แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือ แสวงหาความรู้เรื่องธรรมะนั่นเอง
อยากจะทำความเข้าใจเป็นพิเศษเล็กน้อยว่า เวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำการศึกษาเรื่องของธรรมะ เวลาอย่างนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นเวลาที่ดอกไม้ทั่วๆไปก็เริ่มบาน จิตใจของเราจะเริ่มบานหรือว่าอยู่ในลักษณะที่พร้อมที่จะฟัง จะคิด จะเข้าใจอะไร ถ้าเป็นเวลากลางวันแล้วมันมีอะไรเข้าไปมากมาย มีลักษณะเหมือนกับน้ำชาเต็มถ้วยใส่ไม่ลง ทีนี้จิตใจยังเหมาะสมที่จะเติมอะไรลงไปได้ จึงเลือกเอาเวลาอย่างนี้มาเป็นเวลาสำหรับพูดจากัน ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ ทีนี้เราจะตั้งต้นทำความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาธรรมะ ฉะนั้นขอให้ถือว่าเป็นเรื่องของการพัฒนาชีวิต การศึกษาธรรมะนี่เป็นเรื่องของการพัฒนาชีวิตให้เป็นชีวิตที่มีการพัฒนาจนถึงที่สุด ความสำคัญอยู่ที่ตรงนี้
ท่านต้องมีความแน่ใจถึงที่สุดอย่างหนึ่งเสียก่อนว่าธรรมะเป็นสิ่งที่พัฒนาชีวิตและชีวิตก็เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ท่านต้องแน่ใจว่าชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ มิฉะนั้นจะมาเสียเวลาพูดจากันทำไม ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้จนถึงจุดสูงสุดซึ่งเราจะเรียกมันว่า ชีวิตสูงสุด Supreme Life อะไรก็แล้วแต่ ขอให้แน่ใจอย่างนี้กันก่อน จึงจะมีความตั้งใจหรือมี Appetizer ในการที่จะพัฒนาชีวิต
เราต้องแน่ใจว่าชีวิตนี้ธรรมชาติให้มา หรือท่านจะเรียกว่าพระเจ้าให้มาก็ได้ สำหรับเป็นต้นทุน เป็นต้นทุน ภาษาไทยเรียกเดิมพันต้นทุนสำหรับเอามาลงทุนแล้วก็ทำการค้าด้วยการพัฒนา ในที่สุดก็จะเป็นชีวิตที่มีกำไรสูงสุด จะเรียกว่า ชีวิตสูงสุด ไม่อย่างนั้นก็เสียเวลาเปล่าๆที่ไม่รู้จะทำอะไรกันไปทำไม
คำว่าสูงสุดในที่นี้ ในความหมายของคำว่า supreme ก็ดี หรือ niche (นาทีที่ 8.24) ก็ดี มันหมายความว่าอยู่เหนือๆปัญหาทั้งปวง สิ่งที่เป็นปัญหานั้นก็หมายความว่าทำให้เกิดความยุ่งยากลำบากเป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ต้องแก้ไข ฉะนั้นชีวิตนี้จะอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ไม่มีอะไรรบกวน นี่จึงจะเรียกว่า สูงสุด หรือ อยู่เหนือสิ่งใดๆ
สำหรับสิ่งที่รบกวนชีวิตที่เรียกว่าปัญหานั้น เราต้องมองดูกันให้ดีๆ คือให้ถึงความจริงที่เป็นความจริง ว่า ทุกสิ่งที่ถูกจัดไว้เป็นคู่ๆตรงกันข้าม เช่น positive และ negative แต่ละคู่ ละคู่ ละคู่นี้ มันรบกวนจิตใจ มันทำให้เกิดปัญหา ให้มีสิ่งที่เรียกว่า ความทุกข์ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เราต้องอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่เป็นคู่ๆเหล่านี้
การที่พูดว่าทั้ง positive และ negative เป็นปัญหานี่มันฟังยาก ไม่ค่อยจะเข้าใจกัน อยากจะลดลงมาให้มันง่าย ให้มันสั้นว่า มันเป็นปัญหาทั้งความดีใจและความเสียใจ ความดีใจก็มิใช่ความสงบ เท่ากับความเสียใจ มันไม่ใช่ความสงบด้วยกันทั้งนั้น เมื่อต้องการความสงบที่ไม่รบกวนโดยแท้จริงแล้ว มันต้องไม่มีความหมายแห่งความดีใจหรือความเสียใจ นี่เรียกว่า สูงสุดเหนือปัญหา
