แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนอื่นทั้งหมดอาตมาขอโอกาสแสดงความยินดีอนุโมทนาแก่นักศึกษาทั้งหลาย ในการมาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือมาแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปใช้ประกอบกิจในหน้าที่การงานของตนๆให้สำเร็จประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไปอย่างเป็นที่น่าพอใจ ขอเน้นคำว่าเป็นที่น่าพอใจๆ ถ้าขาดธรรมะแล้ว มันจะมีสิ่งที่เรียกว่าไม่น่าพอใจ ขลุกขลัก ไม่สำเร็จประโยชน์ หรือว่ามันไม่เรียบร้อย ราบรื่น รวดเร็ว อันนี้เป็นต้น
ในการเล่าเรียนก็ดี เบื้องต้นที่สุดแม้แต่การเล่าเรียน ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะๆเข้าไปเกี่ยวข้อง การเล่าเรียนนั้นนอกจากจะไม่ดีแล้ว มันจะยังแถมให้เกิดมีความทุกข์ ขอให้สังเกตดูให้ดี มันเรียนไม่สนุก มันมีความทุกข์ในการเล่าเรียนนั้นแหละ แม้ในการงานถ้าจะมีผลดี เรียบร้อย ราบรื่น สนุกดี ก็จะต้องมีธรรมะประกอบอยู่ในการทำกิจการงาน นี่ต่อให้แม้การที่จะเสวยผลได้จากการงาน ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันยุ่งยาก มันทำผิดทาง ไม่น่าๆเลื่อมใส แม้จะเก็บๆ จะรักษา จะสะสมไอ้สิ่งที่มันเป็นผลงานก็เหมือนกัน ยังต้องมีธรรมะ มิฉะนั้นมันจะรักษาไว้ไม่ได้ ไอ้สิ่งที่จะต้องรักษาๆไว้ไม่ได้ นี่ขอให้คิดดูให้ดี นี่ต้องการธรรมะตั้งแต่ต้นจนปลาย จนถึงที่สุด ชีวิตนี้ต้องการธรรมะคือความถูกต้อง ตั้งแต่ ก-ฮ ตั้งแต่ออกจากท้องแม่จนถึงเข้าโลงว่าอย่างนั้นดีกว่า ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะประกอบอยู่ด้วยเสมอไป แต่มันจะมีได้หรือไม่ได้อย่างไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง
ทารกเกิดมาจากครรภ์มารดา ถ้าได้รับการแวดล้อมถูกต้องด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะแล้ว ก็ประเสริฐ วิเศษ เจริญงอกงามไปในทางที่จะเป็นคนดี ถ้าแวดล้อมกันไม่ถูกต้องมันก็เป็นอย่างที่ไม่น่าๆดู มีปัญหามาก ฉะนั้นการที่ได้เกิดมาในตระกูลที่มีสัมมาทิฏฐิ หรือมีบิดามารดาที่เป็นผู้มีธรรมะ เรียกว่ามีบุญเหลือหลาย นี่ก็คือประโยชน์ของธรรมะ หรือจะเรียกอีกทีว่าความจำเป็นที่ต้องมีธรรมะ และการที่ท่านทั้งหลายมาแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อจะไปดำเนินชีวิต ประโยชน์กิจทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา มันมีเหตุผลควรแก่การอนุโมทนา อาตมาจึงขออนุโมทนา ทีนี้ก็จะปรารภต่อไปถึงการที่เรามาพูดจากันในเวลาอย่างนี้ ซึ่งตามปกติคนเขาสงวนเวลาอย่างนี้ไว้แสวงหาความสุขจากการนอน เราเอามาใช้อย่างนี้มันก็ฝืนความรู้สึกแก่คนบางคนที่ไม่รู้จักใช้เวลา ใช้เวลาให้ตรงกับเรื่องของมัน การที่ได้เลือกเอาเวลาอย่างนี้ ตี ๕ นี่เพื่อให้ตรงกับเรื่องของมัน เวลาหัวรุ่งนี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะศึกษาธรรมะ เพราะว่าจิตได้รับการพักผ่อนมาตลอดคืนแล้ว มีความสดชื่น เข้มแข็ง แจ่มใส เบิกบาน สำหรับจะรับสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง หรือประณีต จะเรียกสั้นๆว่าเป็นเวลาที่พร้อมที่จะเบิกบานๆ ดอกไม้ส่วนมากเบิกบาน เริ่มเบิกบานในเวลาอย่างนี้ เรียกว่าเป็นเวลาสำหรับจะเบิกบาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้เวลาอย่างนี้คือเวลาก่อนหัวรุ่ง ก่อนรุ่ง หรือหัวรุ่ง เป็นเวลาที่จะเบิกบานถึงที่สุด มันเป็นเวลาที่พิเศษ คือมันมีความพร้อม ก็ขอให้เราได้รู้จักใช้เวลาอย่างนี้สำหรับการเบิกบานแห่งจิตใจของเราเอง เป็นเวลาที่จิตเหมาะสมที่จะรับอะไรลงไป ถ้ารอไปจนเช้า จนสาย จนเที่ยง จนบ่ายแล้ว มันก็ จิตก็รับอะไรลงไปมากแล้ว ไม่ว่าง ไม่เหมาะที่จะเติมอะไรลงไปอีก เรียกกันอย่างขำขันว่าน้ำชามันเต็มถ้วย น้ำชามันจะล้นถ้วยแล้ว มันเติมอะไรลงไปไม่ได้อีก ในระหว่างนี้ เวลานี้ น้ำชายังไม่ล้นถ้วย ยังจะเติมอะไรลงไปได้อีก มันก็มีเหตุผลที่ใช้เวลาอย่างนี้สำหรับที่จะเติมอะไรลงไป ซึ่งนาทีนี้ก็หมายถึงเติมธรรมะลงไป สรุปว่ามันเป็นเวลาพิเศษ ไม่เหมือนกับเวลาอื่น มีความสดชื่นแห่งจิตใจ อย่างกับว่าเป็นคนละโลกๆ ต่างกันจากโลกเวลาอื่น ลองเปรียบเทียบเวลาโลกของเรา โลกที่เกี่ยวข้องกับเรา เป็นโลกที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา เวลาเช้าเป็นอย่างไร เวลาสายเป็นอย่างไร เวลาบ่ายเป็นอย่างไร เวลาเย็นเป็นอย่างไร เวลาค่ำเป็นอย่างไร เวลาดึกเป็นอย่างไร และเวลาหัวรุ่งนี่เป็นอย่างไร จะพบว่ามีความๆต่าง มีความต่างไปคนละอย่างๆ จึงได้เรียกว่าคนละโลก ถ้ายังมัวนอนอยู่ ยังนอนหลับอยู่ มันก็ไม่ได้รู้จักโลกเวลา ๕ น. เวลา ๕ น. ๖ น. ถ้าจะเอาเวลาอย่างนี้ไปนอนเสียตลอดสักชาติ มันก็ไม่ค่อยรู้จักโลกๆนี้ โลกเวลาอย่างนี้ นี่ขอให้สังเกตดูเถอะว่าเราจะรู้จักโลกที่เยือกเย็น ที่อำนวยความสะดวก ที่อำนวยความก้าวหน้าแก่การศึกษาของเรา จึงถือเอาเป็นเวลาสำหรับศึกษา ฝึกฝนทุกอย่างที่ควรจะศึกษา นี่ขอให้เข้าใจว่าทำไมจึงใช้เวลาอย่างนี้
ชีวิตนี้ต้องการการพัฒนาที่ถูกต้องเรื่อยๆไปจนกว่าจะถึงที่สุด และพร้อมกันนั้นมันก็ไม่มีปัญหา ก็ไม่มีความทุกข์ อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าในการเป็นอยู่ๆ มีชีวิตอยู่ ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ในการศึกษาก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ในการทำการงานก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ในการเสวยผลงานก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ในการจะมีชีวิตอยู่จนตลอดชีวิตก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ต้องไม่มีปัญหายุ่งยากลำบากใดๆจึงจะเรียกว่ามีบุญ มีกุศล มีโชคดีที่สุด ในการที่ได้มีชีวิตชนิดนี้ การจะมีชีวิตชนิดนี้ได้มันจำเป็นที่สุดที่จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ มีสิ่งที่ต้องเรียกว่าธรรมะ จะมีธรรมะแต่ละชนิดๆ แต่ละอย่าง ถูกต้องครบถ้วนกับชนิดๆของการดำเนินชีวิต ซึ่งมีเป็นชนิดๆๆอยู่เหมือนกัน ต้องได้ธรรมะที่เป็นคู่กันพอดีกับการดำเนินชีวิตชนิดไหน ระยะไหน อย่างไร นี่ต้องมีธรรมะที่คู่กัน ที่เหมาะสมกัน ไอ้ชีวิตชนิดนั้นมันก็จะไม่มีปัญหา ถ้ามีปัญหาหมายความว่ามันเกิดความยุ่งยาก ลำบาก ใช้คำว่าปัญหาดีกว่า ใช้คำว่าความทุกข์มันยังแคบไป เพราะว่าแม้แต่ความสุขมันก็เป็นปัญหานะ ถ้าฉลาด ถ้าสามารถที่จะทำความเข้าใจแล้ว ก็รู้เถอะว่าแม้แต่ความสุขมันก็เป็นปัญหา เราไม่มีปัญหากันเลย ความทุกข์และความสุขมันก็ไม่มีปัญหา ไม่เป็นปัญหา ชีวิตนี้จึงจะสงบเย็นๆ ไม่มีปัญหา แล้วยังแถมเป็นประโยชน์ด้วย คำสองคำนี้ช่วยจำไว้ดีๆ มันเป็นเป้าหมาย หรือเป็นจุดหมายปลายทางว่าจะต้องมีชีวิตที่สงบเย็นๆ และก็เป็นประโยชน์ๆ ๒ คำเท่านั้น ถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็คือไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตควรจะได้รับไว้ หมายถึงว่าที่เราควรจะได้รับ ถ้าจะมีความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ในที่สุด หรือตลอดๆเวลาเรื่อยๆไปก่อนกว่าจะถึงที่สุดก็ได้เหมือนกัน มันต้องประกอบอยู่ที่ธรรมะๆ คือความถูกต้องของชีวิตนั้นเองๆ เราจึงรู้จักชีวิตในลักษณะที่ควรรู้จัก ข้อแรกว่ามันคืออะไรๆ ตัวชีวิตนี้มันคืออะไร ที่จะต้องมีธรรมะ รู้ธรรมะก็คือรู้ความจริงของชีวิตว่ามันจะต้องมี จะต้องเป็น ตามที่ธรรมชาติกำหนด หรือเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ชีวิตนี้เราๆไม่รู้จัก เราก็ไม่ได้ต้องการจะเกิดมาด้วยซ้ำไป เราไม่มีความคิดนึกรู้ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าต้องการที่จะเกิดมา แต่เมื่อเกิดมาแล้วจึงค่อยรู้เรื่อง หรือรู้ปัญหาแห่งชีวิต แต่ว่าเราจะปฏิเสธอย่างนั้นไม่ได้หรอก เช่นจะปฏิเสธว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ฉันไม่ได้ขอร้องที่จะเกิดมา ฉันก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรในชีวิต อย่างนี้มันก็ไม่ถูก มันเกิดมาแล้วๆ จะด้วยอะไรก็ตามมันเกิดมาแล้ว เป็นตัวบุคคลที่กำลังมีความรู้สึกอยู่อย่างนี้ จะไม่รับผิดชอบว่าจะจัดการหรือจะพัฒนามัน ถ้าอย่างนั้นก็ไปฆ่าตัวตาย มันจะไร้ความหมาย จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เลิกกัน แต่มันต้องรู้ว่ามันเกิดมาแล้ว มันไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะมันเกิดมาแล้ว ว่าเกิดมาแล้วนี่จะต้องทำอะไร จึงจะสมกับที่มันเกิดมา นี่ก็ตอบอย่างกำปั้นทุบดินสั้นๆ ตอบสั้นๆ ว่ามันต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตมนุษย์นั้นควรจะได้นั้น ต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อเกิดมาแล้วอย่างนี้มันก็ต้องใช้คำที่ค่อนข้างหยาบคาย ต้องไม่เสียชาติเกิดๆ ทำอย่างไรเรียกว่าไม่เสียชาติเกิด ก็คือได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตควรจะได้ หรือที่มนุษย์ควรจะได้นั่นแหละ มันเป็นสัจจะ เป็นตัวสัจจะของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต จะได้ต้องได้ จะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด แล้วก็ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะอย่างถูกต้อง อย่างครบถ้วนจึงจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ
นี่ความรู้เรื่องธรรมะๆนี้จำเป็นต้องมี มันจำเป็นต้องมี ถ้าไม่มี หรือไม่ปรากฎ หรือไม่เอามาใช้ ในชีวิตนี้ก็จะเต็มไปด้วยความโหดร้าย เช่นจะเป็นทุกข์ เป็นสิ่งยุ่งยาก ลำบาก และทรมาน มนุษย์แต่ดึกดำบรรพ์นู่นมันประสบปัญหาอันนี้ มันยากลำบาก มันจึงได้คิดค้นหาวิธีจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้หมดไป มันจึงมาพบกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะมากขึ้นๆๆ และสอนสืบๆต่อกันมาจนบัดนี้ ลองไม่มีธรรมดู ลองไม่มีธรรมะ หรือไม่สนใจธรรมะ ไม่ประพฤติธรรมะ หรือแกล้งไม่สนใจธรรมะ ชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร ชีวิตที่ไร้ธรรมะ ปราศจากธรรมะโดยสิ้นเชิงนี้มันจะเป็นอย่างไร ลองดูก็ได้ หรือไม่ลองจริงๆคือลองคำนวณดูก็ได้ ก็พอจะมองเห็นว่าชีวิตนี้มันก็จะกัดเจ้าของ เป็นคำที่ควรจะกำหนดจดจำไว้ หรือระวังว่าชีวิตนี้มันจะกัดเจ้าของ และชีวิตนี้มันก็เลวกว่าหมา เพราะหมามันยังไม่กัดเจ้าของ ชีวิตนี้มันจะกัดเจ้าของ มันต้องเลว ต้องเรียกว่ามันเลวกว่าหมานะ มันจะไม่มีค่า มันเป็นศัตรูๆอยู่ในตัวมันเอง นี่ก็ต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป ไม่ให้มันกัดเจ้าของ ก็มีธรรมะ
ข้อนี้ศึกษาได้ไม่ยากจากสิ่งที่ได้ผ่านมาแล้วๆแต่หนหลัง เมื่อยังไม่รู้ธรรมะ เมื่อไม่มีธรรมะ ไม่รู้จักใช้ธรรมะ มันเต็มไปด้วยปัญหาที่ว่าๆชีวิตมันกัดเจ้าของนั่นเอง เดี๋ยวความรักมากัดเจ้าของ ร้อนระอุเป็นไฟ เดี๋ยวความโกรธกัดเจ้าของ ลุกท่วมโร่เป็นไฟ เดี๋ยวความเกลียดก็กัดเจ้าของ ความกลัวๆก็กัดเจ้าของ ความตื่นเต้นๆแปลกประหลาดมันก็กัดเจ้าของ วิตกอนาคตมันก็กัดเจ้าของ อาลัยอดีตมันก็กัดเจ้าของ อิจฉาริษยากันอยู่ที่ตรงนี้มันก็กัดเจ้าของ ความหวง ความหวงกั้นยึดถือโดยทั่วไปมันก็กัดเจ้าของ เข้มข้นในทางเพศกลายเป็นความหึงมันยิ่งกัด และกัดจนฆ่ากันตายเลย ตัวอย่างเท่านี้มันก็พอแล้ว มันยังมีอีกมากมายที่มันจะกัดเจ้าของโดยวิธีใดบ้าง ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวงหึง มันล้วนแต่กัดเจ้าของ พอมีธรรมะอย่างถูกต้องเข้ามา สิ่งเหล่านี้ก็หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ไม่มารบกวน ได้ถึงขีดสุดก็ยิ่งดี แม้แต่เพียงน้อยๆก็ยังน่าดูน่าชมว่ามันไม่เจ็บปวด นี่เหตุอันนี้ทำให้มันต้องมีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือความจริงที่ชีวิตจะต้องรู้จัก จะต้องมีความรู้ ความจริงที่ชีวิตจะต้องรู้จัก ที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าเราไม่มีแล้วมันกัดเจ้าของ ถ้ามีมันไม่มีการกัดเจ้าของ มันจะมีความสงบเย็นเป็นประโยชน์สูงสุด นี่จะต้องมีธรรมะเพื่อชีวิตนี้มันจะได้รับผลดีถึงที่สุด แล้วเราจะทำได้อย่างไร ก็ปฏิบัติให้มันถูกต้อง มันต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อมีการปฏิบัติที่ถูกต้อง มันจึงจะมีการได้รับผลที่ถูกต้อง การมีความรู้ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ได้รับผลถูกต้อง นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าการศึกษา ท่านทั้งหลายเรียกตัวเองว่านักศึกษาๆ ถ้าการศึกษานั้นไม่ขจัดปัญหาเหล่านี้ได้ มันก็เรียกว่าศึกษานั้นยังไม่ถูกต้องหรือยังไม่สมบูรณ์ ถูกต้องน้อยเกินไปไม่สมบูรณ์ก็แก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ เลยต้องมีการศึกษาที่ถูกต้องและก็สมบูรณ์ด้วย จึงจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
ทีนี้เรามองดูกันถึงเรื่องการศึกษามันมีขอบเขตอย่างไร เดี๋ยวนี้มันมีการศึกษากันแต่เพียงให้รู้หนังสือ รู้จักทำมาหากิน รู้จักวิชาชีพ แล้วไปทำการงานหาเงินได้ตามที่ต้องการ มีแต่เพียงเท่านั้น แต่ไม่เคยเหลียวดูว่าตลอดเวลาเหล่านั้น เวลาที่ศึกษาก็ดี ประกอบการงานก็ดี มันเต็มไปด้วยปัญหา คือความทุกข์ ความยาก ความลำบาก ยิ่งมีความโง่มากแล้ว ก็ยิ่งลำบากมาก ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่ก็เริ่มเป็นปัญหายุ่งยากไปเสียตั้งแต่ต้นมือ เพราะการศึกษานั้นมันยังไม่สมบูรณ์ รู้จักแต่หนังสือ รู้จักทำมาหากิน รู้จักหาเงิน แต่นี่มันไม่สมบูรณ์ มันไม่มีเครื่องป้องกันอย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาตลอดเวลาเหล่านั้น ถ้าอย่างนี้แล้วแม้จะได้เงินมา ได้ของ ได้ประโยชน์มา ก็มาเพื่อกัดเจ้าของ ได้ความรัก ได้ความโกรธ เกลียด กลัวอะไรต่อไป ยิ่งมีเงินมาก มีอำนาจวาสนามาก ก็ยิ่งมีปัญหามาก มันก็ยิ่งกัด จึงต้องศึกษาให้สมบูรณ์ ทั้งเรื่องฝ่ายโลก ฝ่ายร่างกาย แม้กระทั่งเรื่องฝ่ายจิตใจ ยิ่งสูง ยิ่งขึ้นไป ความรู้ที่เราจะได้จากโรงเรียน หรือจากมหาวิทยาลัยก็ตาม มันเป็นเพียงเรื่องของการเป็นอยู่ในโลก แสวงหาประโยชน์ในโลก แต่ยังไม่มีสิ่งที่จะป้องกันความทุกข์ อันจะเกิดจากการแสวงหา จึงจะมีการศึกษาอีกส่วนหนึ่ง อีกแผนกหนึ่งอีกต่างหาก เพื่อจะป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์เหล่านั้น อย่างที่เรากำลังมาหาความรู้ทางธรรมะ ก็เพื่อจะได้รับการศึกษาประเภทนี้แหละ เป็นเครื่องคุ้มครองไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา นับตั้งแต่เริ่มมีการศึกษา และก็มีการงาน การกระทำก ระทั่งมีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศ ชื่อเสียงอะไรก็ตาม อย่าให้มันกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมากัดเจ้าของ นี่ขอให้สนใจว่าธรรมะๆนี้จำเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ความถูกต้องในการเรียนหนังสืออย่าง ก. ข. ก.กา เรียนชั้นประถม เรียนชั้นอนุบาลนั้น ก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกันแหละ ธรรมะเด็กๆ ธรรมะสำหรับเด็กๆ สำหรับลูกเด็กๆ ที่จะต้องมีมาอย่างถูกต้อง มันก็จะเรียนได้สำเร็จมาตามมาลำดับ เป็นเด็กๆที่ดีของบิดามารดา เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนฝูงที่ดีของเพื่อนฝูงด้วยกัน เป็นพลเมืองที่ดีตลอดเวลา เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระศาสนานี่ก็ธรรมะ ช่วยให้ถูกต้องขึ้นมาตามลำดับอย่างนี้ แล้วจะหมดปัญหา เพราะมีความถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นจงจัดการ ปรับปรุง ให้มีธรรมะตลอดสาย ธรรมะในชั้นลูกเด็กๆ กระทั่งโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว เป็นผู้มีเหย้าเรือน ครอบครัว มีสมบัติพัสถาน มีความแก่ ความชรา จนกระทั่งจะเข้าโลง พูดอย่างนั้น อย่างขบขันกันหน่อยก็ว่า มีธรรมะเข้าโลงไปด้วยนั้นแหละจะดีที่สุด มีธรรมะกันตลอดเวลาอย่างนี้
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงการศึกษาเพื่อมีธรรมะๆ เป็นการศึกษาตามแบบของการมีธรรมะ การศึกษาแบบที่เขาจัดให้เรา เด็กๆเล็กๆมันยังไม่ค่อยสนใจกับเรื่องนี้ คือพูดให้ฟัง ให้จำไว้ได้ และบางทีก็เพียงแต่จดไว้ในสมุดแล้วก็เลิกจำ ตอบคำถามในการสอบไล่ได้ ก็เรียกสอบไล่ได้ แล้วมันก็เรียกว่ามีการศึกษา นี่มันไม่สมบูรณ์ มันไม่มากพอที่จำกัดปัญหาทั้งหลายทั้งปวง บางทีที่เราท่องได้ ตอบคำถามได้ สอบไล่ได้นั้น ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์อะไรเลย บางทีมันเข้า ไม่เข้าใจด้วยซ้ำ เพียงแต่จำได้ว่าต้องตอบอย่างนั้นๆ มันก็ตอบได้ แต่ไม่ได้เข้าใจโดยแท้จริง ยิ่งเป็นปัญหาทางปรนัยอะไรนี่ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปมาก เดาก็ได้ ฟลุ๊คก็ได้ ก็ตอบถูก ก็ตอบไป ฉะนั้นอยากจะพูดถึงไอ้คำว่าศึกษาๆที่แท้จริงตามหลักของพระพุทธศาสนาดีกว่า ศึกษาธรรมะๆนั้นเอาไปใช้ศึกษาอะไรก็ได้ ถ้ามีการศึกษาอย่างถูกต้องตามแบบของธรรมะ มันก็ถือหลักตามตัว ถือคำพูดคำนั้น คือคำว่าศึกษานั่นแหละ เป็นภาษาไทยก็ว่าศึกษา ถ้าเป็นภาษาบาลีก็ว่าสิกขาๆ ถ้าเป็นภาษาสันสกฤตเขาออกเสียงว่า สิกฉาๆ เหมือนกันเลยสิกฉาก็ดี สิกขาก็ดี ศึกษาก็ดี หมายถึงการศึกษา คำพูดคำนี้ประกอบขึ้นด้วยส่วนประกอบคือคำว่า สะ กับ อิกขะ คำว่า สะ ก็แปลความหมายได้ว่า เอง หรือภายใน ทำด้วยตนเอง และก็ทำที่เป็นภายใน อิกขะ อิกฉะ แปลว่าดู เห็นแจ้งๆ อิกขะ เอาสะกับอิกขะมาบวกกันเข้าเป็นสิกขา เป็นศึกษา มันก็ได้ความว่า ดูตัวเอง ด้วยตนเอง ในภายในของตนเอง ดูตัวเอง ในภายในของตนเอง และก็ด้วยตนเอง ถ้าทำอย่างนั้นตรงตามความหมายของคำว่าศึกษา ในภาษาบาลีสิกขา ทีนี้คำว่าดูๆนี้มันไม่ได้สั้นๆเพียงพยางค์เดียวว่าดู ดูเข้าไปในตัวเองไม่ใช่ง่ายนะๆ ไม่เคยดู ไม่รู้จักดู มันต้องดูเป็นๆ ดูเข้าไปในตัวเอง โดยตัวเอง และภายในตัวเอง ดูแล้วมันจะหมายถึงเห็น ดูแล้วไม่เห็นก็ได้ มันโง่ๆดูไม่เห็น ดูไม่เป็นก็ไม่เห็น ต้องดูเป็นแล้วก็เห็น พอเห็นแล้วต้องรู้จัก ไม่รู้จักก็ได้มันยังโง่ ยังไม่รู้จัก ที่ ๑ มันดู ที่ ๒ มันเห็น ที่ ๓ มันรู้จัก มันรู้จักว่าอะไรเป็นอะไร จึงจะสามารถวิจัยวิจารณ์ๆว่าไอ้สิ่งที่เราเห็นที่เรารู้จักนี้มันคืออะไร มันเป็นอย่างไร มันเพื่อประโยชน์อะไร มันมีเหตุผลอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น มันก็สามารถวิจัยวิจารณ์ ว่าให้โทษอย่างไร ให้ประโยชน์อย่างไร ควรจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร ขั้นแรกก็ปฏิบัติดู วิจัยวิจารณ์ได้ผลอย่างไรก็ปฏิบัติดูๆ มันก็แสดงออกมาชัดเจนว่าเป็นอย่างนี้ๆนี่ ต่อเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วนี่ถึงจะเรียกว่า ศีกษา สิกขา ศึกษา เห็นแจ้งชัดเจนถูกต้องในตัวเองโดยตัวเอง และก็เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง มันเป็นการ ผลสุดท้ายของการปฏิบัติดูแล้ว ผ่านไปแล้วด้วยการปฏิบัติจึงจะมีผล เป็นการศึกษาๆ ขอให้จำไอ้คำเหล่านี้ไว้ดีๆ ดู เห็น แล้วรู้จัก แล้ววิจัยวิจารณ์ ให้เข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้ง มีเหตุผลที่จะเชื่อถือเอา นี่เรียกว่าวิจัยวิจารณ์ๆ มันก็ โอ้, นี่แน่ะมีประโยชน์อย่างนี้ ก็ลองปฏิบัติดู แล้วมันก็ได้ผลอย่างนั้นจริงๆ นี่การศึกษา สำเร็จสูงสุดเมื่อมีการลองปฏิบัติดู แล้วมันได้ผลอย่างนั้นจริงๆ ได้ผลอย่างนั้นจริงๆ นี่คือการศึกษา ในห้องเรียนในชั้นเรียนของนักเรียนเป็นอย่างนี้หรือเปล่านักเรียน โดยเฉพาะชั้นประถม ชั้นมัธยม มันไม่ปรากฎว่าทำกันถึงอย่างนี้ แม้ในการศึกษาชั้นอุดม ชั้นมหาวิทยาลัย ก็ยังมีน้อยมากที่จะทำกันถึงครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้ ก็มีจัดหลักสูตรให้ทำสั้นๆลวกๆเป็นอย่างอื่น พอสอบไล่ได้ก็แล้วไป ให้รับประกาศนียบัตรออกไปทำมาหากิน จึงขอฝากไว้ต่อไปในอนาคตว่ายังมีการศึกษา ที่จะต้องศึกษาอีกขั้นหนึ่ง อีกขั้นตอนหนึ่ง คือการศึกษาชีวิต ให้ชีวิตเป็นการศึกษาตลอดไปๆ แม้แต่การงานที่เรากำลังกระทำก็ต้องศึกษามันอีก ให้รู้จักมันให้ดี แม้ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการงานก็ยังต้องศึกษามันอีก อย่าให้มันผิดพลาด เป็นภัย เป็นอันตรายเกิดขึ้นมา นี่เรียกว่าจะต้องศึกษาไอ้ตัวชีวิต มิใช่สักว่าเรียนๆ ท่องๆ บ่นๆ จดไว้ในสมุด ตอบคำถามได้แล้วเป็นการศึกษา ขอให้ทบทวนอย่างว่า ดู เห็น รู้จักวิจัยวิจารณ์ ประพฤติ แล้วพิสูจน์ ทดลอง พิสูจน์ ทดลองว่าจริงตามนั้น จะสามารถป้องกันอันตราย แล้วก็นำมาซึ่งประโยชน์ การดำเนินชีวิตนั้นมันก็ถูกต้อง
การศึกษานี่เพื่อสิ่งที่เรียกว่าชีวิตโดยตรงก็ได้ เพื่อชีวิตมันจะได้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง และเพื่ออุปกรณ์แห่งชีวิตก็ได้ คือสิ่งที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง แวดล้อม ประกอบแก่ชีวิตนี้ก็ต้องถูกต้อง ถ้าอุปกรณ์ชีวิตถูกต้องชีวิตมันก็ถูกต้องได้เอง ได้ง่ายเอง ต้องให้ถูกต้องทั้งตัวชีวิต สิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ชีวิต ชีวิตนี่มันเป็นสิ่งที่ๆตั้งเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวง เพราะมีตัวชีวิต มันก็มีสิ่งต่างๆ หลายๆอย่างตั้งอยู่บนชีวิต ชีวิตก็เป็นรากฐานรองรับสิ่งทั้งปวง เหมือนกับแผ่นดินเป็นที่ตั้ง ที่รองรับแห่งสิ่งทั้งปวง นั่นมันเป็นภายนอก ที่เป็นภายในคือไอ้ตัวชีวิตนั้นแหละ อะไรๆมันก็จะตั้งลงไปบนสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เป็นที่รองรับ เป็นรากฐาน เป็นที่รองรับ และก็เป็นที่รวบรวมแห่งสิ่งทั้งปวง ก็เป็นที่ได้รับผล เสวยผล รู้รสของผลที่ดี ที่มันจะเกิดแก่ไอ้ชีวิตนั้นๆ สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง ความถูกต้องของสิ่งเหล่านี้เรียกว่าธรรมะ ดังนั้นธรรมะมันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต ธรรมะคือสิ่งที่สมควรศึกษา ต้องศึกษา และปฏิบัติต่อธรรมะให้ถูกต้อง แล้วก็จะอะไร จะรองรับชีวิตอย่างถูกต้อง จะให้อำนวยประโยชน์ให้เกิดแก่ชีวิตอย่างถูกต้อง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะๆ
ทีนี้มาพูดกันถึงคำว่าธรรมะๆกันบ้าง คือคำนี้ยังรู้จักกันน้อยเกินไปถ้าเล่าเรียนศึกษากันมาแต่อย่างชนิดในโรงเรียน เพราะครูโดยทั่วไปก็มักจะสอนแต่เพียงว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า น่าสงสารที่สุดที่การที่พูดกันอย่างนี้ เขาหารู้ไม่ว่าถ้าในอินเดีย ในประเทศอินเดียนั้นคำสอนของศาสนาไหนก็เรียกธรรมะทั้งนั้นเลย ของศาสนาที่ตรงกันข้ามกับพระพุทธศาสนาก็เรียกธรรมะ ธรรมะของศาสนานั้นๆ ของศาสดาชื่อนั้น ไม่เฉพาะของพระพุทธเจ้า คำว่าธรรมะๆนี่มันไม่ใช่คำสั่งสอน ไอ้คำสั่งสอนมันมีคำอื่นเช่นคำว่า ศาสน เทศนา นี่เรียกคำสั่งสอน ธรรมะๆนี้มันหมายถึงหน้าที่ๆ ในจำกัด ระบุ เจาะจงลงไป มันหมายถึงหน้าที่ๆ แต่ถ้าว่าโดยสิ้นเชิงแล้วมันหมายถึงทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่ไม่เรียกว่าธรรมะ มันหมายถึงทุกสิ่งๆ แต่เราเลือกเอามาเฉพาะสิ่งที่เราควรรู้จัก หรือต้องรู้จัก หรือต้องจัดการให้สำเร็จประโยชน์ ให้ลุล่วงลงไป ธรรมะคือทุกสิ่ง ทุกสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร เมื่อเราพูดว่าทุกสิ่ง ความหมายที่ ๑ ก็หมายถึงธรรมชาติ ตัวธรรมชาติทั้งหลายที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอากาศ เป็นวิญญาณ เป็นชีวิต หรือมิใช่ชีวิต บรรดาสิ่งที่ปรากฎอยู่ในโลกทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่าธรรมชาติๆๆ ไอ้ตัวธรรมชาตินี่ก็เรียกว่าธรรมะ ทีนี้ยังมีกฎๆๆ กฎของธรรมชาติ มันก็ประจำอยู่ในตัวธรรมชาติ นี่เป็นสิ่งที่ ๒ เรียกว่ากฎของธรรมชาติที่ประจำอยู่ในตัวธรรมชาติ ไอ้กฏธรรมชาติทั้งหมดๆนี้ก็เรียกว่าธรรมะๆ และที่ ๓ คือมีหน้าที่ หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ต้องปฏิบัตินะ ให้ถูกตามกฎของธรรมชาตินะ ไม่งั้นมันตายๆ เราปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกตามกฎของธรรมชาตินี่มันก็ตาย ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เป็นความหมายที่ ๓ และก็มีความหมายที่ ๔ อันสุดท้ายว่ามีผลได้รับจากหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่และก็ได้รับผลจากหน้าที่ แล้วแต่ว่าปฏิบัติผิด ปฏิบัติถูก ปฏิบัติสูง ปฏิบัติต่ำ ปฏิบัติอะไรๆก็แล้วแต่ ผลทั้งหลายที่เกิดจากหน้าที่นี้ก็เรียกว่าธรรมะ ถ้าลองคำนวณดูมันมีอะไรเหลือ มันไม่มีอะไรเหลือ ธรรมชาติทั้งปวง กฎของธรรมชาติทั้งปวง หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติทั้งปวง แล้วผลที่เกิดมาจากหน้าที่ มันก็อย่างนี้กันหมด ไม่ยกเว้นอะไร แล้วเราเรียกกันสั้นๆตามภาษาบาลีที่เรียกมาแต่เดิมว่าธรรมะๆ แปลเป็นภาษาไทยก็ไม่ได้ มันไม่ครบความหมาย แปลเป็นภาษาต่างประเทศ เป็นภาษาฝรั่ง อังกฤษ ก็แปลได้ แปลแล้วมันไม่ครบ มันไม่หมดตามความหมาย มันแปลได้ทุกอย่าง แล้วมันก็ยังไม่หมด ครั้งหนึ่งปรากฏว่ามีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษ ได้คำแปลมาประมาณ ๓๘ คำแล้วก็ยังไม่หมดความหมายของคำว่าธรรมะ เลยยอมแพ้ๆ ไม่แปลๆ ไม่อาจจะแปล ก็ต้องใช้คำเดิมว่าธรรมะๆ คำว่าธรรมะมันยังเข้าไปอยู่ในปทานุกรมหรือคำว่าสำหรับใช้พูดของภาษาทุกภาษาแหละเดี๋ยวนี้ ทุกภาษา มันแปลไม่ได้ ภาษาจีนก็อวดดีที่จะแปลอย่างนี้แล้วมันก็ไม่ได้ มันก็แปลมันก็ใช้ไม่ได้ มันไม่ครบ มันไม่หมด นี่ก็เรียกธรรมะๆ ฉะนั้นธรรมะคือทุกสิ่ง เป็นอย่างนี้ และจัดได้เป็น ๔ หมวด ๔ ความหมาย ธรรมชาติ หน้าที่ของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และผลที่จะได้รับ แล้วคุณก็ลองคิดดูเอาเองว่า ความหมายไหนสำคัญ ใน ๔ ความหมายนี้ความหมายไหนสำคัญ เดี๋ยวก็จะเห็นได้เองว่า โอ้, ความหมายที่ ๓ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละจะต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็ทำไม่ถูกตามกฎ มันก็ตาย ไม่ถูกตามกฎของธรรมชาติมันก็ต้องตาย คนก็ต้องตาย สัตว์ก็ต้องตาย ต้นไม้ต้นร่าย (นาทีที่ 48:02) ก็ต้องตาย ทำหน้าที่ไม่ถูกต้องในคนๆหนึ่ง แขน ขา มือ ตีน ตับ ไต ไส้ พุง ทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง มันก็คือตาย แต่ละเซลล์ๆในชีวิตทั้งหมดทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง มันก็ตายวูบเดียว
