แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันครั้งที่ ๘ นี้ ก็จะได้พูดกันถึงพระพุทธเจ้า โดยหัวข้อว่า “พระพุทธเจ้าพระองค์จริง” พระพุทธเจ้าพระองค์จริง เนื่องจากคำว่า “พระพุทธเจ้า” นี้มีความหมายหลายอย่างต่างๆกัน โดยพูดกันคนละนิกาย คนละยุค คนละสมัย และในความประสงค์ที่ต่างๆกัน ดังนั้น จึงมีความหมายต่างๆกัน เรียกว่ายากที่คนทั่วไปจะรู้จักได้ทุกความหมาย เห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรจะทำความเข้าใจกันเสียสักคราวหนึ่ง จะได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ให้เต็มที่ แต่ให้สำเร็จประโยชน์ในการที่จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แต่ว่าการพูดนี้ก็ต้องพูดเป็นส่วนๆ เรื่องๆ หรือว่าข้อๆก็ได้ เพราะมันมีมากข้อที่จนใจจะต้องทำความเข้าใจ มันมีหลายข้อ ก็จะต้องพูดกันทีละข้อๆ
ข้อแรกที่สุดที่จะเริ่มนำ เริ่มเป็นข้อนำเรื่อง คือเรากล่าวได้ว่ามีเรื่องของพระพุทธเจ้าโดยตรง นี่ก็เรื่องธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ คือพืช พืชหรือเชื้อที่จะทำให้เกิดพุทธะ พระพุทธเจ้าคือพระพุทธเจ้าเต็มรูปแบบ แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเพียงเชื้อหรือพืชที่จะทำให้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่ทันจะเป็นพระพุทธเจ้า เรื่องนี้ทางฝ่ายมหายานเขาพูดชัดเจนหรือตรงไปตรงมา คือพูดว่ามีธรรมชาติแห่งความเป็นพระพุทธเจ้าสิงสถิตอยู่ในทุกๆสิ่งที่มีชีวิตสำหรับจะพัฒนาขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า นี่ก็เรียกว่า พืช พืชพรรณธรรมชาติ ฝ่ายเถรวาทเราก็พอที่จะพูดได้เหมือนกันว่า “พุทธธาตุ” พุท-ธะ-ธา-ตุ นะ พุทธธาตุ หรือ โพธิธาตุ หรือกระทั่งวิญญาณธาตุก็มีอยู่ คือธาตุเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ในคำว่า “วิญญาณ” ในที่นี้ก็จะหมายถึงนิพพาน ในความหมายพิเศษซึ่งคุณไม่ค่อยจะได้ยินได้ฟังได้รู้เรื่อง แต่มันมีความหมายพิเศษของคำว่าวิญญาณนี่หมายถึงนิพพาน วิญญาณธาตุในความหมายนี้คือธาตุที่จะทำให้ได้บรรลุนิพพาน ความหมายก็คล้ายๆกับคำว่า พุทธธาตุ โพธิธาตุ โพธิธาตุ มีธาตุแห่งความเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน หรือจะตัดบทเสียเลยว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุ มันจะมีอะไรปรากฏขึ้นมาในลักษณะใดก็เรียกว่า มันเป็นธาตุชนิดหนึ่งได้ทั้งนั้น มันจึงมีธาตุแห่งความเป็นพุทธะ ธาตุที่จะทำความเป็นพุทธะ เป็นที่ตั้งอาศัยให้เกิดความเป็นพุทธะ ก็เพราะเข้ากันได้ก็ที่ฝ่ายมหายาน แล้วก็มีธาตุที่เป็นเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ แต่ว่าเขาพูดไกลเลยไปกว่าเราหน่อยที่ว่าถ้ามันมีชีวิตแล้วมีก็มีธาตุนี้ทั้งนั้น มีธาตุนี้ทั้งนั้น แล้วยังถือว่ามีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ธาตุที่จะทำบุคคลให้เป็นพุทธะ มีคนถามล้อว่าแม้แต่ในกองขี้หมา ไม่ว่าเออ ทุกแห่งเสียจริงๆไม่ยกเว้นที่ไหน คือที่ไหนที่มันมีธาตุที่มันมีชีวิต มีชีวิต มันก็จะมีความรู้สึกประจำอยู่ด้วยเสมอ แล้วความรู้สึกนั้นอาจจะพัฒนาให้เป็นความรู้ รู้ รู้ สูงขึ้นไปจนกระทั่งได้เป็นพระพุทธเจ้า
ข้อนี้เราเห็นได้ง่ายในตอนที่ว่าบรรดาสิ่งที่มีชีวิตแล้วต้องมีความรู้ รู้สึก รู้สึกคิด รู้สึกนึก รู้สึกอารมณ์ทั้งนั้นแหละ แม้แต่ต้นไม้ มันก็มีธาตุรู้ที่ทำให้ต้นไม้รู้สึกอะไรได้ แต่ต้องไปเรียนไปศึกษา ธรรมดาเราไม่ได้ศึกษา ต้นไม้ก็มีอายตนะรับแสงแดด รู้อิทธิพลของแสงแดด แล้วก็รู้สึกต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามาแวดล้อม เข้ามากระทบ ก็รู้สึกกลัวตาย เหมือนกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เรื่องต้นไม้กลัวตายนี่คงจะไม่เคยได้ยินกัน มีวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งเขาพิสูจน์เรื่องนี้ น่าเป็นที่เชื่อถือได้ว่าต้นไม้นี้มีความรู้สึก ก็กลัวตาย ที่เราจะพิสูจน์กันได้ง่ายๆที่ว่า ขู่ให้มันเกือบตาย เอาไฟเผาบ้าง เอาอะไรสับบ้าง เอามีดสับบ้าง ต้นไม้ที่ไม่มีลูก มันก็จะมีลูกออกมาทีเดียว อย่างน้อยก็มีลูกสักชุดหนึ่งแล้วก็ตายไป เพื่อว่าจะทิ้งพืชพรรณเอาไว้ นี้มันกลัวตาย มันกลัวสูญพันธุ์ เชื่อว่าวิทยาศาสตร์พวกหนึ่งเขาพิสูจน์เรื่องความกลัวตายนี้มีรายละเอียดมาก ไปหาอ่านเอาเอง แต่ที่ว่าต้นไม้รู้สึกต่อการประเล้าประโลม ยิ่งเห็นได้ง่าย ต้องพิสูจน์ ในโรงเรียนให้เด็กๆมาช่วยกันร้องเพลงให้ฟัง มากล่าวคำไพเราะให้ฟัง ต้นไม้นั้นก็อ้วนนำดี ถ้าไปด่าทุกวัน ไปแช่งทุกวัน มันก็มีลักษณะเฉาๆ มีการพิสูจน์ว่า ร้องเพลงให้ฟัง ข้าวในนานั้นก็จะงดงามดี คือสรุปความเอากันแต่เพียงว่า สิ่งที่มีชีวิตแล้วต้องมีธาตุ ธาตุที่เป็นธาตุรู้ แล้วก็รู้สึกต่อสิ่งที่มากระทบ ถ้าเป็นคนอย่างมนุษย์เราก็มีตั้ง ๖ อายตนะ ๖ ทางที่จะรู้ แต่ต้นไม้ก็มีน้อยลงไป แต่มันก็ต้องมีธาตุที่เป็นอายตนะ ที่ทำให้ต้นไม้มันรู้สึก นี้คือธาตุแห่งความรู้ ซึ่งจะเรียกว่า วิญญาณธาตุ หรือโพธิธาตุ อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ คือมันมีอยู่จริงในสิ่งที่มีชีวิต ธาตุที่จะทำให้รู้สึก แล้วธาตุนั้นอาจจะพัฒนาให้รู้สึกมากยิ่งขึ้นๆๆ ถ้าในสัตว์เดรัจฉานนั้นก็เห็นได้ง่าย มันมีธาตุแห่งความรู้ ถ้าสัตว์เดรัจฉานนั้นได้รับการฝึกที่ดี ฝึกที่ดี มันก็ทำอะไรได้มากเกินคาดเหมือนกัน เพราะมันมีธาตุแห่งความรู้ที่จะพัฒนาได้ ที่จะรู้สึกได้
ในตอนนี้ก็เอาเป็นว่ามีพุทธะ คือสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า แล้วก็มีพุทธ พีชะ หรือว่าพุทธธรรมชาติ หรือ พุทธภาวะ ซึ่งเป็นเพียงธาตุเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า นี่ข้อแรกที่อยากจะให้เข้าใจว่ามันมีพุทธะ มันมีธาตุหรือมีพืชพรรณ หรือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ เมื่อได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้องตามเรื่องแล้วก็จะเกิดเป็นพุทธะขึ้นมา ทั้งหมดนี้สรุปความจากที่ได้อ่าน ได้ศึกษา ได้สังเกต ได้เข้าใจมารวมๆกันว่า มีพุทธะและมีพุทธภาวะ
ทีนี้ในข้อที่ ๒ ก็อยากจะพูดของฝ่ายมหายานล้วนๆ นี่ช่วยจำกันไว้ให้ดีหน่อยว่า มันเป็นเรื่องของทางฝ่านมหายาน แต่ว่าก็เป็นมหายานสมัยที่ยังอยู่ในอินเดีย ไม่ใช่มหายานในเมืองจีน เมืองญี่ปุ่น เขามีพูดกล่าวถึง หรือบรรยาย หรือสอนกันว่า พุทธะหรือพระพุทธเจ้า หรือที่ควรเรียกกันว่าพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี้มีอยู่ถึง ๓ ชั้น ๓ ชั้น ชั้นแรกที่สุดเรียกว่า “อาทิพุทธะ” พระพุทธเจ้าองค์ปฐม องค์ต้น องค์แรกที่สุด เป็นอนันตกาลอยู่ตลอดไป เป็นจุดตั้งต้นของความเป็นพุทธะ นี่เรียกว่า อาทิพุทธะ แล้วต่อมาองค์ที่ ๒เรียกว่า “ธยานีพุทธะ” ธยานีพุทธะ พุทธะที่เกิดมาจากณาน คือมีการบำเพ็ญณานถึงที่สุด ก็ทำให้อาทิพุทธะแยกตัวมาเป็นธยานีพุทธะ พุทธะที่สำเร็จมาจากณาน จากสมาธิ องค์นี้มีหลายองค์ ชื่อนี้มีหลายองค์ ชื่อเป็นสันสกฤต ไปตามเรื่องของเรายังไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่ว่ารู้ว่ามีพระพุทธเจ้าที่ออกมาจากการเพ่งณาน แต่พระพุทธเจ้าที่ออกมาจากการเพ่งณานนี่ ก็มีพระพุทธเจ้าประเภท “มานุษีพุทธะ” มานุษีพุทธะ พระพุทธเจ้าที่เป็นอย่างมนุษย์ เป็นอย่างบุคคลเหมือนเราๆนี่ คือเป็นมนุษย์บุคคลเหมือนอย่างเราๆนี่ เมื่อมีธยานีพุทธะเป็นความรู้ที่เกิดออกมาจากณานแล้วก็ทำให้บุคคลนั้นกลายเป็น มานุษีพุทธะ ซึ่งพระพุทธเจ้าสิทธัตถะองค์ที่เราเคารพนับถือกันอยู่ก็เป็นพวกมานุษีพุทธะ ส่วนธยานีพุทธะนั้นเราไม่เคยเห็น มีแต่อ่านในเรื่องราวของเขา เช่น ชื่ออมิตาพระบ้างอะไรบ้าง รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่อยู่ในสนามหญ้านั้น ถ้าเต็มรูปแล้วมันมีพระพุทธรูปเล็กๆอยู่ที่หน้าผาก ก็คือรูปองค์เล็ก คือพระพุทธเจ้าชนิดธยานีพุทธะ ธยานีพุทธะ พระอวโลกิเตศวรนี้รับใช้ ธยานีพุทธะ ส่วนอาทิพุทธะต้นเดิมสุดนั้นไม่ได้ปรากฏ ยากที่จะมาปรากฏ ยากที่จะเข้าใจ แต่เขาบัญญัติไว้ว่ามี มี เอาก็ได้ว่าเป็นชุดหนึ่ง ๓ องค์อีก ๓ องค์ชุดนี้
