แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เฉพาะการกล่าวคำอาจาริยวาทนี่ ขอทำความเข้าใจกันสักหน่อยซึ่งมีความสำคัญไม่น้อย คำว่าอาจารย์ เป็นคำหลงเข้ามา คำเถื่อน คำแท้จริงที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์นั้น คือคำว่ากัลยาณมิตร ทรงย้ำให้สัตว์ทั้งหลายถือเอาพระองค์ว่าเป็นกัลยาณมิตร แล้วในภาษานักวิปัสสนาในขอบเขตของวิปัสสนาทั่วๆ ไปน่ะ เขาจะเรียกอาจารย์ว่ากัลยาณมิตรตามแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เขาไม่เรียกกันว่าอาจารย์ แต่คำนี้มันเป็นคำเถื่อน พลัดเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เรียกอาจารย์ เรียกอาจารย์ๆ นี้มันดูเหมือนจะเอาไว้ไหว้ไม่ต้องทำอะไร ถ้าเรียกว่ากัลยาณมิตร นี่เอาไว้ช่วยกัน เอาไว้ช่วยกันให้หลุดให้รอดให้พ้นจากปัญหาจากความทุกข์ทั้งปวง เมื่อใดใช้คำว่าอาจารย์ ขอให้มีความหมายว่าเป็นกัลยาณมิตรที่จะต้องปฏิบัติตามด้วยความหวังดี คำพูดว่าอาจารย์แต่ความหมายนั้นคือกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าสัตว์ทั้งหลายได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเกิด ที่มีความแก่เป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความแก่ ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเจ็บ ที่มีความตายเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความตาย มีความหมายมากขึ้นอย่างนี้ ก็เพราะว่ามีการปฏิบัติตามสมกับที่ว่าเป็นกัลยาณมิตร ความเป็นอาจารย์นี้ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นแหละ คือสำหรับที่จะปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามคำแนะนำว่าจะดับทุกข์กันอย่างไร ถ้าว่าอาจารย์นั้นมันน่ากลัว มันผูกขาด มันถือไม้เรียว แต่คำว่ากัลยาณมิตรนี่ มันไม่ถือไม้เรียว มันไม่สู้น่ากลัว แต่ก็มีการกระทำที่ได้ผลอย่างเดียวกัน ไม่ต้องยึดมั่นในอาจารย์และไม่ต้องยึดมั่นคำพูดๆ ศรัทธาในคำพูดโดยไม่ได้พินิจพิจารณาอะไร ถ้าจะมีความยึดมั่นกันบ้าง ก็ขอให้ยึดมั่นในเหตุผลที่มีอยู่ในคำพูด ในคำพูดของอาจารย์นั้นน่ะมันมีความจริงเป็นปาฏิหาริย์ ทำตามแล้วดับทุกข์ได้นั่นน่ะ ขอให้มองเห็นเหตุผลอันนั้นแล้วก็ยึดอันนั้นแหละเป็นหลัก ไม่ต้องยึดตัวคำพูด แต่ว่ายึดเหตุผลที่มันแสดงอยู่ในตัวคำพูด ซึ่งที่จริงแล้วใครจะพูดก็ได้ ถ้ามันมีเหตุผลแสดงอยู่ในตัวคำพูด ก็ยึดในเหตุผลนั้นแหละว่าเป็นหลักสำหรับปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ เรียกว่าไม่ยึดมั่นในคำของอาจารย์ แต่ยึดมั่นในเหตุผลที่แสดงอยู่ที่คำของอาจารย์นี่ พระพุทธเจ้าท่านประสงค์อย่างนี้ตามหลักกาลามสูตร ไม่ต้องเชื่อพระไตรปิฎก ไม่ต้องเชื่อตัวผู้พูด คือพระพุทธเจ้าเองว่านี้เป็นครูของเรา แต่ให้เชื่อให้ยึดในเหตุผลที่มันแสดงอยู่ในคำพูดที่ว่ามันดับทุกข์ได้จริง นี่จึงว่าไม่ต้องเชื่ออาจารย์ ไม่ต้องเชื่อคำพูดของอาจารย์ แต่เชื่อเหตุผลที่แสดงชัดเจนอยู่ที่คำพูดของอาจารย์ ถ้าทำได้อย่างนี้ก็สมบูรณ์แหละ ในความหมายแห่งอาจารย์ก็ได้ ในความหมายแห่งกัลยาณมิตรก็ได้ กัลยาณมิตรก็เป็นมิตรในการเกิดแก่เจ็บตาย ในการที่จะดับทุกข์ ในการที่จะแก้ปัญหานานาชนิด นี่เรียกว่ากัลยาณมิตร ขอให้ทุกท่านถือเอาความหมายนี้ เป็นความหมายของการกล่าวคำอาจาริยวาทบูชา นั่นแหละขอพูดทำความเข้าใจกันเพียงเท่านี้ เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีโบรงโบราณแต่กาลก่อนมาว่าเขาเรียกอาจารย์ว่ากัลยาณมิตร
เมื่ออาตมาเรียนหนังสือกลับมาจากกรุงเทพฯ ใหม่ๆ ได้พบนักวิปัสสนารุ่นเก่าขนาดอาจารย์วิปัสสนา ท่านก็แสดงความยินดีปรีดาปราโมทย์ว่าขอให้ได้เป็นกัลยาณมิตรๆ นี่ขนบธรรมเนียมประเพณีแต่กาลก่อนนั้น ถือเอาอาจารย์ผู้สอนสมาธิวิปัสสนานั้นว่าเป็นกัลยาณมิตร โดยเฉพาะที่ได้ไปเล่าไปเรียนมามากมายรู้พระไตรปิฎกมากมายแล้วก็ยิ่งถือเป็นกัลยาณมิตร คำว่ากัลยาณมิตรมีความหมายอย่างนี้ คำว่าอาจารย์มีความหมายดิ้นได้หลายอย่างหลายประการ แต่ขอให้สรุปความว่าช่วยแนะนำสั่งสอนให้รู้จักสิ่งที่ควรปฏิบัติและก็ได้ปฏิบัติ ก็ช่วยเหลือให้ปฏิบัติสำเร็จประโยชน์ สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกันนั้น ที่พูดนี้ไม่ใช่อะไร เพียงแต่ขอให้ระลึกถึงความหมายของคำว่ากัลยาณมิตร เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เพื่อนเวียนว่ายในวัฏฏะแล้วก็จะได้ช่วยกันออกมาเสียจากวัฏฏะ เอาล่ะ,พอสำหรับคำว่าอาจาริยวาท หรืออาจาริยบูชา
ต่อไปนี้ก็จะได้บรรยายธรรมะไปตามลำดับต่อจากที่ค้างไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน กลางวันได้พูดไปแล้ว ๒ ตอน ตอนเช้าว่าด้วยเรื่องทุกข์หรืออะไรคืออายุ ตอนบ่ายก็ได้พูดถึงเรื่องสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์หรือเกิดอายุโดยหลักอริยสัจ ทีนี้ก็จะพูดข้อที่ ๓ โดยความหมายของคำว่านิโรธ นิโรธะ ซึ่งแปลว่าดับ ทุกขนิโรธ ก็ดับทุกข์ เดี๋ยวนี้เราจะดับปัญหาอายุคือดับทุกข์ ดับทุกข์ก็ดับปัญหาอายุ จะพูดถึงเรื่องดับกันแล้ว เพราะว่าเราจะปฏิบัติหรือจะกระทำกันต่อไปนี้ ก็เพื่อประโยชน์แก่การดับ เพื่อประโยชน์แก่การดับ ดังนั้นมันจึงเข้าในรูปคำว่าเพื่อประโยชน์อะไร ความหมายที่ ๓ ก็ว่าเพื่อประโยชน์อะไร ความหมายที่ ๑ ว่าคืออะไร ความหมายที่ ๒ ว่ามาจากอะไร ความหมายที่ ๓ ว่าเพื่อประโยชน์อะไร เพื่อประโยชน์อะไร ขอให้ตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ จะพูดถึงเรื่องนิโรธคือความดับ ดับแห่งอายุ ดับแห่งอายุ หมายความว่าดับความทุกข์ที่เกิดมาจากการมีอายุ การยึดมั่นถือมั่นในการมีอายุผูกพันอยู่กับอายุ ก็เลยเป็นทุกข์ขึ้นมา ทีนี้ก็ขอให้ดับเสียๆ จะเรียกว่านิโรธ จะดับตัวตน ใช้คำว่าดับตัวตนก็ได้ จะดับอายุซึ่งมันสร้างปัญหาให้แก่ตัวตนก็ได้ รู้แล้วว่าสมุทัยของมันนั้นก็คือตัณหา อุปาทาน ถ้ามีอุปาทานโดยเฉพาะอัตตวาทุปาทาน อุปาทานที่ทำให้เกิดคำพูดออกมาว่าตัวตนๆ นี่สิ่งนี้จะต้องดับ หรือการดับแห่งสิ่งนี้จะเรียกว่านิโรธแห่งอายุ ซึ่งตั้งรากฐานอยู่บนตัวตน ดับอุปาทานก็คืออย่าให้ตัณหาปรุงแต่งเป็นอุปาทาน เมื่อตอนกลางวันได้พูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างละเอียดละออที่สุดแล้วว่ามันเป็นปัจจัยกันอย่างไรในปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้ายังไม่ลืมเสียท่านก็จะยังจำได้อยู่ว่าอุปาทานนั้นมาจากตัณหาซึ่งมาจากเวทนา ถ้าเราจะดับอุปาทานก็หมายความว่าอย่าให้มันเกิดอุปาทาน โดยไม่เกิดตัณหา โดยไม่หลงใหลในเวทนา โดยไม่โง่ต่อเวทนา ก็ดับตัณหา ดับตัณหาก็คือดับอุปาทาน แต่ถ้าว่าจะให้สาวไปถึงต้นตอที่สุด มันก็ไปถึงอวิชชาโน่น หรือจะเรียกอีกอย่างว่ามิจฉาทิฏฐิก็ได้ ความมีมิจฉาทิฏฐิหรืออวิชชานั่นแหละมันเป็นเหตุให้เกิดอะไรมาตามลำดับ จนเกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน แล้วเกิดผลร้ายคือภพ คือชาติ คือทุกข์ทั้งปวง จะดับอุปาทานก็ดี หรือจะดับลงไปถึงตัณหาเวทนาก็ดี ต้องมีสติๆ มีสติให้เกิดการหยุดชะงักหรือดับ ถ้าว่าไปถึงต้นตอจริงๆ ก็ให้อวิชชามันดับ อวิชชามันดับ แล้วมันก็จะดับ.. (เสียงเทปไม่ชัด นาทีที่ 12:29)..