แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมมิกสมจารีทั้งหลาย การพูดกันยามเช้าวันนี้เราก็จะพูดกันเรื่องการสร้างแพต่อไปอีกสักหน่อย เราพูดกันเรื่องแพแตกเพราะเราทำแตกเราต้องช่วยกันสร้างแพ เราก็มีโครงสร้างที่สมบูรณ์ด้วยเทคนิค เดี๋ยวนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องสร้างแพให้หลายขนาดหรือหลายชนิดกันดีกว่า มาสร้างแพให้หลายขนาดกันดีกว่า เพราะเหตุว่าโลกนี้มันเปลี่ยนมาก เทียบกับครั้งพุทธกาลครั้งพุทธกาลลองใคร่ครวญดู มันไม่มีอะไรๆไม่มีอะไรๆมากมายอย่างที่เดี๋ยวนี้มันมี วิชาการวิทยาการหรือการเป็นอยู่หรืออะไรก็ผิดกันมาก วัฒนธรรมพื้นฐานของประชาชนก็ผิดกันมาก เราจะต้องมีแพหลายชนิด ซึ่งมันย่อมจะหมายถึงหลายขนาดด้วยเป็นแน่นอน เดี๋ยวนี้เรายิ่งต้องการสันติภาพทั้งโลก เพราะโลกมันเล็กลง ความเจริญด้วยการศึกษาคมนาคมอะไรต่างๆในโลกนี้ ทำให้โลกมันเล็กลงจนถึงกันหมด ถ้าเทียบกับครั้งพุทธกาลแล้ว มันยังห่างไกลพระพุทธเจ้าก็ยังเสด็จไม่ทั่วประเทศอินเดียชมพูทวีปทวีปเดียวท่านก็ยังเสด็จไม่ทั่ว เดี๋ยวนี้เรามันถึงกันหมดทุกทวีป โบราณเขาก็แบ่งเป็น ๔ ทวีปใหญ่ๆ เดี๋ยวนี้เราก็ถึงกันหมดนี่เรียกว่าโลกมันเล็กลง อะไรๆก็จ่อหน้าเห็นๆกันอยู่ทั้งหมด มันก็เลยมีปัญหาเนื่องกัน มีปัญหาที่เนื่องกัน จะต้องแก้ปัญหาเหล่านั้นปัญหาทางสังคมปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางการเมืองนี่ มันเป็นของโลกแล้วมันถึงกันหมด ควรจะนึกถึงข้อเท็จจริงอันนี้แล้วก็เตรียมธรรมะหรือพ่วงแพกันไว้หลายขนาดดูจะเป็นสิ่งที่มีเหตุผลขอให้ช่วยเอาไปคิดดู เรามามองดูแพกันหลายๆชนิดดูจะดี ไอ้แพสำหรับข้ามคลองเล็กๆก็มีแพข้ามแม่น้ำที่กว้างใหญ่สักหน่อยก็มี แพข้ามอ่าวข้ามปากอ่าวใหญ่ๆก็มี แล้วก็แพข้ามทะเลทะเลย่อมๆ ที่ใหญ่ออกไปก็ข้ามมหาสมุทรเดี๋ยวนี้ยังไม่พอยังไม่พอแก่จิตใจของเรา เราจะข้ามจักรวาลเลย เดี๋ยวนี้ก็ติดต่อกันได้ระหว่างจักรวาล ไอ้แพอย่างเรือเฟอร์รี่มันเคยมีเมื่อไหร่ ต้องพูดว่าคนอินเดียสมัยพุทธกาลไม่รู้จักแพเฟอร์รี่อย่างที่เรามีกันใช้กันเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันก็จะต้องมีแพกันให้หลายๆชนิดอย่างนั้นจึงจะแก้ปัญหาในโลกนี้ได้ ดูว่าแพเล็กๆข้ามคลอง ชั่วข้ามคลองมันก็ได้แก่คนพื้นฐานประชาชนคนยากคนจนทั่วๆไปอยู่ในลักษณะที่อาบเหงื่อต่างน้ำ มันก็ต้องมีแพแบบหนึ่ง หรือว่าข้ามแม่น้ำที่มันกว้าง แต่ว่าคนที่มันมีตัณหามากหลายๆรูปแบบ อย่างข้ามอ่าวนี่ เราก็มีปัญหาร่วมกันคือความเกิดแก่เจ็บตายหรือว่าแม้แต่เดี๋ยวนี้ ปัญหาร่วมกันมันก็มีหลายอย่างเช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหามลภาวะปัญหาโรคบ้าๆบอๆ แล้วก็มีทะเล ทะเลย่อมๆ ที่มีวัฒนธรรมชนิดที่มันพูดกันไม่รู้เรื่อง เราแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันด้วยอะไรยากที่จะเรียกวัฒนธรรมระบำบัลเล่ย์นี่ คุณเคยเห็นมีการแลกเปลี่ยนระหว่างเคยได้ยินกันเคยอ่านพบกันในระหว่างประเทศ ดูประเทศไทยก็จะมีกับเขาด้วยสักครั้ง ระบำบัลเล่ย์ ซึ่งไม่เคยมีครั้งพุทธกาลปู่ย่าตายายของเราก็ไม่เคยเห็นพอเห็นเข้าก็เป็นลมตายเลยไม่ต้องดูกัน วัฒนธรรมมันจะแลกเปลี่ยนกันอย่างนี้ มันเป็นเรื่องส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์ มันจะต้องข้ามข้ามไปเสียให้พ้น เราจะต้องมีไอ้ยานพาหนะพ่วงแพอะไร ข้ามมันไปเสียให้พ้น นี่มันเป็นเรื่องฝ่ายวัตถุอยู่มาก วันนี้เราดูเรื่องจิตใจกันบ้างในทางจิตใจกันบ้างจะข้ามมหาสมุทร พระบาลีก็มีอยู่ชัดพระพุทธเจ้าตรัสว่าอายนะทั้งหลายนี่เป็นมหาสมุทรตกแล้วตายขึ้นยากตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นมหาสมุทรนี่พระบาลีว่าอย่างนี้ พลัดไปนั้นแล้วยากที่จะขึ้น มันจะข้ามปัญหานานาชนิดเกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ ซึ่งมีมากขึ้นมากขึ้นในโลกปัจจุบัน นี่เป็นเรื่องทางจิตใจ นี่มองให้ไกลไปอีกว่ามันจะต้องข้ามจักรวาลระหว่างโลกระหว่างโลก โลกอย่างนั้นโลกอย่างนี้ภพอย่างนั้นภพอย่างนี้ กามภพ รูปภพ อรูปภพบ้าๆบอๆมันเป็นเรื่องที่กว้างไกลออกไปมันจะต้องข้ามด้วยเหมือนกัน เรียกว่าปัญหาทางจิตใจที่ข้ามได้แสนยาก จึงเห็นว่าในยุคปัจจุบันนี้เราจะต้องมีแพหลายชนิดก็แล้วกันและหลายขนาดด้วย