นี่เห็นได้ว่าไอ้ชีวิตนี้มันอยู่ด้วยความถูกต้องของธรรมะที่มีหน้าที่อันถูกต้อง จะมีหน้าที่ถูกต้องก็ต้องรู้กฎของธรรมชาติ จะรู้กฎของธรรมชาติก็ต้องรู้จักตัวธรรมชาติ เมื่อศึกษาธรรมะโดยสิ้นเชิงแล้วกว้าง มันก็กว้าง ให้รู้ตัวธรรมชาติ ตัวกฎธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ และผลที่ได้รับจากหน้าที่ ถ้าอย่างนี้แล้วก็หมด มันมากเกินไปไม่จำเป็น เอาที่สำคัญที่สุดความหมายที่ ๓ หน้าที่ๆๆ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องแล้วมันรอด ไม่ตาย แล้วมันเจริญงอกงามขึ้นไป จึงขอร้องให้สนใจ จดจำไว้เป็นพิเศษ ว่าธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะที่เราจะต้องรู้ จะต้องเกี่ยวข้อง จะต้องมีนั้นคือหน้าที่ ปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ก็คือปฏิบัติธรรมะ ท่านทั้งหลายมาศึกษาธรรมะก็คือมาศึกษาในหน้าที่ แต่ว่ามันกว้างขวาง มันเป็นหน้าที่ตั้งแต่ต้นจนปลาย หน้าที่ตั้งแต่ออกมาจากท้องมารดาจนจะไปเข้าโลง หน้าที่เหล่านี้จะต้องถูกต้อง ธรรมะหมายถึงทุกสิ่งแต่แบ่งเป็น ๔ ความหมาย ความหมายที่ ๓ นั้นมันสำคัญที่สุด ความหมายที่สำคัญที่สุด คือความหมายที่ ๓ ทีนี่เราจะเอาความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ มาวินิจฉัยพิจารณากันอย่างละเอียดต่อไป
หน้าที่ที่ ๓ คือการปฏิบัติ ก็ไล่ไปตามลำดับว่าปฏิบัติอย่างไรๆ ปฏิบัติให้มันถูกต้องอันที่ ๑ แล้ว แล้วก็ถามต่อไปว่า ถูกต้องต่ออะไร ก็ถูกต้องต่อความรอด รอดคือไม่ตาย รอด ไม่มีปัญหา แล้วรอดทางไหน ก็รอดทั้งทางกายและทางจิตใจ มันรวมทางวัตถุ สิ่งของ เข้าไปด้วย อยู่ที่กายๆ ไอ้วัตถุมันรวมอยู่กาย มันถูกต้องทางกาย ก็คือรวมทางวัตถุด้วย แล้วก็ทางจิตใจๆเอง และๆก็คุณภาพของจิตใจคือสติปัญญา นี่เรียกว่ารอดทั้งทางกายและรอดทั้งทางจิต ทางกายก็ไม่ตาย ทางจิตก็ไม่เป็นทุกข์ รอดแต่ทางกายจิตเป็นทุกข์นี่จะมีประโยชน์อะไร มันก็ตกนรกทั้งเป็น ลองรอดแต่ทางกายอย่างเดียวจิตไม่รอดมันก็ตกนรกทั้งเป็น ตายเสียดีกว่า จึงต้องรอดทั้งทางกายและทางใจ ทางจิต แล้วรอดเท่าไหร่ๆ ถาม ตอบว่ารอดทุกขั้นตอนแห่งชีวิตๆ ถ้าเอาปัจจุบันนี้เป็นหลักเฉพาะคนก็ต้องบอกว่ารอดตั้งแต่เกิดมาจนเข้าโลง ขั้นตอนที่เป็นเด็กทารก เป็นเด็กโตขึ้น เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นหนุ่ม เป็นสาว เป็นพ่อบ้าน แม่เรือน เป็นคนแก่ คนเฒ่า เป็นคนชราเข้าโลงไป ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ถ้าการงานเป็นหลักก็ทุกการงาน ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ถ้าเอายุคเป็นหลักก็ถือว่าตลอดเวลา แล้วมีความหมายไกลกว้างไปกว่านั้นว่า ทุกยุคทุกสมัย ยุคทีแรกมีโลกนี้ แรกมีคน มีแต่คนป่าก็ต้องถูกต้อง คนป่าวิวัฒนาการมาเป็นคนที่เจริญแล้ว ทุกๆยุคทุกสมัยก็ต้องถูกต้อง ต้องถูกต้องทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่คนป่ามาจนเป็นคนที่เจริญแล้วนั่น ถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งชีวิต นี่มีขอบเขตเท่าไหร่ ก็ตอบว่าทั้งตนเองและผู้อื่นโว้ย ต้องทั้งตัวเองด้วย และทั้งผู้อื่นด้วย นี่ก็เพราะว่าไม่มีใครอาจจะอยู่ในโลกคนเดียวได้ แม้เขาจะยกโลกทั้งโลกนี้ให้เราคนเดียว อยู่คนเดียวนี้ เราก็ตาย เราก็อยู่ไม่ได้หรอก อย่าอวดดีไป มันอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ มันต้องอยู่อย่างครบถ้วน ทั้งสิ่งที่มาช่วยเหลือกัน ประกอบกัน ต้องมีเพื่อนมนุษย์ ต้องมีเพื่อนสัตว์เดรัจฉาน ต้องมีต้นไม้ต้นร่าย (นาทีที่ 53:58)เป็นเพื่อน เหมือนกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีครบถ้วนอย่างนี้มันจึงจะอยู่ได้
อ้าว,ทบทวนอีกทีๆ คอยระวัง เมื่อถามว่าธรรมะที่ต้องปฏิบัติ หรือหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ที่เรียกว่าธรรมะนั้น มีบทนิยามจำกัดความว่าอย่างไร Definition ว่าอย่างไร คอยฟังแล้วก็จำให้แม่นยำ ธรรมะๆคือระบบปฏิบัติ คำแรกระบบปฏิบัติ ทำไมใช้คำว่าระบบ ก็มันปฏิบัติหลายอย่างรวมกันปฏิบัติอย่างเดียวไม่สำเร็จประโยชน์ ปฏิบัติครบถ้วนเป็นระบบ เขาก็เรียกว่าระบบปฏิบัติ ธรรมะคือระบบปฏิบัติ คือสิ่งที่ท่านจะต้องปฏิบัติเป็นระบบ ขั้นที่ ๒ การปฏิบัตินั้นต้องถูกต้องๆๆ คำว่าถูกต้องนี้ถูกต้องตามหลักของธรรมะนะ เราไม่เอาความถูกต้องบ้าๆบอๆ เถียงกันหน้าดำหน้าแดง ถูกต้องตามหลักของ Logic บ้าง ถูกต้องตามหลักของ Philosophy บ้าง ไม่มีจุดจบ เถียงกันไม่มีจุดจบ ไม่เอา ถูกต้องตามแบบนั้นฉันไม่เอา ถูกต้องตามแบบของธรรมะก็คือไม่เป็นโทษแก่ผู้ใด แต่เป็นประโยชน์แก่ทุกคน หรือทุกฝ่าย มันไม่ต้องทำร้ายผู้ใด แต่มันให้คุณแก่ทุกฝ่ายนี่เรียกว่าถูกต้อง อย่าไปมัวพิสูจน์ทาง Logic ทาง Philosophy อย่าไปเสียเวลาเปล่า มันไม่รู้จักจบ ถูกต้องคือเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย นี่ถูกต้องแก่อะไรโดยเฉพาะ ถูกต้องแก่ความรอด ความรอดคำนี่สำคัญมาก เป็นหัวใจของทุกศาสนา ทุกๆศาสนา ทุกศาสนามุ่งความรอด ใช้คำรวมๆกันแม้จะภาษาจะต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกันเรียกว่าความรอด ที่ใช้เป็นภาษาคนเขาว่า Salvation Salvation แปลว่าความรอด รอดอย่างพุทธก็ได้ รอดอย่างคริสต์ก็ได้ รอดก็แล้วกัน มีวิธีอย่างไรก็ตามใจคุณเถิด แต่ถ้าเป็นความรอดก็ใช้ได้ ต้องเป็นไปเพื่อความรอด รอดทางไหน ทางกายคือทางวัตถุ สิ่งของ ทางร่างกายก็ถูกต้องไม่มีปัญหา ชีวิตก็ถูกต้องไม่มีปัญหา มันก็รอดตายๆ คือว่าจิตใจมันอยู่ใต้อำนาจของความโง่ ของกิเลส มันยังไม่ใช่ความรอดทางจิตใจ นี่ต้องเป็นความรอดทางจิตใจ รอดออกมาจากความบีบคั้นของกิเลส ของความโง่นั้นอีกทีหนึ่ง นี่เรียกว่าความรอดทางจิตใจ ถ้าจิตใจมันถูกผูกพันครอบงำอยู่ด้วยสิ่งใดก็ตาม มันก็เรียกว่าไม่รอด รักสิ่งใด สิ่งนั้นแหละมันผูกพัน และมันติดอยู่ในจิตใจ เกลียดสิ่งใด สิ่งนั้นมันผูกพัน ไม่ใช่เฉพาะความรัก แม้แต่ความเกลียดมันก็ผูกพัน มันก็ติดคุกตะรางของความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว อะไรต่างๆนานา ที่พูดอย่างละเอียดที่สุดของพุทธศาสนาก็คือตัวกูๆ ตัวเองนั่นแหละเป็นเครื่องผูกพัน หลงใหล ผูกพันเป็นตัวกู เป็นของกู ไอ้ตัวกูนี่คือคุกตะรางขังชีวิต ใช้ชีวิตหลุดรอดออกมาเสียจากคุกแห่งตัวกูๆ อย่าไปบ้าตัวกู ยึดถือตัวกู ยึดถือของกู ตัวกู ของกู มันจะกลายเป็นคุกขังในชีวิต งดความรู้สึกว่าตัวกู ว่าของกู เป็นของธรรมชาติล้วนๆ ปฏิบัติให้ถูกต้อง นี่รอดทางจิต ทางกายรอดจากสิ่งที่จะทำให้ชีวิตนี้ต้องตาย ทางจิตรอดจากสิ่งที่จะทำให้ชีวิตนี้เป็นทุกข์ นี่เรียกว่ารอดกันทั้งทางกาย รอดกันทั้งทางจิต อ้าว,นี่ขอบเขตเท่าไหร่ ก็ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ไม่ใช่ ไม่ว่าจะมีชีวิตระดับไหน ก็รอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่ลูกเด็กๆออกมาจากท้องแม่จนเข้าโลง หรือว่าตั้งแต่มันเป็นลูกจ้างอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ จนมันเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ก็ทุกขั้นตอน มันต้องรอด มันจะ ในขณะที่ศึกษาเล่าเรียน หรือประกอบการงาน หรือรวบรวมทรัพย์สิน แล้วมันเป็นมหาเศรษฐีอยู่ ก็ทุกขั้นตอนดังนั้นต้องมีธรรมะที่ถูกต้อง ถ้ามันจะเป็นเทวดา เป็นพรหมในนู้น ก็ต้องถูกต้องทุกขั้นตอนเหมือนกันแหละ นี่เรียกว่าทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทุกรูปแบบ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต เดี๋ยวนี้เป็นอะไร เป็นนักเรียนก็ถูกต้องอย่างนักเรียน เดี๋ยวนี้เป็นนักศึกษาก็ถูกต้องอย่างนักศึกษา เดี๋ยวนี้เป็นผู้ประกอบการงานธุรกิจ ก็ถูกต้องตามแบบของสิ่งนั้นๆ นับตั้งแต่ยาจก คนขอทาน ก็ต้องมีความถูกต้อง เป็นชาวนา ชาวสวน ทำงานอยู่กลางแดด ก็ต้องถูกต้อง เป็นพ่อค้าก็ต้องถูกต้อง เป็นข้าราชการก็ต้องถูกต้อง เป็นศิลปินก็ถูกต้อง ล้วนแต่มีความถูกต้องตามแบบของตนๆ จึงจะเรียกว่าทุกขั้นตอน คือทุกรูปแบบแห่งการดำรงชีวิตที่มันจะต้องผ่านไปๆ ที่มันจะต้องผ่านไป นี่เรียกว่าทุกขั้นตอนแห่งชีวิต อ้าว,ว่าที่มันสุดท้ายว่าทั้งตนเองและผู้อื่น อย่างที่พูดมาแล้ว เราไม่อาจจะมีชีวิตลำพังผู้เดียวได้ ต้องรวมกัน การที่มารวมกันได้เป็นหมู่คณะที่ดี ต้องมีธรรมะที่จะมารวมกันเป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นสังคมมนุษย์ที่ถูกต้อง ต้องมีธรรมะ มิฉะนั้นมันรวมกันไม่ได้ มันจะกัดกัน ขออภัยขอพูดคำหยาบคายดีกว่า ทุกตัวมันมีความเห็นแก่ตัว มีความเห็นแก่ตัว ตัวกูๆ ของกู มันก็กัดกันเพราะความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันกำลังกัดกันทั้งโลก คุณดู เพราะมันมีความเห็นแก่ตัว มันไม่ถูกต้อง คนจนก็เห็นแก่ตัว คนรวยก็เห็นแก่ตัว มันก็ต่อสู้ มันก็กัดกัน ลูกจ้างมันก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว มันก็ต้องกัดกัน นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว มันก็ต้องกัดกัน ดูให้ดีประชาชนราษฎรทั้งหลายก็เห็นแก่ตัวเห็น แล้วมันก็เลือกผู้แทนด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะว่าผู้แทนมันจ้างให้เลือก มันก็ได้คนเห็นแก่ตัวไปเป็นสมาชิกรัฐสภานั้นแหละ และคนเหล่านี้ไปเป็นรัฐบาลมันก็ต้องเป็นรัฐบาลที่เห็นแก่ตัว แล้วคุณไปดูเอาเองว่าจะเกิดผลอะไรขึ้นมา นี่โลกมันกำลังเลวร้ายอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว ขอให้จำไว้ว่าความเลวร้ายคือความเป็นทุกข์ หรือปัญหาใดๆกี่ร้อยอย่าง กี่พันอย่าง หมื่นอย่าง แสนอย่าง ล้านอย่าง มาจากจุดที่เป็นต้นเหตุอันเดียวคือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนั้นแหละ ไปดูเอาเองก็จะเห็นว่าปัญหาทั้งหมดมาจากความเห็นแก่ตัว ทีนี้การศึกษามันไม่ถูกต้อง มันศึกษาแต่เพียงฉลาดๆๆ แล้วก็ไม่กำจัดความเห็นแก่ตัว ก็สบายเลย ไอ้คนศึกษาฉลาดแล้วมันก็เอาความเห็น ฉลาดเอาความฉลาดไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวลึกแล้วลึกอีก แก้ปัญหาไม่หวาดไหว ขอร้อง แม้ยังไม่เชื่อก็ขอร้องให้เอาไปคิด ไปนึก ไปศึกษา ไปใคร่ครวญ ว่าปัญหาทั้งหมดกี่ๆอย่าง ล้านอย่างนี้มันก็มาจากสิ่งเดียวคือความเห็นแก่ตัว สิ่งนี้มนุษย์ไม่ศึกษา เพราะมนุษย์มีความเห็นแก่ตัว มันเข้าข้างความเห็นแก่ตัว มันไม่ศึกษาเพื่อจะกำจัดความเห็นแก่ตัว แต่มันจะศึกษาให้ฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัวต่อไปเสียอีก แล้วก็ปัญหาก็เต็มโลกๆ