กันมา นี่ขอให้เรามองให้เห็น เหมือนกับมองเห็นสิ่งในสายตาอย่างนี้ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างนี้ ความลับที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับคำพูดน่ะ ขอให้ช่วยฟังให้ดีๆ คำว่าดับๆ นี่มันเป็นคำพูดพล่อยๆ หรือพูดส่งๆ ออกไป ที่จริงนั้นคืออย่าให้มันเกิด ไม่ให้มันเกิด นั่นแหละคือดับ มีประโยชน์และถูกต้อง ถ้ามันเกิดเสียแล้ว มันก็ยุ่ง มันก็ยุ่ง เกิดทุกข์แล้วจึงดับทุกข์นี่ มันก็เป็นทุกข์เสียแล้ว เป็นทุกข์เสียแล้ว จะดีอะไร แต่ที่ไม่ให้มันเกิด ไม่ให้มันเกิดนั่นแหละ คือดับทุกข์แหละ ดับกิเลส ตัณหา อุปาทานก็เหมือนกัน มีความหมายว่าไม่ให้มันเกิด ไม่ให้มันเกิด ที่ว่าตัดต้นเหตุของมันโดยสิ้นเชิง มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดโดยประการทั้งปวง ขอให้จำไว้ว่าความลับอันนี้อยู่ที่ว่า ที่ว่าดับๆ นี้มันพูดไม่ตรงเรื่อง ก็ต้องไม่ให้มันเกิด ตรงเรื่อง ไม่ให้อวิชชามันเกิด ไม่ให้ตัณหาอุปาทานเกิด ไม่ให้มันเกิด ทุกข์ก็ไม่ให้มันเกิด ถ้าเกิดแล้วมันยุ่ง แล้วมันจะเสียเปรียบ เป็นฝ่ายเสียเปรียบถ้าทุกข์เกิดแล้วจึงจัดการ เราเสียเปรียบ เราสู้มันได้เหรอ เพราะมันกัดเอาหรือมันอะไรเอาจนตั้งตัวไม่ติดแล้ว ถ้ามันเกิดเสียแล้ว อย่าให้มันเกิดนั่นแหละคือดับ ช่วยจำไว้ตลอดกาลเลย ดับ หมายความว่าอย่าให้มันเกิด นี่จะต้องมีสติให้มากพอๆ ฝึกสติให้มากพอ ให้เร็ว ให้เร็วเป็นสายฟ้าแลบ สติจะป้องกัน เป็นเครื่องกั้น เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้มันเกิด ไม่ให้มันเกิด พระบาลีเรื่องนี้มีแยะ กั้นไว้ด้วยสติ ไม่ให้มันเกิด ไม่ให้มันเกิด ถ้ามีสติ มันไม่เกิด เมื่อมันไม่เกิด มันก็ไม่ต้องดับให้มันเหนื่อยให้เสียเวลาให้ลำบากยุ่งยาก นี่เราก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ เมื่อเราเป็นเบี้ยบน ถ้าให้มันเกิดเสียแล้วจึงดับ เราก็เป็นเบี้ยล่าง บางทีก็ดับไม่ได้ ไฟอย่างนี้ เผาเราแล้วจึงดับอย่างนั้นเหรอ ไฟอย่างนี้อย่าให้มันเกิดขึ้น อย่าให้มันลุกขึ้นมาเผาเรา นั่นแหละคือดับไฟๆ
คำว่านิโรธ แปลว่าดับไม่เหลือก็จริง แต่เนื้อแท้มันคือไม่ให้มันเกิดโดยเด็ดขาด ไม่ให้มันเกิดโดยเด็ดขาด นั่นแหละคือดับไม่เหลือๆ หรือที่จะเรียกว่านิโรธก็ตามใจ ใช้ได้ ถ้าลึกไปกว่านั้น มันก็คือตัดต้นเหตุ ต้นเหตุคืออุปาทานๆ ใช้คำที่ไพเราะอีกคำหนึ่งก็คือคำว่าปฏินิสสัคคะๆ คงจะแปลกหูสำหรับโดยมาก ปฏินิสสัคคะ แปลว่าโยนคืน สลัดคืน ขว้างทิ้งกลับไปให้เจ้าของ ของๆ ธรรมชาติ เรามันโกง เรามันมีกิเลส เรามันโกง ไปเอาของธรรมชาติมาเป็นตัวกู มาเป็นของกู นี่มันก็เกิดเรื่อง ทีนี้ถ้าจะประนีประนอมกัน ก็คืนให้มันเสียสิ คืนให้มันเสียสิ ปฏินิสสัคคะโยนคืนกลับไปให้เจ้าของเดิม ก็เลิกกัน เลิกเป็นความกัน เลิกต่อสู้กัน ปฏินิสสัคคะนี่จะช่วยได้ลึก ช่วยได้ลึก เพราะว่าคืนต้นเหตุ คืนสิ่งซึ่งมันเป็นต้นเหตุเป็นต้นเรื่อง ดับเสีย โยนคืนให้เจ้าของเสีย เจ้าของก็ถอนฟ้องนะ ศาลก็ไม่ต้องตัดสิน นี่ คดีมันก็ระงับ
มีปัญญา มีวิชชามองเห็นว่าคดโกง ปล้นของธรรมชาติมาเป็นตัวกู มาเป็นของกูอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้เกิดละอายขึ้นมา ไม่เอาแล้วเว้ย,ขี้ชอบขี้ขโมยอย่างนี้ สลัดไปเลย สลัดไปทันทีเลย ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรไว้โดยความเป็นตัวกู เป็นของกู นี่เรียกเรียกว่าปฏินิสสัคคะ มันตัดต้นเหตุในชั้นลึกเข้าไปอีก ดับต้นเหตุก็ลึกแล้ว ทีนี้ดับต้นเหตุของต้นเหตุอีกทีหนึ่ง นี่อย่างนี้สบายๆ ไม่ยุ่งยากไม่ลำบาก อัตตาเป็นของโกงเอามาจากธรรมชาติ เอาของธรรมชาติมาเป็นของกู เป็นทรัพย์สมบัติพัสถานอะไรของธรรมชาติเอามาเป็นของกู คืน คืน คืน คืนให้หมด ก็เกิดอาการที่เรียกว่านิโรธ นิโรธอย่างลึกซึ้ง อย่างลึกซึ้งถึงที่สุดเลย ดับไฟนี่ มันบางทีตัวตายก็มี ดับไฟ การดับไฟนี่ ทีนี้ก็อย่าให้มันเกิด อย่าให้มันเกิด นั่นแหละคือดับไฟที่แท้จริง ทีนี้ระมัดระวังลึกลงไปอีกอีกชั้นหนึ่งว่าไม่ให้มันเกิดโดยวิธีใด คือว่าจัดการเรียบร้อย จัดการไม่ให้มีทางที่ไฟจะเกิดขึ้นมาได้ ออกไปอีก ไกลออกไปอีก ไกลออกไปอีก คือป้องกัน ป้องกันไฟ ไกลออกไปๆ นั่นแหละดับ ดับ ดับไฟที่แท้จริง โดยที่ไฟไม่ต้องลุกขึ้นมาให้ดับ อาตมารับรองเองว่าแม้ในพระบาลีจะใช้คำว่านิโรธ ก็ดับไม่เหลือ แต่คำนี้หมายความว่าไม่ให้มันเกิด ไม่ให้มันเกิด โดยนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาทก็คือ ไม่ให้มันเกิดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาททุกๆ อาการ ทุกๆ อาการเป็นลำดับมา นี่ความหมายของคำว่านิโรธๆ ซึ่งเราจะพูดกันให้ชัดเจน นิโรธ ไม่ให้เกิดแห่งอัตตา ไม่ให้เกิดแห่งอายุ ปัญหาไม่มี ปัญหาหมด ความทุกข์ไม่มี ความทุกข์หมด
ทีนี้จะขอพูดในทำนองชักจูงโฆษณาให้เกิดความอยากที่จะดับ ให้เกิดฉันทะวิริยะอุตสาหะที่จะดับ ฟังให้ดี แล้วมันก็จะเกิดความอยาก อยากดับอยากป้องกันไม่ให้เกิด โดยการเปรียบเทียบกันในระหว่างการเกิดกับการไม่เกิดว่ามันต่างกันอย่างไร เมื่อยังไม่เลิกอายุ ยังไม่ทำการเลิกอายุหรือเลิกอายุไม่ได้ มันก็มีตัวกู ตัวกู ตัวกูหราอยู่นั่นแหละตลอดเวลา พอเลิกอายุเสียได้ ตัวกูก็ไม่มี หายหน้าไปหมด ไม่อาจจะเกิดขึ้นมา ไม่อาจจะเกิดขึ้นมาเป็นความรู้สึกว่าตัวกูหรือของกู นี่มันต่างกันลิบ ชีวิตด้านหนึ่งเต็มไปด้วยตัวกู เต็มไปด้วยของกู ยุ่งเหลือที่จะสาง เหลือที่จะแก้ ชีวิตด้านนี้ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ไม่มีอะไรยุ่ง นี่ก็ดูเถิด มันต่างกันกี่มากน้อย เมื่อมีอายุ ยังมีอายุ มันก็มีผู้ ผู้นั่นผู้นี่ ผู้ได้ผู้เสีย ผู้แพ้ผู้ชนะ ผู้ขาดทุนผู้กำไร มีผู้ ผู้ ผู้ พอเลิกอายุเสีย ก็ไม่มีผู้เหลือสักตัวเดียวเลย ไม่มีผู้อะไรเหลือ มันต่างกันกี่มากน้อย เดี๋ยวนี้มันมีแต่ผู้ ผู้หญิงผู้ชาย ผู้นายจ้างผู้ลูกจ้าง เป็นผู้ ผู้ ผู้ ผู้ไปหมด ยุ่งไปหมด เลิกผู้ๆ นี้เสีย ก็ไม่มีอะไรยุ่ง มิเช่นนั้น มันมีความเป็นผู้หญิงความเป็นผู้ชาย แล้วมันก็มีความผูกพันออกไปถึงว่ามันจะต้องเป็นลูกเขยจะเป็นลูกสะใภ้ แล้วมันจะเป็นพ่อตาเป็นแม่ยาย เป็นอะไรกันยุ่งไปหมด มันเกี่ยวพันกันเรียกว่ายุ่งเหลือประมาณและยุ่งกว่าอะไรจะยุ่งเท่า เดี๋ยวนี้มีเป็นพ่อเป็นแม่แล้วยังนับลงต่อไปถึงลูกถึงหลานถึงเหลนถึงอะไรไม่รู้มันผูกพันไปถึง มีความรับผิดชอบกันถึงขนาดนั้น
ทีนี้ฐานะต่างๆ ก็เลิกเลิกฐานะต่างๆ เป็นเศรษฐีหรือเป็นขอทาน เป็นคนมั่งมีหรือเป็นคนยากจน เป็นลูกจ้าง หรือเป็นนายจ้าง นี่เลิกกันๆ คนที่เป็นลูกจ้าง สนุกไหม ลองคิดดู ถึงเป็นนายจ้างก็ไม่ใช่สนุกนัก เพราะมันต้องต่อสู้กับลูกจ้าง ถ้ามันมีความเป็นนายจ้างหรือเป็นลูกจ้างแก่กันและกันแล้ว มันจะมีการต่อสู้กันตลอดเวลา มันจะฟัดเหวี่ยงกันตลอดเวลา มันคอยจ้องที่จะเอาเปรียบกันตลอดเวลา นี่เป็นธรรมดาของลูกจ้างและนายจ้าง ถ้าเลิกเสีย จะสบายจะกี่มากน้อย เมื่ออาตมาจะต้องแสดงธรรมะแก่พวกลูกจ้างที่มาขอรับธรรมะ อาตมาบอกอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ คุณเลิกสิ เลิกเป็นลูกจ้างเสียสิ ค่าจ้างนั้นน่ะเป็นค่าใช้สอย เขาให้เรามาใช้สอยเพื่อทำประโยชน์ เพื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อทำโลกนี้ให้มีสันติภาพ เพื่อทำโลกนี้ให้งดงาม เงินที่เขาให้มานั้นอย่าถือเป็นค่าจ้าง ถือเป็นค่าใช้สอย เราก็ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เขาให้ค่าใช้สอยมาเยอะแยะ ฉันไม่เป็นลูกจ้าง ฉันเป็นเพื่อนสร้างโลกกับนายจ้าง หรือว่าฉันเป็นสหกรณ์กับนายจ้างช่วยกันสร้างโลก เลิกความเป็นลูกจ้างเสียฝ่ายนี้ ฝ่ายนายจ้างเขาจะไม่ยอมตามใจ ช่างหัวนายจ้าง ถ้านายจ้างเขาไม่ยอม แต่เราจะไม่เป็นลูกจ้าง ไม่เป็นลูกจ้างข้าราชการ ไม่เป็นลูกจ้างบริษัท ไม่เป็นลูกจ้างอะไรหมดแหละ เราจะเป็นผู้ทำโลกนี้ให้งดงาม สร้างโลกให้มีสันติภาพ เงินที่เขาให้มาเป็นค่าใช้สอยเพื่อสร้างโลกนี้ให้มีสันติภาพ นี่เลิกตัวกูเสียได้มันมีประโยชน์อย่างนี้แหละ สามารถจะเปลื้องตัวเองออกมาเสียจากความเป็นลูกจ้าง แล้วก็มาเป็นอะไรล่ะ เป็นเพื่อนสร้างโลกกับนายจ้าง เป็นคู่สหกรณ์ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้มีสันติภาพ