อาทิพุทธะองค์เดิมตลอดกาลนิรันดร เป็นสักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ นี่องค์ที่ ๒ เมื่อบำเพ็ญณาน เพิ่งณาน หนักๆเข้า หนักเข้า ก็ปรากฏออกมา เป็นพระพุทธเจ้าที่ปรากฏออกมาด้วยอำนาจของณาน นี่องค์ที่ ๓ ก็คือมนุษย์บุคคลที่ทำได้อย่างนั้นแหละ คือทำได้เช่นนั้น เราก็รู้จักกันแต่พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าที่เป็นตัวณาน เกิดจากณานเราก็ไม่ค่อยรู้กัน แต่เขาบัญญัติกันถือกันเป็นการใหญ่ ลัทธิที่นับถืออวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มีอมิตาพระอยู่ที่หน้าผากให้มั่นคงในฝ่ายมหายาน ก็เลยนับถือพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นที่รองรับหรือรับใช้พระพุทธเจ้าชนิดนั้น อมิตาพระ ชื่ออมิตาพระนั้น ได้เปรียบเพราะมีฤทธิ์มีเดชส่วนที่เป็นพระโพธิสัตว์แล้วก็เหมือนกับพระอิศวร ช่วยอะไรได้ ในส่วนที่เป็นพระพุทธะก็เป็นพุทธะ ฝ่ายจีน พวกอาซิ้มเขาถือกันนักหนา บอกชื่อ นำมอ นำมอออทีฮุก อมิตาภพุทธะ นโมอมิตาภะ นโมอมิตาภะ อย่างนี้ก็แปดหมื่นครั้งแล้วก็พอ สำเร็จ แน่นอนไปอยู่สวรรค์สุขาวดี ไม่มีปัญหาอะไรอีกต่อไป นับถือกันถึงขนาดนี้
เอาล่ะ นี่มันออกจะลึกเกินไป เกินความต้องการของเรา แต่ลองรู้ไว้ก่อน เผื่อว่ามันจะได้ความคิดอะไรดีๆ ว่ามีธาตุแห่งความเป็นพุทธะเป็นจุดตั้งต้นของธรรมชาติ ถ้าเราเพ่งฌาน เพิ่งสมาธิก็จะออกมาเป็นความรู้ประจักษ์แก่จิตใจ แล้วผู้ใดมีความรู้สึกทำได้เช่นนั้นก็เป็นพระพุทธเจ้าอย่างมนุษย์
ที่นี้ ข้อที่ ๓ ที่จะให้รู้ต่อไปอีกก็คือ พระพุทธเจ้าชนิดที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับเราก็นับรวมอยู่ในชุดเหล่านี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ที่เป็นตัวธรรม อย่างที่ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม นี่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม เห็นธรรมนั่นแหละคือเห็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระองค์ธรรม ซึ่งไม่ค่อยเห็น เราเห็นกันแต่พระองค์คน พระองค์คน ก็คือพระสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าชื่อสิทธัตถะ โอรสพระเจ้าสุทโธทนะในอินเดียนั้น นี่เรียกพระองค์คน พระองค์คนนี่มาบอกเราว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ท่านไม่อยากให้ยึดถือเอาพระองค์คนนั้นเป็นพระพุทธเจ้า ให้ยึดถือเอาพระองค์ธรรมเป็นพระพุทธเจ้า แต่พวกเราก็ไม่ยอม ไม่ยอม ล้วนแต่ยึดถือพระองค์คนทั้งนั้นแหละ เพราะพระองค์ธรรมเราไม่รู้จักนี่ เราโง่ เรายังไม่รู้จักพระองค์ธรรม ก็ต้องรู้จักแต่พระองค์คนกันไปก่อน หมายมั่นยึดมั่นเอาพระองค์คนนั่นแหละเป็นพระพุทธเจ้า ทั้งที่พระพุทธเจ้าพระองค์คนบอกเราอยู่ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดไม่เห็นธรรมผู้นั้นไม่เห็นเรา ท่านบอกอยู่อย่างนี้ ดังนั้น ควรจะรู้จักแยกเอาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมเสียทีหนึ่งก่อน แล้วเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์คน เป็นบุคคล หรือจะเรียกว่าเป็นพระองค์แทนของพระองค์ธรรมก็ได้ พระองค์ธรรมยากที่จะเห็นยากที่จะรู้จัก ก็มีพระองค์คนหรือพระองค์แทนให้เรารู้จักได้ง่ายๆอย่างที่เราศึกษาแล้วเราก็รู้จัก อย่างเรียนพุทธประวัติเราก็รู้จัก รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์คนพระองค์แทน
ครั้นพระพุทธเจ้าพระองค์คนนิพพาน เหลือเป็นพระธาตุ นี่ก็เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แทน แทนว่าเป็นกระดูก ว่าเป็นตัวคนจริงๆ พระพุทธเจ้าพระองค์แทนเป็นได้ทั้งที่เป็นบุคคล เป็นที่เหลือแต่กระดูกเป็นพระธาตุ หรือคุณจะเรียกอย่างนี้จะดีไม่ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมคือ “พระธรรม” และพระพุทธเจ้าพระองค์คนคือ “พระสิทธัตถะ” แล้วพระพุทธเจ้าพระองค์แทนคือ “พระธาตุ พระบรมธาตุ พระสารีริกธาตุ” อย่างนี้จะง่ายกว่านะ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมคือเห็นยาก พระพุทธเจ้าพระองค์คนที่เราเรียนกัน แล้วก็พระองค์แทน เมื่อพระองค์คนนิพพานไปแล้วก็เหลือพระสารีริกธาตุไว้แทนตัว