คนเห็นแก่ตัวจะขี้เกียจคือไม่ต้องทำงาน ไม่อยากทำงาน แต่อยากจะได้รับประโยชน์ เด็กคนไหนที่มันเห็นแก่ตัวมันจะไม่ทำงาน มันจะปล่อยผู้อื่นทำงาน แล้วมันพลอยรับประโยชน์ นี่คนเห็นแก่ตัวมันจะขี้เกียจ คนเห็นแก่ตัวมันจะเอาเปรียบ มันจะเอาเปรียบในการกิน การใช้ การเป็น การอยู่ คนเห็นแก่ตัวมันเอาเปรียบ เมื่อคนเห็นแก่ตัว มันไม่สามัคคีที่จะเรียกร้องมาช่วยกันเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ คนเห็นแก่ตัวมันไม่ทำ มันไม่ทำ มันไม่สามัคคี แต่มันจะคอยเอาประโยชน์ เมื่อ ๕๐ ปีแล้ว อาตมาทำถนนจากจุดตำบลโน้นมาสู่วัดนี้ ไม่มีถนนเส้นนี้ ต้องเดินมาบนหัวคันนา แล้วก็ขอที่ดินเขาเพื่อสร้างถนนเดินมา ถึงอยู่ประมาณสักกิโลครึ่ง ก็ขอร้องประชาชนเหล่านี้ไปช่วยกันสร้างถนน ก็ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไปช่วยกันสร้างถนน อาตมาก็ไปดู แต่ก็มีคนบางคน แม้จะมีไม่กี่คน มึงทำเถอะกูเดินเองนะ มึงทำถนนเถอะ กูเป็นผู้เดินเองนี่ มันก็มีความเห็นแก่ตัว มีผู้เห็นแก่ตัวอย่างนี้ แม้ในเรื่องของประเทศชาติที่เป็นส่วนรวมมันก็มีอย่างนี้ เขาเห็นแก่ตัว เขาจะกอบโกยประโยชน์ท่าเดียว แล้วเขาก็ไม่ดูอะไร เขาก็ทำตามความพอใจของเขา มันก็เกิดมลภาวะเต็มไปทั้งโลก มลภาวะทั้งหลายเกิดมาจากผู้เห็นแก่ตัว ไม่ว่ามลภาวะชนิดไหน คุณไปศึกษาเอง คุณรู้ดีกว่าอาตมาเสียอีก ว่ามลภาวะมีอะไร กี่อย่าง มันมาจากความเห็นแก่ตัว มันจึงเกิดขึ้น ไอ้คนกรุงเทพนะเห็นแก่ตัว ไปดูตัวอย่างไอ้คนกรุงเทพนะมันเห็นแก่ตัว ยุงมันจึงครองกรุงเทพๆ ถ้าคนกรุงเทพไม่เห็นแก่ตัว ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ครึ่งไม้ครึ่งมือ เสี้ยวไม้เสี้ยวมือ ไม่เห็นแก่ตัว ยุงไม่มี ยุงอยู่ไม่ได้นะ ยุงไม่ครองกรุงเทพอีกต่อไป นี่เพราะว่ามันเห็นแก่ตัว ยุงเลยครองกรุงเทพ คนเห็นแก่ตัวทำลายธรรมชาติ ทำลายธรรมชาติทุกอย่างทุกประการ ทำลายธรรมชาติ คนเห็นแก่ตัวนั่นแหละไปโง่หลงยาเสพติด คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความโง่นั่นแหละไปทำให้เกิดโรคบ้าๆบอๆ โรคแปลกๆใหม่ๆ โรคเอดส์โรคอะไรก็ไม่รู้ มาจากคนเห็นแก่ตัว นี่คนเห็นแก่ตัวมันก็เรียนทางลัด ไม่ทำงาน ปล้น จี้ ขโมยเอาตามพอใจ แล้วก็รวยทางลัด อันธพาลเต็มบ้าน เต็มเมือง เต็มโลก อันธพาลขนาดใหญ่มันก็หาเมืองขึ้นนะ ประเทศที่มีอำนาจมันก็หาเมืองขึ้นตามความเห็นแก่ตัว นี่อันธพาลขนาดโลก ระดับโลก คนเห็นแก่ตัวมันทำอย่างนี้ และมันก็มีความไม่สงบๆๆ แต่ข้อนี้มันซ่อนเร้นมากนะ ซ่อนเร้นมาก ความเห็นแก่ตัวซ่อนเร้นลึกลับ มองไม่ค่อยจะเห็น อ้าว,ตัวอย่างง่ายๆที่ว่าที่รถแก๊สระเบิดตายกันกว่าร้อย มันอะไร จุดตั้งต้นมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวของเจ้าของรถ รู้อยู่ว่ารถนี้ไม่ถูกต้องไม่ควรนำออกวิ่ง มันก็เอามาออกวิ่งหากำไร นี่ความเห็นแก่ตัว ทำให้รถที่ไม่ควรออกวิ่งมาวิ่ง นี่คนขับรถสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างก็เห็นแก่ตัว ไม่ระมัดระวัง ต้องการจะเอาเปรียบ อย่างนี้ก็ได้ชนกันเพราะความเห็นแก่ตัวของคน ๒ ขับรถ ๒ คนนั้น แล้วก็มีผลอย่างนั้น ระเบิดตายกันอย่างไม่ควรจะมี ไม่ควรจะเป็น เหตุการณ์เลวร้ายใดๆไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าอย่างไร มาจากความเห็นแก่ตัว นักศึกษาอะไรก็ไม่รู้ไปทำเรือคว่ำตายกันไปหลาย ๑๐ คน คงๆไม่มีใครมองว่าเพราะความเห็นแก่ตัว แต่ความจริงมันเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวนำให้อยากไปเที่ยวทะเล แล้วความเห็นแก่ตัวมากๆๆจนไม่ดูเรือนี้สมควรหรือไม่สมควร มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสนุกสนานตะพึด จนไม่ดูว่าเรือนี้สมควรหรือไม่สมควร มันขึ้นไปนั่งบนเรือแล้วความเห็นแก่ตัวทำให้กระโดดโลดเต้นโดยไม่ดูว่าเรือมันจะทนไม่ได้ แล้วเรือมันก็เลยทำลายมันจริงๆด้วยความโง่และความเห็นแก่ตัวของนักศึกษาเหล่านั้น มันจึงได้ตายไปตั้งหลาย ๑๐ คน ผีมันก็บอกว่าสมน้ำหน้าๆ ผีมันจะว่าอย่างนั้น นี่คือความเห็นแก่ตัวๆ มันไม่มีอะไรที่จะมาจากความไม่เห็นแก่ตัว มันมาจากความเห็นแก่ตัว เป็นปัญหาสงครามที่กำลังคุกคาม ขึ้นมา(นาทีที่ 1:09:19)นี้ก็เพราะว่าความเห็นแก่ตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือของทั้ง ๒ ฝ่าย หรือไม่ ตามมาก ตามน้อย ตามสัด ตามส่วน มันมีความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วมันกัดกันไม่ได้ มันกัดกันไม่ได้ คือมันเบียดเบียนกันไม่ได้ คนอันธพาลจึงง่ายที่จะเบียดเบียน เอาเปรียบ เบียดเบียนๆ เอาเปรียบ เป็นอันธพาล จนไม่มีคุกตะรางจะใส่อยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีงบประมาณจะสร้างคุก สร้างตะรางเพิ่มแล้ว รัฐบาลไม่มีคุกตะรางที่จะเพิ่มตำรวจ รัฐบาลไม่มีงบประมาณพอที่จะเพิ่มผู้พิพากษา ตุลาการ ศาลสถิตย์ยุติธรรมนั้น จนต้องหาทางออกอย่างอื่นๆ เพราะมันมากนัก รัฐบาลไม่มีงบประมาณพอที่จะสร้างโรงพยาบาลบ้าให้พอกับคนบ้าที่มันมากขึ้นทุกทีๆ ที่เมืองนอกเมืองนามหาประเทศนั้นมาถามเขา เพราะมันบ้ามากขึ้นทุกทีเหมือนกัน เขาพูดตามเป็นจริง ประเทศมหาอำนาจที่เจริญอย่างยิ่งมันมีคนบ้าเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ผิดสัดส่วน เกินสัดส่วน ในโลกนี้มีคนบ้าเพิ่มมากขึ้น มีคนฆ่าตัวตายมากขึ้น มีคนทำแท้งมากขึ้น อันนี้ล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งนั้น เพราะความเห็นแก่ตัว เราจะต้องไม่มีความเห็นแก่ตัวจึงจะอยู่กันอย่างสังคมที่สะอาด สังคมที่สงบเย็นและเป็นสุข ดังนั้นเราจะต้องนึกถึงผู้อื่นด้วยๆ พอเราไม่นึกถึงผู้อื่นแล้วความเห็นแก่ตัวก็เกิดขึ้น แล้วก็ทำความเลวร้ายอย่างที่ว่ามาแล้ว พรรณนาไม่ไหวหรอก นั่งพรรณนาโทษของความเห็นแก่ตัวกันสักปีก็ไม่หมด มันอย่างนี้จริงๆ เราไม่มีการศึกษาเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว มีแต่ให้ฉลาดๆเพื่อไปเป็นบริวารของความเห็นแก่ตัว สังคมก็ต้องการความฉลาดไปๆใช้ทางเศรษฐกิจ ใช้ทางการเมือง ใช้ทางเรื่องที่จะเพิ่มกิเลสตัณหาทั้งนั้น โลกนี้ก็มีแต่ความยุ่งยาก ลำบากมากขึ้น เพราะไม่มีใครเห็นแก่ผู้อื่นๆ เอาละเป็นอันว่าเราจะต้องทำประโยชน์อันนี้ให้เกิดขึ้น สำเร็จประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น เรียกว่าประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย ดังนั้นเราก็จะได้อยู่กันเป็นผาสุข
