แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมมิก สพรหมจารีทั้งหลาย โอกาสสุดท้ายผมจะพูดถึงเรื่อง เครื่องมือที่จะต้องมีไว้ใช้ประจำในทุกกรณีสำหรับเรือแพขนาดไหนก็ตาม ชนิดไหนก็ตาม บุคคลใดในเรือทุก ๆ ชนิด บุคคล เครื่องมือเครื่องใช้ทุกอย่างจะต้องมีสิ่งสำคัญสิ่งนั้น ดังนั้นหัวข้อบรรยายในวันนี้จึงมีว่า อตัมมยตาช่วยได้ในทุกกรณี ช่วยได้ในทุกกรณี ใครมีหน้าที่อย่างไร เวลาไหน เรือแพขนาดไหนน่ะมันจำเป็น ขอให้ ให้ตั้งใจฟังให้ดีจะว่าอย่างนั้น มันคืออย่างไรกันแน่ และมันคืออะไรกันแน่ มันจึงเป็นสารพัดนึก ใช้ได้ทุกอย่างอย่างนั้น
อตัมมยตาคืออะไร นี่ข้อแรกจะต้องรู้ เรื่องนี้มีปัญหามาก จะเล่ากันให้ฟังสนุก ๆ มีคนหาว่าเป็นของปลอม ไม่ใช่ธรรมะในพระพุทธศาสนา ผมเอาของปลอมมาจากไหนไม่รู้ เอามาในลักษณะย้อมแมวขาย ย้อมแมวขาย แต่เรื่องนี้มันก็พิเศษนะ แมวนี้ย้อมหรือไม่ย้อมก็จับหนู ยิ่งย้อมให้สีเหมือนหนูจะยิ่งจับหนูได้มาก ฉะนั้นขอให้มองกันในแง่นั้นบ้าง ก็ถูกแล้วว่า อตัมมยตา นี้มันไม่ค่อยผ่านสายตา ทว่าถ้าอ่านพระไตรปิฎกฉบับไทยแล้วมันไม่มีวันพบหรอก เพราะเขาแปลเสียแล้ว มันแปลคำนี้เสียแล้ว แล้วแปลว่าอะไรก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ค่อยได้อ่าน แต่รู้ว่าเขาแปลกันเสียแล้ว เลยไม่ได้เห็นคำว่า อตัมมยตา ในพระไตรปิฎกแปลไทยก็แปลเสียแล้ว แล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน ได้ข่าวว่าที่ลังกา ที่พม่า ก็ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคำนี้หรือใช้คำนี้ ฝรั่งบางคนก็สนใจ บางคนเขียนบันทึกมาให้ผมก็มี ว่าเขามีความเห็นว่าอย่างไร
นี่อยากจะรู้หรือจะแปลกันก็แปลสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า นิตตัณหา คือ ไม่มีตัณหา ตาม ตามที่อธิบายไว้ในอรรถกถา อธิบายกันนั้นเองว่า นิตตัณหา ไม่มีตัณหา อย่างนี้มันไม่ไหวหรอก มันไม่ใช่ อตัมมยตา ที่เรากำลังพูดถึง มันไม่ได้แปลว่า นิตตัณหา นี่ บาลีก็ดูสิ อะ แล้วก็ ตัง แล้วก็ มะยะ แล้วก็ ตา มันนิตตัณหาอย่างไร ความที่ไม่มีสิ่งนั้น เป็นที่มาน่ะ หรือไม่สำเร็จมาจากสิ่งนั้นก็แล้วกัน แปลได้อย่างในโรงเรียนก็แล้วกัน ความที่มันไม่สำเร็จมาจากปัจจัยนั้น ปัจจัยนั้น นั้น นั้น นั้น มันไม่สำเร็จอยู่ด้วยปัจจัยนั้น ๆ มันไม่ถูกตรึงจับเข้าให้ด้วยปัจจัยนั้น ๆ นั่นน่ะคือ อตัมมยตา ตามพยัญชนะ ไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยนั้น ๆ ไม่อยู่ด้วยปัจจัยนั้น ๆ ไม่ถูกตรึงไว้ด้วยปัจจัยนั้น ๆ นี่ตัวหนังสือเป็นอย่างนี้ โดย โดยพยัญชนะ
นี่โดยอรรถจะเป็นอย่างไร ก็ถอดเอาเองสิ ว่ามันไม่ถูกปรุงด้วยปัจจัยนั้น มันไม่ได้เกิดมาจากปัจจัยนั้น มันไม่ได้ถูกจับถูกถือเอาไว้โดยปัจจัยนั้น ๆ โดยอรรถมันก็ต้องว่า อันอะไร อันปัจจัยอะไร ๆ พึงแตกไม่ได้ อันปัจจัยอะไร ๆ จะจับตัวยึดไว้ก็ไม่ได้ นี่ใจความแรกที่สุด แล้วพออันนี้มันแปลกนะที่ว่ามันมีทุกขั้นตอนน่ะ พบในบาลีก็ฉงนว่า อตัมมยตาเพื่อปฐมฌานอันพระผู้มีพระภาคกล่าวไว้แล้ว เพื่อทุติยฌานอันพระผู้มีพระภาคกล่าวไว้แล้ว นาทีที่ 0.06.55 มุตตาภควตา มุตตาภควตา ก็หมายความว่ามันใช้ทุกชั้น มันใช้ทุกขั้นน่ะแล้วมันก็จะมีปัญหาว่าคงที่อย่างไร เดี๋ยวจะต้องอธิบายกันสักหน่อย มันก็ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ มันก็ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ อารมณ์บวกหรืออารมณ์ลบมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตาม ที่มันทุกขั้น ทุกขั้น ทุกขั้นมันหมายความว่า ขั้นใดขั้นหนึ่งก็จับยึดไว้ไม่ได้เพราะมันมีความถูกต้อง อย่างสมมุติว่า มันติดอยู่ในปฐมฌาน มันก็ยังมีความไม่ถูกต้อง เพราะปฐมฌานมันก็เกะกะไปด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข มันเกะกะอยู่ด้วยของอย่างนี้มันยังไม่ถูกต้อง มันต้องดิ้นรนเพื่อจะออกไป ครั้นไปถึงทุติยฌาน มันก็มีไอ้ อะไรเกะกะอยู่บางอย่างยังไม่ถูกต้อง มันก็เลื่อนไป เลื่อนไป เลื่อนไป จนกระทั่งอันสุดท้าย อรูปฌาน มันก็ยังมีปัจจัยแห่งการยึดมั่นถือมั่นเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ มันต้องเลื่อนออกไปสู่ โลกุตตระ หรือ นิโรธ มันไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ มันจึงคงที่ คงที่อยู่ในความถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องมันคงที่อยู่ไม่ได้ มันดิ้นรนเรื่อย มันดิ้นรนเรื่อย มันก็ดิ้นรนไปหาความถูกต้องที่เหนือกว่า มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง คำนี้มันใกล้กับพูด พูด พูดเล่นลิ้น หรือพูดไม่รับผิดชอบ มัน มันยังไม่ถูกต้องถึงที่สุดเพียงไร มันคงที่อยู่ไม่ได้ มันก็เลื่อนไปตามปัจจัยไปหาความคงที่ คงที่ คงที่ คงที่ แล้วลักษณะที่เราจะเอามาใช้กันนี่ก็คือความคงที่อยู่ในความถูกต้อง เด็ก ๆ ยังฟังไม่ถูก ผมเลยคิดหาคำแปลสำหรับเด็ก ๆ ว่า กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย ท่านพยอมจะเอาไปโฆษณา ไอ้คำนี้มันใช้เฉพาะกับเด็ก ๆ กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย ไปอยู่กันพัก กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย ก็อยู่กับพักแล้วมันไม่ถูกต้องกูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย ก็เลื่อนไป เลื่อนไป มันแข็งโก๊กอยู่ในความถูกต้อง มันเอาแต่ความถูกต้อง มันแข็งโก๊กอยู่ในความถูกต้อง มันแข็งโป๊กยิ่งกว่าเพชร ใคร ๆ ถือกันว่าเพชรแข็งที่สุดนะในปัจจุบันนี่ มันยังแข็งโป๊กกว่านั้น มันเป็นเพชรทางวิญญาณ มันจึงสามารถตัด ตัดทุกสิ่งแต่ไม่มีอะไรมาตัดเพชร นี่เรียกว่าแข็งโก๊กอยู่ในความถูกต้อง ความถูกต้อง เป็นทุกลำดับขั้น ผมจึงใช้คำว่าทุกกรณี ไอ้สากลน่ะมันว่าตั้งแต่ ALFA ถึง OMEGA พูดอย่างเราก็พูดว่า ตั้งแต่ตัว ก ถึงตัว ฮ มันจะต้องแข็งโก๊ก อยู่ถูกต้องไปตามลำดับจากจุดตั้งต้นที่สุดจนถึงไอ้จุดสูงสุด สุดท้าย
ฉะนั้นขอให้ถือว่ามีลำดับชั้นของ อตัมมยตา ตามหลักใหญ่ ๆ ที่กว้าง ๆ ก็ว่า ออกมาเสียจากกาม กามธาตุ คือกาม อยู่มันไม่ไหวแล้ว พ้นกามมาสู่ รูปธาตุ อันแรก เอามา โอ๊ย, ไม่ไหวมันยังหยาบอยู่ รูปธาตุ เกะกะ เป็น อนัตตา อุเบกขา กูไม่เอากับมึง ก็มาถึง อรูปฌาน เป็น เอกัตตอุเบกขา มันจบแล้วในฝ่ายสังขาร ออกมาเสียจากอรูป ออกมาเสียจาก รูปธาตุ มาสู่ อรูปธาตุ แล้วออกอันสุดท้ายก็สู่ นิโรธธาตุ คือ อสังขตธาตุ หรือนิพพาน นาทีที่ 0.11.47 ว่า จากกามธาตุสู่รูปธาตุ จากรูปธาตุสู่อรูปธาตุ จากอรูปธาตุแล้วมาสู่นิโรธธาตุ มันก็หมดน่ะ มันธาตุสาม หมวดหนึ่ง ใน ในเรื่องธาตุน่ะจากพระธาตุมีสาม คือ รูปธาตุ อรูปธาตุ นิโรธธาตุ ถ้าพูดอย่างนี้ธาตุที่สาม ก็เอากามธาตุไปฝากไว้ในรูปธาตุ มันจึงมีรูปธาตุ อรูปธาตุ แล้วก็นิโรธธาตุเป็นที่ดับสองธาตุข้างต้น อตัมมยตาก็เป็นอันสุดท้าย คือออกไปสู่นิโรธธาตุ จะต้องออกจากตัว ก ไปตามลำดับจนถึงตัว ฮ หมายความว่า ทุก ๆ อย่าง จุดตั้งต้นตั้งแต่ว่าให้ทาน รักษาศีลอะไรก็ตาม มันต้องมีความถูกต้อง ๆ แล้วมันก็เลื่อนเพราะมันยังไม่ถูกต้อง มันก็เลื่อน มันก็เลื่อน ไปจนถึงพระนิพพาน
ฉะนั้นคำบาลีจำไว้ให้แม่น ๆ อตัมมยตา อตัมมยตา ภาษาฝรั่งเราก็ยังไม่มีใช้กัน มันอยากจะให้มันมีใช้ อยากให้มันเข้าไปอยู่ในปทานุกรมสากล ในรูปแบบของวัฒนธรรมก็ได้ ของปรัชญาก็ได้ ของศาสนาก็ได้ มาคิดดู นาทีที่ 0.13.35 ท่านติกโร เขาก็ช่วยคิด ผมเสนอว่า อะ เรียกว่า NONE อะ NONE น่ะ อะ CONDITIONABLE คือว่า CONDITION ได้ ปรุงแต่งได้ นาที่ที่ 0.13.50 –ITY –ITY ความ UNCONDITIONABLITY UNCONDITIONABLITY ท่านติกโรเขาว่าถ้าที่อเมริกาแล้วคำว่า CONCOCT ดีกว่า ไอ้ CONDITION นี่ที่อังกฤษที่ยุโรปเขาใช้กัน อเมริกาใช้ CONCOCT UNCONCOCTABILITY ก็ปรุงแต่งไม่ได้เหมือนกัน CONCOCT มันก็แปลว่าปรุงแต่ง ไอ้ CONDITION มันก็แปลว่า ปรุงแต่ง UNCONCOCTABILITY UNCONDITIONABILITY คำใดคำหนึ่ง ของจิต จิตอยู่ในสภาพที่อะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้นี่เราจะเรียกมันว่า UNCONCOCTABILITY พวกฝรั่งเขามีคำว่า EQUILIBRIUM EQUANIMITY อย่างนี้ใช้อยู่แล้วนะ ใช้อยู่ในปทานุกรมแล้ว เราบอกเขาว่าคอยเติมคำว่า SPIRITUAL SPIRITUAL เข้าไปข้างหน้า SPIRITUAL EQUILIBRIUM นั้นมันจะมีเค้าเงื่อนคล้าย ๆ อตัมมยตา SPIRITUAL EQUANIMITY ก็คล้าย ๆ กัน เขาเข้าใจดีกันอยู่แล้ว สำหรับคำว่า EQUILIBRIUM นั่นน่ะ บอกเขาเลยให้ใช้คำนี้ แล้วก็เติมคำว่า SPIRITUAL คือทาง SPIRITUAL เข้าไป มันก็ไปหาความหมายเดียวกันนั้นแหละ มันคงที่ทาง SPIRITUAL นี่โดยถ้อยคำแต่ผมอยากจะใช้คำบาลี คำศัพท์บาลีคำเดิม สำหรับภาษาไทยเรา อย่าไปแปล แปลลำบาก ใช้กันไป ใช้กันไปนาน ๆ เข้าไอ้คำว่า อตัมมยตา มันก็จะมาอยู่ในภาษาพูดธรรมดา เหมือนกับคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่ต้องแปลหรอก