แก้ปัญหาทั้งหมดนี้ให้ได้ เราจะสร้างแพกันที่ไหน ชนิดไหน ขนาดไหนผมว่ามีโครงสร้างอย่างเดียวกันหมด เหมือนกับที่เราพูดกันแล้วเมื่อวานเพียงแต่ขนาดมันต่างกัน ต้องมีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักพื้นฐานมีการปฏิบัติอานาปานสติเป็นการปฏิบัติเป็นหลักของการปฏิบัติ ความรู้ก็ถูกต้องการปฏิบัติก็ถูกต้องแล้วมันจะมีปัญหาอะไรเหลือเล่าคิดดู แม้เราจะสร้างแพเล็กๆขนาดถ่อข้ามคลองเล็กๆ มันก็ยังมีครบแหละ มันมีตัวแพที่มันลอยน้ำได้ มันต้องมีเครื่องผลักดันให้มันไปได้ มันย่อส่วนลงมาได้ เราจะต้องเตรียมย่อส่วนความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทให้มันใช้กันได้ครบทุกชนิดหรือขนาดของบุคคล จะต้องมีการย่อส่วนของการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาให้มันเหมาะกับชนิดและขนาดของบุคคล ไอ้คำว่าย่อส่วนนี้เข้าใจว่า ท่านทั้งหลายคงจะทราบดีแล้ว มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงหลักการ แต่เพียงมันลดส่วนสัดลงมาให้พอเหมาะ อย่างเด็กๆกินข้าวกันคำเล็กๆผู้ใหญ่ก็กินข้าวคำโตๆ แต่มันไม่ได้เปลี่ยนไอ้สิ่งที่กิน มันต้องเปลี่ยนขนาด มันจะมีวิธีอยู่บ้างมันก็ไม่ทิ้งหลักการเดิม ฉะนั้นเราจะต้องมีสถานศึกษาทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าสำนักศึกษาทางพระพุทธศาสนาดีกว่า มหาวิทยาลัยสงฆ์นี้แหละจะต้องปรับปรุงกันให้มันถูกกับเรื่องแล้วให้มันตรงกับเรื่องแล้วก็ให้มันมีขนาดพอเหมาะเกิดที่จะแก้ไขปัญหาในโลกปัจจุบัน มหาวิทยาลัยสงฆ์ถ้าย่อส่วนลงมาให้เล็กลงๆมันก็เป็นโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ก็ได้ เดี๋ยวนี้ดูว่าเอาโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เป็นเครื่องประดับประดับเล็กๆน้อยๆไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเครื่องประดับของสถานศึกษาอะไรบางอย่างผมว่าไม่ถูก แม้แต่โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ยังต้องมีความเป็นตัวเองตัวเองมีหลักการของตัวเอง อย่าให้เป็นเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆของวัด หรือของมหาวิทยาลัยอะไรอื่นๆ จุดตั้งต้นมันไม่ดีเสียแล้ว จุดตั้งต้นมันไม่จริงจังมันจะดีไปได้อย่างไร ยิ่งโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เตรียมไว้สำหรับเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ในอนาคต คำว่าสงฆ์นี่อย่าเอาแต่พระเลยเอาคำว่าสงฆ์ในความหมายเดิมๆ พระ หรือว่านักบวชก็ได้ฆราวาสก็ได้เรียกว่าสงฆ์ก็ได้ หญิงก็ได้ ชายก็ได้ นักบวชก็ได้ ฆราวาสก็ได้ ให้มันสงฆ์ถึงขนาดจะต้องมีการศึกษาเหมาะสำหรับนักบวชทั้งหญิงทั้งชาย ฆราวาสทั้งหญิงทั้งชาย พูดเพียงเท่านี้ผมก็เข้าใจว่าท่านทั้งหลายนึกออก ก็จะมองเห็นรูปร่างของมันปรับปรุงกันอย่างไร มหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องหลักการใหญ่แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะว่าการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยนี่มันยังไปทิศทางไหนก็ไม่รู้ มันยังไม่ตรงไปสู่การดับทุกข์โดยตรง การศึกษาระดับมหาวิทยาลัย academic Studyนี่ ยังต้องปรับปรุงกันใหม่จะมัวตามก้นฝรั่งอยู่อย่างนี้คงไปไม่รอดหรอก จะต้องให้เรียนรู้เรื่องความทุกข์ต้องให้สามารถดับทุกข์ ต้องมีเรื่องอานาปานสติคือเรื่องทุกข์ มีปฏิจจสมุปบาทคือเรื่องการเกิดทุกข์เดับทุกข์ รู้อานาปานสติแล้วปฏิบัติมันให้ได้เลย ถ้าเรียนธรรมะและปฏิบัติธรรมะมันควรจะต้องมีในมหาวิทยาลัย มันก็ลดต่ำลงจนเป็นโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่เตรียมป้อนให้มหาวิทยาลัยนี่เป็นไปได้อย่างเหมาะสม ถ้าเด็กๆของเราไม่พร้อมที่จะเป็นอย่างนี้มันคงจะยาก เหมือนกับกลิ้งครกขึ้นภูเขามันคอยที่จะลงไหลกลับ แต่ถ้าเราทำให้ดีสมบูรณ์แบบตั้งแต่เล็กๆ มันจะง่ายเหมือนกลิ้งครกลงเขา กลิ้งครกลงภูเขาก็แบบกลิ้งครกขึ้นภูเขาลองดูลองดูซิ มันต่างกันลิบ มันใช้แรงงานต่างกันเหลือเกิน เมื่อเรามามองดูว่าโลกมันเปลี่ยน โลกมันเปลี่ยนประชาชนพลโลก มันก็เปลี่ยนวัฒนธรรมมันก็เปลี่ยน อะไรมันก็เปลี่ยน แต่มันเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือมันมีความทุกข์แบบเดิม ไอ้ความทุกข์ภายในจิตใจมันไม่เปลี่ยน