แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายครั้งที่ ๗ อันเป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ ๗ เลขศักดิ์สิทธิ์ นี่จะบรรยายในเรื่องสำคัญที่สุดสูงสุดคือ เรื่องนิพพาน ซึ่งได้พูดเท้าความกันแล้วตั้งแต่ครั้งก่อนว่าจะพูดเป็นพิเศษโดยเฉพาะ นิพพานเป็นเรื่องสูงสุดดังพระบาลีว่า นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา ผู้รู้กล่าวว่าพระนิพพานเป็นบรมธรรม คือเป็นสิ่งสูงสุด หมายความว่ามีความหมายสูงสุด มีคุณค่าสูงสุด มีเกียรติสูงสุดอะไรก็ตาม ก็สูงสุด แต่แล้วเราก็ไม่มีใครชอบนิพพานกันสักกี่คน จึงขอพูดว่ารวมทั้งที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยทั้งหมดนี่ ไม่มีใครชอบนิพพานกันสักกี่คน ก็ไม่รู้มันเป็นอะไรกันแน่ แล้วแถมมีคนเกลียดนิพพาน ประเทศไทยมีคนเกลียดนิพพาน ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธยิ่งกว่าประเทศไหนยังมีคนเกลียดนิพพานในประเทศไทย เป็นทั้งนักปราชญ์ราชบัณฑิตก็มีเกลียดนิพพานไม่ให้เอามาสอนเด็กๆในหลักสูตรการศึกษาของเด็กๆ หรือไม่ให้เอามาพูดถึงในเรื่องที่จะจัดการพัฒนาแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองอะไรก็ตามของเขา ไม่ อย่าเอานิพพานมาพูดถึง เพราะว่ามันเป็นเรื่องขัดขวางกัน มันเป็นอุปสรรคกัน คือนิพพานเป็นข้าศึกของการพัฒนา
นี่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันสักที ที่สอนๆพูดๆกันอยู่ โดยเฉพาะตามศาลาวัด มันไม่ตรงตามที่เป็นจริง คือสอนกันไม่เกี่ยวข้องกันเลย รออีกหมื่นชาติจึงจะบรรลุนิพพาน แล้วก็อย่าบรรลุจะตายแล้ว ตายแล้ว ตายแล้ว ตายแล้ว หมื่นชาติจึงจะบรรลุนิพพาน นี่เราจะบอกว่านิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้ และสำหรับทุกคน บทความนี้ที่เขียนไปถูกคนไปเขียนด่า ดีมาก มันจะได้รู้ความจริงกัน ก็สอนกันไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องตามที่เป็นจริง จึงไม่เป็นที่รักที่ต้องการของคนทั่วไป คือเขาสอนกันจนเกลียดกลัวพระนิพพาน พวกนักพัฒนามันเกลียดก็นิพพาน ว่าจะไม่พัฒนา มันกลัวพระนิพพานว่าจะทำให้ไม่มีรสชาติ ไม่เป็นสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย ไม่มีรสชาติอะไรเลย เกลียดกลัวพระนิพพาน จัดไว้ว่าเป็นอุปสรรคของการพัฒนา กระทรวงศึกษาก็ดี องค์การสงเคราะห์พัฒนาอะไรก็ดี ไม่ยอมให้เอาคำนี้มาพูดจาในการสั่งสอนอบรม นี่คือเรื่องจริงที่กำลังมีอยู่ ที่จะขอพูดให้เป็นเรื่องที่ถูกต้องเข้าใจกันให้ถูกต้องเสียทีจะได้ไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัทนับถือพระพุทธศาสนา
กล่าวได้เลยว่าถ้าไม่มีเรื่องนิพพานแล้วพุทธศาสนาก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าไม่มีเรื่องนิพพานก็เท่ากับพุทธศาสนาไม่มี ขอให้จำคำอย่างนี้ไว้แล้วกัน ถ้าไม่มีเรื่องนิพพานก็ไม่มีพุทธศาสนา พุทธศาสนาก็ไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องนิพพานนั้นมันมาก แล้วมันครอบจักรวาล แต่คนเขาเอามาพูดกันนิดเดียว นิดเดียว นิดเดียว ในความหมายนิดเดียว นี่มันจึงต้องพูดกันยาวสักหน่อย ยาวสักหน่อย จริงแล้วมันมีปัญหามากโดยทั่วไป โดยทั่วไปนะผมจะพูดให้เป็นที่เข้าใจกันเสียทีก่อนว่า “นิพพาน” นั้นมันแปลว่า เย็น ย็นเพราะไม่มีไฟ นิพพานไม่ใช่ร้อน นิพพานไม่ใช่หนาว ถ้าหนาวก็ไม่ไหวเหมือนกันไม่มีความสุข ร้อนก็ไม่ไหว ไม่เย็นไม่หนาว เอ้ย, ไม่ร้อนแล้วก็ไม่หนาว แต่ว่าเย็นในความหมายพิเศษนั่นคือ เย็นตรงที่มันไม่ร้อนไม่หนาว เพราะมันไม่มีไฟ เป็นเวลาที่ว่างจากไฟ จิตนี่ก็มีความเย็นจนพูดได้ว่านิพพานเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตของสิ่งที่มีชีวิตอยู่ตลอดเวลา คุณขีดเส้นใต้คำว่า “อยู่ตลอดเวลา” บรรดาสิ่งที่มีชีวิตแล้วก็นิพพานนั่นมันหล่อเลี้ยงสิ่งที่มีชีวิตอยู่ตลอดเวลา มีความหมายว่าเย็น เย็น นิพพาน เย็นเพราะไม่มีไฟ ไฟมันเป็นของร้อน
