แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง มีชื่อเรียกว่าความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว วันก่อนเราก็ได้พูดมาแล้วถึงเรื่องความมีตัว ความรู้สึกว่าตัวว่าของตัว ทีนี้ก็เรื่องก็ต่อกันมา ก็คือเรื่องความเห็นแก่ตัว อันเกิดมาจากความรู้สึกว่ามีตัว คือมีของตัวนั่นเอง มันยึดมั่นในตัวหรือในของ ๆ ตัว ถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดของตัว ก็สงวนหรือถนอมล้วนแล้วก็แต่ แล้วแต่สิ่งนั้น ยึดเอาสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เรียกเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ว่าความเห็นแก่ตัว
ภาษาบาลีมีคำที่มีความหมายอย่างนี้ว่า อตฺตตฺถปฺา อัต ๆ ตอเต่า สะกดว่า ตัตถ ถอถุง แล้วปัญญา อัตตัตถปัญญา แปลว่ามีปัญญาแต่ในประโยชน์ของตัว มีปัญญาหรือมีความรู้แต่ในเรื่องประโยชน์ของตัว นั่นแหละคือความเห็นแก่ตัวแหละ ขอให้รู้จักไว้ให้ดี บาลีส่วนนั้นมันมีต่อไปอย่างน่า ๆ สะดุ้งว่า อตฺตตฺถปฺา อสุจี มนุสฺสา ผู้มีปัญญาเห็นแต่ประโยชน์ของตนเป็นมนุษย์อสุจิ อสุจิแปลว่าสกปรกหรือไม่สะอาด ก็คือว่าผู้ที่เห็นแก่ตัวน่ะ เป็นมนุษย์สกปรก เป็นมนุษย์ไม่สะอาด นี่โดยหลักธรรมมันมีอยู่อย่างนี้
ทีนี้เราก็เอาตามเรื่องจริง ที่มันเป็นจริงอยู่ในโลก ในสังคม หรือในชีวิตของบุคคลน่ะ มันเป็นอย่างไรก็ดูเอาเองเถิด มันไม่มองดูหรือมันมองไม่เห็นก็ได้ซึ่งความถูกต้อง มันไม่เห็นความถูกต้อง มันก็เลยไม่เห็นแก่ความถูกต้อง เพราะเห็นแต่แก่ประโยชน์ตน ไม่เห็นเก่ความถูกต้อง เห็นแต่แก่ประโยชน์ตน แล้วก็มันก็ไม่เห็นประโยชน์ของผู้อื่น มันก็เลยไม่รักผู้อื่น
ผู้เห็นแก่ตนจึงไม่เห็นแก่ธรรมะและไม่เห็นแก่ผู้อื่น ดูเอาเองว่ามีแก่เราหรือไม่ ถ้ายังเห็นแก่ความถูกต้องอยู่ ก็ยังจะต้องปฏิบัติไปตามความถูกต้อง ทีนี้มันไม่เห็นนี่ มันเห็นแต่ประโยชน์ตัว ไม่เห็นประโยชน์ผู้อื่น ไม่เห็นธรรมะ มันก็ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ตัว แล้วคนประเภทนี้ก็ถือเอาว่า ตัวได้ประโยชน์นั่นแหละคือความถูกต้อง มันจะยิ่งกว่าสัตว์ไปเสียอีก
ความดี ความจริง ความถูกต้อง นั่นคือฉันได้ประโยชน์ เมื่อคนอื่นได้ประโยชน์ ไม่รู้ไม่ชี้ นี่ลักษณะที่เห็นแก่ตัวว่า ตัวได้ประโยชน์นั่นคือความถูกต้อง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาขุดโกยเอาประโยชน์ โดยไม่ต้องนึกว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอยู่ที่ไหนอีกแล้ว ฉันได้ล่ะก็เป็นเรื่องถูกต้องท่าเดียว คำนวณ ๆ ดูแล้วว่ามันเป็นอันธพาลขนาดไหนนะ เอาความคิดชนิดนี้มันเป็นอันธพาลขนาดไหน มันสูงสุด สูงสุด ร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ ความเป็นอันธพาล นี่ดูเอาเอง ที่มันแสดงบทบาทอยู่ในหมู่มนุษย์ในโลกปัจจุบันน่ะ ความเห็นแก่ตัว
คือเริ่มต้นก็มาแต่ดึกดำบรรพ์ก็ได้ ก็พอจะพูดกันได้ ตามพระบาลีกล่าวว่า ก่อนโน้น เมื่อแรกมีมนุษย์นะ พืชพันธุ์ธัญญาหารเช่นข้าวสาลีเป็นต้น เกิดเองอยู่ในป่าเต็มไป เกิดพร้อมกับคน เกิดพร้อมกับโลก เกิดพร้อมกับสัตว์ คือคนก็มนุษย์คนป่านั่นแหละ ไปเอาข้าวสาลีที่เกิดเองในป่า ก็มาทำมากินเหมือนกัน แต่ความไม่รู้จักเห็นแก่ตัว ไปเอามาเฉพาะวัน เฉพาะวัน ไปเอามาเฉพาะวันหนึ่ง เฉพาะวันหนึ่ง มันข้าวมันก็น้อยเข้าด้วย
แล้วคนเห็นแก่ตัวที่ฉลาดแต่เห็นแก่ตัว มีปัญญาแต่เห็นประโยชน์ของตัว มันก็คิดว่า กูไปเอามาคราวเดียวมาก ๆ หลาย ๆ วัน มันก็เลยไปเอามาคราวเดียวมาก ๆ สำหรับหลาย ๆ วัน เมื่อคนอื่นเอาอย่าง เอาอย่างเข้า มันก็ไม่พอ มันก็เลยทะเลาะวิวาทการกิน แล้วเป็นเหตุให้ต้องปลูก ต้องทำนา ต้องปลูก จะเอาตามที่เกิดตามธรรมชาติไม่พอแล้ว อย่างนี้ก็เรียกว่าความเห็นแก่ตัวมันตั้งต้น มนุษย์หรือคนป่านั้นแหละ มันรู้จักใช้ความเห็นแก่ตัวกอบโกยประโยชน์ แล้วมันก็มากขึ้น ๆ เรื่องโน้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง มันมากขึ้น จนได้เกิดการเบียดเบียน การทะเลาะวิวาท อยู่กันไม่เป็นผาสุกทั้งนั้น เพราะความเห็นแก่ตัว
จนกระทั่งว่า มนุษย์มันเล็งเห็นว่าควรจะตั้งหัวหน้า ให้เลือกมนุษย์คนที่รูปร่างสวยงาม สง่าผ่าเผย แข็งแรง มีกำลังกาย มีกำลังจิต มีความเฉลียวฉลาด ก็เลือกเอาคนนี้มาตั้งหัวหน้า ทุกคนยอมรับ พร้อมกันตั้งคนนี้เป็นหัวหน้า ให้เขา ให้ควบคุมดูแลว่ากล่าวสั่งสอน ให้ลงโทษคนทำผิด ให้รางวัลคนทำถูก ให้บัญชาทุกสิ่ง นี่ความจำเป็นที่ต้องเกิดหัวหน้าขึ้นมานี้ มันเพราะความเห็นแก่ตัว
