แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนอื่นทั้งหมดก็ขอแสดงความยินดีอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้คือ แสวงหาความรู้ทางธรรมะเพื่อไปใช้ประกอบการดำเนินชีวิตของตน ของตน สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นมีความหมายมากมายเหลือเกิน แต่ในที่นี้เราจะเอาความหมายเฉพาะสั้นๆ อย่างหนึ่งว่า ถ้าผู้ใดไม่มีธรรมะในการดำเนินชีวิตแล้ว ชีวิตนั่นแหละจะกัดเจ้าของ จะกัดเจ้าของให้มีแต่ความทุกข์ทรมานตลอดไป เราจะศึกษาธรรมะในฐานะเป็น Law หรือเป็น Truth ของธรรมชาติ จะไม่ศึกษากันในฐานะที่เป็น Religion แต่เป็น Law เป็น Truth ของธรรมชาติ หรือแม้เราจะเรียกว่าในฐานะเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งก็ได้ แต่ไม่ใช่ทางวัตถุ เป็นทางจิตทางใจทาง Spiritual นั้นก็ได้ คือเป็นวิทยาศาสตร์หรือจะมองกันอีกทางหนึ่งก็ว่าเป็น Art เป็นศิลปะ เป็น Supreme Art คือว่าเราสามารถดำเนินชีวิตให้อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ปัญหานี่รวมหมด ความทุกข์อะไรก็เรียกว่าปัญหา สามารถดำเนินชีวิตให้อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ถ้ามองกันได้อย่างนี้มันก็เป็น Supreme Art นั่นแหละคือธรรมะ ชาวต่างประเทศมาประเทศไทย แล้วก็ซื้อหา Buddhist Art เอาไปบ้านมากมาย น่าหัว น่าหัวเราะอย่างยิ่ง เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ Art มันเป็นวัตถุ งานฝีมือ อย่างพระพุทธรูป อย่างอันนี้มันไม่ใช่ Buddhist Art Buddhist Art ก็คือวิธีที่จะทำให้ชีวิตนี้อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง เป็น Art ที่งดงามอย่างยิ่ง ทีนี้ก็จะพูดกันบ้างถึงเรื่องเวลา เวลาอย่างนี้เขาใช้นอนกัน แสวงหาความสุขจากการนอนในเวลาอย่างนี้ นี่ เดี๋ยวนี้เรามาใช้เวลาอย่างนี้เพื่อการศึกษา มีเหตุผลว่าเวลาอย่างนี้เหมาะที่สุดสำหรับจะศึกษาสิ่งที่ลึกซึ้ง เช่นธรรมะอย่างที่กล่าวแล้ว เวลาอย่างนี้เป็นเวลาแห่งการเบิกบานหรือตั้งต้นแห่งการเบิกบาน เช่น ดอกไม้ส่วนมากนี่ก็จะเริ่มบาน เริ่มบาน ดวงอาทิตย์ก็จะขึ้นมา มันเป็นเวลาแห่งการเบิกบาน เราจะใช้เวลาอย่างนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ ถ้าจะดูอีกทีหนึ่งก็ว่ามันเป็นโลกอีกแง่หนึ่ง อีกมุมหนึ่ง อีกชนิดหนึ่ง มันเป็นโลกสำหรับพร้อมที่จะเบิกบาน ถ้าเรานอนหลับเสีย เราก็ไม่ได้เห็นโลกในมุมนี้ในแง่นี้ ที่ว่าสำหรับจะเบิกบาน ฉะนั้นอย่าได้เสียดายเวลานอนหรือว่าลำบากอะไรทำนองนั้นเลย ใช้เวลาอย่างนี้หรือโลกที่กำลังเป็นอย่างนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และอีกอย่างหนึ่งที่ขอให้ถือว่าเป็นบทเรียน คือการเดินจาก Center มาสู่สถานที่นี้ ต้องการให้เดินมา เดินมา จะเรียกว่า morning walk หรืออะไรก็สุดแท้แต่จะเรียก แต่แท้จริงเป็นบทเรียน เป็นบทเรียนที่จะให้ท่านจะต้องฝึกการเดินมา เดินมา เป็นการเดินอย่างมีธรรมะสูงสุด คือเดินโดยไม่ต้องมีผู้เดิน นี่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา จะกระทำทุกๆ อย่างโดยไม่ต้องมีตัวกูผู้กระทำ ท่านจงหัดเดินชนิดที่ว่าไม่มีตัวผู้เดิน มีแต่การเคลื่อนไหวของอิริยาบทคือของร่างกายควบคุมอยู่โดยระบบประสาทหรือจิตใจ ไม่มีตัว Self หรือตัวตนหรือตัวกู นี่ขอให้ฝึกเดินอย่างที่ว่าไม่มีตัวผู้เดิน เป็นบทเรียนตั้งแต่ที่โน่นมาจนถึงที่นี่ ถือว่าเราทำบทเรียนหรือว่าเป็นโรงเรียน เข้าโรงเรียน เวลาเรียน เป็นเวลาเรียน เวลาทำบทเรียน ที่เดินจาก Center มาถึงที่นี่ เป็นเวลาเรียน เวลาเข้าโรงเรียน เวลาอยู่ในโรงเรียนหรือฝึกบทเรียน ทีนี้ท่านก็จะสามารถทำต่อไปถึงการกระทำทุกๆ อย่างโดยไม่ต้องมีตัวกูผู้กระทำ ท่านจะกินอาหารโดยไม่ต้องมีตัวกูผู้กิน และปัญหาเรื่องอาหารมันก็จะไม่มี จะทำอะไรก็ได้ ทำด้วยสติปัญญา สัมปชัญญะล้วนๆ โดยไม่ต้องมีความรู้สึกว่าตัวกูผู้กระทำ ก็จะหัดจะทำทุกอย่างโดยที่ว่าไม่มีตัวกูผู้กระทำ โดยหลักใหญ่ๆ เราก็ถือว่ามีอยู่ ๖ อย่าง คือว่า การเห็นหรือการดูนี่ก็ไม่มีตัวกูที่เป็นผู้ดู มีแต่ระบบประสาททำหน้าที่ การได้ยินเสียงนี่ก็เหมือนกันแหละ ไม่ต้องมีตัวกูเป็นผู้ได้ยิน มีระบบประสาททำหน้าที่ การได้กลิ่นทางจมูกนี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องมีตัวกูผู้ได้กลิ่น มีแต่ระบบประสาททำหน้าที่ การรู้รสทางลิ้นก็เหมือนกันแหละ ไม่ต้องมีตัวกูผู้รู้รสผู้ชิมรสผู้ได้รส มีแต่ระบบประสาททำหน้าที่ การสัมผัสทางผิวหนังรู้สึกทางผิวหนังทั่วๆไป Touch นี่ก็ไม่มีตัวกูผู้กระทำอย่างนั้น แม้ที่สุดแต่การคิด ก็คิดด้วยจิตที่ไม่ต้องเป็นตัวกู อย่าคิดด้วยจิตที่เป็นตัวกูมันจะมีปัญหา มันจะเป็นความทุกข์ เป็นความยุ่งยากตลอดเวลา เราก็ไม่มีตัวกูในการดู ในการฟัง ในการดม ในการลิ้มรส ในการสัมผัสทางผิวหนัง และการคิดด้วยจิตใจ ทั้งหมดนี้คือคำสอนของพุทธศาสนาที่รวบรวมเป็นคำสั้นๆ คำเดียวว่า อนัตตา อนัตตา Not self ซึ่งไม่เหมือนกับศาสนาไหนหมด เรียก อนัตตา นี่ ท่านจงพยายามเข้าใจ อนัตตา ไม่มีตัวกูนี่แหละท่านจะรู้จักหรือเข้าใจหรือ เอ่อ, เห็นแจ้งพุทธศาสนาทั้งหมด ทั้งหมด ทั้งหมดของพุทธศาสนา บางคนหรือคนส่วนมากก็ได้ จะคิดว่าเป็นเรื่องบ้าเป็นเรื่องโง่หรือทำให้มันโง่ในการที่จะไม่มีอัตตาหรือ Self เพราะเขาต้องการจะมีอัตตาที่ดี อัตตาที่ ที่วิเศษ อัตตาที่ อย่างยิ่ง เรากลับมาบอกว่าไม่มีอัตตา เพราะว่าความรู้เรื่องทำไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าอัตตานั่นแหละสำคัญที่สุดคือจะไม่เกิดความทุกข์ใดๆ ขึ้นมาในชีวิตนี้ ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของ มีอัตตา อัตตา เป็น Concept ขึ้นมาเมื่อไรมันกัดเจ้าของเมื่อนั้น การไม่มีอัตตานี่เป็นชีวิตที่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์ ความทุกข์ ความทุกข์หรือ หรืออาการที่เรียกว่า Tormenting, Tormenting ทรมานทั้งหลาย มันมาจากการที่จิตมี Concept คือยึดถือว่า Self ว่า Self ว่าอัตตา มันเป็น Attachment ในทางจิต ในทาง Spiritual มันก็เหมือนกับว่าถือของหนัก มือนี่ถ้าไม่ถือของหนักก็ไม่ ไม่ลำบากที่มือ แต่ถ้ามือถือของหนักใดๆ มันก็มีความทุกข์ขึ้นมาเพราะของหนัก ทีนี้จิตไปถือของหนักหรือ Self หรืออัตตามันก็เลยเป็นทุกข์เพราะการถือของหนัก เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ว่าตัวตนว่าตัวกู ความเป็นทุกข์เพราะถือของหนักนี้มันมีทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ท่านอย่าไปคิดว่าในแง่บวกจะไม่เป็นของหนัก แง่ Positive ก็เป็นของหนัก ถ้าแบบ Negative มันตรงกันข้าม และบางทีที่เป็น Positive หลอกให้ยึดให้ถือมากกว่าไอ้พวก Negative เสียอีก เดี๋ยวนี้เรามันชอบ Positive โดยไม่รู้ว่าไอ้นั่นแหละยิ่งเป็นของหนักกว่า ฉะนั้นขอให้มองดูให้ดีว่ามันเป็นของหนักทั้งนั้น จะ Positive หรือ Negative แล้วไอ้ Positive หลอกเราให้ยึดถือมากกว่า ความทุกข์ทรมานมาจากความหลงรักในสิ่งที่เราถือว่าเป็นบวกนี่มากที่สุด ท่านจะต้องมองให้เห็นว่าไอ้สิ่งที่หนักที่สุด หนักๆ ที่สุดคือสิ่งใด มันก็คือ Attachment หรือ Concept ว่า Self นั่นเอง มันมี self ที่ไหนมันก็มีความหนักที่นั่นและก็หนักกว่าสิ่งใด Self เป็นสิ่งที่หนักกว่าสิ่งใด และเลวกว่านั้นอีกคือมี Self เป็น Concept และมันก็มี Selfishness , Selfish ตามมาก็ยิ่งหนัก หนักก็หนักไปถึงคนอื่น