สรุปว่าย่อๆอีกทีว่า ธรรมะๆคือระบบปฏิบัติ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องๆๆ แก่ความรอดๆ ทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตๆๆ ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นี่หมดความหมายของคำว่าธรรมะ ธรรมะในความหมายที่ ๓ ที่เรียกว่าหน้าที่ๆๆอันถูกต้อง ศาสดาทั้งหลายก็สอนเรื่องหน้าที่นี้ทั้งนั้นแหละ แต่ก็มีความเห็นต่างกันจึงสอนต่างกัน พระพุทธศาสนาก็มีระบบของพระพุทธศาสนา สอนอย่างนี้ๆ อย่างที่คุณกำลังมาศึกษา ถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนา และก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมา เรียกว่าความถูกต้องๆ ให้มีความถูกต้องแล้วดำรงมั่นคงอยู่ในความถูกต้อง มีคำที่ไม่เคยได้ยินและควรจะได้ยินกันเสียบ้างคือคำว่า อตัมมยตา ไม่เคยได้ยินใช่ไหม อตัมมยตาๆๆ ความคงที่อยู่ในความถูกต้อง เป็นเหตุปัจจัยใดๆมาดึงเอาตัวไปไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้ กระทำๆไม่ได้ ความไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดๆทั้งสิ้น แต่คงที่ๆอยู่ในความถูกต้องๆๆ มันจะมีปัญหาอะไร มันเจริญอยู่ในความถูกต้องไปจนถึงที่สุด ก็เป็นพระอรหันต์ เมื่อถูกต้องๆๆถึงที่สุด คงที่อยู่ในความถูกต้อง ก็เป็นพระอรหันต์ เรียกว่า อตัมมโยๆ คือพระอรหันต์ ก็มีอตัมมยตาคือความถูกต้องๆๆๆ คงที่อยู่ในความถูกต้อง มันแข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นั่นแหละคืออตัมมยตา แข็งๆคือว่ามันสามารถที่ว่าจะทนอยู่ได้ ไม่มีอะไรมากระทำกับมันได้ ในทางวัตถุเราเรียกว่าเพชร เพชรแข็งกว่าอะไรตัดสิ่งต่างๆได้ แต่นี่มันแข็งกว่านั้น เพราะมันแข็งทางจิต แข็งทางวิญญาณ ทางจิตใจ มันแข็งยิ่งกว่าเพชรนะ มันจึงคงที่ๆๆๆอยู่ในความถูกต้องได้ เพราะมันแข็ง ธรรมะสูงสุด ธรรมะที่ถูกต้องนี่จะแข็งๆอย่างนี้ มีความถูกต้องๆยิ่งขึ้น ถูกต้องยิ่งขึ้นๆ คงที่ๆๆๆอยู่ในความถูกต้องยิ่งขึ้นจนถูกต้องถึงที่สุดมันก็จบเรื่องกัน จิตไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งที่เข้ามาปรุงแต่ง เหตุปัจจัยเข้ามาปรุงแต่งให้เปลี่ยนแปลงมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันคงที่อยู่ในความถูกต้องเสียแล้ว คงที่ยิ่งกว่าภูเขาใหญ่หลวงในโลก มีภูเขาหิมาลัยใหญ่หลวงในทวีปเอเชีย มีภูเขาแอลป์ใหญ่หลวงในทวีปยุโรป มีทิวเขาร็อคกี้ใหญ่หลวงในอเมริกา คุณลองคำนวณดูมันใหญ่หลวงเท่าไร แต่แล้วภูเขาอันใหญ่หลวงนี้มันก็ยังเปลี่ยนแปลงหวั่นไหวไปตามเหตุปัจจัย ถ้าโลกมันไหว แผ่นดินมันไหว ภูเขาก็หวั่นไหว แม้มันจะใหญ่โตมหึมาขนาดนั้นมันก็ยังหวั่นไหว ที่นี้มีความเข้มแข็งยิ่งกว่าภูเขา อะไรจะหวั่นไหวก็ตาม อย่างไรก็ตาม จิตนี้ไม่หวั่นไหว จิตนี้คงที่อยู่ในความถูกต้อง เข้มแข็ง แข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง มันไม่ยากที่จะมี แต่ถ้ามันมีแล้วมันก็น่าเลื่อมใส ผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง สวยที่สุด แต่มันมีความแข็งโป๊กคงที่อยู่ในความถูกต้อง เมื่อชายหนุ่มเจ้าชู้รูปงามมาเป็นฝูงๆๆๆ ก็เกี้ยวมันไม่ได้เอาตัวมันไปไม่ได้นั้น หญิงสาวคนนี้มันมีอตัมมยตา หรือว่าชายหนุ่มคนหนึ่งมีความสวยงาม มีความสมบูรณ์ ถูกอะไรทุกๆอย่าง น่ารัก น่าปรารถนา แต่มันมีอตัมมยตา มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง แม้นางงามจักรวาล นางฟ้า มาเป็นฝูงๆ ก็ลากหัวมันไปไม่ได้ เพราะว่าชายหนุ่มคนนี้มันมีอตัมมยตา มันคงที่ๆ แข็งโป๊กๆอยู่ในความถูกต้อง จงรู้จักธรรมะเถิด ธรรมะนี้จะทำให้เกิดความคงที่อยู่ในความถูกต้อง เพราะว่าตัวธรรมะเองก็เป็นความถูกต้อง เมื่อมันรวมกำลังกันทั้งหมดแล้วมันเป็นความคงที่ในความถูกต้อง ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันคงที่อยู่ในความถูกต้อง ปัญหามันจะเกิดในความถูกต้องไม่ได้ ปัญหามันจะเกิดมาจากความผิดพลาดเสมอไปๆ นี่สิ่งนี้ไม่เคยได้ยินก็ได้คือคำว่าอตัมมยตาๆ ความถูกต้องๆนี้ใช้ได้ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต เรียกว่ามีประโยชน์ที่ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตตั้งแต่ต้นจนปลาย ตั้งแต่ ก. ถึง ฮ. ตั้งแต่ Alpha ถึง Omega ถ้าใช้ภาษาสากลของเขา ภาษากรีซนี่ ตั้งแต่ ก. ถึง ฮ. ของชีวิต คนๆเราจะต้องมีความถูกต้อง มีความคงที่อยู่ในความถูกต้อง
ทีนี้มันก็มีปัญหาว่ามันจะมีได้อย่างไรๆ อยู่ในท้องแม่ยังไม่มีอะไรรบกวนมันก็คงที่อยู่ได้ พอคลอดออกมาจากท้องแม่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเริ่มทำงาน พออะไรอร่อย ถูกใจ มันก็เฮทางอร่อยหรือทางบวก พอไม่อร่อย ไม่ถูกใจ มันก็เฮในทางลบ แล้วมันจะคงที่อยู่ในความคงที่อย่างไรได้ มันก็ต้องเฮไปเฮมาตามความเป็นบวกหรือตามความเป็นลบที่มันเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นเด็กทารกน้อยๆนั้นเดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ ไม่มีความคงที่อยู่ได้ แต่เมื่อเขาได้ศึกษาๆจนขี้เกียจจะหัวเราะ จะร้องไห้ ต้องการความคงที่ เมื่อนั้นมันถึงจะมี โดยสัญชาตญาณมันก็เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว มันจะพอใจในทางบวก มันจะไม่พอใจในทางลบ มันก็เฮไปเฮมาอยู่อย่างนี้จนโตๆ ก็เรียกว่าเราต้องเฮไปเฮมา เฮไปเฮมา คือเดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวดีใจ ไม่ได้รับผลตามที่ต้องการก็เสียใจ ได้รับผลก็ดีใจ สอบไล่ตกก็เสียใจ สอบไล่ได้ก็ดีใจ มีแต่ดีใจ เสียใจ เป็นบวก เป็นลบอยู่เสมอ นี่คือความไม่คงที่ ทีนี้มาดูกันให้ดีว่าไอ้เสียใจๆนะมันไม่ไหวถูกแล้ว ไม่ไหว ทนไม่ไหว ไม่เอากับมัน แต่ว่าความดีใจนั่นแหละดูให้ดีเถิด ถ้าดีใจมากเกินๆก็นอนไม่หลับ ก็กินข้าวไม่ลง ถูกล็อตเตอรี่รายใหญ่มันนอนไม่หลับอยู่หลายๆวัน ไอ้ความดีใจก็ไม่ใช่ความสงบ ความดีใจก็ไม่ใช่ความสงบระงับ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่เป็นความสุขที่แท้จริง มันเป็นความเดือดๆคลั่งของไอ้ความรู้สึก ไม่ใช่ความสงบ ดีใจก็ยุ่งไปตามแบบดีใจ เสียใจก็ยุ่งไปตามแบบเสียใจ ไม่ทั้งสองอย่าง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เวลานั้นดูให้ดีเถอะ คงจะผ่านมาให้เห็นบ้างบางเวลาสักแวบหนึ่ง เวลาไหนที่เราไม่รู้สึกดีใจ เสียใจ เวลานั้นสบายที่สุดๆ พักผ่อนที่สุด เยือกเย็นที่สุด เป็นสุขแท้จริงๆที่สุด นี่เรียกว่าหมดปัญหาเรื่องดีใจหรือเสียใจ คงที่อย่างนี้ๆก็เป็นพระอรหันต์ หรือบรรลุนิพพาน อยู่เหนือความดีใจ อยู่เหนือความเสียใจ คือไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ ศาสนาทุกศาสนาที่สำคัญ ที่ดี ที่เก่าแก่ เขาสอนข้อนี้กันทั้งนั้น แต่คนมันมองข้ามไป อย่าไปหลงดี หลงชั่ว มันจะยุ่ง ไม่ให้ยุ่งเพราะดี เพราะชั่ว มันก็สงบ มันก็สะอาด มันก็สว่าง มันก็หลุดพ้น มันก็เป็นนิพพาน นิพพานนี่แปลว่าเย็น เย็นเพราะไม่มีร้อน ไม่ร้อนเพราะดีใจ ไม่ร้อนเพราะเสียใจ นั่นแหละจึงเป็นนิพพาน ไม่เป็นนรก ไม่ร้อนเพราะนรก ไม่เป็นสวรรค์ไม่เป็นบ้าเพราะสวรรค์ เหนือนรก เหนือสวรรค์ ไม่เป็นบ้า ไม่หลงดีใจ ไม่หลงเสียใจ จึงจะเป็นนิพพาน นี่อยู่ใกล้กี่มากน้อยคุณคำนวณเอาเอง เพราะเดี๋ยวนี้เรายังพอใจที่จะดีใจๆ จะหัวเราะๆ บูชาบวก หลงบวกอยู่เสมอ แต่ว่าการศึกษาในทางพระพุทธศาสนานำไปสู่จุดยอดสุดโน้น นอกบวก นอกความเป็นบวก นอกความเป็นลบ ไม่มีดีใจ ไม่มีเสียใจ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์อย่างที่คนธรรมดามี เรียกว่าเหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือทุกๆคู่ที่ทำให้เราหัวปั่น ทุกๆคู่ที่ทำให้เราหัวปั่น การได้ การเสีย การแพ้ การชนะ การกำไร การขาดทุน การได้เปรียบ การเสียเปรียบ ทุกอย่างนั้น กระทั่งมีปัญหาทางแพทย์เรื่องเป็นหญิง เรื่องเป็นชาย เหนือความเป็นหญิง เหนือความเป็นชายเสีย ปัญหาทางเพศมันก็ไม่มี เรียกว่ามันไม่มีของเป็นคู่ๆ มาหลอกให้ดีใจ หรือเสียใจอีกต่อไป นี่ประโยน์สูงสุดของพระธรรม ของพระศาสนา พระพุทธศาสนาต้องการจะนำไปที่นั่น แต่ใครจะต้องการกี่คนก็ไม่รู้ มันก็จะสั่นหัว จะเห็นว่ามันไม่มีรสชาติอะไร สู้บ้าบอกันอยู่ที่นี่ไม่ได้ กระโดดโลดเต้นกันอยู่ที่นี่ หัวเราะ ร้องไห้ มันอยู่ที่นี่ดีกว่า ไม่มีใครต้องการความสงบเย็นถึงปานนั้น แต่ก็ต้องควรรู้ไว้ว่าถ้ายังไม่ถึงที่นั้น มันไม่หยุด มันยังวิ่งๆต่อไป มันไม่หยุด ถ้ามันเป็นถึงที่นั้นแล้วแล้วมันหยุดๆ นี่เราจะต้องรู้ว่าจุดตั้งต้นมันอยู่ที่ไหน จุดสุดท้ายปลายทางมันอยู่ที่ไหน จุดตั้งต้นมันอยู่ที่ไอ้ความทุกข์ จุดสุดท้ายปลายทางมันก็อยู่ที่ความหมดทุกข์ เขาเรียกว่าเหนือโลกๆ ในโลกมีแต่สุข ทุกข์ บวก ลบ ได้ เสีย แพ้ ชนะนี่เป็นคู่ๆ เหนือทุกคู่เหล่านั้นแหละเรียกว่าเหนือโลกๆ จิตหลุดพ้นจากโลกไปอยู่เหนือโลก จิตนั้นเรียกว่าบรรลุนิพพาน
แต่ไม่มีใครรู้จักทั้งที่ได้ยินคำว่านิพพานๆ เข้าใจว่าได้ยินกันทุกคนนั้นแหละคำว่านิพพาน แต่คงไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร แล้วก็จะไปเข้าใจผิดว่า โอ้,นิพพานๆนี่มันคือได้สิ่งที่ฉันต้องการ ที่ฉันชอบ ที่ฉันรัก ทุกอย่างๆและก็มากที่สุด มากมายที่สุด ตามที่ฉันชอบ ตามที่ฉันรัก ตามที่ฉันต้องการ จะเข้าใจความหมายของคำว่านิพพานเสียอย่างนั้น ไม่เข้าใจว่านิพพานอยู่เหนือนั่นๆ เหนือความรัก เหนือความเกลียด เหนือความโกรธ เหนือความกลัว เหนือทุกๆ คู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งสูงอายุแล้วเขาเข้ามาขอความรู้เรื่องนิพพาน เพราะเขาอยากจะไปนิพพาน ที่อาตมาบอกเขาว่า นิพพานไม่มีรำวงนะ พูดกันสั้นๆอย่างนี้ เขาก็บอกคืนเลย บอกขอๆๆถอนคำพูด ไม่ต้องการนิพพานแล้ว เพราะว่าคนนี้เขาชอบรำวงเป็นชีวิตจิตใจ และเขาก็คิดว่าที่เมืองนิพพานคงจะได้รำวง แบบที่ดีกว่า วิเศษกว่า สูงกว่า เพียงแต่บอกว่าในนิพพานไม่มีรำวงนะ หยุด ชะงัก ถอยๆหลัง ขอบอกคืนแล้วบอกไม่ต้องการแล้ว นั่นแหละกลัวจะเข้าใจนิพพานๆกันเสียอย่างนี้ คือมีสิ่งที่ถูกอกถูกใจด้วยกิเลสตัณหาสูงสุดๆ นิพพานเป็นการอยู่เหนือปัญหาทั้งที่เป็นสุข ทั้งที่เป็นทุกข์ ทั้งที่เป็นบวก ทั้งที่เป็นลบ ไม่ดี ไม่ชั่ว เหนือดี เหนือชั่ว