ที่นี้ต่อมาๆ นี่นอกเรื่องแล้วนะ ต่อมามีพระพุทธเจ้าพระองค์ปลอม พระองค์เทียม คือมีคนที่เอาพระธาตุ ว่าที่เป็นเม็ดกลมๆเหมือนไข่มุก ที่บอกว่านี่พระธาตุ นี่พระธาตุ พระธาตุเม็ดกลมๆเหมือนไข่มุกสวยงามมากนั้นมีแต่ในประเทศลังกาและในประเทศไทย ในประเทศอินเดียไม่มี มีแต่กระดูกเผาไฟ พระธาตุที่ขุดพบในอินเดียมีแต่กระดูกเผาไฟ แต่ในลังกามากเต็มไปหมด พระธาตุเป็นเม็ดสวยเหมือนกับไข่มุก ในเมืองไทยก็มีไม่น้อย พระธาตุ ผมไม่เชื่อว่านี่จะเป็นพระธาตุเป็นกระดูกแท้ๆ แต่เขาก็เชื่อกัน ก็ไม่ต้องทะเลาะกัน แต่จะเรียกว่าพระองค์เทียม พระองค์เทียม เอามาทำเทียม ไปเก็บไปควักเม็ดเหมือนไข่มุก เขาคงมีกันเป็นถังๆ มีแจกกันได้ไม่สิ้นสุด พระธาตุนี้ไม่เรียกพระองค์เทียมจะเรียกว่าอย่างไร แล้วยังมีพระองค์ปลอม เทียม เทียมปลอม คือพระธาตุที่เขาเก็บกระดูกของครูบาอาจารย์ไว้นานๆ แล้วก็บอกคนทั้งหลายว่าเดี๋ยวนี้กลายเป็นเม็ดไข่มุกหมดแล้ว ที่เป็นกระดูกไม่มีแล้ว เขาไปเอาเม็ดไข่มุกที่เป็นของธรรมชาติ เป็นแร่ธาตุ มาใส่ไว้แทน เอากระดูกไปซ่อนเสียที่ไหน ก็นี่กระดูกอาจารย์ พระธาตุอย่างนี้ผมก็อยากจะเรียกว่าพระองค์เทียมเหมือนกัน พระธาตุที่เทียมที่ปลอม แล้วก็ยังมีที่น่าหัวว่า ในพวกที่เขามีพระธาตุ ยึดถือพระธาตุเหมือนไข่มุกนี้นะ เขามีเชิญมาได้ เชิญกันมาจากไหนไม่ทราบ เขาทำพิธีเชิญ อาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าก็เชิญ ก็ทำพิธีเชิญ คราวหนึ่งพิธีแห่งหนึ่งก็ทำพิธีเชิญอย่างนี้ พอถึงคราวที่พระธาตุจะมา อาจารย์บอกให้หลับตาหมด ให้ทำมือ ทำมือเหมือนกับรอรับของที่จะมาลง หลับตาหมด บางคนก็ได้เม็ดนั้น บางคนก็ได้ เม็ดบางคนก็ได้ แต่มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ภรรยาของเจ็กฮังยิดที่เรารู้จักกันดี แกไม่หลับ แกเห็นแม่ชีคนหนึ่งดีดกรวดนี่มาจากที่แห่งหนึ่ง ดีดเม็ดกรวดนี้มา เข้ามาในหมู่นี่แหละ ไปถูกคนไหน คนนั้นก็ได้ ได้พระธาตุเชิญมา ถ้าอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าพระองค์ปลอมแล้วจะให้เรียกอย่างไร พระธาตุที่ถูกกุหรือหลอกกันขึ้นมา อย่างนี้ก็รู้กันไว้แล้วกัน เชื่อไม่เชื่อกันก็ตามใจ ผมก็ไม่ได้ไปขอร้องให้เชื่อ แต่เท่าที่ทราบมามันเป็นอย่างนี้
เอาล่ะ ในหมวดที่ ๓ หรือข้อที่ ๓ นี้ ก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ไม่มีรูปร่างไม่มีตัวตน เป็นธรรม ธรรมชาติ เป็นสัจธรรม เป็นกฎของธรรมชาติ นี่ก็มีพระองค์คนคือ พระสิทธัตถะ แล้วก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์แทนคือ พระธาตุหรือกระดูกของท่านก็มี ในส่วนที่เป็นจริงนะ ต่อมานานเข้าๆก็มีพระองค์เทียม คือพระธาตุที่ทำเทียมกันขึ้นมาอย่างนี้ รู้จักไว้เถอะ พระพุทธเจ้าพระองค์คนก็มีจริงเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระองค์ธรรมที่แท้กว่านั้นไม่มองเห็นตัว แต่เป็นองค์ที่เราต้องเข้าถึงจึงจะดับทุกข์ได้ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา นั้นพระองค์ธรรม ส่วนพระองค์แทนก็มีกันมาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้มีอะไรแทนกันบ้าง มีพระพุทธรูปบ้างอะไรบ้าง ก็เป็นพระองค์แทน
ทีนี้ในข้อที่ ๔ จะพูดถึงพระพุทธเจ้าอีก ๓ องค์ที่มีร่างกายต่างๆกัน ก็เป็นของฝ่ายมหายาน แต่ว่าเราไม่ใช่มหายาน แม้เป็นเถรวาทก็ฟังดู ก็เออ ก็จริง ไม่ต้องคัดค้านกันหรอก ไม่ต้องแย่งกันหรอก เรียกว่า “ตรีกาย” ตรีกาย คือ ๓ กาย พระพุทธเจ้า ๓ พระกาย ๓ พระกาย องค์แรก พระพุทธเจ้าที่เป็น “ธรรมกาย” ธรรมกาย กายธรรม กายธรรม ก็เช่นเดียวกับพระองค์ธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมนั้นแหละคือ ธรรมกาย พระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมกาย ดูด้วยตาไม่เห็น มีธรรมกายที่กล่าวในที่นี้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างที่ดูในตาไม่เห็น ต้องเห็นด้วยปัญญา หรือเห็นด้วยจิตใจ อย่างธรรมกายอย่างที่อธิบายอย่างอื่นก็มีนะ ไม่ต้องเอามาปนกันนะ ไม่ทะเลาะกันนะ นี่ธรรมกาย ธรรมกายที่ว่าเป็นกายธรรม กายธรรม มันก็เรียกว่าพระพุทธเจ้ามีพระกายธรรม มีพระกายธรรม แล้วก็พระพุทธเจ้าที่มีกายเนื้อ คือกายเนื้ออย่างเรานี้ เรียกว่า “สัมโภคกาย” องค์เมื่อสักครู่เรียกว่าธรรมกาย องค์ที่ ๒ เรียกว่า สัมโภคกาย เป็นกายเนื้อ เนื้อเหมือนกับเรา พระสิทธัตถะนี่มีกายเนื้อเหมือนกับเรา มีสัมโภคกาย พระกายที่ ๓ เรียกว่า “นิรมานกาย” คือพระพุทธเจ้าที่มีร่างกายเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ หรือจะเรียกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์คน นั้นมีหลายๆองค์ ร่างกายไม่เหมือนกันแล้ว แต่เขาอธิบายว่า เมื่อพระพุทธเจ้าต้องการจะแสดงอำนาจ แสดงปาฏิหาริย์ แสดงอะไรต่างๆ นั่นคือท่านทำกายให้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อเอาชนะเหตุการณ์ คือกายที่แสดงปาฏิหาริย์ให้แปลกแตกต่างออกไปสำหรับที่จะเอาชนะ คนไม่เชื่อ พระกายที่เปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์เรียกว่า นิรมานกาย นิรมานกาย ทรงแสดงปาฏิหาริย์เปลี่ยนแปลงต่างๆก็ได้ หรือว่าพระพุทธเจ้าองค์นู้นในยุคนู้นมีร่างกายอย่างนี้ ในยุคอื่นมีร่างกายอย่างนี้ ในยุคอื่นมีร่างกายอย่างนี้ มีร่างกายเหมาะสมกับการเกิดขึ้นมาอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน เรียกว่ากายที่มันต่างๆกัน