เลิกตัวกูเสีย มันก็ไม่มีความรู้สึกว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบ มันไม่ต้องระแวง มันไม่ต้องวิตกกังวลเป็นห่วงว่าจะเสียเปรียบ และมันก็ไม่ละโมบโลภลาภ คิดว่ากูจะได้เปรียบ กูจะเอาเปรียบ มันไม่มี ไม่มีทั้งเรื่องเสียเปรียบ ไม่มีทั้งเรื่องได้เปรียบ แล้วก็จะไม่เป็นผู้มีเกียรติหรือผู้เสียเกียรติหรือว่าเป็นผู้แบกเกียรติ เสียเกียรติก็ไม่ไหว ได้เกียรติก็ยุ่ง ได้เกียรติแล้วเอามาแบกไว้ มันก็มีมีลักษณะเหมือนกิ้งก่าได้ทองๆ นิทานอุปมาเรื่องนี้ไม่ต้องเล่า กิ้งก่าได้ทองก็เต้นเร่าๆ เพราะมันมีตัวกู เพราะมันมีความยึดถือเป็นของกู แม้ว่ามันไม่ต้องการสิ่งนั้น มันก็ยังยุ่งนะ ไก่ได้พลอย มันไม่ต้องการหรอก แต่ก็ยังมีปัญหา มันไม่ต้องได้ ไม่ต้องได้ ไม่ต้องได้ ไม่ต้องทำตัวเป็นยกหูชูหางเหมือนกิ่งก่าได้ทอง แล้วก็ไม่ยุ่งกับอะไร ไม่ยุ่งกับอะไร ไม่ต้องเสียเวลา ไปได้เหมือนกับไก่ที่มันได้พลอย ไม่หลงเกียรติ ไม่หลงเกียรติ ไม่แบกเกียรติ ไม่บ้าเกียรติ ไม่เมาเกียรติ ไม่หลงเกียรติ ไม่หลงความร่ำรวย ไม่หลงความสวยงาม ไม่หลงความมีเกียรติ แต่แล้วใครไม่ชอบ ไม่มีใครชอบ อยากจะมีสวย มีรวย มีเกียรติทั้งนั้นแหละ แทรกเข้ามาทีเดียวที่จะมีเกียรติ ชิงเอาหน้าเลยนี่ เพราะมันบ้าเกียรติและหลงเกียรติ นี่คิดดูให้ดีๆ ว่ามีปัญหามากมายถึงอย่างนี้ แล้วที่ว่ามันบ้านี่ มันบ้าไม่มีขอบเขต มันบ้าสวรค์ สวรรค์ในความร่ำลือ คนพูดมันก็ไม่เคยไปมา เจ้าตัวนั้นก็ไม่เคยเห็น แต่มันก็บ้า บ้าสวรรค์ทั้งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
อยากจะละอัตตา ก็จงพยายามศึกษาให้ละเอียดจนเกลียดน้ำหน้ามันให้ถึงที่สุด เกลียดอัตตา กลัวอัตตา หลีกเลี่ยงอัตตาที่เป็นเพียงมายา ที่เป็นเพียงความโง่สร้างขึ้นมา ไม่มีตัวตนจริง แต่ว่าครอบงำจิตใจจริง ทำจิตใจให้เป็นทุกข์จริง มันจริงในส่วนนี้ มันไม่ใช่ตัวจริง แต่มันจริงในส่วนที่มันกัดเจ้าของ ของปลอมนี้เกิดขึ้นมาที่ใครก็กัดเจ้าของ ชีวิตนี้ก็กัดเจ้าของเพราะมีความยึดมั่นถือมั่นว่าอัตตา ตัวตน อัตตนียา ของตน มีได้ทั้งฝ่ายบวกและฝ่ายลบ ฝ่ายบวก..(เสียงขาดหายไป,นาทีที่ 30:02) เป็นสกิทาคามีแล้ว นี่มันบ้ามรรคบ้าผล ซึ่งไม่ใช่ของเมา มันก็เอามาทำให้เมา เช่นเดียวกับบ้าสวรรค์โดยไม่ได้แตะต้องสวรรค์ ทีนี้หนักขึ้นไปอีก มันจะถึงกับบ้านิพพาน เป็นไปได้ เป็นไปได้ถึงอย่างนี้ น่ากลัวไหม บ้านิพพานทั้งที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก มันอยู่ไกลเหลือที่จะกล่าว มันก็บ้าได้ มันก็บ้าที่จะนิพพานให้จนได้แหละ ได้ยินเขาว่า ได้ยินเขาบรรยายกันว่าจะนิพพานๆ อยากได้นิพพาน เล่าเรื่องที่เคยเล่าบ่อยๆ อีกทีก็ได้ อย่าเพิ่งรำคาญ ผู้หญิงคนหนึ่งเขามาบอกว่าขอให้ช่วยสอน เขาอยากจะไปนิพพาน อยากจะได้นิพพาน ช่วยสอนช่วยแนะ อาตมาก็พูดคำเดียวว่านิพพานน่ะ ที่นิพพานน่ะ ไม่มีรำวงนะ พูดเท่านี้เรื่องจบ หยุดบ้า พอว่านิพพานไม่มีรำวงนะ มันขอ ขอถอนแล้ว ไม่ต้องการนิพพานแล้ว เจ้าคนๆ นี้มันชอบรำวง มันชอบรำวง มันคิดว่าที่นิพพานที่เมืองนิพพานจะรำวงกันใหญ่ๆ สนุกสนานยิ่งใหญ่เลย อย่างนี้ก็เรียกว่าบ้านิพพานก็ได้เหมือนกัน บ้าสวรรค์ บ้าความเป็นอรหันต์ แล้วก็บ้านิพพาน เลิกอายุแล้วไม่มี หมด หมดบ้า หยุดบ้า เลิก หมดบ้า ไม่มีอะไรบ้า ไม่ต้องบ้า มันยังมีบ้าที่น่าสงสารอีกอันหนึ่ง ก็คือว่ามันบ้าตัวเอง มันบ้าตัวเอง มันหลงตัวเองจนทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนกับบ้าเงาน่ะ มันบ้าเงา มันมุ่งหมายอะไรไว้เพียงเงาๆ แล้วก็หลงก็บ้า แบบที่เรียกว่าสร้างวิมานในอากาศนั่นแหละ มันบ้าตัวเอง มันบ้าเงาของสิ่งที่คิดเอาๆ สิ่งที่ยังไม่มี มันก็บ้าเงาก็ได้ สิ่งที่มันผ่านไปแล้ว มันเอามาบ้าเงาอีกก็ได้
เอ้า,ทีนี้ก็จะพูดให้ชัดแคบเข้ามาว่า เมื่อมันยังเลิกอายุไม่ได้ เลิกตัวกูไม่ได้นี่ มันก็หายใจเป็นตัวกู หายใจเข้า หายใจออกเป็นตัวตน เป็นความเห็นแก่ตน มันมีลมหายใจที่เห็นแก่ตนทั้งหายใจเข้าและหายใจออก พอมันเลิกอายุได้ มันก็ไม่หายใจเป็นเห็นแก่ตัว มันหายใจเป็นเห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ก่อนนี้หายใจเข้าออกเป็นตัวกู เป็นของกู เป็นเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้หายใจเป็นเห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่เพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย หายใจคนละอย่างเลย เปลี่ยนลมหายใจได้เลย ถ้าว่ามันเลิกอายุเสียได้
เอ้า,สรุปความอีกสักข้อหนึ่งว่า เมื่อยังไม่เลิกอายุ เลิกอายุไม่ได้ เต็มไปด้วยปัญหาแห่งอายุนั่นน่ะ มันเปรียบได้เหมือนกับว่าอยู่กับยักษ์อยู่กับมาร อยู่กับยักษ์อยู่กับมาร คิดดูเองเถิดว่ามีปัญหาเท่าไหร่ มีชีวิตอยู่กับยักษ์กับมาร แต่งงานกับยักษ์กับมารน่ะ สนุกเท่าไหร่ พอเลิกตัวกู เลิกอายุเสียได้ มันก็อยู่กับพระ อยู่กับพระ ไม่อยู่กับมาร ชีวิตหนึ่งอยู่กับยักษ์กับมาร ชีวิตหนึ่งอยู่กับพระ นี่อานิสงส์ที่มันจะพึงได้ หรืออานิสงส์ของนิโรธที่มันจะดับเสียได้ซึ่งอายุ ซึ่งตัวกู โฆษณานิโรธเสียหน่อย ให้เป็นที่น่าสนใจ แล้วก็จะได้พยายามให้มันมีนิโรธนี้ขึ้นมา
เอ้า,ขอเดินตลาดต่ออีกหน่อย คือโฆษณา โฆษณาสินค้าของพระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่สินค้าปลอม ไม่ใช่สินค้าหลอกลวง โฆษณาสินค้าของพระพุทธเจ้า ถ้าละตัวกู ละอายุเสียได้ มันก็กลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครมาทำให้รำคาญได้ แต่ละวันๆ มีคนมาทำให้รำคาญ คนในบ้านก็ทำให้รำคาญ ลูกเล็กเด็กแดงก็ทำให้รำคาญ เกิดความรำคาญนั่นนี่อยู่เรื่อย เลิกอายุ เลิกตัวกู ไม่มีใครมาทำให้รำคาญได้ เพราะมันไม่มีตัวกูจะรับความรำคาญ ถึงแม้จะมีใครมายั่วให้รำคาญ มันก็ไม่รำคาญหรอก เพราะมันไม่เกิดตัวกูออกมารับการยั่วให้มันเกิดความรำคาญ เป็นอันว่าตัดกันไปได้เลยเรื่องรำคาญ ไม่ต้องมี และไม่ต้องเที่ยวหาที่สงบสงัด ไม่ต้องหนีไปหาที่สงบสงัด ที่ต้องหนีไปหาที่สงบสงัดนั้นน่ะ มันทำไม่เป็น มันมีตัวกู มันมีอายุ ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาที่สงบสงัดที่ตากอากาศ ไปหาความสงบตามแบบของเขา ต้องเสียเวลา ต้องหนี ต้องหนีไปหาที่สงบสงัด ไอ้บ้า เมื่อตัวกูมันติดไปด้วยแล้วจะหนีไปไหนเล่า หนีไปไหนล่ะ หนีไปหัวหิน ตัวกูก็ติดไปด้วย หนีไปอยู่ที่ภูเขาสูงสุดที่ดอยอินทนนท์ ตัวกูมันก็ติดไปด้วย ตัวกูมันก็ติดไปด้วยนี่ แล้วมันจะสงบสงัดอะไร ที่สงบสงัดแท้จริง มันตรงไหนก็ได้ ที่นี่ก็ได้ โยนตัวกูทิ้งออกไป โยนตัวกูทิ้งออกไป ไม่มีตัวกู ตรงนั้นก็จะเป็นที่สงบสงัดขึ้นมาทันที คนมันยังโง่ ยังบ้า เที่ยวหาที่สงบสงัดยุ่งยากลำบากหมดเปลือง มันไม่รู้ว่าตรงไหนไม่มีตัวกู ตรงนั้นเป็นที่สงัด กลางโรงละครก็ได้เอาสิ กลางโรงหนังโรงละครก็ได้ ข้างๆ เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมก็ได้ อย่ามีตัวกูสิ อย่ามีตัวกูสำหรับจะรำคาญหรือจะรับอารมณ์ นี่เลิกตัวกูแล้วก็จะเป็นที่สงบสงัดเงียบเป็นวิเวกไปหมดแหละ ไม่ต้องเที่ยวหนีๆ บางคนก็เที่ยวหนี ไปจำพรรษาที่นั่น ไปจำพรรษาที่นี่ เที่ยวไปที่ซ่อนตรงนั้น ที่ซ่อนตรงนี้ มันแบกเอาตัวกูทูนหัวไปด้วยไม่รู้ แล้วมันจะหาที่สงบสงัดได้อย่างไร
