แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนอื่น โยมทั้งหมด อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาที่นี่ของท่านทั้งหลายในลักษณะอย่างนี้ คือมาหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อนำไปประกอบการดำเนินชีวิตของตน ของตน ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำๆ นี้ คือคำว่าธรรมะนี้กันเสียสักหน่อย เพื่อจะช่วยให้เข้าใจดีขึ้น คือคำว่า ธรรมะ เป็นคำประหลาดที่แปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ ต้องใช้คำว่าธรรมะไปตามภาษาอินเดีย เพราะธรรมะมันหมายถึงทุกสิ่งๆ ไม่ยกเว้นอะไร จึงจำเป็นต้องใช้คำว่าธรรมะในภาษาอินเดียกันต่อไปก่อน เท่าที่ปรากฏอยู่ก็เอาธรรมะในสำเนียงสันสกฤตไปใช้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจะต้องออกเสียงให้ถูกต้องว่า ทรัม มะ ไม่ใช่ ดัม ไม่ใช่ ดัม ทระ ทะระ ทรัม มะ ถ้าออกเสียงเป็น ดรา มะ เดี๋ยวก็เป็นละคร เป็นอะไรไปเสีย ทรัม มะ เป็นสันสกฤต ทรัม มะ ทรัม มะ ไม่ใช่ ดำ มะ ทรัม มะ เป็นบาลี ในภาษาไทยเรียกว่า ธรรม เฉยๆ บ้าง ธรรมะ บ้าง ท่านจะเลือกเอาคำไหนก็เลือกเอาได้ตามพอใจ ถ้าเลือกเอาสำเนียงสันสกฤต ก็ว่า ทัรม มะ ทรัม มะ เป็นดีที่สุด ภาษาสันสกฤตหรือภาษาบาลี มันก็เป็นภาษาที่มีระเบียบไวยากรณ์ มันก็มีกฎเกณฑ์ มันยากบ้าง ถ้าจะให้เป็นคำของมัน Now มันก็หมายถึง เอกวจนะ คือสิ่งเดียว ภาษาสันสกฤตมันจะออกเสียงว่า ทรัม มะ ถ้าเป็นภาษาบาลีมันจะออกเสียงว่า ทำ โม ทำ โม นี่ก็เป็นคำพูดที่ใช้เป็นคำลงไปแล้วตามหลักของภาษา แต่ภาษาไทยนี้สบายมากใช้คำว่า ธรรม เฉยๆ ธรรมะ เฉยๆ ดังนั้นเมื่อเราพูดกันง่ายๆ ที่นี่เราใช้คำว่า ธรรมะ ธรรมะ ขอให้รู้ว่าที่มาเดิมมันเป็นอย่างนั้น เราจะพูดง่ายๆ กันว่า ธรรมะ ธรรมะ ในเมืองไทย จนเมื่อเราเอามาใช้เฉพาะส่วนที่ดับทุกข์ได้ ที่มีค่าสูงสุด เราเติมคำว่า พระ พระ เข้าไปข้างหน้า เป็น พระธรรม พระ นี่หมายถึง ประเสริฐ หมายถึง Noble คือ พระ พระ พระธรรม
ทีนี้ก็จะมาดูกันถึงที่คำๆ นี้ มีความหมายทุกอย่างๆ ไม่ยกเว้นอะไร คือ ธรรมะ นี่หมายถึงตัวชีวิตเองก็ได้ หมายถึงวิถีทางวิเวก วิถีทางของชีวิตก็ได้ และหมายถึง แสงสว่างที่จะส่องทาง ส่องทางให้เดินไปอย่างถูกต้องก็ได้ หรือแม้ที่สุดแต่การเดิน การเดินนั้นก็ยังเรียกว่าธรรมะได้ นี่ก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง นั่นคือ Tee goal นั่นก็ยังเรียกว่า ธรรมะได้อยู่นั่นแหละ นี่ ธรรมะ คำเดียวมีความหมายทุกอย่าง โดยเฉพาะที่เราต้องการจะพูดกันก็คืออย่างนี้ คือตัวหนทาง ตัวแสงสว่างส่องทาง ตัวการเดินทาง การถึงจุดหมายปลายทาง ล้วนแต่เรียกว่า ธรรมะ
เมื่อดูถึงรูปแบบธรรมะนี่ อยู่ในรูปแบบของวิชา วิชาการ คือ ปริยัติ (นาทีที่ 11.16น.) นี่ก็ได้ และธรรมะนี้อยู่ในรูปแบบของการปฏิบัติ ปฏิบัติก็ได้ และธรรมะนี่อยู่ในรูปแบบที่เป็นผลของการปฏิบัติก็ได้ คือเป็นวิชาการก็ได้ เป็นปฏิบัติก็ได้ เป็นผลของการปฏิบัติก็ได้ นี่รูปแบบของธรรมะ ที่เซ็นเตอร์บางเวลาท่านก็มีธรรมะที่เป็นรูปแบบของวิชา คือได้รับคำสั่งสอนแนะนำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็อยู่ในรูปแบบของวิชา และท่านก็ลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติตามคำสอนนั้น ก็อยู่ในรูปแบบของปฏิบัติ เพราะอย่างน้อยที่สุดท่านก็ได้รับผลจากการปฏิบัตินั้นอย่างใดอย่างหนึ่งบ้างเป็นธรรมดา นี่ธรรมะที่อยู่ในรูปแบบของผลของการปฏิบัติ มันอยู่ในรูปแบบของ ๓ อย่างนี้เสมอไป
