แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมมิก สพรหมจารีทั้งหลาย ครั้งแรกสุดเราได้พูดกันถึงเรื่องแพของเราแตก และต่อมาเราก็พูดถึงเรื่องต้องช่วยกันสร้างแพ และเราก็ได้พูดถึงแพที่ดีที่สุด มีความรู้เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท เป็นตัวแพ มี อานาปานสติ เป็นเครื่องขับเคลื่อน และต่อมาเราก็ได้พูดถึงเรื่องการสร้างแพให้มันครบทุกขนาดจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง วันนี้เราก็จะพูด ผมจะพูดเรื่องแพพิเศษตอนรับพระพุทธเจ้า สมโภชพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องข้ามฟากแล้ว นี่เป็นเรื่องสมโภชพระพุทธเจ้า กระทำแพเหมือนกัน อย่างเขาทำแพขนานยอดพนม แห่พระพุทธรูปเป็นประจำปี แต่เราทำในลักษณะต้อนรับพระพุทธเจ้าผู้กลับมาในลักษณะที่เราประสงค์ ให้เราแสดงความยินดี คือสมโภช ดูคล้ายกับเรื่องบ้าบออะไรอยู่ ถ้าผู้ฟัง ๆ ถูกมันก็ไม่บ้าบอทั้งคนพูดและคนฟัง ถ้าคนฟัง ๆ ไม่ถูกมันก็บ้าทั้งคนพูดและคนฟัง ขอให้ช่วยฟังให้ดี ๆ
นักผู้สืบศาสนาชาวจีนยุคก่อนสมัยศรีวิชัยจะเป็น นาทีที่03.40 ปาเฮียนหรือง่วนเตียง จำชื่อไม่ค่อยถนัด หรือจะเป็น ปาเฮียง มากกว่า เขาเขียนไว้ว่า ก่อนจะถึงประเทศจีนก็ประเทศโคฏาน (Kingdom of Khotan) ก่อนจะถึงอินเดีย จะเข้าประเทศอินเดียมาจากประเทศจีนถึงประเทศโคฏาน ก็ได้พบการแห่แหนพระพุทธรูปนี่ไปตามที่ต่าง ๆ ของประชาชน ทำนองธรรมโฆษณ์สัญจรอย่างนั้นแหละ แต่เขาเอาขบวนพระพุทธรูปไปด้วย หมู่บ้านไหนหรือใครที่ต้องการจะต้อนรับ ก็เอาไว้สิ ก็ศึกษา สนทนา เลี้ยงดูกันวันหนึ่ง รุ่งขึ้นก็ไปบ้านอื่นต่อไป นี้แสดงว่าไอ้เรื่องสมโภช แห่สมโภชพระพุทธรูปนี้ไม่ใช่เพิ่งจะมี มันมีเป็นพันกว่าปีมาแล้ว พ.ศ. สัก ๗๐๐ จะได้กระมัง ไอ้บันทึก บันทึกพวกนี้ แล้วเราก็กำลังทำกันอยู่นะว่าที่จริง แต่มัน มันเลยเถิดน่ะ มันนอกขอบเขต เราจะต้อนรับพระพุทธเจ้าอย่างที่พูดมาแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าพระองค์แท้ พระพุทธเจ้าองค์เนื้อใน ที่พระองค์ได้ตรัสแสดงว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ฉะนั้นการที่เห็น ปฏิจจสมุปบาท นั้นน่ะ เท่ากับเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ฉะนั้นมันก็ทำให้เห็น เห็นกันเสียที ถึงที่สุดเลย นี่เรียกว่าต้อนรับพระพุทธเจ้าองค์จริง ปฏิจจสมุปบาทนั้นเกิดอาการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์และดับลงแห่งความทุกข์ เห็นอาการนี้ก็ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ต้องมีการเห็นอันนี้จึงจะเรียกว่าเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เอง แล้วก็เป็นองค์แท้ องค์แท้ไม่ใช่คน เป็นธรรม และก็เป็นนิรันดร กฎแห่งปฏิจจสมุปบาทนี้มันเป็นนิรันดร ตั้งแต่อะไรมีขึ้นมาจนบัดนี้ นี่ก็ไม่ต้องประสูติ ไม่ต้องตรัสรู้ ไม่ต้องนิพพานอะไรให้มันยุ่ง ไม่มี ๆ พระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน มันเป็นกฎหรือเรียกว่าแสงสว่าง หรือกฎ หรือสัจจะ อะไรก็แล้วแต่จะเรียก คงที่ ตายตัวทั้งวันทั้งคืน ตลอดกาลนิรันดร นี่ ดี พระองค์จริงเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องประสูติให้ยุ่ง ตรัสรู้นิพพานอะไรให้ยุ่ง มีการส่องแสงสว่างจ้าอยู่ตลอดนิรันดร รู้จักพระพุทธเจ้าองค์นี้แหละเป็นองค์จริง องค์เนื้อใน องค์นิรันดร องค์ที่จะช่วยเราได้ พระองค์ที่จะสามารถเอามาใส่ไว้ในใจเราได้ เราไม่ค่อยสนใจกัน
พวกฝรั่งก็เรียนแต่พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ บุคคลในประวัติศาสตร์ คิดดูเถอะมันจะมีได้กี่ปีในเมื่อนิรันดรน่ะ แล้วชาวพุทธก็ไม่ค่อยจะสนใจพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนิรันดร สนใจองค์บุคคล ต่อมาหนักเข้าไปอีกองค์บุคคลก็ลับลี้ไป เหลือแต่องค์แทนเช่นพระพุทธรูปเป็นต้น พระพุทธเจ้าพระองค์แทนน่ะมักจะไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรอก คือเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า เราก็ได้พูดกันมาแล้วว่า เราจะมีพระพุทธเจ้าองค์จริงกันด้วยการสร้างแพ ถึง คือเป็นด้วยแพนี้จะถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง หรือด้วยแพนี้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงก็จะเสด็จมา ทีนี้พอเราต้อนรับ ต้อนรับ ทุกอย่างให้มันสมกันน่ะ จะในแง่วัตถุ ในแง่การศึกษา ในแง่พิธีกรรม ในแง่อะไรต่าง ๆ ก็ ก็ขอให้มันเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไปเสียให้หมด ไม่ใช่พระองค์คน พระองค์แทน ให้บ้านเมืองของเรามันแสดงนิมิตหมายแห่งความสะอาด สว่าง สงบไปทั่วทุกหน ทุกแห่ง ให้การศึกษาระดับ ACADEMIC STUDY ของเรานี่คือการถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ไม่ใช่เรียนพุทธประวัติอันยืดยาว แล้วไปเรียนประวัติปรัชญาอันยืดยาว บ้ากันเปล่า ๆ แถมเรียนประวัติประเทศอินเดียเสียยืดยาว มันจะเฟ้อน่ะ มันจะเป็นเรื่อง เรื่องเฟ้อ พระพุทธเจ้าองค์จริงองค์หัวใจอยู่ที่ไหน เอ้า,ก็ไม่ ไม่ ไม่รู้น่ะ ชอบทำเป็นพิธีรีตองไปเสีย ไปเสียหมด มันจะต้องให้การศึกษาแม้แต่ชั้นลูกเด็ก ๆ อนุบาลน่ะ ให้มันรู้เรื่องนิพพานคือชีวิตที่เยือกเย็น ไม่มีความร้อน ให้เขารู้จักชีวิตเย็นไม่ร้อนไปเรื่อย ๆ ไปตามประสาเด็ก แล้วก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป แม้ลูกเด็ก ๆ ก็เรียนรู้หรือเข้าใจ หรือถูก ถูกต้อง เข้าใจถูกต้องแล้วก็ปฏิบัติได้ นี่จะเป็นการต้อนรับพระพุทธเจ้าองค์จริงที่ดี รู้เรื่องหัวใจของธรรมะ ธรรมะทั้งหัวใจ
ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายดีว่า รถยนต์ชนกันแตกกระจาย เด็กคนหนึ่งเห็นเข้าก็ร้องว่า โอ้, อิทัปปัจจยตา ตถตา เช่นนี้เอง นี่ธรรมดาของอิทัปปัจจยตา คือมันเป็นอย่างนี้ถ้ามันประมาทนะ ไม่มีสติสัมปชัญญะ มันเป็นอย่างนี้ มันเป็น อิทัปปัจจยตา มีเด็กอีกคนหนึ่ง โอ้, นี้มัน มันกรรมของมันโว้ย มันกรรมชาติก่อนของมันโว้ย ทีนี้เด็กคนหนึ่ง โอ้, ไม่ใช่หรอก ดวงมันไม่ดี ดวงมันไม่ดี ทีนี้เด็กคนหนึ่งร้อง โอ้, หลวงพ่อที่คอมันไม่ช่วยน่ะ หลวงพ่อที่แขวนคอไว้มันไม่ช่วย แล้วเด็กอีกคนหนึ่ง โอ้, ดีแล้ว โชคดี พวกเรามา มา มา มาช่วยกันเก็บของจากซากศพ เก็บของจากซากรถยนต์ มันเป็นโชคดีของเรา นี่มันเด็กห้าคนนี้มันไม่เหมือนกันเลย ถ้าสมมุติว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองไทยแล้วประสบเหตุการณ์อันนี้ ท่านจะกระหยิ่มในเด็กคนไหนขอให้ลองคิดดู ท่านจะกระหยิ่มในพระหฤทัยต่อเด็กคนไหน หรือท่านจะยื่นพระหัตถ์ไปลูบหัวเด็กคนไหนเอ้อ, หรือว่าท่านไปลูบหัวเด็กทุกคน ถ้าท่านจะคิดว่าอย่างไร ท่านจะนึกในใจว่าอย่างไร นี่เราจะเตรียมเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ คนแก่คนเฒ่าให้มันเหมาะสำหรับจะสมโภชพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้แม้แต่คุณยายคุณตา ก็พูด อิทัปปัจจยตา ไม่เป็น อย่างดีก็พูดแต่ว่ากรรมเก่าอะไรทำนองนั้น โดยมากมันจะพูดว่าดวงไม่ดี ถ้าเดี๋ยวนี้ก็จะพูดว่าหลวงพ่อไม่ช่วย จะช่วยอะไร บางทีหลวงพ่อ พระอาจารย์ที่ปั้นหลวงพ่อมาหลาย ๆ องค์ตกเรือบินพร้อมกันหลายองค์ตายหมดก็มี ฉะนั้นมันจะช่วยอย่างไรได้ แต่ส่วนเด็กอันธพาลที่จะคอยเก็บของเมื่อรถชนนั้นมันไม่ไหวนะ
จะเป็นโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์หรือว่ามหาวิทยาลัยของเราที่จะช่วย ช่วยสร้างเด็กอย่างนี้ สร้างพลเมืองอย่างนี้ ให้มันมีการเหมาะสมที่จะต้อนรับพระพุทธเจ้า เอาละ สมมุติว่า สมมุตินะ พระพุทธเจ้าเสด็จมากันวันนี้พรุ่งนี้ เราก็คงจะตั้งโต๊ะหมู่ โต๊ะหมู่บูชาแบบจีน แบบไทยอะไรกันตั้งแต่ดอนเมืองถึงกรุงเทพ พระพุทธเจ้าจะตรัสว่าอย่างไร ท่านจะตรัสว่าอย่างไร อย่างน้อยคนจน ๆ ก็ต้องมา ต้องพานมะลิ พานดอกมะลิบูชา ตลอดทาง เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานตามข้อความที่เราอ่านนั้นน่ะ ดอกมณฑารพในสวรรค์ร่วงลงมาจากสวรรค์เต็มไปหมดทั้งผืนแผ่นดิน พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า ฉันชอบปฏิบัติบูชา ไอ้ดอกมณฑารพเหล่านั้นก็เป็นเศษขยะไปหมด นี่คงจะเหมือนกันกระมัง แล้วก็จะตั้งโต๊ะหมู่กันตั้งแต่ดอนเมืองถึงกรุงเทพ มันก็กลายเป็นเศษขยะไปเสียหมด ต้อนรับพระพุทธเจ้าอย่างนี้กันดีกว่า เตรียมเด็ก เตรียมวัยรุ่นหนุ่มสาว พ่อบ้านแม่เรือน คนแก่คนเฒ่าให้เต็มไปด้วยวิชาความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง อตัมมยตา เอ้อ, เรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นตัวโครงสร้าง มี อานาปานสติ เป็นแรงขับเคลื่อนให้มันเคลื่อนไหวไปในทางที่จะดับทุกข์ เราจะบูชากันด้วยเศษขยะมูลฝอยกันมากเกินไป ธูปมันก็ทำด้วยขี้เลื่อย ดอกไม้ก็ทำด้วยเศษกระดาษ