นี่พระพุทธเจ้ามีร่างกายถึง ๓ กาย องค์ที่ ๑เรียกว่าธรรมกาย องค์ที่ ๒ เรียกว่า สัมโภคกาย องค์ที่ ๓ เรียกว่า นิรมานกาย นิรมาน แปลว่านิรมิตต่างๆ ถ้าไปที่วัดพระธาตุ ดูให้ดี มีพระพุทธรูปอยู่กลางลานวัด ๓ องค์เคียงๆกันอยู่ ไม่มีใครอธิบายได้ว่าเหตุใดทำอย่างนั้น คงเดาว่านี่คงเอาคติของมหายานมาสร้าง เดานะ ที่ไหนที่นั่นมีองค์เดียว ในโบสถ์ไหนก็มีองค์เดียว แต่โบสถ์นั้นก่อนก็เคยเป็นโบสถ์เล็กๆมี ๓ องค์ เออนี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าใน ๓ พระกาย ธรรมกาย – กายธรรม, สัมโภคกาย - กายเนื้อหนัง, นิรมานกาย - กายที่นิรมิตต่างๆกัน นี่ก็พระพุทธเจ้าทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ มันชักจะยุ่งกันไป ถ้าจำให้แม่นๆไม่ยุ่ง ถ้าจำไม่แม่นก็ยุ่ง ปนกันยุ่งไปหมด
ทีนี้ก็ในหัวข้อที่ ๕ ที่จะให้เห็นกันชัดๆ ง่ายๆ อีกทีในหัวข้อที่ ๕ พระพุทธเจ้าองค์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของโลก พระพุทธเจ้าองค์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของโลก และพระพุทธเจ้าองค์ที่ไม่อาจจะปรากฏในประวัติศาสตร์ของโลก แล้วก็มีอยู่อีกองค์ พระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นนิรันดร นิรันดร องค์ที่หนึ่งที่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของโลก ก็คือประวัติศาสตร์นี้ที่เขียนกันไว้เป็นประวัติศาสตร์ ทุกเหตุการณ์ ทุกบุคคล ทุกชนิด พระพุทธเจ้าองค์ที่มีประวัติ ที่ถูกบรรจุเข้าไปในประวัติศาสตร์ให้เรียนกัน หนังสือพุทธประวัติอย่างประวัติศาสตร์นี่ฝรั่งเขาเรียนกันมาก เรียนกันมากกว่าพวกไทยเราเสียอีก เพราะพวกเรามักจะมาเรียนในส่วนของตำนาน ตำนาน นิยาย เป็นเทพนิยายที่เหลือเชื่อ ฝรั่งไม่ค่อยสนใจ เขาเลยแยกออกเป็น ๒ ชนิด
พุทธประวัตินี่พวกฝรั่งเขาแยกออกเป็น ๒ ชนิด เรียกว่า “historical” history หรือ historical ที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ แล้วอันที่ ๒ เรียกว่า “legendary” legend ที่แปลว่านิยาย legendary ซึ่งเป็นนิยาย ซึ่งอยู่ในนิยาย พุทธประวัตินี้มี ๒ ชนิด ที่พวกฝรั่งเขาแยกออกเรียนนะ อย่าง historical อย่าง legendary นี้เราเรียกว่าพระพุทธเจ้าที่เข้าไปปรากฏอยู่ในตำราประวัติศาสตร์โลก เหมือนกับประวัติศาสตร์อื่นๆในโลกทั้งโลก นี่พระพุทธเจ้าที่อยู่ในประวัติศาสตร์ สามารถเอาไปเขียนเป็นประวัติศาสตร์ได้ เรื่องส่วนพระองค์ก็ดี คำสอนก็ดี เหตุการณ์ก็ดี ของพระพุทธเจ้าเอานี้ไปบรรจุในหนังสือประวัติศาสตร์ของโลกได้ แต่ทีนี้ก็มีอยู่อีกองค์หนึ่งไม่อยู่ในประวัติศาสตร์ ไม่อาจจะอยู่ในประวัติสาสตร์ ไม่อาจจะเอามาเขียนเป็นประวัติศาสตร์ บันทึกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ นี่เขาเรียกว่า พระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมกาย เป็นธรรมกาย นอกประวัติศาสตร์ อยู่นอกประวัติศาสตร์ ฝรั่งไม่พบองค์นี้แล้ว ไม่ค่อยสนใจ เพราะเขามักจะเอาสิ่งที่มีวัตถุหลักฐานปรากฏชัดเจนในประวัติศาสตร์ พอมาถึงพระธรรมกาย ท่านไม่มาอยู่ในประวัติศาสตร์ให้จดให้เขียนกันอยู่อย่างนี้ นี่เรียกพระพุทธเจ้าองค์ที่อยู่นอกประวัติศาสตร์ องค์ที่ ๓ พระพุทธเจ้าองค์ที่ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ นิรันดร เป็นนิรันดร เหมือนกับอาทิพุทธะองค์แรก องค์แรกที่เราแรกกล่าวอาทิพุทธะนั่น เป็นธาตุตามธรรมชาติไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อยู่นอกประวัติศาสตร์ยิ่งกันไปอีก ก็เลยว่าองค์นิรันดร