เลิกอายุ เลิกตัวกูแล้วมันก็จะเป็นที่สงบสงัดไปเสียทุกหนทุกแห่ง อย่าไปเสียเงินเสียทองเสียเวลากับมันมากนัก เรื่องที่ว่าเที่ยวหาที่สงบสงัดนั้น อย่างมากก็ว่ามันยุ่งยากหรือว่ามันรบกวนมาก จะหลบไปเสียบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าที่เป็นเรื่องรำคาญ เป็นเรื่องเดือดร้อนแล้วก็ มันไม่สงบแล้วก็ ไปจัดการกับตัวกู จัดการกับตัวกู มันจะเป็นที่สงบสงัดไปได้ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าที่ไหน นี่มันง่ายอย่างนี้ มันได้เปรียบอย่างนี้ เลิกตัวกู เลิกอายุเสียได้ ก็จะไม่ถูกด่า จะไม่ถูกด่า ให้มันด่ากันทั้งโลก มันก็ไม่ถูกด่าหรอก เพราะไม่มีตัวกูที่จะรับเอานี่ นี่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ขอให้จำกันไว้ใช้เถิด มันจะไม่ถูกด่า ไม่ถูกใครด่า ไม่ถูกใครว่าร้าย เพราะมันเอาตัวกูออกไปเสียแล้ว มันจะมีปกติ นี่ปกติ พอไม่มีตัวกู มันก็ไม่มีการสูญเสียอิสรภาพหรือเสรีภาพ ไม่มีอะไรมาทำให้สูญเสียเสรีภาพ เพราะมันไม่มีตัวกูจะเสียนี่ มันไม่มีตัวกูจะเสียเสรีภาพนี่ เอาสิ,ใครจะมาด่า ใครจะมาทำอะไรก็เอาสิ จะพบที่สงบสงัดไปเสียทุกแห่ง กลางโรงละครหรือในรถไฟ หรือในโรงงานอุตสาหกรรมก็อยู่ได้ด้วยความสงบ เพราะว่าตัวกูมันไม่ออกมารับ ตัวกูไม่ออกมาสร้างสังขารปรุงอารมณ์ มันก็เป็นที่สงัด แล้วก็ไม่มีใครแกล้งได้ ไม่มีใครทรยศได้ ไม่มีใครหักหลังได้ เพราะมันไม่มีตัวกูให้ถูกหักหลัง ให้ถูกทรยศ มันไม่ต้องมีการขัดใจกับใคร ไม่ขัดใจกับใคร เพราะมันไม่มีตัวกูจะขัดใจ นี่สบายไหม ถ้าว่าไม่ต้องมีความขัดใจกับอะไร กับหมากับแมวก็ไม่ต้องนะ เดี๋ยวนี้มันขัดใจไปเสียหมด รอบด้านไปเสียหมด แม้แต่สิ่งของเครื่องใช้ไม้สอยที่ไม่มีชีวิตชีวา มันก็ขัดใจได้ มันทะเลาะกับหม้อข้าวหม้อแกงถ้วยชามรามไหก็ได้นี่ มันก็ขัดใจไปเพราะว่ามันมีตัวกู เพราะมันมีตัวกู
มีตัวกูออกไปเสียแล้ว อะไรๆ มันก็จะดีหมด ไม่มีปัญหา ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เกิดขึ้นมันก็ไม่เลวไม่ร้าย มันกลายเป็นเรื่องสอน เป็นการสอน มีเรื่องดีเข้ามา ก็ไม่บ้าดี ไม่หลงดี มันก็กลายเป็นการสอน ตามคำโบราณที่เขาถือเป็นหลักกันทั่วไปว่าถูกก็เป็นครู ผิดก็เป็นครู ไม่มีอะไรเสีย มันต้อนรับได้ดีทั้งผิดและทั้งถูกเพราะไม่มีตัวกู ไม่ชอบอย่างนี้ก็ตามใจ แต่เอามาบอกว่าความจริงมันเป็นได้อย่างนี้ มันเป็นได้อย่างนี้ มันก็จะหมดปัญหาเกี่ยวกับความเกิด ความตาย ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครไข้ เอาตัวกูออกไปเสีย ไม่แพ้ไม่ชนะ เพราะมันไม่รบกับใคร มันไม่มีตัวกูสำหรับจะรบหรือทำสงครามกับใคร มันเลยไม่มีแพ้ไม่มีชนะ เพราะว่ามันไม่ได้ทำสงครามนี่ มันไม่ได้มีการรบนี่ มันสบาย ผู้ชนะก็ถูกจองเวรถูกอาฆาต ผู้แพ้ก็นอนเป็นทุกข์, ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต ไม่ไหวทั้งแพ้และทั้งชนะ ทั้งผู้ชนะก็ถูกเขารุมจองเวร ผู้แพ้ก็มานอนเป็นทุกข์ ฉะนั้นฉันอยู่เหนือแพ้เหนือชนะ อยู่เหนือการแพ้อยู่เหนือการชนะเพราะว่าโยนตัวกูทิ้งออกไปเสียแล้ว ทำอะไรก็ไม่เหนื่อยถ้าไม่มีตัวกู ถ้ามีตัวกูแล้วมันเหนื่อยล่วงหน้า มันขี้เกียจล่วงหน้า มันเหนื่อยล่วงหน้า ถ้าไม่มีตัวกูมันจะไม่รู้สึกเหนื่อย จนไม่มีแรงจะทำมันก็นอน นอนโดยไม่ต้องรู้สึกเหนื่อย ถ้าไม่มีตัวกูมันจะไม่มีเหนื่อย มันจะสนุกไปในการทำงาน บางทีอาตมาแนะว่าทำงานให้สนุกเป็นสุขตลอดเวลา ทำงานนี่ก็หมายความเอาตัวกูออกไปเสีย แล้วการงานนี้มันก็จะสนุก แม้จะทำงานโกยเลน โกยขี้หมา มันก็สนุกได้ มันไม่มีตัวกูที่จะมารังเกียจเดียดฉันท์อะไร ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่เวียนว่าย พูดอย่างสำนวนโบราณก็ว่า ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง มะพร้าวนาฬิเกร์ หมายความไม่มีอะไรมาทำให้รำคาญ ให้หวั่นไหว ให้เดือดร้อน ความหมายมันลึกละเอียดประณีต ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง ไม่รู้สึกว่ากูเป็นอะไร กูทำอะไร มันก็ไม่เหนื่อย ทั้งวันกูไม่ได้ทำอะไร ก็อย่าไปหมายมั่นว่าตัวกูทำอะไรสิ สติปัญญาทำไปตามหน้าที่ตามที่ควรทำ ทำให้มันสนุก ทำให้มันสนุก อย่างนี้เรียกว่าไม่เหนื่อย ไม่มีศาสตราวุธใดๆ มาทำอันตรายได้ เพราะมันไม่มีตัวกู ให้ทำอันตราย ไม่มีปืนชนิดไหนมายิงผู้ไม่มีตัวกู ไม่มีดาบชนิดไหนมาฟันผู้ไม่มีตัวกู ในที่สุดจะเรียกว่าไม่หิว เพราะมันไม่มีอะไรจะหิว อย่ามีตัวกูสิ มันจะไม่มีอะไรจะหิว อาตมาพูด ได้พูดแล้วก็ไม่หิว เดี๋ยวนี้ที่ไม่หิวนี้เพราะได้พูด ได้พูดหลายชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่ได้พูดนี่จะไปนั่งหิว นี่มันอิ่มด้วยการพูด อิ่มด้วยการพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง มันไม่หิว เพราะมันแหวกตัวกูไปไว้เสียทางหนึ่ง ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ทนทรมานอะไร สนุกไปเสียอีก ทำงานให้สนุก พูดสนุก บรรยายสนุก ชี้แจงสนุก นี่โฆษณาสินค้าความไม่มีตัวกู ความไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูนี่ มันได้ผลอย่างนี้ โฆษณาสินค้าของพระพุทธเจ้า ตามหน้าที่ของอาตมา
ทีนี้สรุปให้มันชัดอีกทีว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งที่กล่าวมานั้น มันสรุปอยู่ในคำว่าว่าง ว่างเพียงคำเดียว ไม่มีคำว่าวุ่น ไม่มีคำว่าวุ่นวาย มีแต่ว่าง ว่าง ว่าง คนเราไม่ชอบว่าง กลัว ไม่ชอบว่าว่าง เวิ้งว้าง ว่างมันกลัว แต่เสร็จแล้วมันก็ชอบว่างโดยไม่ต้องทำอะไร ขี้เกียจ มันเล่นตลกกันอยู่อย่างนี้ ลองว่างไม่มีตัวกูที่ทำอะไรอยู่ นี่เรียกว่าความว่าง ถ้าว่างอย่างนี้ ว่างไปจนถึงที่สุด มันก็คือนิพพานนั่นแหละ นิพพานคือความว่างอย่างยิ่งเพราะไม่มีสังขาร คือไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีการปรุงแต่ง เรียกว่าไม่มีสังขาร ไม่มีสังขารมันก็ว่าง เพราะมันไม่ยุ่ง ไม่วุ่นด้วยการปรุงแต่ง มันก็เลยว่าง ว่างอย่างยิ่งก็คือนิพพาน ว่างเพราะอะไรบ้างล่ะ ก็ดูเอาเอง ที่พูดมาแล้วมันล้วนแต่แสดงให้ไปสรุปอยู่ที่ความว่าง ว่างเพราะเลิกอายุ ไม่มีอายุ ไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับอายุ ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนที่จะไปไหน ไม่มีตัวตนที่จะมาไหน ไม่มีตัวตนที่จะอยู่ที่ไหน นั่นแหละว่าง ถ้ามีตัวตนอยู่ที่ไหน มันก็มีตัวตนนั่นแหละเป็นเหตุให้ไม่ว่าง มีพระพุทธภาษิตว่า ภิกษุโง่น่ะ มันจะพูดว่ากูจะจำพรรษาที่นี่ อิติ พาโล วิหญฺญติ, อิธ วสฺสํ วสิสฺสามิ,อิติ พาโล วิหญฺญติ ภิกษุโง่ มันยึดมั่นถือมั่นว่ากูจะจำพรรษาที่นี่ มันจะอยู่ที่นี่ นั่นแหละคือมันมีตัวกู นี่เป็นพุทธภาษิตนะ ภิกษุโง่มันจะ กูจะอยู่จำพรรษาที่นี่ ข้อนี้ไม่ได้พูดถึงวินัย พูดถึงธรรมะ แม้จะอยู่จำพรรษาที่ไหนก็อย่าหมายมั่นกันถึงขนาดนั้น มันไม่ไปไหน มันไม่มาไหน มันไม่อยู่ที่ไหน นั่นแหละมันว่างๆ ความวุ่นนี่มันพึ่งเกิด ความว่างนั้นเป็นของเก่าแก่นิรันดรๆ ว่างอยู่ตลอดเวลา ความวุ่นเกิดขึ้นมาเป็นพักๆ มาแทรกแซง ความวุ่นนี่ก็เหมือนกับผีหลอกพักๆ ความว่างน่ะเป็นของจริง เป็นนิรันดรตลอดเวลา เป็นสิ่งที่จะทำได้ เป็นสิ่งที่จะไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่คนเขาแก้ตัวว่าทำไม่ได้ ยากนักทำไม่ได้ ทำจิตให้ว่างนี้ทำไม่ได้ แต่ที่แท้มันเป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าสนใจจะทำ สนใจจะศึกษา จะทำแล้วมันทำได้ ทำให้จิตว่างนี้มันทำได้นะ แต่แล้วมันก็ไม่สนใจจะทำ มันก็เลยไม่มี ไม่มีว่าง ไม่มีเวลาว่าง ที่ไหนก็ทำได้ เมื่อไหร่ก็ทำได้ ขอให้เอาตัวกูออก ลด ลดกำลังแห่งตัวกู ระงับกำลังแห่งตัวกู ที่ไหนมันก็ว่างขึ้นมาที่นั่น ทำได้แต่ไม่สนใจจะทำ