ถ้าจะพูดกันให้เด็กๆฟังถูก ก็ต้องบอกเขาว่า หัวเราะก็ไม่ไหว ร้องไห้ก็ไม่ไหว ถ้าเด็กคนนั้นเข้าใจถูก นั่นแหละ เขาจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่ามีชีวิตสูงสุด หัวเราะก็เหนื่อย ร้องไห้ก็เหนื่อย หัวเราะก็ตื่นเต้น ร้องไห้ก็ตื่นเต้น มันเป็นการรบกวน มันไม่ใช่ความสงบทั้งหัวเราะและร้องไห้ สิ่งเหล่านั้นเวลาเราต้องการความเป็นอิสระ เราไม่ต้องร้องไห้ เราไม่ต้องหัวเราะ ไม่มีอะไรมาทำให้ร้องไห้ หรือไม่มีอะไรมาทำให้หัวเราะได้ นี่ควรเข้าใจนี่ ข้อนี้เป็นพื้นฐานว่า ผลของธรรมะในที่สุดนั้นเป็นอย่างไร
ร้องไห้มันกัด แต่หัวเราะมันก็กัด ลองคิดดูให้ดี ความรักก็กัด ความไม่รักมันก็กัด มันต้องเหนือความรักหรือเหนือความไม่รัก คือเหนือ positive และ negative เดี๋ยวนี้ในโลกเรานี้ พอใจหลงไหล positive จนถึงกับบูชา มันจึงไปทางบวก ทาง positive มากๆๆ จนมีปัญหามากมายแก้กันไม่ไหว เพราะว่า เราบูชาบวก ต้องอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าบวกอีกทีหนึ่ง จึงจะเป็นความสูงสุดหรือความหลุดพ้นที่แท้จริง
พูดให้มันสั้นที่สุดให้จำง่ายที่สุดก็ว่า เราจะมีชีวิตที่สงบๆ ไม่ fight และก็ไม่ flight ไม่รบ ไม่สู้ แล้วก็ไม่วิ่งหนี ท่านจะสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าไม่สู้ ทำอย่างไรจะชนะล่ะ ขอบอกว่า ชนะมันก็เป็น positive ชนิดหนึ่งซึ่งมันรบกวนเหมือนกัน แพ้ก็สู้ไม่ไหวมันรบกวนมากเกินไป ฉะนั้นตามหลัก ตามหลักของธรรมะ ต้องไม่แพ้และไม่ชนะ ไม่มีเกี่ยวกับแพ้ ไม่มีเกี่ยวกับชนะ นั่นแหละมันจึงจะสงบ เดี๋ยวนี้เราอยากจะชนะมากเกินไป อยากจะครองโลกทั้งโลกนี่ มันถลำเข้าไปในปัญหา เข้าไปในความไม่สงบ ก็ขอให้มองดูในแง่ว่าทั้งแพ้และทั้งชนะ ยุ่งเหมือนกัน เป็นปัญหาเหมือนกัน ยุ่งยากลำบากเหมือนกัน ถ้าเป็นความสงบๆน่ะ มันต้องไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ และเราจึงไม่ fight และก็ไม่ flight ขอให้ลองคิดดู
คำที่เป็นคู่ ที่มีความสำคัญอีกคู่หนึ่งก็คือ คำว่า ดีและชั่ว ดีและชั่ว ดีก็มีปัญหาแบบดี ชั่วก็มีปัญหาแบบชั่ว ดีก็ยุ่งวุ่นวายแบบดี ชั่วก็แบบชั่ว เพราะฉะนั้นเราจะต้องมองให้เห็นชัดว่า ถ้าไป attach ไปยึดมั่นถือมั่น ไปนั่นก็แล้วมันกัด กัดทั้งนั้นแหละ กัดทั้งดีและกัดทั้งชั่ว ไอ้ที่เป็นดีก็กัดอย่างดี ไอ้ที่เป็นชั่วก็กัดอย่างชั่ว แต่มันกัดทั้งนั้น ขอให้มองดูข้อนี้กันก่อน จึงจะเข้าใจจุดมุ่งหมายของการศึกษาธรรมะโดยแท้จริง
ความรู้เรื่องนี้ มนุษย์ได้รู้กันมาเป็นพันๆปี หลายพันปี ทางตะวันตก ตะวันตกสุดของเอเชียนี้ พวกยิวเขาก็รู้เรื่องนี้ คือ คัมภีร์ไบเบิล ตอน Old Testament เขามีข้อความที่พระเจ้าสั่งให้ผัวเมีย อาดัมกับอีฟว่า อย่ากินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว ถ้าท่านกินกันแล้วท่านจะต้องตาย ท่านกินแล้วจะต้องตาย ต้องการจะอยู่เหนืออิทธิพลของดีและชั่วของ positive และ negative ทีนี้ตะวันออกสุดของเอเชีย ก็มีเหลาจื้อหรือผู้ประกาศ Taoismนั้น เขาก็สอนว่าอย่า attach to Yin หรือ Yang ดีหรือชั่ว ดีหรือชั่วก็ positive negative มันเหมือนกัน และจึงจะอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ที่ตรงกลางๆคืออินเดีย อินเดียที่เกิดของ Hinduism และ Buddhism นี่ก็ ให้ yield เหนือปุญ ปุญญะ ปาปะนี่ (นาทีที่ 25.42) ฮินดูเขาใช้คำอย่างนี้ ในภาษาพุทธศาสนาก็ใช้คำนี้ แต่ใช้คำว่า กุศละ อกุศละ (นาทีที่ 25.53) มากกว่า มันก็หมายถึงดีและชั่ว ชั่วหรือดีเหมือนกัน นี่เป็นพันๆปีมาแล้ว มนุษย์รู้เรื่องนี้มา อยู่เหนือดีเหนือชั่วนั้นจะถึงสูงสุดที่อยู่เหนือๆความทุกข์โดยประการทั้งปวง