เมื่อผมไปอินเดีย พ.ศ.๙๙ โน่น มีคนฝากไปเหอะ ห่อใหญ่ รวม ๆ แล้วห่อใหญ่ ฝากไปถวาย บูชาพระพุทธเจ้าที่อินเดีย ผมทำผิดมาก ไอ้เราว่าถูกของผมน่ะ คือเผอิญไอ้กระเป๋ามันส่งไปที่พักก่อนและตัวเดินกันไป ตัวเดินทางไปอีกพวกหนึ่ง แวะพุทธคยาก่อน ผมไปถึง รู้สึก โอ้, ความรู้สึกมันเกิดขึ้นโดยอะไรก็ไม่ทราบว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะกราบไหว้อย่างไร จะไปคุกเข่ากราบสามหนก็เหมือนไปล้อเล่นน่ะ ไปล้อเล่นน่ะ มัน มันทำไม่ลง นี่มันทำไม่ลง พวกธิเบตเขากราบอย่างธิเบต ทอดตัวลงถึงดินรอบ ๆ องค์เหมือนกับหอยทากน่ะ เป็นวง เป็นวง หลาย ๆ รอบ ก็คิดว่าอันนี้มันก็ไม่คุ้มกัน ไม่คุ้มกันกับพระคุณ ผมเลยไม่ได้กราบ ในใจวุ่นวายอยู่แต่เรื่องว่ามันทำอย่างไรจะคุ้ม ทำอย่างไรจะคุ้ม แล้วก็ไปที่หลายแห่ง และพอกลับไปที่พัก เปิดกระเป๋าของแล้วมันก็พบไอ้ที่ ธูปเทียนที่เขาฝากไว้น่ะ ผมรู้สึก โอ้, นี่มันเศษขยะนี่ ผมเลยเอาทิ้งถังขยะที่ ๆ พักหมดเลย ทั้งธูปทั้งเทียน เทียนแพ เทียนอะไร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้มันสมกัน นี่ผมไม่ได้บอกเจ้าของหรอก ผมกลัวว่าเขาจะด่า ผมเอาทิ้งถังขยะที่ที่พัก มันไปที่ไหนก็เหมือนกันแหละ ไม่รู้จะกราบอย่างไร จะกราบกันอย่างไรให้มันคุ้มค่า มันก็เลยไม่ได้กราบ กลับมาเมืองไทย ไม่ได้กราบ จะพูดในใจว่า โอ้, ฝากไว้ก่อนเถอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ กลับถึงเมืองไทยก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยทำ เลยไม่ได้กราบ ขอฝากไว้ก่อนไม่รู้จะทำอย่างไร กลับมาแล้วก็พยายามทำตามพระพุทธประสงค์ รู้สึกว่าไอ้ดอกไม้ธูปเทียนนี่มันเป็นเศษขยะ เราจะเอาของเหล่านี้มาเป็นเครื่องต้อนรับบูชานี้ก็ได้เหมือนกัน ถ้าจิตใจมันรู้สึกอย่างนั้นก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าจิตใจมันไม่รู้สึกจะทำอย่างไร ฉะนั้นเราจะต้องคิดกันว่า ทำอย่างไรให้มันสมกันกับพระพุทธองค์นิรันดร จริง จริง จริง เหลือที่กว่าที่จะจริง ดับทุกข์ได้จริง อะไรได้จริง นั่นสนใจกันที่นั่นเถอะ ในเรื่องที่จะเอาไอ้นรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อนี่มันใช้ได้กับเด็ก ๆ เท่านั้นน่ะ นรกอะไร จะกลัวอะไร เมื่อเราไม่กลัวความตาย ไม่กลัวแม้แต่ความตาย นรกจะมีความหมายอะไร แล้วสวรรค์มันจะมีอะไรยิ่งไปกว่าขยะมูลฝอยแล้วถ้าเราไม่ต้องการนางฟ้าเหล่านั้น แม้แต่จะเอาปลายเท้าไปเขี่ยมันสักทีก็ไม่อยาก ขยะแขยง จะเอาไปทำอะไรนางฟ้า จะตอนมาล่อให้มันทำนั่นทำนี่มันก็ทำไม่ได้ มันก็เหลืออย่างเดียวแต่ว่า รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ทำให้อยู่กับเนื้อกับตัว ให้อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ตลอดทุกเวลานาที เตรียมรับตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงพอเกิดมาให้มันรู้เรื่อง อิทัปปัจจยตา มันเป็นไปเช่นนั้นเอง พูดว่าเป็นไปตามกรรม นี่ก็สำหรับคน คนไม่คิด ไม่เล่าเรียน ไม่ศึกษา ไปดูน่ะพระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง สุขทุกข์ไม่ได้เกิดแต่คำกล่าว ไม่ใช่เกิดแต่คำกล่าว ไม่ได้เกิดเพราะพระเจ้าอิศวรบันดาล มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยคือตาม อิทัปปัจจยตา นี่พูดเป็นแต่เรื่องกรรมเก่า กรรมเก่า พูดให้โง่ ให้เห็นว่ามันเป็นไปตาม กฎอิทัปปัจจยตา อย่างรถชนกันนี่ไม่ต้องกรรมเก่า หรือไม่ต้องหลวงพ่อไม่คุ้ม มันเป็น อิทัปปัจจยตา ให้เราศึกษาเล่าเรียนกันจนไม่ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้เพราะมันเป็น อิทัปปัจจยตา นี่เตรียมสอนกันเถอะ เตรียมสอนกันให้ลูกเด็ก ๆ รู้เรื่อง อิทัปปัจยตา เป็นอย่างนั้น เป็น ตถตา คือเป็น อิทัปปัจจยตา นั่นแหละ เดี๋ยวมันก็เลื่อนขึ้นไป เลื่อนขึ้นไป ไปหา อตัมมยตา เป็นพระอรหันต์เอง
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่ เป็นเรื่องทั้งหมดของพระพุทธศาสนานะ เพราะว่าเรื่อง เกิดทุกข์แล้วดับทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ฉันพูดแต่ทุกข์กับดับทุกข์ ปุพฺเพ จาหํ ภิกฺขเว เอตรหิ จ ทุกฺขญฺเจว ปญฺญเปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธํ ถ้าจะเคยอ่านมาแล้วทุกคน พระสูตรทั้งหลาย ก่อนนี้ก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ท่านบัญญัติแต่เรื่องทุกข์กับดับไม่เหลือแห่งทุกข์ แล้วมันเรื่องปฏิจจสมุปบาท เกิดอย่างไรดับอย่างไรของความทุกข์ หรือของสังขารทั้งหลายทั้งปวงก็ได้ นี่เป็นยอดวิทยาศาสตร์นะไม่เอามาเรียน มันไปกลายเป็นไสยศาสตร์ไปเสีย เป็นเรื่องกรรมเก่า เป็นเรื่องโชคไม่ดีดวงไม่ดีหลวงพ่อไม่คุ้มหรือหลวงพ่อส่งเสริมอะไร มันไม่เหมาะหรอกถ้าพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาแล้วพบสภาพอย่างนี้ สถานะอย่างนี้ ท่านไม่ ท่านก็จะรีบกลับแล้ว ไม่สรรเสริญ จะทำอย่างไรจะให้พระพุทธเจ้ามาพบแล้วพอพระทัยอย่างยิ่ง
เราจะต้องจัดปริยัติของเราให้ถึงที่สุด จัดปฏิบัติของเราให้ถึงที่สุด จัดปฏิเวธของเราให้มันถูกต้องถึงที่สุด เดี๋ยวนี้ปริยัติมันก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อสิ่งนี้ มันไปเพื่อลาภ อญฺญา หิ ลาภูปนิสา ไปหมดนี่ พอปฏิบัติมันก็ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะดับทุกข์ มันปฏิบัติเพื่อได้ผลเป็นวัตถุ เอาสมาธิวิปัสสนา ไปใช้เพื่อผลเป็นวัตถุ พอปฏิเวธก็ไม่ได้ต้องการดับทุกข์หรอก มันไม่ได้ต้องการดับทุกข์ มันต้องการผลเป็นวัตถุไปหมด นี่มันผิดทั้งปริยัติ ทั้งปฏิบัติ ทั้งปฏิเวธ