ถ้าจะให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ก็ต้องโดยอุปมาดีกว่า ว่าอุปมาเหมือนอะไร แข็งโก๊กเหมือนเพชร อุปมาเหมือนเพชร แล้วก็ไม่หวั่นไหวยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่มีอะไรอุปมาโดยตรงก็ต้องอุปมาโดยอ้อม ว่าไม่หวั่นไหวยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยในเอเชีย เรามีหิมาลัย ยุโรปมันมีภูเขา ALPS ในอเมริกามันมี ROCKY มันเป็นภูเขาใหญ่ ๆ พอ ๆ กันนะในสามทวีป แต่นั่นยังหวั่นไหวนะเอ้า ใคร ใคร ใครจะว่าอย่างไร ถ้าแผ่นดินหวั่นไหวล่ะ ภูเขาเหล่านั้นก็หวั่นไหวด้วย มันยังสู้ อตัมมยตา ไม่ได้ จิตที่มี อตัมมยตา แล้วก็ให้จักรวาลมันหวั่นไหว จิตนี้ก็ไม่หวั่นไหว นี่ความไม่หวั่นไหว อุปมาด้วยภูเขานะ แต่ว่ามันตรงกันข้ามคือ มัน มันดีกว่าเหนือกว่า ถ้าใช้กับเรื่องเล็ก ๆ เด็ก ๆ พอเข้าใจได้ก็ว่าไม่หวั่นไหวโดยเปรียบเทียบว่า หญิงสาวสวยคนหนึ่งเขามี อตัมมยตา ความไม่หวั่นไหวแห่งจิตอันอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ มันก็ไม่มีผู้ชายหรือชายชู้คนไหน ฉลาดอย่างไร สวยงามเท่าไร ก็ไม่อาจจะเกี้ยวพาผู้หญิงคนนี้ไปได้ ทีนี้ฝ่ายผู้ชายก็เหมือนกันน่ะ ตรงกันข้าม ชายหนุ่มรูปสวยแต่มันมี อตัมมยตา ให้นางงามจักรวาลมาสักฝูง นางฟ้ามาสักฝูง ก็ลากหัวมันเอาไปไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่ามันมี อตัมมยตา จะกี่มากน้อยก็ลองไปคิดดูกันเอาเอง จะกี่มากน้อยเท่าไหร่ก็คิดคำนวณเอาเอง นี่โดยอุปมา โดยอุปมา
ที่ว่าคืออะไรก็ว่าอธิบายอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ โดยวิธีที่จะมา วิถีทางมาจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็เคยได้ยินกันอยู่แล้ว เรื่องเหล่านี้ แต่ว่าไม่เอามาลำดับกัน ผมก็จะขอลำดับว่า วิปัสสนา ๙ ขั้นตอน ๙ ขั้นตอนแห่ง วิปัสสนา โดยเรียก เรียกเอาง่าย ๆ ว่า “๙ ตา” “ตา” นี้อัญประกาศนะ เพราะมันไม่ใช่ลูกตา หรือว่าลูกตาก็ได้แต่มันต้องพิเศษ ๙ ตา ๙ ตา
อนิจจตา เราก็รู้จักกันทุกคน เจริญธรรมะวิปัสสนามาถึง อนิจตา เห็นความไม่เที่ยงความเปลี่ยนแปลงเรื่อยไหล เรื่อยไปตามเหตุตามปัจจัยเรียกว่า อนิจจตา ทีนี้ความที่ต้องผูกพันกันอยู่กับ อนิจจตา มันก็เป็นทุกข์คือเป็น ทุกขตา ทุกขตา อันนั้นมันไหลเรื่อยแล้วไปอยู่กับมัน ไปเอากับมันก็เป็นทุกข์ ทั้งไม่เที่ยงทั้งเป็นทุกข์ก็เป็น อนัตตา อนัตตา ไม่เรียกว่า นาทีที่ 0.20.00 ทีนี้มันเห็นชัดอย่างนี้ โอ้, มันอย่างนี้เองนี่ ธัมมัฏฐิตตา การตั้งอยู่ เป็นไปอยู่ อะไรอยู่ ตามธรรมดา ธัมมัฏฐิตตา ที่เป็นอย่างนั้นเพราะมีกฎบังคับอยู่เรียกว่า ธัมมนิยามตา นิยาม นิยามน่ะมันแปลว่า กฎ ธัมมนิยามตา มีกฎแห่งธรรมะบังคับอยู่ เรียกว่า ธัมมนิยามตา สรุปทั้งหมดนั้นได้เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ก็ว่าที่ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเรียกว่า อิทัปปัจจยตา นี่ ๖ แล้วนะ
ทีนี้อีกชุดหนึ่ง ๓ ก็ว่า เห็นชั้นนี้ ขนาดนี้แล้วก็เห็น สุญญตา แหละ ไม่มีอะไรที่จะมั่นคงเป็นตัวตนอยู่ได้เรียกว่า สุญญตา ว่างจากตัวตน เห็นถึงขนาดนี้แล้วก็เรียกว่าเห็น ตถาตา เป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง ตถาตานี้บาลีเรียกว่า ตถตา ก็มี เรียกว่า ตถา เฉย ๆ ก็มี คำว่า ตถา หมายถึงอริยสัจ ๔ ก็มี เรียกว่า ตถาตา เต็ม ๆ ดีกว่า ความเป็นเช่นนั้น ผลความเป็นเช่นนั้นมันคงที่ มันคงที่ มันเป็น อตัมมยตา มันเห็นเช่นนั้นจะโดยเด็ดขาด มันก็คงที่ เป็น อตัมมยตา เห็นชุดแรก ๓ อันก่อน อนิจจตา ทุกขตา อนัตตา สามตา หญ้าปากคอก ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีความหมาย ในโรงเรียนมันไม่ค่อยจะสอนกันถึงลักษณะปฏิบัติ สอนกันแต่ตัวหนังสือน่ะ
ชุด ๓ ทีหลังก็คือ ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา นี่เราได้มาอีกสาม ชุดสุดท้ายก็คือ สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา รวมกันมันก็เป็น ๙ เข้าใจว่าเห็นได้เองทุกท่านแล้วว่า มันเป็นวิปัสสนา มันไม่ได้เป็นสมาธิ มันไม่ใช่สมถะ มันเป็นการเห็น เห็น เห็น เห็น มันเห็นด้วยตา มันเป็นวิปัสสนามิใช่เป็นสมถะ ดังนั้นไอ้ความคงที่ของมันนั้นมันคงที่ด้วยอำนาจของวิปัสสนา มันไม่หวั่นไหว มันคงที่ด้วยอำนาจของวิปัสสนา มันไม่ใช่ด้วยอำนาจของสมถะหรือสมาธิ ซึ่งมันคงที่ เด็กเล่นน่ะ มันเป็นบังคับไว้ คงที่ มัน มัน มันต่อสู้กันอยู่ ถ้าคงที่ด้วยสมถะสมาธิมันก็ต้องบังคับไว้ แต่ถ้าว่ามันเป็นคงที่เพราะวิปัสสนาน่ะ มันตัดรากของความหวั่นไหวเสียแล้ว มันตัดรากของความหวั่นไหวเสียแล้วมันก็คงที่ มันคงที่ มันต่างกันมาก คงที่ด้วยสมถะนั้นมันอึดอัด คงที่ด้วยวิปัสสนานี่มันโล่ง