กิเลสมันไม่ได้เปลี่ยน กิเลสมันเพียงแต่มากขึ้นมากขึ้นหนาขึ้น เข้มข้นขึ้นมันไม่ได้เปลี่ยน มันมาจากความเห็นแก่ตัว มันมาอยู่ในรูปของโลภะหรือ ราคะกิเลสบวกมันอยู่ในรูปของโทสะ โกรธะ มันเป็นกิเลสลบ มันมาอยู่ในประเภทของโมหะ กิเลสที่วนเวียนสงสัยอย่างนั้น กิเลสมันไม่ได้เปลี่ยนมันเท่าเดิม แม้แต่ย้อนระลึกไปถึงสมัยคนป่าโน้น ก็มีกิเลสอย่างนี้ มันมาจากความเป็นน็็็็นบวกความเป็นลบความที่มันสัมพันธ์กันอยู่ กิเลสบวกก็ดึงดูดเข้ามา กิเลสลบผลักออกไป กิเลสโง่ก็วิ่งอยู่รอบๆไม่รู้จะผลักหรือจะดูด สถาบันการศึกษาจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ แม้ในระดับเล็กระดับเตรียมเด็กๆระดับผู้ใหญ่ระดับสูงสุดออกไปจากกิเลสทั้งหมดๆที่เรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพานที่เรียกว่า เป็นโลกุตระ มันต้องได้ทั้งนี้ผมขอฝากไว้ให้ช่วยนำไปคิดเพราะว่าที่แล้วๆมาพุทธบริษัทเรา เอาโลกุตระไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ คุณตอบได้เอาไปไว้ที่ไหน ปู่ย่าตายายเอาโลกุตระไว้ที่ไหนไม่รู้ ผมบอกเขาว่ามันอยู่ในโลกนี้นี่แหละ แต่มันอยู่เหนืออิทธิพลบนโลก เนื้อตัวร่างกายของเราก็อยู่ที่นี่ในโลกนี้กินอยู่หลับนอนอย่างนี้ แต่ว่าจิตใจของเรามันอยู่เหนือปัญหาทั้งหมดในโลก ปัญหาในโลกมีกี่อย่างมีอยู่กี่ร้อยอย่างกี่พันอย่างในโลกก็อยู่เหนือปัญหาทั้งหมด นี่แหละโลกุตระแหละมันไม่ต้องตายแล้วไปที่ไหนสักแห่ง มันอยู่เหนือเมฆ ป่วยการความคิดนี้ยังไม่ถูกพุทธบริษัทของเรายังเข้าใจผิด สำหรับคำว่าโลกียะกับโลกุตระโลกียะมันก็อยู่ในโลกนี้แต่ว่ามันจมมันจมในโลก โลกุตระมันก็อยู่ในโลกนี้แต่มันอยู่เหนือเหนือปัญหา เหนือความยุ่งยากลำบากทั้งหมด โลกุตระเป็นพระอรหันต์แล้วไปอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ในโลกนี้แต่ว่าอยู่เหนือปัญหาทั้งหมดทั้งสิ้น จะเป็นปัญหาตามธรมชาติเรื่องแก่เรื่องเจ็บเรื่องตายหรือปัญหาใหม่ๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ซึ่งจะมีแต่ทวีมากขึ้น ก็อยู่เหนือมันให้หมดเลย อยู่เหนือปัญหาทั้งหลายทั้งปวง แล้วเราต้องเรียนเรื่องโลกกันให้ถูกต้องว่าโลก มันอยู่ที่นี่ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ชัดๆโรหิตัสสสูตรพุทธนิพพาน(22:17)มันก็มีตรัสไปว่า โลกก็ดีเหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิท แห่งโลกก็ดีทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดีตถาคตบัญญัติไว้ ในร่างกายยาวประมาณวาหนึ่งนี้มีทั้งสัญญาและใจมีทั้งสัญญาและใจ ที่ยังสำคัญมันเป็นๆตายแล้วไม่มีอะไร ศึกษาไม่ได้ตายแล้วยังต้องมีสัญญาและใจ ต้องมีสัญญาและใจคิดนึก สัญญารู้สึกอะไรได้ โลกทุกความหมายอยู่ในร่างกายนี้ เทวดาตนหนึ่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้าว่า เขาได้เที่ยวค้นหาที่สุดที่สุดโลก เค้าเชื่อว่าโลกแบนก็ไอ้ริมสุดมันอยู่ที่ไหนเขาได้หามาเป็นอะไร เป็นกัปๆกันต์ๆแล้วก็ไม่พบ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสธรรมข้อนี้ ถ้าพูดอย่างผมพูดมันก็หยาบคายไอ้บ้ามึงไปเที่ยวหาที่ไหนเล่าว่ามันอยู่ที่นี่อยู่ในโลกนี้ทั้งหมดนี้มันอยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง นั่นแหละเราต้องรู้ โรงเรียนนักธรรมก็ดี มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ดีก็ต้องรู้จักโลกที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ แล้วก็สอนให้ประชาชนเขารู้ที่ว่าจะอยู่เหนือโลกน่ะมันอยู่ที่ไหนโลกจบโลกหมดปัญหาเรื่องโลกมันอยู่ที่ไหน เราจัดการปัญหานี้ได้เราก็หมดปัญหาหมดความทุกข์ที่กำลังยุ่งยากลำบากไปเสียหมดในโลก สิ่งที่มันไม่เคยมีในโลกมันก็มีขึ้นมาให้ผีหัวเราะ พวกผีหัวเราะมนุษย์มันมีปัญหาที่ไม่เคยมี ให้ลิงมันหัวเราะมนุษย์มีปัญหาชนิดที่กูไม่มี ให้คนป่าก็หัวเราะมนุษย์สมัยนี้เหลือประมาณจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ ให้จำง่ายๆก็อย่าให้ผีหัวเราะ อย่าให้ลิงหัวเราะอย่าให้คนป่าหัวเราะ มันเสียเวลาเสียเงินเสียทองเสียอะไรต่างๆฆ่ากันตายปัญหายาเสพติด ปัญหามลภาวะ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษย์ไป มนุษย์มันทำขึ้นมาเอง ปัญหามลภาวะมันไม่มีครั้งพุทธกาล