ก็ถือเอาว่ามนุษย์คนนี้เป็นมนุษย์คน อ่า, เป็นกษัตริย์คนแรก เป็นกษัตริย์คนแรกของมนุษย์ แล้วก็มีลูกหลานต่อมา ๆ ๆ ระบบกษัตริย์ก็เกิดขึ้น สมมติราชองค์แรกนี้เป็นกษัตริย์คนแรก เกิดขึ้นในโลกเพราะความเห็นแก่ตัวของคนในโลกนั่นเองนี่ แล้วก็ได้พิพากษาหรือลงโทษอะไรเรื่อยมา เพราะคนยังเห็นแก่ตัว จนกระทั่งปัจจุบันนี้
อาชญากรรม อาชญากรทั้งหลายก็มาจากคนที่เห็นแก่ตัว นี่มันเรื่องของความเห็นแก่ตัว มันเป็นอย่างนี้ ไม่เคยขาดตอน แล้วก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เพราะฉลาดมากขึ้น ก็เห็นแก่ตัวลึกซึ้งกว้างขวางมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็มากมายเหลือที่กล่าวเดี๋ยวนี้ ถ้าไปเทียบกับยุคคนป่าโน้นแล้ว ก็ไกลกันลิบ ก็ดูเอาเองก็แล้วกัน นี่ปัจจุบันความเห็นแก่ตัวกำลังเป็นอย่างไรในโลกนี้ ในโลกนี้กำลังเห็นเป็นอย่างไร
คนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว ต่อสู้กันไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จัดการ มีผลกลายเป็นการทะเลาะวิวาทน้อย ๆ แล้วก็มากขึ้น ๆ จนกลายเป็นสงคราม มี ๆ เหตุผลซ่อนอยู่ลึก ซึ่งเราไม่รู้ของ ๆ เขา มองไม่ค่อยจะเห็นแล้ว เหตุที่เขาต้องทำสงครามนั้นน่ะ แต่สรุปได้ว่า มันมาจากความเห็นแก่ตัว มันยอมไม่ได้ ทั้งโลกก็เลยไม่มีความสงบสุข เพราะเต็มไปด้วยการขัดแย้ง ยื้อแย่ง ต่อสู้ ประหัตประหารกันระหว่างผู้เห็นแก่ตัว สติปัญญามันเจริญมากขึ้น การศึกษามันเจริญมากขึ้น ฉลาดมากขึ้น มันก็รู้จักเห็นแก่ตัวลึกซึ้งขึ้น เห็นแก่ตัวลึกซึ้งขึ้นจนเหลือที่จะกล่าว ใช้เห็นแก่ตัวชนิดที่เรียกว่าเหนือเมฆ
เดี๋ยวนี้ระบบอุตสาหกรรมของนายทุนผู้เห็นแก่ตัวนั้นน่ะ ร้ายกาจมากนะ เพราะเขาผลิตไอ้สิ่งที่ ที่จริงก็ไม่ค่อยจำเป็นสำหรับคนหรอก แต่ว่าจำเป็นสำหรับเจ้าของ ที่เขาจะเอาเงิน จะล้วงกระเป๋าของผู้อื่น เขาก็ผลิตไอ้สิ่งที่คนอยากได้ อยากมี อยากซื้อ อยากกิน โดยที่ไม่จำเป็น ที่เกินจำเป็นทั้งนั้นแหละ มันจึงผลิตด้วยเครื่องจักรมหาศาล ได้ออกมามากมาย แล้วคนก็ซื้อหากัน ความร่ำรวยมันก็เกิดขึ้นแก่ผู้ผลิต อย่างนี้เป็นต้น
นี่ปัญหามันยุ่งยากมากขึ้น ก็แข่งขันกัน ฉันก็มีความคิดฝีไม้ลายมืออย่าง แกก็มีอย่าง ก็แข่งขันกัน แข่งขันกัน เต็มไปด้วยระบบอุตสาหกรรม ที่ไปยื้อแย่งกันเอากำไรเอาประโยชน์อย่างนี้ แล้วในโลกมันก็เพิ่มสิ่งที่ไม่จำเป็นนั้นมากขึ้น ๆ เพราะว่าเขาฉลาดในการโฆษณา โฆษณาเก่ง หลอก ๆ ล่อหลอกเก่งจนคนต้องซื้อ แม้ไม่จำเป็นก็ต้องซื้อ คุณไปดูเอาเอง สินค้ามากมายในร้านสรรพสินค้า หาสิ่งที่จำเป็นได้น้อยมาก แต่ว่ามันสวยงาม มันยั่วยวน มันดึงความสนใจ มันก็ขายได้ทั้งนั้น
นี่มันยุ่งขึ้นไหม มันยุ่ง ๆ เพราะผู้เห็นแก่ตัว จะเรียกว่าทั้งสองฝ่ายก็ได้ ไอ้พวกทำขายมันฉลาด แล้วมันเห็นแก่ตัวที่ฉลาด ไอ้คนซื้อโน่นก็เห็นแก่ตัวด้วยความโง่ เห็นความสวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังอะไรก็ตาม ก็อุตส่าห์ซื้อ เพราะเห็นแก่ตัวเหมือนกัน เห็นแก่ความเอร็ดอร่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ ก็พบกันพอดี ฝ่ายโน้นก็เห็นแก่ตัว ฝ่ายนี้ก็เห็นแก่ตัว วัตถุปัจจัยที่ไม่จำเป็นที่เกินความจำเป็นก็ขายได้ ผลิตขึ้นมามากมายในโลก แล้วจะไม่ให้โลกปั่นป่วนอย่างไรเล่า โลกมันก็ยุ่งยากลำบากเหลือประมาณ
นี่เราอยู่ในโลกแห่งความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก ทุกคนมีความเห็นแก่ตัว ทำไปตามความเห็นแก่ตัว ไม่ยึดถือความถูกต้องยุติธรรมอะไร ไอ้สิ่งที่เรียกว่าคอร์รัปชั่นมันก็เต็มไปหมด เต็มไปหมด เหลือที่จะกล่าว มาจากความเห็นแก่ตัว ไอ้คอร์รัปชั่นมันหลายรูปแบบและไม่ใช่ว่าโกงกันตรง ๆ มันมีหลายรูปแบบ หลายอย่าง หลายประการ ความไม่ถูกต้อง โลกมันก็อยู่ด้วยความไม่ถูกต้อง มันก็ระส่ำระสายเดือดร้อนกันอยู่อย่างนี้