การเห็น ธัมมัฏฐิติญาณ ญาณด้วย ด้วย ธัมมัฏฐิติญาณ ตั้งแต่ อนิจจตา ขึ้นไปจนถึงอันสุดท้ายคือ ยถาภูตญาณทัสสนะ นี่เรียกว่า ธัมมัฏฐิติญาณ คือตั้งอยู่ตามธรรมดา อนิจจตา ทุกขตา อนัตตา ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา นี่ เห็น ธัมมัฏฐิติญาณ พอหลังจากนั้นมันก็กระโดดไปฝ่าย นิพพานญาณ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ นิพพาน มันเป็นฝ่าย นิพพานญาณ ฉะนั้น อตัมมยตา มันอยู่ตรงจุดนั้นน่ะต่อกัน แล้วก็เป็นไปเรื่อยจนไปถึงนิพพาน ไปถึงนิพพาน มันคงที่ด้วย นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ นิพพาน เรียกว่าคงที่ในขั้นวิปัสสนา ใช้คำสั้น ๆ ว่าคงที่อยู่ในความถูกต้อง นี่ถ้า ถ้า ถ้าจะเอาเป็นไทยกันก็ใช้วลีนี้ว่า ความคงที่อยู่ในความถูกต้อง
นี่ก็ท้าทายเลยว่าอะไรบ้าง ใครบ้าง กรณีไหนบ้าง ที่ไหนบ้าง เวลาไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้ความคงที่อยู่ในความถูกต้อง หรือจะถามกลับว่าความคงที่อยู่ในความถูกต้องน่ะมันใช้ไม่ได้ที่ตรงไหน มันใช้ไม่ได้ที่ไหน ที่ไหนเวลาไหน ที่ใด บุคคลใด ที่ชนิดใดที่มันใช้ไม่ได้ มันก็ใช้ได้ ขอให้มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง มันจึงใช้คำว่าตั้งแต่ ก ถึง ฮ ถ้าว่าลูกเด็ก ๆ ลูกทารกเด็ก ๆ ก็ได้ต้องคงที่อยู่ในความถูกต้องไปตามลำดับ ตามลำดับไปจนถึงโตเป็นวัยรุ่น หนุ่มสาว พ่อบ้านแม่เรือน แก่เฒ่า มันต้องการความคงที่อยู่ในความถูกต้อง ตามชั้น ตามภูมิ แห่งชั้น แห่งภูมินั้น ๆ ทั้ง กามธาตุ ทั้ง รูปธาตุ ทั้ง อรูปธาตุ ทั้ง นิโรธธาตุ เรายึดหลักอันนี้แล้วพยายามค้นหา แล้วจะสอนเด็กลูกเล็ก ๆ ในชั้นอนุบาลหรือโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ มันถูกต้องอะไร คงที่อยู่ในความถูกต้องอะไร แล้วมันก็สูงขึ้นไปชั้นมัธยม ชั้นประถม ชั้น เอ้ย, ชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดมน่ะ หาความถูกต้องและคงที่อยู่ในความถูกต้อง อันสุดท้ายมันจะไปอยู่เหนือบวกเหนือลบน่ะ
วิทยาศาสตร์ในชั้นที่เรียกว่า รู้ความสัมพันธ์ของกาละและเทศะ หรือจะยอดสุดของวิทยาศาสตร์ในทางที่ดับทุกข์ได้มันจะอยู่ที่นั่นน่ะ RELATIVITY OF TIME AND SPACE น่ะ อันนั้นแหละ เป็นจุดสุดท้ายคงที่อยู่ในความถูกต้อง เพราะว่าการปรุงแต่งทางเวลา ทาง เทศะ หรือว่า ที่ น่ะหลอกไม่ได้อีกต่อไป หลอกไม่ได้อีกต่อไป ไม่เห็นเป็นบวกไม่เห็นเป็นลบ ไม่เห็นเป็นสวยงามหรือไม่สวยงาม ไพเราะหรือไม่ไพเราะ หอมเหม็นมันไม่มีนี่ มันไม่มี เรื่องมันก็จบน่ะ มันคงที่ในอันสุดท้าย ไปจนตัว ฮ
ทีนี้ก็มาดูว่า ช่วยได้ในทุกกรณี มันช่วยได้อย่างไร เพราะว่ามันแก้ปัญหาได้หมดน่ะ ปัญหานี้เราจะรวมกันสามปัญหา ย่นนะ ย่นลงเป็นสามปัญหา สังเคราะห์เป็นเพียงสามปัญหา ทางวัตถุ ทางกายนี่อันแรก แล้วก็ทางจิตนี่ที่สอง ทางวิญญาณน่ะมันที่สาม
ทางรูปธรรม ทางรูปธรรมมีหนึ่ง ทั้งกาย ทั้งวัตถุนี่เราเรียกว่าทางรูปธรรม วัตถุต้องถูกต้อง รวมกันเป็นร่างกายมันก็ถูกต้อง มีความถูกต้องทางกายคือถูกต้องทางวัตถุ เป็นปัจจัย เป็นอุปกรณ์แห่งกาย มันก็ไม่หลงวัตถุ ให้วัตถุเป็นทิพย์ก็มาหลอกกันไม่ได้ นึกถึงพระบาลีพระพุทธภาษิตว่า ฉันพ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นของมนุษย์และเป็นของทิพย์ เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นของมนุษย์และของทิพย์ ดังนั้นเธอจงไป จงไปสิ เมื่อส่งภิกษุไปประกาศพระศาสนานี่ พระพุทธองค์ประกาศว่า พ้นแล้วจากบ่วง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์นี่ เราจะต้องเห็นว่าเป็นความถูกต้องทางวัตถุถึงที่สุด ไม่ติดอยู่ในบ่วงธรรมดา ไม่ติดอยู่ในบ่วงที่เป็นทิพย์ ถูกต้องทางวัตถุ มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาทางวัตถุ
ทางจิต มีปัญหาทางจิตก็คือจิตมันมั่นคงหมดปัญหา เมื่อทางกายทางวัตถุมันถูกต้องแล้ว ทางจิตนี่จะต้องทำให้มั่นคงต่อสิ่งรบกวนจิตทุกชนิดไม่ว่าอะไร ไม่ว่านิวรณ์ ไม่ว่าอะไร บรรดาสิ่งรบกวนจิตทุกชนิดไม่ ไม่ทำให้ระคายขน มันมีจิตถูกต้อง มีความถูกต้องแห่งจิต เอาตามความหมายของคำว่าสมาธิ คำอธิบายของคำว่าสมาธิคือ จิตสะอาด ปริสุทโธ จิตตั้งมั่น สมาหิโต สมาหิโต แล้วจิตว่องไวในการงาน ควรแก่การงาน กัมมนีโย ความหมายของคำว่าสมาธิใช้คำสามคำนี้ ปริสุทโต สมาหิโต กัมมนีโย พอ กัมมนีโย แล้วก็จะน้อมจิตไปเพื่อวิปัสสนาอะไรก็ได้ ความถูกต้องของสมาธิคงที่แข็งโก๊ก สิ่งรบกวนจิตใด ๆ รบกวนจิตไม่ได้