ขอให้ถูกทั้งสามสถาน ให้ลูกเด็ก ๆ มีความรู้ถูกต้อง อย่าให้มันมีเรื่องไสยศาสตร์ หรือค่อย ๆกลายเป็นไสยศาสตร์ คือไปหวังพึ่งปัจจัยภายนอก เป็นเรื่องของปัจจัยภายนอก ก็ไม่ใช่ อิทัปปัจจยตา และเดี๋ยวนี้มันก็เข้าลึกมากเสียแล้วล่ะ เรื่องไสยศาสตร์มันครอบงำเอามาก จนมีคนบอกผมว่าเขาไปพระภูมิเอราวัณมากไปกว่าโบสถ์พระแก้ว มากกว่าไปโบสถ์พระแก้ว นี่จริงไม่จริงก็ไม่ทราบ แต่มันเข้าลึก เข้าลึก มันจะต้องแก้ไอ้ข้อนี้กันเสียให้มันเข้ารูปเข้ารอย เด็ก ๆ เขารู้หวังที่จะพึ่งธรรมะไม่ใช่พึ่งปัจจัยภายนอก ไอ้ ไสยะ ถ้าเราแปลว่าดีกว่า มันก็ดีเหมือนกัน แต่มันจะ เพียงแต่ดีกว่าไม่รู้ ดีกว่าโง่ ไสยศาสตร์ นั้นมันก็ไม่พอ แต่ถ้า ไสยะ แปลว่าหลับแล้วมันก็ไม่ไหว นี่มัน ไสยะมันแปลว่าหลับไปเสียหมด มันไม่ได้แปลว่าดีกว่าที่ไม่รู้อะไร ถ้าเป็น พุทธะ พุทธะ มันก็ต้องตื่น มันก็ต้องตื่น ไสยะ มันก็หลับ พุทธะ มันก็ตื่น ด้วยการสร้างโลกที่ตื่น สร้างบ้านเมืองที่ตื่นจากหลับ ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาล ไอ้ธรรมชาติน่ะมันเป็นอุปสรรคหรือเดินสวนทางกันอยู่ในตัว เด็กพอเกิดแต่ในท้องมันก็ยังไม่รู้เรื่องดีเรื่องชั่วอะไรนัก มันยังเป็นว่างหรือ นาทีที่28.20 อยู่ ไม่ ไม่มีไสยศาสตร์หรอกเด็กเกิดมาแต่ในท้อง แต่พอมันโตขึ้น พอมันโตขึ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของมันทำหน้าที่เรื่อยไป ๆ แล้วมันเกิดรู้สึกแบ่งแยกเป็นบวกเป็นลบ น่ารักน่าพอใจ เป็น อภิชฌา นี่ก็พวกหนึ่งที่ไม่น่ารักและไม่น่าพอใจเป็น โทมนัส นี่ก็อีกส่วนหนึ่ง
ผมอยากจะบอกนะจะเชื่อไม่เชื่อก็สุดแท้ ไอ้ POSITIVE NEGATIVE ในพระบาลีของเราก็คือคำว่า อภิชฌา และ โทมนัส นั่นแหละ ยินดียินร้าย แต่ต้องหมายถึงตัว อภิชฌา มันจะเอา มันจะเอา โทมนัส มันจะทำลาย คำนี้ตรงกับคำว่า POSITIVE กับ NEGATIVE บวกหรือลบ เด็ก ๆ เพิ่งรู้จักความรู้สึกเป็นบวกและลบต่อเมื่อมันมาหลงไอ้นี่แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสที่น่าพอใจเป็นฝ่ายบวก ไม่น่าพอใจเป็นฝ่ายลบ มันเกิดเป็นสองคู่ เป็นคู่สองอันขึ้นมา ก่อนนี้มันไม่มี ผมพอใจคำกล่าวของคัมภีร์ไบเบิลของคริสตัง OLD TESTAMENT (ภาคพันธสัญญาเดิม) ประโยคแรก ๆ ว่าไปเหมือนกันน่ะ อย่าไปกินผลไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว ถ้ากินแล้วจะตาย พระเจ้าเขาสั่งอย่างนั้น มนุษย์ก็ไม่ฟัง ไปกินแล้วมันก็รู้ดีรู้ชั่ว แล้วมันก็ตาย มีบาปนิรันดร มีไอ้ความทุกข์นิรันดร เด็กเกิดมาในท้องไม่มีดีไม่มีชั่ว พอมันโตขึ้นมาหน่อยมันรู้จักแยกออกว่าเป็นดีหรือชั่ว ปัญหาก็ตั้งต้น แล้วก็มาเป็นทุกข์ แล้วไปบวกไปลบ ไม่มีที่สิ้นสุด หัวใจของคริสตังมันก็ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับธรรมชาติ แล้วก็เป็นหลักพระพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน ล้วนพูดว่าหลักพระพุทธศาสนา หัวใจพระพุทธศาสนาก็อยู่ที่ใบแรก ๆ ของ OLD TESTAMENT ใบนั้น ผมก็เลยถูกด่า มันก็ไม่พูดความจริงกันนี่ ถ้าไม่มีบวกไม่มีลบมันก็ไม่มีปัญหาอะไร พอมีบวกมีลบมันก็เกิดเห็นแก่ตัว มีตัวเป็นบวก มีตัวเป็นลบ ตัวหนึ่งจะเอา ตัวหนึ่งจะทำลายมันก็เกิดกิเลสขึ้นมาทุกชนิด ตัวบวกก็เกิด ราคะ โลภะ ไอ้ตัวลบก็เกิด โทสะ เกิด โกธะ ตัวที่มันเจอกันก็เกิด โมหะ มันปนกันทั้งบวกทั้งลบ
สอนวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ ทางจิตทางวิญญาณนี่จะทำให้รู้พระพุทธเจ้าพระองค์จริง อย่าไปเรียนวิทยาศาสตร์ทางวัตถุตามก้นพวกฝรั่งให้มันมากนักเลย ไม่มีวันพบพระพุทธเจ้าหรอก ไปบูชาบวก บูชา POSITIVE เดี๋ยวนี้คนทั้งโลก บูชาบวก บวก บวก จนเกินบวก เกินบวกจนเป็นบ้า จนฆ่าตัวตาย มันไม่ไหว เตรียมให้เด็ก ๆ ของเรา วัยรุ่นของเรา ประชาชนของเรารู้เรื่อง อิทัปปัจยตา เป็นไปตามกิเลสตัณหา ปัจจัยภายในคือกิเลสตัณหา ปัจจัยภายนอกคือเหตุการณ์ของมันตามธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎอิทัปปัจยตา ให้เด็ก ๆ ของเรามีความรู้เมื่อไรเกิดขึ้น มันร้องออกมาว่า อิทัปปัจยตา อิทัปปัจยตา ไปใช้ได้ ว่ากรรมเก่านี่ก็ยังใช้ไม่ได้ ยังโง่อยู่ อย่างว่าดวงนี้ไม่ไหว แล้วหลวงพ่อละก็ อย่าพูดไอ้เรื่องนี้เดี๋ยวมันจะถูกด่ามาก มันกำลังมีอยู่ทุกวัน ๆ ช่วยกันทำเด็ก ๆ ให้รู้เรื่อง อิทัปปัจยตา จนวัยรุ่น จนหนุ่มสาว ต้อนรับพระพุทธเจ้าถ้าท่านเสด็จมา จะดีกว่าตั้งโต๊ะหมู่บูชาตั้งแต่ดอนเมืองถึงกรุงเทพแน่นอน
