แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะได้พูดกันถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท จะเป็นไทย ปฏิจฺจสมุปฺปาท เป็นบาลี เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่าภพ ภวะเกิดขึ้นอย่างไร จะควบคุมได้อย่างไร จะดับไปได้อย่างไร นี่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
Today we will speak about dependent origination which in the body language knows as Phatichasmutbatha. This matter of dependent origination demonstrates Pawa or existing that we talked about yesterday. Power the life (01:42) how can be managed and how inquest (01:47) or/and
แต่ควรจะทราบไปถึงว่า เรื่องนี้มีความหมายกว้าง ถ้าจะเรียก มันก็เรียกว่าเป็น Law หรือเป็น Truth ของธรรมชาติ ถ้าใช้กับทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไร ก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตา แต่ถ้าใช้เฉพาะสิ่งที่มีชีวิต เป็น Animate รู้จักสุขรู้จักทุกข์ เป็นดังเช่น being อย่างนี้ก็เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
We ought to consider this matter as been a law of nature upon the main of principle; the deep of fundamental of nature. When speaking most rarely all universally, we speak up this law of Ithappachayata, which means conditionality. When we speak a bit more specifically about conscious being; conscious being (03.39) with pure culture in pain, then we call this law of Pathijasamutrabath, or dependent of origination.
คือถ้าเราใช้เต็มตามความหมายมัน ก็กลายเป็นใช้กับทุกอย่างเป็น Cosmic law เลย แต่ถ้ามาใช้กับเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์นี้มันก็เป็นปฏิจจสมุปบาท ใช้เฉพาะสิ่งที่มีความรู้สึกได้ สิ่งที่มันมีความรู้สึกได้ นี่เราเป็นมนุษย์เรารู้สึกได้ รู้สึกสุขทุกข์ได้ เราจึงสนใจในฐานะเป็นปฏิจจสมุปบาทนี่มากกว่าที่จะเป็นอิทัปปัจจยตา
We can look in these principals as being the trans-make (4.56) law. How everybody most relevance to our life, it’s too appropriated as dependent origination that this law as to apply to create to pure (5.17), which its experience creature in pain, happiness and dissatisfaction. This is why is the most relevance to bottom line (5.30).
มันเป็นเรื่องยาก เรื่องยาก เข้าใจได้ยาก จนพระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ๆ คิดว่าไม่ ไม่ ไม่ต้องสอน ไม่ควรสอน ยากเกินไปสำหรับคนทั้งหลาย แต่แล้วท่านมาคิดว่า มันมีบางคน บางคนที่อาจจะรู้ได้ เข้าใจได้ ก็พยายาม พยายามให้รู้แล้วมันคุ้มค่า แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าทำให้เข้าใจได้มันคุ้มค่า มีประโยชน์ที่สุด ดังนั้นท่านจึงได้สอนเรื่องนี้ ท่านได้สอนเรื่องนี้
It’s a very difficult and profound matter; so difficult as expert. After awakening to this law, the Buddha thought that it wasn’t possible to teach it. But when he considered carefully; and on understood, there were some people, some being could be some understand this law. So, he decided to teach it to find the best way on teaching it. And in the end, he decided it to worldwide, there is properly some people would understand and this would make be happened worldwide.
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็คือตรัสรู้เรื่องนี้และเมื่อสอนก็สอนเรื่องนี้ ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่า ผู้ที่เห็นปฏิจจสมุปบาทนั้น คือผู้ที่เห็นฉัน ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นฉัน
This law depends on origination. This was be great awakening of the Buddha what’s about the realization of the law, and the Buddha though solely this law of dependent origination. This is so central in Buddhism that the Buddha said that effectively who even see dependent origination, see me; thoroughly see the Buddha. Thoroughly see the Buddha means we must see a dependent origination.
ดังนั้นเป็นอันแสดงว่า พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ให้เราเห็น ให้เราได้รู้จัก แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้แม้กระทั่งวันนี้ไม่ได้สูญหายไปไหน ไม่ได้นิพพานอย่างหายไป
It’s active the Buddha still living now so that we can meet and know him, because it’s still possible, it’s always possible to us for; to see and understand this law. This is what the Buddha still here to teach it.
ดังนั้นเราจึงถือว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นเรื่องหัวใจ หัวใจ ของพระพุทธศาสนา
So we take this principal of dependent origination as been the heart of Buddhism.
แล้วมันก็แปลกตรงที่ว่าหัวใจพุทธศาสนา มันทำให้เรารู้จักตัวเราเอง ที่เราเรียกกันว่าตัวเราเอง รู้จักชีวิต สิ่งที่เรียกว่าชีวิตของเราเอง อย่างถูกต้องจนไม่มีปัญหา
So this law of Buddhism will enable us to know ourselves, to know on our life, to the decrease that we will have no more problems.
แล้วเดี๋ยวนี้เราต้องการโดยเฉพาะว่าไอ้ความรู้นี้ มันจะกำจัดความทุกข์ที่เกิดมาจาก ภวะ ภพทั้งสามภพ อย่างที่กล่าวมาแล้วเมื่อวาน เรื่องนี้จะช่วยกำจัดความทุกข์อันเกิดจากภพทั้งสาม
But here today, we specially want to examine the dependent origination to see how it can eliminate reduced guard (11.16) the pain that alive from the 3 times of existence that we discussed yesterday.
เราจะต้องมองดูให้เห็นอย่างกับเราเห็นวัตถุต่างๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องนามธรรม เป็นเรื่องจิตใจ ไม่มีรูปร่างไม่มีฟอร์ม แต่มันก็มีส่วนที่จะเห็นได้ คือมันเป็นแบบทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ว่ามันก็มีอย่างไร มันก็มีอะไร แล้วมันก็มีอย่างไร นี่เรียกว่าจะเห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นจะต้องเห็นไอ้ Stream stream ก็กระแสที่ไหลไป ของสิ่งนี้ แล้วมันก็มีเป็นรอบๆ เป็น Circle เป็นรอบ เป็นรอบในชีวิตประจำวันของเรา มันไหลอยู่เป็นรอบๆ ในชีวิตประจำวันของเรา
We need to see these facts of the dependent origination as this is world some materials are gaps which we are our hands, like fun of us. We need to see it as a tangible way, although it is something in material. It’s nice physical matters by a spiritual on ward (13:05). We need to tangibly experience as the fact that transit law or stream. The dependent origination is the stream that flowing through our life. But these flows as its circle, it possibly recycles. So we need to experience this fact of this stream or this stream of cycle of circle as that happened on our life right now.
