แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะบรรยายเรื่องความเห็นแก่ตัว คือได้พูดถึงเรื่องอายตนะเรื่องกิเลสมาพอสมควรแล้วซึ่งจะทำให้ง่ายในการที่จะเข้าใจเรื่องความเห็นแก่ตัว ในอีกทางหนึ่งเรื่องความเห็นแก่ตัวนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในฐานะเป็นบ่อเกิดแห่งความเลวร้ายความชั่ว ความเลวร้าย ความชั่ว ความเลวร้าย ความวินาศ ความอะไรทุกอย่าง ทุกอย่าง บางคนอาจจะไม่เชื่อ ก็เห็นว่าเป็นการพูดที่ง่ายเกินไป แต่ว่าความจริงแล้วมันเป็นอย่างนั้น จึงขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายไปคิดดูว่าจริงหรือไม่จริง และพูดในลักษณะที่ท้าทายคือยืนยันว่าทั้งหมดเป็นประกันว่ามันเป็นอย่างนั้น ดังนั้น จึงขอให้ทุกๆคนไปช่วยกันคิดๆดู
เพื่อความสนใจกันเต็มที่ แต่ว่าหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ อยากจะพูดว่าความเห็นแก่ตัวนั่นมันกัดตัวเอง มิหนำมันกัดผู้อื่น และพ่อแม่ลูกเมีย กระทั่งพระอรหันต์ กัดตัวเองถึงที่สุด และก็กัดผู้อื่นถึงที่สุด คือทำให้ตัวเองมีความทุกข์ทุกประการ แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น แล้วโง่ แล้วหลง แล้วเป็นบ้า จนถึงกัดลูกเมียพ่อแม่ และกัดพระอริยเจ้าพระอรหันต์ในที่สุดอย่างที่กล่าวไว้ ในเรื่องของอนันตริยกรรม มีบุคคลที่ฆ่าพระอรหันต์ได้ลงคอก็คือคนเห็นแก่ตัวนั่นแหละ ขอให้สังเกตดูว่ามันเลวร้ายเท่าไหร่ มันกัดทั้งตัวเอง กัดทั้งผู้อื่น และกัดทั้งพ่อแม่ หมามันยังไม่กัดตัวเองหรือว่ากัดพ่อแม่ หรือว่าสัตว์จะเลวร้ายป่าเถื่อนชนิดไหน มันก็ยังไม่กัดตัวเอง แม่เสือมันก็ยังไม่กัดลูกกัดเมีย แต่ว่าคนนี่ประหลาด มีความเห็นแก่ตัวถึงขนาดที่เรียกว่าดุเดือด กัดหมดเลย เป็นบ้าเลย ฆ่าตัวเอง ฆ่าลูกฆ่าเมีย ฆ่าพ่อฆ่าแม่ แล้วก็ฆ่าตัวเองตายตามไป นี่มันมีความเป็นจริงอยู่อย่างนี้ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจึงขอเอามาพูดในฐานะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดแหละ ลองๆคิดดู ในแง่โลกก็ทำลายและก็ไม่สร้างความเจริญ คือไม่เจริญในโลก ในแง่ธรรมะ จิตใจ มันก็ไม่เจริญ มันก็ทำลาย มันไม่เจริญในด้านจิตใจ ผู้เห็นแก่ตัวทางร่างกายทางวาจานี้ มันก็รักษาไว้ไม่ได้ คนถือศีล ๕ ไม่ได้เพราะเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัวก็มีปานาทินนากาเมหมดเลย ลองไม่เห็นแก่ตัวสิ มันก็ถือไว้ได้ทั้ง ๕ นี้ นี่เบื้องต้นที่สุดเรื่องศีล ๕ นี้จิตไม่เป็นสมาธิ สติปัญญาไม่ถึงขนาดสูงสุด นี่ก็เรียกว่าทางธรรมหรือทางศาสนา มันก็ทำลายหมด ไม่สร้างความเจริญ จึงพูดรวมกันเสียว่า ในด้านโลกียะ การเป็นอยู่กันในโลก มันก็เป็นข้าศึกเต็มที่ โลกุตระ ในด้านโลกุตระที่จะออกไปนอกโลกเหนือโลก มันก็เป็นข้าศึกเต็มที่ ความเห็นแก่ตัวเป็นอย่างนี้
ความมีตัวเกิดขึ้นแล้วตามอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท ที่ได้พูดแล้วในครั้งที่แล้วมา ครั้งสุดท้ายที่แล้วมา ความมีตัวชาติแห่งตัวกูของกูเกิดขึ้นมาอย่างไร พูดแล้วในเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่มันมีตัวตน มีตัวตน นั่นแหละเป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตน คำนี้มันอาจจะกำกวมสำหรับนักเรียนนักศึกษาบางคน ยึดถือในคำพูดไม่ถูกต้อง ความเห็นแก่ตัวนี่มันหมายถึงแต่ในทางเลวร้ายคือผิดพลาด ความรักตัว เคารพตัว สงวนตัว พัฒนาตัวไปในทางที่ดีที่ถูกต้องนี่แล้วเขาไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวล่ะ ภาษาไทยก็ดี ภาษาอังกฤษก็ดี เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว มันต้องด้วยความโง่ ด้วยความหลง ด้วยอวิชชา ด้วยอวิชชา จึงจะเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ดังนั้นความที่สร้างตัว พัฒนาตัว นั้นไมใช่ ไม่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว แม้ว่ามันจะมาจากความรักตัว ความรักตัวอันหนึ่งเป็นความรักตัวอย่างโง่เขลาจนไม่ใช่ความรัก มันเลยเห็นแก่ตัว รักตัวอย่างโง่เขลา มันเลยเห็นแก่ตัว รักตัวอย่างโง่เขลา อย่างหลับหูหลับตาโง่เขลาจนไม่ใช่ความรัก อันหนึ่งมันเป็นความรักที่ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องแล้วก็ทำไปอย่างถูกต้อง ก็พัฒนาตัวเองได้สำเร็จ อย่าเอาไปปนกับความรัก