ศาสนายิวเก่าแก่ก่อนคริสเตียน ก่อนคริสศาสนานั้น เข้าใจว่าหลายพันปีเหมือนกัน คำสอนก็สอนเรื่องนี้ คัมภีร์ไบเบิลตอนต้นของพวกยิวว่าอย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้เกิดรู้ดี รู้ชั่ว พระเจ้าสั่งมนุษย์คนแรก คู่แรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเอง ว่าแกอย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดี รู้ชั่ว ถ้าแกกินแล้วแกจะต้องตาย ใช้คำอย่างนี้เลย ตายคือเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเหลือนะ มนุษย์คู่นั้นก็สมาทาน ไม่ไปแตะต้องกับต้นไม้ต้นนั้นที่มีผลกินแล้วรู้ดี รู้ชั่ว แต่เรื่องกล่าวต่อไปว่าซาตาน เป็นลูกงู เป็นงูเข้ามาล่อหลอกให้ผัวเมียคู่นี้ไปกินผลไม้ต้นนั้นเข้า โดยความหลอกลวงของซาตาน ซึ่งเทียบกันได้กับวิชาความโง่ หรือพัฒนาการขึ้นมาโดยวิชา ด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา โง่ขึ้นมาๆ จึงรู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักแยกออกจากเป็นดี เป็นชั่ว แต่ก็ใช้อุปมาว่างูมันหลอก ซาตานเป็นงูหลอกให้กิน มนุษย์คู่ มนุษย์แรกๆที่พระเจ้าสร้างขึ้นมานี่ไม่ได้นุ่งผ้านะ ไม่ได้นุ่งผ้านะพระเจ้าเรียกมาก็มาหาอย่างนั้น ไม่ได้นุ่งผ้าหรอก ทีหลังจากที่มันกินผลไม้นี่เข้าไปแล้ว โอ้,มันรู้ว่า โอ้,นี่ไม่ได้นุ่งผ้านี่ มันก็เลยรู้จักดี รู้จักชั่ว ไอ้นุ่งผ้านี่ดี ไอ้ไม่นุ่งผ้านี่ไม่ดี มันก็ไปหา คิดเสียว่าทำอย่างไรจะได้นุ่งผ้า พอไม่มีอะไรจะมานุ่งมันก็ไปซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ สุมทุมพุ่มไม้ที่ใบดกใบหนา ทีนี้พระเจ้าเข้ามาในสวนนี้อีก เอ๊ะ,ไม่เห็นไอ้หมอนี่มาหานี่ ก็ร้องๆตะโกนเรียก มันก็ขานอยู่ในพุ่มไม้ป่ารกนั่น ไม่ออกมา พระพุทธ พระเจ้าเลยถาม อ้าว,ทำไมไม่ออกมา มันก็บอกไม่ได้นุ่งผ้า ก่อนนี้ไม่เคยมีคำตอบอย่างนั้น พระเจ้าก็รู้ทันที อ้าว,ไอ้หมอนี่มันกินผลไม้ที่เราห้ามเข้าไปแล้ว มันจึงรู้เรื่องนุ่งผ้า ไม่นุ่งผ้า ก็เรียกตัวออกมาๆ ก็แก้ปัญหาให้มัน ให้มันรู้จักนุ่งใบไม้มาเย็บกันเข้า มานุ่งปกปิด เพราะอย่างไรมันไปกินผลไม้นั้นไปแล้วรู้ดี รู้ชั่ว รู้ดี รู้ชั่ว รู้ดี รู้ชั่ว เป็นคู่ๆๆไปแล้ว มนุษย์ก็เริ่มมีปัญหา เพราะดี เพราะชั่ว เพราะดี เพราะชั่ว ก่อนนี้ไม่มีปัญหา อยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา พอเกิดรู้ดี รู้ชั่วก็มีปัญหาแยกเป็นว่าจะต้อง ละชั่ว หนีชั่ว แล้วก็ทำดีๆ มีปัญหา มันก็มีความทุกข์เพราะเหตุนั้น เหมือนกับลูกเด็กๆออกมาจากท้องแม่ ไม่มีดี ไม่มีชั่ว มันไม่มีปัญหาอะไร พอเด็กโตขึ้นๆจนรู้ดี รู้ชั่ว มันก็มีปัญหาขึ้นมาทันที จะละชั่วอย่างไร จะดีขึ้นไปอย่างไร ก็มีปัญหาขึ้นมาทันที นี่เปรียบเทียบกันได้ตามธรรมชาติ ว่าคนเราจะไม่มีปัญหาใดๆจนกว่าจะรู้จักแยกออกเป็นดีหรือชั่ว แล้วก็บูชาดี แล้วก็ละชั่ว มันก็มีปัญหา แต่ถ้าเราสามารถทำให้ไม่มีปัญหา ไม่มาครอบงำจิตใจของเรา เราเหนือดี เหนือชั่วนั่นแหละ มันจึงจะหมดปัญหาโดยแท้จริง เดี๋ยวนี้ยังไม่หมดก็เอาสิ ก็ทนไปสิ ต่อสู้กับความชั่ว ให้เกิดแต่ความดีขึ้นมาจึงมาศึกษาธรรมะ ทุกสิ่งที่จะชนะชั่ว แล้วก็ชนะดีในที่สุด ชนะชั่วแล้วก็ชนะดี ชนะดีแล้วก็ถึงนิพพาน นั่นแหละมันจึงจะหมดปัญหา ศาสนาที่โบราณ ที่สูงสุด เช่นเต๋าของเหลาจื้อ ก็ว่าอย่าไปหลงหยิน หลงหยาง อย่าไปหลงดี หลงชั่ว ไม่มีหลงดี หลงชั่ว เราก็ไม่มีปัญหา ไม่มีอิมเอี้ยง ภาษาแต้จิ๋วเขาออกเสียงว่าอิม ว่าเอี้ยง คือดีหรือชั่ว ภาษากลางภาษาไทยก็มีว่าหยินหรือหยาง
ถ้ามี ไม่ ถ้าไม่หลงดี ไม่หลงชั่ว มันก็ไม่มีปัญหา มันจะไม่มีเขา มันจะไม่มีเรา มันจะเป็นคนเดียวกันทั้งหมด ทีนี่ก็สามารถรักกันได้ทั้งหมดไม่ยกเว้นใคร ปัญหามันก็ไม่เกิด ทีนี้ขอให้การศึกษา ขอให้นักศึกษาทั้งหลายนำไปสู่จุดสูงสุด คือรู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นให้เกิดปัญหา จัดการไปๆโดยไม่ต้องยึดมั่น ถือมั่นให้เกิดปัญหา ไม่ต้องเกิดความดีใจ เสียใจให้เสียเวลา คงที่ๆๆๆอยู่ในความถูกต้อง กระทำหน้าที่ที่ควรกระทำไปตามที่ควรกระทำ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเป็นสุข ไม่ต้องเป็นทุกข์ แต่กลับมีความสุขที่แท้จริงๆ คือความสุขสงบเย็น ถ้ายังไม่ถึงที่สุดเรียกว่า นิพพุติๆ สงบเย็น ชีวิตเยือกเย็น แจ่มใส เยือกเย็น นี่เป็นนิพพุติ แต่ยังกลับได้ กลับไปกลับมาได้ แต่ถ้าถึงที่สุดกลับไปกลับมาไม่ได้นี่เรียกว่านิพพานๆ เป็นพระอรหันต์ไปเลย เดี๋ยวนี้ยังไม่นิพพาน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ขอให้เย็นๆๆอย่างนิพพุติ ถูกต้องๆๆ คงที่อยู่ในความถูกต้องมากขึ้นๆ อย่าเอาดีเอาชั่วเลย เอาถูกต้องดีกว่านะ ดีมันบ้าได้ เมาได้ หลงได้ เมาได้ เมาดีแล้วมันยิ่งกว่าความไม่มีๆดีเสียอีก แต่ถ้าถูกต้องๆๆแล้วเมาไม่ได้ มันไม่มีทางจะเมาความถูกต้อง ไอ้ความถูกต้องนี่มันดีกว่าความดี ไอ้ความชั่วนั้นไม่ไหวอย่าไปเอากับมันเลย แต่ว่าความดีหรือสวรรค์วิมานอะไรมันเมาได้ หลงได้ บ้าได้ บ้าดียิ่งกว่าไม่มีดีเสียอีก ฉะนั้นเราจะเหนือดี ไม่บูชาหลงดีๆอย่างเอร็ดอร่อย สนุกสนาน สวยงาม มั่งมีอำนาจวาสนาอย่างนั้น อย่างนี้ มันบ้าดี มันมีปัญหา เอาแต่ถูกต้องๆ อย่างนี้ไม่เป็นทุกข์ๆๆๆ เอาแต่ความถูกต้องนั่นแหละคือจุดจบของการศึกษา ชีวิตนี้จะไม่ถูกกัดอีกต่อไป ชีวิตนี้จะเป็นอิสระ จะหลุดพ้นจากคุกตารางของชีวิตคือตัวกูๆ ไอ้ตัวกูๆนี่มันเกิดมาจากบวกหรือลบ พอถูกอกถูกใจก็เกิดตัวกูบวก พอไม่ถูกใจก็เกิดตัวกูลบ แสดงบทบาทไปตามภาษาบวก ตามภาษาลบ มันยุ่ง ไอ้บ้าชั่วนั่นก็มีได้สำหรับคนโง่ แต่การบ้าดีก็มีได้สำหรับคนปัญญาที่โง่ มันโง่ด้วยปัญญา ปัญญาชนิดนี้ทำให้บ้าดี ให้หลงดี ฉะนั้นอย่าไปโง่ด้วยปัญญาชนิดนี้ บ้าดี เมาดี หลงดี มันก็เป็นเรื่องโง่เหมือนกัน บ้าชั่ว เมาชั่ว หลงชั่วก็โง่ดึกดำบรรพ์ โง่ที่สุด ไม่บ้า กูไม่บ้ากับมึง กูไม่เอากับมึง เรียกว่าอตัมมยตา กูไม่เอากับมึงทั้งไอ้เรื่องชั่ว ทั้งไอ้เรื่องดี กูจะเอาแต่ความถูกต้องๆๆเท่านั้นแหละ ถูกต้องๆคือไม่เป็นทุกข์ เมื่อถึงที่สุดเมื่อไหร่ก็เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้ายังไม่ถึงที่สุดก็เป็นโสดา เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา ไปตามเรื่อง นี่คือตัวธรรมะที่จะนำไปสู่ความหมดปัญหาๆ ความทุกข์ก็ไม่เป็นปัญหา ความสุขก็ไม่เป็นปัญหา อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ชีวิตนี้ประเสริฐสักกี่มากน้อย ไม่ต้องรำวงให้เหงื่อไหลมันก็มีความสุขสงบเย็นได้ นี้มันเป็นความอิสระเรียกว่ารอดๆๆ เสรีภาพรอดๆ มันหลุดพ้นจากสิ่งผูกมัดคือความโง่ มันหลุดพ้นจากสิ่งกักขังๆ คือคุก มันคือความโง่
ตัวกูนั้นมันเป็นความโง่ที่สุด มันเป็นของธรรมชาติ ตามธรรมชาติดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ เป็นสังขาร ชีวิต ร่างกายขึ้นมา เป็นของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติโดยเด็ดขาด แต่ความโง่ไปเอามาเป็นตัวกูบ้าง เป็นของกูบ้าง ตัวกู ของกู มันเกิดเพราะความโง่ เรื่องนี้เป็นความลับ ตัวกู ของกู มิได้มีอยู่จริง มิได้เกิดอยู่ตลอดเวลา เกิดเฉพาะเมื่อโง่ๆ เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับสัมผัสอารมณ์ พอมันไปสัมผัสอารมณ์ฝ่ายบวกๆ เกิดอร่อยหรือพอใจขึ้นมา ตัวกูจึงจะเกิด ตัวกูเพิ่งเกิดเมื่อได้สัมผัสอารมณ์บวก เกิดตัวกูบวกๆ ตัวกูที่จะเอาดี พอได้สัมผัสอารมณ์ร้าย ไม่อร่อย เป็นทุกข์ขึ้นมา ก็เกิดตัวกูลบ ตัวกูนี่เพิ่งเกิด ไม่ใช่เกิดอยู่ก่อน ไม่ใช่เกิดรออยู่ก่อน มันเพิ่งเกิดเมื่อไปสัมผัสอารมณ์แล้ว สัมผัสอารมณ์ลบหรือเป็นทุกข์ก็เกิดตัวกูลบ ตัวกูที่จะฆ่าจะแกง จะทำอันตราย ถ้าอารมณ์บวกก็เกิดตัวกูบวก จะรัก จะทะนุถนอม จะอย่างนั้น อย่างนี้ นี่ตัวกูเป็นผีหลอก เพิ่งเกิดหยกๆเมื่อรับอารมณ์แล้ว เมื่อรู้รสของอารมณ์แล้ว ไม่ได้เกิดรออยู่ตลอดเวลาก่อนนู้น เพิ่งเกิดๆหยกๆ เมื่อรับอารมณ์ นี่ความลับที่ว่าตัวผู้กระทำเกิดจากการกระทำ เกิดภายหลังการกระทำ ต้องมีการกระทำเสียก่อนจึงจะเกิดตัวผู้กระทำ เพราะว่าตัวผู้กระทำหรือตัวกูนั้นมันเป็นความโง่ มันเป็นปฏิกิริยา หรือเป็นผลออกมาจากความโง่ ไม่ได้มีตัวจริง
