แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
Mastery by liberating the mind. Liberating the mind from other things that is attached to. This is 3 ways of mastering the mind.
วลีสั้นๆ ที่สุดว่า เป็นนายเหนือจิตๆ เขาเรียกว่าเป็นนายเหนือจิตประเสริฐที่สุด มีค่าที่สุด พยายามเป็นนายเหนือจิตให้ได้ อย่าเป็นทาส แต่ว่าเป็นนายเหนือจิตบังคับจิตได้ ตั้งอยู่ในความถูกต้อง ความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง นี่คือความประเสริฐสูงสุดของบทเรียนบทนี้ว่า จิตตานุปัสสนา บังคับจิตได้ บังคับจิตได้
Ensure one is master over the mind. Being master of the mind is something truly wonderful. It’s a truly excellent ability. To be master over the mind is to have reached the very high state of understanding and practice. So one should try to do this. One should put, give one effort to this so that one can realize this excellent ability. Who knows the mastery of the mind in their mind can maintain the state of fulfillment. The mind can cap in silence and peacefulness, incorrectness. So there is nothing can shake it or trouble it or manipulate it. This is practicing for mastery of the mind.
นี่ก็มาถึงหมวดที่ ๔ ธรรมานุปัสสนา เราจะสามารถบังคับทุกอย่างๆ ที่แวดล้อมเราอยู่ไม่ให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาแก่เราใจความสำคัญเป็นอย่างนั้นแต่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่น เราอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทุกอย่างที่มีอยู่ในโลก สิ่งแวดล้อมทุกอย่างนั้น มันมีแต่จะหลอกเรา ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นบวกหรือเป็นลบแล้วก็เกิดความทุกข์ ทั้งนี้เราจะสามารถรู้จักมันแล้วก็ไม่ให้มันทำอย่างนี้แก่เรา คือเรามีอำนาจเหนือมัน มันก็เท่ากับว่าบังคับโลกทั้งโลกได้แหละ ที่มันแวดล้อมเราอยู่ทุกๆ สิ่งนี้มันจะหลอกเราไม่ได้อีกต่อไป นี่จุดมุ่งหมายหัวใจของบทที่ ๔ เป็นอย่างนี้
After practicing …..(นาที 3:14) contemplation of the mind until there is mastery of the mind then we move onto ……(นาที 3:22) contemplation of Dharma. This is to gain mastery over all the other things which surround us. Ordinarily we look at the things surround us is thing to ….. in this life. (นาที 3:35) but now we see that these are things which deceive us and practice it until we have mastery over all these things so none of them can deceive us anymore.
มีความรู้เพียงพอที่จะมองเห็นว่าทุกสิ่งๆ นี้ ไหลเรื่อยเปลี่ยนแปลงเรื่อย ไหลเรื่อยเปลี่ยนแปลงเรื่อย ไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน เปลี่ยนแปลงเรื่อย นั่นแหละจุดตั้งต้นที่จะต้องเห็น มีความรู้ข้อนี้ได้แล้วมันจึงจะมีความรู้ที่สูงขึ้นไป จึงจะดับทุกข์ได้ เห็นความไม่เที่ยงแล้วก็เห็นสิ่งที่เนื่องอยู่กับความไม่เที่ยงเป็นความทุกข์เป็นอนัตตา หรือความที่จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติอย่างนี้หรือมันไม่มีตัวตน หรือมันเป็นเช่นนั้นเอง ที่เรานิยมเรียกกันว่าเก้าตา เก้าตา ไปศึกษาเป็นพิเศษมันมีจุดตั้งต้นไปจาก อนิจจตาเห็นความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงเรื่อยตามเหตุตามปัจจัยของมันเอง นี่เป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญที่จะต้องเห็นข้อนี้ ฉะนั้นไม่มีทางหรอก เห็นว่าทุกอย่างแม้แต่ชีวิตภายในของเรา สิ่งต่างๆ ภายนอกอะไรที่มันเกี่ยวกับเราก็ตาม มันเปลี่ยนแปลงเรื่อยตามเหตุตามปัจจัยของมัน
Now the things here is to observe that everything is constantly flowing. That all things are seamlessly changing. This is to see the fact of impermanence of things. So what one to get out of the power of things, the first thing to do is to see there are constant change and flow their impermanence. Keep watching to see the impermanent things are unreliable, undependable. That’s all these things cannot be truly satisfied, real and perfect and unsatisfied. Further they just can constantly change according to their causes and conditions. They are under the control of causes and conditions. There’s no owner of them. There’s no controller. These things are not ourselves (นาที 6:26). So one can continue to observe these facts until seeing that they are under the law of nature. It just follows the law of conditionality that they avoid of any self (นาที 6:35), of any eye or mind. They’re just what they are. They’re just as they are….changing, unreliable, undependable, ……(นาที 6:50 – 7:00) This is what we call the …...9 dahs the 9 eyes or insides (นาที 7:05). The crucial point, the starting point is to experience the impermanence of things. We don’t see, we don’t realize the permanence in things then we have no chance of going anywhere. Starting point is experiencing the impermanence. Experiencing it within inner experiences, being more and more aware of the impermanence of inner experiences until see the impermanence of external things to become aware of Anijadha (นาที 7:50) the fact, the truth of impermanence while breathing in and breathing out.