ความเห็นแก่ตัวนี้แยกออกมาในส่วนที่ผิดหรือเป็นกิเลส เป็นบาป เป็นอกุศล โดยส่วนเดียว ภาษาไทยก็เหมือนกัน ภาษาฝรั่งก็เหมือนกัน มันมีคำว่า Selfish ซึ่งเรียกว่าเห็นแก่ตัว แต่มันก็มีคำว่า Respect คำว่าSelf-respect นี่อีกพวกหนึ่งนะ ซึ่งรักตัว พัฒนาตัว ทำให้ตัวเจริญ นั่นมันไม่ใช่เห็นแก่ตัว ก็ถูกแล้ว ถ้ามันเห็นแก่ตัวชนิดที่ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ความผิดบาป ความเห็นแก่ตัวที่ผิดหรือบาปนี้มาจากอวิชชา มีความโง่หลงในความหมายของคำว่าตัวตนว่าของตน ส่วนพัฒนาตัวมันกลายเป็นพัฒนาจิต พัฒนาชีวิตอย่างถูกต้องโดยไม่ต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีความเห็นแก่ตัว นี้รู้จักแยกแยะให้มันเด็ดขาดออกไปเสียจากกันว่า ความเห็นแก่ตัวนั้นมีแต่ความเลวร้ายโดยส่วนเดียว โดยส่วนเดียว ถ้าจะพัฒนาตัวเพื่อไปนิพพานอย่างนี้ไม่ใช่เห็นแก่ตัว มันมีความหมายอย่างอื่น เดี๋ยวนี้มันมีความโง่เป็นตัวกู ตัวกู ตัวกู แล้วความโง่มันหนักเข้มข้นถึงตัว ในพระบาลีก็กล่าวไว้มีเค้าเงื่อนพอจะสังเกตได้อย่างนี้แหละ (นาทีที่ 10:38) ราคะลัตตา มีราคะมากขึ้น ราคะมากขึ้น มีราคะมากขึ้น จนสุดที่จะทนได้ แล้วก็ฆ่ากันอย่างนี้
สรุปความว่าความเห็นแก่ตัวนี่ฆ่าตัวเอง และฆ่าผู้อื่น แม้กระทั่งลูกเมียบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายประโยชน์หมดทั้งทางโลกและทางโลกุตระ มันจะไม่ร้ายกาจได้อย่างไร ขอให้คิดดู ควรจะคิดได้เองหรือไม่ ผมไม่ต้องอธิบายว่าความเลวร้ายที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้มาจากความเห็นแก่ตัวอย่างไร เมื่อมันเห็นแก่ตัวแล้วมันก็อาความเอาเปรียบมันก็เกิดขึ้น เมื่อผู้อื่นทำงาน มันไม่ทำงาน แต่มันก็ยังเอาแต่ประโยชน์ เมื่อชวนกันทำถนนสายที่จะเดินมาวัด จากจุดนู้นมาจุดถนนสายเก่าข้ามทุ่งนามาเพื่อขึ้นตอนบนนี้ ผมต้องออกไปทุกวันนะ ไปดูแล ไปชักจูง เกลี้ยกล่อม ให้ประชาชนนี้ให้ไปช่วยกันทำ แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันว่ากูไม่ทำ กูขอเป็นผู้เดิน กูค่อยเดิน กูค่อยเดิน มึงทำกันไปก่อน กูจะเป็นผู้เดิน ยังมี นะที่นี่ยังมี นี่ความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ยังมี ผู้เห็นแก่ตัวมันก็เอาเปรียบอย่างนี้ แล้วมันก็เกียจคร้าน เกียจคร้านมาก แล้วอิจฉาริษยา อิจฉาริษยามากขึ้น แล้วมันก็ทำลายสาธารณประโยชน์ สร้างมลภาวะอะไรมากมายมหาศาล และอีกทางหนึ่งมันก็เบียดเบียนผู้อื่น อย่างที่ว่ามันไม่อาจจะถือศีล ๕ ไว้ได้ มันก็เบียดเบียนผู้อื่น แล้วในที่สุดมันก็เป็นอันธพาล อันธพาล ความเป็นอันธพาลแก่กล้าเข้มงวดจนหลงทาง หลงทางมันเลยอันธพาลอีกไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร นั่นมันจะเป็นบ้า มันจะเป็นบ้าเพราะความเห็นแก่ตัว
ของเราก็มีคนหนึ่งในวัดนี้ เขาอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไหนแต่ไรอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี ยังเป็นเสียสติอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ เห็นแก่ตัวมันทำให้เลยเถิดจนเป็นบ้า จนเป็นเสียสติ เป็นบ้า เมื่อเป็นบ้าทีนี้ทำอย่างไร มันก็ฆ่าได้ ฆ่าลูกฆ่าเมีย ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าตัวเองตายตามไป หรือถ้าไม่อย่างนั้น มันก็ไปรวมกันอยู่ในโรงพยาบาลบ้า คนบ้าทุกคนในโรงพยาบาลบ้าไปสืบสาวดูต้นตอที่ทำให้เขาเป็นบ้าแล้วจนได้ไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า มันมาจากความเห็นแก่ตัวที่หลงทางนะ ความเห็นแก่ตัวที่เฟ้อๆๆ จนหลงทาง จนทำไรไม่ถูก จนลืมหมด ปนกันหมด ยุ่งกันหมด เสียสติเป็นบ้าไปแล้ว ความเห็นแก่ตัวจะทำให้กลับทำลายตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด ความเห็นแก่ตัวทำไมไม่ช่วยตัวให้รอด กลับทำลายความเห็นแก่ตัว กลับทำลายตัวแล้วก็ทำลายผู้อื่น แม้กระทั่งพ่อแม่ลูกเมีย น่าเศร้าที่ว่าทำยังไงก็พูดกันไม่รู้เรื่อง นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว เลยนายจ้างกับลูกจ้างแต่ไหนแต่ไรมา ดีกันไม่ได้ เข้าใจกันไม่ได้ คนจนก็เห็นแก่ตัว คนรวยก็เห็นแก่ตัว ก็เลยต้องแยกกัน