ธรรมชาติแท้ๆ มันก็ว่างอยู่แล้ว อย่าไปโง่ทำให้มันวุ่นขึ้นมา จิตนี้ ถ้าไม่ปรุงอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง จิตนี้มันก็ว่างของมันตามธรรมชาติแหละ เป็นจิตประภัสสร โดยธรรมชาติมันว่างอยู่แล้ว โลกก็ว่าง จิตก็ว่าง ธรรมชาติก็ว่าง โลกนี้ก็ว่าง ว่างจากอัตตา ว่างจากอัตตนียา แต่มันมีตัวกูบังเอาไว้ เราพอใจตัวกูอันสวยงาม ก็ไม่เห็นความว่าง ต่อเมื่อไม่มีตัวกู เลิกอายุเสียได้ มันก็ว่างๆ ว่างอย่างสบาย บอกไม่ถูก อันแรกก็ว่างจากตัวกู คือว่างจากอัตตา และอันที่สองก็ว่างจากของกู คือว่างจากอัตตนียา ช่วยจำคำ ๒ คำนี้ไว้ เป็นคำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสและยืนยันอย่างยิ่งและเราไม่ค่อยสนใจกัน คำว่าอัตตา ตัวกู อัตตนียา ของกู อัตตนียา ตามตัวหนังสือมันแปลว่าเนื่องกันอยู่กับอัตตา อัตตนียาคือสิ่งที่มันเนื่องกันอยู่กับอัตตา เมื่ออัตตาเป็นตัวกู อัตตนียาก็คือของกูนั่นแหละ จึงพูดง่ายๆ ภาษาไทยๆ ว่าตัวกู ว่า ของกู ว่างจากอัตตา อัตตาที่เป็นมายาที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกของอายตนะ เกิดขึ้นอย่างผีหลอก ว่างเสียจากอัตตาเหล่านั้น ว่างจากอัตตาก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่ต้องเห็นแก่ตัว ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นใดๆ ว่าเป็นตัว ไม่มีอัตตวาทุปาทาน อะไรที่ผลักดันอยู่ในจิตใจ ผลักดันอยู่ข้างในจิตใจนั่นแหละ แล้วผลักดันให้ปากมันพูดออกมาว่าตนหรือว่าของตน นั่นแหละคืออัตตวาทุปาทาน ชื่อก็ยาว ฟังก็ยาก เข้าใจก็ยาก จะพูดให้ง่ายๆ ก็ว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงคำพูด มันเป็นอุปาทานในจิตใจที่ผลักดันให้เกิดคำพูด ปาทานนี้ไม่ใช่คำพูด เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่ทำให้ปากพูดออกมาว่าตัวกูบ้าง ของกูบ้าง นี่คืออัตตวาทุปาทาน เป็นอุปาทานตัวเลวร้ายที่สุดในบรรดาอุปาทานทั้ง ๔
เมื่อไม่มีอัตตา มันก็คืออนัตตา เหมือนกับเราอยู่ด้วยอัตตาชนิดที่ไม่อาจจะหลอกลวงเราได้อีกต่อไป ปากพูดอยู่ว่าอัตตาๆ ทั้งวันทั้งคืน แต่จิตใจไม่มี ไม่มีอะไรที่มาหลอกลวงให้เป็นอัตตา ทั้งที่ปากก็พูดอยู่ว่าอัตตา ว่าตัวกูตามประสาชาวบ้านชาวเมืองเขาก็พูดกันทั้งนั้น แต่ผู้ไม่รู้ธรรมะมันยึดถือตามปากพูด ฉะนั้นหัดเป็นคนที่ว่าปากอย่างใจอย่างสิ ปากพูดว่าอัตตาว่าตัวกู แต่ใจอย่าเป็น ปากอย่างใจอย่างนี่ดีนะ ไม่ใช่คนโกหกหลอกลวง คุณรู้ธรรมะสูงสุด ปากยังต้องพูดว่าตัวกูว่าของกูตามประสาชาวบ้านพูด แต่ใจไม่มี ไม่มีความยึดมั่นชนิดนั้น นี่เรียกว่าปากอย่างใจอย่าง ถ้าใครทำได้ถึงที่สุด คนนั้นก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็ยังต้องพูดอย่างเดียวกับชาวบ้านพูด ไม่พูดอย่างชาวบ้านพูด ฟังรู้เรื่องที่ไหนล่ะ อาตมาต้องการนั่นหน่อย ต้องการนี้หน่อย ก็ยังพูดได้ แต่มันไม่ได้ยึดถือว่าอาตมานั่นน่ะเป็นอัตตา เป็นอะไรนักหนา ปากอย่างใจอย่างคือไม่ยึดถือมั่นด้วยอุปาทานใดๆ รู้จักอัตตาว่าสุดเหวี่ยงฝ่ายข้างมี รู้จักนิรัตตาว่าสุดเหวี่ยงฝ่ายข้างไม่มี และรู้จักอนัตตาอยู่ตรงกลาง มีอัตตาอย่างที่ไม่ยึดถือว่าเป็นอัตตา
อาตมาชักจะสงสัยว่า วันนี้จะพูดกันจบหรือไม่จบก็ไม่รู้ ถ้าผู้ฟังหลับหมดแล้ว ไม่รู้จะพูดอย่างไร ยังฟังถูกกันอยู่หรือที่พูดนี่ ถ้าฟังไม่ถูกก็หลับกันหมด ก็เลยไม่รู้จะพูดกับใคร เมื่อให้พูดมันก็พูดอย่างนี้ เพราะอย่างอื่นมันไม่มีนี่ จะทำอย่างไร ถ้าพูดความจริง เรื่องนี้มันก็พูดอย่างนี้ อย่างอื่นมันไม่มี ถ้าไม่เข้าใจชวนง่วงก็หลับ ได้เหมือนกันแหละ คนที่ไม่หลับก็ฟังต่อไปก็ได้
ว่างจากอัตตา ว่างจากอัตตา มีผลอย่างนี้ ทีนี้ว่างจากอัตตนียา ว่างจากอัตตนียา คืออัตตาของอัตตา ความยึดมั่นถือว่ามั่นว่า เอโสหมสฺมิ ฉันเป็นอย่างนี้ นี่เป็นอัตตา, ยึดถือว่า เอตํ มม นี่เป็นอัตตนียา, เอโส เม อตฺตา นี้อัตตาของกู นี่ก็เป็นอัตตนียา ความยึดมั่นถือมั่น มันมีอยู่ ๒ อย่างนี้ อัตตา อัตตนียา ยึดถือว่ากูเป็นนั่นเป็นนี่ คือเป็นอัตตา หรือยึดถือว่าของกูๆ นี่ก็เป็นอัตตนียา แล้วก็ยึดอัตตานั่นเองว่าเป็นของกู แล้วก็เป็นอัตตนียาร้ายกาจเลวร้ายที่สุด ความรู้สึกที่เกิดจากอายตนะนั้น รู้สึกว่าเป็นตัวกูก็ได้ของกูก็ได้ ถ้าตาเห็นรูป ก็กูเห็น นี่ยึดถือเป็นอัตตา เอารูปนั้นมาเป็นของกู นี่ก็เป็นอัตตนียา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางอะไร ทางไหนก็เหมือนกัน ยึดถือได้ใน ๒ ความหมาย เป็นอัตตาก็ได้ เป็นอัตตนียาก็ได้ อัตตนียานี่มันเกิดตามหลังอัตตา เหมือนกับเงาของอัตตา ถ้ามันมีอัตตาตัวตนแล้วไม่ต้องสงสัยแหละ มันต้องไปคว้าเอาอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นของตน เป็นของมัน ฉะนั้นอัตตนียาจึงเป็นเงาของอัตตาตามต้อยไปด้วยกัน ไม่ทิ้งกัน ว่างจากอัตตนียาเสียด้วย ว่างจากอัตตาแล้ว ว่างจากอัตตนียาเสียด้วย
จะสรุปคำว่าว่างๆ ให้เข้าใจถึงที่สุดของคำว่าว่างๆ ว่างทางกิเลสนี้ก็คือว่าไม่มีอหังการะ มมังการะ มานานุสัย อหังการะว่ากู มมังการะว่าของกู มานานุสัยเคยชินที่จะสำคัญมั่นหมาย มานะสำคัญมั่นหมาย อนุสัยที่สะสมไว้เป็นความเคยชิน เรามีความเคยชินเต้นอยู่ในจิตในใจ ความเคยชินยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกู เรียกยาวเฟื้อย อหังการะ มมังการะ มานานุสัย สมบัติของปุถุชน ถ้าหมดสมบัติของปุถุชนอันนี้แล้วเป็นพระอรหันต์นู่น เป็นพระอรหันต์ก็คือว่างจากอหังการะ มมังการะ มานานุสัย ว่างจากความเคยชินที่ยึดถือด้วยมานะว่าตัวตนว่าของตน ว่างจากอันนี้แหละเป็นว่างที่สุด เป็นว่างที่มีประโยชน์ที่สุด มีแต่ประโยชน์อย่างเดียวไม่มีโทษ ว่างอย่างอื่น บางทีจะมีความหมายหรือว่าเข้าใจผิด ก็มีโทษไปเสียก็มี ถ้าว่างที่ถูกต้องแท้จริงอย่างนี้แล้ว มันก็ไม่มีโทษๆ
ทีนี้จะพูดถึงความว่างที่มีความหมายพิเศษ ว่าความว่างๆ นั้นน่ะคือมัชฌิมาปฏิปทา คืออยู่ตรงกลางไม่เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ไม่เป็นอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค มันวุ่นอยู่กับกาม อัตตกิลมถานุโยค มันวุ่นอยู่กับการทำลายที่ตั้งของกาม เป็นลบ อันหนึ่งเป็นบวก ที่อยู่ไม่บวกไม่ลบนั่นแหละคือว่าง คือว่างจากบวกว่างจากลบ อยู่ด้วยมัชฌิมาปฏิปทานั่น จะว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตน ไม่เป็นอัตตา ไม่เป็นนิรัตตา จะว่างจากตัวตน คือเป็นอนัตตา ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจธรรมะชั้นลึกในส่วนปรมัตถ์แล้ว เขาจะเห็นเองแหละว่าว่างนั่นแหละคือมัชฌิมาปฏิปทา ที่ถ้าว่าง ว่าง ว่างนั่นแหละคือนิพพาน ว่างจากสังขาร ว่างจากการปรุงแต่ง มันเป็นสุญญตา เป็นความว่างของธรรมชาตินิรันดร นิพพานคือความว่างนิรันดร ที่ตรงกันข้ามคือมีตัวตนนิรันดรของลัทธิอื่นของศาสนาอื่น อย่าไปเอามาพูดเลย เขามีอัตตานิรันดร พวกพุทธเรามีสุญญตานิรันดร มีความว่างนิรันดร ถ้าไม่มีอะไรปรุงแต่งขึ้นมาแทรกแซง มันก็ว่างๆ มันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่นิรันดร ตั้งแต่ไม่รู้ว่าครั้งไหนกำหนดไม่ได้ นี่แหละว่างนิรันดร ว่างที่เป็นปัจจุบันตลอดนิรันดร นี่ปัจจุบันแท้อยู่ที่นี่ เกิดวุ่นเป็นพักๆ เป็นอดีตเป็นอนาคต เข้าใจไหม แต่ถ้าว่างโดยแท้จริง ว่างนิรันดรแล้วก็ว่างจากความหมายแห่งตัวกู ว่างจากตัวตน นี่คือสรุปคำว่าว่าง ชีวิตว่างคืออย่างนี้ ชีวิตที่ไม่มีอะไรรบกวน ไม่มีปัญหา ไม่มีที่ยึดมั่นถือมั่นในความหมายใดๆ ชีวิตว่าง ยิ่งว่างเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นนิพพาน ทีนี้มันเป็นของแปลกของใหม่สำหรับเรา เพราะว่าเราไม่เคยพบ เราไม่เคยรู้จัก เราไม่เคยว่าง เรามีแต่วุ่น วุ่น วุ่น ตั้งแต่เกิดจนเข้าโลง ตั้งแต่ออกจากท้องมารดาจนเข้าโลง มันมีแต่วุ่น วุ่น วุ่น วุ่น เดี๋ยวนี้มาพูดกัน มาศึกษากัน มาทำความเข้าใจกัน ให้มันรู้จักเรื่องว่างนี่ มันก็เหมือนกับพบชีวิตใหม่ เพราะชีวิตเก่ามันเป็นชีวิตแห่งความโง่แห่งความหลง เต็มไปด้วยความวุ่น ตั้งแต่เกิดจนตาย จะได้พบชีวิตใหม่คือชีวิตว่าง ชีวิตที่เต็มไปด้วยสติปัญญา ไม่มีตัวกู ไม่มีตัวกูมันก็มีสติปัญญา ถ้าไม่มีสติปัญญา มันก็มีตัวกู มันก็ไม่ว่าง เป็นชีวิตของสติปัญญา ใครมีชีวิตของสติปัญญา กล้ายกมือไหม มันมีแต่ชีวิตหลับตา มันแล้วแต่กิเลสตัณหาจะพาไป