ในหนึ่งรอบ ในหนึ่งรอบนั้นเราอาจจะแบ่งออกได้เป็นสิบสองส่วน สิบสองส่วน เป็นธรรมะสิบสองอย่าง อย่างนี้ส่งเสริมอย่างนี้ อย่างนี้ส่งเสริมอย่างนี้ อย่างนี้ส่งเสริมอย่างนี้ อาการที่ส่งเสริมให้เกิดขึ้นมานี้เรียกว่า อาการ อาการนี้มันก็มีสิบเอ็ดอาการ มีสิ่งสิบสองสิ่งส่งเสริมให้เกิดกันขึ้นกันขึ้นตามลำดับสิบสองอาการ อ๊ะ, สิบเอ็ดอาการ ของสิบสองอย่างมีอาการส่งเสริมกันสิบเอ็ดอาการ ถ้าจะมองเป็นวัตถุก็มองอย่างนี้
In every cycle there are twelve things or twelve conditions, and each condition supports and promotes the next one. The first promotes the second, and then those promote the next, which promote the next they find safe that by self (14:59). We need to see this slowly cycle in these twelve aspects or these twelve conditions which a life supported it by the previous one. And these twelve are linked or joined by eleven aspects of this promoting of the power compacting. These twelve are jack the things (15:33) of the twelve conditions, and then the eleven activities of conditioning, which link them. One ought to promoting the next. These flows are entry of cycle (15:52).
ในสิบสองส่วนนั้น มันมีส่วนที่เป็นภพหรือภวะอยู่ด้วย ในสิบเอ็ดอาการนั้นมันมีอาการที่อุปาทานปรุงแต่งให้เกิดภพ รวมอยู่ด้วยหนึ่งอาการ มันมีภพรวมอยู่ในนั้น มีอาการที่ปรุงให้เกิดภพรวมอยู่ในนั้น ในวงแห่งปฏิจจสมุปบาท
Among those twelve things or conditions, one of them is Pawa. The different type is existing as we discussed earlier. And then the eleven activities of promotion of conditioning, there is the activity of OopPathana attachment conditioning contacting the Pawa. So, in every cycle of the dependent origination, there is the condition of Pawa can they contrasting of it.
สำหรับพวกเราที่กำลังศึกษา ศึกษาอยู่นี่ กำลังศึกษาค้นคว้าอยู่นี่ มันจะมีลักษณะเหมือนกับ Philosophy เป็น Philosophy แต่ถ้าสำหรับผู้ที่ถึงแล้ว เห็นแล้ว ควบคุมได้แล้ว คือเป็นพระอรหันต์แล้วนี่ มันก็เป็น มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์โดยสมบูรณ์ มันจะเป็น Philosophy แก่คนที่ยังไม่ ไม่เข้าถึง ไม่ประจักษ์ แล้วมันจะกลายเป็นวิทยาศาสตร์แก่ผู้ที่เข้าถึงและประจักษ์แล้ว นี่มันมีอยู่เป็นสองขั้นตอนอย่างนี้ ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ
Now for us who are studying the dependent origination in this way, but not yet realized it thoroughly, see it clearly. This is kind of a philosophy. We will understand it as a philosophy. But for those who have seen the dependent origination totally, completely, thoroughly such as the Orhaunt, the human being sues us have totally the saint guard (18:39) for them it is a science. It is purely a science. So, we can observe, we can understand the dependent origination as on the level. For us now is more about a philosophy. But fortunately it is to be understood as a science. This is something to observe carefully.
ทีนี้เราจะมาดูกันให้เห็นปฏิจจสมุปบาท ในลักษณะที่เป็น Stream ก็ตาม เป็น Circle ก็ตาม ที่มันมีอยู่ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละวัน ละวัน
Now we look at the dependent origination, whether being the stream or being a circle as it occurs in each day of our life.
เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ข้างใน อยู่ข้างใน ในตัวเรา แล้วก็มีสิ่งที่จะมากระทบกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ข้างนอก นั่นก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่ สิ่งที่มีอยู่ข้างนอกจะมากระทบกับสิ่งที่มีอยู่ข้างใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้ท่านพยายามทำความรู้จักกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ดีๆ ถ้ามันจะมีอะไรที่มากระทบเป็นคู่กันได้โดยง่าย
We have within us - eyes, ears, noses, tongues, bodies, and minds- these six senses within and outside are the things which stimulate the eyes, ears, noses, tongues, bodies, and minds namely forms, sounds, odors, tastes, favors, passion, and mental object. So, they are the senses in order object which stimulated them. We need to observe these as they happened to us.
เรายกตัวอย่างมาศึกษาเฉพาะเรื่องตา เรื่องแรกในทั้งหกเรื่องนะ เรื่องตาก่อน ถ้าเข้าใจเรื่องตา ก็เข้าใจได้ทุกเรื่อง เพราะมันเหมือนกัน เมื่อตากระทบเข้ากับรูปที่มากระทบตา มันก็เกิด Consciousness ขึ้นทางตา Consciousness มันไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา จะเกิดต่อเมื่อมีของข้างนอกมากระทบของข้างใน อันนี้ตาอันนี้รูปมากระทบกันก็เกิด Consciousness ทางตาขึ้นมา
So, when the eye is stimulated by some forms, or when the eye is some forms stimulated, then consciousness arises on the eye. We called the eye consciousness. Consciousness doesn’t exist of the kind of some study thing, but consciousness arises when the eye is stimulated by a form. For example, we use the example for the eye to begin with.
เราก็ได้เป็นสามอย่างขึ้นมา The eye, the form, the consciousness สามอย่าง สามอย่างนี้ เมื่อสามอย่างกำลังมาทำหน้าที่ด้วยกันอยู่ รวมกันอยู่ function อันนี้เรียกว่า ผัสสะ หรือ contact ผัสสะ ผัสสะ
There are the 3 things, the eye, the form, and eye consciousness. When these 3 things then function together – when they work together, we called that Passa or contact. The medium of 3 things we called contact.
ทีนี้ Contact นี้มันก็เกิดมีเป็นสองอย่าง คือ Contact ของผู้รู้ธรรมะ กับ Contact ของผู้ไม่รู้ธรรมะ หรือจะเรียกว่าผู้รู้ปฏิจจสมุปบาทกับผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท มันก็กลายเป็น Contact ของคนโง่ประเภทหนึ่ง กับ Contact ของคนรู้หรือคนฉลาดอีกประเภทหนึ่ง
There are 2 kinds of contact. There are the contact of the one who knows the Dhamma, and the contact of the one who doesn’t know the Dhamma. Or we can said that the contact of the one who understands the dependent origination and the contact of the one who doesn’t understand the dependent origination. Almost simply, there is the contact of the person who ignore it – ignore the contact, and there is the contact of the one who is truly intelligent or wise contact.