เดี๋ยวนี้มันมีเสียเต็มไปทั้งโลก ไอ้ยาเสพติดก็ไม่มีมากเหมือนเดี๋ยวนี้ โลกบ้าๆบอๆสมัยใหม่นี้ก็ไม่มีนั่นแหละคือปัญหาที่มันได้เกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นภาระหนักก็ตกแก่พวกเราสมัยนี้ ยิ่งเราจะเป็นครูบาอาจารย์ผู้ช่วยโลกของสมัยนี้ก็ยิ่งมีปัญหา ฉะนั้นเตรียมตัวให้พร้อม โดยเหตุที่มนุษย์ในโลกนี้มีหลายชนิดหลายระดับ วัฒนธรรมประจำมนุษย์มีหลายระดับ ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ เราจะต้องสร้างพลเมืองที่ดีของชาติ เราจะต้องสร้างพุทธบริษัทที่ดีของศาสนาปัญหากี่มากน้อยก็คิดดู พลเมืองที่ดีของชาติ พุทธบริษัทที่ดีของศาสนา เมื่อได้ทั้งสองอย่างแล้วก็เป็นมนุษย์ที่เต็มมนุษย์ที่ดีมนุษย์ที่เต็มของมนุษยชาติ มนุษยชาติมนุษย์ที่มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ พลเมืองที่ดีของชาติมีลักษณะสมบูรณ์แบบอย่างไร คำว่าสมบูรณ์แบบมันค่อนข้างจะฟังยากมันมีแต่จะเฟ้อมีแต่จะเกิน มันไม่พอดีสมบูรณ์นี่ ก็ให้ระวังหน่อยมันไม่ได้มากมายจนเฟ้อสมบูรณ์ พอสมบูรณ์พอดีไม่มากไม่น้อยแต่มันสมบูรณ์สมบูรณ์แบบ ยิ่งพอดีๆไม่เกินๆไม่เฟ้อ ถ้าเกินก็บ้า มันไม่ใช่สมบูรณ์แบบ เป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์แบบมันต้องพอดี เรื่องเคร่งมันใช้ไม่ได้ ต้องพอดีต้องพอดีพอเหมาะพอดี จึงจะใช้ได้ใยิ่งพอดีน่ะนั่นแหละคือเคร่ง ฉะนั้นจึงอย่าอวดเคร่งเหมือนคนบางคนบางสำนักนั่นมันบ้า ไอ้เคร่งชนิดนั้นมันบ้า ถ้ามันเคร่งจริงมันต้องพอดีที่สุดด้วย เคร่งหมายถึงพอดี พอดีคือสมบูรณ์แบบ เดี๋ยวนี้จะมีคนเข้าใจผิดคิดว่าสมบูรณ์แบบต้อง เอามาเต็มๆไปหมดจนไม่มีที่เก็บที่วาง ไปดูบ้านเรือนของคนบางคนเต็มไปด้วยของเกินของเฟ้อของไม่จำเป็นเขาจะคิดว่าเขาจะมีกันสมบูรณ์แบบมันจะกลายเป็นบ้านคนบ้า เข้าไปตรวจดูอะไรทิ้งอะไรทิ้งได้บ้างโอ้ยทิ้งได้หมด ที่มันมีมันไม่จำเป็นมันเกิน สมบูรณ์แบบอย่างนี้ไม่เอา ต้องสมบูรณ์แบบที่ทำให้หมดปัญหา ไอ้คำนี้เป็นคำที่ผมอยากให้สนใจ ใช้คำว่าปัญหาปัญหาดีกว่า หมดทุกข์ก็ยังไม่ดีเท่าหมดปัญหา เพราะว่าความสุขก็ยังเป็นปัญหาถ้าหมดปัญหา หมดทุกอย่างหมดทุกข์อะไรกันอยู่ นี่พูดภาษาไทยนะไม่ใช่ภาษาธรรมะไม่ใช่ภาษาบาลี ใช้คำว่ามีธรรมะๆสมบูรณ์แบบแล้วหมดปัญหากันดีกว่าใช้คำว่า “หมดปัญหา”มันจะมีธรรมะมีพ่วงแพมีอะไรที่จะทำให้หมดปัญหา เดี๋ยวนี้ความสุขก็กลายเป็นปัญหาเหยื่อของกิเลสกลับเป็นปัญหา อุตสาหกรรมมันยังสร้างปัญหาระวังให้ดี ประเทศที่จะย่างเข้าไปสู่อุตสาหกรรมจะเต็มไปด้วยปัญหาจะบ้ากันมากขึ้น ดูประเทศที่มันเจริญอุตสาหกรรมมันบ้ากันมากขึ้นแข่งขันแย่งชิงกันมากขึ้น สงครามก็จะตามมา จึงหมดปัญหาดีกว่าดับทุกข์สิ้นเชิงก็หมายถึงดับปัญหาหมดเพราะว่าสิ่งใดถ้าไปยึดมั่นถือมั่นเข้ามันก็จะเป็นปัญหาทั้งนั้นแหละ ความสุขมันก็เป็นปัญหา บ้าดีเมาดีลมดีบุญก็กลายเป็นปัญหาแม้แต่พระนิพพานถ้าไปยึดเอาพระนิพพานไปเป็นของกูก็กลายเป็นปัญหาอีกเหมือนกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ไม่ให้ยึดอะไรในความเป็นตัวตน สูตรวิเศษที่สุดที่ผมอยากจะขอร้องให้ทุกองค์สนใจคือมูลปริยายสูตรสูตรแรกของมัชฌิมนิกายที่เป็นพิเศษเลย สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งปัญหาตั้งแต่ขี้ฝุ่นจนถึงพระนิพพาน ถ้าไปยึดถือเข้าแล้วก็เป็นปัญหาทั้งนั้นแหละแม้แต่พระนิพพานก็ยังไปยึดถือไม่ได้มันจะกลายเป็นปัญหาขึ้นมา ฉะนั้นเราจะใช้คำว่าธรรมที่สุดแห่งทุกข์พูดอยู่ในวัดก็ใช้ได้ แต่พูดกับชาวบ้านทั่วไปเดี๋ยวนี้มันใช้ไม่ได้ ใช้คำว่าธรรมที่สุด ดีกว่า ธรรมที่สุดแห่งปัญหาโดยประการทั้งปวงเพราะว่าแม้แต่จะบริโภคความสุขมันก็ยังเป็นปัญหา ยิ่งมีเงินมากยิ่งมีอะไรมากก็ยิ่งมีปัญหา ยิ่งนอนไม่หลับฆ่าตัวตายไม่รู้ ต้องใช้คำว่าปัญหาปัญหา ปัญหาก็มีความหมายเดียวก็คือสิ่งที่ทนอยู่ไม่ได้ ถ้ามีปัญหาทนอยู่ไม่ได้หรอกถ้าขืนทนอยู่ก็ไม่ได้จะเป็นบ้า ใช้คำว่าปัญหาในฐานะสิ่งที่เราทนไม่ได้แก้ไม่หมดดับมันให้หมดก็หมายความว่าไม่ได้ยึดถืออะไรโดยความเป็นตัวตนของคน นี่เราจะต้องเตรียมธรรมะเหมือนพ่วงแพกันให้ครบเหมาะสำหรับปัญหาในโลกปัจจุบัน ปัญหาทางสังคม ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางการเมืองที่เป็นปัญหาแม่บท