แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ อาตมาจะได้วิสัชชนาในพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าว หน้า ตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายจนกว่าจะยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้ ปรารภวิสาขบูชา คือ การที่เรามาประชุมกัน ประกอบพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นที่ระลึกแก่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในความหมายแห่งการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ท่านทั้งหลายก็เคยมากันแล้วหลายครั้งหลายหน มาจากที่ไกล และข้อนี้ยังสงสัยอยู่ว่า ได้รับประโยชน์คุ้มกันสักเท่าไหร่ คุ้มกันหรือไม่คุ้ม ถ้าคุ้มจะคุ้มกันสักเท่าไหร่ ยังเป็นสิ่งที่จะต้องใคร่ครวญ จะต้องสอบสวนดูให้ดีๆ ถ้าว่าการกระทำสิ่งใด ได้ผลไม่คุ้มค่าเวลา หรือค่าลงทุนต่างๆ แล้วก็เรียกว่าใช้ไม่ได้ ตามหลักของธรรมะ ก็ใช้ไม่ได้
สมมุติว่าเสมือนหนึ่ง ยมบาลเขาจะต่อว่าเอา ว่าทำอะไรไม่คุ้มค่าเวลา ที่พูดอย่างนี้ก็พอจะเข้า ใจกันได้ ขอเพียงแต่ให้ท่านทั้งหลาย พยายามกระทำให้ได้รับผลดีที่สุดให้คุ้มค่าของเวลา มาจากที่ไกล กรุงเทพฯ ก็มี สุดเหนือ สุดใต้ อีสานก็มี ขอให้คิดดูให้ดีๆ เสียเวลาก็มาก เสียเงินก็มาก เหน็ดเหนื่อยก็มาก ล้วนแต่เป็นการลงทุนทั้งนั้น ที่จะต้องให้มันได้รับผลคุ้มค่า จึงจะเกิดความรู้สึกปีติ ปราโมทย์ พอใจ ถ้ามันไม่ได้ผลคุ้มค่า ก็เรียกว่ายังน่าสงสาร ยังน่าเวทนาสงสารอยู่นั่นเอง อ้า, เพราะว่าความเป็นพุทธบริษัทมันไม่ก้าวหน้า หรือจะเรียกว่ามันตายด้าน ซ้ำรอยอยู่ในที่เดียวกันทุกปี ทุกปี ขอให้สนใจคำพูดนี้ อย่ารู้สึกว่าเป็นคำพูดเล่นๆ พูดไปตามสะดวก ข้อที่เป็นห่วงนี้ มันมีความหมาย มีความสำคัญ ถึงกับว่ามันคุ้มกับความเป็นพุทธบริษัท หรือมันไม่คุ้มกับความเป็นพุทธบริษัท
หัวข้อแห่งธรรมเทศนาในวันนี้ มีว่า ธรรมะทีปา เอ้อ, อัตตทีปา อัตตสรณา จงมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ธรรมะทีปา ธรรมะสรณา มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ อนัญญสรณา อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เดี๋ยวนี้มีพระธรรม หรือมีตนเป็นที่พึ่งกันได้แล้วหรือยัง ถ้ายังต้องมีสิ่งอื่นหรือผู้อื่นเป็นที่พึ่ง มันยังไม่คุ้มกัน มันจะมีปัญหายุ่งยากขึ้นมาบ้างว่า ทำไมจึงว่าเอาพระพุทธเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เหมือนที่กล่าวไปหยกๆ เมื่อกี้นี้ ในเมื่อพระพุทธเจ้า ตรัสว่าให้มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะหรือเป็นที่พึ่งเลย นี่เราจะมาศึกษาใคร่ครวญแยกแยะกันเป็นพิเศษในข้อที่ว่า จะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะอย่างไร
และจะขอโอกาสบรรยายไปถึงสิ่งที่เรียกว่า พร ที่ขอกันนักหนา ขอพรนี่ วันหนึ่งถูกขอไม่รู้กี่สิบหน เดี๋ยวคนนั้นขอ เดี๋ยวคนนี้ขอ จะขอทำความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับพรนี้เสียด้วยกัน ว่าให้เอาสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนั่นแหละเป็นพร เลยเรียกว่า ธรรมพร ธรรมพร ถือโอกาสบรรยายกันไปในคราวเดียวกันในวันนี้ด้วย แต่จะได้พิจารณากันถึงส่วนที่เกี่ยวกับวิสาขบูชาก่อนเป็นลำดับไป
ข้อแรก ที่จะต้องขอร้องให้กำหนด จดจำ หรือสังเกตกันเป็นพิเศษก็ว่า คือขอให้ท่านทั้งหลาย ทุกคน ทุกคน รู้จักพระพุทธองค์ให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน รู้จักพระพุทธองค์ให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็หมาย ความว่าเดี๋ยวนี้อาตมาใคร่จะดูถูกหรือท้าทายท่านทั้งหลาย ว่ายังไม่รู้จักพระพุทธองค์ถึงที่สุด คือมันรู้น้อยเกินไป ไม่รู้เท่าที่ควรจะรู้ ยังมีส่วนที่ยังไม่รู้นั้นอีกมาก และยิ่งหลายๆ คน หลายๆ อายุ หลายๆ วัย ก็ยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นเป็นหลายประเภท เดี๋ยวนี้ท่านรู้จักพระพุทธเจ้ากันแต่ที่เป็นบุคคล บุคคล ท่านมาวันนี้ ได้รับความคิดว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นบุคคลคนหนึ่ง ประสูติที่นั่นเมื่อนั้น ตรัสรู้ที่นั่นเมื่อนั้น บรรลุนิพพานที่นั่นเมื่อนั้น มันเป็นเรื่องของบุคคล พระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นบุคคล เป็นบุคคล รู้จักแต่พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลนั้นมันน้อยไป เพราะพระพุทธเจ้าองค์นั้นแหละ ก็ได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ต้องเห็นธรรมนะ จึงจะเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ดังนั้นจึงมี มีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง คือพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรม เป็นพระองค์ธรรม เป็นพระองค์ธรรม
หนึุ่ง พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล สอง พระพุทธเจ้าที่เป็นพระองค์ธรรม เป็นตัวธรรมไม่ใช่ตัวบุคคล เป็นพระองค์ธรรมนี้ ไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพานแล้ว เพราะเป็นเพียงธรรม คือ ธรรมชาติ
แล้วยังมีอีกองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่ง เรียกกันว่าพุทธะภาวะ หรือ พืชแห่งความเป็นพุทธะ เมล็ดพืชแห่งความเป็นพุทธะ คือ พระพุทธเจ้าที่ยังเป็นเพียงเมล็ดพืช เมล็ดพืชมันยังไม่ได้เพาะ ยังไม่ได้ออกหน่อ ยังไม่ได้เป็นต้น เป็นลำ แต่มันก็เป็นพระพุทธเจ้าอีกชนิดหนึ่ง ในฐานะที่ยังเป็นเหมือนกับเมล็ดพืช ถ้าไม่มีเมล็ดพืชนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นบุคคลหรอก พระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นเมล็ดพืชนี้ มันทำให้มีพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นบุคคลออกมา จนเป็นที่เชื่อได้ว่าเมล็ดพืช พืชแห่งความเป็นพระพุทธเจ้านี้ มันมีอยู่ในทุกคน มีอยู่ในทุกคน พูดอย่างพวกอื่นพูด พูดอย่างมหายานเขาพูด เขาพูดว่ามีได้แม้ในสัตว์เดรัจฉาน ดูเขาใช้คำตรงๆ ซึ่งอาตมาไม่กล้านำมาใช้ สัตว์เดรัจฉานชนิดต่ำสุดโน่น มีเมล็ดพืชอยู่ในสัตว์ที่มีชีวิต เมล็ดพืชนั้น ถ้าเพาะให้งอกออกมาเป็นต้น เป็นนั่นแล้ว ก็คือพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มันมีเมล็ดพืชชนิดนี้อยู่ในบุคคล มันจึงเกิดมีพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นบุคคล ถ้ามันไม่มีเมล็ดพืชชนิดนี้ มันไม่มีอะไรที่จะงอกงามออก มาเป็นบุคคล มันจะไม่มีอะไรที่จะรู้อริยสัจ มันไม่มีอะไรที่จะรู้ปฏิจจสมุปบาท มันไม่มีอะไรที่จะรู้เรื่องนิพพาน
ซึ่งการที่เมล็ดพืชนั่นแหละมันเบิกบาน มันกลายเป็นหน่อ เป็นต้น เป็นลำออกมา นี่เรียกว่ามันเป็นการกระทำให้เกิดพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล เป็นองค์บุคคลขึ้นมาจากเมล็ดพืช ถ้าไม่มีเมล็ดพืชอันนี้อยู่ในใจ ไม่มีใครสักคนหนึ่งรู้อริยสัจ จะไม่มีใครสักคนหนึ่งรู้ปฏิจจสมุปบาท จะไม่มีใครสักคนหนึ่งรู้ธรรมะที่เป็นเครื่องดับทุกข์ เพราะมันมีสิ่งนี้อยู่ในใจ เรียกว่าอยู่ในใจก็แล้วกันพูดกันตรงๆ แล้วมันก็เบิกบานออกมา เบิกบานออกมา แตกหน่อออกมาเป็นต้น เป็นความรู้ออกมา มันก็ค่อยๆ รู้ เช่นเราค่อยๆ รู้เรื่องอริยสัจ ค่อยๆ รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ค่อยๆ รู้เรื่องธรรมะ สูงขึ้นมา สูงขึ้นมา มันก็เป็นเพราะความเบิกบาน งอกงามแห่งเมล็ดพืช แห่งความเป็นพุทธะ ที่มีอยู่แล้วในทุกคน แต่คนมันโง่เอง ใครมันโง่เอง มันไม่รู้เมล็ดพืชนั้นมีอยู่แล้วในตน ในตัวเอง มันไม่ได้เพาะ มันไม่ได้หว่าน มันไม่ได้สนใจที่จะทำให้เบิกบานออก มา มันก็ตายด้าน มันหุบเข้าไป เป็นเมล็ดพืชที่ไม่งอกงามอยู่นั่นแหละ
เมล็ดพืชแห่งความเป็นพุทธะ ที่มีอยู่ในบุคคล เมื่อใดมันเกิดเบิกบานออกมา เมื่อนั้นก็เป็นการเกิดแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์คน เรียกว่าเป็นการตรัสรู้ชนิดหนึ่งก็ได้เหมือนกัน ถ้าไม่มีเมล็ดพืชแห่งความเป็นพุทธะ มันก็ไม่เกิดพระพุทธเจ้าองค์บุคคล และก็จะไม่เกิดพระพุทธเจ้าในระดับที่เป็นอนุพุทธะ เช่นพวกเราทั้งหลาย มันจะเกิดอนุพุทธะรู้ตามพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ก็เพราะว่า เมล็ดพืชแห่งความเป็นพุทธะที่มีอยู่ในจิตในใจนั่นแหละ มันเบิกบาน มันเติบโตออกมา เบิกบานออกมา เราจึงได้พระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ผู้ซึ่งยังเป็นเพียงพืช เมล็ดพืช พุทธะภาวะที่ยังอยู่ในลักษณะที่เป็นเมล็ดพืชนี้ ก็มีโอกาสหรือมีเหตุผลที่จะค่อยๆ เบิกบานออกมา ตรัสรู้ออกมา สูงสุดออกมา และพระพุทธเจ้าองค์นี้แหละ มันอยู่ในเราโว๊ย คิดดูให้ดีๆ ไปอยู่ในนรก ก็ตามไปเบิกบานได้ ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ตามไปเบิกบานได้ หรือว่ามันจะไปเป็นเปรต มันก็ตามไปเบิกบานได้
พระพุทธเจ้าองค์นี้ จะสามารถตามไปช่วยได้ทุกหนทุกแห่งแหละ ฉะนั้นขอให้ทำให้เบิกบานออกมาเถิด นี่รวมความว่าท่านรู้จักพระพุทธเจ้าน้อย ยังน้อยอยู่หรือไม่ คือรู้จักแต่พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล เป็นองค์คนคน ไม่รู้จักที่เป็นองค์ธรรม และยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าซึ่ง ซึ่งยังเป็นเพียงพุทธภาวะ หรือเมล็ดพืชที่ยังไม่ได้เบิกบานออกมา ฉะนั้นจะเรียกว่าพระองค์เตรียมก็ได้ เตรียมพร้อมอยู่ที่จะเบิกบานออกมา อย่างน้อยก็จะเห็นได้ว่ามีตั้ง ๓ องค์นะ พระองค์คนเป็นบุคคลนี่องค์หนึ่ง พระองค์ธรรมนี่องค์หนึ่ง ยังเป็นพระองค์เตรียม เตรียมพร้อมที่จะออกมา เบิกบานออกมา งอกงามออกมาในจิตใจของทุกคน บรรดาท่านทั้งหลายทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ รู้จักพระพุทธเจ้าองค์นี้หรือเปล่าเล่า ถ้าไม่รู้จักก็เป็นหมันแหละ ไม่ได้เพาะ ไม่ได้หว่าน มันก็เก็บไว้เฉยๆ บางทีมันก็จะแห้งตาย เน่า แห้งตายไปไม่ได้เพาะ ไม่ได้หว่าน จนตายเปล่าไม่ได้พบกัน