ทีนี้พวกเรากันนี่แหละ ศึกษาปฏิจจสมุปบาทชนิดที่มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ ถ้าแบ่งไว้คนละชาติ ส่วนหนึ่งอยู่ชาติแล้วมา ส่วนหนึ่งอยู่ชาติปัจจุบัน ส่วนหนึ่งอยู่ชาติต่อไป มันจะบังคับอะไรได้ จะควบคุมอะไรได้ จะหยุดกระแสปฏิจจสมุปบาทอย่างไรได้ มันอยู่กันคนละชาติ ถ้ามันอยู่กันที่นี่ทั้งหมดพร้อมที่จะเกิดที่นี่เราก็ควบคุมได้สิ เราก็หยุดกระแสปฏิจจสมุปบาทได้สิ นั่นแหละเรียกว่ารู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง สิ่งที่มันสอนให้เรารู้ ปฏิจจสมุปบาท ว่า ทุกข์เกิดอย่างไร ทุกข์ดับอย่างไร สิ่งนั้นน่ะเป็น ธรรมะ ธรรมะที่เห็นแล้วก็คือเห็นพระพุทธเจ้า มันแค่จะศึกษาวิทยาศาสตร์กันเพื่อศึกษาเรื่องนี้ ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับขึ้นอย่างไร โดยรายละเอียดก็คือ ปฏิจจสมุปบาท ศึกษาทั้งชุดเล็กคือเพียง ๙ อาการน่ะคือ ปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธองค์ทรงมาสาธยายเล่นตามลำพัง
เล่าอีกทีหนึ่งก็ได้ว่า พระพุทธองค์ประทับอยู่พระองค์เดียว ท่านคิดว่าอย่างนั้น แล้วก็สาธยายปฏิจจสมุปบาท จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญานํ ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส ผัสสะ ปัจจยา เวทนา เวทนา ปัจจยา นี่เรื่อยไปจนไอ้สิ่งทั้งปวงเกิดขึ้น ตั้งต้นที่ว่าอายตนะภายในภายนอกกระทบกัน เกิดวิญญาณ สามอย่างคือ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ นี้ถึงกันอยู่เรียกว่า สังคติ นี้คือผัสสะ ผัสสะมีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน มีภพ มีชาติ นับได้เพียง ๙ อาการเท่านั้นแหละ เรียกว่าเล็กที่สุด จาก ปฏิจจสมุปบาทเต็มที่ อวิชชา ปัจจยา สังขารา ปัจจยา นั้นมัน ๑๑ อาการน่ะ ที่มันมีอีกชุดหนึ่งไม่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เรียกอุปนิสธรรม มันเป็น ปฏิจจสมุปบาท อวิชชาตั้งต้นมาจนเกิดทุกข์ พอเกิดทุกข์แล้วมันเลยไปเป็นเกิดศรัทธาว่าต้องมีสิ่งดับทุกข์ มันแสวงหาพบ คบสัตบุรุษ ได้นั่งใกล้สัตบุรุษ ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ แล้วมันก็เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ เกิด นิพพิทา วิราคะ วิมุติ นิพพาน ทั้งนี้อีก ๑๒ อาการ ๑๒ ข้อนั่นแหละ ๑๑ อาการ ทางโน้นก็ ๑๑ อาการ นี่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ใหญ่ที่สุดแต่ไม่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เรียกว่า อุปนิสธรรม ก็คำเดียวกันแหละ อุปนิสสะ ก็แปลว่า เข้าไปอาศัย ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทน้อย นี่ ๙ อาการ ปฏิจจสมุปบาทกลางนี่ ๑๑ อาการ ปฏิจจสมุปบาทใหญ่โน่นถ้านับกันด้วยอาการก็ ๒๓ อาการ
แล้วมาสอนกันให้มันรู้ มันก็รู้อะไรที่มัน เด็ก ๆ มันรู้ รู้จน จนมันรู้ความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ดับลงอย่างไร วัยรุ่นรู้ หนุ่มสาวรู้ พ่อบ้านแม่เรือนรู้ คนแก่คนเฒ่ารู้ นี่เรียกว่ารู้ ปฎิจจสมุปบาท ถึงขั้นรู้แล้วว่ามันมีอาการอย่างนี้แล้วจะหยุดมันอย่างไร จะควบคุมมันอย่างไร ถ้ามีสติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิอันเพียงพอ มันก็วิ่งไปปฏิบัติ อานาปานสติ ฝึกฝน อานาปานสติ ไม่เท่าไรมันก็เก่งกล้า สามารถมีสติสัมปชัญญะ ปัญญาสมาธิอย่างเต็มที่ แล้วมันก็เอาไอ้ธรรมะนี่มาเล่นงาน ปฏิจจสมุปบาท มาควบคุม ปฏิจจสมุปบาท ฉันหยุดแกได้ แค่เก่งผัสสะ สามารถจะท้าทาย เราจะหยุด ปฏิจจสมุปบาท เสียได้ตรงผัสสะ ไม่ให้มันโง่ ไม่ให้มันหลงไปในเวทนา โง่ หรือว่าช้าหน่อยก็หยุดเสียได้แค่เวทนา พอเวทนาเกิดขึ้น มีความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรก็ตามน่ะ คือสติ เอาปัญญามา เอาปัญญามาเป็นสัมปชัญญะเล่นงานไอ้อาการนี้ เอาสมาธิเป็นกำลังทุ่มเทลงไป มันก็หยุดเสียได้ซึ่งผัสสะ หยุดเสียได้ซึ่งเวทนา มันก็ไม่มีใครเป็นทุกข์ มันไม่มีใครเป็นทุกข์ ไม่มีใครร้องไห้ ไม่มีใครหัวเราะ คือไม่มีทั้งบวกและไม่มีทั้งลบ เห็นว่าเวทนา ผัสสะนี่มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ควบคุมได้ ถ้าปัญญามันมีมากพอมันก็เห็นความไม่มีตัวตนที่แท้จริง คือไม่ใช่ตัวตน