ทีนี้ก็ทาง อะไร ผมว่าเอาเองน่ะ ทางวิญญาณ เพื่อจะตรงกับคำว่า SPIRITUAL ของพวกฝรั่ง ขอใช้คำว่า วิญญาณ ในความหมายพิเศษ ไม่ใช่วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณทาง SPIRITUALITY นี่ก็คือ ทางสติปัญญา ทว่าทางวิญญาณในที่นี้หมายถึงทางสติปัญญา มันเหนือจิตขึ้นไปแล้ว ไอ้จิตน่ะมันตัวจิต ก็ถ้าคงที่ก็คงที่ตามแบบจิต เดี๋ยวนี้คงที่ทางสติปัญญา คือคงที่ต่อมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายทั้งปวง มันจะมีมิจฉาทิฏฐิมากี่ร้อยกี่สิบชนิดก็ตามใจ มันคงที่ต่อมิจฉาทิฐิคือว่า มันมาหลอกไม่ได้น่ะ มิจฉาทิฏฐิที่จัดไว้ในบาลีก็มี ๖๒ หลอกไม่ได้ จะไม่ติดอยู่ในอวนของสัมมา เอ่อ, ของมิจฉาทิฏฐิเหมือนปลาติดอวน นี่คงที่ทางสติปัญญา แต่มัน มันไม่เข้ารูปนะสติปัญญา นาทีที่ 0.32.58 ยังขาด สั้น ๆ ลุ่น ๆ ว่าทางวิญญาณ ได้เป็นทางกายและทางจิตและทางวิญญาณ เป็นสามประการ
แต่พึงทราบไว้ว่าในบาลีท่านแยกเป็นสองชนิด ท่านเรียก กายิก เจตสิก ไอ้ เจตสิก ท่านแยกเป็นสอง คือทางจิตและทางวิญญาณ เห็นพบใช้แต่ทางกายิก เจตสิก ไอ้ เจตสิก น่ะมันแยกเป็นทางจิตและทางวิญญาณ มันเป็นนามด้วยกัน แล้วกายนี้มันเป็นรูป มันก็ถูกต้องทั้งทางรูป ถูกต้องทั้งทางนาม แต่จะอธิบายให้ชัด เจตสิก ต้องแยกออกเป็นสอง ทางจิต ตัวจิตล้วน ๆ อย่างหนึ่ง แล้วก็ทางคุณสมบัติอะไรของจิตคือทางสติปัญญาโน่นอีกอย่างหนึ่ง มันเทียบเห็นง่าย ๆ ว่าทางกายมันเกี่ยวกับร่างกายนี่ ถ้าเราเป็นโรคทางกาย เราก็ไปที่โรงพยาบาลธรรมดา แก้ไขได้ แล้วถ้าเราเป็นโรคจิตเล่า เราก็ต้องไปที่โรงพยาบาลโรคจิต แต่ถ้าเป็นโรคทางวิญญาณ ทางสติปัญญาต้องไปหาพระพุทธเจ้านะ มันไม่มี ไม่มีโรงพยาบาลไหนในโลกจะช่วยได้ โรงพยาบาลทางวิญญาณนี่ต้องไปหาทางธรรมะของพระพุทธองค์ ทางกายไปหาโรงพยาบาลทางกาย ทางจิตไปหาโรงพยาบาลโรคจิต ถ้าเป็นโรคทางมิจฉาทิฐิ ทางสติปัญญาไปหาโรงพยาบาลไหน ก็ต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า ที่วัดไหน ที่สำนักวิปัสสนาไหน ที่อะไรก็ตามที่มันสามารถจะรักษาโรคนี้ได้
ฉะนั้นปัญหาของเรามันจะมีเป็นสามชนิดเสมอ แม้เรื่องกิจการงานไม่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บมันก็มีปัญหาอย่างนี้แหละ ทำการงาน นักธุรกิจก็ตาม มันก็มีปัญหาทางกาย ปัญหาทางจิต ปัญหาทางวิญญาณไม่ว่าปัญหาอะไร ที่เห็นง่าย ๆ ก็เห็นได้คือปัญหาทางโรคภัยไข้เจ็บ มันมีสามอย่าง ๆ นี้ ปัญหาทางกายหมดไป ไม่มีความผิดพลาดทางกาย ทางวัตถุ ปัจจัยสิ่งของ เครื่องใช้ไม้สอยอะไร เดี๋ยวนี้มันหลงกันนัก มันไปหลงเหยื่อ หลงอารมณ์ทางวัตถุไม่มีที่สิ้นสุด ในโลกนี้มันก็มีปัญหาไม่สิ้นสุด ปัญหาทางวัตถุ แล้วมันยังตั้งโรงงานอุตสาหกรรมผลิตวัตถุขึ้นมา มันจะสิ้นสุดได้อย่างไร มันมีทางที่จะหลงกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ปัญหาทางจิต เรารู้เรื่องจิตน้อย ยังน้อยอยู่ ยังน้อย ไม่พอ ต้องศึกษาเรื่องจิตให้ถูกต้องตามเรื่องของจิต ไม่ใช่จิตวิทยาหลอกลวง คำว่า จิตวิทยา มันมีความหมายสองชนิด อันหนึ่งรู้เพื่อจะไปหลอกลวงคนอื่น ผู้อื่น ที่เราใช้คำพูดว่า จิตวิทยา ซึ่งพวกนักการเมืองเขาใช้กันมากที่สุด ในจิตวิทยาหลอกลวง แต่เราจะเรียนจิตวิทยาของธรรมชาติ เราจะรู้จักจิตวิทยาของธรรมชาติเพื่อว่าเราจะใช้จิตให้เป็นประโยชน์ที่สุดที่เราจะใช้มันได้ เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่ตกลงรับรองกันได้ว่า กันแล้วว่า จิตนี้เหลือประมาณน่ะ เหลือประมาณ จะวิเศษเหลือประมาณ จะใช้ได้สารพัดอย่างแต่เราไม่รู้นี่ เราไม่รู้นี่ เราก็ใช้มันไม่ได้ ใช้จิตทำสมถะไม่ได้ ทำวิปัสสนาไม่ได้เพราะเราไม่รู้เรื่องจิต ดังนั้นจิตวิทยาของเราจะต้องเรียนรู้จิตวิทยาตามธรรมชาติ ไม่ใช่จิตวิทยาของคนเดินตลาดขายของ หรือจิตวิทยานักการเมืองนั้นน่ะ มันใช้คำ ๆ เดียวด้วย นี่เราก็จะมีปัญญาในทางวิญญาณ มีปัญญาศึกษาให้รู้ความจริงของสิ่งทั้งปวง เป็นชั้นปัญญามันก็เลิศขึ้นไปจนถึงเหนือโลก ไอ้ชาวโลกเขาไม่ต้องการจะอยู่เหนือโลก เขาก็ไม่ต้องศึกษาเรื่องนี้เพราะเขาอยากจะอยู่ในโลก มันสวยงาม มันแปลว่าเรื่องการดับทุกข์ตามหลักพระพุทธศาสนานี่มันต้องขึ้นไปถึงขนาดที่อยู่เหนือโลก คำว่าเหนือโลกนี้ช่วยเข้าใจไว้ให้ดี ๆ ว่ามันไม่ใช่ทางวัตถุ มันทางสติปัญญา ดังนั้นร่ายกายอยู่ในโลกนี้ก็ได้แต่จิตใจอยู่เหนือโลกก็แล้วกัน