อาตมาพูดว่า ท่านยังรู้จักพระพุทธเจ้าน้อยเกินไป นี่มันเป็นความจริง หรือไม่ใช่ความจริง มันเป็นเรื่องดูถูกกัน หรือว่าเป็นเรื่องพูดตามความเป็นจริง ในการที่จะช่วยให้มันก้าวหน้าไปสู่ความเต็มเปี่ยม เดี๋ยวนี้ท่านมาที่นี่นะ มาด้วยความคิดนึกว่า วันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า เป็นวันตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า แต่มันก็เป็นองค์บุคคล เป็นองค์บุคคล ไม่ใช่องค์ธรรมที่เป็นองค์ธรรม ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน แต่ว่าเป็นการประสูติ ตรัสรู้ นิพพานอยู่ในตัวอัตโนมัติ เป็นนิรันดรไปเลย ไม่ต้องมีกันอีกแล้ว การที่ท่านมาที่นี่ในวันนี้ มานั่งกันอยู่อย่างนี้ ก็เพื่อที่จะระลึกแก่ การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์บุคคล บุคคลคนหนึ่งที่มีอยู่บนโลก เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์คนหนึ่ง ยึดถือในบุคคลจึงได้มา พูดอย่างนี้จะเป็นด่านิดหน่อยแล้วใช่ไหม แล้วก็มีศรัทธาด้วยอุปาทาน ไม่ใช่ศรัทธาด้วยปัญญา นี่ด่ามากหน่อยแล้ว ไม่ใช่นิดหน่อยแล้ว ท่านมาด้วยศรัทธาของอุปาทาน หรือว่าท่านมาด้วยศรัทธาของปัญญา ของวิชชา
ศรัทธามันมีอยู่ ๒ ตัว ตัวหนึ่งมันของอุปาทาน มันหมายมั่น ยึดมั่น ถือมั่น นี่ศรัทธาโดยอุปาทาน ศรัทธาอีกตัวหนึ่ง ด้วยวิชชา เห็นแจ้งชัดเจนว่า สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งนี้ดับทุกข์ได้อย่างนี้ ดับทุกข์ได้อย่างนี้ นี่เป็นศรัทธาของปัญญา ท่านมาที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ ในวันนี้ ด้วยศรัทธาตัวไหน ศรัทธาชนิดไหน ถ้าด้วยศรัทธาของอุปาทานนั่นแหละ มันฟ้องอยูในตัวเสร็จแล้วว่า รู้จักพระพุทธเจ้าน้อยเกินไป น้อยเกินไป รู้จักพระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นธรรม ไม่ตรัสรู้ ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพานกันเสียได้เสียบ้าง แล้วก็รู้จักเมล็ดพืชพุทธภาวะที่มีอยู่ในตัวเอง มันจะค่อยๆ เบิกบานออกมาหรือไม่ ค่อยๆ เบิกบานออกมาหรือไม่ ปีกลายก็โง่เท่านี้ ปีนี้ก็โง่เท่านี้อีก แล้วมันจะเบิกบานกันที่ตรงไหนเล่า ปีก่อนโน้นก็โง่เท่านี้ ปีถัดมาก็โง่เท่านี้ ปีถัดมาก็โง่เท่านี้ ปีกลายก็โง่เท่านี้ ปีนี้ก็โง่เท่านี้ มันเบิกบานกันที่ตรงไหนเล่า ถ้าเห็นว่าพูดรุนแรงไป มันก็ต้องขออภัย เพราะมันไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ถ้าไม่พูดอย่างนี้จะให้พูดยังไง มันก็ต้องพูดว่าเพื่อให้มันก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา มันก็ต้องพูดอย่างนี้ แสดงธรรมนี้ก็สดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อ วิริยะ ความเพียร มันก็ต้องพูดอย่างนี้ ถ้าไม่พูดอย่างนี้ มันไม่เป็นอย่างที่ว่า มันไม่สดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเพียร ให้ก้าวหน้าในทางแห่งพระพุทธศาสนา ฉะนั้นอย่าหงุดหงิด อย่าโกรธกันเลย เพราะโกรธกันแล้วมันก็มืดหมดเลยไม่ต้องทำอะไรกัน
มารู้จักทำจิตใจให้แจ่มใส รู้จักพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ความหมาย พระพุทธเจ้าความหมายหนึ่งเป็นบุคคล เกิดอยู่ในประวัติศาสตร์ แล้วก็พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเป็นธรรมะ เป็นธรรมะ ไม่ใช่คน ไม่ใช่บุคคล ไม่มีเกิด ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน ไม่มีอะไรเป็นนิรันดรอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าความหมายหนึ่ง คือเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ ที่มีอยู่แล้วในบุคคล ที่เราใส่กระบอกเก็บไว้ย่างไฟอยู่บนเรือนไฟ อย่างนี้ก็ทำได้เพียงเท่านั้นแหละ คือ รักษาไว้ไม่ให้มันเน่าตายเสีย จะเพาะปลูกเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ ขอให้จัดการเถอะ เพาะปลูกให้มันเป็นต้นเป็นอะไรออกมา จะได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์คน เกิดขึ้นในอัตภาพนี้ ถ้าพระพุทธเจ้าพระองค์คนมา มีมาแล้ว ไม่ต้องสงสัย พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมก็มีมาเองแหละ เพราะว่าความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลนั้น มันเป็นได้ด้วยพระองค์ธรรม มีธรรมะ มีธรรมะ นี่พระพุทธเจ้าใน ๓ ความหมายมีอยู่อย่างนี้
เอาล่ะจะพูดถึงเด็กๆ กันสักหน่อย ก็น่าสงสาร เด็กๆ ก็มาหลายคนเหมือนกัน จะวิจารณ์เรื่องนี้เพื่อประโยชน์แก่เด็กๆ เด็กๆ อาจจะเข้าใจผิดนะ เมื่อเราพูดกันว่า พระพุทธเจ้าประสูติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้านิพพาน พูดอย่างนี้ที่เด็กๆ เขายังไม่รู้อะไรนี่ เขามีความซื่อ หรือมีความเซ่อก็ได้ เขาก็ถือเอาตามคำพูดว่า
- พระพุทธเจ้าประสูติ นี่ก็หมายความว่า เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วแต่ในท้องอย่างนั้นเหรอ พระพุทธเจ้าจึงประสูติ ก็พูดว่า พระพุทธเจ้าประสูติ พระพุทธเจ้าก็เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วแต่ในท้องสิ อาจจะเข้าใจอย่างนี้ก็ได้
- พระพุทธเจ้าตรัสรู้ บ้าเลย เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังไม่ตรัสรู้อีกเหรอ เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังไม่ตรัสรู้จะเป็นได้อย่างไรเล่า ทำไมจะต้องมาพูดว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ต้องตรัสรู้แล้วสิจึงจะเป็นพระพุทธเจ้า
- พระพุทธเจ้านิพพาน พระพุทธเจ้านิพพาน นั่นยิ่ง ยิ่งแล้วใหญ่เลย พระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่นิพพานล่ะ ไม่มีนิพพาน เบญจขันธ์อะไรของท่านนั่นล่ะนิพพานได้ แต่พระพุทธเจ้า ความหมายแห่งความเป็นพระพุทธเจ้านี้ไม่มีนิพพาน ไม่มีนิพพาน อยู่ตลอดนิรันดร พระพุทธเจ้านั้นตายไม่ได้ นิพพานไม่ได้ แต่ว่าสังขารร่างกายเบญจขันธ์อะไรของท่านนั้น นิพพานหรือตายได้
นี่ก็จะน่าสงสารลูกเด็กๆ เมื่อคนแก่ๆ พูดให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าประสูติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้านิพพาน ซึ่งจะต้องช่วยกันทำความเข้าใจ ให้รู้จักให้ชัดเจนว่า เมื่อพูดอย่างนั้นนะ หมายความถึงอะไร ต้องหมายความถึงคน คนที่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า และจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เกิดออกมาแล้วไม่เท่าไรก็จะได้ตรัสรู้ แล้วไม่ทันไรสังขารร่างกายของท่านก็จะแตกดับไป ถ้าพูดอย่างนี้เขาก็เข้าใจถูกต้อง ไม่ปนกันยุ่งที่ว่าพระพุทธเจ้าประสูติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
เราพูดกันเป็นภาษาคนมากเกินไป จนเข้าใจภาษาธรรมไม่ได้ เข้าใจภาษาธรรมไม่ได้ จะต้องวินิจฉัยกันให้ละเอียด มันเกี่ยวกับคำพูด ถ้าพูดว่าพระพุทธเจ้าประสูติ ประสูตินี่ คำว่าประสูตินั้น หมายความว่า ประสูติจากท้องมารดา จึงจะเรียกว่าประสูติ ตอนนั้นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้านี่ จะเรียกว่าพระพุทธเจ้าประสูติอย่างไรกัน เมื่อว่าเป็นคนแล้ว อายุมากพอสมควรแล้ว ได้ตรัสรู้ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า การตรัสรู้นั้นก็ไม่อาจจะเรียกว่าประสูติอีกเหมือนกัน ไม่ได้ประสูติ แต่ตัวหนังสือในภาษาบาลีเรียกว่า อุปะปัตติ อุปะปัตติ หรือ อุปปัตติ อุปปัตติ
คำว่า อุปปัตติ นี้ แปลว่าอุบัติ อุบัติขึ้นมา พระพุทธเจ้าพระองค์แท้จริงไม่ได้มีการประสูติ แต่ว่าอุบัติขึ้นมาในโลกได้ คือ ตรัสรู้ อุบัตินี้จะแปลว่าเกิดก็ได้ แต่ไม่ใช่เกิดจากท้องแม่ มันเกิดขึ้นโดยความเหมาะสม หรือความเป็นเปลี่ยนแปลงที่เหมาะสม เกิดภาวะอันใหม่ขึ้นมา ฉะนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยการประสูติ แต่เป็นพระพุทธเจ้าด้วยการอุปปัตติ หรือ อุปะปัตติ อุบัติขึ้นมา อุปปันโน โลเก พุทโธ พระพุทธเจ้าอุบัติ อุบัติขึ้นมาแล้วในโลก ไม่ได้ใช้คำว่าประสูติจากที่ไหน ก็ใคร่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับประสูติ เพราะว่าทารกคนหนึ่งที่โตขึ้นจะเป็นพระพุทธเจ้า ได้มีการประสูติออกมา และต่อมาไม่เท่าไรเขาก็มีการอุบัติ อุบัติ คือ บังเกิดโดยจิตใจ เกิดทางจิตใจ กลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ตอนนี้คือการเกิดของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ไม่ใช่เกิดเมื่อออกจากท้องมารดา
นิพพาน นิพพานนั้นนะ เป็นคำประหลาดที่เอามาใช้การอย่างผิดๆ ผิดกันจนไม่รู้จะผิดยังไง แปลว่า ตายเสีย นิพพาน แปลว่า ตายเสีย นี่กล้าท้าทายให้เปิดพระไตรปิฏก ดูทุกหน้า ทุกหน้า ทุกหน้า ที่ไหนมีคำว่า นิพพาน และมีความหมายว่า ตายบ้าง มันไม่มี มันไม่มี นิพพาน แปลว่า ตาย มันไม่มี นิพพานแปลว่า สิ้น ดับเย็น ถ้าสิ้นกิเลสเสมอไป ตัวไม่ต้องตาย คนไม่ต้องตาย ความว่านิพพานนั้นแหละ กิเลสตายได้ คนไม่ต้องตาย นิพพาน แปลว่า เย็น นิพพานเป็นธาตุตามธรรมชาติ มีอยู่ ๒ อย่างประจำอยู่ทั่วไปในจักรวาลนี้ ใครถึงเข้าก็คนนั้นเรียกว่าบรรลุนิพพาน บรรลุนิพพานแล้วก็ไม่ต้องตาย มีแต่เย็น เพราะไม่มีไฟ เพราะหมดไป คือ กิเลส