ความรักผู้อื่นหายไป ความไม่ อ่า, ความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นแทน ความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่าไร ความรักผู้อื่นก็หายไปเท่านั้น จนกระทั่งจะไม่มีเหลือ ความรักผู้อื่นจะหาหยอด ทำยาหยอดตาก็ยังไม่ได้ มีแต่ความรักตัวเห็นแก่ตัวนี่มากขึ้น ๆ ก็มีปัญหาเต็มไปหมด รุนแรง ๆ ยิ่งทางการเมือง ในวงการเมืองแล้ว ก็ยิ่ง ๆ มีเรื่องเห็นแก่ตัวมาก เลือกผู้แทนก็เลือกด้วยความเห็นแก่ตัว สมัครก็ด้วยความเห็นแก่ตัว ก็ได้คนเห็นแก่ตัวไปเป็นรัฐสภา นี้มันจะ ๆ กี่มากน้อยก็ไปคำนวณเอาเอง ไม่ต้องพูดกัน
นี่ว่าทางฝ่ายวัตถุ ทางฝ่ายภายนอก ด้านนอก ฝ่ายวัตถุ ไล่ไปตั้งแต่จุดตั้งต้น จุดตั้งต้น เมื่อมันเห็นแก่ตัว มันก็ขี้เกียจ มีความคิดว่าไม่ต้องทำงาน กูไม่ต้องทำงาน แต่จะเอาประโยชน์ เห็นได้ง่าย เด็กวัด ผมก็เคยเป็นเด็กวัด แล้วก็มีเพื่อนเด็กวัดมาก เด็กวัดบางคนไม่ทำงาน เห็นแก่ตัว หลบไปนอน แต่เอาประโยชน์เหมือนกัน มันขี้เกียจนี่ ไม่อยากทำงาน แต่จะเอาประโยชน์ ไม่ใช่เอาประโยชน์ เอาเปรียบด้วย ทั้งที่มันไม่ทำงาน มันเอาเปรียบด้วย มันคดโกง อิจฉาริษยา ความเห็นแก่ตัว
มันก็ไม่ต้องดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ความเสียหายแก่ส่วนรวม มันก็ไม่ต้องดู ไม่ ๆ ๆ ๆ สนใจ กูได้ก็แล้วกัน เมื่อไม่ได้ตรง ๆ มันก็เอาอย่างอันธพาล ดังนั้นอันธพาลหรืออาชญากรรมอาชญากรก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด เพราะความเห็นแก่ตัว ซึ่งเดี๋ยวนี้เราก็ดูปัญหาเรื่องอาชญากร สร้างคุกสร้างตะรางไม่พอกันล่ะ สถานีตำรวจก็ไม่พอแล้วนะ ศาลยุติธรรมก็ไม่พอ เขาก็รายงานอย่างนั้นจริง ๆ แล้วงบประมาณไม่พอที่จะสร้างเพิ่ม แก้ไขโมเมกันไปตามเรื่อง แล้วเป็นบ้ากันมากขึ้น โรงพยาบาลบ้าก็ไม่พอ ไม่มีเงินจะสร้างให้มากมายอะไรนัก โรงพยาบาลบ้าก็ไม่พอ
นี้เป็นผลของความเห็นแก่ตัวในฝ่ายภายนอก เห็นชัด ๆ ในฝ่ายภายนอก ทางสังคม เต็มไปด้วยมลภาวะ สิ่งเลวร้าย มลภาวะ เต็มไปด้วยการทำลายธรรมชาติ หาความสงบสุขไม่ได้ นี้ก็ไม่ช่วยกันทำความสงบสุขด้วย คุณที่อยู่กรุงเทพฯ นี่กลับไปดูด้วย บอกพวกกรุงเทพฯ ด้วยว่า ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่อย่างนี้แล้วก็ ยุงมันยังครองกรุงเทพฯ ต่อไป ถ้าเมื่อไรเสียสละคนละไม้ละมือโดยไม่เห็นแก่ตัว ยุงก็หมดไปจากกรุงเทพฯ นี่เรื่องที่เห็นได้ง่าย ๆ ชัด ๆ นี้ฝ่ายภายนอก ฝ่ายภายนอก มันมีผลเลวทรามอย่างนี้
ทีนี้ฝ่ายภายใน ดูฝ่ายภายใน คนเห็นแก่ตัวเต็มไปด้วยกิเลส จิตของเขาเต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยราคะ เต็มไปด้วยโทสะ เต็มไปด้วยโมหะ แล้วเขาก็เป็นทุกข์อยู่กลางกองไฟ ทุกอย่างเป็นไฟ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ลุกเป็นไฟ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ลุกเป็นไฟ วิญญาณลุกเป็นไฟ ผัสสะลุกเป็นไฟ เวทนาลุกเป็นไฟ อันนั้นส่วนภายใน ภายในจิตใจของเขา แสดงเป็นเลวร้าย เป็นผลเลวร้ายทั้งภายนอกและภายใน ห่างไกลต่อพระนิพพาน เลยพระนิพพานเป็นหมัน ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครที่จะบรรลุนิพพาน เพราะความเห็นแก่ตัว
สรุปความว่า เมื่อมีความเห็นแก่ตัวแล้ว โทษเลวร้ายมันก็มีทั้งฝ่ายวัตถุภายนอก และก็มีทั้งฝ่ายจิตใจในฝ่ายภายใน มีโทษทางฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิตใจ คือมีทั้งภายนอกและทั้งภายใน นี่ยุติเรื่องโทษ ฝ่ายที่เป็นโทษน่ะเห็นได้อย่างนี้นะ ทีนี้ฝ่ายที่เป็นคุณ ฝ่ายที่เป็นคุณ ก็คือไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว มันก็มีฝ่ายที่เป็นคุณ เพราะไม่เห็นแก่ตัว ดูเอาเองตรงกันข้าม ดูกัน ดูเอาเองตรงกันข้าม
ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีอาชญากรรม อาชญากรอะไรเลย ไม่มีคดี ไม่มีการประทุษร้าย เลิกเรือนจำ เลิกตำรวจ เลิกศาล เลิกอะไรได้หมดเลย ถ้ามันไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีใครทำบาป ไม่มีใครทำอาชญากรรม แล้วก็รักใคร่ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันเหมือนกับว่าเป็นตัวเอง ไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็เห็นแก่ผู้อื่นเป็นตัวเอง ก็ช่วยเหลือกันทุกอย่างทุกประการ จนเหลือที่จะกล่าวได้ สวัสดิการ สวัสดิการไหนก็ไม่ ๆ เท่ากับว่าความไม่เห็นแก่ตัวของมนุษย์นั้น