นิทานที่ควรจะจำใส่ใจเป็นตัวอย่างมีอยู่เรื่องหนึ่งว่าไอ้หนุ่มคนหนึ่งมันขี่ม้าไม่เป็นหรอก มันก็กระโดดขึ้นไปบนหลังม้า แล้วมันบังคับไม่ได้ ม้ามันตกใจ ม้ามันก็พาวิ่ง ม้าก็พาวิ่ง มันก็เกาะอยู่บนหลังม้า ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่รู้ว่าจะไปไหน นี่มันเองไม่รู้ว่าจะไปไหน มันบังคับไม่ได้ นี่มันแล้วแต่ม้าจะพาไป ทีนี้เพื่อนที่อยู่ข้างทางร้องทัก เอ๊ย,มึงจะไปไหนโว้ย มันบอกกูไม่รู้,ถามม้าสิ นี่มันจะเป็นอย่างนี้กันเสียหมด มันจะเป็นอย่างนี้กันเสียหมด ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะไปที่ไหน จะตั้งต้นกันที่ไหน จะไปไหน ถามม้าสิ ขอให้ถามกิเลสตัณหาสิว่าชีวิตฉันนี้จะไปไหน นี่นิทานเรื่องนี้ช่วยจำไว้ด้วย อย่ามีชีวิตชนิดที่ว่าแล้วแต่ม้าจะพาไป ขอให้มีชีวิตชนิดที่สติปัญญามันพาไป คือคนมันพาไป ไม่ใช่ม้าพาไป ขอให้คนพาไป คนมีสติปัญญาแล้วพาชีวิตไป
แต่ก่อนเราไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้จักรับผิดชอบแก่ชีวิต ไม่รู้จักปรับปรุงชีวิตหรือควบคุมชีวิต มันก็แล้วแต่ม้าจะพาไป เดี๋ยวนี้เรารับผิดชอบเต็มที่ รับผิดชอบเต็มที่ว่าจะต้องไปตามที่ควรจะไป ตามที่เราต้องการจะไป ชีวิตที่ยึดมั่นถือมั่น มันจะเนื่องกันเป็นพวง พวงใหญ่เหลือประมาณแหละ ชีวิตพวง ที่เป็นพวงขึ้นมาได้ก็เพราะมีอัตตา แล้วก็มีอัตตนียา มันก็มีชีวิตเป็นพวง มีตัวกูเป็นประธาน แล้วก็มีพวง มีสามีของกู ภรรยาของกู ลูกของกู หลานของกู คนใช้ของกู บ้านเรือนของกู รถยนต์ของกู เกียรติยศชื่อเสียงของกู เงินของกู ของกูๆ มากมาย นี่ชีวิตมันเป็นพวง เพราะมันมีอัตตาเป็นศูนย์กลาง มันรวบมาซึ่งอัตตนียามากมายรอบด้านๆ ชีวิตมันเลยเป็นพวง มันหนักเท่าไหร่ มันยุ่งเท่าไหร่ ลองคิดดูเถิด ชีวิตพวง ถ้ามีชีวิตเดี่ยวแล้วมันจะสะดวกสบายสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามีสติปัญญาแล้วมันสามารถที่จะกำจัดความหมายที่เป็นพวงออกไปเสีย เป็นชีวิตเดี่ยวได้เหมือนกัน ต้องเป็นผู้มีสติปัญญาไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ชีวิตพวงก็กลายเป็นชีวิตเดี่ยวแหละ คือไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร แต่ถ้าไม่มีสติปัญญาเรื่องนี้ พวงมันจะใหญ่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนพาไม่ไหว จนเป็นบ้า ชีวิตพวง เลิกอัตตาเสียมันก็จะเป็นชีวิตเดี่ยว ถ้ามันมีอัตตายึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตา มันต้องเป็นชีวิตที่อยู่ในอาณัติบังคับบัญชาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นบังคับบัญชาของคนก็ได้ บังคับบัญชาของกิเลส ของความรักของความต้องการก็ได้ มันอยู่ในอาณัติของสิ่งเหล่านั้น เรียกว่าชีวิตที่อยู่ในอาณัติไม่เป็นอิสระแก่ตัว มันไปผูกพันอยู่ภายใต้อำนาจความผูกพันของเรื่องทั้งหลาย นี่ไม่เป็นอิสระแก่ตัว ชีวิตที่ไม่รู้อะไรเต็มไปด้วยอัตตามืดบอดไปด้วยอัตตา นี่มันก็เรียกว่าเหมือนกับเด็กโผล่มาจากท้องแม่แล้วมันก็ไม่รู้จักโลกหรอก ไม่ใช่ว่าพอคลอดมาจากท้องแม่แล้วมันจะรู้จักโลกโดยประการทั้งปวงโดยถูกต้องก็หามิได้ มันยังไม่รู้จักโลกเหมือนกับชีวิตเด็ก มันต้องผ่านโลก ผ่านโลก ผ่านโลกมากพอ มันจึงจะรู้จักโลก เพราะว่าอัตตามันหลอกลวง อัตตามันหลอกลวง มันรู้จักโลกก็ต่อเมื่ออัตตาถูกกำจัด อย่าให้มันหลอกลวงได้อีกต่อไป ไม่โง่ด้วยอัตตา ไม่หลงด้วยอัตตา ก็จะกลายเป็นคนที่รู้จักโลก นี่มันดับทุกข์ได้เหลือประมาณ เป็นนิโรธอันวิเศษ พอมีอัตตา มันก็จมโลก เพราะอัตตามันยึดมั่นถือมั่นไปเสียทุกอย่าง คว้านั่นคว้านี่ไปทุกอย่าง ชีวิตที่มีอัตตาก็เป็นชีวิตที่จมลงไปในโลก จมลงไปในโลก พอไม่มีอัตตา มันก็เหนือโลก ขึ้นจากโลก ออกจากโลก
ทีนี้ที่มันน่าหัวเราะ ก็คือว่า ถ้ามีอัตตาชีวิตมันก็กัดเจ้าของ มีตัวกูของกูมันก็เห็นแก่ตัว มันก็สร้างปัญหาขึ้นมามากมาย ชีวิตนั้นก็กัดเจ้าของ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นกัด เดี๋ยววิตกกังวลกัด อาลัยอาวรณ์กัด อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด ตายไม่ทันรู้ ชีวิตกัดเจ้าของ เพราะมีอัตตา ถอนอัตตาเสียได้ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตไม่กัดเจ้าของ ระวังให้ดีเรื่องนี้ ถ้าว่ามันมีความทุกข์อะไรขึ้นมา ขอให้ดูให้ดีเถิด ชีวิตนั่นแหละมันกัด ชีวิตที่มีอัตตาน่ะ ชีวิตชนิดที่มีอัตตาแหละมันกัด ถ้าต้องมีความทุกข์อะไรขึ้นมาแม้แต่น้อยเดียวนิดเดียว มีความอึดอัดขัดใจขึ้นมาแต่เพียงน้อยเดียวนิดเดียว นั่นก็รู้เถิดว่าอัตตาแหละมันกัด มันกัดเจ้าของ ชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ ไม่มีอัตตาชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรกัด มีสติปัญญา ไม่มีอัตตา แต่จะถึงที่สุดได้ก็ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เดี๋ยวนี้เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ เราก็พยายามเพื่อจะตามรอยพระอรหันต์ เพื่อไม่ให้ชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ มันดีอย่างนั้น ชีวิตที่มีอัตตามันจะไปติดอยู่ในกรอบๆ ในสิ่งผูกมัด ในคุกในตะรางอะไรก็แล้วแต่จะเรียก แม้ที่สุดแต่ความดี มันมีความดีเป็นคุกขังตัวมันเอง มีระเบียบอย่างนั้น มีระเบียบอย่างโน้น มีวัฒนธรรมเฟ้อน่ะ วัฒนธรรมเฟ้อระวังให้ดีๆ นั่นมันเป็นคุก บูชาหลงใหลกันนัก รักวัฒนธรรม รักเอกลักษณ์ รักอะไรก็ตาม ระวังให้ดี เป็นคุกขึ้นมาไม่ทันรู้ ไม่อิสระ มันผูกมัดตัวเองเข้าไว้กับอัตตา ก็ไม่เป็นอิสระ มันก็อยู่ภายใต้กรอบกฎเกณฑ์บังคับของทุกอย่างๆ พอหลุดจากอัตตาก็อยู่เหนือกรอบ เหนือสิ่งควบคุมบังคับ ก็คืออิสระอีกนั่นแหละ มีอัตตามันก็มืด มันก็บอด มันก็เป็นอันธพาล พอไม่มีอัตตา ก็เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามความหมายของคำว่าพุทธะๆ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน อัตตามันโง่ อัตตามันโง่ มันก็หลงไปตามความโง่ มันเป็นชีวิตหลับ เป็นชีวิตหลับ ชีวิตหลับนี่มีไสยศาสตร์เป็นสมบัติ ถ้าชีวิตตื่นมันก็มีพุทธศาสตร์เป็นสมบัติ ไสยศาสตร์มันศาสตร์ของคนหลับ คือไสยศาสตร์ทั้งหลายที่เขามีๆ กันนั่นแหละ มันเป็นความรู้ของคนหลับเรียกว่าไสยศาสตร์ มันตั้งอยู่บนอัตตา อัตตามันโง่ มันรับเอาไสยศาสตร์มาเป็นสมบัติ ทีนี้ถ้ามันไม่มีอัตตา ไม่มีโง่ มันก็เป็นพุทธศาสตร์ ศาสตร์แห่งคนตื่น ว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันดีอย่างนี้ มันตรงกันข้ามอย่างนี้
มีอัตตา ก็หลับอยู่ด้วยไสยศาสตร์ หมดอัตตาก็ตื่นอยู่ด้วยพุทธศาสตร์ จำไว้ง่ายๆ อย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้ามีอัตตา มันก็เป็นชีวิตโลกชีวิตยุ่งยาก เป็นชีวิตที่ผูกพันอยู่ในโลก ไม่หลุดพ้น ไม่เป็นโลกุตระ หมดอัตตาก็เป็นชีวิตโลกุตระ ชีวิตโลกก็เป็นชีวิตยืมไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่เป็นสมบัติจริง ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์จริง มันเป็นชีวิตยืม มันเป็นไปตามเจ้าของจะบังคับ อะไรก็ยืมเขามานี่ ถ้าหมดอัตตาก็เป็นชีวิตจริง ชีวิตจริง ชีวิตของเราเอง ไม่ใช่ชีวิตยืม นี่จัดการกันให้ดีๆ เป็นชีวิตโลกุตระ เป็นชีวิตจริง ไม่ใช่ชีวิตยืม เพราะว่าลดอัตตา เลิกอัตตา เลิกอายุเสียได้ เมื่อเลิกอัตตาเสียได้ มันก็มีความมีสติปัญญาเต็มที่ มีอิสระเสรีภาพทางสติปัญญา ไม่ไปเป็นทาสทางสติปัญญาของผู้ใด เดี๋ยวนี้เราเป็นทาสทางสติปัญญาของผู้อื่นมากไปเพราะไม่มีความรู้ของตัวเอง เราเป็นทาสทางสติปัญญาของคนที่ฉลาดกว่า คนที่เขาจะจูงจมูกเราไปได้ เราเป็นทาสทางสติปัญญาของเขา อย่างนี้ไม่ถูกหลัก ถ้าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าต้องไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของใคร แม้แต่สติปัญญาของพระพุทธเจ้า บางคนด่าแล้ว อาตมาพูดอย่างนี้ ไม่เป็นทาสแม้แต่สติปัญญาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างนั้น