พระพุทธเจ้าท่านก็คือ พระสิทธัตถะ ตรัสรู้แล้วก็ได้บรรลุนิพพานนี้ แล้วท่านไม่ตายล่ะ นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า ภาษาบาลีมันก็สับสนเหมือนกัน มองดูพอจะจับเค้าเงื่อนได้ว่า ถ้าจะหมายถึงความตายทางร่างกาย ก็ใช้คำว่าปรินิพพาน ปรินิพพาน เช่นมีประโยคที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองว่า การปรินิพพานจะมี ๓ เดือนแต่นี้ คือวันที่ปลงอายุปลงพระชนมายุสังขาร ท่านตรัสว่า ปรินิพพานจะมี ๓ เดือนแต่นี้ ไม่ได้ใช้คำว่า นิพพานเฉยๆ ปรินิพพานในความหมายอย่างนี้ จะเป็นภาษาชาวบ้าน จะเป็นภาษาคน อาจจะแปลว่า ตาย ตายก็ได้ เพราะท่านตรัสว่า จากนี้ ๓ เดือนแต่นี้เป็นการดับแห่งเบญจขันธ์ แต่แล้วมันก็สับสน ที่ว่าแม้แต่ในที่อื่น บาลีในที่อื่น ปรินิพพาน มันก็ไม่ได้แปลว่าตายอีก ไม่ได้แปลว่าตายอีก เช่น บาลีว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ปรินิพ ปรินิพพุทธโธ ปรินิพพุทธโธ ปรินิพพุทธโธ โสภะคะวา ปรินิพพาน นายะธัมมังเทเสติ ตายแล้วเทศน์ได้เหรอ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ต้องแสดงธรรมเพื่อปรินิพพาน เพื่อบอกคนให้รู้เรื่องปรินิพพาน แสดงธรรมทั้งหลายเพื่อปรินิพพาน ปรินิพพานอย่างนี้ก็ไม่ได้แปลว่าตาย แปลว่าดับเย็นยิ่งขึ้นไปอีกเหมือนกัน นี้ขอให้เข้าใจกันว่าในพระไตร ปิฏกเอง ภาษาบาลีมันยุ่งเหมือนกัน มันยุ่งเหมือนกัน ในที่นี้ อธิบายความหมายอย่างอื่น ความหมายอย่างอื่นคำๆ เดียวกัน แต่ว่าสรุปได้แน่นอนชัดๆ ว่าปรินิพพาน ไม่เคยแปลว่าตาย ไม่ว่าจะที่ไหน แปลว่า ดับ เย็น คำว่าปรินิพพานนี้มีอยู่ ๒ ความหมาย ชาวบ้านอาจจะหมายถึง ตาย ตายคือ ดับขันธ์ แต่มีคำที่กล่าวไว้ว่า ปรินิพพานแล้วก็แสดงธรรมให้เพื่อปรินิพพาน แสดงธรรมให้คนอื่นปรินิพพานตาม แสดงธรรมเรื่องปรินิพพาน นิพพานอย่างนี้ มันดับทุกข์ ดับกิเลส
ขอพูดเป็นส่วนตัวว่า เรื่องตัวหนังสือนั้น อย่าถือเอาเป็นประมาณนัก เอาความหมาย เอาความหมายของคำนั้นแหละเป็นหลัก ไอ้ตัวหนังสือนี้มันชักจะรวนเร นี่แหละเราจะต้องสงสารลูกเด็กๆ พอเขาได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้าประสูติ เอ๊ะ, นี่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วแต่ในท้องเหรอ พระพุทธ เจ้าตรัสรู้ อ้าว, ไม่ตรัสรู้สักที เพิ่งตรัสรู้ แล้วจะเรียกว่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไรเล่า แล้วพระพุทธเจ้านิพพาน อันนี้ พระพุทธเจ้าก็ตายเป็นเหมือนกัน เหมือนกับที่เด็กๆ เขาเข้าใจ ที่ครูเขาสอนในโรงเรียน เขาสอนผิดๆ ไม่ใช่ดูถูกโรงเรียน ดูถูกครูในโรงเรียนมันสอนผิดๆ นิพพานแปลว่าตายของพระอรหันต์ สอนผิดๆ ถึงขนาดนี้ พระอรหันต์นั้นไม่ตายแหละ ขอให้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่จำไว้เลยเด็กๆ อาตมายืนยันว่าพระอรหันต์นั้นตายไม่ได้ เป็นคุณธรรมอันหนึ่งตายไม่ได้ แต่ว่าร่างกายของท่านนั้นตายได้เป็นธรรมดา เหมือนกับร่างกายของเรา อย่าพูดว่าพระอรหันต์ตาย ร่างกายของพระอรหันต์ตายได้ แต่ตัวพระอรหันต์เองนะ เป็นคุณธรรมไม่รู้จักตาย เหมือนกับว่า พระพุทธเจ้า พระองค์ธรรม พระองค์ธรรม ธรรมะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่รู้จักตาย
ธรรมะที่ทำความเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่รู้จักตาย ตายแต่เปลือก คือ ร่างกาย ช่วยอธิบายให้ลูกเด็กๆ เขาเข้าใจคำพูดเหล่านี้ที่มันกำกวม พูดอธิบายได้ อย่างนั้นก็ได้ อย่างนี้ก็ได้ ช่วยทำความเข้าใจกันเสียให้ดีๆ ให้ลูกเด็กๆ เข้าใจเหมือนเราเข้าใจหน่อย ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ ๓ ความหมาย เป็นอย่างบุคคลหมาย ถึงบุคคลก็ได้ ถ้าอย่างนี้ก็เกิดในอินเดีย เป็นลูกชายของพระเจ้าสุทโธทนะ มารดาชื่อ สิริมหามายา เกิดที่ตรงนั้น เกิดที่ตรงนี้ เป็นเด็กที่ตรงนั้น โตขึ้นมาอย่างนี้ นี่พระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นบุคคล
แต่แล้วพระพุทธเจ้า ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ก็หมายความว่า ตัวธรรม ตัวธรรม นั่นเป็นองค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริง สิ่งใดทำให้ท่านเห็นปฏิจจสมุปบาท สิ่งใดที่แสดงอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท ให้เห็นว่าอยู่สิ่งนั้นเป็นพระพุทธเจ้า มีปฏิจจสมุปบาทแสดงอยู่ที่ไหน ที่นั่นเป็นพระพุทธเจ้า ที่นั่นมีพระพุทธเจ้า นี่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม องค์นี้ไม่ได้เป็นลูกใครหลานใคร เพราะไม่ได้มีเนื้อมีหนังเป็นบุคคล เป็นองค์ธรรม ตามธรรมชาติเป็นนิรันดร ตลอดกาลนิรันดร มีอยู่อย่างนั้น นี่พระองค์ธรรม องค์นี้เป็นที่พึ่งได้ ช่วยได้ ช่วยได้จริง อยู่กับเราตลอดเวลาได้จริง ถ้าท่านยังไม่รู้จัก อาตมาก็จะประณาม ดูถูก ดูหมิ่น ว่าท่านทั้งหลาย ยังรู้จักพระพุทธเจ้าน้อยเกินไป โกรธก็โกรธสิ ก็ยังรู้จักพระพุทธเจ้าน้อยเกินไป ไม่รู้จักพระองค์จริง
ในความหมายที่ ๓ ก็ว่า พุทธภาวะ เชื้อแห่งความเป็นพุทธะที่ยังไม่เบิกบาน ยังไม่ตรัสรู้อยู่ พร้อมที่จะเบิกบานสักวันหนึ่งนี้ เรียกว่า พระพุทธเจ้าเตรียม เตรียมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์เตรียม ทุกคนมีใครไม่เห็นก็โง่เอง ทุกคนมีพระพุทธเจ้าพระองค์เตรียม ขอให้ระวังให้ดี จัดการให้ดี ให้มีการเพาะ หว่าน ปลูก พรวนดิน รดน้ำอะไรให้งอกงามออกมาเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ธรรม พระองค์คนก่อนก็ได้แล้วเป็น พระองค์ธรรม
นี่แหละคือ พระพุทธเจ้าใน ๓ ความหมาย ท่านอุตสาห์มาจากกรุงเทพฯ ขอให้รู้ว่าพระพุทธเจ้า ๓ ความหมาย อุตสาห์มาจากสุดโต่ง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ขอให้รู้จักพระพุทธเจ้า ๓ ความหมาย จะคุ้มค่าแหละ คุ้มค่า ถ้าไม่งั้นไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่า เสียเวลา เสียเงิน เหน็ดเหนื่อย นี้มารู้จักพระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธองค์ให้มากกว่าก่อนกันเถิด เท่าที่มีอยู่แล้วนี่มันน้อยไป และเป็นพระพุทธเจ้าของอุปปาทานเสียมากกว่า อุปปาทานที่ทำให้เกิดศรัทธา ศรัทธายึดมั่น ถือมั่น ถ้ามันมีมากนักล่ะก็แขวนพระพุทธเจ้าเต็มคอ เห็นไหมบางคนนะแขวนพระพุทธเจ้าเต็มคอ คอจะหักอยู่แล้ว คิดว่านั่นเป็นพระพุทธเจ้า ที่ศรัทธาโดยอุปปาทานมันเป็นอย่างนี้ ถ้าศรัทธาด้วยปัญญา ไม่ต้อง ไม่ต้องเป็นอย่างนี้
พระพุทธเจ้าองค์ที่เราจะต้องรับรู้ จะเอาใจใส่ จะต้องสนใจมากเป็นพิเศษกว่า องค์ที่เป็นพระ องค์เตรียม พระองค์เตรียมอยู่ในจิตใจเรา พร้อมที่จะออกมาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จะมีค่าที่สุด สำคัญที่สุด เราจะตกทุกข์ได้ยาก ก็เกิดพระพุทธเจ้าพระองค์เตรียมนี่ ฟุ้งขึ้นมาช่วยก็ได้ ไปช่วยสัตว์ในนรกก็ได้
ไปดูรูปปฏิจจสมุปบาทบนตึกโรงมโหรสพทางวิญญาณ รูปปฏิจจสมุปบาทรูปนั้นนะ เขาเขียนภาพแบ่งเป็นภาพๆ อะไร มนุษย์ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เป็นโลกๆๆๆ ไป ในแต่ละโลกๆ มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งประจำอยู่ด้วย ก็หมายความว่าในโลกสัตว์อันต่ำทรามนั่นแหละ มีพระพุทธเจ้าคอยช่วย คือองค์ที่มันจะออก มาช่วย จะออกมาจากไอ้เมล็ดพืช หรือพระองค์เตรียม
ถ้าสัตว์นรกมันเกิดนึกขึ้นมาได้ มันไม่อยากจะทำบาปกรรมอีกต่อไป มันก็ช่วยได้ ช่วยได้ แต่ที่จะพูดถึงสัตว์เดรัจฉานอธิบายยาก แต่ถ้าจะพูดต่อรองกันว่า สัตว์เดรัจฉานมันก็อยากจะพ้นทุกข์ อยากจะดับทุกข์ มันอยากจะไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน นี่ก็ต้องแปลว่า อย่างน้อยเชื้อ หรือพืชแห่งพุทธะภาวะยังมีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทำให้สัตว์เดรัจฉานอยากจะดับทุกข์ อยาก จะหนีทุกข์ อยากจะเอาตัวรอดด้วยเหมือนกัน
เอ้า, ทีนี้ก็พูดให้ถูกด่ากันหน่อยว่า ในต้นไม้นี้ก็เหมือนกัน มันก็มีความดิ้นรนจะรอด ต้นไม้ทุกต้นอยากจะรอด ไม่อยากจะตาย ดิ้นรนจะอยู่ ด้วยอำนาจของอะไร มันก็ด้วยอำนาจของสติปัญญาที่ยังอยู่ในระดับต่ำสุด เมล็ดพืชแห่งพุทธภาวะ คือว่าไอ้ความรู้ที่มันจะเบิกบานออกมา เพื่อความพ้นทุกข์นี่ มันจะมีอยู่ในสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด ถ้าพูดอย่างนี้มันก็ไปตรงกับที่พวกมหายานเขาพูด แล้วผู้พูดก็ถูกด่าว่านี่เป็นมหายาน หรือเอามหายานมาสอน ไม่ต้อง ไม่ต้องตั้งปัญหาอย่างนั้น ตั้งปัญหาแต่ว่า พูดอย่างนี้ รู้อย่างนี้ มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ เมื่อรู้อย่างนี้ เมื่อเห็นอย่างนี้ มันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ถ้าว่ามันมีประโยชน์ก็เอาเถิด เอาเถิด มันจะช่วยเกิดมีประโยชน์ เมล็ดพืชนั้น มันจะได้รับการเพาะหว่าน งอกงาม ออกมาโดยเร็ว ไม่ตายด้าน ไม่อย่างนั้นแล้ว เมล็ดพืชมันจะตายด้าน มันไม่มีวันออกมา
เรามีเมล็ดพืชแห่งความเป็นพุทธะซ่อนเร้นอยู่อย่างไม่รู้สึก ถ้ามันไม่มีเมล็ดพืชนี้ซ่อนเร้นอยู่ มันรู้ธรรมะไม่ได้ ข้อที่เรารู้ธรรมะได้ยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะเมล็ดพืชนี้มันค่อยๆ งอกงาม มันค่อยๆ เบิกบาน พระพุทธเจ้าที่เป็นเมล็ดพืชนี้ ที่จะคอยช่วยตามขั้นตอน ตามระดับ ระดับต่ำสุด ระดับล่าง คนเจ็บระลึกถูกต้องด้วยพระพุทธเจ้าองค์นี้ ก็หาย ก็บรรเทาเจ็บ คนจนคิดนึกให้ถูก ให้รู้จักพระพุทธเจ้าองค์นี้ ความยากจนก็จะไม่เบียดเบียนบังคับอะไรนัก คนโชคร้าย ว่าโชคร้ายถ้ามันไม่โง่ มันอยากเชื่อแต่พรหมลิขิตอย่างเดียว มันเชื่อธรรมะลิขิตกันบ้าง แล้วพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก็จะช่วยได้เหมือนกัน แม้มันมากเป็นคนหลง ถ้ามันเกิดมีพระพุทธเจ้าองค์นี้ งอกงามออกมา มันก็หายหลง ถ้าไม่มีเสียมันก็บ้าบุญ เมาบุญ บ้าดี หลงดี ตะเลิดเปิดเปิงไปเลย วัฎฎะสง สารของมันก็ยาวเฟื้อย ยาวจนไม่นับไม่ไหว ถ้ารู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์นี้กันเสียโดยเร็ว เพาะหว่านให้เป็นต้นเป็นลำเสียโดยเร็ว วัฎฎะสงสารมันจะสั้น มันจะสั้นเข้า สั้นเข้า มันจะมีความสิ้นสุดแห่งวัฎฎะสงสารได้ในเวลาอันสั้น