จะเห็นได้ว่าเกิดทั้งสองทางขึ้นมาแล้ว ไอ้ทางที่ไม่รู้ของผู้ไม่รู้ ก็คือคนทั่วไปที่ยังไม่รู้ อันนี้มันจะนำไปในทางที่จะให้เกิดปัญหา ให้เกิดความทุกข์ ซึ่งเราเรียกว่าให้เกิดภพหรือภวะขึ้นมาในตอนท้าย แต่ถ้ามันเป็น Contact ของผู้ที่มันฉลาดๆ มันไม่ ไม่ไป ไม่ไปทางนั้น มันจะหยุดเสีย แล้วก็รู้ถูกต้อง แล้วก็จัดการตามที่จะต้องจัดโดยที่ไม่ต้อง ไม่ต้องมี ไม่มีภวะ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีอะไร มันแยกทางกันเดินอย่างนี้ เราจะเลือกเอาทางไหน
So contact is kind the red for in the road (25:59) that is choice one in do, one way or the other. One way that is ordinary people which mean all of us; people who are still ignorance about the dependent origination; people who really don’t know how things work. For the ordinary ignorance person, then contact leave to Pawa, to the kind of the existing which mentioned. There is to Thukkha for paint for experiences. However, there is another way, the path of the intelligent person, and this doesn’t lead to getting falling into the existences. And so there is no Thukka come in our lives. So, there is a kind of cross road. The mind there is the choice which way we’ve found.
ทีนี้ก็ดูต่อไปไอ้ Contactโง่ ของคนโง่ มี Contactโง่มันก็ให้เกิดไอ้ Feeling feeling เวทนา เวทนาที่โง่ เวทนาที่จะหลอกให้เห็นเป็นบวกหรือเป็นลบ เพราะเขาโง่มาแต่ Contact แล้วเขาก็มาโง่ตอน feeling อีกที พอหลงเห็นเป็นบวกหรือเป็นลบแล้วก็จะเป็นเวทนาโง่ ถ้าฉลาดอย่างยิ่งแล้วจะไม่รู้สึกให้หลอกเป็นบวกหรือเป็นลบ นี่ Contactโง่ให้เกิด Feeling ที่โง่
Now we look a bit further what happen on the ignorance branch of the path or about the little road. It is ignorance contact; it leaves to the alive of ignorance feeling or Wethana. Feeling is called Wethana. And when the feeling is ignorance, it tricks us into feeling positive and feeling negative. So, ignorance contact tricks us into feeling positive and negative. However it is the intelligent they won’t get trick into the positive and negative feeling.
ต่อไปก็เวทนาโง่ เวทนาโง่ มันก็ให้เกิดตัณหาคือความต้องการที่โง่ ไอ้ความต้องการที่โง่ เราเรียกว่า ตัณหา Craving หรือ Desire นี่เป็นความต้องการที่โง่ เพราะมันโง่มาแต่ Feeling มันก็มีความต้องการที่โง่ แต่ถ้ามันฉลาดมาเสียแต่ Feeling แล้วมันเป็นความต้องการที่ฉลาด มันเป็น Aspiration ไม่ได้ไปทางนู้น มันไม่ใช้ Craving มันไม่ใช่ Desire นี่ขอให้รู้ว่าถ้า Feeling มันโง่มันก็ให้เกิดความต้องการที่โง่ Desire ในชีวิตประจำวัน
มันต้องโง่เสร็จแล้วนะ มันต้องโง่มาเสร็จแล้วมันจึงเรียกว่า Desire Craving หรือ Want ถ้ามันโง่มาเสร็จแล้ว มันมีชื่อว่า Craving บ้าง Desire บ้าง ถ้ามันไม่โง่มันเป็น Aspirationไป หรือ Want ความอยากแยกทางกันเดินตอนนี้ ทีนี้ตามธรรมดาเราก็ไม่รู้ เราก็มีกันแต่ความต้องการที่โง่คือ Desire ในชีวิตประจำวัน
ความต้องการที่โง่ ความต้องการที่เป็นความโง่เป็น Desire นี้มันทำให้เกิด ต่อไปคือ อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น โดยเฉพาะใน Feeling เป็นต้นนี้ นี้มัน Attachment อุปาทานมันได้เกิดขึ้นมาจากความต้องที่โง่ ความต้องการที่โง่ เราโง่ในสิ่งใดก็จะมี Attachment ในสิ่งนั้น ในความเป็นบวกก็ตามในความเป็นลบก็ตาม มัน Attachment ได้เท่ากัน
ตอนนี้จะมาถึงสิ่งที่เรียกว่า ภวะ Attachment, Attach ที่กาม Sexual Attachment เป็นภวะ เป็นกามภพอย่างที่ว่ามาแล้ว เพราะมัน Attach ใน Form, Formful Attachment มันก็ Attach ในรูปภวะ ถ้ามัน Attach ในสิ่งที่ไม่มีรูปเป็น Formless Attachment มันก็เกิดอรูปภวะอย่างที่เราพูดมาแล้วโดยละเอียดเมื่อวาน ภพทั้ง ๓ เกิดขึ้นที่ตรงนี้