จุดตั้งต้นของการเห็นความจริงคือเห็น อนิจจตาความไม่เที่ยงก็จะเห็นตลอดสายเลย ในที่สุดมันก็จะนำไปสู่ความรู้สึกขึ้นมาคือ คลาย คลายความยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เป็นบวกก็ตามเป็นลบก็ตามที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่ จะคลาย คลายความยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เรารักเราพอใจ ตามกฎหมายก็เป็นของเรา เราก็คิดว่าเป็นของเรา เรารักเราพอใจ แต่มันก็ไม่ฟัง ไม่ฟังเรา มันไม่เชื่อฟังเรา มันไม่เชื่อฟังเรา เป็นไปตามเรื่องของมัน พอเห็นอย่างนี้แล้วก็เริ่มคลาย คลายความรักความยึดมั่นถือมั่นนี้เรียกว่า วิราคะ คลายออกจางออกแห่งความยึดมั่นถือมั่น นี่ประเสริฐที่สุด เพื่อคลายออกจากที่สิ่งจะกัดเรา ความยึดมั่นถือมั่นจะจางออกๆ นี่เป็นขั้นที่ ๒ ภายหลังจากที่เห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยงแล้วจะคลายความยึดมั่นถือมั่น
So as we see, the more we see impermanence, the more it is continued to seeing all the other facts about things. There are unsatisfactoriness, selflessness, …… (นาที 9:33) and so on. As this happens, we begin to feel a particular awareness of feelings which is the fading away of things. The attachment we have to think begins to fade away. All these things in our life arouse us that we are attached to, now as we begin to see their impermanence, their selflessness, their …..(นาที 10:03). Their attachments begin to break up to dissolve to fade away. In short, what happened is we finally start to see the thing itself listen to us. All these things we are attached to we think they’re going to listen to us and provide us for what we want. Now we realize that these things go their own way. They’ve got their own story to play out. So they go their own way and don’t listen to us. Seeing this and realizing this more deeply are attachment to things fade away. We can experience. We can feel the fading away of the attachment more and more deeply.
ทีนี้ก็มาถึงอาการ อาการลักษณะอาการที่ ๓ คือว่า เมื่อมันคลายออกจางออกๆ มันก็หมด เมื่อมันจางออกไม่หยุดมันก็หมด ที่เรียกว่าดับ ที่จริงแล้วคือมันหมดความยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนของตน ไม่ว่าจะเป็นบวกไม่ว่าจะเป็นลบ ไม่ว่าจะเป็นที่น่ารักหรือไม่น่ารัก ก็ไม่เข้าไปยึดมั่นให้มันเกิดปัญหาทางบวกลบ นี่เรียกว่านิโรธะ นิโรธะ เราดับแห่งความยึดมั่นถือมั่น นี่คือผลที่ได้รับ free อิสระกันตรงนี้แหละ เหนือสิ่งทั้งปวงกันตรงที่ว่ามันหมดความยึดมั่นถือมั่น ไม่ติดคุกของชีวิตแห่งความยึดมั่นถือมั่น ออกมาเสียจากคุกแห่งอัตตา นั่นประเสริฐอย่างนั้น
The first lesson of Dharma is the fact of impermanence and all the other facts that follow from it. The second lesson is the fading away of the attachment for Virakha. As attachments fade away and fade away, eventually end. If anything just keeps on fading and eventually comes to the point where is gone where it goes out. This is called Nirodha (นาที 12:30) which is the third lesson of Dharma here. Experiencing that attachment has ended where the attachment has faded away till now it’s gone, it’s ended, it’s ….(นาที 12:45). This succession or ending of the attachment is the third lesson here. The meaning of this is freedom when attachment goes out, the mind is free. There is freedom. There is no positive or negative anymore which can trick the mind. Nothing can trick it and it’s slaved it. The mind is deliberated from prison of attachment. The mind has its safe from the prison of ego, the prison on self which has been trapping the mind all along. Now the mind has escaped. It’s free because the attachment has ended, has … (นาที13:45)