“ไฟ” ในที่นี้คือ กิเลส ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ เรียกว่า “ไฟกิเลส” เรียกความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานต่างๆนานา เรียกว่า “ไฟทุกข์” รู้จักหรือไม่ว่าไฟนั้นมี ๒ ไฟ คือ ไฟกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ร้อน แล้วไฟทุกข์ เรื่องเกิด เรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย ไม่ได้ตามที่ต้องการ นี่เป็นไฟทุกข์ พอไม่มีกิเลสไม่มีไฟทุกข์ มันก็เย็นเท่านั้นแหละไม่ต้องมีปัญหาอะไร พอไฟกิเลสไฟทุกข์มันก็ร้อนเท่านั่นแหละ ทีนี้ดูสิดูสิเราแต่ละคนๆนี่มันมีไฟกิเลส มันมีไฟทุกข์ตลอดเวลาหรือเปล่าเล่า แม้แต่ไฟกิเลสก็ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา มันเกิดเป็นคราวๆ แล้วเมื่อมันมีเหตุมีปัจจัยกิเลสมันจึงจะเกิด ไฟทุกข์ที่เจ็บปวดทนทรมานนั้นก็มาเป็นคราวๆ ตามเหตุตามปัจจัยที่มันจะมีมา ไฟกิเลสและไฟทุกข์ไม่ได้มาตลอดเวลา ไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา เกิดเมื่อมีปัจจัยให้เกิด เกิดแล้วมันก็ดับเพราะหมดเหตุหมดปัจจัย มันดับไปเองก็เพราะหมดเหตุหมดปัจจัย ดังนั้น เวลาที่เราไม่ร้อนเพราะกิเลสและทุกข์เผลาผลาญมันมีอยู่มาก เวลาที่ไม่ร้อนเพราะไฟนี้มันมีอยู่มาก ใน ๒๔ ชั่วโมงนี่มันมีไฟกิเลสไฟทุกข์เผาไม่กี่นาทีหรอก จะไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไปเอามารวมๆกันเข้า เวลาที่มันไม่ได้มีไฟกิเลสไฟทุกข์เผามันมากกว่า ดังนั้น มันจึงไม่เป็นบ้า แล้วมันก็ไม่ตาย เพราะไฟนี้ไม่ได้เผาอยู่ทั้ง ๒๔ ชั่วโมง เวลาที่ไม่เผามีมากกว่า มีนาทีให้พักผ่อนเย็นนอนหลับสบายดี พักผ่อนสบายดี เป็นสุขสบายดี มันก็มีอยู่มากกว่า นี้มันส่งเสริมไว้ให้ชีวิตนี้ไม่ตาย แล้วก็ไม่เป็นบ้า ทุกคนตรวจดูตัวเอง ทดสอบดูตัวเอง คำนวณดูตัวเอง ถ้ามีกิเลสเกิดอยู่ตลอดเวลาจะเป็นอย่างไร มันก็บ้าหรือตายเท่านั้นแหละ ไม่ได้มามานั่งกันอยู่อย่างนี้หรอก ลองมาติดต่อกัน ๒๔ ชั่วโมงก็ตายแล้ว ไม่มานั่งกันอยู่อย่างนี้ กิเลสไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา แต่ในที่บางแห่งหรือบางสำนักเขาสอนกันว่ากิเลสมีอยู่ตลอดเวลาก็มี ตามใจเขาผมไม่เชื่อ แล้วก็ไม่สอน ไม่พูดอย่างนั้น ว่ากิเลสนั้นมันมาเป็นครั้งคราวตามเหตุตามปัจจัย มันคล้ายๆว่าความเคยชินที่จะเกิดกิเลสเช่นอนุสัยก็เกิดได้ง่าย เกิดได้เร็ว เกิดได้มาก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ตลอดเวลาเหมือนกัน กิเลสก็ไม่ได้เกิดตลอดเวลา ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสก็ไม่ได้เกิดตลอดเวลา จึงมีเวลาระยะเว้นระยะพักผ่อน คือมันเย็นเพราะไม่มีไฟ นี่หล่อเลี้ยงให้มีชีวิตยังคงอยู่แม้ทั้งคนแม้ทั้งสัตว์ สัตว์จะเกิดน้อยกว่าเสียอีกเพราะมันคิดไม่เป็น กิเลสเกิดน้อยกว่าคน คนคิดเก่งกิเลสเกิดมากกว่า ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เกิดตลอดเวลา ตลอดเวลา เวลาที่หลับไม่เกิด เวลาที่อารมณ์ดีไม่เกิด เวลาที่ได้ศึกษาสมาธิ ทำสมาธิอะไรก็ไม่เกิด นี่คือเวลาที่มันว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ หล่อเลี้ยงชีวิตไว้ไม่ให้ตายไม่ให้เป็นบ้า
ทำไมไม่ขอบคุณพระนิพพาน ทำไมอกตัญญูต่อนิพพาน เป็นสัตว์อกตัญญูต่อนิพพานที่หล่อเลี้ยงชีวิตไว้นี่มันเป็นสัตว์อกตัญญู มันก็มีความทุกข์มากสำหรับสัตว์อกตัญญู สมน้ำหน้ามัน ขีดเส้นใต้ไว้ว่าสมน้ำหน้ามัน ก็มันไม่กตัญญูต่อสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน ไม่ต้องมีความทุกข์ มีความร้อน มีความอะไร แถมพบมากกว่าคนอื่นที่เรียกว่า สมน้ำหน้า ชีวิตของเขามากไปด้วยวิกฤตการณ์รบกวนอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้นมากกว่าคนที่กตัญญูต่อนิพพาน คือรักษาความสงบแห่งจิตไว้ พยายามให้เกิดความสงบแห่งจิต เวลาเหล่านั้นมันก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ นี้เรียกว่า นิพพานสำหรับทุกคนที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ ถ้าทุกคนไม่มีนิพพานนี่มันตายหมดแล้ว นี่มันทุกคนมี ทุกคนมี นิพพานนี้หล่อเลี้ยงทุกคนไว้ หล่อเลี้ยงทุกคนไว้ มันจึงไม่ตาย จึงพูดได้ว่า นิพพานสำหรับทุกคน แล้วก็มีอยู่โดยธรรมชาติแล้วก็หล่อเลี้ยงชีวิตนี้โดยธรรมชาติอยู่ เราจึงไม่ตาย
ขอให้ท่านทั้งหลายไปคิด ไปพิจารณาดูให้ดีว่ามันจริงหรือเปล่า ว่าเวลาที่ไม่ร้อนด้วยกิเลสไม่เกิดด้วยกิเลสและไม่เกิดความทุกข์นั่นมันมีมากกว่า มันพยุงชีวิตนี้ไว้ไม่ให้เป็นบ้าแล้วก็ต้องไม่ตาย ขอบคุณพระนิพพานตามธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตสัตว์ไว้ ก็โดยธรรมชาติก็ได้ เพราะว่าบางทีเราไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ไม่ได้ทำอะไร แต่ธรรมชาติช่วยจัดการให้ ธรรมชาติช่วยจัดการไม่ให้มีกิเลสไม่มีความทุกข์ตลอดเวลา เราก็ไม่ตาย เราก็ไม่รู้สึกตัว แล้วก็ไม่ขอบคุณธรรมชาติ เพราะฉะนั้นขอให้รู้จักนิพพานในลักษณะอย่างนี้ว่า ธรรมชาติมีไว้ให้หล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ เรารอดตัว เราไม่ตาย เราขอบคุณ เรากตัญญูต่อพระนิพพานชนิดนี้ อย่าได้เป็นสัตว์อกตัญญูแล้วเกลียดนิพพาน กลัวนิพพาน เกลียดกันพระนิพพาน ออกไปอย่าเอามาใส่ในวงการศึกษา ขอให้คิดดูให้ดีว่าข้อเท็จจริงที่กำลังเป็นนั้นมันกำลังเป็นอยู่อย่างนี้ แม้ในประเทศไทยที่เขาถือกันว่าเป็นประเทศพุทธศาสนาที่เจริญยิ่งกว่าประเทศใดก็ยังมีสัตว์อกตัญญูเกลียดนิพพานนี่ นี่คือข้อเท็จจริงหรือตัวปัญหาที่ต้องปรารภขึ้นมาในวันนี้