จะต้องย้ำตัวอย่างอีกครั้งหนึ่งที่พูดมาแล้วว่า บางเวลาแม่บ้านเขาไปยุ่งอยู่กับ Partner สามีอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องกามภวะ มีจิตใจเต็มไปด้วยความรู้สึกทางกาม บางเวลาแม่บ้านเขาไปสนใจเรื่องลูกเรื่องทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองที่มันมีเป็นวัตถุ ไม่ใช่กาม นี่เขากำลังอยู่กับรูปภวะและบางเวลาแม่บ้านเขาไปคิดถึงเรื่องความตาย จะตายไปจะมีบุญมีบาป มีกุศลอะไร หรือแม้แต่เขาจะคิดเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงอะไรของเขาอย่างนี้ซึ่งเป็นไอ้ เป็นนามธรรมนี้ เขากำลังอยู่กับอรูปภวะ Attachment ให้เกิด Existence ใน ๓ รูปแบบอย่างนี้
ทีนี้เราก็ลองมองดูที่ว่าภวะ ภวะชนิดไหนที่จะไม่ ไม่เป็นทุกข์ ภวะที่เกี่ยวกับกาม มันก็มีปัญหาอย่างเรื่องกาม กามทั้งหลายอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ยุ่งยากลำบากหรือเป็นทุกข์หรือตายก็มี นี้ภวะที่เกี่ยวกับวัตถุล้วน ๆ เกี่ยวกับลูกเกี่ยวกับสมบัติเงินทองแก้วแหวนเพชรพลอย มันก็มีปัญหาหนักอกหนักใจเกี่ยวกับวัตถุล้วนๆ ทีนี้ถ้ามันเป็นวิ อ่ะ,เป็นอรูปภวะ เรื่องอำนาจวาสนาเรื่องชื่อเสียง เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องกุศลต่างๆ มันก็มีปัญหาลำบากยุ่งยากเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น ภพทั้ง ๓ ชนิดมันให้เกิดปัญหาและให้เกิดความทุกข์เกิดความหนัก หนัก Burden of life พอกันทั้งนั้นแหละ ถ้าอย่างนั้นเป็นว่าไม่ต้อง อาจจะไม่ต้องสงสัย ภพทั้งหลายให้เกิดความทุกข์เป็นความหนักขึ้นมาแก่ชีวิตนั้นๆ ดูตรงนี้ให้มาก ให้เข้าใจตรงนี้แหละมันเป็นตัวปัญหาสำคัญของเรา ขอให้สนใจศึกษาเป็นพิเศษ
ที่จะต้องดูให้ดีเป็นพิเศษ ก็ตรงนี้ที่ว่า ภพ ภวะ ถ้าเป็นภวะแล้วต้องมีความทุกข์ ไม่มีทางที่จะช่วยได้ แม้จะเล็กที่สุด มีส่วนเล็ก Particle เล็กที่สุด นิดที่สุด มันก็ยังต้องมีความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบข้อนี้ไว้ว่า เหมือนกับอุจจาระน่ะ อุจจาระน่ะ มันเหม็น แม้มันจะมีน้อยที่สุดจนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนมองไม่เห็นมันก็ยังเหม็น จึงว่าขึ้นชื่อว่าภวะแล้วมันต้องมีความทุกข์ เหมือนอุจาระแม้จะนิดหนึ่งจนมองไม่เห็นก็ยังต้องเหม็น อย่างนี้เป็นต้น ขอให้เข้าใจข้อนี้ ให้เข้าใจภวะ ภวะนี้ให้ดีๆ ว่ามันเป็นทุกข์ทุกชนิด
นี้เป็นเรื่องของคนธรรมดาทั่วไป ที่จะดูถึงเรื่องของคนที่ดีกว่าธรรมดา ดีกว่าธรรมดาเป็น Noble ดีขึ้นไปกว่าธรรมดา คนนี้เป็นนักบวชเป็น Hermit เป็นฤาษีเป็นอะไรก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติทางจิตใจแล้วเขาก็ปฏิบัติสมาธิโดยเอาสิ่งที่เป็นรูปธรรมมี Form เป็นอารมณ์ของสมาธิ เขาได้สมาธินี้แล้วเขาก็มีความสุขในแบบที่ว่าเป็นสมาธิที่เกิดมาจากสิ่งที่มีรูป เขาก็ยินดีมีความสุข ยินดีมีความสุข อย่างนี้ก็เรียกว่าเขาอยู่ในรูปภวะชั้นสูง มีภวะที่มีรูปชั้นสูง ทีนี้ว่า อีกคนหนึ่งเขาเอา อรูป สิ่งที่ไม่มีรูปมาเป็นอารมณ์ของสมาธิ เขาได้ประสบความสำเร็จก็ได้รับความสุขที่สูงไปกว่านั้นอีก สูงไปกว่านั้นอีก แต่ยังคงเป็นอรูปภวะ แม้ว่ารูปภวะ อรูปภวะ ของผู้บำเพ็ญสมาธิชั้นสูงชั้นสูงอย่างนี้ ไอ้ภวะอย่างนี้ก็ยังเป็นทุกข์เมื่อเขายึดมั่นถือมั่น Attachment ในภวะของเขา เขาก็ต้องเป็นทุกข์เหมือนกัน เหมือนกับคนธรรมดา แม้จะเป็นเรียกว่าพรหมอยู่ในพรหมโลก Attachment อยู่ในภพอย่างนี้ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าภวะก็ต้องเป็นหนักและทุกข์ มีความหนักเป็นทุกข์และก็เหม็น
เพื่อให้เข้าใจง่าย เรามาพูดกันในลักษณะที่เรียกว่าสวรรค์ สวรรค์ Heaven Heaven สวรรค์กันดีกว่า เราจะพูดว่าแม้ในโลกนี้ ในโลกนี้ ก็มีสวรรค์ และในโลกอื่นที่ไหนก็ไม่รู้ก็มีสวรรค์ สวรรค์ที่โลกนี้กันก่อน เรามีกามารมณ์สมบูรณ์ กามารมณ์สมบูรณ์อย่างยิ่งนี้ก็เป็นสวรรค์ที่เป็นกามภวะ แล้วเราก็มีความสุขเกี่ยวกับวัตถุสิ่งของต่างๆ ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างยิ่งก็เป็นสวรรค์รูปภวะ และมีชื่อเสียงอำนาจวาสนามีอะไรที่เป็นนามธรรมก็มีอรูปภวะ เป็นสวรรค์เหมือนกัน นี่สวรรค์ที่จะเอา เห็นกันง่ายๆ ที่นี่ แต่ถ้าจะพูดกันตามธรรมเนียม ตามคัมภีร์ Orthodox Original สวรรค์ที่โลกอื่นสวรรค์ที่โลกอื่น สวรรณ์ โลกนั้นเต็มไปด้วยกามารมณ์ก็เรียกว่า กามภวะ และสวรรค์อีกอันหนึ่งที่เต็มไปด้วยสุขทางรูปธรรม รูปสมาธิก็เป็นสวรรค์รูปภวะ สวรรค์อีกอันหนึ่งอรูปภวะ เค้าเจริญสมาธิไปเกิดเป็นพรหม เป็นพรหม คำนี้คงจะแปลยากสำหรับภาษาอังกฤษ กามนี่ต่ำมาก แล้วรูปก็สูงขึ้นมา อรูปก็สูงขึ้นไป แม้สวรรค์ที่อื่น สวรรค์โลกอื่นที่อื่น ก็ยังเป็นทุกข์ สวรรค์ที่นี่ก็มีความทุกข์ สวรรค์ที่โลกอื่นที่เรามองไม่เห็นเพียงแต่ได้ยินได้ฟังก็เป็นทุกข์ นี้เรียกว่าแม้แต่สวรรค์ สวรรค์ ก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นพระอรหันต์ต้องเลิก ต้องพ้น ต้องเหนือสวรรค์ต้องเหนือสวรรค์ เหนือกามภพ รูปภพ อรูปภพจึงจะเป็นพระอรหันต์ สูงสุด บุคคลสูงสุด สรุปความว่ามันต้องเหนือสวรรค์ทุกความหมาย เหนือสวรรค์ในทุกความหมาย จึงจะเป็นผู้ที่หลุดพ้นออกมาได้ เหนือสวรรค์ทุกความหมาย