หนักไปถึงผู้อื่น เพราะมันจะเบียดเบียนผู้อื่น มันเลยหนักกันไปทั้งโลก เพราะว่ามันมีความยึดถือว่าตนว่า Self และมี Selfish แล้วก็มีแต่การต่อสู้แข่งขันแย่งชิงกันทั้งโลกเลย ขอให้สังเกตดูจนเห็นว่าเวลานี้ Selfishness ความเห็นแก่ตัว หรือ Selfishness นี่กำลังครองโลก ครองโลกทั้งหมด Universe ไปเสียเลย Selfishness กำลังครองโลก แล้วก็บังคับให้เป็นไปตามไอ้ความเห็นแก่ตัวนั้น เราจึงมีปัญหา ปัญหา ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางการเมือง ปัญหาทางอุตสาหกรรม ทุกๆ อย่าง ทุกปัญหา Crisis ทุกชนิดทุกอย่างมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่อยากจะเห็นแก่ตัว เราต้องตัดไอ้ความโง่ว่า Self ว่าตัวตนนั้นออกเสีย เรื่องที่เราจะต้องศึกษาเป็นอย่างนี้ เพื่อจะเข้าใจได้ง่ายๆ เราลองนึกย้อนไปหมื่นปีแสนปีไปถึงสมัยคนป่า เมื่อเขายังไม่นุ่งผ้ากันยังเป็นคนป่า ความเห็นแก่ตัวมีน้อยมาก เพราะมัน มัน เพราะมันต้องการอะไรน้อย มันไม่มีอะไรต้องการ พอคนป่าเจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมา ไอ้ความเห็นแก่ตัวก็มากขึ้น มากขึ้นตามความเจริญของวัตถุ จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ความเจริญทางวัตถุมีมาก ความเห็นแก่ตัวมันก็มีเต็มที่ เต็มที่ เต็มไปหมด ปัญหามันอยู่ที่ว่ายิ่งมีความเห็นแก่ตัวก็ยิ่งต้องมีการกระทำที่เบียดเบียนตัวเองด้วย เบียดเบียนผู้อื่นด้วย น่าหัวที่ว่าเห็นแก่ตัว มันกลับเบียดเบียนตัวเองก่อน แล้วเบียดเบียนผู้อื่นด้วย เดี๋ยวนี้เรามีแต่ความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก กำลังครองโลก เดี๋ยวนี้เราเจริญมากด้วยการศึกษา การศึกษาเจริญมาก ท่านทั้งหลายก็เห็นก็รู้ก็พูดกันอยู่ว่าเจริญด้วยการศึกษามากที่สุด แต่แล้วการศึกษาของเราเวลานี้ไม่กำจัดความเห็นแก่ตัว กลับไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัวให้ลึกซึ้ง ให้ละเอียดให้ลึกซึ้ง ให้ยุ่งยากให้ลึกซึ้ง ฉะนั้นความเห็นแก่ตัวก็ทำให้โลกนี้ไม่มีสันติภาพ ไม่มีสันติภาพ เดี๋ยวนี้เรามีความเจริญทางวัตถุ มี มี มีจนเหลือที่จะกล่าว เรามีไฟฟ้า เรามีอิเล็กทรอนิกส์ เรามีเรือบิน เรามีรถยนต์ เรามีคอมพิวเตอร์ มีอะไรทุกอย่าง แต่ทำไมสันติภาพกลับไม่มี ทำไมสันติภาพกลับไม่มี กลับมีแต่ Crisis เพิ่มมากยิ่งขึ้น พวกคนป่าไม่มีแม้แต่ผ้าจะนุ่ง เขาไม่ต้องมีผ้านุ่งด้วยซ้ำไป เขาไม่มีปัญหาอย่างที่ว่ามนุษย์ปัจจุบันนี้มี นั้นน่ะ เรามีแต่ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ ตามการศึกษา เราจะต้องหาทางแก้ปัญหาข้อนี้ว่า มัน มันมาจากอะไร กำจัดความเห็นแก่ตัวเสียให้ได้ จึงจะมีสันติภาพ เดี๋ยวนี้ยิ่งไม่มีสันติภาพ ยิ่งไม่มีสันติภาพ ขอให้มองดูข้อนี้ สิ่งที่น่าขันและน่าหัวเราะแล้วก็น่าสงสารที่สุดด้วย ก็คือเราพูดว่าเรา โลกนี่มันมี Evolution, Evolution แต่มันเป็น Evolution ของ Selfishness, Evolution ของความเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่ Evolution ของสันติภาพ ขอให้ท่านมองเห็นข้อนี้ เข้าใจให้ดีเถอะว่า เราไม่มีวิวัฒนาการของสันติภาพ มีแต่วิวัฒนาการของความเห็นแก่ตัว โลกนี้มันก็มีวิกฤตการณ์มากขึ้นๆ จนมีปัญหาที่ไม่ ไม่ควรจะมี ไม่มี จนมีปัญหาที่ไม่ควรจะมี คนป่าสมัยโน้นมันไม่มีผ้านุ่ง แต่แล้วเขาก็ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเรื่องยาเสพติด ไม่มีปัญหาเรื่องมลภาวะ ไม่มีปัญหาเรื่องโรคเอดส์ โรคอะไรทุกๆ อย่างที่กำลังมีอยู่ในเวลานี้ คนป่าไม่มีปัญหาเหล่านั้น นั่นน่ะ น่าหัวด้วย น่าสงสารด้วยว่าเราเจริญด้วยอะไร