เอาละทีนี้ก็จะได้ทำความเข้าใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนิพพาน เราจะทำความเข้าใจกันในทุกเรื่องทุกแง่ทุกมุมที่เกี่ยวกับนิพพาน เรื่องแรกก็จะต้องบอกให้รู้ว่า นิพพาน นิพพาน คำพูดคำนี้มนุษย์พูดกันอยู่ก่อนเกิดศาสนา ตั้งแต่ก่อนเกิดศาสนาใดๆ หรือยังไม่มีศาสนาใดๆปรากฏคำว่า นิพพาน นิพพาน ประชาชนชาวบ้านใช้พูดกันอยู่แล้ว มันหมายถึง ดับแห่งไฟ ดับแห่งของร้อน ดับไฟ ดับไฟที่อันตราย ภาษาธรรมดา ภาษาชาวบ้านไม่เกี่ยวกับธรรมะหรือศาสนามันก็พูดว่า นิพพานดับไฟ คำว่า “ไฟ”ที่ในบาลีเรียกว่า “อัคคิ” แต่ว่าที่ใช้กันสูงสุดกว่านั้นก็คือคำว่า ปัชโช ตะ ปัชโช ตะ แปลว่า ปัชโชโต แปลว่าไฟ ปัชโช ปัตเสวะ นิพพานัง ความดับแห่งไฟ หรือ ชาตะเวทะ ของพวก ฤๅษี มุนี ก็แปลว่าไฟ ชาตะเวทัง นะมัสสติ ก็บูชาไฟ แล้วที่ชาวบ้านพูดกันอยู่ในบ้านในเรือน ลูกเด็กเล็กแดงมันก็พูดเป็นนั่นหมายถึง ดับไฟ ดับไฟ ที่มันมีอยู่ในครัวนั่นแหละ นับตั้งแต่ว่าถ่านไฟแดงๆ ดับจนดำไปจนเย็น ก็ว่าถ่านไฟนิพพาน ดุ้นฟืนลุกเป็นไฟ พอดับไฟไม่มีที่ดุ้นฟืนก็เรียกว่า ดุ้นฟืนมันนิพพาน เพราะมันไม่ร้อน ทีนี้อาหาร เช่นข้าวสุก ข้าวสวย แกงกับ ข้าวต้ม หรือข้าวอะไรก็ตาม ที่กำลังร้อนอยู่นั้น กินไม่ได้ ต้องรอจนกว่ามันจะนิพพานนั่นแหละ คำนี้ใช้ในครัว เด็กๆทุกคนก็บอกรอเดี๋ยว รอเดี๋ยว รอมันนิพพาน เดี๋ยวไปตามมากิน นิพพานใช้แม้กับสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าของร้อนๆอะไรก็ตาม ถ้ามันเย็นก็เรียกว่านิพพาน ในพระบาลีมีชัดเลยว่า ช่างทองหลอมทองในเบ้า ทองเหลวคว้างอยู่ในเบ้า พอเห็นว่าได้ที่สมควรแล้วพอจะเอามาทำให้เย็น ก็จะได้ดำเนินงานต่อไป เขาก็เอาออกมาเทลงในที่ลับ แล้วก็เอาน้ำรดให้ทองที่เหลวร้อนคว้างก็เย็นลง คำบาลีคำนี้เรียกว่า “นิพพาเปยยะ” นิพพาเปยยะ แปลว่า ทำให้มันนิพพาน ของร้อนอย่างนั้น มันทำให้มันเย็นลงเรียกว่า ทำให้มันนิพพาน นิพพานจึงแปลว่าของร้อนที่เย็นลง ของร้อนที่ดับลง หมดความร้อนสูญสิ้นไป นี่คือคำว่า นิพพาน ที่ใช้กันอยู่ก่อนมีศาสนาเกิดขึ้นมา
แล้วทีนี้ประหลาดที่ว่าข้อความในพระบาลีนั้นมีพบถึงเรื่องว่าสัตว์เดรัจฉานที่หมดพิษร้าย หมดอันตรายโดยประการทั้งปวง คือสัตว์ร้ายเหล่านั้นหมดความร้าย มันก็เย็นลง มันนิพพาน สัตว์ที่อันตราย เช่น ควายป่า ช้างในป่าอันตรายเหลือประมาณ จับมาฝึกๆๆ จนมันเชื่องเหมือนแมว บางทีช้างยังเชื่องกว่าแมวเสียอีก มันอยู่กับคนใต้บังคับบัญชาของคน สัตว์ป่าอันดุร้ายเหล่านั้นหมดความป่าเถื่อนหมดอันตรายด้วยประการทั้งปวง เย็นสนิทอย่างนี้ก็เรียกว่ามันนิพพาน สัตว์เดรัจฉานมีนิพพาน เอาละขอพูดถึงว่าหมา สุนัข สุนัข วงเล็บว่าหมา เดี๋ยวจะแปลได้อย่างอื่น เมื่อฝึกได้ดี ฝึกได้ดี ฝึกได้ดี จนสุนัขนี้ไม่มีอันตรายแม้แก่แมว ไม่มีอันตรายแม้แก่ใคร แม้แก่ผู้ใดเป็นสุนัขที่ไม่มีอันตราย เย็นสนิท ก็เรียกก็ว่ามันนิพพาน เมื่อสุนัขหรือในวงเล็บหมา ก็รู้จักนิพพานแล้วคนไม่รู้จักนิพพานจะเป็นอย่างไร จะเป็นอย่างไร เมื่อหมาก็รู้จักนิพพานแล้วคนไม่รู้จักนิพพานจะเป็นอย่างไร ถ่านไฟมันยังรู้จักนิพพาน แต่มันไม่รู้สึก แต่ว่าหมานี่มันรู้สึกนะ คือมันรู้สึกว่าวันนี้มันเปลี่ยน เปลี่ยนหมดจนมันดีกับแมวได้ อะไรได้ มันรู้สึก หมามันรู้สึกว่าเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ควายป่าช้างป่าอะไรที่ฝึกดีแล้วมันก็รู้สึกด้วยตัวมันเอง ในตัวมันเองว่า เดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนหมด เรียกว่ามันรู้จักนิพพานโดยที่ว่ามันเปลี่ยน และมันรู้จักพระนิพพานโดยที่จิตใจมันรู้สึก