แล้วก็กระจายออกไปเป็นปัญหานานาชนิดๆ จนกระทั่งไอ้ความร่ำรวยความเจริญก็กลายเป็นปัญหา ความเจริญกลายเป็นความบ้า ความเจริญเมื่อมันมากๆเข้ามันก็เป็นความบ้าชนิดหนึ่งมันไม่พอดีมันไม่พอดี อย่าไปหลงไอ้คำว่าเจริญหรืออะไรกันนักพัฒนา มันแปลว่าบ้าแปลว่ารกกันไปหมด มันต้องสัมมา สัมมา สัมมัตตา สัมมัตตะความถูกต้องความพอดี ในพระบาลีก็ใช้คำนี้ หลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริงควรจะใช้คำว่าสัมมัตตะ ๑๐ อย่าหยุดอยู่เพียงแค่อริมรรคมีองค์ ๘ มันขาดอยู่เพียงแค่ ๒ มันขาดสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ พอเอาสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ ไปเติมให้อริมรรคมีองค์ ๘ กลายเป็นสัมมัตตะ ๑๐ ลองสังเกตดูสูตรบางสูตรพระพุทธเจ้าท่านท่านทรงมุ่งหมายอย่านี้แต่เราไม่ได้เอามาใช้ เราไม่ได้สนใจ สัมมัตตะ ๑๐ มันคือสมบูรณ์ สมบูรณ์ที่สุดในการที่จะดับทุกข์แม้ในทางที่จะกำจัดทุกข์ก็สัมมัตตะ ๑๐ แม้จะในทางที่จะอยู่อย่างไม่เป็นทุกข์ ก็สัมมัตตะ ๑๐ ก็ยังอยากที่จะใช้คำว่าเป็นสุข มันก็จะกลายเป็นทุกข์เข้าไปอีก เมื่อพระพุทธเจ้าท่านจะตรัสเปรียบเทียบกับศาสนาพราห์มหรือศาสนาฮินดูอย่างที่มีอยู่แล้วในเวลานั้นท่านก็เปรียบเทียบ โดยยกเอาสัมมัตตะ ๑๐ นี้ ขึ้นเป็นหลักไปเปิดดู ศาสนาพราห์มฮินดูก็มีน้ำล้างบาปอาบแล้วหมดบาป พระพทธเจ้าท่านตรัสสัมมัตตะ ๑๐ เรียกมันว่าน้ำล้างบาป ยาถ่ายสำรอกให้อาเจียนก็ใช้สัมมัตตะ ๑๐ คือถ่ายบาปออกไปให้หมดสิ้น ยากินแล้วอาเจียน ยากินแล้วถ่ายนี่คือสัมมัตตะ ๑๐ วิเรจานะยาถ่าย รัมนายานะยาอาเจียน ท่านพูดชัดสัมมัตตะ ๑๐ สัมมัตตะ ๑๐ ทำไมพวกเราไม่เอามาสอนไม่เอามาพูดกัน การสอนแต่เพียงอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นมันยังขาดอยู่ ๒ อย่าง สัมมัตตะแปลว่าความถูกต้อง สัมมัตแปลว่าชอบหรือถูกต้อง ตตะคือความ สัมมัตตะก็ความถูกต้อง ๑๐ ประการนั่นแหละเป็นตัวพรหมจรรย์เป็นตัวพระพุทธศาสนา แต่ถ้าจะเอาเฉพาะส่วนปฏิบัติ ๘ ปฏิบัติก็พอแล้วไอ้ ๒ เดี๋ยวมันก็มาเองขอให้ปฏิบัติ ๘นั่นแหละ สองก็มาเองถ้าจะพูดทั้งหมดก็พูดทั้งสิบ ควรจะขยายเรื่องการศึกษาให้เป็นเรื่องของสัมมัตตะ ๑๐ สมบูรณ์จะมีความสมบูรณ์ เราจะมีการศึกษาที่สมบูรณ์ในสัมมัตตะ ๑๐ ถ้าสัมมาญาณ สัมมาวิมุติก็ลดลดลงมาซิลดลงมา ๒ แบบเป็นของแบบเป็นระดับบ้านเรือน ระดับบ้านเรือนรู้ที่ควรจะรู้ แล้วก็พ้นตามที่ควรจะพ้น ตามแบบของโลกของบ้านเรือนขอยืมมาใช้ในเรื่องบ้านเรือนเช่นเดียวกับอริยะ อัตถธิกมะ(37:10) เอามาใช้บ้านเรือนได้ แต่บางคนไม่เอามาใช้ เก็บไว้เป็นเรื่องโลกกุตระไปหมด ไม่ถูก พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสแยก มันมีความทุกข์ที่ไหนก็ต้องมีปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ที่นั่น แล้วก็ทรงระบุอริยมรรคมีองค์ ๘ ในสัมมากรรมมันตระนั้นระบุกามเมสุมิจฉาจารจะได้ ท่านตรัสจุดมุ่งหมายสำหรับฆารวาส ไม่ได้ตรัสเอาธรรมาจริยากาเมสุมิจฉาจารก็หมายความว่าเรื่องชาวบ้านก็เอามาทำเป็นอริมรรคมีองค์ ๘ ฉะนั้นไอ้เรื่องวิมุติก็ดี สิ่งเหล่านี้ที่ดีจะต้องเอามาเป็นเรื่องของชาวบ้าน แม้แต่คำว่านิพพาน นิพพานเอามาเป็นเรื่องของชาวบ้านให้ได้ ไม่ใช่นิพพานโดยสมบูรณ์ ก็คือคำว่านิพพุทติ นิพพุทติ ในความดับเย็นในความหมายเดียวกับนิพพานยังไม่ใช่เป็นขนาดจนนิพพาน เรียกว่านิพพุทติ ใครมีนิพพุทติคนนั้นจะเรียกว่านิพพุทโต นิพพุทโตเป็นบุคคลนิพพุทติเป็นธรรมะมีนิพพุทติก็เป็นนิพพุทโต เย็นๆดูมันในอรรถคถาธรรมบทก็มีเรื่องนี้ ถ้าใครมีแม่พ่ออย่างนี้ก็นิพพุทติ ใครมีลูกอย่างนี้ก็นิพพุทติ ใครมีผัวอย่างนี้ก็นิพพุทติ ใครมีเมียอย่างนี้ก็นิพพุทติ เป็นนิพพุทตาเป็นนิพพุทโตไปตามเรื่อง มันน่าหัวไอ้เราเองนี่พูดอยู่เกือบทุกวันนี้เราก็ไม่รู้ว่าอะไร ถ้าไปให้ศีลคุณก็ต้องพูดศีลเรนิพพุทธติงยันติ จะอธิบายว่าอะไรชาวบ้านมีนิพพุทติ ด้วยศีลศีลเรนัพพุทธติงยันติ ศีลศีลนี้คืออะไรนั่นแหละคือนิพพานในระดับชาวบ้านระดับชั่วคราวในระดับยังไม่สมบูรณ์ นี่แสดงว่าเรื่องของพระนิพพานสูงสุดก็เอามาใช้กับชาวบ้าน ลูกเล็กเด็กแดงก็ได้ให้มันมีชีวิตเย็นชีวิตเย็นก็แล้วกัน ฉะนั้นนิพพานอย่าไปสอนว่า “ตาย” ในโรงเรียนสอนผิดๆทั้งนั้น นิพพานแปลว่าตายในพระอรหันต์มันผิดสองเท่า