สติปัญญาอยู่เหนือโลกก็แล้วกันนะ จิตใจอยู่ในโลกนี้แต่ว่าไม่มีปัญหาใด ๆ วัตถุอันสวยงามทางอายตนะก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องทางสมาธิ ทางไอ้ ฌาน ทางสมาบัติ ก็ทำให้หลงใหลไม่ได้ มันก็อยู่เหนือโลก อตัมมยตาช่วยให้อยู่เหนือโลกมาตามลำดับ ตามลำดับ ตามขั้น ขั้นตอน จากกามสู่รูป จากรูปสู่อรูป จากอรูปสู่นิโรธ นี่เรียกว่าเหนือมาตามลำดับ เราก็หมดปัญหามาตามลำดับ ทั้งทางกาย ทั้งทางจิตและทั้งทางวิญญาณ พวกที่เคร่งตัวหนังสือเขาค้าน เขาไม่ยอมรับใช้คำนี้น่ะ ผมก็ว่าผมไม่รู้จะใช้คำอะไรนี่ ผมก็ขอใช้คำว่าวิญญาณ ในกิจความหมาย ในที่บางแห่งเขาว่าวิญญาณหมายถึงพระนิพพานก็มี ไปค้นดูเถอะ คำว่าวิญญาณหมายถึงพระนิพพานก็มี เพราะจะไม่มีคำอื่นจะใช้กันนี่ แต่นี่เอาเพียงว่า ทางสติปัญญา ทางสติปัญญา
เอ้า, ทีนี้ดูปัญหาที่มันเนื่องกันสิ ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณนี่ มันมีปัญหาที่แยกออกไปตามเรื่องราวของมนุษย์ ปัญหาทางสังคมก็มี ปัญหาทางเศรษฐกิจก็มี ปัญหาทางการเมืองก็มี นี่แม่บทของมันแหละ ปัญหาทางสังคม แก้ปัญหาสังคมไม่ได้เต็มไปด้วยมลภาวะอย่างนี้ ปัญหาทางเศรษฐกิจมันก็เดือดร้อนกัน ของแพง ของถูก ของอะไรต่าง ๆ เป็นปัญหาทางสังคม มันก็อยู่กันไม่ ไม่เรียบร้อย
ทีนี้เรามาดูมันปลีกย่อย มันปลีกย่อยสารพัดอย่างก็อ่านดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับอาชีพก็มี เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ ครอบครัวบ้านเรือน ประเทศชาติก็มี เป็นปัญหาเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายเรื่องของบุคคลแต่ละคนก็มี ของฝ่ายสังคมเป็นหมู่ ๆ ก็มี หรือจะเรียกว่าปัญหาของบุคคลก็ได้ ปัญหาของสังคมก็ได้ ถ้ามันรวมกันก็เรียกว่าสังคม ถ้ามันแยกกันเป็นคน ๆ มันก็เป็นบุคคล แต่ควรจะถือว่า ถ้ามันมีบุคคลเป็นสองคนขึ้นมานี่เรียกว่าสังคมดีกว่า แม้ในครอบครัวเราก็เถอะ ในครอบครัวมีพ่อแม่ลูกก็เรียกว่ามีสังคม สังคมเล็ก สังคมตั้งต้นเพราะมันหลายคนนี่ มันต้องไม่มีปัญหา อตัมมยตา จะใช้แก้ปัญหาได้ ทุกเพศทุกวัย ทุกสังคม เพศหญิงก็ได้ เพศชายก็ได้ เพศบรรพชิตก็ได้ เพศคฤหัสถ์ก็ได้ คำว่าเพศนี่มัน มันมีความหมายตามหน้าที่การงาน ผู้หญิงก็ใช้ อตัมมยตา ผู้ชายก็ใช้ อตัมมยตา คือความคงที่ถูกต้องตามแบบของผู้ชาย ของผู้หญิง ถ้ามันเป็นเพศคฤหัสถ์ เพศบรรพชิตมันก็ต้องถูกต้องตามเพศนั้น ๆ ถ้าไปปนกันแล้วมันยุ่ง เอาเรื่องของพระไปให้ฆราวาส เอาเรื่องของฆราวาสให้พระมันก็ยุ่งตาย อย่างที่มันกำลังยุ่งอยู่เห็นไหม นี้มันต้องถูกต้องเฉพาะ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเพศทุกวัย ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกการงาน ทุกระยะการ ทุกระดับชั้นจึงพูดว่าตั้งแต่ ก ถึง ฮ ถ้ามันไม่ดิ้นรนไปตามความถูกต้องแล้วมันก็ไม่มีวิวัฒนาการคอยมองให้ดูเถอะ วิวัฒนาการน่ะ EVOLUTION น่ะ มันดิ้นรนมาตามความถูกต้อง ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียว หลายเซลล์ เป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นอะไรมา เป็นคน ทีแรกยุคหินยุคอะไรมาจนเป็นคนปัจจุบันนี้ มันก็ดิ้นรนไปตามการผลักไสของความถูกต้องน่ะ เพียงเท่านี้มันยังไม่พอ มันยังไม่ถูกต้องมันก็ดิ้นรน มันก็เกิดกระแสวิวัฒนาการมาเป็นพวกเราที่นั่งกันอยู่ที่นี่ มันดิ้นรนมาตามความถูกต้องที่มันจะต้องถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง อิทัปปจัยยตา จึงเป็นสิ่งที่ เอ้ย, อตัมมยตานะ จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในทุกกรณี
ไอ้เรื่องนี้มันน่าหัวอยากจะเล่า ไอ้คนหนึ่งเขามาที่นี่ เขาอยากมาขอคำอธิบายเรื่อง อตัมมยตา นี่ เขาฟังวิทยุบางครั้งเขาไม่รู้ว่าอะไรก็ตามมาที่นี่ พอมาถามเขาก็ลืมไปว่า ว่าเขาจะถามว่าอะไร เขาใช้คำไม่ถูก ทีแรกก็ว่า อิทัปปัจจยตา หรือ อ้าว, ไม่ใช่ ๆ นี่มัน มัน คำมัน มันใหม่แล้วคำมันปนเปกับคำเก่า ๆ อิทัปปัจจยตา คอยจำไว้ว่าไอ้สุดยอดของไอ้ “ตา” แล้วก็ต้องเป็น อตัมมยตา ในฝ่ายธรรมะว่าสุดยอดอยู่ที่ อตัมมยตา ในฝ่ายบุคคลมันไปสุดยอดอยู่ที่คำว่า อตัมมโย อตัมมโย หมายถึงพระอรหันต์ อตัมมโย อตัมมยตา ก็คุณธรรมสำหรับพระอรหันต์ ผมเองก็ยังพูดผิด อตัมมยตา ไปสลับกับ อิทัปปัจจยตา อยู่บ่อย ๆ มันเป็นปัญหาที่ว่าเขาไม่เข้าใจและเขาเห็นว่ามันแปลกเกินไป เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ว่าเอาของปลอมมาหลอก เลยต้องบอกว่าไม่เป็นไร แมวย้อมไม่ย้อมมันก็จับหนูทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้ศึกษาไปเถอะ ศึกษาไปก่อนเถอะว่า อตัมมยตา นี้มันคืออะไร