ท่านต้องการอย่างนั้น อย่าให้สาวกไปเป็นทาสทางสติปัญญาของพระองค์ จึงตรัสกาลามสูตรไว้ทั้งสูตร ไปอ่านดู ไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของใครแม้แต่ของพระองค์ ไม่เป็นทาสของพระไตรปิฎก ไม่เป็นทาสของพระพุทธเจ้าผู้พูด ผู้พูดนี้เป็นครูของเราเป็นศาสดาของเรา ไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของผู้ใด แม้ว่ามันเป็นสติปัญญาที่ถูกต้อง เราก็ไม่ต้องเป็นทาส ถ้ามันเป็นทาสไปแล้ว มันมีความผิดพลาดแทรกอยู่ เลยไม่ทันรู้ อย่าเป็นทาสทางสติปัญญาของผู้ใด แต่ข้อนี้ปฏิบัติยาก มันเข้าใจยาก มันปฏิบัติได้ไปในทางเป็นคนหัวดื้อไปเสีย เป็นหัวดื้อ เป็นทาสของความดื้อไปเสียอีก ไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของผู้ใด มันกลายเป็นคนดื้อ เลยเป็นทาสของกิเลส สมน้ำหน้า อย่าเป็นทาสทางสติปัญญาของใคร ให้มีสติปัญญาของตัวเอง มองเห็นเหตุผลอยู่ในสิ่งที่มองเห็น ที่จะถือเอาเป็นหลักปฏิบัติ แล้วก็อย่าเป็นทาสของเหตุผลด้วย เป็นทาสของเหตุผลก็ไม่ไหวเหมือนกันแหละ เราใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือทำหน้าที่โดยไม่ต้องเป็นทาสของเหตุผล ความเป็นทาสนี่ใช้ไม่ได้ แต่ขอยกเว้นสักคำสำหรับพุทธทาสนะ ทาสอย่างนี้ไม่ได้งมงายอะไรเลย จะรับใช้พระพุทธเจ้าเหมือนกับเป็นทาสเท่านั้นแหละ รับใช้พระพุทธเจ้าเหมือนกับเป็นทาส ไม่เป็นทาสทางสติปัญญา ไม่เป็นทาสของเหตุผล ไม่เป็นทาสของอะไรหมด นี้เป็นอิสระสูงสุด เอาอัตตา เอาตัวกูออกไปเสีย ชีวิตนี้จะเต็ม น่าหัวเราะไหม ยิ่งเอาออกยิ่งเต็ม ยิ่งเอาออกยิ่งเต็ม บ้าหรือดี ฟังดูให้ดี เอาออกไปเสียได้จะทำให้เต็ม เอาอัตตาตัวกูออกไปเสียจะทำให้ชีวิตนี้เต็มๆ ถ้าเอาอัตตาไว้มันจะพร่อง เพราะมันจะอยาก มันจะหิวๆ ด้วยอัตตาด้วยตัณหาอุปาทานของอัตตา มันจะพร่อง มันจะหิว ถ้าเอาอัตตาออกไปเสีย มันจะเต็ม มันจะอิ่ม มันจะไม่ต้องการอะไร เรียกว่าชีวิตมันจะเต็ม เอาอัตตา เอาอายุเกี่ยวกับอัตตาออกไปเสียได้ ชีวิตนี้จะเต็ม มิฉะนั้นชีวิตนี้จะพร่อง จะกลวง จะหิวอยู่เสมอ มีอัตตาๆ มันก็โง่ มีอัตตามันก็โง่ ผีมันก็หลอกน่ะ คนมันโง่ ผีมันก็หลอก เอาอัตตาออกไปเสียได้ ผีมันก็กลัวเพราะมันไม่โง่นี่ คุณจะมีชีวิตชนิดที่ผีหลอกหรือผีกลัว จะมีชีวิตชนิดที่ผีมันหลอกเล่นได้หรือมีชีวิตชนิดที่ผีก็กลัวไม่กล้าหลอก ผีก็กลัวไม่กล้าหลอก มีความรู้โดยแท้จริงในเรื่องเกี่ยวกับอัตตา อัตตนียาแล้วผีกลัว ผีไม่อาจจะหลอกด้วย ไม่กล้าหลอกเพราะไม่อาจจะหลอก
ทีนี้พูดคำสุดท้ายว่าชีวิตที่ไม่มีอัตตานี่ มันต่างกับชีวิตอัตตา ชีวิตที่มีอัตตาน่ะ ผีหัวเราะนะ ผีหัวเราะเยาะ เทวดาก็หัวเราะเยาะนะ พวกผีพวกเทวดาพากันหัวเราะเยาะคนที่มันเต็มไปด้วยอัตตา ทีนี้ถ้าว่าไม่มีอัตตา เทวดาก็ไม่อาจหัวเราะเยาะ ผีก็ไม่อาจจะหัวเราะเยาะ ทั้งผีทั้งเทวดาช่วยกันมาพิทักษ์รักษา ดีกี่มากน้อย ทั้งผีทั้งเทวดามันจะมีเท่าไหร่ก็ตามใจ มันมาช่วยกันพิทักษ์รักษาคุ้มครองถ้าว่าเราไม่มีตัวกู ไม่มีอัตตา ถ้ามีอัตตา ผีพากันหัวเราะเยาะ เทวดาพากันหัวเราะเยาะไอ้ชาติโง่ ถ้าไม่มีอัตตามันไม่กล้าหัวเราะ จะช่วยพิทักษ์รักษาคุ้มครอง เพราะมันเคารพ เพราะมันบูชา ฉะนั้นมีชีวิตชนิดที่ผีก็บูชา เทวดาก็บูชา นี่มันจะได้รับความสุขสวัสดีคุ้มครอง ไม่ต้องขอพรกับใครอะไรที่ไหน เลิกอัตตาเสียให้หมด ก็จะเป็นพรสูงสุดขึ้นมาทันที
ยังไม่หลับใช่ไหม, พูดเรื่อง เรื่องที่ไม่รู้จบ พูดที จู้จี้ เอ้า,ถ้ายังไม่หลับก็พูดต่อไปอีก เรื่องนิโรธยังไม่จบ ดับอัตตา ดับความยึดมั่นถือมั่น มันก็พูดไปในลักษณะเป็นอานิสงส์ทั้งนั้นแหละ ถ้าพูดถึงเรื่องนิโรธ นิโรธต้องเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดับทุกข์ เป็นเรื่องอานิสงส์ทั้งนั้นแหละ อานิสงส์ของอะไร อานิสงส์ของการหมดตัวกู เลิกตัวกู เลิกอายุ เลิกเวลา เลิกชีวิตชนิดที่ยึดมั่นถือมั่น นั่นน่ะมันมีอานิสงส์ เลิกอายุ ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย เลิกอายุ ไม่ใช่ทำให้ตายไปด้วยการฆ่าตัวตาย พอเลิกอายุแล้วมันจะทำให้ไม่มีตายอีกต่อไป มันเป็นการตายทางกายเสร็จ เป็นการตายทางกิเลสเสร็จก่อนแต่ที่ร่างกายจะตาย เลิกตัวกูเสียมันจะได้ความตายก่อนตาย ตายก่อนตาย ตายก่อนตายสบายเหลือ มันจะได้เพราะว่าเราเลิกตัวกูเสีย แล้วก็ไม่มีการตายอีกต่อไป ไม่มีตัวกูสำหรับจะตายอีกต่อไป ได้ความตายก่อนแต่ร่างกายตายแล้วจะไม่มีอะไรตายอีกต่อไป นี่อานิสงส์ สินค้านี้มีคุณมีอานิสงส์ สินค้าของพระพุทธเจ้าที่เอามาโฆษณาอยู่นี่ เป็นอิสระ ไม่ถูกคุกคามด้วยความตายอีกต่อไป ไม่มีเรื่องที่จะต้องกลัวตายอีกต่อไป นั่นแหละอานิสงส์ ไม่ตายอีกต่อไป ไม่มีปัญหาเรื่องตายอีกต่อไปนี่ ถ้าว่าเลิกอายุเสียได้ เลิกอัตตาเสียได้ มันจะได้ชิมรส รสสูงสุด รสประเสริฐ รสสูงสุดของการตายเสียก่อนตาย มันการตายเสียก่อนตาย จะได้ชิมรสอันประเสิรฐ เป็นความเบา เป็นความสบาย เป็นความสะอาด เป็นความสว่าง เป็นความสงบ เป็นเสรีภาพอันสูงสุด รสของความตายเสียก่อนตายนี่ รสเหล่านี้จะได้รับ จะได้รับของการอยู่เหนือการปรุงแต่งใดๆ เหนือการปรุงแต่งใดๆ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้ คือมันมีอตัมมยตา จิตนี้ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้อีกต่อไป ได้รับรสของการที่จิตนี้ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้อีกต่อไป นี่รสนี้แสนที่จะกล่าว ใช้คำว่าเลิศ ใช้คำว่าประเสิรฐ ก็ยังไม่พอ เพราะมันยิ่งไปกว่านั้นอีก มันเลิศเหนือเลิศ ประเสริฐเหนือประเสริฐ รสของการที่ตายเสียก่อนตาย ทั้งเบา ทั้งสบาย ทั้งสะอาด ทั้งสว่าง ทั้งสงบ ทั้งมีเสรีภาพ มันไม่มีที่ติดขัด ไม่มีอะไรรบกวนได้ ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ ไม่มีอะไรมาล่อหลอกได้ พูดภาษาไวยากรณ์ ซึ่งคงฟังไม่ถูกอ่ะ ไม่เป็นกัตตุ ไม่เป็นกัมมะ ไม่เป็น Passive ไม่เป็น Active ภาษาไวยากรณ์ ไม่เป็นผู้กระทำและไม่เป็นผู้ถูกกระทำ ไม่เป็นผู้กระทำอะไรและก็ไม่ถูกกระทำโดยสิ่งใด ไม่เป็นทั้งกัตตุคือผู้กระทำ ไม่เป็นทั้งกัมมะคือผู้ถูกกระทำ ชีวิตนี้จะไม่กระทำอะไรกับใคร ชีวิตนี้จะไม่ถูกอะไรมาทำเอา นี่เสรีภาพสูงสุด ไม่เป็นผู้กระทำและไม่เป็นผู้ถูกกระทำ เป็นผู้ว่าง ว่างสูงสุด ว่างนิรันดร นี่อานิสงส์ของการเลิกตัวกูเสียได้ เลิกชีวิตเสียได้
ในที่สุด มันก็ฟังแล้วก็ยากแหละ มันไม่ได้อะไร มันไม่เสียอะไร มันไม่ได้อะไรแล้วมันก็ไม่เสียอะไร นั่นแหละคือความว่าง ถ้ามันยังมีได้มีเสียอยู่ มันไม่ใช่ว่าง แต่เรายังอยากได้อยู่ใช่ไหม อยากได้เงิน อยากได้อะไรอีกหลายๆ อย่าง อย่างนั้นไม่ว่างแล้ว ต่อเมื่อไม่ได้และไม่เสียโดยประการทั้งปวง มันจึงจะเรียกว่าความว่าง ฉะนั้นเลิกอัตตาแล้ว ก็ไม่มีสมบัติอะไรเหลือติดตัว น่ากลัวไหม แล้วก็ไม่กล้าเอาใช่ไหม, เลิกอัตตาเสียแล้วเป็นคนว่าง ไม่มีสมบัติอะไรเหลือติดตัวแม้แต่สักนิดเดียว มันมีว่างของพระนิพพานเป็นสมบัติ ไม่ได้อยู่ที่ไหนด้วย ไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้อยู่ที่ไหน ทั้งหมดนี้เรียกว่าอานิสงส์ ไม่มีเรื่องที่จะต้องทำ ไม่มีเรื่องที่จะต้องถูกกระทำ ถ้าจะทำไปก็ทำโดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติของร่างกายจิตใจ ไม่มีตัวกูผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ มันวิเศษที่ตรงนั้น