มันจึงกล่าวได้ว่าผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ เกิดจากการกระทำ ถ้ามันมีความรู้แค่เด็กๆ มันก็ไม่เชื่อๆ ไม่มีผู้กระทำแล้วจะมีการกระทำได้อย่างไร ก็บอกให้เด็กๆหายโง่ว่าไอ้ผู้กระทำนั้นมันไม่ใช่ตัวจริง เป็นผีหลอกมายา เกิดขึ้นเป็นคราวๆจากความรู้สึกที่เกิดมาจากการกระทำ พอแกกินข้าวอร่อย แกบอกกูอร่อยใช่ไหม ไอ้ตัวกูก่อนหน้านั้นอยู่ที่ไหน มันก็ไม่มีนี่ มันเพิ่ง จะเพิ่งไปรู้สึกกูอร่อยขึ้นมาเมื่อกินข้าวอร่อย เมื่อกินไม่อร่อยก็กูไม่อร่อย ตัวกูบ้ามันก็พึ่งเกิด ตัวกูบวกหรือตัวกูลบล้วนแต่พึ่งเกิด เมื่อได้รับอารมณ์ เสวยอารมณ์ทั้งนั้น ฉะนั้นตัวกูจึงไม่ได้มีอยู่จริง สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน มิได้มีอยู่จริง เป็นเพียงความรู้สึกของจิต สิ่งที่มีอยู่จริงมีเพียงสองอย่างคือร่างกายกับจิตใจๆมีอยู่ ๒ อย่าง ไม่ต้องมีตัวตนเป็นสิ่งที่ ๓ หรอก แต่ว่าลัทธิอื่น ศาสนาอื่น เขาจะสอนว่ามีสิ่งที่ ๓ เป็นตัวกู เป็นตัวตน ก็ตามใจเขา นั่นมันศาสนาอื่น แต่ในพุทธศาสนามีเพียงร่างกายกับจิตใจ จิตใจโง่เกิดตัวกูขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น เป็นผีหลอกพักหนึ่ง พอหายไปก็เลิกไป ร่างกายกับจิตใจยังคงอยู่สำหรับจะโง่ สำหรับจะฉลาด ถ้ารู้ตามที่เป็นจริง ฉลาดก็ไม่อาจจะเกิดความรู้สึกว่าตัวกู เช่นกินข้าวอร่อย ก็ไม่เกิดว่าตัวกูอร่อย เกิดโอ้,ระบบประสาทของร่างกายที่อยู่ที่ลิ้นมันรู้สึกอย่างนั้นเท่านั้นโว้ย ความอร่อยนั้นเป็นความรู้สึกของระบบประสาทที่ลิ้น ความสวยงามก็เป็นความรู้สึกระบบประสาทที่ตา ความไพเราะหรือไม่ไพเราะมันเป็นผลของความรู้สึกของระบบประสาทที่หู หอมก็ที่จมูก นิ่มนวลก็ที่ผิวหนัง นี่เป็นความรู้สึก เกิดมาจากความรู้สึกของระบบประสาท ไม่ต้องมีตัวกู ในสิ่งที่เรียกว่าร่างกายๆๆ นี้มันมีระบบประสาทรวมอยู่ด้วย อันนั้นมันรู้สึก แล้วมันสนองไปยังจิต เสนอไปยังจิต หรือใจมันก็รู้สึกไปตามนั้นได้ อย่าไปเกิดว่าตัวกูๆ อร่อยสิ เป็นความรู้สึกของระบบประสาทไปตามเดิม ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วไม่เกิดกิเลสๆชนิดไหนหมด เป็นเรื่องของระบบประสาทตามธรรมชาติ แต่ถ้าโง่เป็นตัวกูอร่อย ทีนี้ตัวกูมันก็เกิดกิเลส เกิดความต้องการ เมื่อมันไม่อร่อยก็เกิดความไม่ต้องการ หรือยากจะฆ่า อยากจะทำลายเมื่อมันเป็นไม่อร่อย หรือมันเป็นลบ กิเลสบวกจะเอา จะได้ จะยึดครอง มันเกิดเมื่อตัวกูเกิดขึ้นมาโง่ ว่าอร่อย กิเลสประเภทลบจะฆ่า จะทำลายล้างเสียความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท มันก็เป็นตัวกูลบ มันเกิดขึ้นมาเมื่อตัวกูมันโง่ เกิดขึ้นมาว่าไม่อร่อย เอาตัวกูออกไปๆเหลือแต่ร่างกายกับจิตใจ จิตใจมีแต่สติปัญญา เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างนี้ก็รู้ว่าควรทำอย่างไรๆ แก้ปัญหานี้ให้ได้ จะไม่ไปมัวทะเลาะกับมัน ไม่ไปทะเลาะกับความโง่ ไม่มีความโง่เกิดขึ้นสำหรับจะไปทะเลาะกับอารมณ์ต่างๆ นี่ก็เรียกว่าไม่ๆๆโง่ ไม่เอาของธรรมชาติมาเป็นตัวตน มาเป็นของกู นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ช่วยจำไว้ด้วยสั้นๆว่าไม่ไปปล้น ขโมยของธรรมชาติเอามาเป็นตัวกู เอามาเป็นของกู ไปขโมยเอาของธรรมชาติมาเป็นตัวกู เป็นของกูเท่าไหร่ มันจะกัดเอาเท่านั้นแหละ เอามามากก็กัดมาก เอามาน้อยก็กัดน้อย เพราะมันเป็นคนคดโกง มันเป็นโจรขโมย ไปเอาของธรรมชาติมาเป็นของกู
เดี๋ยวนี้เรามาศึกษาธรรมะ มีศีล มีสมาธิ มีวิปัสสนา รู้ความจริงข้อนี้ๆก็สลัดความโง่ออกไป ไม่ไปขโมยอะไรๆจากธรรมชาติมาเป็นตัวกู ของกู มันก็ไม่เกิดความทุกข์อีกต่อไป มันก็มีแต่ความถูกต้องๆๆ แก้ไขปัญหาได้โดยถูกต้อง ไม่มีความทุกข์ ไม่ไปหลงดี ไม่ไปหลงชั่ว ไม่ไปหลงดี ไม่ไปหลงชั่วนั่นแหละสำคัญ เรื่องดีก็เป็นปัญหา เรื่องชั่วก็เป็นปัญหา เรื่องสุขก็เป็นปัญหา เรื่องทุกข์ก็เป็นปัญหา ถูกต้องๆๆอย่างเดียวเท่านั้นที่จะไม่เป็นปัญหา ขอให้การศึกษาของท่านทั้งหลายจงมีลักษณะเป็นความถูกต้องๆไปตามลำดับๆจนถึงที่สุด และคงที่ๆๆอยู่ในความถูกต้องซึ่งเรียกว่าอตัมมยตา ขอร้องให้ช่วยจำคำแปลกๆนี้ไปด้วย คงที่อยู่ในความถูกต้องๆ มันก็ไม่มีความผิดพลาดอันใดเกิดขึ้น มันก็ไม่ปัญหา มันก็ไม่มีความทุกข์ แล้วมันก็ไม่บ้าสุข หลงสุข ซึ่งทำให้เกิดโง่อย่างอื่นต่อไป นี่มีผลเป็นว่าเหนือดี เหนือชั่ว เหนือบวก เหนือลบ เหนือทุกๆอย่างที่มันเป็นคู่ๆ ก็เรียกว่าท่านทั้งหลายได้ถึงที่สุดจุดจบของปัญหา ที่เรียกว่าบรรลุพระนิพพาน ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
นี่อาตมาได้พูดถึงว่าธรรมะกับนักศึกษา โดยหัวข้อว่าธรรมะกับนักศึกษาๆ นักศึกษาจะต้องศึกษาธรรมะ รู้จักธรรมะไปตามลำดับๆ จนถึงยอดสุด ยอดสุดของธรรมะคือความคงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่ๆอยู่ในความถูกต้อง นั่นแหละที่สุดจุดจบของการศึกษา เพียงแต่รู้จักทำมาหากิน มีเงิน มีอำนาจวาสนา เป็นเศรษฐีนี่ยังจะต้องร้องไห้ ยังต้องหัวเราะ ยังต้องร้องไห้ ลูกตาย เมียตายก็ยังต้องเสียใจ ล้มขึ้นมา บ้าขึ้นมาก็ฆ่าตัวตายเหมือนกับคนเห็นแก่ตัว ต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้าเหมือนกัน มันช่วยไม่ได้ความรู้เพียงเท่านั้น มันต้องเหนือนั้น ไม่หลงดี ไม่หลงชั่ว ออกไปเสียได้จากคุกตะรางแห่งความหลง หลงดี หลงชั่ว ขึ้นมาจากหลงตัวกูๆ นี่ตัวกูสร้างความดี สร้างความชั่ว นี่เรียกว่าถึงขีดสุด ถึงจุดจบแห่งธรรมะ แห่งพระพุทธศาสนา ภาวะที่อยู่เหนือปัญหาๆโดยประการทั้งปวงนี้เรียกว่านิพพาน ได้นิพพานน้อยๆไปพลางก็ยังดี ดีกว่าที่ไม่ได้เสียเลย ถ้ามันได้น้อยๆๆๆไปก่อนมันก็สมบูรณ์ขึ้นมาเอง คือชิมรสของนิพพานน้อยๆๆนี่ก็ยังดีกว่า มีความสงบเย็นตลอดเวลาที่มันอยู่กับพระนิพพาน ไม่บ้าบวก ไม่บ้าลบ ไม่มีกิเลสประเภทบวก ไม่มีกิเลสประเภทลบ แล้วก็ไม่มีอะไรตัดชีวิตๆ ชีวิตนี้ก็ไม่ตัดตัวเอง ดำเนินชีวิตถูกต้อง ไม่มีปัญหาอะไรแก่ชีวิต นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรรจะได้รับ จะมีชีวิตจิตใจที่เป็นอิสระๆๆ เหนือปัญหาทั้งในฝ่ายบวกและฝ่ายลบ สิ่งสูงสุดคือสิ่งนั้น คือพระนิพพาน คืออยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ฉันจะไม่ดีใจให้เหนื่อย จะไม่เสียใจให้เหนื่อย ฉันจะไม่ยอมให้มันเสียใจ ดีใจ ให้มันเหนื่อย ฉันจะคงปกติอยู่ในความสดชื่น ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ทำอะไรก็ถูกต้อง เพราะมันถูกต้องมันก็สบายๆ ก็ชุ่มชื่นใจ แต่อย่าให้มันเป็นดีใจ เป็นเสียใจ เป็นโง่ เป็นดีใจ เป็นเสียใจเลย ให้อยู่เหนือดีใจ เหนือเสียใจ นั่นคือความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ความสงบเย็นเป็นนิพพานและเป็นประโยชน์
เหลืออยู่สองคำว่าสงบเย็นคำหนึ่ง และเป็นประโยชน์อีกคำหนึ่ง ให้ชีวิตมีจุดจบอยู่ที่คำ ๒ คำนี้ สงบเย็นและเป็นประโยชน์จนกว่ามันจะดับๆไป จนกว่ามันจะดับไป ทำตัวเองให้สงบเย็นได้ แล้วก็ช่วยผู้อื่นให้สงบเย็นได้นั้นก็เป็นประโยชน์ เรียกว่าสอนธรรมะ แจกธรรมะ สอนธรรมะที่ตนได้รับแล้วมีต่อไปๆ ประโยชน์มันสูงสุดเพียงเท่านั้นแหละ ไม่มีประโยชน์อะไรจะสูงสุดไปกว่านี้ ประโยชน์สูงสุดนี้เรียกว่านิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น เย็นแปลว่าไม่มีร้อน ไม่ร้อนให้เป็นทุกข์ ไม่หนาวให้เป็นทุกข์ แต่มีความเย็นพิเศษ ไม่หนาว ไม่ร้อน เพราะไม่มีไฟคือกิเลส นิพพานแปลว่าเย็นเพราะไม่มีไฟ ไฟคือกิเลส เราไม่โง่ให้ไฟเกิดลุกขึ้นมาในจิตใจ มีความรู้เรื่องนี้ดีไฟก็ไม่ลุกขึ้นมาในจิตใจ ความรู้เรื่องนี้เรียกว่าเรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ถ้ามีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาทดีแล้ว ไฟไม่อาจจะลุกขึ้นมาในจิตใจ มันป้องกัน มันแก้ไขหมดสิ้นเชิง ความทุกข์ไม่อาจจะเกิดขึ้นมา ไฟไม่ลุกขึ้นมา ขอให้สนใจเรื่องนี้ เรื่องดับทุกข์โดยอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็เรื่องเดียวกัน เรื่องก็อยู่เหนือดี เหนือชั่ว เพราะมันเป็นเพียงกระแสปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงแห่งธรรมชาติ ไม่ดี ไม่ชั่ว ก็ไม่หลงดี หลงชั่ว เห็นปฏิจจสมุปบาทนี่ อย่างนี้เรียกเห็นธรรมะ ถ้าเห็นธรรมะก็คือเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม คนนั้นเห็นเรา คนใดเห็นเรา คนนั้นเห็นธรรม เห็นธรรมะคือเห็นเรา เห็นเราคือเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรมะ ความทุกข์เกิดอย่างไร ดับอย่างไร ดับมันเสียได้ก็เห็นธรรมะ ก็คือเห็นพระพุทธเจ้าตัวจริง พระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่เป็นความดับทุกข์ ที่เป็นตัวแทนเช่นพระธาตุ พระสารีริกธาตุ พระพุทธรูปนี้เป็นตัวแทน เป็นสื่อที่จะชักนำเข้าไปหาพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล เป็นองค์บุคคลนั้นแหละช่วยสอนเราให้เข้าไปรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือพระองค์ธรรม มีพระพุทธเจ้าอย่างนี้ก็จะมีพระธรรม ปฏิบัติให้สำเร็จข้อนี้ก็จะกลายเป็นพระสงฆ์ขึ้นมา เรานี่แหละจะกลายเป็นพระสงฆ์ขึ้นมา ไปรวมอยู่ในชุดพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หมดปัญหาแล้ว เวลาก็หมดแล้ว อาตมาก็หมดแรงที่จะพูด ก็ขอยุติการบรรยาย ขอแสดงความหวังว่าท่านนักศึกษาทั้งหลาย ท่านจะศึกษาโดยถูกวิธี คือดูให้เป็นและก็เห็นให้ได้ เห็นแล้วให้รู้จัก รู้จักแล้วก็วิจัยวิจารณ์ได้ และปฏิบัติได้ พิสูจน์ทดลองได้โดยการปฏิบัตินั้น นั่นคือการศึกษาที่แท้จริงที่นำไปสู่ประโยชน์อันสูงสุดคือพระนิพพาน ขอให้สามารถนำไปใช้ในหน้าที่การงานของตนๆ เป็นสุขสวัสดี อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