ทีนี้ก็เกิดศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยขึ้นมาทันที มันรักกันจนเป็นคนเดียวกัน ทุกคนรักกันจนเป็นคนเดียวกัน มีแต่ผู้พร้อมที่จะช่วยเหลือ จะให้ช่วยเหลืออะไร พร้อมที่จะช่วยเหลือ มีแต่พร้อมที่จะช่วยเหลือ เหลียวทางไหนก็พบแต่ผู้ที่จะช่วยเหลือ จะช่วยเหลือ จะช่วยเหลือ นี่ก็เรียกว่าความหมายของศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย เขียนไว้อย่างนั้น พอคนลงจากบ้านจากเรือนสู่ท้องถนน ไปธุระที่ไหนก็ตามใจ จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร มีแต่ผู้จะช่วยเหลือ ยกมือจะช่วยเหลือ ต่อกลับมาบ้านแล้ว มาสู่บ้านมาแล้วจึงรู้ว่า เอ้า, คนนั้นเป็นคนนั้น คนนั้นเป็นคนนี้ เป็นลูก เป็นหลาน เป็นภรรยา เป็นสามี มารู้กันเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ไปตามถนนเหมือนกันหมด
ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยที่เขาพูดไว้เป็น ๆ อุปมา แต่ชาวบ้านเขาไม่ ๆ เข้าใจความหมายแห่งอุปมาว่า มันมีกัลปพฤกษ์ ต้นกัลปพฤกษ์ทั่วไปหมดทุกมุมเมือง ทุกมุมเมือง ใครต้องการอะไรก็ไปขอเอาได้ เรียกเอาได้จากต้นกัลปพฤกษ์ แล้วใครมันจะยากจนล่ะ ใครมันจะเดือดร้อน ก็เพราะเหตุที่กล่าวแล้ว มันไม่มีใครเห็นแก่ตัว มันมีแต่คนพร้อมที่จะช่วย พร้อมที่จะช่วยนี่ จะเอาอะไรก็ได้ นี่เมื่อไม่เห็นแก่ตัวแล้ว ผลดีทางวัตถุก็เกิดขึ้น บุคคลสบายสะดวกสบาย บ้านเรือนครอบครัวสะดวกสบาย บ้าน ประเทศก็สะดวกสบาย โลกทั้งโลกก็สะดวกสบาย นี้เรียกว่าคนดีในฝ่ายภายนอก ในฝ่ายวัตถุ
ทีนี้ก็ฝ่ายภายใน จิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัวนั้น มันไม่อาจจะเกิดกิเลสนั่น ขอให้สังเกตหรือศึกษาดูให้ดี ๆ เถิด ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวแล้ว มันก็ไม่อาจจะเกิดกิเลส ตัวอย่างเช่น พอเห็นของรัก ของน่ารักน่าพอใจ เห็นแก่ตัว ๆ มันก็จะเอาเท่านั้น มันก็จะเอา มันก็เกิดกิเลสประเภทที่จะเอา เกิดราคะบ้าง โลภะบ้าง จะเอา ถ้าพบสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไอ้ความเห็นแก่ตัวมันก็โกรธ มันก็ขัดใจ มันก็จะฆ่าจะแกงกันนะ มันก็เกิดกิเลสประเภทโทสะหรือโกธะ กิเลสประเภทไม่เอา กิเลสประเภทที่จะประหัตประหารเท่านั้น หรือถ้ามันไม่แน่ว่าน่ารักหรือไม่น่ารัก แต่มันยังสงสัยอยู่ มันก็สงสัย ๆ ติดตาม ๆ ๆ พัวพันมัวเมานะ เป็นกิเลสประเภทโมหะ
มันเกิดกิเลสได้ทั้ง ๓ ประเภท ทั้งราคะ โทสะ โมหะ เพราะความเห็นแก่ตัว มันก็เป็นกิเลส เป็นกิเลส แล้วเป็นอนุสัย เป็นอาสวะ เป็นกิเลส เป็นอนุสัย เป็นอาสวะ เป็นกิเลส เป็นอนุสัย เป็นอาสวะ อย่างที่เราพูดกันมาแล้วคืนก่อน คืนก่อน จำให้ดี ๆ สิ กิเลส เรื่องของกิเลสเป็นอย่างไรนี่ เมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว กิเลสมันไม่มีมันไม่เกิด ก็ไม่มีความทุกข์ ความทุกข์เกิดมาจากกิเลส
ความรักก็ยึดมั่นไปอย่าง ความไม่รักก็ยึดมั่นไปอย่าง ความไม่แน่ว่าอย่างไรก็ยึดมั่นไปอีกอย่าง เป็นปัญหาเกี่ยวกับตัวกูของกู ก็เป็นทุกข์ เพราะว่าไม่มีกิเลส สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี มันก็ไม่มีความทุกข์ ในทางจิตใจมันก็ไม่มีความทุกข์ นี้ก็เบาบางไป เบาบางไปจนเป็นความสิ้นกิเลส ที่อธิบายแล้วโดยละเอียด จะเกิดการบรรลุมรรคผลเป็นอริยบุคคล เป็นโสดา เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา เป็นอรหันต์ นี่ในส่วนภายใน ที่เป็นคนดีก็คืออย่างนี้ มีคนดีทั้งภายนอก มีคนดีทั้งภายใน
เมื่อคนไม่อันธพาล มีแต่สัตตบุรุษ มีข้อความเขียนว่า นอนก็ไม่ต้องปิดประตูเรือน ไป ๆ ๆ ไหนไม่ต้องปิดประตูเรือน คล้าย ๆ กับว่าบ้านไม่ต้องทำประตูก็ได้ ไม่มี ๆ ใครขโมย ไม่มีใครเบียดเบียน ก็สบาย พร้อมที่จะช่วยเหลือกันอย่างยิ่ง ยิ่งแก่กว่า ๆ ยิ่ง ๆ ไปกว่าการช่วยเหลือยุคนี้ที่เขาหุ้นส่วนกันนั้นน่ะ เขาจะสุมหัวกันหาเงินต่างหาก นี่ไม่ใช่ต้องอย่างนั้น มันทำด้วยความรัก มาช่วยกันด้วยความรักผู้อื่น ไม่ใช่มาร่วมกันหาเงิน ไม่ใช่
ศรี คำหนึ่ง อริย คำหนึ่ง เมตไตรย คำหนึ่ง เมตไตรย เป็นตัวคำศัพท์คำนามว่า ความเป็นมิตร อริย แปลว่าประเสริฐ ศรี สง่างดงาม ศรีอริยเมตไตรย นี่ความเป็นมิตรสูงสุดเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ ภายนอกไม่มีปัญหา นี่ภายในก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดกิเลส ไม่ต้องร้อนรุ่มเพราะกิเลส ไม่ต้องฝันร้ายเพราะกิเลส ไม่ต้องหวาดผวาเพราะกิเลส ชีวิตนี้มันก็เย็นนะ สงบเย็นและก็เป็นประโยชน์ เหมือนกับที่ขอร้องให้ช่วยจำไว้ นี่ ๒ คำ สงบเย็น และก็เป็นประโยชน์ ไม่มีกิเลสใด ๆ มันก็สงบเย็น สงบเย็น และก็เป็นประโยชน์ คือว่าเคลื่อนไหวไปแต่ในทางที่เป็นประโยชน์แก่ทุกคนรอบด้าน