ทีนี้ก็จะพูดถึงเวลาที่เรามาประชุมกันที่นี่ ที่เราเลือกเอาเวลาอย่างนี้ คือ ๕ โมง มันก็มีความหมาย มันก็มีเหตุผลที่จะต้องทำอย่างนั้น เวลาหัวรุ่ง เรียกว่าก่อนจะรุ่ง กำลังจะรุ่งนี่ มันมีความหมาย คือเป็นเวลาที่จิตใจพร้อมที่จะบาน จะเบิกบาน เช่นเดียวกับดอกไม้ในป่าทั้งหลายเหล่านี้ก็พร้อมที่จะบานในเวลาอย่างนี้ มันพร้อมที่จะบาน เราก็ใช้เวลานี้เป็นเวลาที่จะศึกษาธรรมะ เมื่อจิตใจพร้อมที่จะเบิกบานสำหรับรับเอาธรรมะ แม้จะลำบากบ้างสำหรับผู้ที่ชอบนอนก็ไม่เป็นไร ขอให้อดทนหน่อย ให้เป็นนิสัยไปจนว่าอยู่ที่นี่หรืออยู่ที่บ้านของท่านเองก็จงใช้เวลาชั่วโมงนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ คือเวลาหัวรุ่งอย่างนี้ ยังเชื่อว่าพระศาสดาองค์อื่นๆ ก็น่าจะได้ใช้เวลาอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะนั้นเราลองพยายามใช้เวลาอย่างนี้ ซึ่งจะเรียกกันง่ายๆ ว่า ไอ้โลกเวลา ๕ น. โลกเวลา ๕ น. นี่จงใช้เพื่อประโยชน์แก่การเบิกบานของจิตใจ คือการรู้ธรรมะ ให้เป็นปกตินิสัยเถอะ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ใช้เวลา ใช้โลกในเวลา ๕ น.นี่ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เข้าใจว่าจะมีผลดีมากกว่าที่แล้วมา
เรียกอีกอย่างหนึ่งอย่างเข้าใจได้ง่ายว่า เป็นเวลาที่น้ำชายังไม่ล้นถ้วย เป็นคำพูดอุปมาของพวกเซน จิตใจเวลา ๕ น.นี่ ยังไม่ถูกเติมลงไปด้วยอะไร ยังว่างอยู่ เราจึงใส่อะไรลงไปได้มาก ถ้ามันเป็นกลางวันเป็นอะไรไปแล้ว มันก็เติมอะไรลงไปมากแล้ว เลยมันจะเติมอีกไม่ค่อยจะลง เวลาที่มันยังไม่มีอะไร ยังว่างอยู่นี่ยังเติมอะไรลงไป เติมอะไรลงไป มันเป็นเวลาที่น้ำชายังไม่ล้นถ้วย จึงเป็นการง่ายและได้รับผลดี
ทีนี้ถ้าถามว่าท่านจะเติมอะไรลงไปในเวลาอย่างนี้ ขอตอบง่ายๆ สั้นๆ ว่า เติมธรรมะที่เป็นแสงสว่าง แสงสว่างแห่งชีวิต จะเรียกอีกอย่างหนึ่งภาษาวัดจะเรียกว่า แสงแห่งวิปัสสนา ท่านทำวิปัสสนาก็ด้วยแสงแห่งวิปัสสนา แล้วท่านก็เติมเข้าไปในชีวิต ในโอกาสนี้ คือโลกเวลา ๕ น.เป็นการง่าย เติมแสงสว่างแห่งชีวิตหรือแสงแห่งวิปัสสนาลงไปในจิตใจในชีวิตเวลา ๕ น. เมื่อท่านทำวิปัสสนาก็ได้รับผลแห่งวิปัสสนา เป็นแสงแห่งวิปัสสนา นั่นแหละคือแสงแห่งธรรมะ แสงแห่งธรรมะเติมในชีวิตให้มากขึ้นๆ ทุกวันๆ ไม่เท่าไรท่านก็จะมีความรู้ธรรมะสมบูรณ์หมดปัญหาแห่งชีวิต และอีกประการหนึ่งที่ขอร้องให้สนใจ คือท่านจะต้องเดินจากเซ็นเตอร์มาที่นี่ ก็เป็นเวลาที่ทำบทเรียนเหมือนกับเรียนด้วยเหมืนกัน คือจะเดินอย่างที่เรียกว่าพิเศษๆ เดินวิปัสสนาหรือว่าเดินด้วยสุญญตา คือไม่มีตัวที่เดิน Walking without walker คือท่านจะทำจิตใจที่เป็นธรรมะเรื่องอนัตตา ไม่มีตัวตน แล้วก็เดินมาในลักษณะที่ไม่มีตัวตนผู้เดิน ไม่มีตัวตนผู้เดิน มีแต่การเคลื่อนไหวของขา ของร่างกายนี่ ฝึกอย่างนี้ตลอดมาเถิดจะได้ประโยชน์ที่สุด คือหัดเดิน อย่างอนัตตา อย่างสุญญตา อย่างไม่มีตัวผู้เดิน มี ประโยชน์มากที่สุด ขอให้ Morning walk กันในลักษณะอย่างนี้ด้วย เป็นบทเรียนตลอดทางที่เดินมา
ต่อไปเราก็จะฝึก คือนั่งอย่างไม่มีผู้นั่ง การนั่งที่ไม่มีผู้นั่ง การยืนที่ไม่มีผู้ยืน การนอนที่ไม่มีผู้นอน การกินอาหารที่ไม่มีผู้กิน การอาบน้ำที่ไม่มีผู้อาบ การถ่ายอุจจาระปัสสาวะที่ไม่มีผู้ถ่าย ไม่มีผู้ๆๆ ที่เรียกว่า ตัวตน นั่นคือบทเรียนสูงสุดที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา สรุปเรียกว่า เรามีชีวิตโดยไม่ต้องมีตัวผู้มี มีชีวิตโดยไม่ต้องมีตัวผู้มี นี่คือบทเรียนสูงสุด แล้วท่านก็จะสงสัยว่ามันจะมีประโยชน์อะไร มันจะมีประโยชน์อะไร ตอบสั้นๆ ง่ายๆ ว่ามันเป็นประโยชน์สูงสุด คือจะมีชีวิตชนิดที่ไม่มีความทุกข์เลยโดยประการทั้งปวง ชีวิตอนัตตา ชีวิตสุญญตา ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ มันก็ไม่มีความทุกข์เลยโดยประการทั้งปวง มันเป็นประโยชน์สูงสุดอย่างนี้
