัตรูได้ ฉะนั้นผู้ที่จะไล่ไอ้ความเลวร้ายนี้กลับไป อย่ามา อย่าให้เหลืออยู่อีกนี่ก็จงควบคุมจิตได้ ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ เพราะได้ฝึกอานาปานสติมาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์จึงควบคุมจิตได้ ชนะจิตได้ บังคับจิตได้ ถ้าสนใจก็ไปหาหนังสือคู่มือนั้นมาอ่านดู แล้วก็ลองฝึกดู มันจะค่อย ๆ มีอำนาจเหนือจิต บังคับจิต ควบคุมจิตได้
การปฏิบัตินั้นทำให้เห็นอนิจจตา ความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลาย ที่เราเคยหลงรักทั้งที่มันไม่เที่ยง เพราะว่ามันโง่ เห็นความเป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง มันก็เป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน เพราะมันไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ เห็นโอ้, มันเป็นอย่างนี้เองในโลกนี้เรียกว่า ธัมมัฏฐิตตา แล้วเห็นต่อไปว่า โอ้, มันมีกฎธรรมชาติบังคับอยู่นี่มันจึงได้เป็นอย่างนี้ เรียกว่าธัมมนิยามตา แล้วในที่สุดโอ้, อิทัปปัจจยตาโว้ย สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยโว้ย นี่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา พอเห็นชัดอย่างนี้ก็เห็น โอ้, ไอ้สิ่งที่เราหลงว่าตัวตนนั้นไม่ใช่ตัวตนหรอก ว่าง ว่างจากตัวตน นี่เขาเรียกว่าเห็นสุญญตา มาถึงนี่แล้วมันก็อ้าว, มันอย่างนี้เอง อย่างนี้เอง อย่างนี้เองมันไม่เป็นอย่างอื่นได้ อย่าไปเอากับมันเลย เรียกว่าเห็นตถาตา ตถาตามันเป็นอย่างนั้น นี่ก็เห็นอันสุดท้าย ปรากฏอันสุดท้าย อตัมมยตา ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้ ไม่มีอะไรมาจับฉวยได้ ไม่อะไรมาลากเอาไปได้ มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง สูงสุดเป็นพระอรหันต์ สูงสุดไปเลย มันคงที่อยู่ในความถูกต้องได้ แม้ว่าเราจะยังไม่เป็นพระอรหันต์ทำให้ถูกต้องถึงที่สุดไม่ได้ ก็เป็นอย่างรอง ๆ ลงมาก็ยังดีถมไป คงที่อยู่ในความถูกต้อง อย่าให้กิเลสมันดึงไป อย่างเลวก็อย่าให้ขวดเหล้ามาดึงไป อย่าให้การพนันมาดึงไป อย่าให้อบายมุขดึงไปได้ คงที่ คงที่อยู่ในความถูกต้อง บอกสิ่งเหล่านั้นว่า กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย บรรดาความเลว ความชั่ว เลวร้าย อบายมุขทั้งหลาย กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย นี่เรียกว่าอัตมมยตา ไม่สำเร็จมาจากกิเลสนั้น ๆ เป็นอิสระแก่ตัวเอง นี่คือหลักการที่มันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าอยากจะขับไล่ปีเก่า ส่งท้ายปีเก่ากลับไป อย่าเอาความเลวร้ายมาให้ ก็ปฏิบัติธรรมะชนิดที่ควบคุมจิตได้ ควบคุมกระแสอิทัปปัจจยตาได้ ไม่เห็นแก่ตัวอีกต่อไป มันเหมือนกับเกิดใหม่ เกิดใหม่เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว ปัญหามันก็หมด นี่หัวใจพระพุทธศาสนาอยู่ที่นี่ อยู่ที่ไม่เห็นแก่ตัว ท่านอุตส่าห์มาไกลจากสงขลา กรุงเทพ ภาคเหนือก็มี อุตส่าห์มาไกล ลำบาก เปลืองมาก เหน็ดเหนื่อยมาก ควรจะได้อะไรที่คุ้มกัน ไม่คุ้มกับค่าเวลา มันต้องได้อันนี้ มันต้องได้อันนี้ ต้องได้ความรู้ที่ว่าทำลายความเห็นแก่ตัว ชีวิตจะไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป ได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท คือเห็นชัดว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์จะดับลงไปอย่างไร ก็ทำให้ได้ โดยตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ฉันพูดแต่เรื่องทุกข์ กับดับทุกข์เท่านั้น ปุพเพจาห ภิกขเว เอตรหิ จ ทุกขญเจว ปญญาเปมิ ทุกขสส จ นิโรธ ภิกษุทั้งหลายก่อนนี้ก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ฉันบัญญัติแต่เรื่องทุกข์ กับดับทุกข์ เรื่องอื่นไม่พูด ดังนั้นท่านทั้งหลายอย่าไปเสียเวลาศึกษาเรื่องที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องความดับทุกข์ แม้มันจะสวยสดงดงามน่าชวน ชวนให้ศึกษาอย่างไรก็อย่าไปเอากับมันเลย เสียเวลาเปล่า ๆ โดยเฉพาะเรื่องเกิดใหม่ เรื่องวิญญาณไปเกิด หรือไม่นั้น อย่าเพิ่ง ๆ อย่าไปเอากับมัน เอาแต่ดับทุกข์กันที่นี่ ดับทุกข์กันที่นี่ ดับทุกข์กันที่นี่ ทุกข์กับดับทุกข์ แล้วมันก็ตั้งต้นด้วยเห็นความทุกข์ รู้เรื่องความทุกข์ มันจึงจะดับทุกข์ ถ้าท่านเกลียดเรื่องความทุกข์ ไม่อยากจะศึกษาเป็นเรื่องแรกแล้วไม่มีหวัง ไม่มีหวัง เพราะตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านทรงวางไว้ให้ ต้องเรื่องทุกข์มาก่อน เรื่องความทุกข์มาก่อนเป็นเรื่องแรก ที่มันมีอยู่จริงในจิตใจ แล้วก็เห็นเหตุให้เกิดทุกข์แล้วกำจัดมันเสีย จะไปศึกษาที่ไหน ถ้าถือตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้ในร่างกายนี้ ในร่างกายที่ยาววา ยาวประมาณวาหนึ่งนี้มีสัญญา และใจ (นาทีที่1.21.42)สะสัญญา สะมะโน มีทั้งสัญญา และใจ คือยังเป็น ๆ ในร่างกายชีวิตที่ยังเป็น ๆ น่ะเรียกว่ามีสัญญา และใจ
ตถาคตได้บัญญัติไอ้ความทุกข์ไว้ เหตุให้เกิดทุกข์ไว้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ไว้ หนทางแห่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ไว้ แต่ในพระบาลีนั้นท่านใช้คำว่าโลก โลกแทนคำว่าทุกข์ มันเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องโลก เรื่องเหตุให้เกิดโลก เรื่องความดับสนิทของโลก ทางให้ถึงความดับสนิทของโลก คือ เรื่องทุกข์ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางถึงความดับทุกข์ ตรัสสอนให้ศึกษาดูเอาจากร่างกายนี้ที่มันยาวแค่วาเดียวนี่แหละ ไม่มากมายอะไร ในนั้นน่ะมีหมด มีหมดทั้งโลก มีหมดทั้งทุกข์ ขอให้สนใจศึกษานี้ อย่าไปศึกษามันมากมายเกินจำเป็น มันจะบ้า ศึกษาแล้วมันไม่ได้รับผลอะไร นึกถึงข้อที่ว่า พระองค์ตรัสว่า ฉันสอนพวกเธอทั้งหลายเท่ากับใบไม้กำมือเดียว จากใบไม้หมดทั้งป่าไม่ได้เอามาสอน เอามาสอนกำมือเดียว ทุกข์ กับดับทุกข์ หรือว่าให้มันชัดไปว่า ทุกข์ และเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็ดับทุกข์ แล้วก็ทาง หรือวิธีที่จะดับทุกข์
ฉะนั้นผู้ที่จะเรียนพุทธศาสนานั้น ตั้งต้นการศึกษาของตนโดยหยิบเอาตัวทุกข์ หรือเรื่องความทุกข์ขึ้นมาศึกษาเป็นเรื่องแรก ไม่ต้องเอาเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สวรรค์วิมานอะไรที่ไหนมาศึกษาเป็นเรื่องแรกหรอก มันเสียเวลาเปล่าแหละ แม้เรื่องพุทธประวัติก็ยังไม่ต้องเรียน เก็บไว้ก่อนก็ได้ ศึกษาเรื่องตัวทุกข์ ตัวทุกข์ แล้วศึกษาที่ไหน ที่มีอยู่จริงในชีวิตนี้ ในชีวิตนี้ ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันมันเป็นทุกข์อย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร จับตัวมันให้ได้เอามาดู ศึกษาดูว่ามันเป็นทุกข์อย่างไร อย่างที่ออกชื่อมาแล้วนั้นก็ได้ มันเกินที่จะรู้จักเสียแล้ว ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความอิจฉาริษยา ความหวงความหึงนี่ เพราะสิ่งเหล่านี้ได้ผ่านมาแล้ว ได้รู้จักอยู่แก่ใจว่ามันเป็นทุกข์อย่างไร ทีนี้ก็ไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ต้องไปเอามาจากไหน ดูที่ตัวนั้นแหละ มันก็จะพบกับความรักมันเกิดมาจากอะไร ความเกลียดมันเกิดมาจากอะไร ความกลัวมันเกิดมาจากอะไร