นี้ขอเติมอีกเรื่องหนึ่งให้มันครบ ๔ เรื่อง เรื่องสุดท้ายก็เรียกว่ามันจบ จบชีวิต จบปัญหาของชีวิต จบสิ่งที่จะต้องทำเกี่ยวกับชีวิต เรียกว่าจบปัญหาแห่งชีวิต มีคำพูดที่แปลกประหลาด แปลกประหลาด คำนั้นแปลว่า โยนคืน ปฏินิสสัคคะ โยนคืนโยนกลับโยนคืน โดยอุปมาให้เข้าใจง่ายๆ ก็ว่า เมื่อก่อนนี้เราเป็นขโมย ไปขโมยเอาของธรรมชาติมาเป็นของตัวกู เป็นของกู เราเป็นขโมย เรามีความทุกข์ เราถูกลงโทษ เดี๋ยวนี้เรารู้ความจริงอย่างนี้ ปฏิบัติมาถึงอย่างนี้ เราคืนกลับโยนกลับให้เจ้าของคือธรรมชาติ ในเรื่องมันจบเป็นการจบฉาก จบทุกๆ ฉากของชีวิต จบด้วยการสลัดออกไปหมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในความยึดมั่นถือมั่นนี่เป็นคำสุดท้ายของหมวดนี้ เรียกว่า สลัดคืน ภาษาคำว่า “สลัดคืน” ก็แปลว่าไม่เป็นขโมยอีกต่อไป
Just add one more lesson to complete the …..(นาที 13:45). There is a rather strange word here which Buddha use. It’s meant to throw back to its owner. The word is Bhatinissangka (นาที 15:20) which is to toss back. Here you can understand the meaning if we use a metaphor. Up until now we have been thief, we’ve been stealing all kind of things, saying this is me, this is mine, claiming all kinds of things which actually belong to nature to Dharma so that we are thief but now it has been ended. We realize we stop claiming these things to be ours and mine. So it was like we’re tossing them back to the right owner to nature to Dharma. This is the final lesson to toss everything back. Bhatinissangka (นาที 16:10) sometimes it’s translated renunciation. But it’s not just giving up, it’s giving back. It’s to fully acknowledge that these are all kinds of nature that are not having seemed that they are eye or mind. This is the completion. This is to complete our life. To do this is to …..(นาที 16:42) about life. Having done this, we have done everything that individual life needs to do. After this is just all extra credit. This is to complete the meaning and purpose of our life to be able to toss everything back to nature.
ในที่สุดขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าอานาปานสติหมวดที่ ๑ ทำให้เราเป็นนายเหนือกาย หมวดที่ ๒ ทำให้เราเป็นนายเหนือเวทนา feeling หมวดที่ ๓ ทำให้เราเป็นนายเหนือจิต หมวดที่ ๔ ทำให้เราเป็นนายเหนือสิ่งแวดล้อมทั้งหมดทุกสิ่งคือเป็นนายเหนือโลก เป็นนายเหนือสิ่งทุกสิ่งที่มาหลอกให้เรายึดมั่นถือมั่น นี่ความเป็นอิสระเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ที่สุด ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านี้ ขอให้ท่านศึกษาเข้าใจและท่านจะพอใจในการศึกษาปฏิบัติอานาปานสติจนตลอดชีวิตเลย
So to summarize, we practice this until we are master of the body, master of the feelings, master of the mind and master of all over things in life, all the things and nature which have deceived us and tricked us to following to the positive and negative. This is to accomplish everything in life that needs to be accomplished. This is to have realized to achieve the most wonderful things. This is to be master of everything so that nothing can defeat one ever again.
ท่านย่อมเห็นได้ด้วยตนเองแล้วว่ามันมีเรื่องมากน้อยเท่าไร เราไม่อาจจะศึกษาและปฏิบัติได้ภายในเวลาอันสั้นคือช่วง ๑๐ วัน แต่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ถ้าท่านศึกษาได้ต่อไป ศึกษาได้ต่อไปจนตลอดชีวิต จะศึกษาซ้ำๆ กันไปให้เข้าใจยิ่งขึ้นจนตลอดชีวิตก็จะต้องประสบความสำเร็จ เอาอานาปานสติเป็นคู่ชีวิต มีชีวิตเป็นอันเดียวกันกับอานาปานสติ และท่านก็จะหมดปัญหา หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง
So now you can understand the value and importance of Anapanasati and have a framework in which to practise it. Now you won’t be able to accomplish everything we described in 10 days. It’s necessary that you take what you studied and continue to practise every day to keep developing them further and further so that more and more we have Anapanasati as our partner in life. To have ……(นาที 20:13) feelings as partner. So there are more and more life and above all problems. So more and more our life is free of ……(นาที 20:22) positive and negative, ……(นาที 20:25)
ในที่สุดเราก็จะมาดูกันเป็นขั้นสุดท้ายว่าอานาปานสตินี้นำไปสู่ art อย่างไรหรือมันเป็นตัว art อยู่ในตัวมันเองอย่างไร คอยตั้งใจฟังให้ดีๆ
Last of all, we’d like to take a look at how Anapanasati brings us to the “art” or how it is “art”.
เดี๋ยวนี้เราสามารถอยู่ร่วมหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและมันไม่อาจจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ เราสามารถอยู่กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนี่คือเป็น art
First, it enables us to live with, to exist with, things which are constantly changing without those things causing us any dukkha. Anapansati enables us to live with things which are constantly changing without being a problem.
เราสามารถอยู่กับสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เพราะการยึดมั่นถือมั่นแล้วมันกัดทันที เราก็อยู่กับมันอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่กัด นี่ก็เป็น art
We can further live with things which cannot be attached to. They are these things that we can attach to as soon as we try to attach they bite. And so now we can live with them with all these things which are impossible to grasp back in thing.
ในที่สุดก็จะพูดว่าเราสามารถอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า อย่าฟังเป็นคำหยาบคาย ในโลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้าคือคนเห็นแก่ตัวยึดมั่นถือมั่น เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เป็นคนบ้า บ้าหลงในประโยชน์ของตัว เราสามารถอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า มันจะบ้าก็บ้าไป มันไม่อาจจะทำอันตรายเราหรอก เราจะช่วยไม่ได้ที่จะไม่ให้โลกนี้มันมีคนบ้า มันมีคนบ้าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวตามความเจริญทางวัตถุ เราก็สามารถอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า นี่มันเป็น art อย่างสูงสุด
And finally, it’s art to enable us to live in a world full of crazy people. Don’t take this as things of true statement but the world is full of crazy people. People who are crazy with selfishness obsessed with their own benefit. People who are full of their attachment in span of their entire life just seeking their own benefit are people who are obsessed with selfishness. The world is full of crazy people. Anapanasati is “art” that will enable us to live in this world which is full of crazy people without any danger to us. There’s nothing much we can do about it. There are going to be crazy people in this world no matter what we try to do. And according to the material ……(นาที 24:30) in the world, there’ll be craziness, selfishness and obsession with personal benefit. But this real highest art will enable us to live in the world full of crazy people without being harmed by them.
ในที่สุดเราก็มีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป มันจะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ มันเป็น blissfulness and usefulness สองอย่างนี้พอ มันสงบเย็น สงบเย็น และก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ และก็ไม่กัดเจ้าของ ขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสติในลักษณะอย่างนี้
Finally, with this art life won’t bite its owner. Our life will not bite their owner. Then we have realized the highest success in life. Our life that is ,instead of fighting with itself, a life that is blissful and useful. A life in which that is the highest happiness of true peace and the life which is free in order to be useful. When life doesn’t bite their owner, then it’s the highest art of living peacefully, blissfully, usefully.
ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายในการเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยความอดกลั้นอดทน วันนี้ก็มากไปหน่อย คือ เกิน ๒ ชั่วโมงไป ๒๐ นาทีแล้ว มีความอดทนมาก ขอบพระคุณในการเป็นผู้ฟังที่ดี แต่ขอแสดงความหวังให้ท่านประสบความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสติ ท่านมาอย่าง tourist ก็ให้ท่านกลับไปอย่าง….(นาที 27:38) อย่างที่ว่ามาแล้ว ขอยุติการบรรยาย ขอยุติการบรรยาย
Last of all, thank you with very special thanks for your being very good listeners. We’ve gone a little bit over time today about 20 minutes. Nonetheless you’ve been very patient and stayed with us to the end. So we thank you for being good listeners and wish you the greatest success in your practice of mindfulness with breathing. Although you may come here as tourist, may you leave as ……(นาที 27:22). So thank you once again and may you meet with great success in your practice. That closes our final talk. That’s all for today.
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอให้สำเร็จประโยชน์ สำเร็จประโยชน์ตามที่ต้องการ
Thank you. May you all be successful in your wishes and needs.