แล้วมันก็มีปัญหาว่า ถ้าเราไม่มีความรู้เป็นแสงสว่างที่จะเดินอย่างนี้ จะมีชีวิตอย่างนี้ จะทำได้อย่างไร มันก็ทำไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องแสวงหาธรรมะ ธรรมะ ในฐานะที่เป็นแสงสว่างที่ช่วยให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในลักษณะอย่างนี้ เราจะพูดกันถึงเรื่องแสงสว่างต่อไป
สิ่งที่เรียกว่า แสงสว่าง แสงสว่าง นี่มันจำเป็นแก่สิ่งที่เรียกว่าชีวิตทั้งใน ๒ ความหมาย คือทั้งในฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายฟิสิกส์ด้วย แล้วก็ทั้งฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ฝ่าย Spiritual ด้วย มันมีแสงสว่างอยู่ครบทั้ง ๒ ชนิด เราจะต้องรู้จักแสงสว่างอันนี้ให้ดีที่สุดเลย ถ้าในโลกนี้ไม่มีแสงสว่าง ทางฟิสิกส์ คือแสงอาทิตย์ แสงดวงอาทิตย์นี่ คือตายกันหมด ต้นไม้ก็ตาย อะไรก็ตาย มันอยู่ไม่ได้ มันไม่มีการงอกงามของเซลล์แห่งชีวิตหรือมันไม่มีการตายในทางวัตถุหรือทางร่างกาย ที่นี่มันก็ยังมีแสงสว่างสำหรับต้นไม้อีกชนิดหนึ่ง คือชีวิตนั่นเอง จิต จิต จิตใจ ก็เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งต้องการแสงสว่างอีกชนิดหนึ่ง คือต้องการแสงสว่างของธรรมะ ของธรรมะ รวมความว่าชีวิตมันต้องการแสงสว่างถึง ๒ อย่าง ถึง ๒ อย่าง ขาดไม่ได้ทั้ง ๒ อย่างนี้ เราจึงมาหา เสาะหาแสงสว่างซึ่งเข้าใจยาก คือแสงสว่างแห่งธรรมะ ซึ่งจะหล่อเลี้ยงชีวิตในด้านจิตใจ ในด้านวิญญาณ ในด้าน Spiritual ถ้าไม่มีแสงสว่างทางฟิสิกส์ร่างกายก็ตาย ถ้าไม่มีแสงสว่างทาง Spiritual จิตใจก็ตาย มันก็ตาย ร่างกายก็ตายแบบร่างกาย จิตใจก็ตายแบบจิตใจ เพราะว่ามันไม่มีแสงสว่าง ดังนั้นจึงขอให้สนใจเป็นพิเศษ ในการที่จะแสวงหาแสงสว่างทางจิตใจ
เราต้องมีชีวิตอย่างถูกต้อง ถูกต้องทั้ง ๒ แบบ คือทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตใจ ถ้าไม่อย่างนั้น มันจะยิ่งกว่าเป็นหมัน ยิ่งกว่าเป็นหมัน คือมันตายเลย มันตายเลย ขอให้สนใจแสงสว่างทั้ง ๒ แบบ ก็ทำให้ถูกต้องที่สุด ถูกต้องที่สุด มาศึกษา มาฝึกฝนกันเพื่อกระทำให้ถูกต้องที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายมีความแน่ใจอย่างนี้
สำหรับแสงสว่างทางวัตถุหรือทางร่างกาย เชื่อว่าท่านทั้งหลายได้เคยศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว และอาจจะมากกว่าอาตมาด้วย เพราะนั้นไม่ต้องพูดเรื่องแสงสว่างทางวัตถุเพื่อประโยชน์แก่ทางกาย เรามาพูดเรื่องแสงสว่างที่ลึกลับ คือแสงสว่างในทางจิตใจกันให้มากเป็นพิเศษ เป็นแสงแห่งธรรมะ เป็นแสงแห่งธรรมะ แต่มันก็ส่องโลกด้วยกันนะ แสงสว่างทางวัตถุหรือแสงสว่างทางจิตใจก็ทำ ก็ส่องโลก โลก คือหมู่สัตว์ด้วยกัน เพียงแต่ว่าส่องทางด้านร่างกายหรือด้านจิตใจเท่านั้นเอง
เมื่อกล่าวตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก ปัญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต ปัญญา ปัญญา เป็นแสงสว่างในโลก ไม่ได้พูดถึงแสงสว่างทางวัตถุหรือแสงอาทิตย์ แต่กล่าวว่า ปัญญา ความรู้ สิ่งที่ควรรู้ นั่นแหละเป็นแสงสว่างในโลก โลกจะขาดแสงสว่างอันนี้เสียมิได้ ดังนั้นเราจึงมาแสวงหาแสงสว่างในทางปัญญาหรือแสงของธรรมะ มีธรรมะ มีแสงของธรรมะสำหรับดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
แสงสว่างทางจิตใจคือ ปัญญา นี่มาจากการเห็นแจ้ง เข้าใจ รู้จักอย่างถูกต้องต่อสิ่งทั้งปวงที่มันมีอยู่ในโลกตามที่เป็นจริง การทำให้เกิดความเห็นแจ้งชนิดนี้เราเรียกว่า วิปัสสนา วิปัสสนา นับตั้งแต่เริ่มทำ ก็เริ่มเห็นแจ้ง แล้วก็เห็นแจ้งในที่สุดเรียกว่า วิปัสสนา เห็นแจ้งในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกี่ยวกับชีวิตของเรา ดังนั้นแสงสว่างนี่ก็เพื่อรู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง ควบคุมตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง ให้ได้รับผลดีที่สุด สูงสุด นี่คือแสงสว่างแห่งธรรมะ แสงสว่างแห่งวิปัสสนา ซึ่งเราจะต้องแสวงหาและเรากำลังช่วยกันแสวงหาอยู่ในที่นี้