เอาล่ะ นี่เรื่องพระพุทธเจ้า ที่ยังรู้จักกันน้อยเกินไป จริงหรือไม่จริง ลองพิจารณาใคร่ครวญดูตามที่อาตมาได้กล่าวไปแล้วนี้ จริงหรือไม่จริงในการจะพูดว่า ท่านทั้งหลายยังรู้จักพระพุทธองค์น้อยเกินไป มาที่นี่ทุกปีขอให้รู้จักพระพุทธเจ้า พระองค์จริงมากขึ้นทุกปี มากขึ้นทุกปี มากขึ้นกว่าแต่ก่อนเถิด นี่ความประสงค์อันมุ่งหมายของอาตมา แต่ว่าความประสงค์มุ่งหมายของท่านทั้งหลาย จะเป็นอย่างไรนี่ไม่ทราบ ไปรู้เอาเองก็แล้วกันว่า ความประสงค์มุ่งหมายที่มาร่วมพิธีวิสาขบูชานี้ ต้องการอะไร มาเอาบุญ ต้องการเอาบุญ มาเอาบุญ เรื่องบุญระวังให้ดีนะ มันไม่ดับทุกข์นะ อย่าพูดดีกว่านะเดี๋ยวจะโกรธ บุญนะมันไม่ดับทุกข์ ความรู้มันจึงดับทุกข์ บุญมันทำให้สบายลืมไปเลย มันไม่ดับทุกข์ ถ้ามัวเอากันแต่บุญ บุญมันไม่ดับทุกข์ ถ้าเอาความรู้ เอาธรรมะ เอาความรู้ เอาธรรมะ จะดับทุกข์ ดับทุกข์ ดับทุกข์ แล้วก็เมาไม่ได้ บ้าไม่ได้ ธรรมะเมาไม่ได้ บ้าไม่ได้ แต่ไอ้บุญ บุญนะระวังให้ดีนะ บ้าก็ได้ เมาก็ได้ หมดเนื้อหมดตัวเพราะบุญก็ได้ ระวังให้ดี
เอาล่ะ เป็นอันว่า เรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันให้ครบทุกความหมาย แล้วก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าพระ องค์จริง ที่จะช่วยได้นั่นคือ พระองค์ธรรม พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมนี้ ทำให้เกิดพระพุทธเจ้าพระองค์คน พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม มีอยู่ตลอดนิรันดร เมล็ดพืชแห่งพุทธะภาวะในหัวใจของใครถึงที่สุด เบิกบานก่อน ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาทันที พระพุทธเจ้าองค์ที่มีนามว่า สิทธัตถะนั้น เมล็ดพืชของท่าน ถึงขนาดที่จะเบิกบาน เบิกบานก็ตรัสรู้พระองค์ธรรม พระองค์ธรรมก็ช่วยให้เป็นพระพุทธเจ้าในพระองค์คนขึ้นมา จะรอดตัวได้ก็เพราะ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ทำให้เมล็ดพืชที่ยังไม่ได้เพาะหว่าน เพาะหว่าน เพาะหว่าน แล้วก็งอกออกมาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์คน ใช้การ ใช้งานอะไรได้ ปฏิบัติได้ สอนได้ อะไรได้ มีประโยชน์แก่ทุกคนได้
ทีนี้ก็จะมาถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเราเคยพูดกันทุกปี วันวิสาขะปีหนึ่ง เราก็พูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เป็นประจักษ์หลักฐานไว้ทุกปี ปีนี้จะพูดถึงเรื่อง พระพุทธเจ้า หรือ พระธรรมที่จะใช้เป็นพร เป็นพร ธรรมพร พุทธพร แล้วแต่จะเรียก
พระพุทธเจ้าที่จะเป็นพร เรียกว่า พุทธพร
พระธรรมที่จะเป็นพร เรียกว่า ธรรมพร
ฉะนั้นขอให้เรารู้จัก พร คือ ธรรมะ คือ พุทธะ แล้วเราก็จะมีตนเองเป็นที่พึ่ง มีตนเองเป็นสรณะ ไม่ต้องมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ไม่ต้องมีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
พรนี้ แปลว่า ประเสริฐ ในความหมายที่พิเศษ ไม่ใช่ประเสริฐที่เปลี่ยนแปลงกลับกลอกหลอกลวงได้ สิ่งที่เรียกว่าพร พรนี่ต้องประเสริฐจริง ช่วยดับทุกข์ได้จริง แล้วทุกคนก็ได้ยินคำนี้ พูดกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก คนแก่ๆ เขาให้พรจน ลูกเด็กๆ จำไว้ติดอกติดใจ พอใจในคำว่าพร ยึดมั่นในคำว่าพร คนแก่ให้พรแล้วก็สบายใจ สบายใจเต้นแร้งเต้นกา จึงรู้จักสิ่งที่เรียกว่าพร พร กันในลักษณะอย่างนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แล้วก็ต้องการ ต้องการ แล้วก็ต้องการอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด นี่คือปัญหาล่ะ ปัญหาที่ต้องนำมาพูดกัน
คนมาขอพรกับอาตมานี่ วันหนึ่งเฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่าสิบราย ตลอด ตลอดเวลา พวกที่มาๆ มาไหว้แล้วก็ขอพร มาไหว้แล้วก็ขอพร น้อยคนที่จะไม่ขอพร อาตมาก็บอกเขาว่า ไอ้พร พรที่คุณอยากจะได้นะ ที่มีการขอแล้วให้ ขอแล้วให้ พรที่ขอแล้วให้ ขอแล้วให้ มันมากมาย จนไม่มีโกดังจะใส่แล้วใช่ไหมนี่ มันหยุดกึกเลย ไม่มีโกดังจะใส่แล้วใช่ไหม ไอ้พรขอ พรให้ พรขอ พรให้ เดี๋ยวนี้มากจนไม่มีโกดังจะใส่แล้วใช่ไหม ดูคล้ายๆ กับมันนึกได้ มันนึกได้ มันจึงนิ่งไป มันจึงนิ่งไป จะเอาไปไหนกันอีกล่ะ ไม่มีโกดังจะใส่แล้ว จะเอาไปไหนกันอีกล่ะ พรอย่างนั้น ทีนี้บางทีมันก็ล้น ล้นโกดังออกมาแล้ว
ตั้งปัญหาถามตัวเองดูว่า พรอย่างนี้มันดับทุกข์ได้ไหม พรอย่างล้นโกดังมานี่ มันดับทุกข์ได้ไหม หรือมีเพียงว่าให้สบายใจไปได้พักหนึ่ง หลอกให้สบายใจไปได้พักหนึ่งเท่านั้นเอง มันดับทุกข์โดยแท้จริงไม่ได้ แล้วพรชนิดไหนจะดับทุกข์ได้ล่ะ ไม่เอา พอบอกว่า ธรรมพร เอาธรรมะเป็นพรนะ แสดงว่าไม่รู้เสียเลย ไม่สนใจเสียเลย ไม่อยากจะได้เสียเลย อยากจะได้แต่พรที่ตั้งใจจะมาขอ ขอไปใส่โกดังจนล้นแล้ว ก็ยังต้องการอีก นี่เรียกว่า พรที่จะช่วยได้จริงๆ ประเสริฐจริงๆ มันไม่รู้จัก แล้วมันก็ไม่ต้องการ แล้วไม่อยากจะฟังด้วย บางทีลุก สะบัดก้นไปกำลังพูด ถ้าพูดถึงธรรมพรขึ้นมา
บางคนนะมักง่ายกว่านั้นอีก ช่วยเป่ากระหม่อมที รดน้ำ มนต์ที บอกที่นี่ไม่มีโว๊ย ที่นี่ไม่มีโว๊ย น้ำมนต์นะ มีแต่พรเป็นธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาสิ รดสิ รดก็ได้ เป่าหัว ป่วยการไม่เป่าให้มัน สกปรกเลอะ มันช่วยอะไรไม่ได้ เราเป่าหัวไม่เป็น เพราะเราไม่เชื่อ เราไม่เรียน เราเลยเป็นคนโง่ เป่าหัวให้คุณไม่ได้ มันก็เลยโกรธ มันทำหน้าตาไม่ชอบเลยว่าทำไม่เป็น นี่เพราะว่ามันยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรียกว่าพร พร กันมากเกินไป แล้วเป็นพรชนิดเต็มโกดังแล้วก็ยังดับทุกข์อะไรไม่ได้ ส่วนพรที่จะดับทุกข์ จะดับทุกข์ได้ไม่สนใจ ถ้าใครที่นั่งอยู่ที่นี่ คนไหนเป็นอย่างนี้บ้างก็ ก็เอาไปคิดเถอะ พูดไม่ต้องเกรงใจแล้วว่า พรชนิดนั้นนะ มันเฟ้อแล้ว เฟ้อแล้ว เป็นน้ำชาล้นถ้วยแล้ว อย่าเอาเลย เอาพรที่มันดับทุกข์ได้ จะมาเรียกกันเสียใหม่ว่า พุทธพร หรือธรรมพร พรของพระพุทธเจ้า พรที่เป็นพระพุทธเจ้า พรของพระธรรม พรที่เป็นพระธรรม ถ้าไม่เรียกอย่างนี้ ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรเหมือนกัน ไม่รู้จะเรียกอย่างไรเหมือนกัน ถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง ให้ดีที่สุด มันก็ต้องเรียกอย่างนี้ เรียกว่า ธรรมพร ธรรมพร พุทธพร ไอ้เรื่องรดน้ำมนต์ เรื่องเป่าหัว เรื่องให้พร มันทำกันมาแล้ว ไม่รู้กี่ร้อยครั้งพันครั้งแล้ว มันก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ลองเปลี่ยนพรกันเสียบ้าง เปลี่ยนพรให้มาเป็น พุทธพร ธรรมพร อย่างนี้กันเสียบ้าง มันจะมองเห็นว่า มีผลดีจริงเกิดขึ้น คือมันดับทุกข์ได้
เดี๋ยวนี้มันบ้าดีกันจนไม่รู้ว่า ความชั่วมีอยู่ในความบ้าดี มันบ้าดีกันจนไม่รู้จักความชั่ว คุณคงจะไม่เชื่อ มันบ้าดีมาก หลับหูหลับตา บ้าดีกันจนไม่รู้จักความชั่ว จนมันไม่รู้จักว่า ความชั่วนั้นมันมีอยู่บนความบ้าดี มันบ้าพร บ้าโชคชะตาราศี บ้าน้ำมนต์ บ้าอะ ไรก็ไม่รู้ มันบ้ากันจนไม่รู้ว่า ความชั่วอยู่ที่ตรงไหน ไม่รู้ว่าความชั่วนั้น มันมีอยู่ในความบ้าดี ดูเถอะ มีบ้าดีที่ไหน ก็มีความทุกข์ หรือมีความชั่วอยู่ที่นั่น
น่าสงสารเด็กๆ มันรู้จักพรแต่เพียงที่คนแก่ให้ คนแก่ก็ให้พร คนแก่ก็ให้พร มันก็เพิ่มความโง่ คิดอะไรไม่ถูก หวังแต่จะให้เขาให้พร ก็รู้จักแต่พรที่มันช่วยไม่ได้ พรที่มันช่วยไม่ได้ พรที่มันง่ายเกินไป เพียงออกปากคำเดียวก็ได้ ทีนี้มันสบายใจพักหนึ่งแหละ ถ้ามีใครให้พร มันสบายใจพักหนึ่ง อาตมาก็เคยเป็นมาแล้วเหมือนกัน เคยได้รับพร เคยได้มาแล้วเหมือนกัน พอคนแก่ให้พร ก็รู้สึกสบายใจพักหนึ่ง แต่แล้วมันดับทุกข์ไม่ได้ มันต้องมาพูดกันใหม่ ให้เด็กมันรู้จักพรที่แท้จริง รู้จักธรรมพร พุทธพร ของพระธรรมของพระเจ้า ถ้าว่ามันเป็นไปได้สูงสุด สูงสุด มันก็จะพ้นกิเลส พ้นความทุกข์เป็นพระอรหันต์ ถ้าว่ามี พุทธพร มีธรรมพรกันแท้จริง มันจะไม่เพียงดับทุกข์ตามบ้านเรือน มันจะดับทุกข์จนถึงได้เป็นพระอรหันต์
มีอยู่ประโยคหนึ่งซึ่งน่าสนใจนะ คือพระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเกิด สัตว์ที่มีความแก่เป็นธรรมดา จะพ้นจากความแก่ สัตว์ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเจ็บ สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดา จะพ้นจากความตาย นี่เพราะอาศัยเราเป็นกัลยาณมิตร นี่เป็นพุทธพรสูงสูดเลย มีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร จะมีอะไรประเสริฐกว่านั้น นี่มันพุทธพรสูงสุด
นี้เอากันว่าเรามารู้จักเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และก็ปฏิบัติได้ตามสมควร มันก็มีพรของพระพุทธเจ้าแล้ว มีธรรมพรหรือพรของพระธรรม แล้ว ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม อย่าลืมข้อนี้ อย่าลืมข้อนี้ ข้อนี้อย่าลืม พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั่นคือ ตัวธรรม ตัวพระธรรม เมื่อเห็นพระธรรมจึงเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง การเห็นพระธรรม ก็คือเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เรามาเห็นพระธรรมกันให้ถึงที่สุดสักทีจะดีไหม บรรดาที่นั่งกันอยู่ที่นี่ทุกคน ถามว่ามารู้จักพระธรรม พระธรรมกันให้ถึงที่สุดกันสักทีจะดีไหม แล้วเราจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงเป็นกัลยาณมิตรได้ เพราะว่าอย่างน้อยเราก็ยังมีธรรมพร ธรรมพร พรของธรรมะ ธรรมะคือพร เอ้า, ถ้าได้อาตมาก็จะว่า ถ้าเห็นด้วยก็จะว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะคืออะไร เห็นธรรมะแล้วเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ธรรมะนั้นคืออะไร
คำแรก ก็ว่า ธรรมะ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงเคารพ ธรรมะนี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงเคารพ พระพุทธเจ้าองค์คนที่ชื่อว่า สิทธัตถะนั้น เคารพพระพุทธเจ้าองค์ธรรม ที่ไม่มีชื่อ ไม่มีชื่อ ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีปรินิพพาน พระพุทธเจ้าพระองค์บุคคล บุคคลมีกี่องค์ก็ตาม ล้วนแต่เคารพพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม โดยกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ชื่อสิทธัตถะโคตมะนี่ เคารพพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมนิรันดร นี่แปลว่า ธรรม ธรรมคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงเคารพ
ทีนี้ข้อต่อไป ธรรมะ คือ หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด หน้าที่ที่ปฏิบัติแล้วเกิดความรอดทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ตลอดชีวิตทั้งตนเองและผู้อื่น ธรรมะ คือ หน้าที่ ธรรมะ คือ หน้าที่ ไม่ใช่เพียงคำสั่งสอนเฉยๆ มันคำสั่งสอนเรื่องหน้าที่ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ ปฏิบัติแล้วเกิดความรอดกันทั้งหมดเลย นี่ธรรมะคือหน้าที่ ที่ช่วยให้รอด ธรรมะคือ หน้าที่แห่งความรอด
ข้อถัดไป ธรรมะคือ สิ่งที่ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า ธรรมะคือ สิ่งที่ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะประสูติออกมาแล้ว ไปอาศัยพระธรรม พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมนิรันดร ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า คนอื่นๆ ก็เหมือนกันแหละ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ทำให้บุคคลเป็นพระพุทธเจ้า สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ อนุพุทธเป็นอรหันต์ทั่วๆ ไปก็ได้ เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ได้ เป็นอนุพุทธะได้ทุกระ ดับ ธรรมะ คือ สิ่งที่ทำบุคคลให้เป็นพุทธะบุคคล เป็นพุทธะบุคคล ระดับไหนก็ตาม เป็นได้เพราะมีธรรมะ
ข้อต่อไป ธรรมะ คือ สิ่งคู่ชีวิต คู่ชีวิต พอไม่มีธรรมะมันก็ตาย หมายความว่าไม่มีธรรมะ ก็คือ ไม่มีหน้าที่ ไม่มีหน้าที่มันก็คือตาย เพราะฉะนั้นธรรมะ คือ คู่กันกับชีวิต หน้าที่เป็นสิ่งที่คู่กันกับชีวิต พอไม่มีหน้าที่ มันก็คือตาย แขน ขา มือ ตีน ไม่ทำหน้าที่ มันก็ตาย ตับ ไต ปอด หัวใจ ไม่ทำหน้าที่ มันก็ตาย เซลล์ในเลือด ในกระดูก ในเนื้อทุกๆ เซลล์ ไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย พอไม่ทำหน้าที่มันก็คือตาย ธรรมะคือหน้าที่ เพราะฉะนั้นธรรมะ คือ สิ่งที่เป็นคู่ชีวิต พราก พรากจากกันไม่ได้ คู่ชีวิตที่เป็นผัวเมีย มันแยกกันอยู่ ๓ ปีก็ได้ไม่ตาย ลองดูเถอะ แต่ถ้าธรรมะ คือ คู่ชีวิต คู่ชีวิตคือ ธรรมะ แยกกันนาทีเดียว สองนาทีมันก็ตาย มันเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริงมากถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะถือเป็นตัวชีวิตเสียเลยก็ได้ ถ้าเป็นคู่ชีวิตมันยังห่างออกไปอีก เป็นตัวชีวิตเสียเลย ธรรมะนี่คือตัวชีวิตเสียเลย เอาเป็นคู่ชีวิตมันก็มากแล้ว ไม่มีธรรมะ มันก็คือตาย
ธรรมะ คือ ธรรมธาตุ ธรรมะ-ธาตุ ธรรมะ คือ ธรรมะธาตุ ธาตุตามธรรมชาติ ที่เรียกว่าธรรมะ มีอยู่ตามธรรมชาติทั่วไปในจักรวาล ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีธรรมธาตุ ไม่มีที่ไหนในจักรวาล กี่จักรวาลก็ตาม ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีธรรมธาตุ ทุกแห่งมีธรรมธาตุ ธาตุแห่งธรรมะ ธรรมะ คือ ธรรมธาตุ ที่มีอยู่ตาม ธรรมชาติทั่วไปในสากลจักรวาล หาง่ายยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้ารู้จักหา คือมีอยู่ในที่ทั่วไป ในคนก็มี นอกคนก็มี ที่ไหนก็มีธรรมธาตุ แต่คนมันไม่รู้จัก เหมือนกับไก่มันไม่รู้จักพลอย มันพบพลอยมันว่าสู้ข้าวสารเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้ คนเรามันก็จะเป็นเสียอย่างนี้ ไม่รู้จักตัวธรรมะ หรือ ธรรมธาตุ แล้วก็ไม่สนใจ
ทีนี้พูดกันในแง่ของประโยชน์ ธรรมะ คือสิ่งที่ทรงผู้มีธรรมะไม่ให้ตกไปในความทุกข์ ธรรมะแปลว่า ผู้ทรง ผู้ทรงไว้ ผู้ยกไว้ ผู้ถือไว้ ผู้ทรงไว้ ธรรมะ คือ ผู้ที่ทรงผู้ที่มีธรรมะ ผู้ใดมีธรรมะ ธรรมะทรงผู้นั้นไว้ ธรรมะคือสิ่งที่ทรงผู้ที่มีธรรมะนั้น ไม่ให้ตกลงไปในกองทุกข์ อันไม่พึงปรารถนา ไอ้ความทุกข์นี่ความหมายกว้างๆ ว่าสิ่งไม่พึงปรารถนา ธรรมะนี่จะช่วยจับเราไว้ ไม่ให้ตกไปลงในสิ่งที่เป็นทุกข์
ธรรมะ ในความหมายลึกไปกว่านั้น ธรรมะ คือ องค์พระพุทธเจ้า องค์ธรรมะ พระพุทธเจ้าองค์ธรรมะ ธรรมะ พระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมะ องค์ธรรมะนั้น องค์พระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมะนั้นนะ เรียกว่า ธรรม พูดแล้วว่าเป็นนิรันดร เป็นนิรันดร พระพุทธเจ้าองค์ธรรมนี้ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่อะไรหมดเลย เขาเรียกว่าธรรมเหมือนกัน กันยิ่งๆ ยิ่งเป็นธรรมหนัก เป็นธรรมในความหมายที่หนักขึ้นไปอีก พระพุทธเจ้าองค์ธรรม คือ ธรรมะ
ทีนี้ พูดในเรื่องธรรมชาติสักหน่อย เพราะว่าธรรมะนั่นคือ ธรรมชาติ ธรรมะ คือเรื่องธรรม ชาติ ในความหมายที่สาม เรื่องธรรมชาติ มี ๔ ความหมายนะ
เอ้า, ทีนี้สรุป ให้มันเป็นเรื่องสรุป ให้มันสั้นเข้ามาก็ว่า ธรรมะ โดยพยัญชนะ ธรรมะ โดยพยัญชนะ โดยตัวคำพูด หรือหนังสือ ธรรมะคือ สิ่งที่ทรงตัวเองและทรงสิ่ง สิ่งที่มีธรรมะ ธรรมะจะทรงตัวมันเอง และธรรมะจะทรง ทรงสิ่งที่มีธรรมะ ทรงตัวมันเองนี้มันมีอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ธรรมะเป็นสิ่งที่มีอยู่ได้โดยตัวมันเอง ตามกฎของธรรมชาติ เป็นธรรมชาตินั้นเข้าใจยาก อธิบายยาก แต่ว่าธรรมะทรงตัวมันเองอยู่ได้ แล้วทรงตัวสิ่งที่มีธรรมะ อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานตัวไหนปฏิบัติถูก ต้องตามกฎของธรรมะ มันก็ไม่ตาย ต้นไม้ ต้นไม้เหล่านี้ ต้นไหนที่มันมีการเป็นอยู่ถูกต้องตามธรรมะ ตามกฎของธรรมชาติมันไม่ตาย ลองต้นไม้ต้นไหนบ้าบออุตริให้มันผิดกฎธรรมชาติ มันก็ตาย ฉะนั้นธรรมะมันทรงตัวมันเองด้วย มันทรงตัวสิ่งที่มีธรรมะด้วย นี่โดยตัวหนังสือ โดยพยัญชนะ มันเป็นอย่างนี้
เอ้า, ทีนี้โดยอรรถ โดยความหมายว่าธรรมะคือหน้าที่แห่งความรอด ของสิ่งที่มีชีวิตในทุกความหมาย ชีวิตทุกชนิดทุกความหมาย มันต้องมีความรอดจึงจะเรียกว่ามีชีวิต พอไม่มีชีวิตมันก็ไม่มีความรอด พอไม่มีความรอดมันก็ไม่มีชีวิต ชีวิตมันอยู่ได้ด้วยความรอด ธรรมะนั้นคือหน้าที่แห่งความรอด หน้าที่ที่ทำให้เกิดความรอด นี่โดยอรรถ โดยความหมายของคำ คำนี้ โดยตัวหนังสือว่าทรงตัวมันเอง และทรงตัวสิ่งที่มีธรรมะ โดยความหมายว่า หน้าที่แห่งความรอด ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด เอ้า, ทีนี้สรุปความหมดว่า ธรรมะโดยหน้าที่ ธรรมะโดยหน้าที่ ธรรมะโดยหน้าที่ ช่วยให้ผู้มีธรรมะนั้นไม่มีทุกข์ ธรรมะมีหน้าที่ หน้าที่ช่วยผู้มีธรรมะไม่ให้มีความทุกข์ ทุก ทุก ทุกบทบาท ทุกขั้นตอน ทุก ทุกระยะของชีวิต
เด็กๆ นะ ถ้ามันจะมีธรรมะนะ มันเรียนหนังสือสนุก ไม่มีความทุกข์ พอมันเรียนสำเร็จแล้ว มันไปทำงาน ถ้ามันมีธรรมะ ทำงานสนุก ไม่มีความทุกข์หรอก ทำงานได้เงินมาเก็บเงินมา มีเงินไว้ใช้สอย ถ้ามันมีธรรมะ มันไม่มีความทุกข์หรอก ชาวไร่ ชาวนาถ้ามีธรรมะ ทำงานทำนาสนุก พ่อค้ามีธรรมะค้าขายสนุก ข้าราชการมีธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่สนุก กรรมกรมีธรรมะ ทำกรรมกรสนุก แม้แต่ขอทาน ขอทานมีธรรมะ ก็ขอทานสนุก ธรรมะช่วยชีวิต ไม่มีความทุกข์ ให้มีความสนุก นี่สรุปความว่าธรรมะ โดยหน้าที่ ก็คือช่วยสิ่งที่มีชีวิตไม่ให้เป็นทุกข์ พอหรือยังล่ะ ธรรมะเป็นพร เป็นพรได้ไหม ธรรมะเป็นพรได้ไหม ธรรมะเป็นพระเจ้าผู้ช่วยได้ไหม ธรรมะเป็นพระเจ้าที่มีพร มีพรที่จะให้พร และช่วยได้จริงไหม ทบทวนอีกทีว่าอย่างไรนะ ว่าทีเดียวตลอดเลยนะ
ธรรมะ คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงเคารพ
ธรรมะ คือ หน้าที่ ที่ช่วยให้เกิดความรอด ทั้งทางกาย ทางจิตตลอดชีวิต ทั้งตนเองและผู้อื่น
ธรรมะ คือ สิ่งที่ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอนุพุทธเจ้า เป็นสาวกพระพุทธเจ้า กระทั่งเป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ดี
ธรรมะ เป็น คู่ชีวิต พรากจากกันไม่กี่นาทีตาย
ธรรมะ คือ ธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ทุกหนทุกแห่ง ทุกสากลจักรวาล เราหายใจธรรมะ เข้าออก เข้าออก อยู่ก็ไม่รู้จัก โง่กี่มากน้อยที่ไม่รู้จักธรรมะในความหมายอย่างนี้ ธรรมะจะทรงผู้ที่มีธรรมะ ไม่ให้ตกลงไปในสภาพที่ไม่น่าปรารถนา ไม่ว่าชนิดไหน
ธรรมะ คือ พระพุทธเจ้า พระองค์ธรรม พระองค์ธรรม เป็นนิรันดร
ธรรมะ คือ ธรรมชาติในความหมายที่สาม แห่งธรรมชาติสี่ความหมาย
ธรรมะโดยพยัญชนะ คือ สิ่งที่ทรงตัวเอง และทรงผู้มีธรรมะ
ธรรมะโดยอรรถ โดยเนื้อความ ก็คือ หน้าที่ หน้าที่แห่งความรอดของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดเลย
สรุปแล้ว ธรรมะ คือ หน้าที่ หน้าที่ ช่วยคนให้ไม่ต้องมีความทุกข์ มันจะยากจนเข็ญใจอย่างไร ถ้ามันมีธรรมะ มันไม่มีความทุกข์ มันจะเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายกาจ เกินกว่าโรคมะเร็งไปอีก ก็ไม่มีความทุกข์ ถ้ามันมีธรรมะแล้ว มันจะสามารถขับไล่ความทุกข์ออกไป บรรดาสิ่งที่ต้องทำทั้งหลายก็ทำได้ โดยไม่ต้องมีความทุกข์ ฉะนั้นขอให้จำกันไว้ให้ดี ไปบอกลูกบอกหลานให้ดีว่ามีธรรมะตั้งแต่เกิดจนตายเถิด เพราะจะไม่มีความทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย ธรรมะคืออย่างนี้
เอ้า, ทีนี้ก็อยากจะพูดเลยไปถึงธรรมะกับพระพุทธเจ้า เพราะได้พูดมาแล้วข้างต้นว่า ธรรมะคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพ นี่ลูกหลานสาวกผ่าเหล่า มันไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าเคารพ ไอ้คนเหล่านี้มันไม่เคารพ ทั้งที่มันเรียกตัวเองว่า ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า มันลูกศิษย์ขี้โกง มันลูกศิษย์ที่ไม่มีความหมาย ถ้ามันเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ก็ต้องเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้า ท่านเคารพสิ นี่ขอให้มองเห็นชัดๆ กันอย่างนี้ เรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นพ่อบ้าง เป็นอะไรบ้าง โกหกทั้งนั้นเลย มันไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ เป็นอะไร ขอให้เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ สิ่งนั้นคือธรรมะ