ครั้งพุทธกาลเมื่อศีลธรรมยังดีอยู่ คนจนกับคนรวยเขาไม่ได้แยกกันขนาดนี้ พึ่งพาอาศัยกัน เศรษฐีใจบุญแต่โบราณเลี้ยงทาสอย่างเอาบุญ เลี้ยงทาสเอาบุญ มันไม่ทารุณ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เหมือนนายทุนกระดาษทรัพย์สมัยปัจจุบันนี้ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว มันยังเกิดคอมมิวนิสต์ขึ้นมาในโลก เกิดขึ้นมาในโลก เป็นเรื่องของโลก เพื่อต่อสู้กับนายทุน ปัญหานี้เลยกี่สิบปีกี่ร้อยปีมาแล้ว มันก็ยังไม่สิ้นสุด ในเรื่องของกรีกโบราณมันก็เป็นเรื่องนี้เหมือนกัน เป็นเรื่องที่ว่าคนรวยกับคนจนนี้มันพูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นต้นตอของเรื่องประชาธิปไตยบ้าง อะไรบ้าง มาจากการที่เอาเปรียบกัน เอาเปรียบกัน นี้เรียกว่าเรื่องสังคม เรื่องสังคม มีสันติภาพไม่ได้ เพราะมันมีแต่ความเห็นแก่ตัว ก็มีคนอยากจะครองโลกถึงขนาดอยากจะครองโลก มันก็คือเห็นแก่ตัว ในคัมภีร์มากไปกว่านั้นว่าจะไปครองเมืองสวรรค์ด้วย พระราชาองค์หนึ่งชื่อ มัณฑาตุ ครองโลกในมนุษย์นี้ถึงที่สุดแล้วบ้าบออะไรขึ้นมา ยกกองทัพขึ้นไปแย่งสมบัติเมืองสวรรค์ของพระอินทร์ นี่เป็นเรื่องที่กล่าว เรื่องที่กล่าวมันจะจริงได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แต่มันก็มีคนที่คิดอย่างนี้ เรื่องสังคมไม่มีสันติสุข
ทีนี้เรื่องการเมืองกันบ้าง เรื่องการเมืองกันบ้าง มองในแง่การเมืองกันบ้าง คือเรามองในบุคคลแล้วทีนี้ก็มองในแง่สังคม ทีนี้มองในแง่สังคม ว่าการสังคมไม่มีสันติภาพ การเมืองถ้าเห็นแก่ตัวแล้วมันไม่เป็นการเมือง เห็นแก่ตัวแล้วมันไม่มีทางที่จะเป็นประชาธิปไตย จะออกรัฐธรรมนูญมาอย่างไร อย่างไร ถ้าคนมันเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไม่มีทางที่จะสงบราบรื่นได้ สมมติว่านะ สมมติว่าดีกว่า ถ้าประชาชนทุกคนก็เห็นแก่ตัว นี่ก็เลือกผู้แทน มันก็เลือกอย่างเห็นแก่ตัว ผู้แทนเขาจ้างให้เลือกหรือมันเลือกอย่างเห็นแก่ตัว มันก็ได้ผู้แทนที่เห็นแก่ตัวทุกคนมาประกอบกันเป็นรัฐสภา เอาสินี่ รัฐสภาผู้เห็นแก่ตัว รัฐสภาตั้งรัฐบาลมันก็มีแต่คนเห็นแก่ตัว มันก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัว มันก็เป็นข้าศึกแก่กัน ๓ ฝ่ายเลย ประชาชนผู้เห็นแก่ตัว รัฐสภาผู้เห็นแก่ตัว รัฐบาลผู้เห็นแก่ตัว เป็นข้าศึกแก่กันทั้ง ๓ ฝ่าย แล้วการเมืองจะเป็นอย่างไรล่ะ การเมืองจะเป็นอย่างไร การเมืองมันจะเป็นอย่างไร ผมให้บทนิยามการเมืองตามชอบใจผมนะ คนอื่นก็ไม่เอาด้วย เรื่องการเมืองนั่นคือการจัดสังคมให้มีสันติสุขสันติภาพโดยไม่ต้องใช้ศาสตรา โดยไม่ต้องใช้ศาสตราไปเข่นฆ่าหรือลงโทษ แล้วไม่ต้องใช้ศาสตรา จัดให้สังคมมีสันติสุขมีสันติภาพได้นั่นแหละคือการเมือง นั่นแหละคือการเมือง เต็มไปด้วยธรรมะ เต็มไปด้วยธรรมะ มันจึงทำได้ ถ้าไม่มีธรรมะทำไม่ได้หรอก การเมืองแหละตัวธรรมะแหละ อาศัยเมตตากรุณา จัดอย่างนั้นจัดอย่างนี้จนสังคมมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องเสียลูกปืนสักนัดเดียวนั่นแหละ คือการเมืองที่ถูกต้องของธรรมะ
การเศรษฐกิจ การเศรษฐกิจดูกันไปในแง่ของเศรษฐกิจก็น่าเศร้า คนติดเศรษฐกิจมันหมายถึงจะหากำไรทั้งนั้น มันไม่มีอะไร แล้วก็หาเกินขอบเขตด้วย มันจึงมีแผนการใหญ่ ลงทุนเป็นการใหญ่ มีอำนาจเงินมีเครื่องทุ่นแรง มีอะไรออกมา ผลิตสิ่งที่หลอกให้คนซื้อ ยั่วยวนให้ซื้อ ก็ร่ำรวยด้วยอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม เจ้าของอุตสาหกรรมต้องเห็นแก่ตัวนะ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันไม่ทำอย่างนั้นหรอก มันก็ผลิตสิ่งของที่หลอกคนโง่ผู้เห็นแก่ตัวให้ซื้อ คนไม่โง่ไม่เห็นแก่ตัวไม่ซื้อของเหลือเฟือ ของเกินจำเป็น เครื่องจักรผลิตออกมานั่นมีส่วนเกิน ส่วนเกินจำเป็น คนก็ซื้อหมด เพราะว่าการโฆษณามันดี มันเป็นศิลปะชั้นสูงสุด มีศาสตร์มีเทคนิคของการโฆษณาอย่างมหาศาลใหญ่โต หลอกให้คุณยายที่ขี้เหนียวซื้อตู้เย็นก็ได้ ทำได้ นี่การโฆษณามันเป็นอย่างนี้ มันมาจากผู้เห็นแก่ตัวลงทุนไปเพื่อหลอกคนโง่ที่เห็นแก่ตัวให้ซื้อหามา ยิ่งเอาไปกินไปใช้ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว การเศรษฐกิจมันกลายเป็นมีวิญญาณที่เห็นแก่ตัวเสียอย่างนี้
การพัฒนา พัฒนาอีกนั่นแหละ จะพัฒนากายหรือพัฒนาจิตมันล้มเหลวหมด เมื่อมันเห็นแก่ตัว ก็พัฒนาขึ้นมาเป็นความยุ่งยาก เป็นความเบียดเบียน เป็นอะไรอีกเหลือประมาณ พัฒนาให้รกรุงรังไปด้วยปัญหา นี่มันเพราะความเห็นแก่ตัว นี่มองดูทางศีลธรรม ในแง่ของศีลธรรมว่าสังคมไม่มีเหลือเลย ศีลธรรมไม่มีเหลือเมื่อเห็นแก่ตัว นี่ว่าในแง่ของสังคม