วิธีการศึกษาที่สมบูรณ์ที่สุดของพุทธบริษัทตามหลักแห่งพุทธศาสนา จึงมีเป็น ๔ ประการด้วยกัน รู้จักตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง แล้วก็รู้จักกฎของธรรมชาติทั้งปวง แล้วก็รู้หน้าที่ หน้าที่ที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้น แล้วก็รู้จักผลที่เกิดขึ้นมาอย่างถูกต้องตามการปฏิบัติ แล้วจะรู้จักธรรมชาติ รู้จักกฎของธรรมชาติ รู้จักหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วรู้จักผลของหน้าที่นั้น รู้อย่างนี้ก็เรียกว่ามีแสงสว่างถึงที่สุด สำหรับดำเนินชีวิตไปถึงจุดหมายปลายทาง คือสิ่งสูงสุดที่ชีวิตจะพึงได้รับ ขอให้มีหลักการอย่างนี้ไว้ก่อนด้วยกันทุกคน
มีความรู้อยู่ระบบหนึ่งเรียกชื่อว่า อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ถ้าท่านมีความรู้เรื่อง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แล้วก็จะรู้ครบถ้วนทั้ง ๔ ความหมาย รู้ธรรมชาติ รู้กฎธรรมชาติ รู้หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ และผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่โดยแน่นอน เพราะนั้นขอให้ท่านสนใจ สนใจที่ครูบาอาจารย์จะอธิบายเรื่องนี้แก่ท่าน ศึกษาเรื่อง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ที่เซ็นเตอร์นั้น ขอให้สนใจอย่างยิ่ง เพื่อทำความเข้าใจเรื่อง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท
โดยสรุปสั้นที่สุด ขอให้จำไว้อย่างแม่นยำง่ายๆ ว่าความรู้ข้อนี้มันบอกให้เราทราบว่า ชีวิตนี้มีเหตุมีปัจจัย ชีวิตนี้มีเหตุมีปัจจัย ไม่ใช่ไม่มีเหตุ ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ชีวิตนี้มีเหตุมีปัจจัย และชีวิตนี้ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีทางอย่างอื่น ชีวิตนี้มีเหตุมีปัจจัย และชีวิตนี้ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และต้องเป็นไปอย่างถูกต้องจึงจะไม่เกิดความทุกข์หรือปัญหาใดๆ ขึ้นมา นี่คือเรื่องความใจความสำคัญของ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ที่จะป้องกันแก้ไขปัญหาความทุกข์ใดๆ อันจะเกิดขึ้นแก่ชีวิตโดยประการทั้งปวง
ในพระพุทธศาสนา เมื่อเราเรียกบุคคลผู้ไม่มีความรู้ข้อนี้ ไม่มีความรู้เรื่อง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท นี่ว่า เป็นคนโง่ เป็นคนโง่ เป็นคนโง่ก็คือ เป็นคนไม่รู้เรื่อง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่นหรือถูกต้องไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ขอให้พยายามรู้เรื่อง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แล้วก็จะพ้นจากความเป็นคนโง่ คือเป็นผู้ที่ฉลาด สามารถดำเนินชีวิตไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้ คนโง่ คือคนที่ไม่สามารถนำชีวิตไปถึงจุดหมายปลายทางได้ นี่คือบท Definition ของคำว่า คนโง่ในพระพุทธศาสนา คนโง่ คือคนที่ไม่สามารถนำชีวิตไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้ ขอให้ช่วยจำไว้อย่างสั้นๆ อย่างนี้ก่อน เขาอาจจะเป็นคนมีสติปัญญาที่เรียกว่า Intellectual นี่มากๆ แต่มันไม่ถูกเรื่อง มันไม่ตรงจุดที่จะนำชีวิตนี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง เขามีปัญญาแต่จะเพิ่มปัญหาให้แก่ชีวิต เพราะต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ ดำเนินอย่างนั้นอย่างนี้มากออกไป มากออกไป มากออกไป ซึ่งมันไม่นำไปสู่จุดหมายปลายทาง คือความหมดจากปัญหาทั้งปวงของสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต
คนพวกนี้ เขามีปัญญามาก แต่ว่ามันได้กลายเป็นความมืดสีขาว ความมืดสีขาว ฟังยากหน่อย ความมืดสีขาว เมื่อท่านจ้องดูไปที่ดวงอาทิตย์ ท่านจ้องดูไปที่ดวงอาทิตย์ ท่านก็ได้แสงสว่างแต่แล้วก็ไม่เห็นอะไร ไม่เห็นอะไร เบิกตาดูไปที่ดวงอาทิตย์แล้วก็ไม่เห็นอะไร เห็นแต่สีขาว มันเป็นความมืดสีขาวมันบังอยู่ ดังนั้นเราจะต้องจัดการให้ถูกต้องกับความมืดสีขาว มันเป็นความมืดที่หลอกลวงที่สุด หลอกลวงที่สุด ให้เราเข้าใจว่าเป็น สติปัญญา ระวังความรู้ที่เจริญงอกงามมากมายในโลกนี้ที่เรียกว่ามี Interact มากนี้ มันจะกลายเป็นความมืดสีขาวโดยไม่ทันรู้ตัว
ความมืดสีขาวไม่อาจจะส่องลงไปในจิตใจของมนุษย์ คือแสงแดดนั่นแหละ ไม่สามารถจะส่องลงไปถึงจิตใจของมนุษย์ ไม่ไปถึงอวิชชา ไม่ไปถึงรัง ภพ ซ่อง อะไร ไม่ไปถึงซ่องของอวิชชา มันก็ไม่ทำลายอวิชชา เพราะนั้นเราจะต้องมีแสงสว่างแห่งธรรมะที่ส่องลงไปได้ถึงซ่องของอวิชชา เหมือนกับซ่องโจรเป็น Than of jones (นาทีที่ 01.01.00น.) คือ อวิชชา ขอให้มาเพื่อแสวงหาแสงสว่างที่ถูกต้อง ไม่เป็นความมืดสีขาวอย่างที่กำลังมีอยู่ในโลก กำลังมีอยู่ในโลกเป็นความมืดสีขาว แสงสว่างแห่งธรรมะไม่ใช่ความมืดสีขาว เพราะมันสามารถส่องลงไปถึงจิตใจของมนุษย์ ทะลุจิตใจของมนุษย์ ลงไปถึงอวิชชา รัง รัง หรือแก๊ง หรือว่าซ่องของอวิชชา เพื่อทำลายอวิชชาเสียได้ นี่คือแสงสว่างแห่งธรรมะ เป็นแสงสว่างที่แท้จริงที่สามารถจะส่องลงไปในจิตใจและทำลายอวิชชาของโลกนี้เสียได้ มันเป็นแสงแห่งธรรมะ แสงแห่งธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ มันเป็นแสงที่เกิดมาจากการรู้ธรรมชาติในทุกๆ ความหมาย มันจึงสามารถขจัดปัญหาทุกๆ ชนิดที่เรามีกันอยู่ในโลกนี้ แสงแห่งธรรมะสามารถกำจัดปัญหาทุกชนิดที่เรามีกันอยู่ในโลกนี้ เพราะมันเป็นแสงแห่งธรรมชาติ มันจึงกำจัดปัญหาอันเกิดมาจากธรรมชาติได้ทุกชนิดอย่างไม่มีเขตไม่มีขอบเขตจำกัด ขอให้เข้าใจข้อที่ว่าไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่จำกัดมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ไหน Race ไม่ว่ามนุษย์จะเป็น Race ไหน และไม่ว่าในยุคไหนสมัยไหน และไม่ว่าในที่ไหน ในที่ไหน ไม่จำกัดที่ ไม่จำกัดทั้งเวลา ไม่จำกัดทั้งสถานที่ และไม่จำกัดทั้งแก่ชาติพันธุ์ของมนุษย์ คือมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาต้องใช้ความรู้ข้อนี้เหมือนกันหมดทุกชาติพันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา
ธรรมชาติแท้จริงนี่ดู ท่านดูเห็นได้เองว่ามันไม่อาจจะแบ่งเป็นไทย เป็นฝรั่ง เป็นแขก เป็นจีน เป็นอัฟริกัน หรือเป็นอะไรได้หรอก มันเป็นมนุษย์หรือเป็นคนที่จะมีปัญหาอย่างเดียวกัน แล้วก็จะต้องมีสิ่งที่แก้ปัญหาอย่างเดียวกัน นี่แสงธรรมะจึงใช้ได้กับคนทุกชาติทุกภาษาโดยไม่มีข้อสงสัย โดยไม่มีข้อยกเว้น มันใช้แก่คนทุกชาติทุกภาษา แล้วก็ไม่จำกัดยุค สมัยหรือเวลา ไม่ว่าจะเป็นยุค สมัย ที่ยังเป็นแสนปี แสนปีมาแล้ว สมมุติว่าแสนปีมาแล้ว คนยังไม่นุ่งผ้า ยังอยู่ตามถ้ำ ตามป่า ตามอะไร มันก็ใช้กฎเกณฑ์อันนี้แหละ ความทุกข์เกิดมาจากสิ่งนี้ ต้องดับไปด้วยสิ่งนี้เรื่อยมา เรื่อยมา จนถึงยุคปัจจุบันนี้คนฉลาดสามารถจนไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้ สามารถ ฉลาดอย่างนี้ มันก็ยังต้องใช้กฎเกณฑ์อันนี้ คือกฎเกณฑ์เรื่อง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แสงสว่างอันนี้ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดยุคสมัยอย่างนี้ ขอให้มองให้ดีๆ