จนกระทั่งทั้งหมดก็จะพบเหตุให้เกิดทุกข์ มันเกิดมาจากกิเลส คือ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็เกิดโลภะ โทสะ โมหะ นี่เป็นส่วนเหตุให้เกิดทุกข์ ดูเอาออกมาจากความทุกข์ ไม่ใช่ดูจากหนังสือ ไม่ใช่ว่าฟังมาล้วน ๆ แม้จะได้ฟังมาก็ดีเหมือนกัน มันเร็วขึ้น แต่ก็ดูจากตัวความทุกข์ เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ซึ่งมันมีอยู่ที่นั่น นั่นน่ะคือการศึกษาพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ไม่ต้องไปที่ไหน ไม่ต้องไปอินเดีย หรือไม่ต้องไปที่ไหน ศึกษาจากตัวความทุกข์ที่มันมีอยู่ในชีวิต ก็พบเหตุให้เกิดทุกข์ ทีนี้ก็โดยตรงกันข้าม ดู ถ้ามันดูตรงกันข้ามล่ะ ถ้ามันมีลักษณะตรงกันข้ามกับอย่างนั้น มันก็คือไม่มีทุกข์ คือดับทุกข์ ก็คือดับเหตุแห่งทุกข์นั้นเสีย ดับเหตุให้เกิดทุกข์นั้นเสีย มันก็เป็นความดับทุกข์
ทีนี้จะดับทุกข์อย่างไร เอาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 8 ข้อ อริยมรรคมีองค์แปดนั้นก็ได้มันพิสดาร แต่จะเอาสั้น ๆ ก็ว่าไม่เห็นแก่ตัว ไม่เกิดกิเลสใด ๆ นั่นแหละทางให้ถึงความดับทุกข์ เมื่อไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่เกิดกิเลสใด ๆ นั่นแหละคือวิถีทางให้ถึงความดับทุกข์ กระจายออกไปก็เป็นมรรคมีองค์แปดแหละ ไม่เห็นแก่ตัวมันก็มีความเข้าใจถูกต้อง ทิฐิถูกต้อง มันก็สังกัปปะถูกต้อง วาจาถูกต้อง กัมมันโตการงานถูกต้อง อาชีวะถูกต้อง พากเพียรถูกต้อง สติถูกต้อง สมาธิถูกต้อง มันก็มาจากความไม่เห็นแก่ตัว เรียกรวมเสียทีเดียวว่ามันไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ทำถูกหมดทั้งแปดข้อ แต่เพื่อปฏิบัติง่าย เอ้า, แจกเป็นแปดข้อก็ได้เหมือนกัน แต่มันควรจะสรุปให้เห็นว่า มันคือไม่เห็นแก่ตัว ถ้าแปดข้อมากนัก จะเหลือเพียงสาม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้ เมื่อศึกษาถูกต้องดีแล้วทั้งสามข้อมันก็ทำลายความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นขอให้เราส่งท้ายปีเก่า ขับไล่ความเห็นแก่ตัวให้กลับไป เพื่อการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามพุทธภาษิต แล้วก็ต้อนรับปีใหม่ ของใหม่เข้ามาเป็นความถูกต้อง ๆ ไม่เห็นแก่ตัว ไล่ความเห็นแก่ตัวออกไป รับใหม่มาเป็นความไม่เห็นแก่ตัว ข้อนี้คือการส่งปีเก่าอย่างแท้จริง รับปีใหม่อย่างแท้จริง ขอร้องให้เอาไปคิดดู ทำได้แล้วก็จะหมดปัญหา จะหมดความทุกข์โดยแน่นอน ไม่ต้องมีใครมาช่วยทำ ไม่ต้องมีใครรับประกัน มันรับประกันอยู่ในตัวของมันเอง หลักธรรมะมีอยู่อย่างนี้
ฉะนั้นจึงขอร้องท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มาจากที่ไกล จงมองเห็นไอ้ความเลวร้ายของความเห็นแก่ตัว และเห็นความดี ความถูกต้อง ความงาม ความจริงของความไม่เห็นแก่ตัว ทำให้มันมีขึ้นมาในปีใหม่ ก็เรียกว่าปีใหม่ที่เปลี่ยนจากปีเก่าไปในทางที่ถูกต้อง ที่จะกำจัดความทุกข์ได้ แล้วเราก็จะได้อยู่กันอย่างไม่เห็นแก่ตัว คนจนก็ไม่เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็ไม่เห็นแก่ตัว ก็รักกันได้ เป็นพ่อเลี้ยง ภาษาเชียงใหม่เขาเรียกพ่อเลี้ยง คนมั่งมีร่ำรวยที่เลี้ยงคนจนอย่างดีเหมือนกับลูกกับหลาน เขาเรียกพ่อเลี้ยง ถ้าเป็นอย่างครั้งพุทธกาล เรียกว่าเศรษฐีใจบุญ เศรษฐีใจบุญ สมกับคำว่าพ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยง คนภาคเหนือ เศรษฐีใจบุญก็เลี้ยงคนที่เรียกกันว่าข้าทาสกรรมกร แต่มันเลี้ยงอย่างลูกอย่างหลาน ไปทำนาด้วยกัน ไปเหนื่อยด้วยกัน กินอาหารด้วยกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน ไม่อนาทรร้อนใจอะไร แม้จะเรียกว่าทาส ก็ทาสอย่างลูกอย่างหลาน เศรษฐีอย่างนี้ก็เรียกว่าเศรษฐีใจบุญ มีเงินมาก ถ้าเป็นเศรษฐีก็ต้องตั้งโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทานก็ไม่ใช่เศรษฐี คือเป็นเศรษฐีในความหมายนี้ เศรษฐีใจบุญนี้ต้องมีโรงทาน เศรษฐีคนหนึ่งมีหลายโรงได้ โรงทานนี้สงเคราะห์ให้คนยากจนอนาถา ทุพพลภาพ สงเคราะห์นักบวช บรรพชิตที่ไม่ได้ทำไร่ทำนา หาอาหารจากโรงทาน หมายความว่าเศรษฐีก็ผลิตอย่างมากเหมือนกันแหละ ผลิตจากข้าทาสกรรมกรได้เงินมาจนพอตั้งโรงทาน แล้วก็ส่วนหนึ่งที่เหลือก็เก็บไว้สำรอง สำรองที่ว่าจะรักษาโรงทานไว้ให้ได้ สมัยโน้นไม่มีธนาคาร เศรษฐีจะเก็บที่ไหนคุณรู้ไหม ก็ไปฝังซ่อนไว้ในที่ ๆ คิดว่าไม่มีใครเห็น ฝังซ่อนไว้ บางทีโชคร้าย มีใครไปเห็นเข้ามันขโมยเสียก็มี แต่ก็ต้องทำอย่างนี้ไม่ให้ใครเห็น เอาเงินที่ฝังซ่อนไว้มาหล่อเลี้ยงโรงทานไว้เรื่อยไป ๆ ทำงานก็ทำไป เลี้ยงโรงทานก็เลี้ยงไป อย่างนี้เรียกว่าเศรษฐีใจบุญ ไม่มีความเห็นแก่ตัวเหลืออยู่มันจึงจะทำได้ ถ้าความเห็นแก่ตัวเหลืออยู่มันไม่ทำ มันกลายเป็นนายทุนกระดาษทรัพย์ เหมือนคนร่ำรวยสมัยนี้ มีเงินมีอะไรขึ้นมาก็เอาไปใช้ต่อเงิน เอาเงินไปลงทุนเพื่อกอบโกยเงินกลับเข้ามา ไม่ตั้งโรงทานเรียกว่านายทุนกระดาษทรัพย์ ทรัพย์หมดทุกหยดไม่ให้เหลือ เอามาเป็นของกู ของกู แล้วก็ใช้เป็นอิทธิพล ดึงดูดเงิน เอาเงินไปต่อเงิน เอาเงินไปต่อเงินนี่จึงได้เรียกว่านายทุนไม่เรียกว่าเศรษฐี แล้วก็ไม่ใช่ใจบุญ แต่เป็นคนกระดาษทรัพย์ ทรัพย์หมดเพราะความเห็นแก่ตัว คุณดูเอาเองสิว่า เศรษฐีใจบุญเดี๋ยวนี้จะหาได้ที่ไหน แล้วนายทุนกระดาษทรัพย์ จะหาได้ที่ไหน มันเต็มไปทั้งโลกน่ะนายทุนกระดาษทรัพย์ เศรษฐีใจบุญสมัยนี้ จะหามาทำยาหยอดตาสักนิดก็คงจะไม่ได้ มันพ้นสมัยเสียแล้ว นี่คือข้อเปรียบเทียบที่ว่าเห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร ไม่เห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร
ขอให้พยายามให้มันเข้ารูปเข้ารอย เราจะกลับไปสู่ความถูกต้องของสมัยเก่า มีเมตตาอารี ไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือในที่ควรช่วยเหลืออย่างยิ่ง มิตรภาพก็จะกลับมา มีความรัก มีความเมตตากรุณา ไม่เห็นแก่ตัว เขาเรียกว่า ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย กลับมา คือ ศาสนาแห่งความเป็นมิตรสูงสุดมันกลับมา แล้วก็อยู่อย่างเพื่อน เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เพื่อนในความหมายนี้มีความหมายมากกว่าบิดามารดาเสียอีก ใช้เพียงคำว่าเพื่อน เพื่อนเท่านั้นแหละ มันเป็นทั้งหมด ทั้งโลกนั่นแหละ แต่บิดามารดามันอยู่ในวงแคบเฉพาะลูก ๆ หลาน ๆ คำว่าเพื่อนมันครอบคลุมหมด ทั้งโลกทั้งจักรวาล เขาจึงใช้คำว่าศรีอริยเมตไตรย คือมิตรภาพอันสูงสุด ประเสริฐที่สุด คือผู้ไม่เห็นแก่ตัว พรรณนาลักษณะโลกศรีอริยเมตไตรยไว้ยืดยาวนแหละ น่าสนใจแต่มันมากนัก จำไม่ค่อยจะไหว แล้วก็เสียเวลาถ้าจะมาพูดทั้งหมด ที่น่าสนใจก็เช่นว่า พอลงจากเรือนแล้วก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ดีเหมือนกันไปหมด กลางถนนดีเหมือนกันไปหมด มีแต่คนชูมือ ถามว่าจะให้ช่วยอะไร จะให้ช่วยอะไร จะไปไหน จะให้ทำอะไร นี่มันมีอย่างนั้นเต็มไปหมด เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ดีเหมือนกันไปหมด พอกลับมาบ้านแล้ว มาถึงบ้านแล้วโอ้, บ้านของเราอยู่นี่ สามีภรรยาของเราอยู่นี่ กลับมาถึงบ้านแล้วจึงค่อยรู้ ถ้าลงไปตามถนนมันเหมือนกันไปเสียหมด เขาพรรณนาไว้อย่างนี้ คือมันมีความหมายว่ามันมีความรัก ความเมตตา มีสวัสดิการถึงที่สุด สูงสุด เรียกว่ามีต้นกัลปพฤกษ์ กัลปดรูมะก็เรียก กัลปพฤกษะก็เรียก ที่ต้นไม้นั่นใครต้องการอะไรก็ไปเอาได้ เหมือนกับว่าประเทศชาติจัดสวัสดิการไว้อย่างดี ใครต้องการอะไรก็ได้ ในศาสนาพระศรีอารย์ เขาเรียกว่ามีต้นกัลปพฤกษ์อยู่ทั้งสี่มุมเมือง แล้วแต่ใครจะสะดวกไปเอาที่มุมไหน นั่นแหละ ผลของความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เหลืออยู่สักปรมาณูเดียว ความเห็นแก่ตัวไม่ได้เหลืออยู่สักปรมาณูเดียว มันมีแต่ความไม่เห็นแก่ตัว มันจึงเกิดสังคมชนิดนี้ขึ้นมา มันไม่ใช่ประชาธิปไตยนะ มันเป็นสังคมนิยมนะ แต่มันประกอบด้วยธรรมะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นประชาธิปไตยมันเห็นแก่ตัวง่ายที่สุด ตัวใครก็ใคร ตัวมันก็มัน นี่เป็นสังคมนิยมรวมกันหมดเป็นคน ๆ เดียวกัน ก็มีธรรมะคือความถูกต้อง เรียกเอาใหม่ว่า ธรรมิกสังคมนิยม
อาตมาพูดเรื่องนี้แหละ ธรรมิกสังคมนิยม แล้วก็มีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษไปต่างประเทศ ได้ข่าวว่ามีคนสนใจมากเหมือนกัน หนังสือเล่มนี้ ธรรมิกสังคมนิยมของผู้ไม่เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยมันเปิดโอกาสให้เห็นแก่ตัว มือยาวสาวเอา แต่ถ้าถือหลักเป็นสังคมนิยม มันสาวเอาไม่ได้ มันเป็นเพื่อน เกิดแก่เจ็บตายตาดำๆไปกันเสียทั้งหมด นี่ความไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นจะสามารถสร้างอุดมคติ ธรรมิกสังคมนิยมขึ้นมาได้ นี่หัวใจของพระศาสนาทุกศาสนาทุกศาสนา ต้องการให้แต่ละคนไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ยึดถือความไม่เห็นแก่ตัวเป็นหลัก มันก็รักใคร่กันหมด เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายกันไปหมด ปัญหามันก็ไม่มี โลกนี้มันก็เป็นโลกแห่งสันติภาพ เยือกเย็นเป็นสุข เพราะความไม่เห็นแก่ตัว นี่เป็นเรื่องที่ว่าเราควรจะพูดกันในวันนี้ที่ว่าส่งท้ายปีเก่า ส่งท้ายด้วยหลักหัวใจศาสนาทุกศาสนา คือ กำจัดความเห็นแก่ตัวให้หมดไปโดยไม่มีเหลือ นั่นแหละส่งท้ายด้วยอันนั้นแหละ ถ้าต้อนรับปีใหม่ด้วยการทำให้มีความไม่เห็นแก่ตัวขึ้นมาให้เต็มที่ให้สมบูรณ์ กำจัดความเห็นแก่ตัวไป เอาความไม่เห็นแก่ตัวมา ก็เกิดใหม่ นี่เรียกว่าใหม่ ถ้าไม่อย่างนั้นเก่าเท่าเดิม ถ้าให้ใหม่จริง ๆ ต้องคืออย่างนี้ ตรงกันข้ามเลย มีความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ ความหมายมันจำกัดอย่างนี้ ไม่เห็นแก่ตัว คือมันเห็นแก่ความถูกต้องโดยอัตโนมัติ มันเห็นเองโดยอัตโนมัติ เห็นแก่เพื่อนมนุษย์โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นอย่ากลัว ความเห็นแก่ตัวตามความหมายที่ถูกต้อง คือมันมีแต่ความเลวร้ายของกิเลสทั้งนั้น ถ้ารักตัว พัฒนาตัว เขาเรียกอย่างอื่น ไม่ได้เรียกว่าเห็นแก่ตัว ความรักตัว พัฒนาตัวไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวด้วยกิเลส มันทำด้วยสติปัญญา เพราะฉะนั้นความเห็นแก่ตัวทำด้วยกิเลสตัณหา ความไม่เห็นแก่ตัวทำด้วยสติปัญญา ตรงกันข้ามอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นเรามาทำกันในใจว่าจะส่งปีเก่ากันในวันนี้ ขอให้กำจัดความเห็นแก่ตัวออกไปออกไป โดยทุกวิถีทาง มันสอนกันให้รู้จัก และเกลียดที่สุด ขอให้ลูกเด็ก ๆ เกลียดความเห็นแก่ตัว การศึกษาต้องจัดให้ทุกคนเกลียดความเห็นแก่ตัว อย่าฉลาดเพื่อความเห็นแก่ตัว ให้ฉลาดเพื่อจะไม่เห็นแก่ตัว ก็เรียกว่าต้อนรับปีใหม่อย่างถูกต้องกันทุกคน ๆ บ้านเมืองก็จะเป็นสุขไม่มีความเลวร้ายอะไรเหลืออยู่ เรียกสั้น ๆ ว่าไม่มีชีวิตที่กัดเจ้าของ มีแต่ชีวิตที่สงบเย็น ๆๆ มีความหมายแห่งนิพพาน สงบเย็นถึงที่สุด เพราะหมดกิเลสถึงที่สุดจริง ๆ ก็เรียกว่านิพพาน ถ้ายังไม่ถึงที่สุด ยังมีส่วนเหลืออยู่บ้าง แต่ก็เย็น น้อมไปทางความเย็นโดยส่วนเดียวก็เรียกว่า นิพพุติ ๆๆ จะพยายามให้มีนิพพุติ ความเย็นอกเย็นใจสูงขึ้นไปในที่สุดก็เป็นนิพพาน นิพพาน เรียกร้องพระนิพพานมาให้ได้ หรืออยู่ในขั้นนิพพุติก็ยังดีก็เรียกว่าเป็นความใหม่ของปีใหม่ที่น่าสนใจด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอให้ทำกันจริง ๆ ทำให้ถูกต้อง ให้ตรงความหมายให้ถูกต้อง ตรงความหมาย มาพบกันอย่างนี้ มาปรึกษาหารือกันอย่างนี้ มาทำความเข้าใจกันอย่างนี้ ร่วมมือกันกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลกออกไปเสีย ก็จะได้ชื่อว่าทำประโยชน์สูงสุด ประโยชน์สูงสุดทั้งประโยชน์ตัวเอง ทั้งประโยชน์ผู้อื่น ทั้งประโยชน์ที่มันเกี่ยวข้องกัน
ถ้าถือตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้แล้วก็ต้องรู้ว่า ประโยชน์ ประโยชน์ที่ท่านตรัสไว้เป็นสามประโยชน์ สามชนิด ประโยชน์แรกก็ประโยชน์ของตัวเอง ของผู้ทำเอง ประโยชน์ที่สองก็ประโยชน์ของผู้อื่น จะได้กับผู้อื่น ประโยชน์ที่สามก็คือประโยชน์ที่มันเนื่องกันอยู่ แยกกันไม่ได้ระหว่างตัวเองกับผู้อื่น ก็เลยได้เป็นสามประโยชน์ ก็จะต้องแนะนำ จะเรียกว่าขอร้องกำชับอะไรก็ได้ว่า จงทำประโยชน์นี้ให้มันครบทั้งสามประโยชน์เถิด ผู้เห็นแก่ตัวมันจะทำยังไงได้ แม้แต่ประโยชน์ตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ยังเป็นบ้าเสียก่อน จะฆ่าตัวตายเสียก่อน ต้องผู้ไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละถึงจะสามารถทำประโยชน์ทั้งสามให้ถูกต้องและสมบูรณ์ ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ เราเข้าถึงสิ่งที่เป็นหัวใจของพระศาสนาให้ได้ สิ่งที่เป็นชั้นเปลือกชั้นนอกยังไม่ต้องสนใจก็ได้ เรายังไม่ต้องสนใจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรอก เรามาทำอย่างนี้ให้ได้ หมดกิเลส มีความทุกข์สิ้นเชิง แล้วเราก็จะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาเอง จะรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าสูงสุดขึ้นมาเอง เพราะท่านสอนเรื่องนี้ ท่านรู้เรื่องนี้ท่านปฏิบัติเรื่องนี้ เรารู้จักพระพุทธเจ้าด้วยตัวเราเอง แนะนำตัวเราเองให้รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่ต้องลงทุนเรียนพุทธประวัติให้ยืดยาวเป็นวรรคเป็นเวรแล้วไปไหนก็ไม่รู้ พุทธประวัติเรื่องเป็นเทพนิยายไปเสียก็มี เสียเวลามาก พุทธประวัติสั้น ๆ ก็คือผู้ที่ดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง แล้วสอนผู้อื่นให้ดับทุกข์ด้วย พุทธประวัติมีทั้งนั้นแหละ มีสามสี่คำเท่านั้นแหละ รู้ ดับทุกข์ของตนเอง ดับแล้ว ช่วยผู้อื่นดับทุกข์ได้ พระพุทธประวัติมีเท่านี้แหละ ส่วนที่ว่าเป็นลูกใครหลานใครอยู่ที่ไหนเมื่อไรไม่ต้องรู้ก็ได้ รู้แต่ว่าดับทุกข์ของตนเองได้ คือหมดความเห็นแก่ตัว แล้วก็สอนผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้โดยหมดความเห็นแก่ตัว พระพุทธเจ้าคือผู้ที่รู้อย่างนี้ แล้วทำอย่างนี้ พระธรรมก็คือความเป็นอย่างนี้ พระสงฆ์ก็คือผู้ที่สามารถทำอย่างนี้ นี่พระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง คือไม่มีความเห็นแก่ตัว