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ของท่าน หน้าที่ของท่านคือช่วยคนทั้งโลกให้สามารถช่วยตัวเอง ฟังดูให้ดีๆ นะ ถ้าฟังผิดแล้วโง่นะ พระพุทธเจ้าช่วยคนทั้งโลกให้สามารถช่วยตัวเอง แต่ยายบ้าตาบ้าที่ไหนไม่รู้ มันจะให้พระพุทธเจ้าช่วยท่าเดียว มันไม่ช่วยตัวเอง มันไม่ช่วยตัวเอง จะให้พระพุทธเจ้าช่วยตะพรึด มันไม่ช่วยตัวเอง แต่พระพุทธเจ้าท่านมีหน้าที่ ที่จะทำให้ทุกคนสามารถช่วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นท่านจะตรัสทำไมว่า อัตตทีปา อัตตสรณา ธรรมะทีปา ธรรมะสรณา มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดว่ามีฉันเป็นที่พึ่ง เรานี่มันเอาเปรียบ บังคับให้พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีตัวเองเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าท่านมีหน้าที่สูงสุดคือ ทำให้ทุกคนสามารถช่วยตัวเอง นั่นแหละพระคุณของพระพุทธเจ้า หน้าที่ของพระพุทธเจ้าคือช่วยทุกคน สามารถช่วยตัวเองได้ เราศึกษาธรรมะแล้วมาปฏิบัติ แล้วธรรมะนั้นจะช่วยเราได้ นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นศาสนาอื่น เขาให้เทวดาช่วย ให้ผีช่วย โชคช่วย ให้พรหมช่วย พระเจ้าช่วย ให้ใครไม่รู้ช่วย แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า ตัวเองที่ประพฤติธรรมะ มีธรรมะ นั้นแหละจะช่วย ก็เรียกว่าตัวเองช่วยตัวเอง เพราะปฏิบัติธรรมะเอง แล้วธรรมะมันก็ช่วย ธรรมะช่วยเพราะตัวเองมีธรรมะและปฏิบัติธรรมะ นี่พระพุทธ ศาสนามันต่างจากศาสนาอื่นหมดอย่างนี้ ท่านมีความเคารพธรรมะ เคารพหน้าที่
ขอโอกาสพูดสักหน่อยนะ อย่ารำคาญ เพราะมันเคยพูดมาบ้างแล้วว่า พระพุทธเจ้านี่ท่านทำงานครบวงจร วันและคืน วันและคืน ๒๔ ชั่วโมง ท่านทำงานครบวงจร นี่ขอเอาตามบาลีที่เราเรียกว่า บอกวัตร บอกวัตร เป็นคำพูดที่มีเหตุผลเชื่อได้ ยิ่งศึกษาไปก็ยิ่งเห็นว่ามีเหตุผลที่เชื่อได้ ตั้งต้นว่า ก่อนสว่าง หัวรุ่งก่อนสว่าง ก่อนหัวรุ่ง ภัพพา ภัพเพ วิโล กานัง ส่องไปทั่วจักรวาลว่า สัตว์ตัวไหนมันควรจะไปช่วยในวันนี้แล้ว ภัพพา ภัพเพ ตัวไหนสมควร ตัวไหนไม่สมควร สัตว์ตัวไหนสมควรแล้วที่จะไปช่วยในวันนี้แล้ว ท่านนึกไว้ตัดสินใจแน่ไว้ตั้งแต่ไม่ทันสว่างโน่น แล้วพอสว่างขึ้นท่านก็ไปที่นั่น ไปช่วยมันให้สำเร็จ ไปในรูปขอทาน ไปบิณฑบาตนะ แต่กลายเป็นช่วย ไปฉันที่นั่น ไปพูดที่นั่น ไปชักจูงที่นั่น จนช่วยคนนั้น แม้เป็นมิจฉาทิฐิมันก็กลับตัวได้ สว่างขึ้นมาท่านก็ไปช่วยในนามไปบิณฑบาต จนเที่ยงจนสาย จนเที่ยงก็ได้ เที่ยงมันร้อนก็พักผ่อนนิดหน่อย พอตอนบ่ายก็ต้องแสดงธรรมแก่ประชาชน ที่ไปถึงวัดไปถึงที่พักของท่าน ประชาชนมักจะไปตอนบ่าย ตอนบ่ายท่านก็เทศโปรดสอนประชาชน จนค่ำ พลบค่ำก็ปะโทเสภิกขุโอวาทัง พลบค่ำ ก็สอนภิกษุที่มีอยู่ในวัด อัฑฒรัตเตเทวะปัญหะนัง จนเที่ยงคืน เที่ยงคืน สอนเทวดา แก้ปัญหาเทวดา เทวดาที่เป็นรามามหากษัตริย์ก็ดี เทวดาจากเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ก็ดี ล้วนแต่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลาเที่ยงคืนทั้งนั้นแหละ ต้องเที่ยงคืนถึงรับแขกเทวดา ว่ากันไปจนเลยเที่ยงคืน ดึกดื่น พักผ่อนนิดหน่อย เดี๋ยวก็จะ จะสว่างอีกแล้วก็ ภัพพา ภัพเพ วิโลกานังอีก พักผ่อนนิดเดียวก็ ภัพพา ภัพเพ วิโลกานังอีก มาดูว่าพรุ่งนี้จะไปช่วยใครโว๊ย ท่านทำงานครบวงจร ครบวงจร วันคืน ๒๔ ชั่วโมงอย่างนี้
พวกเรามันทำกันอย่างนี้ ทำงาน ๘ ชั่วโมงก็บ่นอู้แล้ว นี่ทำงานวงจร ๒๔ ชั่วโมง แล้วคนที่เรียกว่าลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ก็ยังไม่ทำตามพระพุทธเจ้านี่ มันว่าแต่ปาก เขาให้บูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ เหมือนพระพุทธเจ้า เมื่อท่านอยู่เมืองนี้ จังหวัดนี้ มณฑลนี้ ประเทศนี้ ประเทศเล็กๆ ในอินเดีย สมควรแก่เวลาแล้วต้องย้ายไปประเทศอื่น นี่น่าหัวแหละ มันไม่มีรถยนต์ พระพุทธเจ้าไม่มีรถยนต์ เดี๋ยวนี้บางองค์ มีตั้งหลายคัน มีรถกัน ไม่มีรถยนต์ แล้วก็ไม่ยอมนั่งพาหนะที่เทียมด้วยสิ่งมีชีวิต เกวียนเทียมด้วยวัวไม่นั่ง รถม้าเทียมด้วยม้าไม่นั่ง ไม่นั่งพาหนะที่มันเทียมด้วยสิ่งมีชีวิต ท่านก็ต้องเดิน อะไรมันจะช่วยได้ล่ะมันไม่มี เท่าที่อาตมาสอบสวนดูตามพระบาลี ไม่มี ไม่มีรองเท้า ไม่มีร่ม พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้า ไม่มีร่ม พวกเรามีกันหรูหราไปเลย ทั้งรองเท้าและทั้งร่ม พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้า ไม่มีร่ม แม้ในพระไตรปิฏกวินัย ตามวินัยจะพูดถึง รองเท้า รองร่ม ร่ม ก็พูดเถอะไม่มี พระพุทธเจ้าท่านไม่มี เพราะไม่มีพบตรงไหน พระพุทธเจ้ามีร่ม มีรองเท้า พระพุทธเจ้าไม่มีมุ้งนะ พระพุทธเจ้าไม่มีกลด อย่างที่มีกันเดี๋ยวนี้นะ ไม่มีอะไรมากมายหลายอย่าง อย่างที่พวกเรามีกันเดี๋ยวนี้นะ พระพุทธเจ้าไม่มีกล้องถ่ายรูปนะ เดี๋ยวนี้แม่ชีก็มีกล้องถ่ายรูปนะ วันก่อนเราเห็นแม่ชีแก่ๆ ถือกล้องถ่ายรูปมาถ่าย พระพุทธเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ร่มยังไม่มี รองเท้ายังไม่มี นึกถึงเมืองจีนเขามีหมอเท้าเปล่า หมอเท้าเปล่า ช่วยคนทั่วๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง ตีนเปล่า หมอตีนเปล่านะ พระพุทธเจ้าก็คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ มีลักษณะเท้าเปล่าเดินไปช่วยคน ท่านเดินได้เป็นโยชน์ๆ แล้วรถยนต์จะทำอะไรได้ ก็เท้าเปล่าท่านยังเดินได้เป็นโยชน์ๆ
กระทั่งว่า วันที่จะปรินิพพานอยู่แล้ววันนั้นนะ กลางวันยังเดินอยู่เป็นโยชน์โยชน์นะ ไม่ใช่ไปโรงพยาบาลนา เดินไปหาที่นิพพาน ไปถึงที่นิพพานแล้วเตรียมเพื่อที่จะปรินิพพานกันอยู่แท้ๆ ยังมีนักบวชในศาสนาอื่นมาขอให้ช่วยสอน สอนธรรมะ ขอศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ทั้งหลาย โอ, นี่ มันเกิน เกินไปแล้ว มันบ้าแล้ว มารบกวนกันเวลาอย่างนี้ ก็ไล่ ไป ไป ไป พระพุทธเจ้าว่าอย่าไล่ อย่าไล่ บอกมา บอกมา จะถามอะไรก็ถาม สอน สอน สอนจนรู้ธรรมะ ชนิดที่เป็นพระอรหันต์ได้ เป็นพระอรหันต์ได้ในเวลาต่อมา เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายที่พระพุทธเจ้าสอนเอง ก็เรียกได้ ต่อมาไม่กี่นาที ท่านก็ ก็นิพพาน ท่านก็นิพพาน ใช้คำว่าอย่างนี้ ไม่ไกลเกินความจริง ท่านก็ไม่กี่นาที สอนคนสุดท้ายแล้วต่อมาไม่กี่นาที ท่านก็ปรินิพพาน ที่เรียกว่าดับขันธ์หรือตาย ไม่ใช่นิพพาน ปรินิพพาน ดับขันธ์ด้วย นิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ประโยคนี้ถ้าท่านจะใช้ให้ถูกต้อง ท่านต้องใช้คำว่า ดับขันธ์ด้วยปริ ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ที่เราเรียกว่า ตาย ตาย ตายของพระพุทธเจ้านะ คือ ดับขันธ์ด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ
อนุปาทิเสส นิพพานธาตุ ท่านมีอยู่เป็นประจำ ท่านได้แล้วตั้งแต่วันตรัสรู้โน่น ตั้งแต่วันตรัสรู้ ท่านมีอนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นสมบัติประจำ แล้วท่านอยู่ด้วยสิ่งนี้มาจนถึงเวลาดับขันธ์ ท่านก็ดับขันธ์นั้นด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ มันไม่ใช่ตาย ตายอย่างคนธรรมดา ดังนั้นท่านจึงสามารถที่จะดับขันธ์นะ อย่างปิดสวิตช์ พูดภาษาบ้านว่า ตายอย่างปิดสวิตช์ไฟ เหมือนปิดสวิตช์ไฟฟ้า ปิดสวิตช์ไฟฟ้ามันก็ดับ เมื่อยังไม่ ไม่ดับ ท่านก็มี มีความรู้สึกเป็นสมาบัติ เป็นฌาน เป็นสมาบัติ แล้วออกจากสมาบัติ แล้วก็อยู่ในฌานนั้น ฌานนี้ พอออกจากฌานสุดท้ายที่ท่านต้องการแล้ว ก็เหมือนกับปิดสวิตช์ไฟดับ เหมือนกับการเล่น เล่นฌาน เข้าฌานอย่างต่ำสุด แล้วก็เลื่อนไปเข้าฌานสูงสุด เข้าฌานสูงสุดแล้วมาต่ำสุด แล้วพอถึงจากนั้นก็อยู่ตรงกลาง อยู่ตรงกลางระหว่างต่ำสุดกับสูงสุด คือ ออกจากจตุรฌาน ไม่เข้าไปอรูปฌาน ท่านเข้าไปปรินิพพานที่นั่น เหมือนกับปิดสวิตช์ไฟ ความคล่องแคล่วในฌานทำได้ง่ายเร็ว เหมือนกับปิดสวิตช์ไฟ
นี่ พระพุทธเจ้าเท้าเปล่า พระพุทธเจ้าเท้าเปล่า ไม่มีร่ม ไม่มีรองเท้า ท่านทำงานอย่างนี้ ครบวงจรอย่างนี้ แล้วก็ทั่วไปทั้งประเทศอินเดีย ตรงที่ ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจนวาระสุดท้าย ต้องใช้คำพูดว่าท่านทำหน้าที่จนนาทีสุดท้าย ทำงานจนหน้าที่สุดท้าย พูดให้มันธรรมดาๆ ก็ว่าทำงานจนตาย วินาทีสุดท้ายทำงาน ทีนี้ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าว่ายังไง มันคอยจะหลบงาน หนีงาน คดโกงงาน กบฏงาน พวกข้าราชการลงเวลาทำงานในสมุดทำงาน โกหกทั้งนั้นเลย มันไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่การงาน ขอให้เป็นสาวกพระพุทธเจ้าเถิด บูชาการงาน เคารพการงาน ซื่อตรงต่อการงาน
นี่ดูพระพุทธเจ้าทำหน้าที่ของท่านอย่างไร แล้วก็เคารพสิ่งนั้น คือ สิ่งเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าเคารพเถิด เราจะได้รับสิ่งที่เรียกว่า พุทธพร พุทธพร พรของพระพุทธเจ้า พรจากพระพุทธเจ้า พรอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า จะมีทั้งพุทธพร จะมีทั้งธรรมพร ไม่ต้องใส่โกดังล่ะ ใส่ในกระเป๋าก็อาจจะ ไม่ ไม่ ไม่พอ ไม่ใช่พรขอ พรให้เป็นโกดังๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ พรชนิดนี้เกือบจะไม่มองเห็นตัว แต่ช่วยให้พ้นทุกข์ ดับทุกข์สิ้นเชิง นี่เคารพพระพุทธเจ้าเถิด จะมีพุทธะพร จะมีธรรมะพร
เอาล่ะ พูดกันอีกนิดหนึง เมื่อเรามีปัญหาเกี่ยวกับธรรมะนี้อย่างไร พวกเราในปัจจุบันนี้ มีปัญหายุ่งยากลำบากเกี่ยวกับธรรมะนี้อย่างไร พอพูดขึ้นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายเป็นอันว่า คงจะนึกได้ทันทีแล้วว่า มันมีปัญหาว่าเราไม่มีธรรมะนี่ เราสมัยปัจจุบันนี้ ในโลกปัจจุบันนี้ มันไม่มีธรรมะ แล้วอะไรจะมาช่วยล่ะ คนในโลกปัจจุบันนี้ไม่มีธรรมะ แล้วมีอะไรล่ะ มีอะไร มีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี่ ดูดีๆ นะ ไม่ได้พูดเล่นนะ มันจริงเกินจริง มีแต่ความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเห็นแก่ตัว คนจนก็เห็นแก่ตัว คนรวยก็เห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว นี่ล่ะทุกคนจะเห็นแก่ตัว ในที่บางแห่งนะ อย่าออกชื่อที่ไหนนะ ประชาชนทุกคนก็เห็นแก่ตัว รัฐสภาของมันก็เห็นแก่ตัว รัฐบาลของมันก็เห็นแก่ตัว แล้วอะไรมันจะเหลือเล่า อะไรมันจะเหลือเล่า ประชาชนก็เห็นแก่ตัว รัฐสภาก็เห็นแก่ตัว รัฐบาลก็เห็นแก่ตัว อย่างนี้แล้ว อะไรมันจะเหลือเล่า มันก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว คนในโลกเห็นแก่ตัว แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนี้ คือโลกของการต่อสู้แข่งขัน แย่งชิง กอบโกย เบียดเบียน ขัดแย้ง ขัดแย้งกันไม่มีวันสร่างซา
มันน่าขันแหละ ที่ว่ามันมีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเต็มไปหมดทุกบ้าน ทุกเรือน ทุกผู้ทุกคน ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ท้าทายศาสนาทุกศาสนา เป็นคำพูดที่ไม่เข้าใจยากนักหรอก ความ เห็นแก่ตัวของมนุษย์ทุกคน กำลังท้าทายศาสนาทุกศาสนา ว่ากล้าดีมึงมาปราบกูทีวะ กล้าดีมึงมาปราบกูทีวะ ความเห็นแก่ตัวมันจะท้าทายอย่างนี้ ยังไม่มีศาสนาไหนมาช่วยโลกนี้หมดความเห็นแก่ตัว บางทีศาสนานั่นเอง มันก็เห็นแก่ตัวเสียอีก ก็เลิกกัน ทุกศาสนา ทุกศาสนา มีความไม่ ไม่สามารถจะปราบความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวในโลกทั้งหมดนี้มันท้าทายศาสนา ว่าลองมาปราบฉันดูสิ มันก็ทำไม่ได้แหละนะ ศาสนามันเห็นแก่ตัวเสียเอง เจ้าหน้าที่ของศาสนามันก็เห็นแก่ตัวเสียเอง พระเจ้า พระสงฆ์ บางเหล่า บางพวกก็เห็นแก่ตัวเสียเอง ศาสนาบางศาสนาจะครองโลกโน่น ศาสนาบางศาสนาย่ำยีทำลายศาสนาอื่น มันจะครองโลกโน่น นี่มันเห็นแก่ตัว ศาสนาชนิดนี้มันจะไปทำลายความเห็นแก่ตัวในโลกได้อย่างไร
เรากำลังมีปัญหาหนักที่สุดในทางศาสนา มีคู่แข่งขันท้าทายสูงสุด คือ ความเห็นแก่ตัว เป็นพญามาร เป็นอะไร ศัตรูเลวร้ายที่สุดของศาสนา คือความเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญด้วยวัตถุ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญด้วยวัตถุ ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะว่าความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ มันทำให้สร้างความเจริญทางวัตถุ ซึ่งมันเกินเกินความต้องการ แต่มันเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ มันทำให้สร้างอุตสาหกรรม เจริญด้วยวัตถุ เจริญด้วยวัตถุ พอสร้างขึ้นสำเร็จแล้ว มันก็ย้อนกลับไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัว มันเกินมาจากความ เห็นแก่ตัว เกินมาแล้วมันก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว โลกนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ดังนั้นโลกถึงที่สุดแห่งอุตสาหกรรมเมื่อไร เมื่อนั้นเป็นความวินาศแหละ ไม่ต้องพูดถึงเป็นแค่นิค แค่แน๊คเด็กๆ อุตสาหกรรมเต็ม อุตสาหกรรมเต็มขั้นเมื่อไร ก็วินาศเมื่อนั้น เพราะมันออกมาจากความเห็นแก่ตัว ออกมาแล้วมันก็กลับไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็ยุ่งมากขึ้นในโลก มากขึ้นในโลก ควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็ทำ ลายโลก เดี๋ยวนี้มันก็ทำลายเหลือประมาณแล้ว
ความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัว ลองคิดดูมันเป็นอย่างไรบ้าง คนที่เห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัว มันก็อย่างอันแรก มันก็ขี้เกียจแหละ มันก็ขี้เกียจ มันก็ไม่ทำงาน คนอื่นทำงาน แล้วฉันก็ขอเป็นคนขี้เกียจ อือ, คนเห็นแก่ตัวไม่สามัคคี จะเรียกร้องความช่วยเหลืออะไรจากคนเห็นแก่ตัวมันก็ไม่ได้ คนเห็นแก่ตัวมันก็อิจฉา ริษยา ทำลายผู้อื่น ไม่รักใคร ไม่มีอะไรดีกับใคร คนเห็นแก่ตัวมันก็กอบโกย กอบโกย เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ของผู้อื่นไม่รู้ไม่ชี้ มันก็สร้างไอ้สิ่งเลวร้ายเป็นมลภาวะบ้าง ทำลายธรรมชาติบ้าง คนเห็นแก่ตัว ทำให้เกิดปัญหานานาชนิด ปัญหายาเสพติด ปัญหาโรคบ้าๆ บอๆ มีโรคมากขึ้น มากขึ้น เพราะคนเห็นแก่ตัว นี่มันเห็นแก่ตัวหนักเข้า เห็นแก่ตัวหนักเข้า ลองคิดดูมันน่าขำ ไม่น่าขำ ถ้าผัวก็เห็นแก่ตัว เมียก็เห็นแก่ตัว มันก็ต้องกัดกันใช่ไหม ขออภัย พูดอย่างนี้มันง่าย พูดอย่างอื่นฟังยาก ถ้าผัวก็เห็นแก่ตัว เมียก็เห็นแก่ตัว มันก็ต้องกัดกันแหละ ในที่สุดมันต้องหย่ากัน
ความเห็นแก่ตัวมันทำให้เกิดสิ่งเลวร้ายทุกชนิดนะ สร้างคุก สร้างตะรางมาเท่าไรก็ไม่พอ เก็บคนเห็นแก่ตัว ตำรวจมีเท่าไร ก็ไม่พอจะกำจัดคนเห็นแก่ตัว ศาลยุติธรรมมีเท่าไรก็ไม่พอจะวินิจฉัยคดีอันเกิดมาจากคนเห็นแก่ตัว รัฐบาลบอกว่าไม่มีเงินแล้วที่จะสร้างเพิ่ม สร้างเรือนจำเพิ่ม สร้างตำรวจเพิ่ม สร้างศาลเพิ่มไม่มี คนเห็นแก่ตัวมันมาก มันเจริญงอกงาม นี่ในที่สุดมันก็หลงทาง มันก็หลงทาง
ความเห็นแก่ตัวนี้ควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็หลงทาง เป็นบ้า จนสร้างโรงพยาบาลบ้าไม่ไหว รัฐบาลก็บอกเหมือนกันว่า ไม่มีเงินจะสร้างโรงพยาบาลบ้าเพิ่มแล้วนะเดี๋ยวนี้ คนเห็นแก่ตัวในที่สุดมันเป็นคนบ้าทั้งนั้น เป็นบ้า อีกทางหนึ่ง มันก็ฆ่า ฆ่า ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าตัวเองตาย เพราะความเห็นแก่ตัว คนบ้า ความเห็นแก่ตัวเลวร้ายสารพัดอย่าง พูดไม่ไหว นี่กำลังท้าทายศาสนา ท้าทายศาสนาให้ปราบ ศาสนาก็ไม่มีปัญญาจะปราบ เพราะไม่มีใครถือศาสนา
มันมีความลับอะไรอยู่อย่างหนึ่ง มันควรจะพูดหรือไม่ควรก็ไม่รู้ ต้องพูดเบาๆ นะ พูดกระซิบว่าเดี๋ยวนี้ ทุกคนในโลก กำลังถือ "ศาสนาประโยชน์" คือสิ่งที่กูชอบ ปากมันว่าถือพุทธ ถือศริสต์ ถืออิสสลาม ฮินดู ซิกซ์ ปากมันว่าอย่างนั้น แต่หัวใจมันถือศาสนาประโยชน์ เอาประ โยชน์เป็นศาสนา จริงไหม ทุกคนในโลกมันถือศาสนาประโยชน์ ได้ประโยชน์นะเป็นสิ่งสูงสุด
เพื่อนของอาตมาคนหนึ่ง ชำนาญ ชื่อชำนาญ ตายไปแล้ว เขามีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่น คุยกันคุ้น เคยกันดี ในที่สุดก็ถามว่า คุณอยู่ที่ญี่ปุ่น ถือศาสนาอะไร เขาได้ยินว่าในญี่ปุ่นก็มีหลายศาสนาเหมือนกัน เพื่อนญี่ปุ่นคนนั้นก็ตอบว่า ผมถือศาสนาฮิตาชิ ฟังออกไหม ศาสนาฮิตาชิ เขาถือศาสนาฮิตาชิ คือบริษัท ฮิตาชิเลี้ยงดูเขาไว้ เขาอยู่ด้วยเงินเดือนของบริษัทฮิตาชิ เขาก็ถือศาสนาฮิตาชิ นี่แหละเรียกว่า ศาสนากำลังพ่ายแพ้แก่ศัตรู ซาตานมารร้ายของศาสนา คือ ความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าที่นี่ ไม่ว่าที่ไหน ความเห็นแก่ตัวกำลังท้าทายเยาะเย้ย สิ่งที่เรียกว่าศาสนา ศาสนากำลังพ่ายแพ้ ศาสนาทะเลาะกันเสียเอง ไม่สามัคคีกันที่จะไปปราบปรามศัตรูของศาสนา แล้วธรรมะมันจะอยู่ที่ตรงไหน ธรรมะจะมีที่อยู่ที่ตรงไหน มันมีแต่คนถือศาสนาประโยชน์ ถือศาสนาประโยชน์นี่ ปัญหาเกี่ยวกับธรรมะของเรามันเป็นเสียอย่างนี้ ยิ่งเจริญด้วยวัตถุ ก็ยิ่งเกลียดธรรมะ ยิ่งเจริญด้วยวัตถุ ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัวก็ยิ่งสร้างปัจจัยของความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็ครองโลกทั้งโลก
ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้แหละ เป็นสิ่งเลวร้ายจนไม่มีคำพูดจะพูด มันเบียดเบียนกัน มันก็มีแต่การเบียดเบียนกัน มนุษย์เห็นแก่ตัว มันก็เป็นมนุษย์ปุถุชน จมปลักอยู่ที่นี่ สัตว์นรกเห็นแก่ตัวก็ไม่มีโอกาสจะขึ้นจากนรก เทวดาหลงในกามารมณ์ก็เห็นแก่ตัว จนไม่มีโอกาสเป็นพระอรหันต์ พวกเทวดาบ้ากามารมณ์ในสวรรค์ จนไม่มีโอกาสเป็นพระอรหันต์ มาร มาร คือ ยอดสุดของ เทวดากามารมณ์ บรรดาเทวดาสวรรค์กามารมณ์ มียอดสุดอยู่ในขั้นที่เรียกว่า มาร ปรนิมมิตสวัตตี นั่นแหละที่อยู่ของมาร มารก็บ้ากามารมณ์สูงสุด จนไม่มีโอกาสไปสวรรค์ พวกพรหมก็เห็นแก่ตัว จนไม่ได้นิพพาน รูปพรหมก็มีตัวกู มีตัวกูเป็นอย่างรูปพรหม หลงตัวกู บ้าตัวกูจนไม่มีนิพพาน อรูปพรหมขั้นสุด ท้ายแล้วก็ยังหลงตัวกู บ้าตัวกู เป็นเนวสัญญานาสัญญาอยู่อย่างนั้น ไม่นิพพาน พรหมก็มันไม่นิพพาน เพราะมันเห็นแก่ตัว เห็นไหม ความเห็นแก่ตัว ศัตรูเลวร้ายมันครอบงำสัตว์ทุกตัว สัตว์ทุกชนิด ทุกตัว ครอบงำเทวดาทุกตัว ครอบงำพรหมทุกตัว ทุกตัวไม่ได้นิพพาน เพราะความเห็นแก่ตัว คือมันไม่มีธรรมะ มันไม่มีธรรมะ นี่เรียกว่าดูให้ดีเถิดว่า เรากำลังอยู่ในสภาพอย่างไร บูชาประโยชน์ ถือศาสนาประโยชน์ มีความเห็นแก่ตัวเป็นรากฐาน เป็นสมุทรฐาน
เอาเถอะมาตั้งต้นกันใหม่เถอะ จะทำได้เท่าไรก็ทำเท่านั้น บูชาธรรมะ บูชาหน้าที่ตามอย่างพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมะให้สูงสุด ปิดนรกกันที่นี่ สร้างสวรรค์ที่แท้จริงกันที่นี่ เปิดพรหมโลกกันที่นี่ และนิพพานกันที่นี่เถิด มีธรรมะให้สูงสุด
ปิดนรกกันที่นี่ สร้างสวรรค์กันที่นี่ สร้างพรหมโลกกันที่นี่ นิพพานกันที่นี่ เย็น เย็น เย็น เย็น เย็นกันที่นี่ โดยเลิกความเห็นแก่ตัวเสีย อาวุธที่จะประหารความเห็นแก่ตัวคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ต้องเน้นๆ คำว่าถูกต้อง ถูกต้อง ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องไม่ใช่ธรรมะ ถ้าถูกต้องมันจะกำจัดความเห็นแก่ตัว ธรรมะถ้าถูกต้องจะกำจัดความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่กำจัดความเห็นแก่ตัว มันก็ไม่ใช่ธรรมะที่ถูกต้อง แล้วเราจะเอาธรรมะมาเป็นพร บูชาธรรมะเป็นพร มีพุทธะเป็นพร ไม่ต้องมีทั้งโกดัง มีกำมือนึงก็พอ พรที่นี่ไม่ต้องมีเป็นโกดังๆ ก็สามารถที่จะแก้ ปัญหาเลวร้ายมีอยู่ในชีวิตชีวานี้ได้