คำว่า “รู้จัก” รู้จักนี่มัน ๒ ความหมาย เช่น ถ่านไฟยังรู้จักนิพพาน มันก็นิพพานได้ ถ่านไฟมันนิพพานได้ นี่รู้จักในการที่มันเป็นได้ แต่มันไม่รู้สึกด้วยจิตใจ แต่ถ้ามันเป็นสัตว์ มันรู้สึกด้วยจิตใจที่ว่าเดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนหมดในจิตใจเปลี่ยนจากเดิม เรียกว่ามันรู้จักนิพพานทั้ง ๒ ความหมาย แม้หมามันก็ยังรู้จักนิพพานแล้วคนมันไม่รู้จักนิพพานแล้วนี้มันจะว่ายังไง สัตว์เดรัจฉานที่ฝึกๆๆ จนไม่มีอันตราย ไม่มีปัญหาใดๆ ก็ใช้คำว่า นิพพาน ด้วยเหมือนกัน คนที่มันไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ฟังมันก็ว่า ผมหลอกคนหรือว่าโกหกคนหรือว่าย้อมแมวขาย ก็ว่าไปอย่างนั้น ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่ขอยืนยันว่าอย่างนี้ ยังมีอยู่อย่างนี้ ยังพูดอย่างนี้ ว่าหมาก็ยังรู้จักนิพพาน แล้วคนที่ไม่รู้จักนิพพานมันต้องเลวกว่าหมา ต้องเลวกว่าหมา นี่สัตว์เดรัจฉานมันยังรู้จักนิพพาน นับตั้งแต่ถ่านไฟ ไม้ฟืน แกงกับ ข้าวปลา อาหาร โลหะหลอมละลาย กระทั่งสัตว์ทั้งหลายที่เป็นสัตว์ป่ามาเป็นสัตว์บ้าน ยังนิพพาน นิพพาน คำพูดนี้พูดอยู่ ก่อน ก่อน ก่อน ก่อนยืนมาใช้ในทางธรรมะ พูดอยู่ที่ชาวบ้านพูด ยังไม่ได้เอาคำนี้มาใช้ในวงศาสนา เรียกว่ายุคหนึ่งเลยคำว่านิพพานก่อนแต่ที่จะถูกนำมาใช้ในวงการของธรรมะหรือศาสนา ก็หมายถึงว่าความร้อนมันหมดไป มันเหลืออยู่แต่ความเย็น เย็น เย็น นิพพานแปลว่าเย็น ดับเย็นแห่งความร้อน ถ้าจะเขียนให้เต็มที่ก็ต้องดับเย็นแห่งความร้อนนั่นแหละคือนิพพาน
อ้าวทีนี้ก็มายุคใหม่ มาถึงยุคที่ว่ายืมคำนี้มาใช้ในทางธรรมะหรือทางศาสนาที่จะหมายถึงคนแหละ หมายถึงคนแล้ว คนเอาคำนี้มาใช้ในความหมายว่า เย็น ปรากฏอยู่ในพระบาลี พรหมชาลสูตรทีฆนิกาย เรื่องทิฐิ ๖๒ คนพวกหนึ่ง ยุคหนึ่ง ที่แห่งหนึ่งนั้นได้เอากามารมณ์เป็นนิพพาน เพราะว่ากามารมณ์นี่มันดับกระหายความใคร่ทางกามได้พักหนึ่ง นี่คนพวกนี้ก็ถือเอาว่านี่คือนิพพาน คือกามารมณ์เป็นนิพพาน ถือกันอยู่อย่างนี้จนเป็นลัทธิ ถือบูชากามารมณ์ บูชากามารมณ์เป็นพระเจ้าเลย นี่เรียกว่ามีกามารมณ์เป็นนิพพาน มีอยู่แห่งหนึ่ง ยุคหนึ่ง ตั้งกระนู้น
แล้วต่อมาพวกที่มีสติปัญญาเป็นฤๅษี เป็นมุนีอยู่ในป่า ไม่เอาไม่เห็นด้วย ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ ไม่เอา เอาความเย็นที่สะอาดกว่านั้น คือความเย็นที่เกิดจากสมาธิ เป็นสมาบัติ หรือเป็นอะไรก็ตาม เป็นความเย็นที่มาจากสมาธิมาเป็นนิพพาน เขาจึงเอาฌาน รูปฌานบ้าง แม้กระทั่งอรูปฌานสูงสุดบ้างว่าเป็นนิพพาน เขาทำฌานได้สูงสุดเท่าไหร่เพียงไหนเขาก็เอาอันนั้นเป็นนิพพานมาตามยุค ตามยุค ตามยุค ว่าทำได้สูงขึ้นสูงขึ้น จนถึงสุดท้ายของสมาธิสมาบัติ รูปฌาน เช่น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน นี่ก็ถูกตั้ง แต่งตั้งให้เป็นนิพพานมาแล้วตามลำดับ ต่อมาก็มารู้จัก อรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่เป็นอรูปฌานว่าเป็นนิพพาน นิพพาน นิพพาน ที่ปรากฏอยู่ในครั้งพุทธกาลที่เป็นแข่งขันกับพระพุทธเจ้า ก็พวกอากิญจัญญายตนะ อากิญจัญญายตนะ ว่าเป็นนิพพาน นี่ก็มีคนนับถือมาก แล้วที่สูงสุดไปกว่านั้น คืออุทกดาบสรามาบุตร เขาถือว่าเนวสัญญานายตนะเป็นนิพพาน เมื่อพระพุทธเจ้าไปศึกษากับดาบสเหล่านี้เมื่อแรกบวช ออกบวชใหม่ๆท่านไปศึกษากับดาบสเหล่านี้ ท่านก็รู้เรื่องเหล่านี้ ท่านไม่ยอมรับ ท่านไม่ยอมรับว่า ตรงอาบัตินี้เป็นนิพพาน ท่านจึงลาจากอาจารย์ดาบสทั้งสองไปแสวงหาของท่านเอง จนมาพบความดับเย็น ดับเย็น ดับเย็นที่สูงสุดไปกว่านั้น คือดับกิเลส ดับกิเลส ดับไฟคือกิเลส ท่านจึงวางบทนิยามลงไปว่า ราคักขะโย โทสักขะโย โมหักขะโย นิพพานัง แปลว่าการสิ้นราคะ การสิ้นโทสะ การสิ้นโมหะ นี้คือนิพพาน พระพุทธเจ้าบัญญัติสิ้นราคะ โทสะ โมหะ คือสิ้นกิเลสว่า เป็นนิพพาน และก็ไม่มีใครบัญญัติได้สูงไปกว่านั้นจึงได้ยุติกันเพียงเท่านี้ว่า สิ้นกิเลส หมดกิเลสนั้นเป็นนิพพาน
นี่เป็นยุคหลังคือยุคที่ได้ยืมเอาคำชาวบ้านว่า นิพพาน นิพพาน ในบ้านเรือนมาใช้เป็นคำทางศาสนา หลงเอากามารมณ์เป็นนิพพานกันอยู่พักหนึ่ง หลงเอา รูปฌานเป็นนิพพานกันพักหนึ่ง หลงเอา อรูปฌานเป็นนิพพานกันพักหนึ่ง พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็หมดขั้นสูงสุดที่ว่า สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เป็นนิพพาน ถ้าจะพูดในความหมายอื่นก็ได้คือว่าสิ้นตัณหาอุปาทาน สิ้นตัวกู สิ้นตัวตน ดับตัวตนนี้เป็นนิพพาน ก็ได้เหมือนกัน ความหมายอย่างเดียวกัน ถ้าสิ้นกิเลสมันต้องสิ้นตัวตน สิ้นตัวตนมันก็สิ้นกิเลส จึงแบ่งนิพพานเป็นสองยุค ยุคที่ยังไม่เป็นคำทางธรรมะหรือทางศาสนา ก็ใช้กับถ่านไฟ ดุ้นฟืน ของร้อนๆ กับข้าว แกงกับ อะไรก็ตาม ก็ใช้กับโลหะที่ร้อน เมื่อใช้กับสัตว์เดรัจฉานที่ฝึกดีจนไม่มีอันตราย ใช้คำว่านิพพาน นิพพานทั้งนั้น เป็นคำชาวบ้านพูดไม่เกี่ยวกับศาสนา นี้ต่อมาถึงยุคที่ว่าคนมันมีความรู้ทางจิตใจสูงขึ้นไป แต่ตั้งปัญหาอะไรคือความเย็นทางจิตใจ อะไรคือความเย็นทางจิตใจ
คนฉลาด คนโง่คนแรกเขาก็บอกว่ากามารมณ์ เราดับความร้อนความหื่นกระหายร้ายแรงนั้นได้ กามารมณ์ บางคนก็เห็นด้วย ก็ถือกันพักหนึ่ง ยุคหนึ่ง สมัยหนึ่ง มันจึงมาปรากฏอยู่ในพระบาลีพรหมชาลสูตร ต่อมามันเหลือเพียงสวรรค์ กามารมณ์ทั้งหลายมันถูกลดค่าเหลือเพียงสวรรค์ ไม่ใช่นิพพาน นี้พวกหนึ่งไปไกลไปถึงสมาธิ สมาธิทุกๆชั้น ทุกๆชั้น เพราะว่าในขณะแห่งสมาธิแล้ว กิเลสเกิดไม่ได้ ไม่มีกิเลสในขณะสมาธิ แม้จะเล็กน้อยแม้จะชั่วคราวในขณะสมาธิไม่มีกิเลส แล้วมันก็เย็นเป็นนิพพาน แต่ว่ามันสั้น หรือมันน้อย หรือมันต่ำตามลำดับชั้นของสมาธิ รูปฌาน ๔ ระดับ อรูปฌาน ๔ ระดับ เป็น ๘ ระดับ แต่ละระดับๆถูกหาว่าเป็นนิพพานกันมาแล้วทั้งนั้น นี่คือเรื่องทั้งหมด เรื่องทั้งหมดของนิพพาน
เรื่องอากิญจัญญายตนะนี่ บางทีพระพุทธเจ้าก็ตรัสไปในทำนองนั้นเหมือนกัน หมายความว่าไม่ยึดถืออะไร อากิญจัญญายตนะ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่ยึดถืออะไร แปลความหมายเป็นพุทธก็ได้ แบ่งเป็นของนอกพุทธหรือไม่ใช่พุทธ แต่จะมาแปลให้เป็นพุทธก็ได้ เป็นอากิญจัญญายตนะ พบว่ามันหลงเหลืออยู่ในโสฬสปัญหา ทางนามธรรมพุทธถือว่า อากิญจัญญายตนะเป็นนิพพาน เข้าใจหรือยัง นิพพานนั้นมี ๒ ยุค ยุคที่ยังเป็นคำชาวบ้านและยุคที่มาเป็นคำทางศาสนา ยุคที่มันเป็นคำของชาวบ้านนั่นแหละ มันมีความหมาย เย็น ตั้งแต่ถ่านไฟ ดุ้นฟืน แกงกับ โลหะหลอม จนกระทั่งมาเป็นร้อน ร้อน เพราะพิษร้ายของสัตว์เดรัจฉาน มีความหมายว่าเย็น เย็น เย็น เย็น ถ้าไม่มีความหมายว่าเย็นแล้วก็ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่นิพพานชนิดไหนหมดเลย ต้องมีความหมายว่าเย็นในความหมายใดความหมายหนึ่ง ก็เป็นนิพพานในระดับหนึ่ง เป็นระดับน้อยๆ ระดับต่ำต้อย ระดับอะไรก็ตาม มันก็มีความหมายว่าเย็น จึงจะเป็นนิพพาน ถ่านไฟดับมันก็เย็น ดุ้นฟืนดับมันก็เย็น แกงกับเย็นมันก็เย็น โลหะปล่อยให้เย็นมันก็เย็น มันมีความหมายว่าเย็น เย็น เย็น เย็น เย็น แล้วมันเย็นจริง เย็นถึงที่สุดก็ต่อเมื่อสิ้นกิเลส สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ นี่จึงจะเย็นจริง
เพราะฉะนั้นเราก็รู้จักนิพพานตามธรรมชาติ เย็นตามธรรมชาติ ขณะที่กิเลสหรือความทุกข์ไม่เกิด เรามีความเย็นตามธรรมชาติ ซึ่งวันหนึ่งก็มีหลายชั่วโมง แม้ว่ามันจะน้อยคือไม่เต็มขนาด เหมือนนิพพานสูงสุดมันก็มีความหมายอย่างนั้น คือเพราะมันไม่มีกิเลส เพราะเวลานั้นมันว่างจากกิเลส ว่างจากราคะเผาผลาญ ว่างจากโทสะเผาผลาญ ว่างจากโมหะเผาผลาญ มันก็เย็นแล้ว แล้วก็มีความปกติแห่งชีวิต เราก็รอดชีวิต ขอให้ทุกคนรู้จักพระนิพพานตามธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราไว้ในลักษณะอย่างนี้ แล้วขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณพระนิพพานตามธรรมชาติ เมื่อขอบคุณ ขอบคุณ และก็อุตส่าห์พยายามทำให้มันมากยิ่งขึ้น ให้มันนานออกไป ยาวออกไป ให้มันสูงขึ้นๆ มันก็จะนำไปสู่นิพพานแท้จริง ไปสู่นิพพานแท้จริง
ทีนี้นิพพานชนิดนี้ยังไม่แท้จริงยังไม่สูงสุดสิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์ มีคำยัก(นาทีที่ ๓๕:๓๒) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “นิพพุติ” นิพพุติ ช่วยจำไว้ด้วย คำนี้มีความหมายว่าเย็นเหมือนกัน เย็นเหมือนกัน แต่ไม่เด็ดขาดสิ้นเชิงเหมือนกับคำว่านิพพานนู่น มันเป็นนิพพานชั่วคราว นิพานเตี้ยๆ นิพพานต่ำๆ เรียกว่านิพพุติ นิพพุติ ความเย็นอกเย็นใจ ความสงบเย็นแห่งชีวิตเรียกว่า นิพพุติ นิพพุติ เมื่อให้ศีล เมื่อมีการให้ศีล เมื่อมีการให้ศีลที่ไหนก็มีบอกเรื่องนี้ สีเลนะ สุคะติงยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมาสีลัง วิโสธะเย ท่านถึงนิพพุติได้เพราะศีล ฉะนั้นท่านจงรักษาศีลให้สะอาดให้บริสุทธิ์เถิด นิพพานอย่างธรรมดาที่ช่วยชีวิตของเราไว้นี่เรียกโดยถูกต้องก็เรียกว่า นิพพุติ นี้เมื่อเรากระหาย อยากจะได้อะไร อยากจะมีอะไร อยากจะเป็นอะไรเป็นความร้อน ถ้ามันได้เสีย ได้แล้วมันหยุดความกระหายเหล่านั้นก็เรียกว่าเย็นแบบ นิพพุติ นิพพุติ เมื่อท่านได้รับอะไรตามที่ควรจะต้องการแล้วมันก็มีความเย็นแบบ นิพพุติ นิพพุติ เป็นนิพพานแบบนี้ นี่ก็ไม่ใช่เล่นนะ ถ้ามันมีความสุขสบายกันอยู่โดยทั่วไปแล้ว ก็พยายามทำให้มันมีมากขึ้นๆๆไปจนถึงระดับนิพพานแท้จริง นิพพานสูงสุด นิพพานเป็นเองตามธรรมชาติ เรียกว่า “ตทังคนิพพาน” ความประจวบเหมาะแห่งเหตุปัจจัยที่กิเลสไม่เกิด ก็เรียกว่า นิพพานโดยองค์นั้นๆ โดยการบังเอิญนั้นๆ โดยการมีองค์นั้นๆ เหมือนที่มันไม่มี ไม่มีกิเลสเกิดขึ้น เพราะเป็นอยู่ถูกต้องอะไรๆยังไม่มารบกวน ยังไม่มายั่วให้เกิดกิเลส เราก็มีนิพพานชนิดนี้ที่เรียกว่า นิพพุติ ก็ได้ นิพพานตามธรรมชาติหล่อเลี้ยงชีวิตคนไว้ ขอบใจ ขอบใจ ขอบใจ ไม่เป็นบ้าและก็ไม่ตาย เมื่อทำให้มันมากขึ้นๆ ระมัดระวังให้มันมากขึ้น ในเวลานั้นจะไม่มีความรู้สึกว่าตัวกู ว่าของกู ความรู้สึกว่าตัวตนของตนก็ไม่มาปรากฏ มันบังเอิญพอดีกันนั้น ไม่เกิดความรู้สึกตัวตน มันก็ไม่เกิดความทุกข์ ไม่เกิดกิเลส ให้เราสังเกตดูว่ามันมีอยู่มาก แต่เราไม่สนใจไม่ให้ความหมาย ไม่ตีราคาไม่สนใจ แต่ถ้าสังเกตดูให้ดีเราคอยจ้องจับให้ดีว่าเวลาที่เรารู้สึกสบายใจที่สุด เวลานั้นไม่มีกิเลส เวลานั้นไม่มีกิเลส เวลานั้นไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกู มันจึงไม่มีความรู้สึกดีใจหรือเสียใจ เพราะมันไม่มีตัวกู เมื่อมันไม่มีความรู้สึกตัวกูของกู มันก็รู้สึกดีใจเสียใจไม่ได้ มันก็เลยว่าง ว่างจากดีใจ ว่างจากเสียใจ แล้วสบายที่สุด นั่นคือนิพพานตามธรรมชาติ
ฉะนั้น ขอฝากไว้ให้ทุกๆคนพยายามสังเกตให้พบนิพพานตามธรรมชาติ แล้วแต่ว่ามันจะมีมาเมื่อไหร่ จะนั่ง นอน ยืน เดิน หรืออะไร เมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อไหร่มันว่างจากดีใจ ว่างจากเสียใจ ไม่รู้สึกได้อะไร ไม่รู้สึกเสียอะไร อย่างนี้แล้วเมื่อนั้นแหละมันมีอันนี้ มีนิพพานชั่วขณะ นิพพานน้อยๆ นิพพานชั่วขณะ นิพพานตัวอย่าง นิพพานชิมลองให้เรารู้จัก ก่อนนี้เราไม่สนใจ เราไม่รู้จัก ทีนี้มารู้จักเสียที สนใจเสียที นี่นิพพานตัวอย่างล่วงหน้าของพระนิพพานจริง เป็นนิพพานน้อยๆที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราไว้ตลอดเวลา ตลอดเวลา ไม่เป็นบ้า ถ้าราคะ โทสะ โมหะ มารบกวน ๒๔ ชั่วโมงก็เป็นบ้าหรือตายแล้ว ภายในไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมงด้วยซ้ำไป ฉะนั้น ขอให้ขอบคุณนิพพานตามธรรมชาติ อันเป็นนิพพานที่มีได้แก่ทุกคนเป็นนิพพานที่ได้หล่อเลี้ยงทุกๆ คนไว้แล้ว อยู่แล้วเป็นอยู่แล้ว จงกตัญญูต่อพระนิพพานชนิดนี้ นั่นเข้าใจถูกว่านิพพานสำหรับทุกคนอยู่ตลอดเวลาในบัดนี้นั้นคืออะไร คืออะไร นิพพานคือเย็น มีหลายระดับ หลายระดับอย่างที่ว่ามาแล้ว นับตั้งแต่นิพพานของถ่านไฟของไม้ฟืน สูงขึ้นมาจนถึงสัตว์ สูงขึ้นมาจนถึงกาม สูงขึ้นมาจนถึงสมาธิ สูงขึ้นมาตามลำดับๆอย่างนี้
เดี๋ยวนี้คุณมีกิเลสหรือไม่ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ รบกวนหรือไม่ ถ้าว่าคุณตั้งใจฟังผมพูดอย่างแท้จริงแล้ว ไม่มี เพราะสมาธิมาอยู่ที่ผมพูด มันไม่มีราคะ โทสะ โมหะ อะไรเกิดขึ้นมาได้ คุณก็สบายๆ เรียกว่าเย็นพอสมควรแล้ว ทีนี้พอไปทำสมาธิ แล้วไปทำอะไรให้มันมากกว่านี้ ให้มันก็เย็นกว่านี้ ขอบคุณนิพพานตามธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตของทุกสิ่งที่มีชีวิตไว้ มีนิพพานตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุด นิพพานตั้งแต่ก่อนมีศาสนาจนมีศาสนา นิพพานที่มีอยู่แล้วในศาสนาอื่นในลัทธิอื่น จนกว่าจะมีพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ท่านบัญญัติเฉพาะเจาะจงลงไปว่า สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ คือนิพพาน
อยากจะขอย้ำอีกทีที่ว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นมันรู้สึกหรือไม่ ควายป่าตัวนี้ ช้างป่าตัวนี้ จับมาฝึกๆๆ หลายวันหลายเดือนเข้า เชื่องยิ่งกว่าแมว มันจะรู้สึกในใจของมันหรือไม่ว่าเดี๋ยวนี้กูเป็นอย่างไรกับเมื่ออยู่ในดงก่อนโน่น อยู่ในโขลงโน่นเป็นอย่างไร นี่ก็สัตว์เดรัจฉานมันยังรู้จักนิพพาน จึงขอพูดว่าแม้แต่หมา แม้แต่สุนัข มาฝึกๆๆๆๆๆ จนหมดทุกอย่างแล้ว หมามันก็รู้จักนิพพาน มันสามารถนิพพานได้ และมันยังรู้รสของพระนิพพานว่า กูเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกับกูแต่ก่อนนู้น ที่ว่ารู้จักทีแรกคือสามารถจะนิพพานได้ รู้จักทีหลังก็รู้จักว่ารสของนิพพานนั่นเป็นอย่างไร
ขอฝากไว้กันลืม แล้วก็เพื่อให้เขาด่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าหมายังรู้จักนิพพานแล้วทำไมคนจะไม่รู้จักนิพพาน ไม่กลัวใครด่าพูดอย่างนี้ พูดที่ไหนก็จะพูดอย่างนี้ นี่คือคำว่านิพพาน ที่นี่น่าหัว นิพพาน นิพพานจริงมีอย่างเดียวคือเย็น เย็นในหัวเย็นในจิตใจของคนเพราะไม่มีกิเลส มีอย่างเดียวเท่านั้นแหละ นิพพานแท้จริงมีอยู่ในหัวใจมนุษย์ มีอย่างเดียวนั่นคือความเย็น เพราะไม่มีไฟ แต่ถ้าว่านิพพานในห้องเรียน นักธรรมในห้องเรียนบาลี มี ๓๐ ๔๐ ๕๐ อย่างโน่น มีนิพพานตั้ง ๓๐ อย่าง ขี้เกียจจำ ต้องการจะก็ไปค้นเอาเอง ไปถามคนที่มันสอนนักธรรมว่ามันมีกี่อย่าง กี่ชื่อที่เป็นชื่อของนิพพาน ไม่น้อยกว่า ๓๐ อย่าง นิพพานในห้องเรียน นิพพานแท้จริงในหัวใจมนุษย์มีอย่างเดียวคือเย็นเพราะไม่มีกิเลสเพราะไม่มีไฟ ที่หลายสิบอย่างนั้นผมมาพิจารณาดูแล้ว โอ้, มันไม่ใช่ตัวนิพพาน มันเป็นคำแทนชื่อของนิพพานก็มี แสดงลักษณะอาการของนิพพานก็มี แสดงความหมายทาง..(นาทีที่ ๔๕:๑๐) ทางอะไรก็มี มันจึงมีมากชื่อ ไม่น้อยกว่า ๓๐ ชื่อ พระนิพพานมีตั้ง ๓๐ กว่าชนิด บ้าเลย พระนิพพานจริงมีอย่างเดียวคือเย็นเพราะไม่มีไฟคือกิเลส ไม่ใช่บอกกันแต่ว่าถ้าอยากมีนิพพานแท้จริงก็มีอย่างเดียว ถ้ามีนิพพานในห้องเรียน ในปริยัติ ในบาลี ภาษาบาลีก็มีตั้ง ๓๐ กว่าอย่าง