เราเจริญด้วยวิกฤตการณ์มาจากความเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญทางวัตถุยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งมีวิกฤตการณ์ เดี๋ยวนี้เราเต็มไปด้วยปัญหาและความหวาดกลัว เพราะมีตัวที่เห็นแก่ ตัว ทำไมเราไม่คิดดูบ้างว่า เราเป็นกันอยู่อย่างนี้แล้วคนป่าจะหัวเราะหรือไม่หัวเราะ คนป่าไม่มีปัญหาเรื่องยาเสพติด เรื่อง Pollution เรื่องเหล่านี้ แต่เรากำลังมี เรากำลังมีมากขึ้นนี่ คนป่าเหล่านั้นก็จะหัวเราะเยาะเรา เราควรจะคิดถึงความผิดพลาดข้อนี้ที่ว่าเราได้ทำผิดพลาด เจริญไปแต่ในทางที่จะมีปัญหายุ่งยากเต็มไปหมด มีการฆ่า ฆ่าผู้อื่นตายมากขึ้น ฆ่าตัวเองตายก็มากขึ้น ทำแท้งก็มากขึ้น ต้องมีปัญหาเรื่องคุกเรื่องตาราง เรื่องเรือนจำ เรื่องศาล เรื่องตำรวจ เรื่องโรงพยาบาลบ้า คิดดูเหล่านี้ ต้องมีคุกมีตารางต้องมีตำรวจต้องมีศาลต้องมีโรงพยาบาลบ้า ซึ่งคนป่าเหล่านั้นไม่รู้จัก นี่เราควรจะละอายเขามั้ย ถ้าเขามาเห็นแล้วเขาจะหัวเราะเยาะสักเท่าไร ถ้าเราไม่มีปัญหาเหล่านี้ทั้งหมด เราจึงจะพูดได้ว่าเราดีกว่าคนป่า เราดีกว่าคนป่า เดี๋ยวนี้เรากำลังเต็มไปด้วยปัญหา ปัญหามากกว่าคนป่า ให้คนป่าเขาหัวเราะเยาะ ข้อนี้มันมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็มาจากความรู้สึกว่ามีตัว เราจะต้องจัดการกับความรู้สึกว่ามีตัว มีตัวนี้เสียให้ถูกต้อง จึงมีคำสอนเรื่อง อนัตตา มีชีวิตชนิดที่ไม่ต้องมีตัวกู มีชีวิตชนิดที่มีสติปัญญาไม่ต้องมีตัวกู นี่ความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ต้องการจะแก้ปัญหาเรื่องมีตัวกู และมีความเห็นแก่ตัว และก็เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ เพราะคนป่าเขาไม่มีปัญหาเหล่านี้ เรายิ่งเจริญยิ่งมีปัญหาเหล่านี้ จึงมีตัวตน มีเห็นแก่ตน แล้วก็มีวิกฤตการณ์ คนไทยมี มี Phrase มีคำกล่าวสั้นๆ มี Phrase ว่า ผีหัวเราะ ผีหัวเราะ คนฝรั่งจะมีหรือไม่ก็ไม่ทราบ ก็ลองคิดดู หมายความว่ามันมีผีคอยหัวเราะความโง่ของมนุษย์อยู่ทุกหนทุกแห่งในที่ทั่วไป เรียกว่าผีก็ได้ เรียกว่าเทวดาก็ได้ แต่เขาใช้คำว่าผี ผีมันคอยหัวเราะความโง่ของคน คือทำอะไรผิดๆ จนเกิดความทุกข์แก่ตนเองอย่างนี้ ผีคอยหัวเราะ เช่นเดียวกับที่ว่าคนป่า เขา เขามาอยู่เดี๋ยวนี้เขาก็หัวเราะความเจริญของเรา แต่คนป่ามันพ้นไปแล้ว เดี๋ยวนี้ผีมันยังมีอยู่คอยหัวเราะความโง่ของคุณที่ทำผิด ทำผิด ทำผิด จนเต็มไปด้วยปัญหาหรือวิกฤตการณ์ในโลก ผีหัวเราะ หัวเราะความโง่ของคุณ ถ้าเราละอายหรือกลัว ถ้าเราละอายหรือกลัวผีหัวเราะกันซะบ้าง เราก็จะทำอะไรผิดๆ น้อยลงกว่านี้ เราจะทำสิ่งที่ผิดหรือความผิดน้อยลงกว่านี้ เราจะมีสันติภาพมากกว่านี้ ต่อไปนี้เราก็จะพูดกันถึงเรื่องที่ให้เกิดตัวตน เกิดความรู้สึกว่า Self หรือตัวตน และก็เห็นแก่ตนกันให้ชัดเจนเจาะจงลงไป คือจะพูดเรื่อง ภพ ภวะ หรือ ภพ หรือความมีอยู่แห่งตัวตน ซึ่งเป็นคำที่เข้าใจยาก แต่ก็อาจจะเข้าใจได้ แล้วก็มีผู้ขอร้องให้พูดเรื่องนี้ คือเรื่อง ภพ ความมีอยู่แห่งตัวตน คือความมีอยู่แห่งตัวตน คำนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษยากหน่อย เขาแปลกันว่า Existence ขอทำความเข้าใจว่า Existence นี่มันมีความหมายขยายออกไปกว้างกว่านั้นว่า มันต้องมี Become , To Become become แล้วจึงมี Exist เมื่อมี Existing แล้วมันจึงมี State of being มันมี Becoming ก่อน แล้วก็มี Existing แล้วมันก็จะมี State of being of life สามคำนี้รวมกันแล้วเรียกว่า ภวะ ภวะ เป็นที่ตั้งให้เกิด Concept ว่าอัตตา ว่าตัวตน ว่าของตน เป็นเรื่องที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง เราจะพูดกันต่อไป เราไม่ได้หมายความถึงการเป็นอยู่ทางวัตถุ ทางร่างกายทางวัตถุล้วนๆ แต่เราหมายถึงความเป็นอยู่มีอยู่ทางจิต ทางวิญญาณ เราอาจจะเรียกว่า Spiriturl Abode , abode abode ที่อยู่หรือความเป็นอยู่นี่ จะมองเห็นได้ง่าย ความมีอยู่ ความเป็นอยู่ หรือที่สำหรับอยู่สำหรับสิ่งที่เราเรียกว่า Self จะเรียกว่า ภวะ หรือ ภพ เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็น Concept ที่หลอกลวง แต่มันก็มี มีปัญหามาก มีปัญหาที่จะทำให้เกิดปัญหามาก ควรจะรู้จักไว้ ภวะ ภวะนี่คืออะไร มันมี Becoming แล้วก็มี Existing แล้วก็มี State of being นั่นแหละ ตัวนั้นแหละ ตัวภวะ ตามหลักของพุทธศาสนาหรืออาจจะก่อนพุทธศาสนาก็ตามใจ ก็แบ่ง ภวะ ภวะคำนี้ไว้เป็นสาม ๓ อย่าง คือ อยู่กับกาม อยู่กับกาม Sexuality sex sexuality อยู่กับกาม แล้วก็อยู่กับรูป รูปหรือ Form บริสุทธิ์ Form ล้วนๆ แล้วก็อยู่กับสิ่งที่ไม่มี Form หรือ Formless มัน มันฟังยากมันเข้าใจยากหน่อย แต่ขอให้ทน ทนศึกษาก็จะมีประโยชน์ที่สุด ถ้าเรารู้เรื่องภพทั้งสามนี้ ภพทั้งสามนี้ กาม แล้วก็รูป รูปล้วนๆ แล้วก็ไม่มีรูป นี่เรียกสามอย่างนี้ เป็นที่ตั้งหรือเป็นความหมายของสิ่งที่เรียกว่า ภพ เพื่อประหยัดเวลา ประหยัดเวลา พอที่จะทำความเข้าใจกันได้ ก็ยกตัวอย่างดีกว่า แม่บ้าน Home wife คนหนึ่งชั่วโมงนี้ ชั่วโมงนี้เขายุ่งอยู่กับ Partner สามีของเขาด้วยเรื่อง Sex ชั่วโมงนี้แล้วก็มีลักษณะอย่างหนึ่ง พอชั่วโมงต่อมาก็มายุ่งอยู่กับลูกน้อยๆ ลูกน้อยๆไม่เกี่ยวกับ Sex หรือว่าเงินทองเพชรพลอยอะไรที่เขามีทรัพย์สมบัติอยู่นี่ เขามาสนใจหรือยุ่งอยู่กับเรื่องเหล่านี้ ไม่เกี่ยวกับ Sex นี่ก็เรียกว่า รูป รูปล้วนๆ Form หรือรูปธรรมล้วนๆ และต่อมาอีกชั่วโมงหนึ่งเขาไม่สนใจในสองอย่างนี้ เขาไปสนใจในเรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องความดีความชั่ว เรื่องเขาทำความดีไว้สำหรับจะไปสวรรค์นิพพาน เป็นเรื่อง Formless มันจึงมีเรื่อง Sex ก็ชนิดหนึ่ง แล้วมันเรื่อง Form Form Formich อีกเรื่องหนึ่ง และมี Formless อีกเรื่องหนึ่ง ขอพยายามทำความเข้าใจสิ่งทั้งสามนี้เถอะ แล้วท่านจะเข้าใจเรื่องสิ่งที่เรียกว่าภพ ภพ อย่างถูกต้องและสิ้นเชิง กามภพ รูปภพ อรูปภพ อันหนึ่งกาม อันหนึ่งรูปธรรมล้วนๆ อันหนึ่งไม่มีรูปเลย ท่านจงมองให้เห็นว่าด้วยร่างกายนี้ ด้วยร่างกายเดี๋ยวนี้ ร่างกายอันนี้และก็ที่นี่ และก็ในโลกนี้ ที่นี่ เรายังมีภพ ภวะได้ถึงสามภพ แต่ถ้าเป็นคำสอนที่มันเป็นOrthodox หรือเป็น Traditional เป็นที่ว่ามันค่อนข้างจะ ไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่ถูกต้อง ไม่ใช่พุทธศาสนา เขาเอาไปไว้ที่อื่น กามภพเอาไปไว้ที่โลกอื่น โลกอื่นที่มีกาม รูปภพเอาไปไว้ที่โลกอื่นเป็นพรหมโลก พรหมโลกอย่างมีรูป และก็อรูปภพไปไว้ที่โลกอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ พรหมที่ไม่มีรูป ถ้าถืออย่างนั้นมันก็มีความหมายอย่างนั้น และก็สอนกันอยู่ก่อนด้วย สอนกันอย่างนั้นมาแต่ก่อนด้วย พอมาถึงพุทธศาสนานี่ต้องการสอนว่าให้มันมีความหมาย เอาที่ความหมาย แม้อยู่ที่นี่ ร่างกายนี้ โลกนี้แหละ ไม่ต้องตายแล้วไปหละ ก็มีทั้งสามภพ ถ้าสอนอย่างที่เป็นไอ้ Traditional ที่เขาสืบๆกันมา มันต้องตายแล้วไป ต้องตายแล้วไป ต้องตายแล้วไป แล้วก็ต้องอยู่ที่อื่น มันจะแก้ปํญหาอะไรได้เพราะมันอยู่ที่อื่น เดี๋ยวนี้มันอยู่ที่นี่ แม้ในวันเดียวนี่ก็มีได้ทั้งสามภพ หรือบางทีเก่งมากๆ ชั่วโมงเดียวก็มีได้ทั้งสามภพ รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ภพ หรือ Existence ของจิตโดยเฉพาะนี่กันให้ถูกต้อง เราวนอยู่ในสามภพ วนอยู่ในสามภพ ด้วยกันทุกคนก็ว่าได้ ที่นี่ ร่างกายนี้ เดี๋ยวนี้ ที่มันน่าหัวอย่างยิ่งอีกก็คือ คำกล่าวที่เขาพวกนั้น กล่าวไว้ว่า ในกามภพหรือกามโลกมีอายุสักร้อยปี ร้อยปี ภพหนึ่ง ในพรหมโลก รูปภพ รูปภพชนิดที่เป็นพรหมโลกอายุหมื่นๆ ปี และถ้ายิ่งเป็นอรูปโลก อรูปพรหมอายุแสนๆ ปี หมายความว่า ต้องหมื่นปีแสนปีจึงจะเปลี่ยนภพได้สักทีหนึ่ง แล้วก็จะทำ จะมีประโยชน์อะไร มันเปลี่ยนไม่ได้ และก็ควบคุมไม่ได้ มันกินเวลาเป็นหมื่นปีแสนปี เดี๋ยวนี้ในทางธรรมะในทางพุทธศาสนา ภพนี่มันเปลี่ยนได้ แม้ห้านาทีก็เปลี่ยนได้ ในชั่วโมงหนึ่งอาจจะมีหลายๆ ภพก็ได้ แต่มันมีปัญหาแก่เรา ภพทุกภพมีความทุกข์ตามแบบของตนของตน กามภพก็ให้ปัญหาไปอย่าง รูปภพก็ให้ปัญหาไปอย่าง อรูปภพก็ให้ปัญหาไปอย่าง เช่นเดียวกับแม่บ้านคนนั้น ชั่วโมงนี้เขาอยู่ เขายุ่งกับเรื่องสามี ชั่วโมงนี้เขายุ่งกับเรื่องลูกเรื่องทรัพย์สมบัติ ชั่วโมงนี้เขายุ่งกับเรื่องบุญเรื่องกุศล มันกินเวลาไม่กี่นาที มันเปลี่ยนภพได้อย่างนี้ ถ้าเราควบคุมไอ้ความรู้สึกอันนี้ไม่ได้ มันเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยเครื่องทรมานให้เรามีปัญหา มีความทุกข์ มีความยุ่งยากลำบาก เราจะต้องควบคุมมันให้ได้ ทีนี้เราก็จะมาดูกันว่า ภพ ภพแต่ละอย่างๆ ทำให้เกิดปัญหาหรือความทุกข์อย่างไร เมื่อแม่บ้านคนนี้เขามีปัญหา เขากำลังมีการกระทำเกี่ยวกับทางกาม เกี่ยวกับเรื่องกาม เรื่องสามี เรื่องอะไรนี่ เขาก็มีปัญหาอย่างหนึ่งที่เขาจะต้องต่อสู้หรือทำให้มัน ตามที่เขาต้องการ แล้วเมื่อเขามาสนใจเกี่ยวกับลูก เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติกับเพชร พลอย เงินทอง แก้วแหวน สมบัติเหล่านี้เขาก็มีปัญหาอย่างหนึ่ง หนักอกหนักใจ แม้เขาจะมาสนใจเรื่องความดี เกียรติยศ ชื่อเสียง บุญกุศลที่มันเป็น Formless มันก็มีปัญหาอย่างหนึ่ง มันมีปัญหาด้วยกันทั้งสามภพ ภพทุกๆ ภพก็ต้องเป็นทุกข์ ก็มีภพ แล้วก็มีชาติ มี ชา-ติ มี ชา-ติ แล้วก็ต้องมีทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ทีนี้เราจะอยู่เหนือปัญหาทั้งทาง นี่ ทั้งทางกาม ทั้งทางรูป ทั้งทางอรูปได้อย่างไร นี่ ยกปัญหาเรื่องแม่บ้านนั้นน่ะเป็นบทเรียนว่า เขาจะไม่มีความทุกข์เกี่ยวกับทาง Sex อย่างไร เกี่ยวกับทางทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองอย่างไร เกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียงบุญกุศลอย่างไร ท่านรู้เรื่องนี้และก็อยู่เหนือปัญหาของภพทั้งสาม หมดภพ หมดภพ สิ้นภพก็คือหมดทุกข์หมดปัญหา ขอให้ทำความเข้าใจสามภพนี่แหละให้ดีๆ เลย ทีนี้มันไม่เป็นปัญหาแต่ฝ่ายแม่บ้านอย่างเดียวหรอก ถึงฝ่ายพ่อบ้านแหละ House husband นี้ก็เหมือนกันมีปัญหาอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นพ่อบ้านกับแม่บ้านต้องเป็นเพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ถูกต้อง เพื่อนอย่างยิ่งด้วยกันในการที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้อยู่เหนือภพ ให้อยู่เหนือภพ เหนือปัญหาแห่งภพทั้งปวง เพราะฉะนั้นขอให้เราศึกษาไอ้เรื่องภพทั้งสามนี่ให้ละเอียดต่อไปอีกหน่อย อยากจะพูดเลยไปถึงคำว่าสมรส สมรสหรือแต่งงานนี่ มันก็ควรจะเป็นการร่วมมือกัน เอ่อ,ระหว่างทั้งฝ่ายพ่อบ้านและแม่บ้าน แก้ปัญหาเรื่องภพทั้งสามนี้ให้หมดไป ไม่ใช่มาเพิ่มปัญหาเรื่อง Sex ภพของ Sex ให้มากขึ้นเหมือนอย่างที่เป็นกันอยู่โดยมาก จนเป็นบ้าไปเลย ทั้งฝ่ายสามีและฝ่ายภรรยาก็ต้องมีความรู้สามารถเพียงพอที่จะขจัดปัญหาออกไปเสียทั้งสามชนิด อยากจะใช้คำย่อๆว่า Sexual existence และอยากจะใช้คำว่า Formich แม้จะไม่มีใน Vocabulary ในโลกนี้ ขอตั้งคำใหม่ว่า Formich Existence และก็ Formless Existence เพื่อจำง่ายๆ ปัญหามาจาก