สอนนิพพานแปลว่าตายมันผิด ถ้าสอนพระอรหันต์ตายก็ผิดอีก พระอรหันต์ตายไม่ได้หรอกต้องไม่ตาย ร่างกายจะตายก็ช่างหัวมัน แต่ความเป็นพระอรหันต์ตายไม่ได้ตายไม่ได้ นิพพุทธติจะต้องแปลว่าเย็นๆๆ ดับลงแห่งความร้อน หลักใหญ่ๆของจริยธรรมสากลน่าสนใจ เรามุ่งหมายเป็นจุดสูงสุด ของความดีเรียกว่าซัมมั่มโมดั่ม มันเป็นภาษาลาติน แปลเป็นภาษาอังกฤษมันแปลว่า up more goodness แปลว่าความดีสูงสุดแต่เพราะพวกนี้มันยังไม่รู้จักเท่าเทียมกับพระพุทธศาสนามันยังบูชาความดีสูงสุด แต่สำหรับพระพุทธศาสนาปัดไปทั้งความดีความไม่ดีแล้วก็ไปขอยืมคำมาใช้ดีสูงสุดของจริยธรรมสากลเอามาเป็นจุดหรือเป็นหลักพื้นฐานก็ได้เพราะมี ๔ ประการว่าความสุขความสุขสงบคือสันติภาพ ความสุขสงบเย็นก็มี perfect perfectness ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ต้องมีความเต็มแห่งความเป็นนุษย์ ถ้ายังเป็นมนุษย์มันยังพร่องอยู่ยังไม่ใช้ ยังไม่ถึงจุดสูงสุด อันที่ ๓ หน้าที่เพื่อหน้าที่ duty duty ต้องทำเพื่อหน้าที่ duty อย่าทำเพื่อตัวกู หน้าที่เพื่อหน้าที่ และอันที่ ๔ ก็เรียกว่ารักทั้งหมด universal love รักสากล รักทั้งหมด เราจะมีความสงบสุขโดยสมควรแก่อัตตภาพ เราจะมีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เราจะมีการทำเพื่อหน้าที่เพื่อหน้าที่ไม่ใช่เพื่อเงินหรือเพื่อตัวกู เราจงมีความรักสากลแก่ชีวิตทั้งลึกทั้งหลายทุกระดับ ถ้ามันเป็นชีวิตก็ต้องรัก แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ทั้งหมด มันมีชีวิต มันต้องการจะไม่เป็นทุกข์ มันต้องการจะไม่ตายเหมือนกัน จะเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์เดรัจฉานหรือเป็นเพื่อนมนุษย์เราต้องรักรัก นี่หลักพื้นฐานอย่างนี้ ของจริยธรรมสากลนี้เข้าใจว่ามาแอบขโมยไปจากศาสนา ศาสนานั้นบ้างศาสนานี้บ้างเอาไปรวมรวมกันเข้ากับซัมมัมโมดั่ม ของจริยธรรมสากลแต่ผมก็คิดว่าใช้ได้เราก็โบ้ยใช้กันให้มันเป็นเรื่องความสูงสุดของความเป็นมนุษย์เราจึงมุ่งหมายกันโดยหลักนี้ แล้วมันก็ขยายขึ้นไป ขยายขึ้นไป ขยายขึ้นไป จนถึงพระนิพพานสูงสุดสิ้นเชิงด้วยตนเอง ขอให้ทำให้เด็กๆของเรามีความรู้สมบูรณ์ชนิดนี้ อย่างที่พูดกันแล้ววันก่อนให้มันรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทให้มันปฏิบัติอานาปานสติให้จงได้ สอนปฏิจจสมุปบาทนี่มันกำลังมีปัญหาเพราะเราไปใช้คำอธิบายในวิสุทธิมรรคเอาไปไว้ข้ามชาติกันอยู่แล้วจะดับได้อย่างไรจะควบคุมกระแส ปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร จะหยุดมันได้อย่างไรเมื่อส่วนนี้มันอยู่ในชาติโน้น ส่วนนั้นมันอยู่ในชาตินี้ใครจะควบคุมได้เล่า มันอยู่ที่นี่แม้วันเดียวก็มีหลายๆรอบไม่ใช่รอบเดียวไปแจกกันหลายๆรอบ ถ้ายังงั้นควบคุมไม่ได้มันหยุดไม่ได้มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ต้องอยู่ที่นี่ ฉะนั้นสอนกันเสียให้ถูกในชีวิตประจำวัน เราต้องคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท เมื่อมีการกระทบทางอารมณ์ มีผัสสะเกิดขึ้นต้องควบคุมผัสสะ อย่าให้มันเป็นผัสสะโง่ให้มันฉลาด อย่าให้มันเกิดเวทนาโง่ ตัณหาโง่ อุปทานโง่ โง่เป็นทุกข์ แล้วก็บอกเด็กๆได้ว่าถ้าแกมีตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าแกมีตาตาของแกก็ต้องเห็นรูปเพราะมีรูป เพราะแกมีหูหูย่อมได้ยินเสียง ถ้าแกมีจมูกก็ย่อมได้กลิ่นมีพร้อมอยู่ในโลก ถ้าแกมีลิ้นแกก็ได้สัมผัสรส ถ้าเรามีผิวหนังเราก็สัมผัสทางผิวหนังทำอย่างไรเสียแกต้องสัมผัสสิ่งเหล่านี้ บอกเด็กๆ ถ้าแกสัมผัสแล้วจะทำอย่างไรแกต้องไม่โง่แกต้องไม่โง่ไม่สัมผัสทาง ตา หู จมูกลิ้นกายใจแล้วก็ต้องผัสสะของเราต้องไม่โง่เพราะอย่างไรเสียมันต้องมีสัมผัสบอกให้มันรู้ทำอย่างไรเสียก็หลีกไม่พ้นมันต้องมีสัมผัส ถ้ามีสัมผัสทำอย่างไรเสียมันก็ต้องมีเวทนาเด็กก็พอจะเข้าใจได้ ถ้ามีสัมผัสนะทำอย่างไรเสียมันก็ต้องมีเวทนามันช่วยไม่ได้ พอมันมีเวทนาอย่างนั้นอย่างนี้สุขทุกข์อะไรก็ตามมันก็เกิด ตัณหาคือความอยากไปตามเวทนานั้นแหละ ช่วยไม่ได้ทำอย่างไรเสีย ช่วยไม่ได้ถ้าแกมีเวทนาก็มีตัณหา ถ้าแกโดนของหวานแกก็ต้องอยาก แกโดนของคมเข้ามาแกก็ต้องไม่เอาแกก็ต้องด่า นี่มันเป็นไปตามเวทนา แกอย่าโง่ผัสสะแกอย่าโง่เมื่อมีเวทนา เมื่ออยากแล้วแกก็ต้องไม่เกิดตัวกูของกูกูอยาก ถ้ามีดบาดนิ้วแกอย่าว่ามีดบาดกูมันจะโง่ ถ้ามีดบาดนิ้วก็มีดบาดนิ้วไม่ใช่มีดบาดกู ถ้าตาเห็นรูปก็ว่าตาเห็นรูปแต่อย่าว่ากูเห็นรูป ระบบประสาทมันมีมันเห็นได้เอง ไม่มีตัวกูตัวกูความโง่ส่วนเกินเข้ามามันมีแต่นามรูปคือกายกับใจก็พอแล้ว ถ้าหูได้ยินเสียงก็หูได้ยินเสียง อย่ากูได้ยินเสียงถ้ากูได้ยินเสียง เดี๋ยวมันก็ไปซื้ออะไรมา ถ้าจมูกได้กลิ่นก็จมูกได้กลิ่นอย่ากูได้กลิ่น ลิ้นได้รสลิ้นได้รสอย่าให้มันเป็นกู สัมผัสผิวหนังก็สัมผัสผิวหนังผิวหนังมันก็ได้สัมผัสอย่าเป็นกูตัวกูเกิดขึ้น เด็กๆก็พอจะเข้าใจได้ว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นเพราะมีตัวกู มีตัณหามันอยากไปตามเวทนา พออยากก็มีกูกูเพราะมีกูอยู่ในใจ ยังไม่พอเดี๋ยวก็ออกมาเป็นกริยาท่าทางออกมาที่สมบูรณ์ เป็นภพเป็นชาติจนแก่คลอดออกมาเป็นตัวกูนี่บ้ากันใหญ่เอาอะไรๆ ทั้งหมดเป็นตัวกูของกูแม้แต่ความทุกข์ ถ้าอยากมีตัวกูอย่างนี้ตัวกูมันเกิดที่ไหนมันสอนกันอย่างเหมือนกับของธรรมดา ก็สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้อง สำเร็จประโยชน์ให้แก่เด็กๆได้เหมือนกัน แล้วก็สอนให้เขาปฏิบัติก็จะควบคุมมัน ควบคุมอย่างที่ว่านะต้องมีสติมีสัมปชัญญะมีสมาธิมีปัญญามาปฏิบัติอานาปานสติเรื่องลมหายใจให้ถูกต้อง ต้องควบคุมกายได้ เด็กๆก็พอเข้าใจได้ว่าลมหายใจมันสนับสนุนร่างกายอยู่ มันไปด้วยกันเลือดสุพรรณอะไรนี่ ลมหายใจกับร่างกายมันไปด้วยกันและถ้าลมหายใจบ้าร่างกายมันก็บ้า ลมหายใจละเอียดกายมันก็ละเอียด เราบังคับลมหายใจให้ละเอียดได้ โดยเรารู้จักกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์โน้น ก่อนครั้งพุทธกาลโน่นอานาปานสติขั้นพื้นฐาน ขั้นพื้นฐานรู้กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ครั้งพุทธกาลรู้จักใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์ พวกยักษ์พวกมารยังรู้จักใช้วิชานี้รบราฆ่าฟันกัน เสกเป่านี่ทำด้วยลมหายใจทั้งนั้น บังคับลมหายใจมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาลุกขึ้นรบได้อีกถูกเขาตีบอบช้ำลุกขึ้นมาทำอานาปานสติลุกขึ้นมารบได้อีก เป็นเรื่องของธรรมชาติรู้ไว้ เถิดจะมีประโยชน์ จะเรียกร่างกายที่สงบเย็นได้โดยต้องทำลมหายใจให้สงบเย็น ต้องการเมื่อไรได้เมื่อนั้น เวทนาเกิดขึ้นมาเป็นปิติ สุขอย่าไปหลงกับมันจะเกิดเป็นความคิด ชนิดที่ไม่เป็นระเบียบไม่ถูกต้องควบคุมมันไม่ได้ แต่ถ้าต้องการเพียงปิติและสุขได้เรียกมาเดี๋ยวนี้ได้ ฉันเรียกมาเดี๋ยวนี้ได้เรียกปิติและสุข แต่ฉันไม่บ้ากับมัน ถ้าควบคุมปิติและสุขได้เพราะมันเป็นจิตสังขาร แล้วก็ควบคุมความคิดให้ได้ถูกต้องก็เป็นสมาธิสะอาดดีตั้งมั่นดีแคล่วคล่องว่องไวแก่การงานดีมีประโยช์แก่การศึกษาเล่าเรียนการประกอบอาชีพอะไรโดยอานาปานสติ และบทที่ ๔ ก็รู้ธรรมะ รู้ธรรมะ รู้อนิจจังทุกขังอนัตตา จนจิตเกลี้ยงใช้คำว่า “จิตเกลี้ยง” ใช้คำว่าจิตว่างมันมักจะถูกด่า ใช้คำว่า “จิตเกลี้ยง”ค่อยยังชั่วคือมันจะไปถืออะไรเอาไว้มันไม่ได้กอดรัดอะไรเอาไว้ เพราะรู้อนิจจังทุกขังอนัตตา จิตเกลี้ยงคือสบายดี ชำระไม่มีความทุกข์ ก็จบที่ราคะคลายออกไป ถ้าดับราคะก็คือหมด ที่เรียกว่าอานาปานสติใครทำได้มีประโยชน์จนเหลือที่จะกล่าวต้องการความสุขเมื่อใดได้เมื่อนั้น ความทุกข์ความหม่นหมองเกิดขึ้นมาในจิตใจ หายใจทีเดียวหนีหมดหายใจทีเดียวไอ้ความทุกข์หนีหมดมันวิเศษขนาดนั้นขอให้ฝึกเถิด พอที่จะสอนเด็กๆได้เล่นกีฬาบางอย่างยังยากกว่ายากกว่าทำอานาปานสติ ผมยอมให้ถูกด่า พวกศาลาวัดจะด่าก็ตาม ผมก็จะพูดอย่างนี้เพราะว่า เล่นกีฬาบางอย่างที่เขามีกัน มันยากกว่าการฝึกอานาปานสติอีกไอ้กายกรรมกวางเจาผมไม่ได้เคยไปดูหรอกแต่ดูภาพวิดิโอที่เขาถ่ายมาให้ดูนี่มันยากกว่าการฝึกอานาปานสติอีก ทำไมมันฝึกได้เลยนี่เด็กๆก็ควรเข้าใจอย่างนั้น มันไม่มีปัญหาที่จะให้เขารู้ปฏิจจสมุปบาท ที่จะให้เขาฝึกอานาปานสติแล้วก็ช่วยขยายหลักสูตรในโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ให้มันสูงขึ้นมาอีกสักหน่อยให้มาถึงระดับยานพาหนะที่สมบูรณ์แบบ มีความรู้เรื่องอานาปานสติ มีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทมีการปฏิบัติเรื่องอานาปานสติ นี่เรียกว่ามันมีจุดตั้งต้นที่ดีสัมมาทิฐิดีสัมมาทิฐิเป็นจุดตั้งต้นเป็นรุ่งอรุณของพระนิพพานมันมีแล้วก็ไปไปตามสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ ถูกไปหมด ถ้าสัมมาทิฐิจุดตั้งต้นมันถูกมันก็ถูกหมดถูกทั้งหมดจนครบทั้ง ๘ และครบทั้ง ๑๐ สัมมาญญาณ สัมมาญาวิมุติมันก็ถูกไม่มีสัมมาทิฏฐิมันก็ไม่มีทางที่จะถูก ปัญญามันต้องมาก่อนศีล ผมถูกเขาด่าอย่าออกชื่อว่าใครด่าเขาด่าว่าผมไอ้โง่ไม่สอนศีล ไม่สอนศีลก่อนพระพุทธเจ้าท่านสอนปัญญาก่อน คุณดูซิอริมรรคมีองค์ ๘ ปัญญามาก่อนแล้วจึงมีศีล แล้วจึงมีสมาธิ จะไปสอนศีลให้บ้าเข้ารกเข้าพง สอนปัญญาก่อนแล้วศีลมันก็มาเอง นี่มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราจะปลูกฝังสัมมาทิฏฐิให้ลงไปในจิตใจของลูกทารกเหล่านี้ มันก็จะเจริญเติบโต สัมมาทิฐิ สัมมาทานา สัพพังทุกขังอุปปัจจคุง ล่วงภพความทุกข์ทั้งปวงได้ด้วยสัมมาทิฏฐิ ทำไมจึงมาตรัสรวม จะมีสัมมาทิฐินี่มันจริงขอให้มีสัมมาทิฏฐิมันก็มีรุ่งอรุณสำหรับพระนิพพาน สมบูรณ์แบบแท้ๆต้องนึกถึงโพชฌงค สติระลึกมาหมดธรรมอะไรกี่อย่างกี่อย่างแล้วมาทำวิจัยเลือกเฟ้นอะไรเป็นอย่างไรอะไรเป็นอย่างไรแล้วก็สติ แล้วก็ธรรมวจณเลือกเฟ้นเหมือนเก็บดอกไม้ในสวนได้มาแล้วก็ต้องมีวิริยะเข้มแข็งกล้าหาญพากเพียรบากบั่นปฏิบัติ แล้วก็พอใจที่ได้ทำอย่างนั้นมันเป็นปิติมันหล่อเลี้ยงวิริยะถ้าไม่มีปิติหล่อเลี้ยงวิริยะเดี๋ยวมันกลิ้งไม่หยุดไปทำอาชญากรรมอย่างนั้นเพราะอาชญากรทั้งหลายมันไม่มีอะไรจะหล่อเลี้ยงธรรมะด้วยความถูกต้องหรือวิริยะของมัน จะมาปฏิบัติให้เหนื่อยยากทำไม ทำนาทำสวนยากกว่าลำบากทำไมไปปล้นไปจี้ดีกว่า มันไม่มีธรรมะปิติมาหล่อเลี้ยงกันการปฏิบัติ ถ้ามีปิติหล่อเลี้ยงวิริยะ วิริยะดี๋ยวมันก็เข้ารูปลงลอยปฏิบัติ เข้ารูปเข้ารูประงับลง นั้นแหละจะมีสมาธิ แล้วก็มีสมาธิเข้มแข็งเฉียบขาดอย่างที่ว่าสะอาดดีตั้งมั่นดี แอ๊คทีฟดี อุเบกขา อันสุดท้ายอันที่ ๗ อุเบกขาอย่าไปบอกเขาว่าเฉย มันไม่ได้แปลว่าเฉย แล้วมันจะดูอยู่เฉยๆแต่ในจิตใจมันพร้อมที่จะทำหน้าที่แต่ถ้าเดี๋ยวนี้เราช่วยเขาไม่ได้ ไม่ได้อยู่เฉยแต่คอยจ้องเมื่อไหร่จะช่วยได้นั่นแหละคืออุเบกขาไม่ใช่ไปนอนหลับหลับเสียแล้วก็ช่างหัวมันไม่ใช่อุเบกขาอุเบกขามันคอยจ้องๆดูอยู่ว่าเมื่อไหร่มันช่วยได้จะช่วยทันทีหรือแม้ที่สุดจะออกเป็นผลออกมารออยู่อย่างนั้นแหละอุเบกขา ถนนดีอะไรดีแล้วม้าดีแล้วรถดีแล้วก็ถือบังเหียนอยู่เฉยๆม้าก็พาไป รถยนต์ก็เหมือนกันทุกอย่างถูกต้องแล้วควบคุมพวงมาลัยเฉยๆมันก็ไปได้ไม่ใช่ว่ามันหยุดหรือถอยหลังอุเบกขามันไม่ใช่เรื่องถอยหลังมันไม่ใช่เรื่องหยุดจะไปสอนเรื่องอุเบกขาแม้ในไอ้พรหมวิหารสี่ก็ช่วยสอนเสียให้ถูกอย่าว่าช่วยไม่ได้แล้วเฉยไม่รู้ไม่ชี้ มันคอยดูอยู่ว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาต้องกลมกลืนกันอยู่เสมอ คอยพยายามเอาธรรมสูงสุดคือนิพพานคือโพชฌงค ๗ เอามาใช้ทำไร่ทำนาใช้หลัก ๗ ประการแม้ในการทำไร่ทำนา ว่าลูกเด็กๆจะศึกษาในโรงเรียนขอให้มันใช้เถิด โพชฌงค ๗ ถ้าเอามาทั้งกระบิได้ก็ยิ่งดีตรงโพธิปัตตยธรรมที่ ๓๗ รัดกุมที่สุด ๓๗ เอามาใช้ได้ทางเทคนิคลึกลับ เอาเป็นอันว่าวันนี้เราพูดกันว่าเรามาสร้างแพกันให้หลายขนาดสร้างแพกันให้หลายชนิดให้ครบถ้วนให้ครบถ้วนหรือหลายชนิดตามชนิดของปัญหาที่มีอยู่ในโลกหรือครบถ้วนตามชนิดของบุคคลที่มันมีหลายชนิดคือมีวัฒนธรรมหลายๆชนิดในโลกแขกหรือฝรั่งอะไรไม่รู้หรือวัฒนธรรมหลายแขนงก็สร้างให้มันใช้ได้ทุกแขนงธรรมของพระพุทธเจ้านี้แสนจะประเสริฐใช้ได้รอบตัวกับทุกๆอย่างของปัญหาอย่าใช้คำว่าความสุขของปัญหา ขอฝากความคิดวันนี้เอาไว้ว่าจงสร้างแพให้ครบทุกขนาดตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลขึ้นไปก็เป็นหลักการสมบูรณ์แบบไม่ใช่ของทำเล่นๆเป็นเครื่องประดับของมหาวิทยาลัย ขอให้มันเป็นเรื่องของมันอยู่ในตัวสมบูรณ์แบบอยู่ในตัวแล้วมันก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นโรงเรียนมหาวิทยาลัยอะไรได้เราก็จะมีโลกที่มีสันติภาพเราทำลายแพแตกเราสร้างแพใหม่เรามีหลักการในการสร้างที่ถูกต้องแล้วเราจงช่วยกันสร้างมันขึ้นมาให้ครบทุกชนิดของปัญหา เวลาก็หมดแล้วแรงก็หมดแล้วขอยุติการบรรยายในวันนี้ ขอฝากไว้ให้เอาไปคิดให้ก้าวหน้ากันในเรื่องนี้ทุกๆรูปทุกๆองค์เทอญ