เราจะมองกันที่การสังคมก็ดี มองกันที่การเมืองก็ดี มองที่แง่เศรษฐกิจก็ดี แง่พัฒนาก็ดี แง่ศีลธรรมก็ดี ของสังคมนั้นๆแล้วก็ใจหาย เป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว สร้างปัญหายุ่งยากลำบาก สร้างความอิจฉาริษยาอาฆาตโกรธแค้นเบียดเบียนกันไม่มีที่สิ้นสุด เลยเป็นสังคมอะไร เป็นสังคมที่ยิ่งกว่าผีบ้ากระมัง ผีมันยังไม่เบียดเบียนกันถึงขนาดนี้ นี่สังคมของคนที่เห็นแก่ตัวนี่มันเบียดเบียนกันยิ่งกว่าอะไรหมด ทางสังคมมันเสียหมด เช่นเดียวกับทางบุคคล บุคคลมันเสียไป เป็นบุคคลก็กัดตัวเอง กัดผู้อื่น กัดไม่เลือกนี่ ทางบุคคลมันเป็นอย่างนี้ และทางสังคมมันก็เสียไปหมด ไม่ว่าในแง่การเมือง การเศรษฐกิจ การพัฒนาอะไรมันก็ไม่สำเร็จเป็นความสงบสุข เยือกเย็น เป็นสันติภาพ มันมีแต่ความเร่าร้อน มีแต่ความยุ่งยาก เป็นปัญหา ไม่มีที่สิ้นสุด คุณดูเอาเองจะเห็นว่า มันยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที สังคมของผู้เห็นแก่ตัว มันจะเอาระบบการเมืองไหนมาใช้มันก็ไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จ ถ้ามันเห็นแก่ตัว มันต้องเป็นระบบการเมืองของผู้ไม่เห็นแก่ตัว
ผมเสนอโง่ๆไว้อย่างว่ามี “ธัมมิกสังคมนิยม” คือสังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะ ด้วยธรรมะ เขาก็ไม่เอา เพราะเขาเกลียดธรรมะ “ธัมมิกะ” แปลว่าประกอบโดยธรรม “สังคมนิยม” แปลว่า เห็นสังคมเป็นใหญ่ อย่าเห็นบุคคลเป็นใหญ่ เพราะว่ามนุษย์นี้ต้องอยู่กันเป็นสังคม ธรรมชาติไม่ได้สร้างมนุษย์เพื่อมาอยู่คนเดียวๆนี่ จะเรียกพระเจ้าสร้างก็ตามใจ สร้างมาอยู่กันมากๆ ระบบการปกครองต้องเห็นแก่สังคมเดี๋ยวนี้มันไม่ประกอบไปด้วยธรรม มันลำเอียง มันแย่งชิง มันเอาเปรียบกัน มันไม่มีธรรม ต้องเอามีธรรม ธรรมะเข้ามา เรียกว่า ธัมมิกะ ธัมมิกะ แปลว่าประกอบโดยธรรม รวมกันเรียกว่า ธัมมิกสังคมนิยม Dhammic Socialism ได้ยินว่ามีคนแปลเป็นภาษาต่างประเทศ ๒-๓ ภาษาสนใจกันอยู่เหมือนกัน เรื่อง Dhammic Socialism นี่ขอฝากไว้เป็นความคิดว่าธรรมะต้องเข้ามา ธรรมะต้องเข้ามาเป็นหลักของสังคม เช่นเดียวกับที่ว่าต้องเป็นหลักของบุคคล
ทีนี้ดูกันทั้งโลกดีกว่า ดูที่บุคคล แล้วก็ดูที่สังคม เป็นประเทศ กลุ่มประเทศ เป็นต้น ทีนี้มาดูโลกกันดีกว่า เดี๋ยวนี้โลกกำลังเต็มไปด้วยวิกฤตกาล มีแต่ตบตาหลอกๆว่าสันติภาพ สันติภาพซึ่งเป็นเพียงคำพูด เบื้องหลังคำพูดมีแต่วิกฤตกาลเลวร้ายทั่วไปทั้งโลก เบียดเบียนกันซึ่งหน้ารบกันด้วยอาวุธ เบียดเบียนกันลับหลังด้วยสังคมเย็นเพื่อกลอุบายนานาต่างๆ ต่างๆนานา สารพัดอย่างทางใต้ดิน เรียกว่าอยู่ใต้ดิน คือไม่ให้เห็น ซ่อนไว้ก็เพื่อทำร้ายผู้อื่น มีแผนการไกลๆๆๆๆ นี่โลกกำลังมีลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าหาความรักผู้อื่น มาทำยาหยอดตาสักหยดหนึ่งก็ไม่ได้ พูดอย่างนี้บ้าหรือดีคุณไปคำนวณเอาเอง ว่าในโลกนี้คุณจะหาความรู้สึกรักผู้อื่นมาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้ มันมีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวไปทุกๆชาติ ทุกภาษา ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าส่วนบุคคล ส่วนบุคคลนั้น มันยังกัดได้แม้แต่ลูกเมียบิดามารดา ส่วนบุคคลมันยังฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าบิดามารดา มันไม่ได้รักผู้อื่น ในโลกนี้มันไม่มีความรักผู้อื่น บูชาประโยชน์ จนเรียกว่าตาบอด เห็นแก่ตัวเองจนตาบอด ไม่เห็นอะไรนอกจากนั้น ไม่เห็นอะไร มันก็ไม่รักผู้อื่น มันก็มีความรักกันแต่ปากสำหรับหลอกลวงกันทำอะไรไปอย่างนั้นอย่างนี้ โดยแท้จริงไม่เคยสำเร็จประโยชน์ สันติภาพในโลกมันไม่มีขึ้นมาได้ แม้ว่าจะมีองค์การโลก องค์การโลกไม่รู้กี่องค์การแล้วมันก็ไม่มีความรักกันขึ้นมาได้ มันเป็นเพียงการหาโอกาส เอาเปรียบที่มันจะไปคบกันบ้างไปสังคมกันบ้าง เพื่อมันจะเอาประโยชน์ต่างหาก ไม่ใช่เพื่อความรัก เช่นว่าจะคบกัน แล้วทำฆ่า ไปรบลาฆ่าฟันปราบอีกพวกหนึ่งเอาประโยชน์มาแบ่งกันอย่างนี้ มันไม่ใช่ความรักผู้อื่น นี่มันมีแต่วิกฤตกาล วิกฤตกาลแปลว่าความเลวร้าย ความสงบไม่มี มีแต่ความเลวร้าย