จำง่ายๆก็พระพุทธเจ้าองค์ประวัติศาสตร์ พระพุทธเจ้าองค์ที่มีในประวัติศาสตร์ องค์ที่อยู่นอกประวัติศาสตร์ แล้วก็องค์นอกเป็นนิรันดร คือไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โดยประการทั้งปวง นี่พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ก็อาจจะสังเกตได้และศึกษาได้อย่างนี้ เราล้อพวกฝรั่งได้ว่า คุณรู้จักแต่พระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์เท่านั้น ที่นอกประวัติศาสตร์หรือนิรันดร คุณก็ไม่สนใจ แต่ก็ต้องระวังนะ พวกเราเองก็ไม่ค่อยจะสนใจอยู่เหมือนกัน เรียนแต่พุทธประวัติ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์
เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ ๖ พระพุทธเจ้าในพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าที่เป็นหัวแก้วหัวแหวน รัตนะ รัตนะแปลว่าหัวแก้วหัวแหวน พระพุทธเจ้าที่รวมอยู่ในพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ต้องอธิบายกันมากแล้วกระมัง ถ้าอธิบายเรื่องนี้กันอีกก็แย่ แต่ก็ยังมีข้อที่ควรจะเข้าใจอยู่บ้าง ไม่น้อยเหมือนกันแหละ พูดอย่างให้เด็กๆฟังนะ “พระพุทธเจ้า” คือผู้ค้นพบพระธรรม “พระธรรม” คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วนำมาสอน สิ่งที่ค้นพบนำมาสอนคือพระธรรม “พระสงฆ์” คือผู้รู้ข้อนี้แล้วปฏิบัติตาม ได้รับผลของการปฏิบัติ ถ้าเราจะย่อที่สุดก็ว่า พระพุทธ ผู้พบ ผู้บอก พระธรรมคือสิ่งที่พบหรือถูกพบ ถูกบอก สิ่งที่ถูกบอก พระสงฆ์คือผู้ที่ทำตามคำสอนที่ได้พบและบอก แยกกัน ๓ องค์ ชี้ให้มันลึกไปกว่านั้น มันลึกไปกว่านั้นมันจะค่อยไปหลอมเป็นองค์เดียวกัน
ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า พระธรรมก็ไม่ปรากฏ ถ้าไม่มีพระธรรมก็ไม่มีใครเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระสงฆ์ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ไม่มีใครเรียนรู้เรื่องนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม พระธรรมทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ก็ปฏิบัติตามพระธรรม อาจารย์บางจำพวกถือเป็นองค์เดียวกันเลย ทั้ง ๓ องค์เป็นองค์เดียวกันเลย ถ้าพูดให้เด็กๆฟังก็จะแยกเป็น ๓ องค์ ให้อยู่กันคนละทิศละทาง ถ้าพูดให้ผู้มีความรู้ เป็นบัณฑิต นักปราชญ์ ก็เป็นองค์เดียวเท่านั้นแหละ องค์เดียวเท่านั้น องค์ที่เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยอำนาจของพระธรรม แล้วพระธรรมนั้นก็ได้ไปเป็นประโยชน์แก่มหาชนเพราะพระสงฆ์ ทำงานร่วมกันเหมือนสหกรณ์ เป็นองค์เดียวกันเลย เป็นองค์เดียวกันเลย ถ้าใครรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถึงขนาดนี้เรียกว่าดีมาก ลึกกว่าที่จะเห็นเป็น ๓ องค์ ลึกเป็น ๓ องค์ ง่ายเกินไป เกินไป ถ้าเห็นได้ว่าเป็นองค์เดียวกันล่ะคือมีความรู้มาก ลึกมาก
ที่ผมขอแถมหน่อย ผมพูดเอาเองนะว่าให้ดูให้ดี ให้สังเกตให้ดี จะมองเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่น้องของเรา พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่แก่เรา พระสงฆ์เป็นพี่น้องของเรา อย่างนี้เรียกว่าเอาประโยชน์มากทีเดียวนะ ถือเอาประโยชน์มาก พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ ทำให้เกิดเรา ตัวเรา ตัวเรานี้จะเป็นตัวเรามีค่า มีคุณค่า มีประโยชน์อะไรขึ้นมาก็เพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะพระพุทธและพระธรรมนั้นแหละทำให้เกิดเรามา แล้วที่เกิดมาก่อนๆหรือที่หลังก็ตามคือพระสงฆ์ ก็พี่น้องกับเรา ไม่ใช่เราจะอวดดี จะจองหอง จะยกตนอะไรไม่ใช่ เราไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่เราจะมองให้เห็นว่า เราควรจะเป็นอย่างนั้น เราควรจะมีพระพุทธเจ้าเหมือนกับพ่อ แล้วก็มีพระธรรมเหมือนกับแม่ แล้วมีพระสงฆ์เหมือนกับพี่น้อง พี่น้องคลานตามกันมา ทำได้อย่างนี้ก็วิเศษ ประเสริฐวิเศษที่สุด