ทีนี้มาดูสวรรค์ที่นี่กันดีกว่า มันเข้าใจง่าย เห็นชัด ดูเพื่อนของเรา เพื่อนๆ ของเราโดยมาก หนุ่มสาว ก็มีสวรรค์ที่นี่ ในเรื่องกามารมณ์ ลงทุนทุกอย่างเพื่อกามารมณ์ เพื่อกามารมณ์ ใช้เงินใช้ทองมากเพื่อกามารมณ์ ก็อยู่ในกามภพอย่างนี้ ไม่เท่าไรสวรรค์นั้นแหละมันก็กัดเอาๆ ความลำบากยุ่งยากเพราะกามารมณ์ ค่าใช้จ่ายหรืออะไรเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แย่งชิงกันอิจฉาริษยากัน สวรรค์กามารมณ์นี้มันก็กัดเอา เพื่อนของเรากำลังเป็นอยู่มากในโลกนี่ ทีนี้สวรรค์ที่สูงขึ้นไป เขาประสบความสำเร็จในการสมรส ในการแต่งงานแล้วมีลูก มีทรัพย์สมบัติมีทรัพย์สมบัติทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ สารพัดอย่าง นี่เขาเรียกสวรรค์ที่เป็นรูปภพ เขาก็ยุ่งยากลำบากเท่าที่เขามีมาก เขามีมากเท่าไรก็ยุ่งยากใจลำบากใจเท่านั้นแหละ เว้นไว้แต่เขาจะมีธรรมะ เดี๋ยวนี้ไม่มีธรรมะคนธรรมดาไม่มีธรรมะ ไอ้สวรรค์รูปภพก็กัดเอาๆ เป็นบ้าฆ่าตัวตายกันก็มีมากเพราะเรื่องทรัพย์สมบัติ ทีนี้ต่อไปอีกชั้นหนึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจก็ล้วนๆ มีเกียรติยศมากมีชื่อเสียงมาก Noble prizes ตลอดเวลาที่นั่นที่นี่เขายินดี เป็นสวรรค์อรูปภพอย่างนี้ มันก็กัดเอา มันก็กัดเอา ยิ่งถ้าเขายึดมั่นถือมั่น มีความหวง มีความหนักอกหนักใจเพราะจะต้องรักษามันไว้ รักษาเกียรติยศเหล่านี้ไว้ สวรรค์ชนิดนี้มันก็กัดเอา สวรรค์กามารมณ์ก็กัด สวรรค์ไอ้รูปล้วน ๆ ก็กัด สวรรค์ไม่มีรูปมันก็กัด ดูกันที่นี่พยายามเข้าใจข้อนี้เถิดจะเข้าใจคำว่าภพ ภพ แล้วมันก็กัดเอาๆ
ทีนี้ขอให้ศึกษาจนมองเห็นว่า ในสวรรค์ทุกชั้นหรือในภวะทุกชนิดน่ะ มันมีสิ่งที่กัดคือความทุกข์ มันกัดเหมือนกับถูกกัด เรียกว่ากิเลส ๆ หลายๆ หลายๆ ระดับเป็นกิเลสแล้วก็กัดทั้งนั้น มี มี มีสิ่งที่จะกัดให้เจ็บปวดในสวรรค์ทุกชั้นหรือในภวะทุกๆ ชนิด
ในสวรรค์หรือภวะทุกๆ ชนิดมีสิ่งที่จะกัดนั้น อยากจะขอยกตัวอย่างมาให้เห็นเป็นเครื่องกำหนดง่าย ๆ สัก ๑๐ อย่าง สิบ ก็พอ ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี
ในสวรรค์หรือในภพภวะทุกๆ ชนิดทุกอย่างมันมีความรัก ความรัก ปัญหาเกี่ยวกับความรัก ท่านทั้งหลายเคยเข้าใจกันดีอยู่แล้วเพราะเคยรักมาแล้ว มีความรักที่จะกัด กัด กัดตามแบบของความรัก นี่เรียกว่าความรัก เราพูดกันทีละข้อ ความรักก่อน
ถัดมาก็เป็นเรื่องของความโกรธ ถ้ามันมาในทาง Positive มันก็รัก มาในทาง Negative ก็โกรธ เรียกว่าความโกรธ ความโกรธมันก็กัดเอาเพราะว่าท่านก็เคยโกรธมาแล้ว ความโกรธมันกัดอย่างไร ความโกรธมันกัด ข้อที่ ๒
ข้อที่ ๓ ก็ความเกลียด เกลียด ความเกลียดอย่างไม่มีเหตุผล เกลียดด้วยความโง่ มันเกลียดไปได้หมดรำคาญไปได้หมด เป็นความเกลียดท่านก็เคยเกลียดมาแล้ว เกลียดอะไรสิ่งนั้นแหละมันกัด เกลียดอะไรสิ่งนั้นแหละมันกัด นี้เรียกว่าความเกลียด
สิ่งที่ ๔ ก็คือความกลัว กลัวอย่างโง่เขลา กลัวอย่างไม่มีเหตุผล มันก็มีความกลัวที่กลัวอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง กลัวความยากจนกลัวอะไรต่างๆ มีชื่อเสียงก็กลัวจะเสียชื่อเสียง มีทรัพย์สมบัติก็กลัวจะสูญเสียทรัพย์สมบัติ เศรษฐีฆ่าตัวตายเพราะกลัวว่าจะยากจน นี่เรียกว่าความกลัว กลัวอย่างโง่เขลา กลัวไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างเบียดเบียนจิตใจกัดจิตใจ คือความกลัว
ที่ ๕ ความตื่นเต้น ตื่นเต้น เพราะอยากจะมีอะไรมากระตุ้นจิตใจให้มีความตื่นเต้น พวกฝรั่งมาเที่ยวเอเชียนี่ก็มาแสวงหาสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้น อยู่ที่บ้านไม่ได้ต้องไปดูกีฬา ต้องซื้อของแปลก ๆ Curious ต่างๆ มาทำจิตใจตื่นเต้นๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ความตื่นเต้นนั้นก็กัด ๆ กัดจิตใจ