Sex มาจาก Form มาจาก Formless ขอให้ศึกษาให้ดีๆ เถอะ ถ้าอย่างนี้แล้วก็หมดปัญหา แต่ว่าไอ้สองอย่างข้างปลายนั้นยังไกลลึก ไม่ค่อยมีใครสนใจ ไม่ค่อยมีใครอยากศึกษาด้วยซ้ำไป แม้แต่อย่างแรกอย่างต้นอย่าง Sexual นี้ยังเอาชนะไม่ได้ นี่ชีวิตนี้มันเป็นทุกข์กัดเจ้าของเรื่อยไป ขอให้สนใจเรื่องภพทั้งสามนี้ดีๆ ขอให้เป็นว่าไอ้การสมรส การสมรสนี่มีเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาหรือควบคุมปัญหา อย่าให้มีเพื่อการเพิ่มปัญหา ในโลกของคนโง่การสมรสมันกลายเป็นมีเพื่อเพิ่มปัญหา เพิ่มปัญหาจนเป็นบ้าไปเลย ในโลกของคนฉลาดการสมรสต้องมีเพื่อช่วยกัน ช่วยกันสองแรงแก้ปัญหา และก็อยู่เหนือปัญหา ดังนั้นจะต้องรู้เรื่องของสิ่งที่เรียกว่า ภพ ภวะ นี้ให้ดีๆ ทีนี้เราจะต้องผ่านบทเรียนสามภพนี่ ทั้งภพทั้งสามจะเป็นบทเรียนให้เราเรียนและสอบไล่ได้ แล้วเราจะผ่านไปยังพระนิพพานได้ ไปยังจุดหมายปลายทางอันสูงสุดนั้นได้ ซึ่งเราเรียกว่า นิพพาน แม้จะถือศาสนาอื่น เช่น คริสเตียน เราจะไปอยู่กับพระเป็นเจ้าได้ เราก็ต้องผ่านปัญหาเรื่องภพทั้งสามนี้ได้ จะไปอยู่กับสิ่งสูงสุดจุดหมายปลายทางได้ ต้องผ่านบทเรียนทั้งสามนี้ไป ฉะนั้นขอให้ศึกษาภพทั้งสามในฐานะเป็นบทเรียนที่เราจะต้องเรียนได้ สอบไล่ได้ แล้วเราก็ผ่านไป ไปหาจุดที่สูงสุด เรามีภพที่จะต้องจัดการกับมันอย่างนี้ ภพทั้งสามนั้น ภพทีแรกเรียกว่ากามภพ กามภพ ช่วยออกเสียงให้ถูกต้องว่า กา มะ ภพ ถ้า คามภพ(นาทีที่ ๑.๓๖.๒๕ ) แล้วมันความหมายอย่างอื่น คำอื่น ความหมายอย่างอื่น ต้อง กาม กามภพ ภพคือกาม มันเป็นบทเรียนแรกที่มันต้องผ่าน เพราะว่าธรรมชาติมันใส่มาให้เป็นบทเรียนแรก ธรรมชาติมันจัด บทเรียนแรก เพราะว่าธรรมชาติต้องการไม่ให้สูญพันธุ์ ไม่ต้องการให้สูญพันธุ์ ต้องการให้มีการสืบพันธุ์ แต่ว่าการสืบพันธุ์ไม่ใช่ของสนุก ลำบาก เจ็บปวด ยุ่งยาก ทีนี้ธรรมชาติมันฉลาด มันก็ใส่กาม กามภพ กามให้เป็นค่าจ้าง เป็นเหยื่อล่อ เป็นของลวงให้คนทนลำบาก ทนลำบาก ทนลำบากเพื่อการสืบพันธุ์ นี่ ธรรมชาติมันฉลาดจ้างหรือหลอกให้คนทำการสืบพันธุ์ โดยเอาสิ่งที่เรียกว่า กาม นี้ใส่มาให้เป็นพื้นฐานของชีวิตเลย ชีวิต มันจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่ากามหรือว่าปัจจัยแห่งกามหรือที่มาแห่งกามเป็นของประจำชีวิต ข้อนี้มีความจริงที่เห็นได้เอง นักจิตวิทยาสมัยปัจจุบัน นักจิตวิทยาสูงสุด เช่น ซิกมันด์ ฟรอยด์ อย่างนี้ ก็ยังถือว่า กามนี่มีตั้งแต่แรกจุดตั้งต้น ทารกที่เกิดใหม่ๆ ยังไม่มีรู้เรื่องเพศ มันก็ยังมีไอ้ความรู้สึกทางเพศที่ติดมาเสร็จ ขอยกตัวอย่างเช่นว่า ทารกจะรู้สึกสบายแม้แต่ถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะนั่นน่ะ มันมีความรู้สึกซึ่งเป็นความหมายทางเพศ รู้สึกอร่อย รู้สึกสบายเมื่อมีก้อนอุจจาระผ่านไปหรือปัสสาวะผ่านไป นี่เรียกว่ากามมันมีมาเสร็จ มีมาในชีวิต จนกระทั่งว่าพอมีอายุมากพอเป็นเรื่องทางเพศขึ้นมามันก็เต็มที่ ก็เต็มที่ของเรื่องทางเพศ มันเป็นปัญหายุ่งยาก มันเป็นปัญหาตลอดชีวิต ฉะนั้นเราจะต้องรู้จักและจะต้องควบคุมมันให้ได้ อย่าให้ตกเป็นทาสของกาม อย่าตกเป็นทาสของกาม และก็เป็นไปได้มีความมุ่งหมายไปสูงกว่านั้นคือเพื่อการสืบพันธุ์ ไม่ใช่เพื่อกาม กามกับการสืบพันธุ์น่ะคนละเรื่องคนละอย่าง ในเรื่องกามนี่มันเป็นสิ่งที่หลอกลวงที่สุด สกปรกที่สุด น่าเกลียดที่สุด เป็นความบ้าวูบเดียว บ้าวูบเดียว แต่ก็ยังหลอกให้คนพอใจในกาม หลงใหลในกาม รับค่าจ้างธรรมชาติ เพื่อมีการสืบพันธุ์ สืบพันธุ์ สืบพันธุ์ กามกับการสืบพันธุ์ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ว่ากามเป็นค่าจ้างให้สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย คนก็ดี สัตว์ก็ดี มันทำการสืบพันธุ์ มันเป็นปัญหาที่ขวางหน้าอยู่ จะฉลาดพอหรือไม่ จะรับจ้าง เป็นลูกจ้างสืบพันธุ์หรือไม่ ต้องมีจิตใจสูงชนิดที่ว่าไม่ต้องหลงกาม ไม่ต้องหลงกาม ไม่ต้องกินค่าจ้าง ไม่ต้องถูกหลอก ก็มีการสืบพันธุ์ได้โดยบริสุทธิ์ นี่มันเลื่อนสูงขึ้นไปกว่ากาม มันจะเข้าไปสู่ขั้นรูปก็ได้ ถ้าผัวเมียคู่นี้เขาไม่หลงใหลเรื่องกาม เขาต้องการจะสืบพันธุ์ล้วนๆ มันก็เลื่อนไปหาขั้นรูปภพ จงทำบทเรียนบทแรกให้ผ่านไปได้ ให้สอบไล่ไปได้ คือบทเรียนเรื่องกามภพ กามภพ Sexual Existence นี่ผ่านไปให้ดีที่สุด เมื่อผ่านการสมรสไปแล้ว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนแล้ว ภาระทางทรัพย์สมบัติทางวัตถุสิ่งของก็เกิดขึ้นมา มันก็ค่อยๆ ค่อยๆ ลดความสนใจทางกามลงไป เพราะว่าไอ้ทางรูป ทางรูปภพเข้าแทรกแซงเข้ามาตามที่อายุมันมากขึ้นๆ ครั้นแก่เฒ่าเป็นคนแก่ เป็นคนแก่เข้า ก็คิดนึกเรื่องความตาย เรื่องหลังความตาย เรื่องโลกหน้า เรื่องอะไรต่อไปอีก ความรู้สึกในทางอรูปภพมันก็แทรกแซงเข้ามา ลดความรู้สึกทางกามหรือทางรูป กลายเป็นว่ามีครบทั้งสามอย่างในชีวิตของเรา เราต้องทำให้มันถูกต้องทั้งสามอย่าง จึงจะเรียกว่าหลุดพ้น หรือ Emancipation โดยสมบรูณ์ ต้องหลุดออกไปเสียได้จากภพทั้งสามภพ นี่คือใจความของเรื่องภพ คำที่เต็มแท้ๆ คำที่เต็มแท้ๆ มันมีอีกว่า อะวะจะระ อะวะจะระแปลว่าพร้อมที่จะตกลงไป พร้อมที่จะตกลงไป มัน Habit ที่พร้อมที่จะตกลงไปทางไหน เรียก อะวะจะระ ถ้าคนๆ นี้มันมีนิสัยพร้อม พร้อมเสมอ พร้อมที่จะตกลงไปในทางกาม ก็จัดคนนี้ไว้ว่ามันอยู่ในกามภพ ถ้าคนนี้มันมีนิสัยพร้อมที่จะตกไปทางรูปคือเหนือกาม ก็จัดคนนี้ไว้ว่ามันอยู่ในรูปภพ คนนี้มันมีนิสัยพร้อมที่จะอยู่ไปในทางเหนือ เหนือ เหนือรูปคือเป็นทางนามธรรม เรื่องที่ไม่มีรูป ก็จัดคนนี้ไว้ว่ามันอยู่ในอรูปภพ แต่โดยแท้จริงมันก็อยู่ที่นี่ในโลกนี้ในร่างกายนี้ มันเปลี่ยนไปได้ทั้งสามภพ เพียงแต่ว่าคนไหนมันหนักในทางไหนมากก็จัดคนนั้นไว้ทีก่อนเอามันอยู่ใน มันอยู่ใน มันอยู่ในกามภพ ในรูปภพ อรูปภพ เอาที่นิสัยความพร้อมแห่งจิตใจของมันจะพลัดลงไปในทางไหน มันก็เป็นการยาก ไม่ใช่ง่ายหรอก และไอ้ที่ยากที่สุดก็เรื่องกามภพนี่ เป็นปัญหาที่ยุ่งยากที่เราจะต้องศึกษากันต่อไป คุณจะพยายามศึกษาให้รู้จักทั้งสามภพ และพยายามที่จะควบคุมมันให้ได้ เอาชนะมันให้ได้ นั่นน่ะคือสิ่งสำคัญ ความรู้ที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ชีวิตนี้มันมีแต่ความสงบสุข เราทุกคนควรจะตรวจดูตัวเองให้รู้จักตัวเอง รู้จักตัวเองว่าเรานั้นน่ะมีความโน้มเอียงไปสู่ภพไหน ไปสู่ภพไหนเป็นส่วนใหญ่ เป็นนิสัยของเรา เราจะพบว่าส่วนใหญ่มาทางกามภพทั้งนั้นเป็นพื้นฐาน ยากที่จะมาหารูปภพหรืออรูปภพ แต่แล้วก็ไม่ ไม่ ก็หลีกไม่พ้นที่มันจะต้องเลื่อนมาหารูปภพ อรูปภพ ตามที่อายุมันมากเข้า ชีวิตมันมากเข้า ชีวิตมันมากเข้า ขอให้เรารู้เรื่องทั้งหมดนี้ให้ดีจนควบคุมมันได้ สิ่งที่จะควบคุมมันได้นั้นก็จะต้องรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท และก็ปฏิบัติอานาปานสติ เราจะรู้เรื่องนี้ดี จะควบคุมมันได้ เราจะต้องรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทและปฏิบัติอานาปานสติ ซึ่งเราก็จะได้พูดกันต่อไปในวันหลัง
ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ ในการเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยความอดทน สองชั่วโมงแล้ว ขอบพระคุณในการอดทนเป็นผู้ฟังที่ดี ในวันนี้ก็ขอยุติการบรรยาย ขอให้ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งใจไว้ อดทนสองชั่วโมงแล้ว อดทนสองชั่วโมงแล้ว