คำว่าชีวิตสงบเย็นนั้นไม่ใช่คำเล่น ๆ มันคำสูงสุด ถึงสูงสุดเป็นพระนิพพานก็ได้ สงบเย็นระดับธรรมดานี้ก็ได้ สูงขึ้นไป ๆ ๆ สงบเย็นยิ่งขึ้นไปจนเป็นพระนิพพานก็ได้ นั่นแหละสงบเย็น เดี๋ยวนี้มันมีแต่ชีวิตร้อน ซึ่งเราสรุปเป็นคำอุปมาว่า ชีวิตที่กัดเจ้าของ ผมขอร้องให้ช่วยจำคำนี้ไว้ให้ดี ๆ เพื่อจะได้ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจนตลอดชีวิตว่า เราจงมีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ ไม่กัดเจ้าของ ถ้าไม่ถูกต้อง ไม่มีธรรมะ คือมัน ๆ มีแต่กิเลส มันกัดเจ้าของ มันกัดเจ้าของ
ตัวอย่างของการกัดเจ้าของก็บอกแล้ว ช่วยจำกันไว้สัก ๆ ๑๐ คำ บางเวลาไอ้ความรักกัดหัวใจ บางเวลาความโกรธก็กัดหัวใจ บางเวลาความเกลียดกัดหัวใจ บางเวลาความกลัว ๆ มันกัดหัวใจ บางเวลามันตื่นเต้น ๆ กัดหัวใจ บางเวลาวิตกกังวลในอนาคต ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร นอนไม่หลับสนิท มันกัดหัวใจและวิตกกังวล บางเวลาอาลัยอาวรณ์เรื่อง ๆ เบื้องหลังลืมไม่ลง ความทางเบื้องหลังลืมไม่ลง ไอ้ความรักก็ทำให้ลืมไม่ลง อาลัยอาวรณ์ให้เบื้องหลังก็กัดหัวใจ แล้วก็อิจฉาริษยา ไม่ยินดีด้วยใครหมด บางทีมันโง่จนถึงไม่ยินดีด้วยตนเอง อิจฉาริษยาก็กัดหัวใจ ความหวง ความเป็นห่วงวิตก เรื่องความเป็นห่วงหวงนี่ก็กัดหัวใจ เข้มข้นขึ้นมาเป็นความหึง หึง คือหวงทางเพศเรียกว่าหึง ก็กัดหัวใจ จนฆ่ากันตายนี่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะ
คุณช่วยจำไว้ แล้วไว้ทดสอบตัวเอง ทดสอบตัวเองอยู่เป็นประจำ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อ่า, ความกลัวแล้วความตื่นเต้น แล้วก็วิตกกังวล แล้วก็อาลัยอาวรณ์ แล้วอิจฉาริษยา แล้วหวง แล้วหึง
เราว่าความรักกัด คนบางคนไม่เชื่อ กามารมณ์กัด ไม่เชื่อ ยังจะแสวงหากามารมณ์ที่สูงสุดไว้บูชาถึงสูงสุดก็มี ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร พวกฝรั่งโดยมากยังมีความ ๆ เชื่อหรือความแน่ใจว่า กามารมณ์ที่สูงสุดไม่เป็นอันตราย เขายังแสวงหากันอยู่ ความรักทุกชนิดกัดทั้งนั้นแหละ กัดคนละอย่างสองอย่าง กัดแหละ แม้แต่ที่รักอย่างบริสุทธิ์ไม่ใช่เกี่ยวกับกิเลส มันก็ยังกัด เช่น รักพ่อ รักแม่ อย่างนี้ มันก็อดเป็นห่วงเป็นทุกข์ไม่ได้ พ่อแม่ตายก็ร้องไห้เกือบจะตายเอง นี่ความรักมันกัด
ความโกรธไม่ต้องพูดแล้ว เห็นกันได้ชัด ๆ พอโกรธขึ้นมา มันก็เผาผลาญจิตใจ ความเกลียดก็ไม่ใช่เล่นนะ อย่าดูถูกกับความเกลียดนะ อย่าเป็นคนขี้เกลียด อย่าเป็นคนเลวร้ายนะเป็นพวกขี้เกลียด อะไรก็โมโหฉุนเฉียวเกลียดเสียแล้ว ความเกลียดนี่น่าหัว พอเกลียดใคร มันกัดตัวเองนี่แหละก่อน เกลียดอยู่ลับหลังอย่างนี้ แล้วมันกัด ๆ ตัวผู้เกลียด ผู้ถูก ๆ เกลียดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง ผู้ถูกเกลียดไม่ถูกกัด แต่ผู้ไปเกลียดเขาน่ะกลับกัดตัวเอง ความเกลียดมันกัดเจ้าของ
แล้วความกลัว ความกลัว กลัวอย่างโง่เขลาก็มี กลัวอย่างมีเหตุผลก็มี กลัวอย่างเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นในโลก กลัวสงคราม กลัวนี้มันก็กลัว ๆ ความน่ากลัวมีในโลกเพิ่มขึ้น ๆ เพราะโลกมันเจริญด้วยความเห็นแก่ตัว มันพร้อมที่จะใช้อาวุธประหัดประหารกัน ความรู้สึกกลัวในโลกมันก็มากขึ้น หรือว่าบ้านเมืองมันไม่ปรกติสุข การคุ้มครองไม่ดี ก็อยู่ด้วยความกลัว
ทีนี้ความตื่นเต้น ความตื่นเต้นนี่ช่วยศึกษากันให้ดี ๆ ความตื่นเต้นนั้นมันมีรสอร่อยนะ ความตื่นเต้นคือความสนุกสนานน่ะ ความตื่นเต้นด้วยความสนุกนี้ มันกัดชนิดเข้าใจยาก เห็นยาก แล้วก็ต้องทนอยู่ไม่ได้ ต้องไปหาความสนุกสนาน ต้องไปดูกีฬา ต้องไปดูมวย ต้องไปดูฟุตบอล ต้องไปเล่น ต้องไปอะไรให้เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาในความรู้สึก แล้วก็สบาย แต่หารู้ไม่ว่า ไอ้ความตื่นเต้นน่ะมันกัดอย่างไม่รู้สึกตัว เราต้องซื้อหาสิ่งสวยงามแปลกประหลาดอะไรมานี่ ทำให้จิตใจตื่นเต้นอยู่เสมอนี้ ในบางรายหรือบางกรณีจะมากกว่าไอ้ของ ๆ จริง หรือของมีประโยชน์จริง ๆ ไปเสียอีก ซื้อมาเพื่อให้เกิดความตื่นเต้นนะ แล้วไม่ได้ ๆ กิน ไม่ได้ใช้ ไม่ได้ประโยชน์จริงจากใจ มันก็เกิดความตื่นเต้น แล้วเอารสของความตื่นเต้น