ทีนี้อันที่ ๖ ความหวังในอนาคตเป็นความหวังของความโง่เขลา เป็นตัณหาของความอยากที่โง่เขลา มันก็หวังๆ ในอนาคตอย่างที่เรียกว่า สร้างวิมานในอากาศ หวังจะสร้างวิมานในอากาศกันอยู่ด้วยกันทุกคน มีความหวังในอนาคต กัดหัวใจ กัดหัวใจ
ทีนี้อันที่ ๗ อาลัยอาวรณ์ในอดีตที่ล่วงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นความรัก อาลัยอาวรณ์ในอดีต ตัดไม่ได้ ตัดอาลัยในอดีตไม่ได้ก็กัดหัวใจ
ต่อมาก็ความริษยา ริษยา ริษยาอย่างไม่มีเหตุผล เห็นเขาสวยกว่าก็ริษยา เห็นเขามีเงินมากกว่าก็ริษยา ริษยาอย่างไม่มีเหตุผล นี่ก็กัดหัวใจคนนั้นน่ะมากสุด ผู้ถูกริษยายังไม่รู้ มันก็กัดหัวใจคนที่ริษยา นี่ความริษยานี่กัดหัวใจ
ทีนี้ความหวง หวง ความไม่ ไม่ให้ ความหวง หวงเอาไว้ หวงมาก ๆๆๆ ก็ไม่ให้ ในกรณีทั่วไปนี่ก็เรียกว่าความหวง ไม่มีแก่ใจ ไม่มีจิตใจที่กว้างขวาง มีจิตใจแคบ กลัวจะถูกขอ นี่ก็เรียกว่าความหวง ก็กัดเหมือนกัน
อันสุดท้ายเป็นความหวงทางเพศ ในภาษาไทยเรียกว่าความหึง คือความหวงนั่นแหละแต่เป็นไปอย่างแรงมากเกินไปในทางเพศ ฆ่ากันตายมากที่สุดเพราะความหึง
ในชีวิตประจำวัน ที่นี่ๆ มันก็มีไอ้สิ่งที่จะกัดเอานี่ ๑๐ อย่างนี้ กัดเอา ในสวรรค์ชั้นไหนก็มี ๑๐ อย่างนี้ที่จะกัดเอา ภวะ ภวะชนิดไหนก็มี ๑๐ อย่างนี้ที่จะกัดเอา จึงถือว่ามีภพที่ไหนมันก็มีความทุกข์ที่นั่น แม้ภพชั้นสวรรค์ เป็นชั้นสวรรค์มันก็ยังกัดเอา อย่างมนุษย์ธรรมดานี่มันก็กัดเอา นี่ภวะ ภวะนี้ไม่ไหว
กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทของเราได้มาถึงขั้นที่เรียกว่า ภวะๆ เกิดมาจากอุปาทาน มี Attachment แล้วก็เกิดภวะ ความรู้สึกว่าฉันเป็นอย่างนั้นฉันเป็นอย่างนี้ฉันเป็นอย่างนั้น จัดตัวเองให้เป็นอย่างนั้นจัดตัวเองให้เป็นอย่างนี้ เป็นกามภพเป็นรูปภพเป็นอรูปภพ เต็มขึ้นมาในใจ เต็มขึ้นมาในใจ กระแสปฏิจจะ แสดงบทบาทออกมาเรียกว่าเกิด ความเกิดเป็นอย่างนั้น เกิดตามความที่มันตั้งใจ ที่มันต้องการ ก็เป็นความเกิดออกมา เป็นผู้อยู่ ผู้อยู่ในกามภพ ผู้อยู่ในรูปภพ ผู้อยู่ในอรูปภพ ก็คือผู้เสวยความทุกข์ ผู้เสวยความทุกข์ ไม่มีอะไร
ทุกครั้งที่มีปฏิจจสมุปบาท ๑ วง ๑ Circle ต้องมีภวะหรือชาติทั้งนั้น วันหนึ่งมีกี่วง วันหนึ่งมีกี่วง กี่สิบวง เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู ทางจมูกแต่ละอย่าง ละอย่างเกิดได้ทั้งนั้น ในวันหนึ่งๆ เกิดได้นับไม่ถ้วนแต่เราไม่สังเกต ถ้าจะกำหนดง่ายๆ ก็มีความทุกข์หรือมีความหม่นหมองใจครั้งหนึ่งก็เป็นปฏิจจสมุปบาทอย่างหนึ่ง นี่คือภวะๆ และก็ผลร้ายของมันคือทำให้เกิดความทุกข์ ความหนักหรือกัดชีวิต กัดชีวิต เป็นชีวิตที่มันกัดเจ้าของเพราะมีตัวกูๆ เป็นภวะ ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง นี่สิ่งที่ไม่มองกัน สิ่งที่มองข้ามกันไปเสียหมด ขอให้สนใจเป็นพิเศษ ต่อไปนี้ขอให้สนใจเป็นพิเศษ คือภวะๆ
กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทก็คือกระแสแห่งชีวิตนั่นเอง ขอให้พิจารณาอย่างยิ่งจนเห็นว่ากระแสแห่งชีวิตก็คือกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทก็คือกระแสแห่งชีวิต ถ้าท่านเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทท่านจะเห็นความจริงข้อนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งถึงที่สุด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
ในกรณีที่เป็น Positive positive นั่นแหละ มีปัญหามากปัญหาลึกปัญหาน่ากลัวยิ่งกว่าในกรณีที่เป็น Negative แต่ว่าเราก็ชอบเราบูชา เราหวัง เราถนอม Positive หลงใหล Positive ให้พรกันอย่างเป็น Positive เรื่อยไป ยิ่ง Positive เท่าไร กระแสแห่งปฏิจจสุปบาทจะยิ่งลึก เลวร้ายหรือกัดมากเท่านั้น อย่าหลง Positive อย่าหลง Negative เพราะมันเกิดปฏิจจสมุปบาทได้โดยเท่ากัน
เอ้า, ต่อไปนี้ เราก็จะดูที่กระแสๆ ของมันที่ไหลไป อันที่หนึ่งก็มีอายตนะ อายตนะข้างในคือตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ข้างนอกคือรูป รส กลิ่นเสียง โผฐฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันนี้คือ อายตนะ ซึ่งมีอยู่ในร่างกาย อันที่ ๑ คือ อายตนะ