เอ้า,จะแนะอีกแง่หนึ่งว่า ถ้าว่าเลิกตัวกูเสียได้ เลิกอัตตาตัวตนเสียได้ แล้วจะได้อยู่กับอตัมมยตา อตัมมยตา อตัมมยตา ช่วยจำไว้ด้วย ความคงที่อยู่ในความถูกต้อง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่มีอะไรมาทำให้เปลี่ยนแปลง คงที่ คงที่ คงที่ ตายตัวอยู่ในภาวะที่ถูกต้อง คือภาวะที่ปราศจากทุกข์ ใครคงที่อยู่ในภาวะอย่างนี้บ้าง เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ แล้วก็ชอบเสียด้วยนะ บางคนมันชอบร้องไห้เรื่อย มันอร่อยมัน แล้วมันก็ชอบดีใจๆ ไม่ชอบเสียใจ แต่ว่าทั้งสองอย่างมันยุ่งพอๆ กัน ดีใจมันก็ยุ่งไปตามแบบดีใจ วุ่นวายไปตามแบบดีใจ เสียใจมันก็ยุ่งไปตามแบบเสียใจ อย่าเอากับมันเลย อย่าเอาเลยทั้งดีใจทั้งเสียใจ อย่าเอาเลย เอาอตัมมยตาดีกว่า คงที่ตายตัวอยู่ในความถูกต้อง ไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ ไม่เป็นได้ไม่เป็นเสีย ไม่เป็นหัวเราะไม่เป็นร้องไห้ ไม่มีดีใจไม่มีเสียใจ นี่เรียกว่า อตัมมยตา ละตัวกูเสียก็จะได้อยู่กับอตัมมยตา ความคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งปรุงแต่ง นี่เรียกว่าได้อยู่กับอตัมมยตา ภาวะของจิตที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ ไม่หวั่นไหวไปตามอะไร ไม่มีการหวั่นไหวอีกต่อไปเพราะอยู่กับอตัมมยตา ความคงที่
ทีนี้ ขออีกข้อหนึ่ง ข้อสุดท้ายว่าถอนตัวตนตัวกูหรือถอนอายุเวลานี่เสียได้แล้ว ก็จะได้อยู่กับพระพุทธเจ้าองค์นิรันดร พระพุทธเจ้าองค์นิรันดรเคยได้ยินไหม ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ เคยได้ยินไหมว่าพระพุทธเจ้าองค์นิรันดรนั้นคืออะไร แม้แต่พระพุทธเจ้าองค์ชั่วคราวก็ยังไม่รู้จัก ไม่ได้เคยเห็น ได้แต่อ่านหนังสือ พระพุทธเจ้าองค์ชั่วคราวๆ ชั่วคราวๆ นี่ พระพุทธเจ้าที่เกิดแล้วประสูติแล้วก็ตรัสรู้และปรินิพพาน พระพุทธเจ้าเหล่านี้มีชื่อต่างๆ กัน พระโคตมะบ้าง พระ หลายๆ ชื่อน่ะ มีชื่อแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคลชั่วคราวๆ ชั่วคราวๆ เท่านั้น ไม่นิรันดร พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสอีกทีหนึ่งว่าเห็นธรรมะจึงจะเห็นเรา เห็นตัวจริงของเรา เดี๋ยวนี้เห็นแต่เปลือกของเรา เห็นพระสิทธัตถะ เกิดเมืองกบิลพัสดุ์ บิดาชื่อท้าวสุทโธทนะ มารดาชื่อสิริมายา แล้วก็มีอะไรเรื่องอะไรต่างๆ ไปตามเรื่องของท่าน นี่พระพุทธเจ้าองค์บุคคล พระพุทธเจ้าองค์ชั่วคราว ชั่วคราวแล้วเกิดแล้วเกิดเล่ากันหลายๆ องค์ ส่วนพระพุทธเจ้าองค์พิเศษนิรันดรไม่มีเกิด ไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน เป็นพระพุทธเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงตลอดนิรันดร นั่นแหละพระองค์ธรรม องค์ธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมเสียก่อน ผู้นั้นจึงจะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ถ้าเห็นแต่พระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นคนเป็นมนุษย์ นี่องค์ชั่วคราว ยังไม่ใช่องค์จริง ตัวตนมันบังไว้ ตัวกูมันบังไว้ อวิชชามันบังไว้ ไม่เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เราอ่านแต่พุทธประวัติ ก็รู้แต่เรื่องพระพุทธเจ้าพระองค์บุคคล พระองค์นอก เรียกว่าพระองค์นอก ไม่ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ใน พระพุทธเจ้าองค์ธรรมะคือพระพุทธเจ้าพระองค์ในนี่ พระองค์ในนี่นิรันดร ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่นอกเหนือเวลา เวลาว่ายังยุ่ง ยังเปลี่ยนแปลง นี่มันอยู่นอก อยู่นอกเวลา ไม่เปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าพระองค์นิรันดร ไม่ต้องประสูติ ไม่ต้องตรัสรู้ ไม่ต้องนิพพาน นี่มันจึงอยู่ได้นิรันดร
เดี๋ยวนี้เรารู้จักกันแต่พระพุทธเจ้าพระองค์บุคคลพระองค์ชั่วคราว ชื่ออย่างนั้น ลูกคนนั้น หลานคนนี้ อย่างที่อุตส่าห์ท่องกันในพุทธประวัติ นี่พระพุทธเจ้าพระองค์นอก พระพุทธเจ้าพระองค์ในมองไม่เห็น เป็นนิรันดร ละเอียดมองไม่เห็น ต้องหมดอัตตา หมดตัวกู หมดเวลา หมดอายุ หมดอวิชชา แล้วก็จะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือ พระองค์นิรันดร อวิชชามันบังอยู่ ทำลายอวิชชาเสียก็จะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงหรือพระองค์นิรันดร พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็มีความเป็นพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น แต่มันเป็นอย่างนิรันดรก็มี อย่างชั่วคราวก็มี พุทธภาวะ ภาวะแห่งความเป็นพระพุทธเจ้านี่ อย่างหนึ่งเป็นชั่วคราว อย่างหนึ่งเป็นนิรันดร พุทธภาวะนี่มันยังเป็นเหมือนกับเมล็ดพืชก็ได้ ต้องเพาะ ต้องหว่าน ต้องปลูก ต้องอบรม ต้องเจริญภาวนา พระพุทธเจ้าพระองค์ที่เป็นเพียงเมล็ดพืชน่ะ มันก็จะออกมาเป็นพระพุทธเจ้าที่เป็นสมบูรณ์ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง และพอรู้จักพระพุทธเจ้าองค์นิรันดร มันก็เข้าถึงพระพุทธเจ้านิรันดร เป็นนิรันดรไปเสีย
เราอบรมจิตของเราให้หมดอัตตา แล้วจิตนั้นก็จะเข้าถึงพระพุทธเจ้านิรันดร เข้าผสมกันกับจิตของพระพุทธเจ้านิรันดรน่ะ แต่เขาไม่เรียกว่าจิต เขาเรียกว่าภาวะ ภาวะพระพุทธเจ้านิรันดร เราเข้าไม่ถึงเพราะอัตตา ตัวตนมันฆ่าไว้ มันไม่ให้เข้าไป นี่ทำลายอัตตาเสีย มันก็ได้ มันก็เข้าไปถึง เพราะไม่มีอะไรดึงเอาไว้ ไม่มีอะไรบังเอาไว้ ฉะนั้นอุปมาที่ง่ายๆ ที่ดีๆ ที่สั้นๆ ว่าพระพุทธเจ้าองค์จริงน่ะมันนั่งอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเอง เรามีภาพที่ดีอยู่ในตึกๆ นี้ ภาพแรก ประตูทางฝ่ายนี้ซ้ายมือ ภาพแรก พระพุทธเจ้าท่านนั่งอยู่ที่หลังม่าน ม่านคืออวิชชาของคนแต่ละคน พระพุทธเจ้าท่านนั่งอยู่ที่หลังม่าน ท่านจึงมองไม่เห็น คนมันมองไม่เห็นเพราะม่านมันบังไว้ แล้วมันก็ไปหาพระพุทธเจ้าที่วัด ไปหาพระพุทธเจ้าที่อินเดีย ไปหาพระพุทธเจ้าที่ไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ไปหาพระพุทธเจ้ากันที่ไหน ไม่มีใครหาพระพุทธเจ้าที่หลังม่านแห่งความโง่ของตัวเองนี่ ด่าหรือไม่ด่า ไม่ด่านะ พระพุทธเจ้าพระองค์จริง มันอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ เปิดม่านนี้ออก ดึงม่านนี้ออก ตัดม่านนี้ให้ขาดไป ไฟเผาเสีย พระพุทธเจ้าก็จะโผล่ให้เห็นแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์จริงจะปรากฏออกมาเมื่อม่านแห่งอวิชชาคืออัตตาตัวกูนี่ถูกทำลายไป ความโง่ว่าตัวกู ตัวตนถูกทำลายไป ม่านนี้ก็หมดไปไม่มีอะไรบัง พระพุทธเจ้าพระองค์จริงก็ปรากฏแก่เรา
อะไรที่ดีกว่านี้ เอ้า,ถามหน่อย อะไรที่ดีกว่านี้ การได้อะไรจะดีกว่าการได้อันนี้ คือการได้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงมาเป็น มาเป็นผู้ช่วย มาเป็นเครื่องอยู่กับเรา หรือว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียด้วยก็ได้ ผสมเข้าไปในนั้นเลย ไปเป็นความว่างนิรันดรเถิด ก็จะเป็นพระพุทธเจ้านิรันดรไปด้วย นี่คือนิโรธ ดับแห่งตัวตน ดับแห่งอายุ ดับแห่งกิเลสตัณหาแล้วมันก็เป็นนิโรธ คือดับทุกข์ มีลักษณะอาการดังที่กล่าวมานี้ ใครจะชอบหรือไม่ชอบ ก็ดูเอาเองก็แล้วกัน ที่นิพพานไม่มีรำวง ยายคนนั้นเขาก็ไม่ชอบ ว่าง ว่าง ว่างนิรันดร ว่างนิรันดร ได้อยู่กับพระพุทธเจ้านิรันดร ได้อยู่กับความคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง นี่พูดเรื่องนิโรธหรือผลของการดับตัวตน ดับตัวกู ดับความทุกข์ เป็นเวลา ๒ ชั่วโมงแล้ว ๒ ชั่วโมงแล้วนะที่พูดนี่ หลับไปได้ตื่นหนึ่งแล้ว ถ้าไม่หลับก็จะรู้สึกว่าไม่กี่มากน้อย
เอาล่ะ,เป็นอันว่าอาตมาต้องขอหยุดพักสักหน่อยแล้ว เพราะมันไม่มีแรงจะพูดแล้ว พูดกัณฑ์ที่ ๓ นี่ เรื่องนิโรธๆ จะขอหยุดพักสักหน่อย แล้วคุณประยูรหรือศรีธวัช มาช่วยกันจัดอะไรดำเนินไปพลางสิ จะขอหยุดพัก อภิปรายธรรมะกันหรือให้ใครมาพูดจาตามที่เคยกระทำกำหนดไว้ อภิปรายธรรมะ ที่อาตมาต้องการ ก็ขอ ขอฝ่ายค้าน ใครอยากค้านก็ขึ้นมาพูด ใครอยากจะค้านถ้อยคำที่พูดไปแล้วนี้ ขอเชิญขึ้นมาพูด//
นอกจากจะอดข้าว รู้จักความหิว แล้วยังจะต้องรู้จักอดนอน รู้จักอดนอน อดทนด้วยการอดนอนด้วย มันคู่กัน ไม่กินไม่นอน ศึกษากันวันนี้ มีรสชาติอย่างไร