ขอให้มีธรรมะทุกอิริยาบท ทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนเล็กที่สุดใน ทางพื้นที่เรียกว่าทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนเล็กที่สุดในทางเวลาเรียกว่าวินาที ในการเคลื่อนไหวเเรียกว่าอิริยาบท ทุกอิริยาบท ทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้วเป็นธรรมะ เป็นธรรมะ มีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องคือกำจัดความเห็นแก่ตัว กำจัดความเห็นแก่ตัว คือตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์ ดับกิเลส ตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์นี่ พระพุทธเจ้าท่านรู้เรื่องนี้ เพราะว่าท่านทำหน้าที่ของท่าน ช่วยให้สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราหมดนี่ สามารถทำหน้าที่อย่างเดียวกัน อาตมาจึงตั้งหัวข้อสำหรับเทศนาในวันนี้ว่า อัตตทีปา อัตตสรณา มีตัวตนเป็นที่พึ่ง มีตัวตนเป็นสรณะ ธรรมะทีปา ธรรมะสรณา มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นสรณะ อนัญญทีปา อนัญญสรณา อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย จะมีธรรมะเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง จงระมัดระวัง สังวร มีสติสัมปชัญญะให้มันถูกต้อง ถูกต้องไปทุกกระเบียดนิ้ว คือ มันจะกำจัดความเห็นแก่ตัว
จะทำอะไรสักนิดหนึงก็ขอให้มันกำจัดความเห็นแก่ตัว อย่าให้ความเห็นแก่ตัวมันจูงไป กำจัดความเห็นแก่ตัว มีสติไม่ให้ความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมา มีความรู้สึกอะไรในใจ ก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่ตัวกู เดี๋ยวนี้มันโง่ พออร่อยขึ้นมาในปาก ก็ตัวกูอร่อย พอไม่อร่อยเข้ามาในปาก ก็ตัวกูไม่อร่อย ตาเห็นรูปมันว่าตัวกูเห็นรูป มันโง่ มันพาล มันคดโกง ตาเห็นรูปนี่ก็ตัวกูเห็นรูป หูได้ยินเสียงมันก็ว่าตัวกูได้ฟังเสียง ระบบประสาททำอะไรไปตามหน้าที่ มันก็ตัวกูทั้งนั้นแหละ ตัวกูนี่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว ถ้ามีตัวกูอย่างนี้มันก็เห็นแก่ตัว มันก็เป็นสิ่งที่สำหรับจะงอกงามออกไป กิเลสทุกๆ ชนิดนี้ก็เรียกว่า ความเห็นแก่ตัว อย่าให้มันมีความรู้สึกว่าตัวกู
เกิดความรักขึ้นมาในใจ ก็อย่าเกิดตัวกูผู้รัก เกิดความโกรธขึ้นมาในใจ ก็อย่าให้มีตัวกูผู้โกรธ เกิดความเกลียด ความกลัวอะไรก็ตาม อย่าให้มีตัวกู ตัวกูเช่นนั้น มันก็ดับไปเอง เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง พอมีตัวกู ตัวกู มันต่อความยาวสาวความยืด ทำกรรมต่อไป ทำอะไรต่อไป ไม่รู้จักจบแล้วก็วินาศกันหมด นี่แหละเรียกว่ามีธรรมะกันทุกกระเบียดนิ้ว มีธรรมะกันทุกวินาที ทุกอริยาบทเถิด มีได้ไม่ว่าเวลาไหน มาเรียนหนังสือก็เรียนด้วยธรรมะ ก็จะเรียนสนุก เมื่อทำงานก็ทำด้วยธรรมะเถิด จะไม่มีความทุกข์ มันจะมีเงินเก็บเงินใช้ เงินอะไรต่อมีด้วยธรรมะเถิด เมื่อจะเกิดความทุกข์ ก็จงเกิดความทุกข์มีความทุกข์ด้วยธรรมะเถิด จะต่อสู้กัน ก็ต่อสู้ด้วยธรรมะเถิด จะแก่ จะเจ็บ จะตายก็มีธรรมะเถิด มันหายไปหมดแหละ มันไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย
นี่จบแล้วว่าธรรมะมันเป็นพรสูงสูด มาจากพระพุทธเจ้าผู้ชี้แนะให้ ก็เรียกว่า พุทธะพร พุทธะพร ธรรมะพร ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญรุ่งเรือง ด้วยพุทธะพร ธรรมะพร พรที่ให้ๆ กัน ขอแล้วให้กัน มันไม่มีโกดังจะใส่แล้ว ไม่มีโกดังจะใส่แล้วพรชนิดนั้น เอาพรชนิดที่แม้กำมือเดียวก็พอ แก้ปัญหาได้หมดทุกอย่าง คือทำลายความเห็นแก่ตัว นี่คือธรรมะพิเศษบทที่ว่ามีธรรมะพรกันเถิด เป็นใจความสำคัญของธรรมเทศนาเกี่ยวกับวิสาขบูชาปีนี้ เริ่มต้นด้วยคำว่า รู้จักพระพุทธเจ้าให้มากกว่าก่อนเถิด แล้วมีธรรมะพร มีพุทธะพรแท้จริงกันเถิด แล้วปัญหาก็จะหมดไป ถ้าท่านเข้าใจข้อความเหล่านี้แล้ว ได้รับประโยชน์เกินค่า มาจากเมืองไกล เสียเงิน เสียทอง เสียเวลาเรี่ยวแรงต่างๆ ถ้าได้รับความรู้อันนี้ไปได้ มันก็คุ้มค่า คุ้มค่า ยมบาลไม่เล่นงานแล้ว
เอาละ การบรรยายในเรื่องพุทธะพรและธรรมะพร เป็นเครื่องเปิดเผยธรรมะในโอกาส
วิสาขบูชาปีนี้ สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติการบรรยายด้วยความหวัง หวัง หวัง หวังว่าท่านทั้งหลายมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าทางแห่งพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป สามารถมีธรรมะ มีธรรมะพร มีพุทธะพร ยิ่งๆขึ้นไป เป็นความสุข สวัสดี อยู่ทุก ทิพาราตรีกาลเทอญ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้ ( สาธุ …)
พิธี วิสาขบูชา
จิตใจมุ่งหมายอยู่ที่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือ พระองค์ธรรม อย่าให้เป็นพระองค์คนไปเสียหมด ประสูติของบุคคล บังเกิดของพระธรรม ขอให้มีการเกิดของพระธรรม มีการตรัสรู้ของพระธรรม มีปรินิพพานของกิเลส นี่เราก็จะมี ประสูติ ตรัสรู้ นิพพานได้ในวันเดียวกัน ในโอกาสเดียวกัน ในที่เดียวกัน มิฉะนั้นต้องแยกห่างกันอยู่เป็นปีๆ วันนี้ โอกาสนี้ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ปรากฏออกมา ตรัสรู้สิ่งนี้ แล้วก็กิเลสก็สิ้นไป ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน คือความหมายอย่างนี้ ขออย่าให้มุ่งหมายเอากิริยา ท่าทางหรือพิธีรีตองเป็นส่วนสำคัญ ขอให้เอาจิตใจเป็นส่วนสำคัญ ให้สำเร็จประโยชน์ด้วยความรู้สึกของจิตใจด้วยกัน การกระทำนี้ก็จะมีความหมาย มิฉะนั้นก็จะเป็นการกระทำต่ำๆ เหมือนลูกเด็กๆ เขาทำ เหมือนลูกเด็กๆ เขาทำ ไม่มีความหมาย
ให้พระสงฆ์ทำก่อน แล้วอุบาสก อุบาสิกา ฆารวาสทำทีหลัง พระสงฆ์จะไม่ต้องเดินเวียนเทียน ขอมีส่วนในการเดินเวียนเทียนของท่านทั้งหลาย แล้วจะทำการบูชาเป็นภาษาบาลีโดยพระสงฆ์ แล้วเราจะทำการบูชาเป็นภาษาไทย โดยอุบาสก อุบาสิกา ขอให้เตรียมจิตใจให้พร้อมที่จะบูชาคุณของพระพุทธเจ้า คือมีการทำจิตให้ว่าง อย่ามีตัวกู อย่ามีตัวกูของใคร อย่ามีตัวกูที่จะเอาอะไร ให้มีแต่ความรู้สึกที่ถูกต้อง ของนามและรูป ของกายและใจ มีแต่การกระทำที่ถูกต้อง ร่างกายนี้ก็จะเหมาะสมสำหรับจะทำ วิสาขบูชา เป็นภาชนะสำหรับจะรองรับธรรมะ คือ ดอกไม้ ธูปเทียนนี่ มีร่างกายเป็นเครื่องรองรับ ต้องทำร่างกายให้ดีให้สะอาด เหมาะสมที่จะเป็นเครื่องรองรับ แล้วจะใช้บูชาพระพุทธเจ้าได้ โดยหัวใจเป็นอย่างนั้น โดยปากก็ว่าไปตามนี้ เอ้า, หันทมะยัง ……
ทายก ทายิกาทั้งหลายเตรียมจุดธูปจุดเทียน จุดธูปจุดเทียนถือไว้ในมือ ทำจิตใจให้เหมาะสม สำหรับจะทำการบูชาพระพุทธองค์ ให้จิตมันว่างจากตัวกูของกู สิ่งที่เป็นตัวกูของกู เก็บไว้เสียทีก่อน แล้วก็ไม่มีตัวกู ของกูด้วย แล้วก็ไม่มีอะไรทั้งปวง ให้มีแต่ความว่าง ว่าง ว่าง ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง ว่าง ว่าง ว่าง ว่างหมด นี่แหละความว่างนี่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ทำความว่างเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า เราก็จะบูชาถูกต้ององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ้า, หัวหน้า
หันทมะยัง ….บทสวดมนต์…
เราทั้งหลาย
ถึงซึ่งพระผู้มีพระภาค
พระองค์ใดว่าเป็นที่พึ่ง
พระผู้มีพระภาค
พระองค์ใด
เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย
เราทั้งหลาย
ชอบใจซึ่งพระธรรม
ของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด
พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น
ได้ทรงอุบัติขึ้นแล้ว
ในหมู่มนุษย์
ชนชาติอริยกะ
ในมัชฌิมชนบท
เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ
เป็นโคตมะโดยพระโคตร
เป็นศากยบุตรออกบรรพชา
เป็นผู้ตรัสรู้พร้อม
ซึ่งอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณ
ในโลกทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้ชอบเอง
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว
รู้แจ้งซึ่งโลก
เป็นสารถี ฝึกบุรุษ
ไม่มีผู้ใดยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์
เป็นผู้ตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว
เป็นผู้มีภาคยธรรม
ไม่ต้องสงสัยเลย
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น
ตรัสรู้ดีแล้ว
พระธรรม
อันพระผู้มีพระภาค
ตรัสดีแล้ว
อันผู้บรรลุจะพึงเห็นด้วยตนเอง
ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา
ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามาในตน
วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
พระสงฆ์ สาวก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
ปฏิบัติตรงแล้ว
ปฏิบัติเป็นธรรม
ปฏิบัติสมควร
นี้คือคู่แห่งบุรุษสี่คู่
นับเป็นบุรุษบุคคลแปด
คือสาวกของพระผู้มีพระภาค
เป็นสงฆ์ควรแก่ของคำนับ
ควรแก่ของต้อนรับ
ควรแก่ของทำบุญ
ควรแก่การทำอัญชลี
เป็นนาบุญของโลก
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
พระสถูปนี้
เขาสร้างขึ้นแล้ว
อุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
เป็นเครื่องระลึก นึกถึง
พระผู้มีพระภาค องค์นั้น
แล้วได้ความเลื่อมใสสังเวช
ในธรรม
บัดนี้ เราทั้งหลาย
มาถึงแล้ว
ซึ่งกาละวิสาขะ บูรณมี
เป็นกาลที่ ประสูติ ตรัสรู้
และปรินิพพาน
ของพระผู้มีพระภาค
พระองค์นั้น
จึงมาประชุมกันนะที่นี้
ถือเครื่องสักการะ
มีธูปและเทียนเป็นต้น
ทำร่างกายของตน
ให้เป็นภาชนะ
เครื่องรองรับ สักการะ
ในใจระลึกถึงอยู่
ซึ่งพระคุณ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ตามที่เป็นจริงอย่างไร
จักกระทำประทักษิณ
สิ้นวาระ สามรอบ
ซึ่งพระสถูปนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงทรงรับ
เครื่องสักการะเหล่านี้
ให้มีพระคุณ
ยังปรากฏอยู่
ในฐานะเป็นอตีตารมณ์
แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
จงทรงรับเครื่องสักการะ
ของคนยาก
เหล่านี้
เพื่อประโยชน์
เพื่อความสุข
แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ตลอดกาลนานเทอญ
อิติปิโสภาควา…. (บทสวดมนต์)