เมื่อใดอายตนะทำหน้าที่ ทำงาน เมื่อนั้นก็มีวิญญาณ วิณญาณ Conscious ครบทั้ง ๖ อายตนะ อายตนะมี ๖ วิญญาณก็มี ๖ มีวิญญาณมี Consciousness ที่ ๒
พอมีวิญญาณแล้วก็ต้องมีผัสสะ ผัสสะ อายตนะทำหน้าที่ให้เกิดวิญญาณ ทำงานร่วมกัน มีผัสสะเป็นสิ่งที่ ๓ สิ่งที่ ๓ เรียกว่า ผัสสะ
เมื่อมีผัสสะแล้วก็หลีกไม่ได้ที่จะมีเวทนา
มีเวทนาแล้วก็เกิดสิ่งที่ ๕ ตัณหาๆ
มีตัณหาแล้วช่วยไม่ได้มันต้องมีอุปาทาน มี มีอุปาทาน
มีอุปาทานแล้วช่วยไม่ได้ต้องมีภวะๆ
มันก็ต้องมีสิ่งที่ ๘ คือชาติ ภวะให้เกิดชาติ เกิดเป็นความหมายมั่นเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นกูเป็นตนเป็นฉันมีเป็นชาติ ๘ แล้ว
มันก็ต้องมีความทุกข์ ช่วยไม่ได้ มีชาติชนิดไหนก็ต้องมีทุกข์ตามแบบชาตินั้นๆ
เกิดจากท้องแม่เกิดจากท้องมารดายังไม่มีปัญหาจนกว่าเราจะมีการเกิดทางวิญญาณเกิดจากอุปาทานความโง่นี่จึงจะมีปัญหา ฉะนั้นความเกิดๆๆ ที่มีปัญหาคือ เกิดทางวิญญาณนี้
เอ้า, ขอให้ดูกันอีกทีว่ามันมีอายตนะๆ แล้วมันก็ให้เกิดวิญญาณ มีวิญญาณแล้วทำให้เกิดผัสสะ และเกิดเวทนาและเกิดตัณหา และก็เกิดอุปาทาน ก็เกิดภพ ก็เกิดชาติ ก็เกิดทุกข์ นี่ ๙ ๙ ๙ สิ่ง เรียกว่ามี ๙ อย่างหรือ ๙ สิ่ง มีชั้นแรกที่เราจะเห็นได้ง่าย ๆ ในใครๆ ก็พอจะมองเห็นได้ ๙ สิ่งก่อน ๙ อย่างก่อน ๙ อย่าง
แต่ในทางธรรมะน่ะ เรานับเอาชาติ Birth น่ะรวมกับทุกขะ ชาติกับทุกขะมารวมเป็นสิ่งเดียวกันเสีย แทนที่จะเป็น ๙ ก็เหลือ ๘ เพราะถ้ามีชาติก็มีทุกข์ มีทุกข์ก็เป็นชาติ เลยนับเป็นสิ่งเดียวกันเสีย มันก็เหลือ ๘ แยกออกไปเป็น ๙ แต่ถ้านับให้ดี นับอย่างธรรมะมันเหลือ ๘ เอาชาติกับทุกขะรวมกันเสียเป็นสิ่งเดียว เพราะชาติก็คือตัวความทุกข์นั่นเอง
ทีนี้เราได้พูดกันข้างต้นแล้วว่า มันมี ๑๒ เดี๋ยวนี้นับได้เพียง ๘ เท่านั้น จะ ๑๒ ขึ้นมาได้อย่างไร ก็คือคนอยากรู้ก็ถามเกินขอบเขตนอกขอบเขตออกไป คำถามย้อนกลับไปขั้นต้นว่า อายตนะมาจากอะไร ก็ตอบว่าอายตนะมาจากนามรูป Mind and body นามรูปมาจากอะไร มาจากวิญญาณธาตุที่เขาเอามาปรุงเป็นวิญญาณสำหรับประจำอายตนะเรียกว่าวิญญาณ วิญญาณมาจากอะไรมาจากสังขารอำนาจการปรุงแต่งของธรรมชาติ สังขารการปรุงแต่งตามธรรมชาติมาจากอะไร มาจากอวิชชา อวิชชา อวิชชาให้เกิดสังขาร อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูปนี้อีก ๔ อย่างจึงมีอายตนะ เอา ๔ อย่างบวกอีก ๘ คือ ๑๒ อย่าง ถอยกลับไปเป็นอายตนะมาจากนามรูป นามรูปมาจากวิญญาณ วิญญาณมาจากสังขาร สังขารมาจากอวิชชา ทีนี้สิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็นด้วย Common sense ไอ้ ๘ อันนี้เห็นง่ายๆ ตามธรรมดา ถ้าเพิ่มอีก ๔ อย่างนี้มันลึกลับ มันต้องศึกษา จึงมีเป็น ๑๒ อย่างเมื่อเราศึกษากันโดยละเอียด ทั้งอย่างที่มันลึกลับและที่มันเปิดเผย
มา เป็น มา เอาวิญญาณธาตุตามธรรมชาติ มาเป็นวิญญาณประจำอายตนะ (นาทีที่ ๑.๓๘.๓๙ ท่านพุทธทาสภิกขุพูดเสริมขณะที่ฝรั่งกำลังพูดแปล)
๔ อย่างข้างต้นเราไม่ต้องรู้ก็ได้เพราะมันต้องศึกษามาก แต่ว่า ๘ อย่างข้างปลาย ต้องรู้ เพราะมันเห็นได้ชัดเห็นได้ง่ายในชีวิตจริงๆ ๔ อย่างนั้นน่ะไม่รู้ก็ได้นะ มาตั้งแต่มีอายตนะและมีวิญญาณมีผัสสะมีเวทนาม ตัณหา นี่เป็นเรื่องจริงในชีวิตประจำวัน ๔ อย่างนั้นเป็นความลับของธรรมชาติ ต้องศึกษาจึงจะรู้ แต่อย่างไรก็ดี ถ้าจะรู้ให้หมดต้องนับว่ามันเป็น ๑๒ อย่าง
เอาล่ะไหนๆ เราจะพูดกันแล้วเราก็จะพูดให้หมด หมดตามที่มี มีสอนไว้ในหลักพระพุทธศาสนาว่ามี ๑๒ ขอให้ตั้งใจฟังอีกทีหนึ่งว่า ภาวะที่ปราศจากความรู้มันเป็นภาวะที่ปราศจากความรู้ แม้มันรู้ รู้ผิด รู้ผิดก็เรียกปราศจากความรู้ ภาวะที่ปราศจากความรู้นี้เรียกว่าอวิชชา อวิชชาก็ให้เกิดอำนาจความปรุงแต่งเพราะมันโง่ ถ้ามันไม่โง่มันไม่ปรุงแต่งไม่คิดปรุงแต่ง มันโง่ก็คิดปรุงแต่งเกิดอำนาจการปรุงแต่งคือสังขาร ว่าทีเดียวตลอดไหมหรือว่าทีละอย่าง
เสียงผู้ชายตอบ "ทีละอย่างง่ายกว่า"(นาทีที่ ๑.๔๔.๐๐ เสียงฝรั่งตอบ)
ภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ถูกต้องเรียกว่าอวิชชา มันทำให้เกิดอำนาจ อำนาจ Power อำนาจบ้าบออะไรของมันก็ตามใจที่มันจะปรุงแต่งจะปรุงแต่งมันไม่ยอมหยุด ไม่ยอมหยุด มันจะปรุงแต่งอวิชชาให้เกิดสังขาร