มีคน หนังสือพิมพ์ ๆ อ่านหนังสือพิมพ์โกหก ไอ้กรงนกเขาชวา เขาทำอย่างดีเลิศ เอามาขายในงานประกวดนกเขาชวา ทำอย่างฝีมือเหลือประมาณแหละ ยิ่งกว่าไอ้ย่านเภาลิเภาเสียอีก ขายตั้งหมื่นสองหมื่น กรงนก ก็พวกฝรั่งแล้วผู้หญิงด้วย พวกแหม่ม ซื้อกรงนกนี้เอาไปเมืองบ้าน ๆ ไปเมือง ไม่ได้เลี้ยงนกหรอก ไม่ได้เลี้ยงนก แต่ความตื่นเต้นในความประหลาด ในความวิจิตรพิสดารของฝีมือที่กระทำ ที่แสดงอยู่ที่กรงนก ก็เลยซื้อกรงนกไป นี่ดูสิอิทธิพลของความตื่นเต้น ตื่นเต้น
ไปดูกายกรรมที่น่าหวาดเสียวนั้น ก็เพื่อความตื่นเต้นนั่นแหละ ไปซื้อความตื่นเต้น ไปดูกายกรรมกวางเจา ที่มาจากเมืองจีน ที่มาแสดง เขาว่าบัตรราคา ๓๐๐ บาทต่อคน ไปดูกายกรรมอันน่าหวาดเสียวตื่นเต้น นั่นก็ไปซื้อความตื่นเต้น เราต้องการให้อะไรมีกระ มากระตุ้นให้ตื่นเต้น มากระตุ้นให้ตื่นเต้น เราก็เสียเงินเพื่อการนี้ เพื่อให้มันเกิดความตื่นเต้น ๆ ในเรื่องเพลง เรื่องดนตรี หรืออะไรก็ตามเถิด เพื่อ ๆ ความตื่นเต้นทั้งนั้นแหละ เพื่อความตื่นเต้น แล้วก็ไม่รู้ว่ามันกัด ของแปลก ของน่าอัศจรรย์อะไร เพื่อความตื่นเต้นก็ไปซื้อมาดู มาเล่น
นี้เรียกรวมหมด ทั้งหมดกี่อย่างกี่สิบอย่าง เรียกว่าความตื่นเต้นกัด ความตื่นเต้นน่ะกัดหัวใจ แต่กลับรู้สึกสบายหรือเอร็ดอร่อยที่ถูกความตื่นเต้นมันกัด ไปดูของแปลก ไปดูกีฬา ไปดูอะไรนี่ กลับรู้สึกสบายสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ไม่รู้สึกว่าถูกกัด แต่ความตื่นเต้นบางชนิดเห็นได้ง่าย ตื่นเต้น ๆ แล้วจนวุ่นวายใจเป็นบ้าเลย ก็อย่าไปหลงกับไอ้สิ่งที่น่าตื่นเต้นนัก ของเล่น ของหลอก ของอะไรนี้ ดูมวย ดูม้า ดูอะไรนี่ แม้แต่กินเหล้าไปก็เพื่อความตื่นเต้น แต่ว่ามันโง่ ความตื่นเต้นกัดก็ไม่รู้สึก กลับพอใจซื้อหามาเสียอีก
ทีนี้ข้อห้าว่า วิตกกังวลว่าไอ้ความร้ายมันจะมา ความร้ายมันจะมา หวาดผวาอยู่เสมอ นี้ก็ทำลายความสุข ไม่ต้องกลัว อย่าไปกลัว อย่าไปเครียด อย่าไปวิตกกังวลกับมัน ยึดมั่นในความถูกต้อง ความดีความถูกต้อง ความดี ความถูกต้อง แล้วก็พอใจ เราเกิดมาดีจน ๆ วาระสุดท้ายของชีวิต จะต้องไปกลัวอะไร อย่าไปวิตกกังวลอนาคต เชื่อแน่ว่าทำดีถูกต้องที่นี่
บาลีภัทเทกรัตตสูตรแปลที่เอามาสวดมนต์กันน่ะ คุณสวดหรือไม่สวด ธรรมดามักจะสวดมนต์เย็น อย่าไประลึกอาลัยอดีต อย่าไปวิตกอนาคต กำหนดอยู่แต่ปัจจุบันให้มันถูกต้อง ๆ ๆ อสหิร อสงฺกุปฺป ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน หมายความว่ามันถูกต้อง ไม่ต้องไปห่วงอนาคต ไม่ต้องอาลัยอดีต ชีวิตเยี่ยงนี้สบาย แต่ถ้าไปห่วงอนาคต อาลัยอดีต มันมีความโง่ มันต้องมีความโง่ มันจึงจะเกิดอาการอย่างนี้ได้ มันก็เป็นความโง่แล้วมันก็ไม่ ๆ น่า ๆ ไม่น่าบูชาที่ตรงไหน
จึงยึดหลักถูกต้อง ๆ ๆ ๆ พอใจ ถูกต้อง พอใจ เพื่อมีความสุข พอใจ ๆ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ มองดูตัวเองทีไร เมื่อไหนที่ เมื่อไรที่ไหน ก็เห็นแต่ความถูกต้อง แล้วก็พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เคยมีไหม นั่นแหละสวรรค์ที่สูงสุด เมื่อพอใจตัวเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้แท้จริงนี่ เป็นสวรรค์แท้จริง ยังไม่ถึงนิพพาน แต่เป็นไปเพื่อนิพพาน
ดังนั้น ความดี ความจริง ความงาม ความถูกต้องนี่ มีไว้ทำหน้าที่ หน้าที่ทุกหน้าที่ที่มีอยู่ให้ถูกต้อง ๆ ๆ คือสนุกในการทำหน้าที่ ไม่เกียจคร้าน ไม่เบื่อหน่าย ระมัดระวังรี มีแต่ความถูกต้อง ทั้งวันทั้งคืนมีแต่ความถูกต้อง ถึงกับว่าทุกกระเบียดนิ้วโดยพื้นที่ ทุกวินาทีโดยเวลา มีแต่ความถูกต้อง ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว ถูกต้องทุกวินาทีนี้ มันจะทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ แต่ถ้าพอมองดูตัวเองแล้ว โอ้, สกปรกบางอย่าง ปกปิดซ่อนเร้น อย่างนี้ก็เป็นนรกทันทีเหมือนกันนะ มีนรกทันทีเหมือนกัน
มองดูตัวเองแล้วเกลียดตัวเองแล้วเป็นนรกทันที มองดูตัวเองแล้วบูชาตัวเองเป็นสวรรค์ทันที ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว สวรรค์ชนิดนี้จริง ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว นรกชนิดนี้ก็จริง ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว สวรรค์ก็สงบเย็นกันที่นี่ นรกก็ร้อนกันที่นี่นะ นี่อย่าให้มันมีความผิดพลาดใด ๆ มีอาชีพถูกต้องแน่นอน มองเห็นชัดอยู่ว่าถูกต้อง ๆ เป็นปัจจุบัน ไม่ต้องห่วงอนาคต ไม่ต้องห่วงอดีต เมื่อ ๆ ปัจจุบันถูกต้องแล้วเป็นอันว่าปลอดภัย รอดตัวและปลอดภัย