โลกตรงไหนจุดไหน ที่ตรงไหนที่มีความรัก เมตตากรุณา หรือรักผู้อื่นที่เป็นระหว่างชาติละก็ได้หายาก มันเหลืออยู่แต่ในบุคคลที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะเท่านั้นแหละ ในบุคคลที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะเท่านั้นที่เราจะหาพบว่ารักผู้อื่น มันเป็นเรื่องของบุคคล มันเป็นเรื่องของบิดามารดา ลูกหลานเหลนนี่มันก็พอจะหาได้ว่ามันมีความรักเมื่อมันยังปกติดีอยู่ แต่พอเกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมา ก็เอาอีกละ ลูกก็ฆ่าพ่อแม่ได้ พ่อแม่มันก็เอาลูกไปทิ้งให้ตายได้ เพราะว่ามันมีความเห็นแก่ตัวจนเป็นบ้าไป ที่ไหนไม่มีความเห็นแก่ตัว ที่นั่นมีความรักผู้อื่น รักความถูกต้อง ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปอย่างถูกต้อง ดังนั้น มันก็หาได้ในบุคคลที่มีธรรมะเท่านั้น บุคคลมีธรรมะได้ไม่ยากนะ แต่ว่าสังคมจะมีธรรมะนี่มันยาก ให้ทั้งสังคมทั้งประเทศจะมีธรรมะนี่มันยาก มันยิ่งยากขึ้นไป
เดี๋ยวนี้เขามีระบบการปกครองถึงน่าหัวที่สุดเลย ประชาธิปไตยให้มีฝ่ายค้าน ให้ฝ่ายค้านหาเหตุผลหากำลังหาอะไรมาโค่นล้มรัฐบาลเท่าไรก็ได้ สร้างรัฐบาลมาและสร้างฝ่ายค้านขึ้นมาโค่นล้มให้มันหมดไป แล้วก็ผลัดกันเป็น แล้วมันจะเอาสันติสุขสันติภาพมาจากไหน ผมว่าระบบประชาธิปไตยแบบนี้คงผีหัวเราะ พวกผีหัวเราะ พวกคนป่า คนป่าก็ไม่รู้หัวเราะ ประชาธิปไตยเจริญอย่างนี้ มันมีวิกฤตกาลหยุมหยิมๆไปหมดระหว่างประชาชนกับนักการเมืองกับรัฐบาล นี่เรียกว่ามันตรงกันข้ามจากโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ เข้าใจว่าทุกคนเคยได้ยินคำนี้ แต่ถ้าเกิดทีหลังเกินไปก็อาจจะไม่ได้ยินก็ได้โลกพระศรีอารย์ โลกพระศรีอริยเมตไตรย์ บางทีเคยได้ยินแต่ชื่อแล้วไม่รู้ว่าอะไร เป็นโลกพระศรีอารย์ เดี๋ยวนี้พวกนักการเมืองยืมมาใช้ว่าเป็นพระศรีอารย์แย่ พระศรีอารย์แย่ ละก็เรียกว่าพระศรีอ่าน คืออ่านแย่
แต่พระศรีอารย์ พระศรีอริยเมตไตรย์ของเขานู้นแต่โบราณนู้น จุดสูงสุดๆของความสงบสุขของความเจริญ และหวังกันอยู่ทุกชาติทุกภาษาว่ามีโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ที่ทำให้มีขึ้นมาได้ หรือว่ากำลังรอคอยอยู่ ในอินเดียนี่ก็มีลัทธิรอคอยพระศรีอริยเมตไตรย์ ในพระพุทธศาสนาเราก็ว่าอย่างนั้นว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ครบ ๕ จะเป็นพระศรีอริยเมตไตรย์ จะมาเกิดในกาลข้างหน้า หลังจากมิกสัญญีเสร็จไปแล้ว พวกฮินดูเขาก็มีพระศรีอารย์เป็นปางที่ ๑๐ ของพระนารายณ์ ปางที่ ๙ เป็นพระพุทธเจ้านะ มันตีเปรียบ มันได้เปรียบ มันเอาเปรียบตีกินขนาดนี้ แล้วก็จะมีปางที่ ๑๐ ของพระนารายณ์ เรียกว่า “กัลกิยาวตาร” กัลกี กัลกีขี่ม้าขาวมา จัดการบ้านเมืองโลกนี้สำเร็จเป็นตามความประสงค์สูงสุดในทางสันติภาพ พวกฮินดูเขาก็หวังกัลกิยาวตาร พวกยิวพวกฝ่ายนู้นไปก็เหมือนกัน เขาก็หวังที่จะมี “เมสไซยาห์” เมสไซยาห์มาทำให้โลกสงบสุข พระเยซูเกิดมาถือว่าเป็นเมสไซยาห์ พวกยิวมันก็ไม่ยอม เลยจับไปฆ่าเสียแล้วก็หวังเมสไซยาห์อาจจะมาข้างหน้านี้ นี่แสดงว่ามันหวังกันอยู่ข้างหน้าทุกๆๆๆๆชาติทุกภาษาว่า จะมีศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ จนพวกคอมมิวนิสต์ก็สวมรอย พวกคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นมาใหม่ๆ เขาก็อ้างว่าเขาจะจัดโลกให้เป็นโลกพระศรีอารย์ คอมมิวนิสต์นี้เอาคำนี้ไปใช้ โดยลัทธิคอมมิวนิสต์จะจัดโลกนี้ให้เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ แล้วก็ดู จนเดี๋ยวนี้มันมีโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ของคอมมิวนิสต์หรือไม่ คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว จะมีโลกพระศรีอารย์ของคนเห็นแก่ตัวเป็นไปไม่ได้ นี่คอมมิวนิสต์ ก็จะอ้างว่ามีโลกพระศรีอริยเมตไตรย์