ที่ว่าไม่จำกัดสถานที่นั้นก็ยิ่งเข้าใจได้ง่าย ความรู้นี้จะไปใช้ที่ไหนก็ได้ อเมริกาก็ได้ ยุโรปก็ได้ ออสเตรเลียก็ได้ ประเทศ (นาทีที่ 01.11.25น.) ที่อยู่กันแต่ในทะเลก็ได้ ใช้บนเมืองสวรรค์ บนเมืองเทวดา เมืองสวรรค์ก็ได้ถ้ามันมี ก็ต้องใช้ความรู้อันนี้คือ กฎเกณฑ์ของ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท เป็นแสงสว่างของธรรมะของธรรมชาติ ไม่จำกัด Race ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ ขอให้ท่านเข้าใจเห็นชัดลงไปอย่างนี้ แล้วก็รีบศึกษาโดยเร็วเถิด เราไม่รู้สิ่งที่ควรจะรู้ สิ่งที่ควรจะรู้เราไม่ได้รู้ แล้วเราก็ไปรู้สิ่งที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ ดังนั้นความรู้ของเราจึงรู้ไปแต่ในทางที่เป็นส่วนเกิน โลกนี้จึงผลิตออกมาแต่ส่วนเกินๆๆ จนไม่มีสันติภาพ เพราะมันไม่มีความรู้ที่แท้จริงว่าความทุกข์เกิดมาจากอะไร ไม่รู้จักว่าชีวิตนี้จะต้องควบคุมกันอย่างไร นี่จะต้องรู้เรื่อง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเราจะต้องพูดกันวันหลัง เพราะมันเป็นเรื่องยืดยาว แต่ขอให้รู้เรื่องนี้ก็จะกำจัดเรื่องปัญหา ขจัดปัญหาทุกอย่างทุกประการ มันไม่เกินแต่มันพอดีๆ กับชีวิต คือมันมีปัญหาอย่างไร นี่คือแสงแห่งธรรมะ แสงแห่งปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา ขอให้สนใจเป็นพิเศษ คือว่าเราจะต้องมีแสงแห่งธรรมะ คือแสงแห่ง อิทัปปัจจยตา เราจึงจะแก้ปัญหาของโลกปัจจุบันที่มีแต่ผลิตส่วนเกิน ผลิตส่วนเกิน
เรามีสติปัญญาความรู้ความสามารถจนไปเที่ยวที่โลกพระจันทร์ได้ เหมือนกับเราไปเที่ยวสวนหลังบ้าน เที่ยวเล่นที่สวนหลังบ้าน ต่อไปเราก็จะไปเที่ยวโลกอังคาร โลกดาวพุธอะไรได้ทุกหนทุกแห่ง เราสามารถอย่างนี้ แต่ทำไมมันยังไม่มีสันติภาพในโลก มันมีแต่วิกฤตการณ์เพิ่มขึ้น เรามีเครื่องมือเครื่องใช้มากมายมหาศาล มีรถ มีเรือ มีคอมพิวเตอร์เต็มไปหมด แล้วทำไมมันไม่มีสันติภาพ เพราะว่าไอ้ความรู้สติปัญญาที่เราได้จากสิ่งเหล่านี้ มันไม่ได้เป็นไปเพื่อสันติภาพ มันไม่ถูกต้องแก่การที่จะกำจัดความทุกข์ออกไป ขอให้หาความรู้ สติปัญญา หรือแสงสว่างกันเสียใหม่ จงลงไปที่จะกำจัดความโง่ที่ไม่รู้จักชีวิตตามที่เป็นจริง ขอให้ศึกษาแสงสว่างแห่งธรรมะให้ตรงตามที่เป็นจริง คือกำจัดความทุกข์ ช่วยกันสร้างโลกที่ไม่มีความทุกข์กันขึ้นมาให้ได้ นี่คือความมุ่งหมาย เรามีแต่สติปัญญาที่เป็นส่วนเกิน มีเครื่องมือเครื่องไม้ที่เป็นส่วนเกิน แล้วมันไปเพิ่มปัญหา มันไม่ลดปัญหา มันไม่แก้ปัญหา มันเป็นการเพิ่มปัญหา คือความเจริญๆ อย่างที่ในโลกปัจจุบันมีอยู่นี้มันกลับเพิ่มปัญหา มันไม่ได้ลดปัญหา เพราะว่าเราไม่มีปัญญาที่ถูกต้อง ไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง มันกลายเป็นความมืดสีขาวไปเสียทั้งหมด
เรามีปัญญาชนิดที่น่าสงสาร น่าสงสารที่เรามีปัญญาที่มันมีแต่เพิ่มปัญหา มันเป็นปัญญาที่หลอกเราให้ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำมากขึ้น มันไปทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ นี้เรียกว่ามันเป็นปัญญาที่หลอกตัวเอง เป็นความมืดสีขาวกำลังครอบคลุมทั่วไปทั้งโลก ความมืดสีขาว คือสติปัญญาที่หลอกตัวเองกำลังครอบคลุมไปทั้งโลก ปัญญาของเรามันยังไม่ลึก มันยังไม่เป็น Intivity wisdom (นาทีที่ 01.23.32น.) ต่อสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เรายังไม่รู้จักชีวิต เราไม่สามารถจะดำเนินชีวิตให้พ้นจากปัญหาหรือความทุกข์ได้ นี้เรียกว่าปัญญาของเรามันยังไม่ลึกซึ้ง ไม่ถูกจุด ของจุดสำคัญของชีวิตที่จะแก้ปัญหาชีวิตได้ ไม่มีปัญญาลึก ปัญญาของเรายังไม่ได้มองเข้าไปที่ตัวเอง ยังไม่เห็นตัวเอง มันไม่เป็น Subjective มันเป็น Objective ข้างนอกไปเสียหมด มันไม่มองเข้าไปข้างใน มันไม่มองเข้าไปข้างใน นี่เรามาศึกษาปัญญาชนิดที่จะเจาะแทงทะลุเข้าไปข้างใน ในตัวชีวิต ให้รู้จักชีวิตและแก้ปัญหาของชีวิตได้