อย่าไปมัวคิดถึงไอ้เรื่องกรรมเก่าอะไรไอ้ชาติก่อน อย่าให้เสียเวลาป่วยการ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดว่า สุขหรือทุกข์ไม่ได้เกิดเพราะกรรมเก่า คนโง่เท่านั้นที่ว่าสุขและทุกข์เกิดเพราะกรรมเก่าหนหลัง ท่านตรัสว่า ไม่ สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาแต่กรรมเก่า นปุพฺพเหตุ นปุพฺพกมฺมํเหตุ ไม่ได้เกิดแต่กรรมเก่า มันเกิดแต่ความผิดพลาดที่นี่หรือถูกต้องที่นี่ ถูกต้องก็เป็นสุข ผิดพลาดก็เป็นทุกข์ ถูกต้องตามกฎของปฏิจจสมุปบาท มันก็ไม่เป็นทุกข์หรือเป็น แต่มันเป็นสุข ถูก อ่า, มันผิดกับกฎของปฏิจจสมุปบาทมันก็เป็นทุกข์ มันไม่ใช่ว่าผิดหรือถูกจึงเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ อย่าไปงมงายว่ากรรมเก่า
แม้มันจะมีกรรมเก่ามาบ้าง ก็ป้องกันแก้ไขได้ด้วยการทำให้มันถูกต้องตามกฎปฏิจจสมุปบาท ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วก็ตรัสตอบติดกันมาเลยว่า แล้วก็ไม่ใช่เพราะพระเจ้าด้วย อิสฺสร อีศฺวร อิศวร คำนี้ถ้าแปลออกเป็นธรรมดาก็แปลว่าพระเจ้า นอิสฺสรเหตุ ไม่ใช่เพราะพระเจ้า ไม่ใช่เพราะกรรมเก่า ไอ้สุขและทุกข์น่ะ มันไม่ใช่เพราะกรรมเก่าหรือเพราะพระเจ้า แต่ว่ามันเพราะทำผิดหรือทำถูกกันที่นี่ ศึกษาเรื่องกฎอิทัปปัจจยตาอย่างที่อธิบายกันแล้วคืนก่อน ๆ โน้น ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งคล่องแคล่วอยู่ในใจ อย่าทำอะไรให้มันผิดหลักอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาท มันก็ไม่มีปัญหา มีแต่ความสงบเย็น
ไม่อิจฉาริษยานี้ก็หมายความว่า มันโง่หรือมันมีกิเลส ทั้งราคะ ทั้งโทสะ อะไรปนกันยุ่งไปหมด มันอิจฉาริษยา บางคนเป็นเอามาก ๆ อิจฉาริษยาไปเสียทุกอย่างเลย ใครดีกว่าตนไม่ได้ ใครรวยกว่าตนไม่ได้ ใครสวยกว่าตนไม่ได้ อิจฉาริษยาไปหมด อันนี้ก็น่าหัวเหมือนกับความเกลียดหรือความโกรธ อิจฉาริษยาทันที กัดตัวเองทันที ผู้ถูกริษยาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง บางทีไม่รู้เรื่องเอาเสียจริง ๆ ไอ้คนนี้มันนึกอิจฉาริษยาเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในตัวเอง มันกัดไอ้ตัวผู้ริษยา ไอ้ผู้ถูกริษยาไม่รู้เรื่อง ยังสบายดีอยู่ อย่าไปทำเล่นกับเรื่องอิจฉาริษยา มันจะกัด ๆ ๆ
ความหวง หวงเท่าไรก็กัดเท่านั้น เอ้า, ความหึงก็ยิ่งรุนแรงไปกว่าความหวง นี่ช่วยจำไว้เป็นเครื่องทดสอบตัวเอง เช็คตัวเองว่ามีไอ้ มีสิ่งที่กัด ๆ ตัวเองหรือไม่ อย่างน้อย ๑๐ อย่างนี้ที่ ที่จริงมันมีมากกว่านี้ ผมเห็นว่า ๑๐ อย่างก็พอแล้ว พอที่เอาไว้ทดสอบตัวเอง รัก โกรธ เกลียด กลัว ตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวง หึง ๑๐ คำนี้เป็นตัวอย่างของไอ้สิ่งที่กัดตัวเอง กัดตัวเอง
กิเลสประเภทกัดตัวเองนั้น มันมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ กิเลสเหล่านี้มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ความเกลียดก็ดี ความกลัวก็ดี มันเห็นแก่ตัวในหลาย ๆ รูปแบบ พอไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็สงบเย็นไม่มีอะไรกัดเจ้าของ แล้วไม่สงบเย็นเฉย ๆ มันจะเป็นประโยชน์ เพราะว่ามัน ผู้ที่มีจิตสงบเย็นน่ะ มัน ๆ มี มันยินดีที่จะช่วยผู้อื่น มันทนอยู่ไม่ได้ แล้วมันมีเมตตากรุณาโดยอัตโนมัติ
แต่ว่ายิ่งกว่านั้นอีกนะ ข้อความในพระบาลีที่มันจะกล่าวยิ่งมาอีกว่า เพียงแต่ให้เขาเห็นเท่านั้นแหละ ก็เป็นประโยชน์แล้ว พระสมณะหรือพระอรหันต์ที่สงบเย็นตามแบบของพระอรหันต์น่ะ เพียงแต่ใครเห็นก็สบายตาสบายใจ เป็นประโยชน์เข้าแล้ว แม้ยังไม่ได้ไปช่วยเหลืออะไรสักที ก็ลอง ๆ สังเกตดูบ้างสิ ถ้าว่าเราเดี๋ยวนี้ได้เห็นคนที่สงบเย็น สงบเย็น น่าไว้ใจ น่ารัก น่าบูชา เราก็พลอยเป็นสุขไปด้วยเพียงแต่ได้เห็นเท่านั้น
ดังนั้นผู้ที่สงบเย็นนั่นน่ะ เพียงแต่นั่งให้คนอื่นเห็น ก็ยังได้บุญ ก็เป็นประโยชน์แล้วนะ ใช้คำพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า มีความสุขให้เขาดู เรามีความสุขให้เขาดู หรือว่าเราเป็นพยานยืนยัน พยานยืนยัน หลักฐานยืนยันว่า ความสุขชนิดนี้มีได้ ยืนยันว่า ความสุขชนิดนี้สงบเย็นเป็นสุขแท้จริง ช่วยยืนยันเป็นหลักฐานให้คน อ่า, คนผู้เห็น มีความเชื่อแน่แน่วแน่ใน ความดี ความถูกต้อง ความเป็นธรรมหรือความหมดกิเลส คนก็ได้พอใจในความหมดกิเลส แล้วเขาย่อมจะพอใจในพระพุทธ ย่อมจะพอใจในพระธรรม ย่อมจะพอใจในพระสงฆ์ด้วย เสร็จเข้าไปในตัว