ทีนี้มาถึงข้อที่ ๗ มาถึงข้อที่ ๗ จะพูดตามภาษาพูด ภาษาพูดมีอยู่ ๒ ภาษาคือ ภาษาคนกับภาษาธรรม มีอยู่ ๒ ภาษา ถ้าพูดเจาะจงลงไปที่คน เอาคนเป็นเรื่องสำหรับพูด ก็เรียกว่าพูดภาษาคน ในโรงเรียนเรียกว่าภาษาธรรม บุคคลาธิษฐาน พูดเอาคนเป็นที่ตั้งสำหรับการพูด เรียกว่า “บุคคลาธิษฐาน” นี่เรียกว่าพูดเอาธรรมะเป็นที่ตั้ง เอาธรรมะที่มีในบุคคล ไม่เอาตัวบุคคลเป็นที่ตั้ง ก็เรียกว่า “ภาษาธรรม” พูดไปที่ธรรม ไม่พูดไปที่คน ถ้าเป็นอย่างนี้เรียกว่า “ธรรมาธิษฐาน” อันหนึ่งเป็นบุคลาธิษฐาน พูดพุ่งตรงไปยังบุคคล อันหนึ่งธรรมาธิษฐาน พูดพุ่งตรงไปยังพระธรรม เดี๋ยวนี้เราพูดกันมันเป็นภาษาของธรรม ภาษาของคนไม่รู้ ภาษาคนเดินถนน พูดภาษาคน รู้จักพระพุทธเจ้าแต่ที่เป็นบุคคล บุคคล อย่างที่เรียนในพุทธประวัติ ส่วนพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมะ ที่พระองค์ตรัส ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้ในเห็นเรา ต้องเห็นธรรมจึงจะเห็นเรา นั่นแหละพูดในภาษาธรรม พระพุทธเจ้าในภาษาธรรม จะมาพูดว่าลูกคนนั้นหลานคนนั้นอยู่ในอินเดีย เมืองนั้นเมืองนี้ ตอนอยู่กี่ปี ตายแล้วเผาแล้วกี่ปี นั้นพูดอย่างนั้นไม่ได้ นั่นเป็นภาษาคน ถ้าเป็นภาษาธรรมละก็ เป็นกฎของธรรมชาติอยู่ตลอดกาลนิรันดร เป็นเรื่องดับทุกข์ คือเป็นความจริงของธรรมชาติที่ว่า ทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร ทุกข์ดับกันไปอย่างไร ใครเห็นแล้วก็ดับทุกข์ได้ นี่กฎธรรมชาติอันนี้เรียกว่า ธรรมะ พระพุทธเจ้าที่เป็นพระองค์ธรรม ถ้าเราพูดว่าสิ่งที่แสดงความเกิดทุกข์และดับทุกข์ แล้วก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม พูดในภาษาธรรม โดยบุคคลาธิษฐาน ถ้าเราไปพูดอย่างที่เรียนในพุทธประวัติว่า ท่านเป็นลูกพระเจ้าสุทโธทนะ มารดาชื่อมายาเทวี เกิดกรุงกบิลพัสดุ์ ๒๙ ปีบวช แล้วก็อยู่๔๕ ปี ตรัสรู้ แล้วก็สอน ตายแล้ว เผาแล้ว เหลือแต่กระดูก อย่างนี้เราพูดภาษาคน ภาษาคนในลักษณะเป็นคน ถ้าเราพูดโดยภาษาคน ก็ต้องพูดเรื่องคน อย่างคน เป็นคน แต่เมื่อพูดถึงในสิ่งที่เป็นธรรมหรือธรรมชาติ จึงจะเรียกว่าพระพุทธเจ้านั้นในภาษาธรรม
ทีนี้พระพุทธเจ้าที่เป็นในภาษาคนนั้นยังแบ่งออกได้เป็น ๓ พวก พระพุทธเจ้าในภาษาคนที่เป็นบุคคลยังแบ่งออกได้เป็น ๓ พวก คุณจะแยกออกเป็นข้อที่ ๘ ก็ได้ตามใจนะว่าพระพุทธเจ้าอย่างบุคคลในภาษาคน แยกออกได้เป็น ๓ องค์ องค์ที่๑ เรียกว่า “สัมมาสัมพุทธะ” องค์ที่๑ เรียกว่า สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย นี่สัมมาสัมพุทธะ องค์ที่ ๒เรียกว่า “ปัจเจกพุทธะ” รู้เพียงเพื่อดับทุกข์ของตนสิ้นเชิง ไม่สามารถในการพูดจาสั่งสอน ไม่มีความสามารถในการพูดจาสั่งสอน แต่ก็หมดกิเลสได้ด้วยตนเองเหมือนกัน ทั้ง ๒ องค์นี้หมดกิเลสได้ด้วยตนเองเหมือนกัน แต่องค์ที่ ๑ มีความรู้สามารถพูดจาสั่งสอนอะไรก็ได้ให้คนอื่นรู้ตามด้วย องค์ที่ ๒ นี้ไม่สามารถจะพูดจาสั่งสอน หรือเราจะถือเสียว่าท่านไม่อยากจะสั่งสอนก็ได้ ท่านไม่แตกฉานในการพูดจาสั่งสอน แล้วองค์ที่ ๓ องค์ที่ ๓ เรียกว่า “อนุพุทธะ” อนุพุทธะ นี้ไม่ได้ตรัสรู้เององค์นี้ ได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธะ แล้วปฏิบัติ ดับกิเลส ดับทุกข์สิ้นเชิง เหมือนพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เหมือนพระพุทธเจ้าแต่ไม่ได้รู้เอง ตรัสรู้เอง ต้องได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอย่างเพียงพอ ก็เป็นอนุพุทธะ รู้ตาม รู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล บุคคล ก็ยังแยกออกได้เป็น ๓
ทีนี้พูดแล้วก็พูดเสียให้หมดนะ ตามที่ยึดถือกันมา ยึดถือกันอยู่ ในพระบาลีก็ปรากฏเหมือนกัน ข้อความนี้ว่า พระพุทธเจ้าบุคคลที่ยังจะมาข้างหน้า พระพุทธเจ้าอย่างชนิดบุคคลที่ยังจะมาข้างหน้า ต่อไปข้างหน้า เรียกว่า “พระศรีอาริยเมตไตรย” ก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคลที่จะมาข้างหน้า พระองค์นี้เป็นพระพุทธเจ้าที่หวังกันนัก หวังกันนักว่าในศาสนา หรือในโลกของพระพุทธเจ้าองค์นี้ สะดวกสบายเหลือประมาณ บอกไม่ถูก มีต้นไม้เรียกว่ากัลปพฤกษ์ก็ได้ กัลปดรูมะก็ได้ ที่ในอินเดียได้ยินเรียกกัลปดรูมะมากกว่า ในเมืองไทยนี้เรียกว่ากัลปพฤกษ์ ต้นไม้นั้นแหละไปขออะไรได้ทั้งนั้น จะขออะไร มีอยู่ทั่วไปในโลก แผ่นดินพระศรีอาริยเมตไตรย ขออะไรก็ได้ แล้วก็คนรักใคร่ เมตตาอารี ไม่ทำร้ายกัน ลงมากลางถนน จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร มันเหมือนกันไปหมด ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยเหลือ ยินดีปรีดาปราโมทย์กันหมด ไม่มีใครเบียดเบียนใคร กลับไปถึงบ้านถึงเรือนของตนแล้วจึงค่อยรู้นี่ลูกของเรา นี่สามีของเรา นี่ภรรยาของเรา มากมายเหลือที่จะกล่าว อย่ากล่าวให้มันมากนัก เดี๋ยวจะไม่เชื่อ ไม่ค่อยเป็นที่พอใจทุกอย่างว่าจะมาข้างหน้า ว่าจะมาข้างหน้า เมื่อสิ้นศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้แล้ว พระพุทธเจ้าชื่อพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาข้างหน้า ก็เลยเรียกว่าพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างบุคคล ก็จะเป็นอย่างจะมาในอนาคต นี่เรียกว่าหัวข้อที่ ๑๐ ก็ได้