เดี๋ยวนี้เราไปเสียเวลาเรียนเรื่องเปลือก เรื่องอะไรโดยอ้อมเสียมาก ไปเรียนเรื่องประวัติที่ยืดยาว ตั้งปีก็ยังไม่จบ แล้วก็ไปเรียนเรื่องเปลือกนอก เช่น พระพุทธรูปสมัยไหน พระธาตุอะไรนี่ไม่รู้จักจบ พระธาตุแท้จริงก็คือพระธรรมที่เราเอามาปฏิบัตินั่นแหละ พระธาตุ พระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ส่วนกระดูกที่เผาไฟมาแล้วไม่ใช่ พระพุทธเจ้าไม่ได้รับรองเรื่องนี้ เรามาว่ากันเองทีหลัง พระธาตุที่จะสืบต่อจากพระพุทธเจ้าตลอดกาลนิรันดรก็คือพระธรรม ที่พระองค์ทรงสอนให้แล้วเราเอามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่ ในองค์พระธาตุ หรือพระบรมธาตุที่แท้จริงอยู่ที่พระธรรม ที่เราจะต้องรู้แล้วเอามาปฏิบัติให้ได้ เพราะท่านทั้งหลายมีพระพุทธอย่างนี้ มีพระธรรมอย่างนี้ มีพระสงฆ์อย่างนี้ คือมีจริง ๆๆๆ ถูกตัวจริงไม่ใช่ตัวแทน หรือว่าตัวเปลือก อยากจะยืนยันว่ามันไม่มีเรื่องมากน่ะ มันมีเรื่องน้อยเท่ากับใบไม้กำมือเดียว แต่เราจะมาเรียนเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า เราจึงไม่รู้จนบัดนี้
สรุปให้สั้น ให้มันเหลือปริมาณเท่ากับใบไม้กำมือเดียว เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องดับทุกข์ โดยเดินให้ถูกทางของความดับทุกข์ คือ ความไม่เห็นแก่ตัว พอความไม่เห็นแก่ตัวเกิดขึ้น ทั้งหมดมันจะถูกหมดเลย มันจะเป็นทางดับทุกข์ และก็ดับทุกข์ได้จริง เพราะความไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นขอร้อง ขอวิงวอนอ้อนวอนท่านทั้งหลายจงเอาเรื่องนี้ไปศึกษา แล้วไปช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจกันยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ทั้งวิทยาลัย ทั้งโรงเรียน ทั้งอะไร ๆ ช่วยให้ทุกคนมันรู้เรื่องสำคัญที่สุดคือความไม่เห็นแก่ตัว เป็นที่สรุปรวบยอดของสิ่งที่เรียกว่าพระศาสนาก็ได้ เป็นที่สรุปรวมรวบยอดของสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ได้ แต่ว่าที่โดยสั้นที่สุด โดยตรงที่สุดคือดับทุกข์ได้ หรือเป็นพระนิพพาน หมดความเห็นแก่ตัวก็เป็นพระนิพพานในชั้นสูงสุด ถ้าไม่ถึงชั้นสูงสุดก็เป็นมรรคผลขั้นรอง ๆ ลงมา คือมีความเห็นแก่ตัวน้อยหน่อย ถ้าหมดความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิงก็เป็นพระอรหันต์ หรือนิพพาน มีความเยือกเย็นไม่ร้อนเพราะไม่มีไฟ คือกิเลสเหลือ ขอให้สนใจ ใจความสั้น ๆ นี้ไปให้ได้ รับรองว่าจะไม่เสียทีที่อุตส่าห์มาจากที่ไกล ๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งแพง ทั้งเสียเวลา จงถือเอาใจความสำคัญเท่านี้ เพียงเท่านี้แหละให้ได้จะคุ้มค่าของเวลา ในเรื่องที่ปลีกย่อยก็ต้องระวังให้ดีอย่าให้มันเกินไป มันจะฟุ้งมัน จะเฟ้อ มันจะเฝือ เอาแต่หัวใจ ๆ หัวใจมันแม่นยำ ๆไปสรุปอยู่ที่ไม่เห็นแก่ตัว เพราะว่าไม่มีตัว รู้ความจริงอันถูกต้องว่าไอ้ตัว ๆๆ นี้เป็นผีหลอก เกิดมาจากความโง่ เห็นได้ง่าย ๆ เช่นว่า ตามีระบบประสาท เห็นรูปได้ด้วยระบบประสาท แต่ความโง่มันว่ากูเห็นรูป ไม่ใช่ระบบประสาทตาเห็นรูป มันว่ากูเห็นรูป ระบบหูได้ยินเสียงก็ว่ากูได้ยินเสียง ระบบจมูกได้กลิ่นก็ว่ากูได้กลิ่น เห็นเป็นกู ๆๆไปเสียหมด เอาตัวกูเข้ามาเป็นเรื่องใหญ่โตแล้วมันก็เกิดกิเลส เกิดกิเลสเพื่อตัวกู เพื่อของกู ไม่มีดับทุกข์หรอก ถ้าไม่มีตัวกูของกู มันก็ไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่เกิดกิเลส มันก็ไม่เกิดทุกข์ มันดีอย่างนั้น ตัวอย่างน้อย ๆ เช่นว่า ถ้ามีดบาดนิ้ว ก็รู้สึกเจ็บว่ามีดบาดนิ้วนิดเดียว ไม่ใช่มีดบาดกู ถ้ามีดบาดกูมันมีความหมายมาก มันจะเกี่ยวถึงความตาย เกี่ยวถึงความฉิบหายอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเป็นมีดบาดกู แต่ถ้ามีบาดนิ้วมันก็เรื่องนิดเดียว