ผมอยากจะบอกสักนิดว่าอนัตตา อนัตตานั้นอย่าไปแปลว่าไม่มีนะ แปลว่าไม่ใช่ดีกว่า เพราะว่ามันมี มันมีอะไรที่บ้า ๆ บอ ๆ อะไรก็ไม่รู้ มันมี แต่ว่ามันไม่ใช่ตัวตน อนัตตาแปลว่าไม่ใช่ตัวตน อย่าไปแปลว่าไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีตัวตนมันเป็น นิรัตตา นิรัตตา มันบ้าสุดฝ่ายโน้นไม่มีอะไรเลย ถ้ามันโง่มากไปมันก็มีอัตตา อัตตา อัตตา ตัวตนเต็มที่ แต่ถ้ามันอยู่ตรงกลาง ตรงกลางแล้วมันเป็น อนัตตา ที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ แล้วมันเป็นอนัตตา มันอยู่ตรงกลาง มันมี มี มี แต่มันไม่ใช่ตัวตน ถ้ามันวิ่งไปสุดฝ่ายโน้นมันเป็น นิรัตตา ไม่มีอะไรเสียเลย มันก็เป็น นัตถิกทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ สุดโต่งมันใช้ไม่ได้ ถ้าอยู่ข้างนี้มีอัตตา ด้านโน้นเป็น สัสสตทิฏฐิ นี่ไอ้พวกนี้มันก็ใช้ไม่ได้ ถ้ามันอยู่ตรงกลางมันเป็น อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัวตน ถ้าเราไม่มี ไม่มีมันก็ มันก็ไม่ค่อยจะถูกเรื่อง แต่มัน ถ้าจะพูดเอาว่าไม่มี ต้องว่าไม่มีตัวตนที่แท้จริง พูดอย่างนั้นมันลำบาก ถ้าไม่มีก็ต้องไม่มีตัวตนที่แท้จริงมันพูดลำบาก พวกนั้นมันไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อาตมัน ไม่ใช่ อะไรอย่างนี้ สอนเด็ก ๆ ได้น่ะ ผมจะถูกด่าเรื่อยไปว่าเอาอนัตตามาสอนชาวบ้าน มัน มัน ชาวบ้านรับไม่ได้ มันโง่ มันบ้า อะไรเอาเรื่องอนัตตามาสอนประชาชน ผมบอกว่ามันยังถูก มันควรสอนนะ มันควรสอนให้รู้ว่ามันไม่ใช่อัตตา สอนเด็ก ๆ ว่า ตานี่ ถ้าตามันเห็นรูป ก็ให้รู้ว่าตามันเห็นสิ ไม่ใช่กูเห็น อย่าให้กูเห็นรูป ให้ตาเห็นรูป ไอ้ระบบประสาทที่เราเรียกกันว่าระบบประสาทนั้นน่ะ ในภาษาธรรมมะมันก็มีอยู่ใน อุปาทายรูป รูปที่เป็นฝ่ายรูป อาศัยรูปไปนี่ ปสาทรูป นี่ระบบประสาท ชีวิตของเรามีระบบประสาทอยู่ฝ่ายร่างกายยังไม่ทางจิตใจ แต่มันส่งไปเป็นความคิดมันจะเป็นจิตใจ เรามีระบบประสาทที่จะรู้สึกทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอะไรก็ตาม ถ้าตาเห็นรูปก็ว่าตาเห็นสิ อย่าว่ากูเห็น ถ้ากูได้ฟังเสียงก็บอกหูได้ยินเสียงสิ อย่าว่ากูได้ยิน ถ้าจมูกได้กลิ่น ก็มันจมูกนี่ ระบบประสาทที่จมูกเท่านั้นแหละไม่ใช่ตัวตนอะไรที่ไหน ระบบประสาทที่จมูกมันได้กลิ่น ระบบประสาทที่ลิ้นมันรู้รส ระบบประสาทที่ผิวหนังมันรู้สัมผัส ถ้ามีดบาดนิ้วก็ว่ามีดบาดนิ้วสิอย่าว่ามีดบาดกู อย่าว่ามีดบาดกู นี่ธรรมชาติมันชวนให้โง่ สวนทางกันนะ มันให้เกิดรู้สึกว่า กู กู กู เสมอ ถ้าปล่อยไปตามสัญชาตญาณตามธรรมชาติมันจะสร้างอัตตาขึ้นมา นี่มันสร้างอัตตาขึ้นมา นี่อัตตาไม่ได้มีอยู่จริงแต่มันสร้างขึ้นมาด้วยอวิชชา ด้วยความโง่
ความรู้สึกทางระบบประสาทมันจะต้องเกิดก่อน เกิดก่อน อัตตาค่อยเกิดที่หลัง ทำมีดบาดนิ้วเจ็บมันก็ว่ากูเจ็บ ไอ้ความเจ็บที่นิ้วน่ะมันทำให้เกิดความรู้สึกว่ากูเจ็บไม่ใช่ระบบประสาทที่นิ้วเจ็บ ข้อนี้สำคัญมาก เป็นข้อหนึ่งซึ่งทำให้ถูกด่า บอกว่าตัวกูนี่มันเกิดทีหลัง เกิดทีหลังเวทนา ฉะนั้นความไม่อร่อยเกิดขึ้นที่ลิ้นนั้นเป็นความไม่อร่อย ฉะนั้นตัวกูมันเกิดตามว่ากูไม่อร่อย ถ้าอร่อยมันก็กูอร่อยนี่ กูมาทีหลังความรู้สึกว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ระบบประสาทแสดงอะไรขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นความรู้สึก เป็นเพียงไอ้ความรู้สึก เป็น EMOTION ทั้งนั้น มันไม่ได้เป็น อะไร ที่แท้จริงน่ะ มันก็ว่ากูเป็นอย่างนั้น กูเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกทางบวกเกิดขึ้นในใจเป็นความพอใจ เกิดความรู้สึกรักขึ้นมา แล้วความโง่มันก็เกิดตามมา กูนี่รัก ความรู้สึกโกรธเกิดขึ้นมา มันก็กูนี่โกรธ เราก็สอนเด็ก ๆ ได้ว่า ที่เห็นรูปนั่นคือตานะ ไม่ใช่กูนะ ได้ยินเสียงก็หูนะมันไม่ใช่กู รักมันก็ระบบประสาทมันรู้สึก โกรธ มันรู้สึก ค่อยรู้สึกกูรัก กูโกรธ กูเกลียด กูกลัว กูตื่นเต้น กูอย่างนั้นอย่างนี้ กูหึง กูหวงไปตามเรื่อง
ถ้าเรามีความรู้สึกว่ามันเป็นเพียงระบบประสาทอย่างนี้แล้ว อัตตามันเกิดไม่ได้ ไอ้ความเป็นวิทยาศาสตร์มันอยู่ที่ตรงนี้ ที่ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์มันก็อยู่ตรงนี้ มันไม่ใช่เรื่องฟิสิกส์ ไม่ใช่เรื่องเคมีบ้า ๆ บอ ๆ แต่ถ้าว่าเราจะเรียนเรื่องฟิสิกส์กับเคมีกันให้ถึงที่สุด สุดโต่งปลายทางน่ะ มันก็นำมาสู่ที่นี่แหละว่า ไอ้ความรู้สึกตามระบบประสาทมันถูกหลอนถูกหลอกด้วยความสัมพันธ์กันระหว่าง TIME AND SPACE ต้องมีเวลาพอดีมี SPACE พอดีจึงจะรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ อร่อยหรือไม่อร่อย ถ้ารู้สึกว่าไอ้ความสัมพันธ์ระหว่าง TIME AND SPACE หลอกเราอย่างนี้ ก็หลอกเราไม่ได้ ไปศึกษาเรื่อง RELATIVITY OF TIME AND SPACE ของไอน์สไตน์น่ะก็นำมาสู่จุดนี้ จุดที่ให้รู้สึกว่าไอ้ระบบประสาทจะหลอกเราไม่ได้อีกต่อไป ถ้ามันเพียงแต่ผิดไปในส่วนเวลามันก็ไม่อร่อยแล้ว หรือผิดไปในส่วน SPACE ไม่ขนาดที่พอดีมันก็ไม่อร่อย มันเป็นไม่อร่อยหรือมันเป็น เป็นเรื่องอื่นไป แล้วมันถูกตรงพอดีสำหรับเกิดความรู้สึกว่าอร่อยมันจึงจะรู้สึกอร่อย เป็นระบบประสาทรู้สึก แต่มันก็โง่ กู กู กูอร่อย