ปัญญาที่แท้จริง ที่แท้จริง ที่จะเป็นที่พึ่งได้ ที่เราจะอาศัยได้นั้น มันต้องเป็นปัญญาที่ตั้งรากฐานขึ้นมาบนความเจนจัดแห่งชีวิต ความเจนจัดแห่งสติปัญญาของเราเอง จะเรียกกันง่ายๆ ว่า Spiritual Experience Spiritual ในแง่สติปัญญาลึกซึ้งที่ Experience มาแล้ว ท่านทั้งหลายจงหวังในข้อนี้ให้มาก อย่าหวังที่จะรับอะไรใหม่ๆ จากข้างนอก แต่จะต้องตั้งอาศัยอยู่บนความเจนจัดทางวิญญาณที่ได้ผ่านมาแล้ว ตั้งแต่เกิดมามีชีวิตนี้มันมี Experience กันมาก จงใช้สิ่งนี้แหละให้เป็นที่ตั้งของสติปัญญา ให้สติปัญญาของเราถูกตรงตามความจริงของชีวิต มันจะแก้ปัญหาของชีวิตได้ อย่าให้ไปเที่ยวจำนั่นจำนี่มาจากข้างนอก มันไม่ถูกกับเรื่อง มันไม่ตรงกับเรื่องของชีวิต ให้มันออกมาจากชีวิต ความเจนจัดในชีวิตที่ได้ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง แม้ว่าท่านจะมาศึกษาที่นี่ ท่านก็อย่าหวังว่ามันจะมีอะไรมากไปกว่าความเจนจัดในชีวิต เราจะสอนให้ท่านทั้งหลายไปศึกษาความเจนจัดในชีวิตที่ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง นั่นแหละเป็นรากฐานของปัญญาที่จะช่วยแก้ปัญหาได้โดยแท้จริง เพราะนั้นขอโอกาสให้ได้พูดอย่างตรงๆ ว่า เรามีกันแต่ปัญญาท่องจำ ท่องจำ ท่องจำ ที่ถ่ายทอดกันมา ถ่ายทอดกันมาอย่างหลับหูหลับตา เราไม่ได้มีแสงสว่างแห่งธรรมที่สามารถจะใช้ประโยชน์ได้จริง มีแต่ความท่องจำที่ถ่ายทอดกันมาอย่างหลับหูหลับตาเป็น Television ไปเสียหมดนี่มันแก้ปัญหาไม่ได้เพราะเหตุนี้
เรามีแต่ปัญญาที่เป็นทาสแห่งตัณหา คือความต้องการด้วยความโง่ ต้องการด้วยความโง่ ไม่ได้ต้องการสันติภาพ แต่ต้องการจะแสวงหาสิ่งสนุกสนานเอร็ดอร่อยเสียมาก โดยเฉพาะทางกามารมณ์ให้แก่ชีวิตอย่างเดียว อย่างนี้ปัญญานี้เรียกว่า มันเป็นทาสแห่งตัณหา คือความต้องการด้วยความโง่ ปัญญานี้ไม่มีเสรีภาพ ไม่เป็นอิสระ มันเป็นทาสของตัณหาแล้วมันก็เป็นอิสระไม่ได้ ขอให้ช่วยสังเกตข้อนี้ให้ดีๆ อย่าให้ปัญญาของเราเป็นทาสของปัญหาอีกต่อไป เรามีกันแต่ปัญญาที่มาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ปัญญาของเรามาจากความเห็นแก่ตัว ก็รับใช้ความเห็นแก่ตัว รับใช้ความเห็นแก่ตัว ไม่รับใช้สันติภาพ เรามีปัญญาแต่เพื่อประโยชน์ของตน ปัญญาเพื่อความเห็นแก่ตน ปัญญาแต่เพื่อความเห็นแก่ตน ปัญญาเสรีภาพมันไม่มี นี่ขอให้สนใจข้อนี้ให้มาก มาเป็นอิสรเสรีภาพจากตัณหา จากอวิชชา จากความเห็นแก่ตนกันเถิด ทางรอดก็จะปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมา ปัญญาของความเห็นแก่ตัว ปัญญา เสรีภาพ ปัญญาที่เป็นเสรีภาพเราไม่มี มีแต่ปัญญาที่เป็นทาสแห่งปัญหา ปัญญาที่รับใช้ความเห็นแก่ตัว เพราะนั้นขอให้เรามีปัญญาเสรีภาพ ไม่รับใช้ความเห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัวนั้นมันไม่ใช่สติปัญญา มันเป็นความโง่เขลา แต่เราก็มีปัญญากันแต่ในทางเห็นแก่ตัว ปัญญาที่รู้จักแต่ประโยชน์ของตัวอันนี้มันเป็นกิเลส มันก็ปิดบังปัญญาที่แท้จริงที่จะดับทุกข์ที่จะเห็นแก่ผู้อื่น ที่จะเห็นแก่ความถูกต้อง ปัญญาของเราไม่เป็นไปเพื่อความถูกต้อง ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว นี่คืออุปสรรคอันใหญ่หลวงที่กำลังมีอยู่ในโลก มีอยู่ในโลก คือโลกแห่งความเห็นแก่ตัว ปัญญาของเรามันมุ่งแต่จะพัฒนา พัฒนา พัฒนาสิ่งใหม่ๆ ปัญญาของเรามันไม่มุ่งไปที่สันติภาพ แล้วเราก็โง่ โง่ไปว่าพัฒนาจะนำมาซึ่งสันติภาพ ยิ่งพัฒนามันยิ่งไกลสันติภาพ เพราะมันเป็นไปด้วยปัญญาที่รับใช้ความเห็นแก่ตัว ปัญญาที่มุ่งพัฒนารับใช้ความเห็นแก่ตัวนี้ไม่มีทางที่จะสร้างสันติภาพให้แก่ชีวิตของคนๆ เดียว แม้แต่ชีวิตของคนๆ เดียว ขอให้เราตั้งต้นกันใหม่ มีแสงสว่างแห่งถูกต้อง มีแสงสว่างที่ถูกต้อง จะสามารถดำเนินชีวิตไปสู่จุดหมายปลายทางที่เป็นสันติภาพได้โดยแท้จริง การศึกษาหรือสติปัญญา ปัญญาหรือการศึกษา ของเรานี่ไม่รับใช้พระเจ้า ไม่รับใช้พระเจ้า ไม่รับใช้พระธรรม ไม่รับใช้ความถูกต้อง แต่มันไปรับใช้ความเห็นแก่ตัว รับใช้ความเห็นแก่ตัว สร้างสิ่งที่กิเลสตัณหาต้องการอันไม่รู้จักสิ้นสุด นี่คือปัญหาอันแท้จริงที่กำลังมีอยู่ในโลก ขอให้มีการศึกษาถูกต้อง ปัญญาถูกต้อง มารับใช้ความถูกต้องที่จะแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วยกันทุกคนๆ