ทีนี้ก็จะพูดกันต่อไปให้รู้จักนิพพานสมบูรณ์ หมดกิเลส หมดกิเลส หมดกิเลสแล้วเป็นนิพพาน ยังมีการจัดแบ่งให้ละเอียดออกไปอีก ออกไปอีก ทีนี้ก็เรียกว่า “นิพานธาตุ” สภาวะแห่งความเป็นนิพพานเรียกว่า นิพพานธาตุ ระดับแรกเรียกว่า “สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ” ระดับที่สองสูงขึ้นไปเรียกว่า “อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ” ต่างกันเพียงว่าอันแรกนี้สิ้นกิเลสแล้ว หมดกิเลสแล้ว แต่เวทนายังไม่เย็นสนิท คุณเขียนเท่านี้ก็พอ สิ้นกิเลสแล้วเวทนายังไม่เย็นสนิท ยังรู้สึกเป็นเวทนานั่น เวทนานี่ เป็นเวทนาบวก เวทนาลบ เวทนาสุข เวทนาทุกข์ แต่ก็ไม่เกิดกิเลสเพราะกิเลสสิ้นไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าสิ้นกิเลสแล้วเวทนายังไม่เย็นสนิท มีบาลีไว้ (นาทีที่ 47:00) มนาปา มนาปัง สุขะ ทุกขัง ยังรู้สึกอยู่อย่างนี้เป็นเวทนาสุข อย่างนี้เป็นเวทนาทุกข์ ตามที่เรียกกัน แต่มันไม่เกิดการปรุงแต่งให้เกิดกิเลส เพราะกิเลสหมดแล้ว และอย่างที่สอง กิเลสหมดแล้วเวทนาเย็นสนิทแล้ว ไม่กระดิกว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ นี่เวทนาเย็นสนิท เพราะฉะนั้นคำว่า “อนุปาทิ” เหลืออยู่ อนุปาทิเหลืออยู่ ก็หมายถึงเวทนา หรือรสของเวทนา หรือความรู้สึกต่อเวทนา มันเหลืออยู่ ทำให้รู้สึกว่าเวทนานี้เป็นอย่างไร ถ้าเชื้ออันนี้หมดแล้วมันเลยเวทนาไม่มีความหมายเป็นอะไร ไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์
แต่ที่ในโรงเรียนเขาก็สอนอย่างอื่น เขาอธิบายอย่างอื่นนะ เขาอธิบายว่าอย่างแรกคือเวทนาของพระอรหันต์ เอ้ย, นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นๆ อย่างที่สองคือนิพพานของพราหมณ์ที่ตายแล้ว พราหมณ์ที่ตายแล้วมีนิพพานอย่างที่สอง แต่ตามพระบาลีแท้ๆ ที่เอามาตรวจสอบใคร่ครวญ นั้นไม่ ไม่ตายหรอก สิ้นกิเลสแล้วเวทนาเย็นสนิทเป็นอย่างที่หนึ่ง สิ้นกิเลสแล้วเวทนายังไม่เย็นสนิท ยังรู้สึกให้รู้ว่าเป็นบวกหรือลบ สุขหรือทุกข์ ถ้าสิ้นกิเลสอย่างนั้นแล้วเวทนาเย็นสนิทจนไม่มีความรู้สึก บวกหรือลบสุขหรือทุกข์ นี่เป็นอย่างที่สองไม่ต้องตาย ไม่ต้องตาย ยังอยู่กันทั้งนั้นแหละ นิพพานธาตุแห่งพระอรหันต์ก็ยังมีชีวิตอยู่
ถ้าเราจะมาพูดอย่างธรรมดาสามัญเหมือนพวกเรานี้ มันก็ว่า เช่น รู้สึกว่าสวยหรือไม่สวย รู้สึกว่าไพเราะหรือไม่ไพเราะ หอมหรือเหม็น อร่อยหรือไม่อร่อย เลิกกัน เลิกกัน ไม่เกิดยินดียินร้าย บางทีเราก็พยายามทำได้นะ ไม่ใช่ทำไม่ได้ รู้สึกเวทนาเป็นบวกหรือเป็นลบแล้วแต่บังคับไว้ไม่ให้เกิดกิเลส นี้เราก็ทำได้ ทีนี้มันเก่งกว่านั้น มันไม่รู้สึกเป็นบวกเป็นลบ คือไม่รู้สึกเป็นอร่อยหรือไม่อร่อย หอมหรือเหม็น มันไม่รู้สึกเสียอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าเราไม่ใช่เป็นพระอรหันต์เราก็ต้องบังคับกันอย่างยิ่งหรือว่าต่อสู้กันอย่างยิ่งแล้วมันก็ไม่ชนะ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมันไม่มีการต่อสู้ เวทนามันก็เหลืออยู่แต่ความรู้สึก แล้วก็ ไม่เกิดกิเลส จำง่ายๆ ว่าสิ้นกิเลสแล้วเวทนายังไม่เย็นสนิท ยังรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ กับสิ้นกิเลสแล้วเวทนาเย็นสนิท ไม่มีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ นี่คือนิพานธาตุ คำว่า “ธาตุ” ในที่นี้คือสภาพวะแห่งจิตที่จะรู้สึกได้ จะบรรลุได้ หมายความว่าการบรรลุนิพพานของเพราะอรหันต์องค์ที่แรก เวทนายังไม่เย็นสนิท การบรรลุอรหันต์ขององค์ที่สองนั้นเวทนาเย็นสนิท เรียกชื่อว่านี่ จำไว้ได้ก็ดี แต่มันเป็นภาษาบาลียุ่งยาก
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ สิ้นกิเลสแล้วเวทนายังไม่เย็นสนิท และก็ อนุปานทิเสสนิพพานธาตุ สิ้นกิเลสแล้วเวทนาก็เย็นสนิทด้วย เวทนาไม่รู้สึกกระดุกกระดิกให้เป็นบวกหรือเป็นลบ เย็นเงียบหายไปมันสูงกว่ากันอย่างนี้ ในโรงเรียนเขาสอนกันอย่างอื่น ศาลาวัดก็สอนกันอย่างอื่น ที่พม่าที่ลังกาก็สอนอย่างอื่นที่ผมไปสืบถามดู ถ้าจะเอาอย่างพระบาลีแท้ๆต้องอย่างที่ว่านี้ สิ้นกิเลสแล้วเวทนายังไม่เย็นสนิท สิ้นกิเลสแล้วเวทนาเย็นสนิท