มันก็เลยมีความจริง มีความจริงที่มองเห็นยากและไม่ค่อยจะมีใครเชื่อว่า ผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ เด็กคนไหนจะเชื่อเรา ถ้าเขาเรียนมาอย่างในโรงเรียนน่ะ ผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ มันมีการกระทำเสร็จแล้ว มันมีความรู้สึกนั่นแล้ว มันจึงเกิดความรู้สึกว่า กู กูกระทำ เช่นว่า ไอ้ตากับไอ้รูปกระทบกันมันจึงเกิดการเห็นทางตา เกิดกูผู้เห็นทางตา ไม่ได้เกิดกูรออยู่ก่อนสำหรับจะเห็นทางตา ไม่ได้มีกูรออยู่ก่อนสำหรับจะฟังทางหู ถ้าพูดอย่างนั้นนะ พูดว่ามันมีกู มีอาตมันรออยู่ แล้วจะวิ่งมารู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างนี้ก็เป็นฮินดูนะไม่ใช่พุทธ ก็มีสิ่งที่สามคือ คือ คืออัตตาหรืออาตมัน เรามีสองน่ะ นามและรูป นามและรูป ไม่ต้องมีอัตตาอีกสิ่งหนึ่ง ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เคยสอนกันมาอย่างปนเป ผมเคยเห็นหนังสือโบราณ รุ่นโบราณ รุ่นเก่า เขียนสอน เขียนว่าอย่างนี้แหละ มันมี มันมี มีวิญญาณ มีอะไรรู้ สำหรับจะรู้สึกอยู่ แล้วก็วิ่งมารู้สึกที่ตา ที่หู ที่จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็เขียนไปในลักษณะเป็นหนังสือทางพุทธศาสนา นี่มันเคยเข้าใจผิดอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็หายไปแล้วไม่มี ถ้าเข้าใจเรื่องว่า ผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำนั้นเท่านั้นน่ะ เข้าใจถูก ถึงพุทธล่ะไม่ใช่ฮินดู ถ้ามันมีผู้กระทำรออยู่ คอยกระทำอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำ อย่างนี้มันก็เป็นฮินดู คือไม่ใช่พุทธก็แล้วกัน เป็นอะไรก็แล้วแต่ ระบบประสาท มี รู้สึก เสนอความรู้สึก แล้วใจมันก็โง่ จิตมันก็โง่เพราะมันเสนอกันมาผิด คอมพิวเตอร์มันใส่ข้อมูลผิดมันก็ออกผลมาผิด เราก็พลอยโง่ โอ้, กูกระทำ กูเห็น กูได้ยิน กูได้ดม กูได้ลิ้ม กู สอนเด็ก ๆ กันในข้อนี้ให้มากว่า ไม่ต้องมีกู ระบบประสาททำของมันได้ แม้แต่หญ้า บอน ใบไม้บ้างชนิดมันก็มีระบบประสาทชนิดนี้ ไปถูกเข้าหุบเดี๋ยวมันก็บาน มันไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องมีวิญญาณ ไม่ต้องมี ประเภทอัตตา วิญญาณคำนี้หมายถึงอัตตา
เราทำให้คนรู้จัก ปฏิจจสมุปบาท คือสิ่งที่ปรุงกันขึ้นแล้วหลอกลวงให้เป็นบวกเป็นลบเพราะเราไม่รู้ ปฏิจจสมุปบาท ถ้าเรารู้เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบจะไม่มี ความรู้สึกเป็นบุญเป็นบาปจะไม่มี ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์จะไม่มี นรกสวรรค์จะไม่มี มีแต่ อิทัปปัจจยตา ความรู้เรื่องจริงว่าไม่มีอัตตาน่ะ ไม่มีอาตมันน่ะ เป็นความรู้สุดท้าย ความรู้เรื่องมีอัตตา มีอาตมัน ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้วิเศษวิโสก็รู้อยู่ก่อนแล้ว เป็นความรู้ก่อนพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านมาบอกสุดท้ายว่า โอ้, มันไม่ใช่อัตตา มันเป็นเช่นนั้นเอง เป็น อิทัปปัจยตา มันปรุงแต่งกันอย่างนั้น มันจะต้องรู้สึกอย่างนั้น มันเป็น ตถตา คำว่า ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา อีกหลายคำเป็นไวพจน์ของ ปฏิจจสมุปบาท ไปเปิดดู เมื่อเห็นไอ้ เช่นนั้นเอง ก็คือเห็น ปฏิจจสมุปบาท เห็นเช่นนั้นเองเสียก็ไม่โง่ว่าเป็นบวก ไม่โง่ว่าเป็นลบ เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ก็ไม่หลอกเราได้ มันเป็น อิทัปปัจจยตา นี่ยอดของวิทยาศาสตร์ล่ะ ช่วยเอามาสอนกันเถอะ สอนในโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ แล้วก็สอนขึ้นไปให้ถึงระดับมหาวิทยาลัย ระดับมหาวิทยาลัยของเราเรียนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ปฏิบัติ อานาปานสติ กันทั้งนั้น
ก็เรียกว่าพุทธะ พุทธะน่ะมันตื่น มันตื่นจากหลับ ความโง่เรียกว่ามีอัตตาตัวตนมันก็หมดไป พุทธประวัตินี่ไม่ต้องเรียนก็ได้ ก็ถูกด่าอีกแหละว่าจ้วงจาบพระพุทธเจ้า เรียนเรื่องปฏิจจสมุปบาท นั่นน่ะเรียนเรื่องตัวพระพุทธเจ้าโดยตรง พระพุทธเจ้าแท้จริง พระพุทธเจ้านิรันดร พระพุทธเจ้าที่ไม่ต้องประสูติ ไม่ต้องตรัสรู้ ไม่ต้องนิพพาน ใครว่า พระพุทธเจ้าท่านว่าเองนะไม่ใช่ผมว่า เห็นธรรมคือเห็นเรา เห็นเราคือเห็นธรรมเห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นธรรมนั่นเอง เอามาสอนกันโดยรู้จักพระพุทธเจ้า โดยไม่ต้องเรียนพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าพระองค์คนนี้มันต้องเกิดออกมาหลายสิบ หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น ตามที่เชื่อกัน บทสวดสัมพุทธเธ พระพุทธเจ้ากี่หมื่นองค์ แต่พระพุทธเจ้าพระองค์จริงมีองค์เดียวนิรันดรคือ สิ่งที่แสดง ปฏิจจสมุปบาท อะไรแสดง ปฏิจจสมุปบาท สิ่งนั้นเป็นพระพุทธเจ้า เนื้อตัวของเราก็แสดง ไม่ต้องไปดูที่ไหนน่ะ ดูเข้าไปในเนื้อในตัว ร่างกายยาววาหนึ่ง มีทั้งโลก ทั้งเหตุให้เกิดโลก ทั้งความดับโลก ทางถึงความดับโลก มันเป็นเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ทั้งนั้น ดังนั้นคำพูดนั้นถูกต้องแล้วบอกไว้ว่า มองเข้าไปข้างใน เรียนเข้าไปข้างใน