เมื่อเรียนพุทธประวัติน่ะ อะไรล่ะ พระอัสสชิพระอรหันต์เดินไป อุปลิต เรียกอุปลิตเลยนะ อุปลิตะ สหายคนนั้นมาเห็นเข้า เพียงแต่เห็นเท่านั้น พอใจ ติดตามไปจนได้รู้เรื่อง เพราะได้เห็นพระอรหันต์นั้น ก็พอใจเย็นใจอะไร ติดตามว่า ไอ้นี่ทำไมจึงอย่างนี้ ได้บุญ เพียงแต่ว่าเป็นสุขให้เขาดู แสดงความเป็นสุขให้เขาดู ก็ได้บุญแยะแล้ว เพราะมีผู้ตั้งใจที่จะทำตามเอาตัวอย่าง จะได้มีความสุขเช่นนั้นบ้าง
ทีนี้มันไม่ใช่เพียงเท่านั้นนี่ หมดกิเลส ๆ ๆ มันก็เป็นพระอริยบุคคล บรรลุนิพพานไปเลย ในส่วนจิตใจในภายใน แม้จะไม่พูดถึงนิพพาน อยู่ในโลกิยะ ในโลกนี้ ไอ้คนที่ไม่เห็นแก่ตัวจะอยู่สบายที่สุด ไม่มีปัญหาที่สุด เจริญรุ่งเรืองในโลก ในประโยชน์ทางโลกนี้แหละ เพราะความไม่เห็นแก่ตัว นี่เข้าไปปฏิบัติธรรมะ ก็เจริญในทางโลกุตตระจนถึงบรรลุมรรคผลนิพพาน
พูดในฝ่ายเสียหาย คนเห็นแก่ตัวตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ การงานอะไรก็เสียหายหมด แล้วก็ไม่บรรลุความก้าวหน้าทางจิตใจเลยแหละ โทษของความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัว จิตเจริญงอกงามด้วยกิจกรรมในโลกนี้ จะประกอบอาชีพอะไร จะอะไรก็เจริญทั้งนั้นแหละ แม้แต่ภายในก็จะหมดกิเลส หมดกิเลส ก็บรรลุนิพพาน นี่เรียกว่าเจริญทั้งโลกิยะและทั้งโลกุตตระ ถ้ามันถูกต้อง แต่ถ้ามันเห็นแก่ตัว มันผิดพลาด มันจะเลวทรามทั้งโลกิยะและทั้งโลกุตตระ ไม่ต้องหวังล่ะ
ดังนั้นขอให้เห็นให้ชัด แล้วถือว่าเป็นศัตรูเลวร้ายที่สุด ไม่มีศัตรูไหนจะเลวร้ายเท่าความเห็นแก่ตัว มันจะกัดเจ้าของ มันจะทรมานเจ้าของ แล้วมันจะพาลกัดคนอื่น กัดไปทั้งโลก กัดไปทั้งบ้านทั้งเมือง ถ้าผัวเห็นแก่ตัว เมียก็ตกนรกทั้งเป็น ถ้าเมียเห็นแก่ตัว ผัวก็ตกนรกทั้งเป็นเหมือนกัน อย่าไปพูดถึงไอ้ผู้อื่นเลย แม้คู่ผัวตัวเมีย ถ้าความเห็นแก่ตัวเข้ามา มันก็วินาศทั้งนั้น หรือลูกเห็นแก่ตัว มันก็ทรมานพ่อแม่ พ่อแม่เห็นแก่ตัว ก็ปล่อยลูกตามยถากรรม ก็วินาศเหมือนกัน
ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละน่าหัว ไปเห็นแก่ตัว ไปรักตัวนี้ กลับเป็นโทษขึ้นมา เพราะมันโง่ ถ้ารักตัวสงวนตัวไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว อันนั้นปฏิบัติตัวช่วยตัว ปฏิบัติธรรมะช่วยตัว อย่างนี้ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว เพราะมันทำด้วยสติปัญญา ถ้าทำด้วยสติปัญญาไม่เป็นการเห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่มีความทุกข์ เดี๋ยวนี้ทำด้วยความโง่ ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ด้วยอวิชชานี่ มันจึงกัด ๆ ตัวเอง ทำให้มีความทุกข์ ทำด้วยความโง่ก็เรียกว่าเห็นแก่ตัว ทำด้วยสติปัญญาเรียกว่ารักตัวสงวนตัว พัฒนาตัวไปทาง ไม่ใช้คำว่าเห็นแก่ตัว
เอาล่ะ, เรื่องนี้มันพูดกันเท่านี้ มันดูจะสั้น ๆ นะ แต่ว่าทั้งหมด ปัญหาทั้งหมด ทั้งโลก ทั้งจักรวาล มันรวมอยู่ที่นี่ เห็นแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัว ขอให้ศึกษาให้ดี จดจำไว้ให้ดี พยายามควบคุมให้ดี ปฏิบัติให้ดี ให้รอดจากสิ่งเลวร้าย ถึงที่สุดคือความเห็นแก่ตัวนี้ แล้วก็จะมีความสุข สงบเย็นและเป็นประโยชน์ ดังที่กล่าวแล้วเป็นแน่นอน
ความเห็นแก่ตัวนำไปนรก ความไม่เห็นแก่ตัวนำไปผ่านสวรรค์ไปสู่นิพพานเลย ไม่ติดอยู่ที่สวรรค์ล่ะ สวรรค์ก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน เห็น ก็เห็นแก่ตัวชนิดสวรรค์ ไม่เอา ผ่านพ้นไปหาพระนิพพานเสียเลยดีกว่า หมดความเห็นแก่ตัว
เอาแหละ, ได้แสดงโทษแห่งความเห็นแก่ตัว ทั้งโลกิยะและโลกุตตระแล้ว แสดงคุณแห่งความไม่เห็นแก่ตัว ทั้งโดยโลกิยะและโดยโลกุตตระแล้ว ก็นับว่าพอแล้วสำหรับเป็นหลักเกณฑ์ที่จะศึกษาเรื่องนี้ โดยรายละเอียดปลีกย่อยถี่ยิบกว่านี้ ไม่ต้องพูดหรอก ไปดูเอาเองเถิด โดยหลักใหญ่ ๆ ก็มีเท่านี้ ดังนั้นขอให้ทำตนเองให้เป็นสุขสวัสดี ปลอดภัยจากความเห็นแก่ตัว มีความสงบเย็นและเป็นประโยชน์อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