นี่โลกศรีอริยเมตไตรย์ตามตัวหนังสือ เอาตามตัวหนังสือ “ศรี” ก็แปลว่าสูงสุด สง่าผ่าเผย “อาริยะ” ก็แปลว่าเป็นอารยะ เป็นอริยะนะ “เมตไตรยะ” ก็แปลว่าประกอบอยู่ด้วยมิตรภาพ เมตตะ มิตตะ มิตตะเป็นเมตตะ เป็นเมตไตรยะ เกื้อกูลหรือประกอบอยู่ด้วยมิตรด้วยความเป็นมิตร เมตไตรยะ ศรีอาริยะ เมตไตรยะ มีความเกื้อกูล แก่ความเป็นมิตร หรือมีความเป็นมิตรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวถึงที่สุด สูงสุด สูงสุดเป็นศรี เป็นอารยะ ผมก็เคยอ่านเรื่องราวของโลกพระศรีอารย์มาบ้างเหมือนกันว่า มันเป็นอย่างนั้นแหละ คือสูงสุดของมิตรภาพ แล้วก็เติมความสะดวกสบาย สะดวกสบาย เข้าไปอย่างเป็นปาฏิหาริย์ มันเป็นความคิดของคนสมัยโบราณที่มันยังไม่รู้เรื่องเครื่องจักรเครื่องกล ไม่มีเรือบิน ไม่มีรถยนต์ มันก็ต้องพูดอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีความสะดวกสบายอย่างนั้น คล้ายๆกับว่าครั้งหนึ่ง แม่น้ำข้างหนึ่งไหลขึ้น แม่น้ำข้างหนึ่งไหลลง คนก็ไม่ต้องแจวเรือ เรือไหลไปตามน้ำก็สบายอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราทำได้ เราทำได้ ไปบนฟ้าก็ได้ มันยิ่งกว่าที่คนโบราณเขาหวังไว้เสียอีก มี(นาทีที่ 37:42) กัลปะ กัลปะ ดรุมะ หรือ กัลปะ พฤกษะ เป็นกัลปพฤกษ์ ใครต้องการไรไปเอาที่นั่นได้ ไปเบิกเอาที่นั่นได้ คล้ายกับว่าเป็นกรมสงเคราะห์สวัสดิการสังคมจัดดีที่สุด ใครต้องการอะไร เท่าไร ที่ไหน เบิกเอาได้ มีต้นกัลปพฤกษ์ แต่ว่าที่น่าสนใจที่สุดก็คือความรัก ความเมตตา ไม่มีศัตรู ไม่มีศัตรู มีแต่มิตร มีแต่มิตร เพราะว่าลงมาจากเรือน เดินลงมาจากเรือนของตัวเองมาสู่ท้องถนน จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ใครเป็นใคร มีแต่มิตร มีแต่มิตร มีแต่คนชูมือว่าให้ช่วยอะไร ให้ช่วยอะไร ต้องการอะไร จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มีแต่มิตร ไม่มีศัตรู เหมือนกันไปเสียหมด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตรเหมือนกันไปหมด จนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร แต่ว่ากลับไปถึงบ้านเรือนของตัวเข้าขึ้นบ้านบน ขึ้นบนนี่ โอ้นี่บ้านของเรา นี่ลูกของเรา นี่เมียของเรา นี่ผัวของเรานี่ จึงจะจำได้ขึ้นมา ถ้าออกไปสู่ท้องถนนละมันเลยเหมือนกันไปเสียหมด จนไม่รู้ว่าใคร ไม่มีใครเป็นศัตรู มีแต่มิตรทั้งนั้น มีแต่มิตรที่คอยช่วยเหลือ มีแต่สายตาที่คอยช่วยเหลือ มีมือที่คอยช่วยเหลือ มีอะไร นี่จะหาได้อย่างไรในโลกที่มีความเห็นแก่ตัวหนาขึ้นๆ โลกปัจจุบันมันเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ ไม่ใช่คงที่ ไม่ใช่คงที่ แล้วก็ลงไม่มีหวัง ถ้ายังมีการศึกษาอย่างนี้ มีการจัดฝ่ายปกครองอย่างนี้ อย่างนี้มันไม่ลด มันมีแต่มากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ มันยิ่งไกลๆๆๆ โลกพระศรีอาริยเมตไตรย์ นี่เอามาเปรียบเทียบกันดูว่าไอ้โลกพระศรีอาริยเมตไตรย์กับโลกของคนที่เห็นแก่ตัวต่างกันอย่างไร มันต่างกันอย่างไร
เดี๋ยวนี้เรามีการศึกษา ศึกษาก้าวหน้าสูงสุดเหลือประมาณการศึกษา แล้วมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ นี่ไม่แก้ปัญหาข้อนี้ได้ มีการศึกษาวิเศษเหลือประมาณ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา มหาวิทยาลัยเต็มไปทั้งโลก มันก็ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ มีเครื่องใช้เครื่องอุปกรณ์อันวิเศษ มีวิทยุมีคอมพิวเตอร์ มีอะไรสารพัดอย่าง มียานอวกาศ มีกำลังปรมาณูไปโลกพระจันทร์ไปโลกไหนก็ได้ แล้วมันก็ไม่มีสันติภาพ จะเอาอย่างไร มันจึงเลวร้ายไปกว่าที่ยังไม่ได้เจริญถึงขนาดนี้ มันก็พร้อมที่จะเบียดเบียนกันเรื่อยไป รบกันในโลกนี้ไม่พอ ก็เตรียมไปรบกันในโลกพระจันทร์ ในโลกพระอังคาร ในอนาคตต่อไปข้างหน้า ไม่ได้มีความคิดว่าจะเป็นมิตรสหายกันที่โลกพระจันทร์ โลกพระอังคาร มีแต่จะทำลายล้างกันอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุด นี่มันเลวร้ายเท่าไรจนไม่มีคำที่จะพูด ผมบางทีอารมณ์มันเดือดขึ้นมา มันก็พูดตรงๆอย่างนี้ แม้จะพูดทางวิทยุก็เคย มันเตรียมไปกัดกันในโลกพระจันทร์ โลกพระอังคาร กัดกันในโลกนี้ไม่พอ เตรียมกันสำหรับไปกัดกันในโลกพระจันทร์ ความเจริญทางวัตถุประดิษฐกรรมอันวิเศษ มันไม่เคยเอามาใช้ ไม่ได้เอามาใช้เพื่อสันติภาพ อย่างวิทยุแสนจะดีมันก็เป็นใช้เครื่องมือของการรบการสงคราม การอะไรนี้นะ อย่างคอมพิวเตอร์แล้วมันเอามาใช้เพื่อหาวิธีเอาเปรียบคนอื่นๆ ไม่มีใครซื้อคอมพิวเตอร์มาค้นหาวิธีสันติภาพในโลก คุณลองไปคิดดูจริงหรือไม่จริงว่าคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือวิเศษแสนจะวิเศษ วิเศษ แต่มันเอามาใช้เพื่อหาวิธีเอาเปรียบคนอื่น ไม่ได้เอามาใช้เพื่อหาสันติภาพ สันติภาพ มันจะมีไปทำไม เครื่องวิเศษๆคมนาคม เรือบินบินเร็วกว่าเสียงอะไร มันก็เพื่อสงคราม ไม่ใช่เพื่อสันติภาพ การคมนาคมแสนจะวิเศษ แต่ว่ามันเพื่อกิเลสเอา ไปเที่ยวว่ากามารมณ์ แล้วก็เป็นโอกาสแก่พวกอันธพาลจะได้ประกอบโจรกรรมได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น เมื่อเครื่องคมนาคมมันดีนี่ มันเล่นตลกกันเสียอย่างนี้ ความเจริญมหาศาลที่มันสร้างกันขึ้นมาในโลก มันไม่ถูกใช้เพื่อสันติภาพๆ มันใช้เป็นอุปกรณ์ของการเบียดเบียนไปเสียทั้งนั้นนะ นี่เรียกว่าโลก โลกมันไม่มีความสันติภาพ จะไปเทียบกับโลกของพระศรีอริยเมตไตรย์ได้อย่างไร เครื่องวิทยุรัฐบาลหวังว่าประชาชนจะฟังข่าว แต่ส่วนใหญ่ไปฟังเพลง ไม่มีใครฟังข่าว มันปิดข่าวฟังเพลง มีชาวนาสาวๆเอาวิทยุแขวนคอเกี่ยวข้าวไปพลางนะ ไม่ได้ฟังข่าวหรอก ฟังเพลง ฟังเพลง เอาวิทยุแขวนคอไปเกี่ยวข้าวในนา แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีเพลงมากขึ้น มีเพลงมากขึ้น แม้จะเป็นเรื่องข่าวเขาก็มีเพลงประกอบ หัวก็เพลง ตรงกลางก็เพลง ตรงท้ายก็เพลง เรียกว่าข่าว มันเป็นอย่างนี้ แล้วจิตใจมันจะมีธรรมะอย่างไร
ทีนี้มาดูที่การศึกษา การศึกษา มันฉลาดๆๆๆๆ จนไม่มีคำจะพูด แต่แล้วก็ไม่มีอะไรมาควบคุมไว้ว่าอย่าเอาความฉลาดไปใช้ในการทำลายผู้อื่น เมื่อมนุษย์ยังมีศีลธรรมดีอยู่ มันมีศีลธรรมประจำ ประจำบ้านเรือน ประจำสังคมนี่ ศีลธรรมนี่มันควมคุมความฉลาด ไม่ต้องมีการศึกษามากนัก ไม่ฉลาดมากนัก แต่มันอยู่ในร่องในรอย มันมีศีลธรรมประจำบ้านเรือนควบคุมความฉลาด ทีนี้ไม่มี เดี๋ยวนี้ไม่มี คนฉลาดเท่าไรก็ฉลาด ฉลาด ฉลาด เอาไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ไม่มีไรควบคุมความฉลาด ผมพูดว่าการศึกษาหมาหางด้วน มีคนเขาโกรธผมด่าผมเยอะแยะไป พวกที่เขาว่าจัดการศึกษาดีแล้ว เราว่าการศึกษาหมาหางด้วน มีแต่ทำให้ฉลาด ฉลาด ฉลาด แล้วก็ฉลาดในการเอาเปรียบผู้อื่น คือเห็นแก่ตัว โลกนี้มันก็ไม่มีสันติภาพ มันก็ไม่มีสันติภาพ
ศีลธรรม ศีลธรรมไม่รู้อยู่ที่ไหน เมื่อมันมีความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็ไม่ต้องพูดแล้วเรื่องศีลธรรม เพราะว่าศีลธรรมมันอยู่กับคนไม่เห็นแก่ตัว พอมีเห็นแก่ตัว ศีลธรรมก็หนีหมด มันจึงหามาทำยาหยอดตา ยาก ศีลธรรมในโลกปัจจุบันของผู้มีความเห็นแก่ตัว รายละเอียดอย่างอื่นไปดูเอาเองนะ มันไม่ลึกลับอะไร ก็จะมองเห็นว่าความไม่มีศีลธรรมนั้นมันมากขึ้นอย่างไร มากขึ้นอย่างไร ข่าวเลวร้าย ความคดโกง เห็นแก่ตัวมากขึ้นอย่างไร มันมีวี่แววขึ้นมา ถ้าพวกหมอเห็นแก่ตัวมากขึ้น คนก็ตายหมด พวกหมอมันหาโอกาสขูดรีดคนเจ็บ ผู้พิพากษาตุลาการเห็นแก่ตัว มันก็วินาศหมด ใครที่มีหน้าที่ทำอย่างไรมันก็เห็นแก่ตัวหมด จนพ่อค้าเห็นแก่ตัว ก็ขูดรีดๆๆ ครูบาอาจารย์เห็นแก่ตัววินาศหมดเลย มันทำนาบนหลังลูกศิษย์ ผัวเห็นแก่ตัว เมียมันก็แย่ เมียเห็นแก่ตัว ผัวมันก็แย่ บุตรหลานเห็นแก่ตัวพ่อแม่ก็แย่ พ่อแม่เห็นแก่ตัวบุตรหลานมันก็แย่ ไปดูกันอย่างนี้ว่ามันกำลังจะเป็นอย่างไร
ไม่มีจุดสุดท้ายเป็นเรื่องของพระศาสนา เพราะมันเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น ถ้ามันเป็นเรื่องของพระศาสนา มันก็จะจบลงด้วยชีวิตสงบเย็นและเป็นประโยชน์ ๒ คำนี้ ยาวคำเดียว ชีวิตสงบเย็นนี้คำหนึ่ง และก็เป็นประโยชน์ ชีวิตสงบเย็นนี่ไม่กัดเจ้าของ ไม่กัดใคร หมดนี่ชีวิต สงบเย็น สงบเย็น ร่มเย็นตามธรรมดาสามัญเรียกว่า “นิพพุติ” นิพพุติ ถ้าถึงที่สุดของความหมดกิเลสก็เรียกว่า นิพพาน พิพพาน นิพพานถ้านิพพานในโลก นิพพานอย่างชาวบ้านนี่ก็เรียกว่า นิพพุติ คืออยู่กันอย่างมีศีลธรรม สงบ ร่มเย็นดี มีความสงบเย็น สงบเย็น แล้วก็ไม่สงบเย็นอยู่เฉยๆ ไม่เป็นหมัน มีแต่ทำประโยชน์ ทำประโยชน์ ทำประโยชน์ ทุกคนทำประโยชน์ เมื่อตัวเองมีความสงบเย็นแล้วก็ทำประโยชน์ ทำประโยชน์ นี่ขอฝากไว้เป็นคู่กันว่า สงบเย็นและก็เป็นประโยชน์
สงบเย็นนั่นคือ ไม่มีไฟ ไม่มีกิเกส เรียกว่า “นิพพาน” เรียกว่านิพพาน ไว้พูดกันวันหลังเถิด เรื่องนิพพานมันยืดยาว แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีความสงบเย็น ระดับนิพพุติ ก็เอาสันติภาพธรรมดานี้ ระดับพระนิพพานก็ยิ่งดี ขอให้มีความสงบเย็น ความสงบเย็นนี่มันหมายถึงเสรีภาพ หมายถึง ความไม่มีปัญหา ทุกอย่างทุกประการ และก็มีแต่การทำประโยชน์แก่กันและกัน เพราะมันไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามันเห็นแก่ตัวมันก็โกยเรื่อยไม่หยุด ไม่คิดจะทำประโยชน์แก่ใคร เฉพาะไม่เห็นแก่ตัว มันไม่รู้จะทำอะไร ไปทำอะไรเข้ามันก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ผู้ไม่เห็นแก่ตัวไปทำไรเข้าก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วก็ขอให้ช่วยจำกันไว้ตลอดชีวิตนะ สงบเย็นและก็เป็นประโยชน์ ขอให้มากขึ้นๆๆจนตลอดชีวิต