มหาวิทยาลัยแท้จริงอยู่ข้างในร่างกายของเรา นี่ช่วยตั้งต้นอันนี้ สร้างแพสวยงามที่สุดต้อนรับพระพุทธเจ้า พาแห่แหนไปในสากลจักรวาล แพอันสุดท้ายที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อสมโภชพระพุทธเจ้า คือทำให้ทุกคนมันรู้เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ให้ทุกคนมันสามารถปฏิบัติ อานาปานสติ เพื่อชนะ ปฏิจจสมุปบาท เพื่อควบคุม ปฏิจจสมุปบาท เราก็เป็นพุทธบริษัททั้งเนื้อทั้งตัว ดีกว่านั้นเราจะกล้าพูดว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ถ้ามี เห็น ปฏิจจสมุปบาท แสดง ปฏิจจสมุปบาท สั่งสอนคนให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าถึง ให้เข้าถึง ตถาตา เข้าถึง ตถาตา ก็เป็นตถาคต ตถาคตก็คือพระอรหันต์ คำว่าตถาคต ตถา คตะแปลว่าถึง ตถา นั้นดีกว่า อย่าแปลว่ามาอย่างไรไปอย่างนั้น มันกำกวมนัก พวกหมาแมวมันก็เป็นอย่างนั้น มันจะเป็นตถาคตกันหมด เพราะว่าเห็น คือ ถึง ถึงซึ่งตถา ความจริงอันเด็ดขาดคือ ปฏิจจสมุปบาท ตถา ตถาตา อวิตถา อวิตถตา อนัญญถตา หลายคำน่ะรวมเป็นคำว่า เป็นไวพจน์ของ ปฏิจจสมุปบาท นี่คือ แพพิเศษ ไม่ใช่ข้ามฟากน่ะ แพต้อนรับพระพุทธเจ้า พาพระพุทธเจ้าเที่ยวโปรดโลก ธรรมสัญจร ให้ธรรมสัญจรไปเที่ยวโปรดคนทั่วทุกหัวระแหง
เข้าใจว่า เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายคงจะสนใจเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท มากกว่าแต่ก่อน จะได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์นิรันดร นิรันดร ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน มิฉะนั้นจะละอายอาซิ้ม อาซิ้ม อาซิ้มเขา เขา เขาถือหลักว่า เอ้า, ท่อง ออมีทอฮุก ออมีทอฮุก ออมีทอฮุก ขอนอบน้อม อมิตาภะ อามีทอ คือพระพุทธเจ้าที่เป็นนิรันดร พระพุทธเจ้าที่ไม่รู้จักดับ เป็นนิรันดร อาซิ้มเขาว่า สวด ออมีทอฮุกแปดหมื่นครั้งแล้วปลอดภัย พอไม่สบายรถมารออยู่บนหลังคาแล้ว พอดับจิตก็ไปสุขาวดี ไปอยู่กับ อมิตาภะ ไปอยู่กับพระพุทธเจ้านิรันดร มันตีความตามแบบชาวบ้านโง่ ๆ คือถ้า อมิตาภะ จริงมันก็คือนี้ พระพุทธเจ้า ปฏิจจสมุปบาท นี่เป็นนิรันดร ไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดแสงสว่าง เราจงรู้จักพระพุทธเจ้าองค์นี้ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์คนเสนอแนะให้ สอนให้ ให้ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นพระองค์ธรรม พระพุทธเจ้าพระองค์คนน่ะคือ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวตรัสรู้ เดี๋ยวนิพพาน พระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์ธรรม ไม่มีประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน แต่ก็กลับไม่ค่อยจะสนใจ มาสนใจตัวแทน ตัวแทนพระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธรูป เช่นต้นโพธิ์ เช่นอะไรนี่ หลงกันใหญ่ มันก็ไม่มีวันที่จะพบพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ขอให้รีบศึกษา รีบศึกษา ปฏิจจสมุปบาท เรียกสำหรับสิ่งที่มีชีวิต เรียกปฏิจจสมุปบาท เรียกสำหรับทุกสิ่ง เรียกว่าอิทัปปัจยตา พระพุทธเจ้าพระองค์จริงก็จะเสด็จมา ไม่มีประสูติ ตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน เตรียมจิตใจไว้อย่างนี้เถิด เป็นแพสวยงามสำหรับแห่แหนพระพุทธเจ้าพระองค์จริงให้มันไปให้มันทั่วโลก ถ้าจะสอนพวกฝรั่งก็สอนด้วยวิทยาศาสตร์นี้ ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง อยู่เหนือการหลอกลวงของระบบประสาท อยู่เหนือการหลอกลวงของอวิชชา ความสัมพันธ์กันระหว่าง TIME AND SPACE เราไม่หลงกับมันอีกต่อไป เรื่องก็จบ เราทำแพแตก นี่เราสร้างแพแล้วก็สร้างแพที่แท้จริง มี อิทัปปัจจยตา เป็นตัวแพ มี อานาปานสติ เป็นเครื่องขับเคลื่อน แล้วก็จะสร้างทุกขนาดๆ ให้เหมาะแก่บุคคลทุกขนาด แล้ววันนี้เราสร้างแพ ต้อนรับแห่แหนพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปทั่วโลก
ขอยุติการบรรยายเพราะหมดเวลาและหมดแรง หวังว่าเพื่อนสหธรรมมิก สพรหมจารีทั้งหลายคงจะได้ไปช่วยปรับปรุงการศึกษาเสียใหม่ให้ก้าวหน้าสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมพระองค์จริง พระองค์นิรันดรด้วยกันจงทุกรูปทุกองค์เทอญ