นี่มันเย็น เย็น เย็น สุด สุด สุดเย็น มันว่างจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ว่างจากอัตตา อัตตนียาโดยประการทั้งปวง ว่างจากอุปาทานตันหา กิเลสทั้งหลายทั้งปวง ว่าง ว่าง ว่างเท่าไรก็เย็นเท่านั้น ว่างเท่าไรก็เย็นเท่านั้น แต่ความหมายที่แท้จริงหมายถึงเย็น ที่เรามาพูดว่าว่าง ว่าง ว่าง นี่ก็เพื่อประกอบความหมายคำอธิบายให้มันเข้าใจได้ง่ายขึ้นชัดขึ้น จะพูดว่านิพพานว่างอย่างยิ่งก็ถูก นิพพานเย็นอย่างยิ่งก็ถูก แต่ว่าถ้าพูดว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งนี้เก็บไว้สำหรับโฆษณา ถ้าไม่พูดว่าเป็นสุขอย่างยิ่งไม่มีคนสนใจ เพราะว่าคนทั้งหลายติดอยู่ในรสของความสุข ฉะนั้นเมื่อจะโฆษณาให้เขาสนใจในพระนิพพาน ก็ต้องพูดว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เพื่อจะได้ดึงคนที่มันชอบสุข บ้าสุข เมาสุข หลงสุข มาสนใจนิพพาน ถ้าว่างอย่างยิ่งสั่นหัวไม่เอา พระนิพพานเย็นอย่างยิ่งก็ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยมีความหมาย
ขอเล่านิทานสั้นๆอีกนิดหนึ่งว่า เมื่อผมมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็มีผู้หญิงกลางคนคนหนึ่งที่เขามาวัด อุปฐากวัด ช่วยเหลือกิจการในวัด เขามาบอกว่าขอไปนิพพาน เดี๋ยวนี้เขาขอไปนิพพานเพราะเขาได้ยินเรื่องนิพพาน ผมบอกก็ได้ แต่นิพพานไม่มีรำวงนะ เพียงเท่านี้หมดกัน เลิก ถอนคำพูด เพราะแกชอบรำวง ที่อยากไปนิพพานก็เพราะว่าคิดว่าไปในเมืองนิพพานแล้วก็รำวงกันดีกว่าเมืองมนุษย์ ได้รำวงกันพิเศษกว่าเมืองคน พอบอกว่าในนิพพานไม่มีรำวงนะ ขอถอน ขอถอน ไม่ ไม่ ไม่ต้องการไปนิพพาน นี่มันเป็นถึงอย่างนี่ คิดดู ก็เพราะว่าคนธรรมดายึดติดในความสุข ยึดติดในความเป็นบวกมากเกินไป แต่นิพพานไม่เป็นบวก นิพพานไม่เป็นลบ คือว่ามันเหนือบวกเหนือลบ ไม่มีความหมายเป็นยินดียินร้าย ความรู้สึกที่เคยยินดียินร้ายมันหยุดไปมันไม่เกิดกิเลสได้ นี่คือเย็น เย็น เย็น แท้จริง เย็นยิ่งกว่าไฟดับ แต่ว่าไฟดับ ถ่านไฟดับ ร้อนดับ นั่นก็เรียกว่าเย็นเหมือนกัน แต่มันยังไม่สูงสุด ไม่เย็นสูงสุดเท่ากับกิเลสดับ ราคะ โทสะ โมหะดับ เย็นสูงสุด เป็นพระนิพพานในความหมายที่สมบูรณ์ มีความสงบเย็น สงบเย็น และก็ไม่เป็นหมัน ทำประโยชน์ได้ ทำประโยชน์แก่ใครๆก็ได้ พระอรหันต์บรรลุนิพพานสงบเย็นสูงสุดแล้วแต่ก็ยังทำประโยชน์แก่ใครได้ สอนธรรมะได้ อะไรได้ ไม่เป็นหมัน ฉะนั้น อย่ารังเกียจพระนิพพาน เหมือนในเมืองไทยเดี๋ยวนี้มีคนรังเกียจพระนิพพาน เป็นนักศึกษา นักปราชญ์ ราชบัณฑิตยังเกลียดนิพพาน เพราะเห็นว่ามันไม่ทำอะไร มันนอนเป็นท่อนไม้ หรือว่ามันไม่ทำอะไรเสียเลย มันไม่ยินดียินร้ายและมันไม่ทำอะไรเอาเสียเลย นั่นมันเข้าใจผิด ไม่ยินดีไม่ยินร้ายเพราะจิตมันสูงจนไม่ยินดียินร้าย แต่ว่าจิตไม่ยินดียินร้ายนี้มีอิสรเสรีภาพในการที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ถ้ามันยินดียินร้าย มันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัวมันไม่ทำหรอก แล้วมันก็ร้อน ร้อน เห็นแก่ตัว เพราะกิเลสเห็นแก่ตัว
นิพพานคือมีความหมายว่าเย็น เย็น เย็น ทางวัตถุเย็นก็อย่างที่ว่า ทางจิตเย็นก็อย่างที่ว่า เหนือ เหนือจิตขึ้นไปเป็นสติปัญญา หมดกิเลสหมดอวิชชาแล้วก็เย็นถึงที่สุด เย็นทางวัตถุก็เรียกว่านิพพานได้ เย็นทางจิตก็เรียกว่านิพพานได้ เย็นทางสติปัญญา ทางวิญญาณก็เรียกว่านิพพานได้ มันอยู่กันคนละระดับ คนละระดับ ฉะนั้นขอให้จำไว้ว่า สัตว์เดรัจฉานเมื่อฝึกจนถึงที่สุดหมดพิษหมดอันตรายแล้วก็ยังใช้คำว่านิพพานปรากฏอยู่ในบาลี ขอย้ำอีกทีว่าเมื่อหมาก็ไปนิพพานได้ รู้เรื่องนิพพานได้ รู้จักนิพพานได้ แล้วคนไปไม่ได้นี่มันเท่าไร มันน่าละอายสัตว์
นาฬิกาบอกหมดเวลา วันนี้เป็นวันที่ ๗ ถือเอาเป็นวันสำคัญพูดเรื่องที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาคือเรื่องนิพพาน ขอให้ไปใคร่ครวญ ใคร่ครวญ ใคร่ครวญ จนขอบคุณพระนิพพาน ที่หล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจไว้ประจำวัน ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องตาย เพราะพระนิพพานนี้หล่อเลี้ยงไว้ และทำให้มันมากขึ้น มากขึ้น สูงมากขึ้น สูงมากขึ้นจนถึงพระนิพพานสูงสุดด้วยกันจนทุกๆคนเถิด ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา พอใจในพระนิพพาน ไม่เกลียดสิ่งที่เรียกว่าพระนิพพานเลยโดยประการทั้งปวง ขอยุติการบรรยาย