ทีนี้ก็จะมองดูประโยชน์ โดยประโยชน์ โดยอานิสงส์ ที่พึ่งได้ เป็นที่พึ่งอันสูงสุด อตัมมยตาเป็นที่พึ่งได้ ในลักษณะที่ตรงตามพระพุทธประสงค์ เออ, ตรงนี้ขอพูดกันหน่อยนะมันมีปัญหานี่ พึ่งอะไรกัน เราพึ่งอะไรกัน ในพระไตรปิฎกทั้งหมดคุณไปหาน่ะ ไปลองหา มีตรงไหนที่ว่าให้พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ มันไม่มีนี่ มีก็โดยอ้อมไม่ใช่ ไม่ใช้คำว่าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ แต่มันกลับไปมีแค่ว่าพึ่งตน พึ่งธรรม พึ่งตน ไม่ได้มีว่าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ พบมากที่สุด พึ่งตน อตฺตทีปา อตฺตสรณา อนญฺญสรณา มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา มีธรรมะเป็นประทีป มีธรรมะเป็นสรณะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา ไอ้นั่นน่ะคือ สติปัฏฐาน ๔ นี่ พระพุทธเจ้าท่านย้ำอย่างนี้ทุกหนทุกแห่ง เราเรียนธรรมบทเราก็พบ อัตตาหิ อัตโน นาโถ แล้ว มีตนเป็นที่พึ่ง โกหิ นาโถ ปโรสิยา ใครอื่นจะเป็นที่พึ่งได้ แต่ทีนี้เราไม่สนใจนี่จะพึ่งตนหรือพึ่งธรรมะ เราจะพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์เสียเรื่อย นี่เขาว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ น่ะมันเขียนทีหลัง มันว่าที่หลัง มันว่าตามความพอใจ ตามความรู้สึกของบุคคลผู้นั้นที่จะพึ่งพระพุทธเจ้า และต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะขอพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่าน่ะ มันไม่มีฝ่ายที่พระพุทธเจ้าว่าเลย มันมีฝ่ายที่เราว่า นาทีที่ 0.48.52 พวกเจ้าทุกข์นี่อย่าว่า จะขอพึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แล้วคำพึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นี่มันมีอยู่ในคำที่เขียนขึ้นใหม่ทั้งนั้น โดยเฉพาะบททำวัตรเย็น ทำวัตรสวดมนต์ที่ว่า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง นี่มันเราว่ากันทีหลัง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านว่า
เอ้า, ทีนี้ก็มาถึงว่า ไอ้ที่พึ่งแท้จริงมันต้องพึ่งตนเอง มันต้องพึ่งธรรมะ ธรรมะอะไรจะเป็นที่พึ่ง ผมขอเสนอว่า อตัมมยตา นี่จะเป็นที่พึ่งแข็งโก๊ก พึ่งตน พึ่งธรรม พึ่งธรรมะ พึ่งตนเองก็ไม่พึ่งผู้อื่นนี่คือ อตัมมยตา ถ้ามี อตัมมยตาเป็นที่พึ่งมันก็ไม่ ไม่พึ่งสิ่งอื่น เมื่อไม่พึ่งสิ่งอื่นมันก็ไม่มีทางที่จะไปพึ่งไสยศาสตร์ ไอ้เรื่องสรณาคมที่ขึ้นว่า พาหุง เว สะระณัง ยันติ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา มนุษย์มีภัยคุกคามแล้วพึ่งภูเขา พึ่งต้นไม้ พึ่งเจดีย์ พึ่งอะไรต่าง ๆ นั้นน่ะ ไอ้นั้นน่ะมันพึ่งไสยศาสตร์ พระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธ แต่ว่าถ้าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พระสงฆ์ก็มีคำว่า เห็นอริยสัจด้วยปัญญาอันชอบ โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต, จัตตาริ อะริยสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ มันไม่หยุดอยู่เพียงว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มันมีมาเน้นที่ว่าเห็นอริยสัจ ๔ ปัญญาอันชอบ ไปเห็นอริยสัจ ๔ ก็คือเห็น อตัมมยตา นั่นแหละ มันเพียงลำพัง ผู้อื่นหรือภายนอก มันเป็นไสยศาสตร์ ในที่บางแห่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ตุมเหหิ กิจจัง อาตัปปัง อักขาตาโร ตะถาคะตาความเพียรเป็นสิ่งที่ท่านต้องทำเอง ตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้บอก มันก็ไม่ใช่ที่พึ่ง แต่เป็นบอกให้ทำที่พึ่งแก่ตนเอง ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งก็เป็นผู้บอกให้ทำที่พึ่งแก่ตนเอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ได้เป็นที่พึ่งโดยตรง แต่เป็นที่พึ่งให้ไปทำเอง ทำเอาเอง ทำตนเองให้เป็นที่พึ่งตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฉะนั้นขอให้มี อตัมมยตา ความแข็งโก๊กอยู่ในความถูกต้อง ความคงที่อยู่ในความถูกต้อง ช่วยจำ มันใช้ได้ตั้งแต่เด็กทารกจนถึงคนแก่เข้าโลง ขอให้ยึดหลักอันนี้ติดไปกับตัว คงที่อยู่ในความถูกต้อง เมื่อใดไม่อยู่ในความถูกต้องมันตายแน่ ๆ มันตายแน่ ๆ ที่มันอยู่ได้ไม่ตายทุกวันนี้เพราะมันมีความถูกต้องอยู่นะ เด็ก ๆ ก็ถูกต้อง เด็ก ๆ วัยรุ่นหนุ่มสาว มันมีความถูกต้องตามขั้นตอนของมันน่ะมันจึงอยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอย่างนี้ ต้นไม้ต้นไร่มันก็เป็นอย่างนี้ มันมีลักษณะแห่งความถูกต้องตามขั้นตอนของมัน แล้วมันก็เลื่อนเป็นลำดับมา สำคัญอยู่ที่ว่าทำไมมันเลื่อนได้ เพราะถ้ามันยังไม่ถูกต้องมันก็ต้องเปลี่ยนสิ ใช่ไหมลองคิดดูสิ มันไม่ถูกต้องมันก็อึดอัดคับแคบมันก็ต้องเปลี่ยน นาทีที่ 0.52.41แล้วเลื่อนไป มันก็ขึ้นชั้นใหม่สบายกว่า มันก็อยู่ เอ้า, เดี๋ยวก็มันเกิดความอึดอัด ตัวเองก็ต้องเลื่อน แม้แต่หมาน่ะ ขออภัยนะพูดหยาบ ๆ นอนตรงนี้ไม่สบายมันเลื่อนไปนอนที่ตรงนั้น นอนตรงนี้มันไม่สบายมันเลื่อนไปตรงโน้น แม้แต่หมามันยังทำเป็น มันหาทางถูกต้องของมันเรื่อย ทีนี้ขอให้ยึดคำที่ว่า คงที่อยู่ในความถูกต้อง ยังไม่ถูกต้องกูไม่เอา กูไม่เอากับมึงถ้ายังไม่ถูกต้อง มันก็เลื่อนไป เลื่อนไป อตัมมยตา คงที่อยู่ในความถูกต้องแต่มันผลักดันให้ขึ้นไปหาความถูกต้องที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
นี่เราจะต้องมีความถูกต้องคือ อตัมมยตา มิฉะนั้นก็จะไหลไปหาไสยศาสตร์ มีไสยศาสตร์เป็นที่พึ่ง มันก็ไกลไปจากพุทธศาสนา ไสยศาสตร์นี่เขาผ่านกันมามากแล้วในอินเดีย จนพระพุทธเจ้าท่านมาให้พุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์ ศาสตร์ของคนตื่น ไสยศาสตร์ ศาสตร์ของคนหลับ ต้องเปลี่ยนจากไสยศาสตร์ของคนหลับมาเป็นศาสตร์ของคนตื่น ถ้าจะแขวนพระเครื่องก็แขวนอย่างพุทธศาสตร์สิ คือมันเตือนให้รู้ว่าถูกเป็นอย่างไร ถูกต้องเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ไม่ลืมพระพุทธเจ้า ถ้าเราแขวนพระเครื่องอย่างนี้มันก็เป็นพุทธศาสตร์ แต่ถ้าแขวนเพื่อให้คุ้มครองเป็นของศักดิสิทธิ์อย่างนั้นมันก็เป็นไสยศาสตร์ พูดมากไปเดี๋ยวมันถูกด่า คุณไปคิดเอาเอง นี้เขาก็พูดกันมาก เครื่องบินตกเมื่อไรก็นึกถึงพระเครื่องทั้งนั้นน่ะ เป็นเรื่องงอก งอกออกไปทีหลังนี่ งอกออกไปจากพุทธศาสตร์ พระพุทธเจ้าพระองค์นิรันดรมาเป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล พระพุทธเจ้าอย่างบุคคล นิพพานแล้วมันก็มีพระธาตุ มีพระเจดีย์ มีต้นโพธิ์ มีพระพุทธรูป แล้วก็จากพระพุทธรูปนี่มันงอกออกไป งอกออกไปจนกลายเป็นสินค้า เป็นบุคคลที่ถูกหล่อรูปมากที่สุด ใครถูกพิมพ์รูปมากที่สุด พระเจ้าแผ่นดินน่ะเขาพิมพ์แสตมป์มากที่สุด แต่ถ้าใครถูกหล่อรูปมากที่สุด พระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เป็นเกวียน ๆ พระพุทธรูปทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ทั้งเล็ก เล็กที่สุดนี่มันนับไม่ไหว ท่านถูกหล่อรูปมากที่สุด แต่ไม่เหมือนกับรูป
ที่สุดเราขอสรุปความว่า อตัมมยตา ช่วยได้ทุกกรณี ทุกกาละ ทุกเทศะ ทุกขั้นตอน ทุกขนาด สรุปความว่าเราทำแพแตกนะ แล้วต่อมาเราพูดถึงเรื่องทำแพกันใหม่ ต่อมาเราพูดถึงเรื่องทำแพให้ดีที่สุด มี ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา เป็นลำเรือ มี อานาปานสติ เป็นเครื่องขับเคลื่อน แล้วต่อมาเราจะพูดว่ามันสร้างได้ทุกขนาดเลย และต่อมาเราพูดว่าธรรมสำหรับพระพุทธเจ้าจะไปโปรดโลก ไปโปรดโลก ทั่วโลก แห่พระ วันนี้วันสุดท้ายก็พูดเรื่องว่า อตัมมยตา เป็นสิ่งที่ต้องใช้ในทุกกรณี แม้แต่จะเรียนหนังสือ เด็ก ๆ ก็ต้องใช้เรียน ประถมมัธยม อุดมก็ต้องใช้ เรียนมหาวิทยาลัยอย่างนี้ก็ลองดูเหอะ หาจุดของความถูกต้องของเรื่องนั้น ๆ ให้พบแล้วคงที่อยู่ในความถูกต้องจนกว่าจะเต็มขนาด มันก็จะเลื่อนต่อไป นี่ฝากของที่ระลึกแก่เพื่อนสพรมจารี สหธรรมมิกทั้งหลายว่า อตัมมยตา นี่แหละพระเครื่อง พระเครื่องที่ควรจะแขวนไว้ตลอดเวลา ขอให้แขวนไว้กับจิตใจจะได้มีความถูกต้องคงที่แข็งโก๊ก นี่หวั่นไหวไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทำลายอะไรได้ ผ่าทะลุไปได้ในทุก ๆ ปัญหา ขอยุติการบรรยายเพราะความสมควรแก่เวลาและหมดแรงที่จะพูด นี่ขอยุติการบรรยาย ขะมามิ ตุมเหหิปิ เม ขะมิตัพพัง ไม่มีอะไรผูกพันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นห่วงหรือร้อนใจ
ไฟธูปที่สวยที่สุดกับรูป เวลาประมาณสามโมงเช้าไปถ่ายกับพระพุทธรูปที่โบสถ์บนภูเขาลองดูเหอะจะได้ภาพที่สวย เจอกันตอนเช้า สาย ๆ ตอนบ่ายครั้งหนึ่งแล้ว เป็นที่ระลึกการมาสวนโมกข์ ถ่ายตอนเช้า ถ่ายตอนเช้าหรือ ใช้ได้ ปัจจัยทางวัตถุไม่ใช่ปัจจัยทางวิญญาณน่ะ ปัจจัยทางวัตถุมันก็ยังสำคัญน่ะ