มันก็ไปเอาของที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติแท้ ๆ มาปรุงขึ้นมาใหม่ มาเป็นของที่ว่าจะมาผิดธรรมชาติ มันจึงไปเอาวิญญาณธาตุวิญญาณธาตุของตามธรรมชาติ วิญญาณที่เป็น Element มาเป็นวิญญาณที่จะทำหน้าที่ทางอายตนะ นี่สังขาร ทำให้เกิดวิญญาณ สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
พอได้วิญญาณใหม่วิญญาณปรุงแต่งชนิดนี้มา มันจึงสามารถมีสิ่งที่เรียกว่า นามะ รูปะ ใจกับกาย ไอ้วิญญาณ มันเป็นเหมือนกับคนขับ และมันก็ไม่มาทำสำหรับจะเป็นผู้ขับรถยนต์ซึ่งเป็นเหมือนกับรูป นามะเหมือนกับคนขับรถยนต์ ไอ้รูปะเหมือนกับตัวรถยนต์ มันต้องมีตัวคนขับมันจึงจะมีรถยนต์สมบูรณ์ได้ นี่ เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป
เมื่อมันมีนามะรูปะ Mind and body แล้วมันก็มีที่ตั้งของอายตนะ คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ คือระบบประสาทที่กาย แล้วก็ สำหรับจะส่งไปถึงใจเรียกว่าอายตนะมันมีที่ตั้งแล้ว ถ้าไม่มีนามรูปมันไม่มีที่ตั้งแห่งอายตนะ มันมีนามรูปมันจึงมีที่ตั้งแห่งอายตนะ ตอนนี้มันจะมีการไป การขับเคลื่อน นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีอายตนะ ๖
เพราะมันมีอายตนะในฐานะที่เป็น Sense organ หรือ Sense object ก็ตาม มันมีอายตนะ มันก็มีวิญญาณในชีวิตประจำวัน มี Consciousness ในชีวิตประจำวัน นี่ อายตนะนี่จะปรุงให้เกิดวิญญาณตามที่เราพูดกันมาแล้ว
ทีนี้ตามหลักธรรมะ ไอ้วิญญาณในชีวิตประจำวันชนิดนี้ เอามานับรวมไว้ในผัสสะ ไม่เอ่ยชื่อถึงวิญญาณชนิดนี้ เพราะเอามานับรวมไว้ในผัสสะจึงพูดว่าอายตนะให้เกิดผัสสะ อายตนะให้เกิดผัสสะ
ทีนี้ก็เห็นง่ายแล้ว ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทานให้เกิดภพให้เกิดชาติ ถ้ามันโง่ที่ผัสสะ มันโง่ที่ผัสสะแล้วมันโง่ตลอดสาย ถ้ามันฉลาดที่ผัสสะแล้วต่อไปนี้มันก็จะฉลาดตลอดสาย ถ้าโง่ก็มีทุกข์ ไม่ ไม่โง่คือฉลาดก็ไม่มีทุกข์ นี่คือกระแสปฏิจจสมุปบาทในชีวิตประจำวัน มีอยู่อย่างยิ่งมีอยู่จริง ๆ แต่คนมันไม่มองเห็น มันไม่สนใจจะดู ขอให้สนใจเป็นพิเศษจะแก้ปัญหาชีวิตได้โดยประการทั้งปวง
เมื่อท่านเห็นว่ามันมีอยู่ ๑๒ อย่างอย่างนี้แล้ว นี้ก็เห็นได้ง่ายเองเห็นได้เองว่า ไอ้ Link ที่มันต่อกันของสิ่ง ของสิ่งทั้ง ๑๒ มันจะมีเพียง ๑๑ สิ่งที่ ๑ ต่อกับสิ่งที่ ๒ สิ่งที่ ๒ ต่อกับสิ่งที่ ๓ สิ่งที่ ๓ ต่อกับสิ่งที่ ๔ Link link link มันจะมีเพียง ๑๑ ตัวธรรมะแท้ๆ มันมี ๑๒ แล้วมันก็ปรุงกันๆ มี Link link link อันนี้มันจะนับได้ ๑๑ Link และก็ ๑๒ สิ่ง
บางคนอาจจะรู้สึกว่าคำอธิบายขณะนี้เฟ้อหรือมากเกินไป ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น มันเฟ้อ อาตมาขอยืนยันว่าไม่เฟ้อ ไม่เฟ้อ จำเป็นจะต้องเห็นชัดอย่างนี้แหละเราจึงสามารถควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ นั่นคือควบคุมภวะๆ ได้ทุกชนิด จะควบคุมภวะทุกชนิดได้ ควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาททั้งกระแสได้ เราจึงรู้ๆ หมดทั้งกระแส ทั้ง Circle เป็น ๑๒ ส่วนนั้นมี ๑๑ Link
เป็นอันว่าท่านทั้งหลายได้มองเห็นแล้ว ชัดเจนแล้วว่า ภวะๆ ทั้ง ๓ ภวะ มันอยู่ที่ตอนไหนแห่งกระแสปฏิจจสมุปบาทในชีวิตประจำวัน ทีนี้ก็เหลืออยู่แต่เราจะมีความรู้ควบคุมมันไว้ได้อย่างไร ซึ่งเราจะพูดกันวันหลังเรื่องอานาปานสติ ว่าจะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทอย่างไร ภวะๆ จึงจะไม่เกิดขึ้นเป็นปัญหา เราจะอยู่เหนือสิ่งที่เรียกภวะ ๆ เป็น Emancipation สูงสุดของชีวิต นี่รู้แล้วว่าภวะมีอยู่ในกระแสปฏิจจสมุปบาทอย่างไร เหลืออยู่แต่ว่าเราจะศึกษาวิธีที่จะควบคุมมันอย่างไร แล้วเราจะพูดกันวันหลัง
ขอบอกกล่าวเป็นการล่วงหน้าไว้เสียด้วยเลยว่า ในที่อื่นหรือแห่งอื่น เขาสอนหรือเขาอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างอื่นเป็นอย่างอื่นไม่เหมือนกับที่เรากำลังพูดอยู่นี้ แล้วท่านก็เลือกเอาเองเลือกเอาเองว่าอันไหนมันจะดับทุกข์ได้ดับภพได้นั่นน่ะถูก ท่านเลือกเอาเอง เพราะที่อื่นเขาจะสอนปฏิจจสมุปบาทอย่างอื่นในพม่าก็ดีในลังกาก็ดี มีคำอธิบายอย่างอื่นในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท แล้วท่านก็ศึกษาดูเองว่าอันไหนอย่างไหนดับทุกข์ดับภพได้ ก็หมดปัญหา
ขอขอบคุณท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งในการเป็นผู้ฟังที่ดี สองชั่วโมงแล้ว ขอยุติการประชุม