ในที่สุดไม่มีปัญหาทางบุคคล คือ บุคคลสงบเย็น ไม่มีปัญหาทางสังคม คือสังคมมันสงบเย็น แล้วมันไม่มีปัญหาทางโลก ทั้งโลกๆๆ ทั้งจักรวาล มันสงบเย็น ระดับบุคคล แต่ละบุคคลก็สงบเย็น ระดับสังคมเป็นหมู่ใหญ่ๆ ก็สงบเย็น ระดับโลกทั้งโลกมันก็สงบเย็น แล้วหมดปัญหานี้ เรียกว่ามันหมดปัญหาเพราะความไม่เห็นแก่ตัว ถ้ายังมีความเห็นแก่ตัว ก็มีความร้อนแทนแล้วก็ความเบียดเบียนกัน ทำลายกัน อิจฉาริษยา แย่งชิงกัน และสร้างปัญหาที่ไม่เคยมี ความเห็นแก่ตัวสร้างปัญหาที่ไม่เคยมี ปัญหามลภาวะแต่ก่อนไม่เคยมี มันก็เพิ่งมี ปัญหายาเสพติดไม่เคยมี มันก็มี ปัญหาโรคเอดส์โรคแอด โรคอะไรก็ไม่รู้ มันที่ไม่เคยมี มันก็มี มีสิ่งที่ไม่เคยมี เลวร้ายที่ไม่เคยมี มันก็มีๆๆๆเพิ่มขึ้นมา เพราะว่ามันมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ จนไม่รู้จะเห็นเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสนุกสนาน เพลิดเพลินอร่อยทางเนื้อทางหนังทางกามารมณ์ สร้างความเลวร้ายเหลือประมาณทุกๆแขนง ทุกแขนง สร้างขึ้นมา
เอาละเป็นอันว่า คอยมองเห็นเป็นจุดสุดท้ายว่าทุกๆศาสนาต้องการจะกำจัดความเห็นแก่ตัวมาแต่เดิมเรื่องแรกทั้งนั้น แต่แล้วคนมันก็ไม่ถือศาสนา มันถือแต่ปาก ปากมันว่าถือศาสนานั้นศาสนานี้ แต่จิตใจมันถือศาสนาได้ ศาสนาตัวกู ศาสนาประโยชน์ ประโยชน์ ประโยชน์ มันเป็นศาสนา ปากถือพุทธศาสนา แต่จิตใจถือศาสนาเงิน หรือถือศาสนาประโยชน์ ศาสนาอื่นๆ ก็เหมือนกัน เรื่องที่น่าฟังก็ว่า คุณชำนาญเขามีเพื่อนเป็นญี่ปุ่น เขาถามกันอย่างตรงไปตรงมาด้วยหวังดีนะ ไม่ใช่ว่าใช่ว่าจะมีเจตนาร้ายนะ ไม่ใช่ คล้ายๆกับรู้ว่าญี่ปุ่นก็มีพุทธศาสนา มีศาสนาชินโต มีศาสนาอะไรหลายๆศาสนาเหมือนกัน คุณชำนาญก็มีเพื่อนญี่ปุ่น สนิทสนมกันดี แล้ววันหนึ่งเขาถามว่า คุณถือศาสนาอะไร เพื่อนคนนั้นตอบว่า ถือศาสนาฮิตาชิ หงายหลังเลย คุณชำนาญหงายหลังเลย ถือศาสนาฮิตาชิ เขาทำงานบริษัทฮิตาชิ เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อบริษัทฮิตาชิ เขาได้รับประโยชน์จากฮิตาชิ เขาก็ต้องถือศาสนาฮิตาชิ คนถามที่ถามก็ด้วยเจตนาดี จะหาความรู้ทางศาสนา ได้รับคำตอบอย่างนี้ ก็พอจะเห็นได้ว่าโลกนี้กำลังเป็นอย่างไร โลกนี้กำลังเป็นอย่างไร
มันยาก มันยากที่ว่า มันตกเป็นทาสของกิเลส อยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้วมันก็ถือศาสนาอื่นไม่ได้แล้ว ถือศาสนากิเลสโดยแท้จริง ปากมันก็ว่าถือศาสนาอะไร แต่ใจมันถือศาสนากิเลส ตามที่กิเลสมันต้องการระวังให้ดี ศีล ๕ ก็ถือไว้ไม่ได้ เป็นพระเป็นเณรแล้วก็ยังมีเรื่องกามารมณ์ มีเรื่องขโมย มีเรื่องอะไรสารพัดอย่างถือไว้ไม่ได้ เพราะว่าในใจมันถือศาสนากิเลส ปากมันถือศาสนานั่นนี่ ทุกศาสนากำลังเป็นหมันนะ พูดอย่างนี่ มันก็ไม่แคล้วจะถูกด่า ด่าก็ด่าไป ผมไม่กลัวเดี๋ยวนี้ใครจะด่า ศาสนากำลังเป็นหมัน คือ ลูกบริษัทไปถือศาสนาเห็นแก่ตัวไปหมด ศาสนาเหลือแต่ชื่อ เหลือแต่ชื่อ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ อะไรก็แล้วแต่ มันเหลือแต่ชื่อ คนไปถือศาสนาเงินกันหมด ถือศาสนากิเลสกันหมดเพราะความเห็นแก่ตัวตัวเดียว ตัวเดียว
เอาละแปลว่าสรุปความว่า ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งเลวร้าย เลวร้ายจนไม่มีคำจะพูด พูดกันสักกี่เดือนกี่ปีมันก็ไม่จบเรื่องโทษของความเห็นแก่ตัว ขอให้เห็นอย่างนี้แล้วเกลียดกลัวให้ถึงที่สุด เกลียดกลัวให้มันถึงที่สุดนะ เสียสละอย่าไปเอากับมันเลย รักษาความไม่เห็นแก่ตัว รักษาความถูกต้อง ความสงบเย็น เป็นสันติสุข เป็นสันติภาพ สงบเย็นและก็มีประโยชน์กันไปตามหลักของพระธรรม นี่วันนี้เราพูดเรื่องความเห็นแก่ตัว มันมีรายละเอียดอย่างนี้ แล้วเวลาก็หมดนะ ขอให้เอาไปคิดไปนึกให้มันสมกับที่มันเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องทั้งหมดของทุกเรื่องนะ ควบคุมให้ได้ ควบคุมให้ได้ แล้วก็ค่อยๆละไป ค่อยๆละไป แล้วก็จะมีความสงบเย็น แล้วเป็นประโยชน์ได้โดยไม่ต้องสงสัย ขอยุติการบรรยาย