แม้หนามตำเท้าก็หนามตำเท้าไม่ใช่หนามตำกู มันไม่ถึงกับจะต้องตาย จะต้องเสียชีวิต อย่าให้อะไร ๆ มันเป็นเรื่องของกู ให้มันเป็นเรื่องของสิ่งนั้น ๆ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อายตนะที่พูดมาแล้วมันเป็นเรื่องของอายตนะ อย่าให้เป็นเรื่องของกู ผัสสะอย่าเป็นของกู เวทนาอย่าเป็นของกู ตัณหาอย่าเป็นของกู ทั้งหมดมันก็ไม่เป็นของกู แม้แต่ความทุกข์มันก็ไม่เป็นของกู เราก็ไม่มีความทุกข์ เพราะไม่มีตัวกูอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูอย่างเดียว ปัญหามันก็ไม่เกิด ปัญหามันเกิด เพราะมันมีความรู้สึกว่าตัวกู ความลับมันมีอยู่ว่า พอรู้สึกว่ามีตัวกูมันก็หนักอยู่บนจิตใจ ถ้าไม่มีความรู้สึกว่าตัวกู มันไม่หนักอยู่บนอะไร มันเบาไปหมด มันไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นตัวกูเข้ามาในกรณีไหน จะเกิดความหนักเหมือนแบกหินในกรณีนั้น เกิดที่ร่างกายก็หนักที่ร่างกาย เกิดที่จิตใจก็หนักที่จิตใจ
หรือจะแบ่งเป็นห้ากอง เป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ห้ากองก็เหมือนกันแหละ มันก็หนักอยู่ที่ห้ากองนั้นแหละ ทั้งห้ากองแต่ละกองก็เป็นของหนัก รูปก็หนัก เวทนาก็หนัก สัญญาก็หนัก สังขารก็หนัก วิญญาณก็หนัก เพราะว่ามันกลายเป็นตัวกู ถ้าไม่ใช่ตัวกู มันก็ไม่มาหนักบนอะไร จิตใจก็ไม่เป็นทุกข์ นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา จะดูเป็นเคล็ดก็ได้ จะดูเป็นอุบายก็ได้ จะดูเป็นศิลปะก็ได้ ศิลปะสูงสุดนั่นคือไม่เกิดทุกข์ ยอด ๆ ของศิลปะ คือไม่เกิดทุกข์ เอาละรู้สึกว่าพูดเรื่องส่งท้ายปีเก่ากันนี่มาพอสมควรแล้ว ส่งท้ายออกไปให้หมดด้วยความเห็นแก่ตัว ต้อนรับปีใหม่อันแจ่มใสด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ตรงกันข้ามกันอยู่อย่างนี้ ท่านก็จะได้รับผลดี ได้รับผลดีไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วพบพระพุทธศาสนา เพราะได้พบพระพุทธศาสนาที่จริง แล้วก็ได้สำเร็จประโยชน์จริงตามความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา
นี่บรรยายตั้งแต่ต้นมาจนถึงบัดนี้ก็เป็นเรื่องใจความของพระพุทธศาสนา ไม่มีตัวกู ไม่เห็นแก่ตัวกู ความทุกข์ก็ไม่เกิด ขอได้เอาไปพิจารณา พิจารณาใคร่ครวญให้เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วควบคุมไว้ให้ได้ ปฏิบัติไว้ให้ได้ อย่าให้ตัวกูผีหลอกนี้มันเกิดขึ้นมาในความรู้สึก ก็จะเป็นพุทธบริษัทที่ดี เวลาที่พูดนี่ก็พอสมควรแล้ว ขอยุติด้วยการฝากไว้อย่างจริงจังว่า อย่าเห็นเป็นของเล่น ๆ อย่าเห็นเป็นของครึคระ ให้เห็นเป็นของที่มีค่าที่สุด สามารถที่จะกำจัดความทุกข์ได้จริง แม้ในสมัยนี้ สมัยนี้ซึ่งเป็นสมัยวิทยาศาสตร์ สมัยอวกาศ สมัยปรมาณู สมัยเทคโนโลยี่ แล้วแต่จะเรียกกัน ธรรมะนี่ยังจำเป็นที่สุด ยังเหมาะสมที่สุด ที่จะมาใช้ป้องกันความทุกข์ในสมัยนี้ ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว ไอ้ยุคทั้งหมดเหล่านี้จะให้ความทุกข์อันใหญ่หลวงยิ่งกว่าแต่เดิม ยุควิทยาศาสตร์ ยุคปรมาณู ยุคอวกาศ ยุคเทคโนโลยี่ นี่จะให้ความทุกข์มากยิ่งไปกว่าเดิม ถ้าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องต้านทาน หรือป้องกัน ขอให้ศึกษาธรรมะไว้อย่างเพียงพอสำหรับต่อต้าน หรือป้องกันอย่าให้เกิดความทุกข์ได้ด้วยประการทั้งปวง ขอแสดงความหวังว่าท่านนักศึกษาทั้งหลายจะเอาเรื่องนี้ไปใคร่ครวญดู แล้วปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ ตามความสามารถของตนของตนแล้ว มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย..