แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานเราพูดกันถึง Buddhist Art of Life เป็น art แห่งการมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีตัวตน มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ต้องมีตัวตน วันนี้เราก็จะพูดกันถึง The Way to the Art
ขอให้มองดูจนเห็นว่า มีชีวิตอยู่โดยไม่มีตัวตน นี่มันดีกว่าตายเสีย บางคนอาจจะคิดว่า โอ้, ตายเสียดีกว่ามีชีวิตอย่างไม่มีตัวตนจะมีประโยชน์อะไร นี่ก็ต้องมองกันในแง่ที่ว่า มีชีวิตอยู่โดยไม่มีตัวตนนั้น เพราะนั่นหมายถึง ไม่ตาย และก็ไม่รู้จักตาย เป็นชีวิตชนิดที่ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักกับความตาย มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีตัวตนน่ะมันดีดีกว่าตาย ดีกว่าตาย
เราจะมี จะมีความเป็นอยู่ เป็นอยู่ แล้วก็มีการดำรงชีวิตอยู่ มี being มี living แล้วเราจะมี having มีอะไรก็ได้ มีอะไรก็ได้ แล้วยังแค่เกี่ยวข้องกับอะไรก็ได้ ในที่สุด ถ้าเราเป็นชีวิตฆราวาสอยู่บ้านอยู่เรือน มีการสืบพันธุ์ก็ได้ นี่มันยังมีได้ทุกอย่าง มีการดำรงชีวิตอยู่ มีการเป็นอยู่ มีการ มีการ มีอะไรก็ได้ เกี่ยวข้องกับอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แม้แต่ว่าการสืบพันธุ์ ชนิดที่มันไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีความทุกข์เลย ดังนั้น เราจึงถือว่ามันเป็น Supreme art ดีกว่า art ที่สูงสุด สำหรับจะมี Supreme life
อย่างนี้เราเรียกมันว่า Buddhist art แต่ที่แท้ มันก็คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ลองไม่มีธรรมะสิ ก็ไม่มี Buddhist art แล้วการเป็นอยู่ มันก็เป็นทุกข์ในตัวมันเอง การครองชีวิตอยู่ก็เป็นทุกข์ในตัวมันเอง จะมีอะไรจะเป็นอะไรก็เป็นทุกข์ไปหมด จะไปเกี่ยวข้องกับอะไรถึงจะนำมาซึ่งความสุข แม้แต่ว่าการสืบพันธุ์ก็จะเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์อันใหญ่หลวง แต่ถ้ามีธรรมะ ธรรมะแท้จริงถูกต้อง ที่เราเรียกว่า Buddhist art ก็จะไม่มีความทุกข์โดยประการใดๆ ในการเป็นอยู่ทุกรูปแบบของชีวิต นี่คือ Supreme art
มันเป็นคำพูดที่ฟังยาก ที่พูดว่า ชีวิตที่ไม่มีตัวตน เป็นคำพูดที่เราเรียกกันว่า พูดอย่างภาษาธรรมะ สำหรับผู้รู้ธรรมะใช้พูด มีชีวิตโดยที่ไม่ต้องมีตัวตน นี่ฟังยาก ขยายความมาว่า มีชีวิตชนิดที่ไม่ได้ยึดถืออะไร ไม่ได้ยึดถืออะไรๆ โดยความเป็นตัวตน นี่ก็เรียกว่า ชีวิตที่ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งใดยึดถือเอาเป็นตัวตน ส่วนร่างกาย ส่วนร่างกาย ก็ไม่ได้ยึดถือเอาว่าเป็นตัวตน ส่วนจิต ระบบจิตทั้งหมด ก็ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นตัวตน มีร่างกายและจิตใจที่ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นตัวตน แต่มันก็มีชีวิตได้ นี่มันเป็นart เป็น … (นาทีที่ 11.22) คำฟังยากน่ะ
ไอ้ที่เราเรียกมันว่า ตัวตน ตัวตน หรือ self นั้น มันมิได้มีตัวจริง ไม่มีตัว Identity of Self มันเป็นแต่เพียง concept, concept ด้วยความโง่ แล้วก็ว่าตัวตน ตัวตนนั้นมันมีอยู่ในชีวิตในจิตใจ เป็นต้นเหตุให้เกิดชีวิตที่เป็นทุกข์หรือความหนัก เราก็เอาไอ้ concept อันนั้นออกไปเสีย เหลือที่มันเป็น misconcept ก็ทำให้มันเป็น right ขึ้นมา ให้มันถูกต้องว่ามันเป็นศัพท์ว่า concept แล้วเราก็จะไม่ต้องยึดถือตัวตน คงมีแต่ร่างกายล้วนๆ จิต ระบบจิตล้วนๆ ไม่ต้องมี สิ่งที่เรียกว่า ตัวตน เข้ามาเป็นสิ่งที่สาม มีเพียงสองสิ่งก็พอ แล้วก็ไม่ต้องมี concept ในสิ่งใดว่าเป็นตัวตน
ที่เราเคยพูดกันมาแล้วเมื่อวานว่า misconcept มันสุดโต่งของความโง่ ฝ่ายนี้เรียกว่า มีตัวตน มีตัวตน มีอัตตา มีตัวตน แล้วก็สุดโต่งแห่งความโง่ ฝ่ายนี้ก็ว่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ทั้งสอง concept นี่มันผิด ไอ้ concept ที่มันถูกมันอยู่ตรงกลางนี้ว่า มันมีตัวตน ซึ่งมิใช่ตัวตน ไม่มีการยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน แม้ปากจะพูดว่าตัวตน ทุกคนจะพูดว่าตัวตน ตัวตน แต่ตัวตนอันนั้นมิใช่ตัวตน สรุปความว่า ตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตนนั่นแหละคือ Right concept ถ้าเรามีความถูกต้องอย่างนี้อยู่ เราก็สามารถมีชีวิตชนิดที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ไปยึดถือว่าเป็นตัวตน
ทีนี้เราก็จะดูกันต่อไปว่า ไอ้ misconcept น่ะ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีความสำคัญผิดๆ สำคัญผิดๆ ว่าตัวตน ตัวตน นี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความเข้าใจผิด หมายมั่นผิด มันเกิดขึ้นมาจากไอ้ความรู้สึกพื้นฐาน ที่เป็นพื้นฐานพวกหนึ่ง นั่นคือความรู้สึกว่า มันเป็น positive หรือ negative มันเป็นบวกหรือเป็นลบ ซึ่งมันเป็นการทำให้เกิดค่าหรือความหมายขึ้นมา ถ้าเรามีความรู้สึกเป็นบวกหรือเป็นลบ มันจะเกิดตัวกูที่เป็นบวก หรือตัวกูที่เป็นลบ คือความโง่เป็นตัวกูที่ต้องการบวก ต้องการบวก และตัวกูที่เกลียดลบ อยากจะทำลายลบ มันก็เกิดเป็นไอ้คู่ขึ้นมา คือความเป็นบวก กับเป็นลบ ถ้าเราไม่มีความรู้สึกเป็นคู่ เป็นบวกเป็นลบ ไม่มีทางที่จะเกิดตัวตนหรอก มันไม่รู้มันจะเกิดทำไม เกิดเพื่ออะไร ไม่มีปัจจัยแห่งการเกิด จึงต้องสนใจศึกษาให้เข้าใจให้ดีที่สุด เรื่องความรู้สึกที่เป็นบวกหรือเป็นลบ จะเกิดขึ้นในจิตใจของสิ่งที่มีชีวิต ในสิ่งที่มีชีวิตจะมีความรู้สึกเป็นบวกและเป็นลบ เพราะมันยังโง่ เพราะมันยังโง่ จนกว่ามันจะหายโง่ ไม่มีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ มันก็ไม่เกิดตัวตน มันก็ๆ สบายดี มันก็หลุดพ้น free เป็นอิสระจากทุกสิ่ง ขอให้สนใจไอ้เรื่องความเป็นบวกและความเป็นลบ
มันมีเพียงสองสิ่ง คือระบบกายกับระบบจิต ส่วนที่เป็นกาย นี่เป็น body ส่วนที่จิตนี่ก็เป็น mind มี body กับ mind แต่ว่าในฝ่ายที่เป็นกาย กายนั้นมันมีระบบประสาท ระบบประสาท รวมอยู่ด้วย แล้วก็มันมีจิตที่เป็นผู้จำความรู้สึกทางระบบประสาท มีสองอย่างเท่านี้ มีกายกับจิต ไม่ไม่มี self ไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณ ไม่มีผี ไม่มีอะไรที่ไหนเป็นสิ่งที่สาม ระบบกายมีระบบประสาทที่รู้สึกสิ่งต่างๆ ทางระบบประสาท ก็มีสิ่งโดยรอบมากระทบระบบประสาท มันก็มีความรู้สึกโดยจิตต่อสิ่งที่มากระทบความรู้สึก กระทบระบบประสาท แล้วรู้สึกแยกออกเป็น positive และเป็น negative ขึ้นมา มีแต่กายกับใจ ไม่มี self เป็นสิ่งที่สาม
พวกที่ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้แต่โบราณ คนโบราณ เขาเชื่อว่ามีสิ่งที่สาม มีสิ่งที่สาม คือ self มาทำหน้าที่ทางจิตกับระบบประสาท มันมีสิ่งที่สาม แล้วก็จึงเกิดมียึดถือในสิ่งที่สาม ว่าตัวตน ตัวตนขึ้นมา เพราะมันประหลาดเพราะมันอัศจรรย์เป็นพิเศษอย่างยิ่งสิ่งนี้ ต่อมาความรู้อย่างพุทธศาสนาเกิดขึ้น มันก็ไม่ยอมรับ ถือว่า ถือว่าลำพังจิต จิตอย่างเดียวมันรู้สึกอะไรได้ทางระบบประสาท ไม่ต้องมีสิ่งที่สาม อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องรู้ ทางที่ต้องรู้คืออย่างนี้
ท่านต้องมองให้เห็นความจริงตามธรรมชาติที่สุดว่า ถ้าไม่มีอะไรมากระทบระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กายอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีอะไรมากระทบระบบประสาท สิ่งที่เรียกว่า เวทนา หรือ feeling มันเกิดไม่ได้ มันไม่เกิด แต่ถ้ามันมีอะไรมากระทบระบบประสาทแล้ว มันช่วยไม่ได้ มันต้องเกิด มันต้องเกิดสิ่งที่เรียกว่า feeling หรือ เวทนา ไอ้ feeling หรือ เวทนานี้ ต้องเป็นสองอย่างเสมอ คือถ้ามันสบาย สบายแก่ระบบประสาท มันก็เป็น positive ความหมาย positive แต่ถ้ามันไม่สบาย มันเจ็บปวดหรือมันไม่สบายแก่ระบบประสาท มันก็เป็น negative มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตามธรรมดา ว่ามันสบายแก่ระบบประสาท หรือไม่สบายแก่ระบบประสาท ความรู้สึกที่เป็น positive กับ negative เกิดขึ้นมาโดยวิธีอย่างนี้
ท่านจะเห็นได้แล้วว่า ถ้าไม่มีเวทนา ถ้าไม่มี feeling ถ้าไม่มีเวทนา มันไม่มีทางที่จะเกิดความรู้สึกเป็น positive หรือ negative เดี๋ยวนี้ เพราะว่าเราไม่มีความรู้ จิต จิตไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง เป็นจิตโง่ เป็นจิตโง่ เป็น ignorant มันก็เกิดแยกออกไปตามความรู้สึกชอบและไม่ชอบ ความรู้สึกเป็นบวกและเป็นลบก็เกิดขึ้น แต่ถ้าว่าจิตนี้มีเวทนา มี knowledge มี wisdom มีอะไรเหมือนอย่างที่เราได้ศึกษาแล้ว ศึกษาแล้ว จิตไม่โง่ จิตรู้ จิตก็จะบอก โอ้, เวทนาเท่านั้น เวทนาเท่านั้น ไม่มี positive ไม่มี negative อย่างนี้ มันก็ไม่มีปัญหา ตามธรรมดา ตามธรรมดา จิตไม่มี มัน Lack of Wisdom มันก็เลยต้องรู้สึกไปตามไอ้สิ่งที่มากระทบ สบายแก่ระบบประสาท ก็เป็น positive ไม่สบายแก่ระบบประสาท ก็เป็น negative มันจึงถือได้ว่า positive ก็ดี negative ก็ดี เกิดขึ้นมาจากความโง่ของจิต ถ้าจิตไม่โง่ มันไม่มีไอ้สิ่งที่เป็นคู่ๆๆ เหล่านี้ ถ้าไม่มีเวทนา ไม่มีอันนี้
เมื่อเรายังเป็น เป็นทารกอยู่ในท้องมารดา เป็นเพียง embryo เป็น fetus หรือเป็นอะไร มันไม่มีระบบประสาท ยังไม่มีระบบประสาท ทารกในท้องมารดา ยังไม่มี feeling มันก็ยังไม่มีความรู้สึกเป็น positive หรือ negative ได้ ต่อเมื่อทารก ให้มันโตขึ้นๆ จนมีระบบประสาท ระบบประสาททำงานได้ มันก็มี feeling แล้วมันก็รู้สึกเป็น positive กับ negative ได้ นี่ขอให้คิดดู เราไม่เคยมีระบบประสาท ไม่มี feeling ไม่มี positive ไม่มี negative ทีนี้พอเราโตขึ้นมาถึงขนาดมีระบบประสาท มันก็ทำ ทำหน้าที่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่ระบบประสาท เป็น feeling แล้วความโง่ มัน classify มัน regard เป็นสองฝ่าย เป็นสองฝ่ายขึ้นมา ตรงนี้เข้าใจให้ดี เป็นจุดตั้งต้นของเรื่องดับทุกข์ในทุกๆ ศาสนา เราต้อง เมื่อมี feeling จึงจะมีไอ้ positive กับ negative ถ้าไม่มี feeling ไม่มีเรื่องอะไรเลย ฉะนั้น ถือว่า ไอ้ feeling เป็นจุดตั้งต้นของปัญหาทั้งปวง ปัญหาทั้งปวงมีจุดตั้งต้นอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า เวทนา เวทนา
พอเด็กคลอดออกมาจากท้องแม่แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มันก็เริ่มทำหน้าที่ อย่างครั้งแรกที่สุด ต้องกินนมแม่ ถ้ามันอร่อย แก่ระบบประสาทก็มีความรู้สึกฝ่ายบวก ฝ่าย positive ขึ้นมา หรือถ้าเขาได้กินอะไรที่ไม่ถูกเรื่อง ใครให้กินอะไรที่ไม่ถูกเรื่อง เขาก็ร้องไห้ พอเขาลืมตาขึ้นมา เห็นสิ่งที่สบายแก่ตา เขาก็พอใจ ไม่สบายแก่ตา ก็ไม่พอใจ จึงมีธรรมเนียมเอาของสวยๆ งามๆ ไปแขวนให้ลูกเด็กๆ ทารกคนเกิดแล้วร้องเพลง แล้วจะมีเพลงขับกล่อมให้ลูกเด็กทารกสบายแก่หู ให้มีจมูกได้รับกลิ่นที่ดีๆ และประคับประคองให้อบอุ่นดีที่สุดที่ผิวหนัง เด็กก็เกิดความรู้สึกเป็นว่า อย่างนี้ถูกใจ อย่างนี้ไม่ถูกใจ จุดตั้งต้นของความเป็นบวกและความเป็นลบ มันก็เกิดขึ้น มันก็มี จิต จิต จิต รู้สึกโดยที่ไม่ต้องเป็นตัวตน จิตมันมีหน้าที่รู้สึกอย่างนั้นได้ มันเป็นทาสตามธรรมชาติที่จะรู้สึกได้ มันก็รู้สึกได้ รู้สึกเป็นเวทนา ถ้าเวทนาถูกใจ ก็เป็นบวก เวทนาไม่ถูกใจ ก็เป็นลบ ฉะนั้น ความเป็นบวกเป็นลบ ไม่ได้มา ไม่ได้มีมาแต่เดิม มันเพิ่งจะมีเมื่อมีเวทนา ขอให้เข้าใจสิ่งนี้ให้ดีเถิด แล้วจะง่ายที่สุดในการที่จะท่านจะศึกษาพุทธศาสนา รู้สึก รู้เรื่องไอ้ระบบประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้เรื่องเวทนา เกิดขึ้นมา แล้วก็เกิดแยกเป็น positive เป็น negative มันเป็นจุดตั้งต้นของเรื่องที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องศึกษา
ทีนี้เราก็เห็นได้ว่า ไอ้ความรู้สึกเป็น positive หรือ negative มันมันมากขึ้นๆ รุนแรงหรือเข้มข้นขึ้น เข้มข้นขึ้น ตามความเจริญของไอ้ระบบประสาท ที่มันมากขึ้น เข้มข้นขึ้น ความเป็น positive หรือ negative มันก็รุนแรง หรือเข้มข้นขึ้น ฉันรู้สึก เป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาว่า ถ้ามันเป็น positive, positive, positive แล้วเราก็เรียกว่า ดี ดี good ถ้ามันเป็นฝ่าย negative, negative เราเรียกมันว่า ชั่ว evil, evil ความรู้สึกเป็น positive, negative มันให้กำเนิดแก่ความรู้สึกว่าดี ว่าชั่ว ว่าดี ว่าชั่ว ซึ่งเป็นปัญหา เป็นปัญหาตลอดชีวิต ทีนี้เราทุกคนหิวนะ หิว หิว positive หิวจะได้ positive อยู่ตลอดเวลา แล้วเราทุกคนก็เกลียดกลัว เกลียดกลัว negative อยู่ตลอดเวลา เราถูกทรมาน ถูกทรมานอยู่ด้วยหิว positive แล้วเกลียดโกรธ negative อยู่ตลอดเวลา นี่คือบาป บาป สมมุติเรียกว่า บาปนิรันดร บาปตั้งต้น ถ้าไม่รู้จักสิ่งนี้แล้วไม่มีทางที่จะรู้เรื่องความดับทุกข์ ขอให้สนใจว่า positive และ negative เกิดมาเป็น Good and evil ขึ้นมาอย่างไร แล้วเป็นสิ่งที่รบกวนชีวิตอย่างไร รบกวนชีวิตอย่างไร ขออย่าให้เป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ ไม่มีทางที่จะเข้าใจพุทธศาสนา
เมื่อท่านได้รับจดหมายหรือโทรเลขที่บุรุษไปรษณีย์นำมาส่งให้เรา เราก็เปิดโทรเลขหรือเปิดจดหมายด้วยความรู้สึกที่หิว หิวก็ positive แล้วเกลียดกลัว negative อยู่ตลอดเวลา เราจึงเปิดจดหมาย หรือเปิดโทรเลขด้วยมือที่ผิดปกติ ที่มือสั่น นี่แสดงว่า ไอ้ positive หรือ negative มันรบกวนเราอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีรู้สึกเป็น positive หรือ negative มันไม่ใช่สงบ มันไม่ใช่ peaceful มันไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนา ฉะนั้น เวลาที่เราสบายที่สุด สบายที่สุด ก็คือเวลาที่ positive หรือ negative มันไม่ครอบงำเรา มันไม่ได้มาครอบงำเรา ซึ่งก็มีอยู่เหมือนกัน ขอให้ศึกษาให้ดี ไม่ใช่ว่ามันจะครอบงำเสียตลอดเวลา ถ้ามันครอบงำตลอดเวลา เราเป็นบ้าหรือตายแล้ว ฉะนั้น เวลาที่มันไม่ครอบงำเรา เวลานั้น เราสบายที่สุด เราสบายที่สุด เราจะศึกษาเรื่องนี้ แล้วเราจะรักษา ให้มันว่าง ว่าง ว่าง ว่างจาก positive ว่างจาก negative ให้มากที่สุด นี่จะเป็น art ขึ้นมาที่ว่า ชีวิตนี้จะไม่มีความทุกข์
เมื่อเราสอบไล่ เราก็เป็น เป็นทุกข์ อยู่ว่าผลน่ะ มันจะออกมาเป็น positive หรือ negative เมื่อเราทำการงาน ทำการงาน ธุรกิจทั้งหลายทางนี้ เราก็ทนทรมานอยู่ด้วยความสงสัยว่า ผลมันจะออกมาเป็น positive หรือ negative นี่มันทรมานทั้ง positive และ negative ท่านดูให้ดีเถิด เดี๋ยวนี้เราหลง หลง หลง ในทางฝ่าย positive มันมากเกินไป มันก็สมัครใจรับการทนทรมาน เห็นไอ้ทนทรมานเป็นไอ้ของดีไปเสีย จงดูเวลา เวลาที่ว่า บางเวลา เราไม่มีความรู้สึกคู่นี้ มันเป็นโดยบังเอิญ บังเอิญ บังเอิญก็ได้นะ เราไม่ได้มีเจตนา มันไม่เป็นขึ้นมาก็ได้ หรือว่าเราจะบังคับมัน บังคับมัน เราศึกษาแล้ว เรารู้แล้ว เราจะบังคับไว้ก็ได้ เวลาไหนที่ว่า ไอ้ positive กับ negative ไม่มาบีบบังคับจิตใจของเรา เวลานั้น เราสบายที่สุด ถ้าท่านไม่สังเกตเห็นข้อนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะไปถึงที่สุดของความรู้เรื่องที่จะอยู่เหนือความทุกข์ เหนือโลก เหนืออะไรได้ เหนือโลก เหนือสิ่งทั้งปวง ก็คือ เหนือ positive และเหนือ negative นี่ ขอให้สนใจ มันเป็นเรื่องที่ว่า ไม่เกี่ยวกับศาสนาไหนหรอก ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา ไม่เกี่ยวกับศาสนาไหน ไอ้ positive, negative มันทำความทุกข์ ทำความทุกข์ให้แก่สิ่งที่มีชีวิต คือมนุษย์ ฉะนั้น เราจะพิจารณากันเรื่องนี้ให้ดีๆ ว่า ทุกศาสนามุ่งหมายจะกำจัดสิ่งนี้ แต่บางทีพูดเป็นภาษาคนมากเกินไป บางทีก็พูดเป็นภาษาธรรมมากเกินไป แล้วฟังกันไม่ค่อยจะถูก ถ้าฟังถูกจะพบว่า เราต้องเอาชนะ เอาชนะอิทธิพลของ positive และ negative เราก็จะมี Supreme life, life ที่อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง เหนือความทุกข์ทั้งปวง ก็ไว้ให้เราสังเกตศึกษาจากตัวเอง ไม่ต้องศึกษาจากหนังสือหนังหาว่า ชีวิตของเราถูกทรมานอยู่ด้วยของสองอย่างนี้ เอาเท่าที่จะได้ บอกว่าเราถูกทรมานด้วยของสองอย่างนี้ จนกว่าเราจะ free จากอิทธิพลของไอ้สิ่งทั้งสองนี้
ทีนี้จะพูดให้สั้นที่สุด เธอจำให้ดีนะ เมื่อใดเราอยู่เหนืออิทธิพลของ positive และ negative เมื่อนั้นในทางพุทธศาสนาเรียกว่า เรามีนิพพาน เราอยู่กับนิพพาน นิพพานะ นิพพาน หรือที่เรียกอย่าง Christianity ว่า เมื่อนั้น เมื่อนั้น เราอยู่กับ God อยู่ใน United with God อยู่กับนิพพานก็ดี อยู่กับ United with God ก็ดี หมายความว่า มันไม่มีปัญหา มันไม่มีความทุกข์โดยประการทั้งปวง จะถือศาสนาไหนก็ได้ ไม่ต้องเปลี่ยน แต่ขออย่างเดียวว่า จงอยู่เหนืออิทธิพลของ positive และ negative เท่านั้นนะ
ที่พูดอย่างนี้ ขอให้ศึกษาอย่างนี้ ก็เพื่อจะให้รู้ว่า ทั้ง positive ทั้ง negative มันเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความทุกข์เท่ากัน positive มันทำให้หิว negative มันทำให้เกลียด ให้กลัว ทั้งสองอย่างนี้ทำให้เกิดปัญหา คือความทุกข์แก่ชีวิตเท่ากัน เพราะฉะนั้น เอาไอ้ positive และ negative ออกไปเสียนะ แล้วก็เชื่อว่า ถือศาสนาที่ดี คือทุกๆ ศาสนาที่มันดีวิเศษ คืออยู่เหนือ positive และเหนือ negative นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ฉะนั้น ขอให้ท่านสนใจสิ่งนี้ ถ้าๆ มีแล้ว ก็เท่ากับถือถือศาสนาที่ดีๆ ทั้งหมดทุกๆ ศาสนาเลย
คือช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้นนะ ไม่ ไม่ใช่พูดอย่างเพื่อเป็นชาตินิยมอะไร ให้เข้าใจง่ายขึ้นก็ว่า เอเชียนี่ ทวีปเอเชียนี้ สุดตะวันตกของเอเชีย …. (นาทีที่ 1.16.30) มียิว มีศาสนายิว ศาสนายิวที่แท้จริง คัมภีร์ไบเบิลของยิว ก็สอนให้อยู่เหนืออิทธิพลของ Good and evil คุณไปอ่านดูเอง ไบเบิล Protestament ตั้งต้นด้วยว่า ให้อยู่เหนือ Good and evil สุดตะวันออก extreme มันก็มี เต๋า เต๋า Taoism สอนให้อยู่เหนือหยินเหนือหยาง เหนือยินเหนือเยี่ยนแล้วแต่จะออกเสียง ก็เหนือ positive เหนือ negative นี่ตรงกลางนี้มี อินเดีย พุทธ หรือฮินดูก็ตาม พุทธก็สอนให้อยู่เหนืออิทธิพลของดี ของชั่ว ของกุศล ของอกุศล ของปุญญะ ของปาปะ คือ positive กับ negative นั่นเอง มันก็เป็นเรื่องหลายพันปีมาแล้วนี่ มนุษย์เคยมีความรู้สูงสุดถึงนี่แหละ สามารถที่จะชนะ positive และ negative แล้วต่อมา มันเลวลง เลวลง เพราะความเจริญทางวัตถุ เจริญทางวัตถุเข้ามายั่วยวนให้หลงใหล positive และเกลียดกลัว negative มันก็กลับมาที่ไม่รู้ ก็เลยต้องเป็นทุกข์เพราะ positive และ negative ทวีปเอเชียนี่น่ะเป็นอย่างนี้ ทวีปยุโรปไม่เคยมีอย่างนี้ แต่ว่า สุดสุดตะวันออกของยุโรปก็จะมีพวกกรีก ก็รู้แต่เรื่องทางวัตถุ สอนปรัชญาเรื่องเป็นสัตว์การเมืองที่ดี สัตว์สังคมที่ดี สัตว์เศรษฐกิจที่ดี มันก็สอนได้เพียงเท่านั้น มันไม่ได้สอนถึงเหนือ positive และ negative ปรัชญากรีกยังเด็กๆ มาก นี่ แต่ก็เถิดว่า มันมันสอนเรื่องทางฝ่ายวัตถุ ฝ่ายร่างกายให้ดี นี่ฝ่ายสอนฝ่ายเรื่องจิตเรื่องวิญญาณให้ดี แล้วก็น่าเสียดายที่มันไม่มาพบกัน ไม่เคยมาพบรวมกันให้สมบูรณ์ทั้งสองอย่าง เราเดี๋ยวนี้ มนุษย์เราเดี๋ยวนี้ เราจงเอาให้ได้ทั้งสองอย่าง ให้มีความถูกต้องทั้งฝ่ายวัตถุ ทั้งฝ่ายร่างกาย ให้มีความถูกต้องทั้งฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ เราจึงมาเรียนเรื่องสำคัญที่สุดคือ ฉันจะอยู่เหนืออิทธิพลของ positive และ negative ให้ได้ เรียกว่า เหนือโลก ขึ้นเหนือโลก ท่านจงตั้งใจ ตั้งเป้าของการศึกษาไว้อย่างนี้เถิด ท่านจะพบจุดสุดท้าย จุดสูงสุดที่สุดของการศึกษาธรรมะหรือศาสนา
เราจะขอถามตรงๆ ว่า เราได้เลวลงๆ กว่าบรรพบุรุษของเราหรือไม่ บรรพบุรุษของเราชนะ positive และ negative ได้มากน้อยอย่างไรเท่าไร เราเลวลงๆ กว่าบรรพบุรุษของเราหรือไม่ เดี๋ยวนี้เรา attach กับ positive และ negative ทั้งสองอย่าง มันไม่ใช่ความสงบ positive ก็ทำความยุ่งยากไปตามแบบ positive, negative มันทำความยุ่งยากลำบากไปตามแบบ negative เราอยู่เหนือทั้งสองอย่างนั่นแหละ เดี๋ยวนี้เราเลวลงกว่าบรรพบุรุษของเราหรือไม่ ช่วยคิดข้อนี้ ก็จะเข้าใจปัญหาที่มันมีอยู่จริง
เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องจักร มีระบบอุตสาหกรรม สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นปัจจัย เหตุปัจจัยของ positive เราหลง positive เราบ้า positive กันสุดเหวี่ยงๆ เท่าไร เราก็ต้องเกลียดกลัว negative มากขึ้นเท่านั้นแหละ เรารัก positive มากเท่าไร เราก็เกลียดกลัว negative มากขึ้นเท่านั้นแหละ โลกนี้ก็เลยเต็มไปด้วยความไม่พักผ่อน ไม่พักผ่อน หิว positive ไป เกลียดกลัว negative ไป ไม่มีการพักผ่อนเลยในโลกปัจจุบัน นั้นถูกแล้วที่คุณมาแสวงหาความรู้ ความรู้เรื่องจะอยู่เหนือ positive และ negative ถูกแล้วๆ
เราหลงใหล หลงใหล เสพติด เสพติดใน positive นี่มันมันเลวร้าย แรงร้าย กว่าปัญหายาเสพติด เช่น เฮโรอีน เป็นต้น เรากลัวยาเสพติด เช่น เฮโรอีน เป็นต้น แต่เราไม่กลัวสิ่งที่ร้ายกว่าคือ หลงใหลใน positive แล้วเราไปกลัวระเบิดปรมาณู แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าระเบิดปรมาณูคือ ความหลงใหลกลัว negative เรากำลังหลอกตัวเอง และหลอนตัวเอง หลอกตัวเองให้มีปัญหามากขึ้น มีความทุกข์มากขึ้น กำจัดความหลงอันนี้ออกไปเสีย อย่าบูชา positive อย่าเกลียดกลัว negative ให้ทั้งสองอย่างมันไม่มีความหมายแก่เรา เรื่องของมันเป็นอย่างนี้
เป็นอันว่า สิ่งที่เป็น positive มันทำให้เกิดตัวตน ตัวตนชนิด positive ไอ้สิ่งที่เป็น negative มันให้เกิดตัวตน ตัวตนที่เป็น negative ทั้งสองตัวตนนี้ อันตรายทั้งนั้นนะ จึงเป็นตัวตนที่มากขึ้น โง่มากขึ้น โง่ต่อ positive โง่ต่อ negative นี่ ตัวตน ตัวตนนั่นน่ะ จึงเกิดเป็นความทุกข์ คือเป็นปัญหา มันก็ถือของหนักอยู่ตลอดเวลา positive ก็หนัก negative ก็หนัก แล้วก็แบกถือของหนักอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้ เราจะมีความรู้ชนิดที่โยนทิ้งออกไป ทั้ง positive และ negative นี่เป็นหนทาง หนทาง ที่จะเข้าถึงไอ้ art สูงสุดที่ให้มนุษย์อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง หาวิธีโยนทิ้งเสีย ทั้ง positive และ negative
ทีนี้ก็มาถึงคำพูดคำเดียว คำพูดคำเดียวที่เป็นที่รวมแห่งปัญหาทั้งหมด นั้นคือคำว่า “ยึดมั่นถือมั่น” (attachment) ถ้ามันมาในรูป positive มันก็ attach แบบ positive ถ้ามันมาในรูป negative มันก็ attach แบบ negative แต่มันก็เป็น attachment เท่ากัน คุณอย่าเข้าใจว่า attachment มันจะมีแต่ของน่ารัก แม้ของไม่น่ารัก ของเป็นทุกข์ มันก็ attach เพื่อจะ เพื่อจะมีปัญหา เพื่อจะเป็นทุกข์ attachment มีทั้งฝ่าย positive และฝ่าย negative มันต้องเอาออก เอาออกให้หมด คือไม่มี attachment ใดๆ นี่ เราจึงจะ free เราจึงจะ free จากปัญหา จากความทุกข์ทั้งปวง อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง
ถ้าว่าเราจะแบกก้อนหิน ก้อนหินธรรมดานี่มันก็หนัก ถ้าเราจะแบกแท่งทองคำหรือเพชร แท่งเพชร ก้อนเพชรก้อนใหญ่ มันก็หนัก คิดดูสิ จะแบก positive ก็หนัก ไปแบบ positive จะแบก negative ก็หนักไปตามแบบ negative เพราะฉะนั้น อย่าแบกอะไร ก็หมายความว่า ไม่ attach ต่อ positive หรือ negative เราก็ free, free, free เรียกว่า ว่าง หรือ void จากอิทธิพลของ positive และ negative นั่นแหละจุด จุดมุ่งหมายที่จะต้องเข้าไปให้ถึง แล้วเราก็จะ free ชีวิต free ตัวเองมันได้ในที่สุด
มันก็ถูกแล้วที่ท่านมาที่นี่ ฝึกสติ mindfulness ระบบที่เรียกว่า อานาปานสติภาวนา เมื่อท่านฝึกสำเร็จในระบบอานาปานสติภาวนา ท่านจะมีความรู้ คือปัญญาที่จะไม่ attach อะไร และท่านจะมีสติ สติ ที่จะคอยควบคุมให้ท่านเวลาไม่เผลอ ไม่เผลอจะไป attach อะไร มีสติ มีปัญญา แล้วก็มีสมาธิที่จะบังคับจิตไว้ในความถูกต้อง ต่อไปเราก็ไม่มี attach ในสิ่งใด มันก็ไม่มีความหนัก มันก็ไม่มีปัญหา มันก็ไม่มีความทุกข์ อิทธิพลของ positive และ negative ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เรา free เรา free อยู่กับนิพพานหรืออยู่กับพระเป็นเจ้าได้ตามที่ต้องการ
เป็นอันว่า เมื่อเราไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ positive และ negative เพราะว่าเราไม่โง่ เราไม่มี ignorant เราฉลาด เรารู้แล้ว ต่อไปนี้ เราก็มีชีวิตอิสระ เราจะเป็น to be, to live, to have, to concern กับสิ่งทุกสิ่งทุกสิ่งได้ตามที่ควรจะมี ควรจะทำ โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าท่านเป็นฆราวาส ท่านจะมีการสืบพันธุ์มีการอะไรได้ โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ และชีวิตนี้ก็ไม่มีความทุกข์ด้วยประการใดๆ อีกต่อไป มีอะไรดีกว่านี้อีก มันๆ ไม่มีอะไรดีกว่านี้ คืออยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ขอให้รู้จักไว้เถิดว่า อยู่เหนือ positive และ negative แล้ว มันก็หมดปัญหา หมดปัญหา
มันแปลกอะไร ท่านลองคิดดูเอง เราไม่มีตัวตน เรามีชีวิตชนิดที่ไม่มีตัวตน แต่ว่าเรากลับไม่ตาย เราไม่ตาย ถ้าเราไปมีชีวิตชนิดที่มีตัวตน นั่นแหละ เราจะตาย จะตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีก เรามีตัวตนชนิดที่มิใช่ตัวตน ไม่ยึดถือว่า เป็นตัวตน เรากลับไม่ตาย มีชีวิตที่ไม่ตาย ความไม่ตาย มันอยู่ที่ตรงนี้ คืออย่าไปมีตัวตนเข้า ถ้าไปมีตัวตนเข้า มันจะต้องตาย เรามีจิตล้วนๆ ไม่ต้องมีตัวตนในสิ่งใด แล้วก็มีชีวิตชนิดที่ไม่ตายนั่นแหละ ความไม่ตายอยู่ที่ตรงนี้ ศาสนาไหนก็นำไปสู่จุดนี้คือความไม่ตาย แต่อธิบายหลักต่างกัน คำอธิบายต่างๆ กัน พุทธศาสนาอธิบายสั้นๆ ว่า มีชีวิตชนิดที่ไม่มีตัวตน มีชีวิตชนิดที่ไม่มีตัวตน แล้วเราก็ไม่ต้องตาย
สรุปความสั้นๆ ว่า Supreme art คือการมีชีวิตอยู่อย่างที่ไม่ต้องมีตัวตน The Way to the Art คือความมีสติ มีสติ มีสติ ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นตัวตน ไม่มีความทุกข์อะไรเหลืออยู่ แล้วอะไรจะมีปัญหา ขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการที่จะมีปัญญา รู้เรื่องไม่มีตัวตน มีสติห้ามกันไม่ให้หลงยึดถือว่าเป็นตัวตน ความมีสติ ไม่ไปหลงยึดมั่นสิ่งใดว่า เป็นตัวตนนั้นแหละ คือ The Way to the Art ถ้ามีเวลาพูดกันอีก ครั้งหน้าเราก็จะพูดเรื่องสติ ความมีสติ อย่างไรวันนี้ก็ต้องขอหยุดการบรรยาย
ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ ขอบพระคุณท่านทั้งหลาย เป็นผู้ฟังที่ดี อดทนมาทั้งนี้สองชั่วโมงแล้ว แต่ถ้าเราไม่มาพูดกันตอนเช้าอย่างนี้ คงไม่ทนได้ถึงสองชั่วโมง เราเลือกเวลาถูกแล้วที่มาพูดกันเช้าๆ อย่างนี้ จึงพูดกันได้ถึงสองชั่วโมง ขอให้ท่านประสบความสำเร็จ ในการที่มาที่นี่อย่าง tourist แล้วกลับไปอย่าง pilgrim, pilgrim เต็มไปด้วยความรู้สำหรับที่จะไม่มีความทุกข์ใดๆ ด้วยกันทุกๆ คนเทอญ ขอปิดประชุม
คุณไม่ต้องขอบคุณอาตมา อาตมาขอบคุณที่คุณอดทนฟัง