ทีนี้ต่อไปข้อที่ ๑๑ นะ ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โพธิสัตว์” โพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ คือผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าโดยแน่นอน เรียกว่าพระโพธิสัตว์ ในคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทพวกเรานี้ก็มีความหมายว่า กำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ ทุกๆบารมี เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เป็นเทวดาก็มี เป็นคนธรรมดาก็มี กำลังบำเพ็ญบารมี ในบารมี ๑๐ อยู่เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แต่ฝ่ายมหายานเขากล่าวอีกอย่างหนึ่ง เขาไม่กล่าวอย่างนี้ พระโพธิสัตว์คือผู้ที่อุทิศตัวให้ผู้อื่นหมด อุทิศตัวให้ผู้อื่นหมด ตั้งเมตตากรุณาเป็นเบื้องหน้า และอธิษฐานว่า ถ้ายังมีมนุษย์ที่มีความทุกข์เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว เราจะไม่เป็นพระอรหันต์ หรือเข้านิพพาน พูดอย่างไม่น่าเชื่อนะ นั้นมันเชื่อไม่ได้ ท่านอธิฐานว่าถ้ายังมีบุคคลที่มีความทุกข์เหลืออยู่แม้เพียงคนเดียว เราจะไม่เป็นพระอรหันต์และเข้านิพพาน เอาตามตัวหนังสือเชื่อไม่ได้ ถือไม่ได้ เพราะคนมันเกิดมาเรื่อย คนเกิดมาเรื่อย จะหมดอะไร ก็ไม่ต้องนิพพานกัน แต่เอาน้ำหนักแห่งความเสียสละของท่าน ท่านเสียสละให้หมด สละให้หมด ไม่เหลือเอาไว้เพื่อตัวเองแม้แต่นิดเดียว ยังว่าจะอยู่เพื่อช่วยสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย ถ้าเหลืออยู่แม้แต่เพียงคนเดียวที่มีความทุกข์ เราจะไม่นิพพาน ไม่เข้าสู่นิพพานหรือจะไม่เป็นพระอรหันต์ เขาเรียกว่าโพธิสัตว์เหมือนกัน นี่ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่าโพธิสัตว์ ในฝ่ายลัทธิเถรวาทอธิบายอย่างนั้น ในฝ่ายลัทธิมหายานอธิบายอย่างนี้
ได้ ๑๑ หัวข้อใช่ไหม
พระพุทธเจ้า ๓ ชนิด อาทิพุทธะ ธยานีพุทธะ มานุษีพุทธะ ว่าหัวข้อที่ ๑ ว่า มีพุทธะกับพุทธภาวะ มีพุทธะกับธาตุที่จะทำความเป็นพุทธะ หัวข้อที่ ๒ ว่ามีอาทิพุทธะ ธยานีพุทธะ มานุษีพุทธะ หัวข้อที่ ๓ ว่า มีพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม และพระองค์คน และพระองค์แทน แล้ววงเล็บพระองค์เทียม พระองค์เทียมที่คนข้างหลังเขานั่นขึ้นมา ข้อที่ว่ากายของพระพุทธเจ้ามี ๓ กาย ธรรมกาย สัมโภคกาย นิรมานกาย แล้วพระพุทธเจ้ามีชนิดที่ปรากฏในประวัติศาสตร์มาเขียนในประวัติศาสตร์ได้ อีกองค์หนึ่งมาเขียนในประวัติไม่ได้ อยู่นอกประวัติสาสตร์เสมอไป และองค์หนึ่งเป็นนิรันดรทำอะไรไม่ได้ เหนือเวลา เหนือสถานที่ เหนืออะไรหมด ทีนี้มาดูถึงพระรัตนตรัยที่รวมถึงพระพุทธอยู่ด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะว่าเป็น ๓ องค์หรือองค์เดียว ก็อธิบายอย่างที่ว่า หัวข้อที่ ๗ พูดภาษาธรรมก็อย่าง พูดภาษาคนก็อย่าง ถ้าพูดอย่างภาษาคนก็แบ่งพระพุทธเจ้าได้เป็น สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ อนุพุทธะ นี่หัวข้อที่ ๑๐ ก็ว่า ผู้ที่จะเป็นพุทธะในอนาคตก็คือพระศรีอาริยเมตไตรย ในข้อที่ ๑๑ ว่าผู้ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อจะเป็นพุทธะนั้นก็เรียกว่าโพธิสัตว์ โพธิสัตว์
อย่าให้เลอะเทอะนะ เอาไปศึกษาให้เข้าใจอย่างแจ้ง แล้วผมว่าพอ พอ ความรู้เรื่องพระพุทธเจ้าก็พอ อย่าไปทำให้เลอะเทอะไปเอง เขียนให้ถูกต้อง ไปบันทึกให้ถูกต้อง ด้วยหัวข้อทั้ง ๑๑ นี้แล้วก็พอ เวลาหมดแล้ว วันนี้เราพูดกันเรื่องบุคคลที่สำคัญที่สุด คือพระพุทธเจ้า ขอให้ไปศึกษาโดยรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่ยังไม่รู้ ยังไม่เคยรู้ ให้ศึกษาละเอียดเพิ่มเติมให้รู้ รู้หมดตามหัวข้อเหล่านี้ ผมคิดว่าพอแล้ว เอาละ การบรรยายสมควรแก่เวลา ขอยุติการบรรยาย หวังว่าจะรู้จักพระพุทธเจ้าดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ด้วยกันทุกๆองค์เทอญ