ขอท่านทั้งหลายอย่าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่ามันเป็นไปได้ เช่นเดียวกับที่เราเดินทางมาผิดๆ ผิดๆ ไกลลิบนี้มันเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นการที่เดินทางเสียใหม่ให้ถูกต้อง กลับไปในทางที่ถูกต้อง มันก็ต้องเป็นไปได้เหมือนกัน ขออย่าได้คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีแสงสว่างที่ถูกต้อง มีสติปัญญาที่ไม่เป็นทาสแห่งกิเลสตัณหา มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ขอให้ท่านตั้งใจศึกษา พยายามให้รู้ความจริงข้อนี้ แล้วฝึกฝนจิต ฝึกฝนจิต บังคับให้มันเป็นไปอย่างนั้นให้ได้ เรามีทั้งความรู้แล้วเรามีทั้งกำลังจิตที่ฝึกฝนดีแล้ว เรื่องนี้ก็จะต้องสำเร็จตามความมุ่งหมายโดยแน่นอน แสงสว่างทางวัตถุ คือแสงอาทิตย์นี้ มันช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ มีร่างกายอยู่ได้ แต่มันไม่ช่วยให้เกิดความถูกต้อง ดังนั้นเราต้องมีแสงสว่างแห่งธรรมะ เพื่อจะควบคุมชีวิตหรือร่างกายนี้ให้มันเดินไปในทางที่ถูกต้องด้วยแสงสว่างที่ ๒ คือแสงสว่างทางธรรมะหรือทางจิตใจ อย่าลืมที่ได้พูดตั้งแต่ทีแรกว่าเรามีแสงสว่าง ๒ ชนิด คือ ทางร่างกายและจิตใจ เราต้องพยายามให้ดีที่สุดให้แสงสว่างทั้ง ๒ นี้สัมพันธ์กัน สัมพันธ์กัน สัมพันธ์กันด้วยดี ด้วยดี เพราะมีความถูกต้องทั้งทางร่างกายและทั้งทางจิตใจ เราก็จะอยู่เหนือปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง
แสงสว่างที่ทำให้เราเห็น อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท นั่นคือแสงแห่งธรรม แสงแห่งธรรม แสงแห่งธรรมะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรมะ เมื่อเห็นธรรมะก็มีแสงสว่างแห่งธรรมะ แสงสว่างแห่งธรรมะก็แก้ปัญหา กำจัดปัญหาในทางจิตใจได้หมดสิ้น เราก็หมดปัญหาทั้งทางร่างกาย ทั้งทางจิตใจ ถึงจุดหมายปลายทางอันสูงสุดแห่งชีวิตนี้ได้เป็นแน่นอน บทเรียนของเราจึงมีอยู่เป็น ๒ ขั้นตอน คือรู้จักความจริงของชีวิต รู้จักความจริงของสิ่งทั้งปวงนี้ตอนหนึ่ง แล้วเราก็บังคับจิตของเราให้ทำหน้าที่ได้ทุกๆ อย่างที่เกี่ยวกับความจริงเหล่านั้น นี่ถ้าเกิดว่ารู้ความจริงแล้วก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แห่งความจริงนั้นให้ได้ ท่านมาศึกษาที่เซ็นเตอร์เขาก็มีการแนะนำสั่งสอนเพียง ๒ อย่าง คือความจริงและการปฏิบัติตามความจริงนั้นๆ ให้ได้ ขอให้ท่านมุ่งหมายในข้อนี้ แล้วก็จะได้ผลคุ้มค่าในการที่มาศึกษา
ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายในการเป็นผู้ฟังที่ดีมาเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว ถ้ามันไม่เป็นโลกแห่งเวลา ๕ น. เราคงจะพูดกันนานถึงสองชั่วโมงไม่ได้ ขอบคุณโลกแห่งเวลา ๕ น. ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจใช้ประโยชน์เหนือโลกในเวลา ๕น.นี้ยิ่งๆ ขึ้นไป ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายจงได้ประสบความสำเร็จของความมุ่งหมายในการมาที่นี่เพื่อศึกษาธรรมะด้วยกันจงทุกๆ คนเถิด ขอยุติการบรรยาย
ต้องพูดชดเชยเมื่อวานนี้ฝนตกหนัก ต้องพูดชดเชย พูดชดเชย พรุ่งนี้เราพูดเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ทั้งเดินมาและเดินกลับ ทั้งเดินมาและเดินกลับ ขอให้เดินอย่างไม่มีผู้เดิน เดินวิปัสสนาก็ได้ เดินอนัตตาก็ได้ เดินสุญญตาก็ได้ แล้วแต่เราจะเรียก เดินอย่างนี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนา
อ้าว, ปิดประชุม...