เดี๋ยวนี้เรากำลังเป็นอย่างไร เรากำลังเป็นอย่างไร เรากำลังหลงรัก หลงพอใจ จนอยู่ใต้อิทธิพลของไอ้ความเป็นบวกและความเป็นลบ เราจึงมีหัวเราะ มีร้องไห้ มีหัวเราะ มีร้องไห้ สลับกันไปไม่มีที่สุดน่ะ แต่โดยแท้จริงนั้นเราก็บูชาหัวเราะ คือ เราชอบบวก ชอบ positive เราอยากจะมีอะไรชนิดที่ทำให้เราดีใจ คือทำให้เราดีใจ เราหัวเราะ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลย ถ้าเป็นคนป่าสมัยหมื่นปีแสนปีมาแล้ว เขาไม่ได้ติดใจ ไม่เป็นทาสของความเป็นบวกมากเหมือนคนสมัยนี้ คนสมัยนี้หลงใหลบูชาความเป็นบวกมากเกินไป และใช้เครื่องมืออุตสาหกรรมเลย เครื่องจักรอุตสาหกรรมผลิตเหยื่อปัจจัยที่ทำให้เราได้ดีใจ ได้หัวเราะ ผลิตกันด้วยเครื่องจักร คนสมัยนึ้จึงเป็นทาสของความดีใจหรือ positive มากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น จน positiveness มาครองโลกกันเลย นี่เรามีปัญหามหาศาล ปัญหาใหญ่หลวงก็คือข้อนี้ เราทะเลาะวิวาทกันแย่งชิงสิ่งที่เป็น positive กันก็เพราะเราไม่รู้เรื่องนี้ นี่ขอให้รู้ต้นเหตุแห่งปัญหาว่ามันมาจากความหลงใหลในความเป็นบวกมากเกินไป ความเป็นบวกเท่าไร ความเป็นลบก็จะตามมาเท่านั้นแหละ ไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นขอให้มองดูกันที่นี่เป็นพิเศษทำความเข้าใจกันเสียก่อน
ถ้าเราจะบอกเด็กๆ เด็กๆ หรือผู้ใหญ่แล้วโดยมาก ผู้ใหญ่แล้วโดยมากในเวลานี้ ว่าเราจะไม่ต้องการบวก ไม่ต้องการ positive จะอยู่เหนืออิทธิพลของ positive แล้วเขาก็จะคิดหรือเขาอาจจะตอบว่า บ้าแล้ว บ้าแล้ว abnormal หรือ crazy ไปแล้ว นี่ถ้าต้องการจะอยู่เหนือบวก เพราะว่าเราได้รับคำสั่งสอนมาตั้งแต่ต้นว่าให้สำเร็จ ทำอะไรให้สำเร็จ ให้รับประโยชน์เป็นบวก แล้วก็ให้พรกันด้วยความเป็นบวก เดี๋ยวนี้ทำไมมาบอกว่านี่เราจะต้องอยู่เหนือบวกเช่นเดียวกับที่เราจะต้องอยู่เหนือลบ ขอให้ทำความเข้าใจเรื่องนี้กันก่อนว่ามันบ้าหรือมันถูก ว่ามันบ้าหรือมันดี มันผิดหรือมันถูก การที่อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกโดยสิ้นเชิง
คนโดยมาก คนโดยมากคิดว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้เราไปถึงจุดที่ดีที่สุด ที่ดีที่สุด Utmost goodnessน่ะ ให้ไปที่จุดที่ดีที่สุด แล้วทำไมมาบอกว่า ไม่ต้องการ ไม่ต้องการที่ดี ไม่ต้องการที่ชั่ว ไม่ต้องการทั้ง positive และ negative ข้อนี้จริงหรือไม่ท่านก็ลองคิดดูเองว่า ศาสนายิวที่เป็นต้นกำเนิดของศาสนาคริสต์ Christianity mohamad บิดา (นาทีที่ 40.27) ทั้งคริสต์และอิสลามขาก็มาจากคำสอนสูงสุดของยิว ไบเบิลตอนแรกที่ว่า อย่าไปกินผลไม้ที่รู้ดีรู้ชั่วแล้ว attach ในที่ดี แล้วก็มีข้าศึกทั้งดีและชั่ว ทั้งดีและทั้งชั่วมันจะเป็นข้าศึกกับเรา เหล่าจื้อทางตะวันออกสุดก็อย่าหยินอย่าหยาง อย่าดีอย่าชั่ว ฮินดูก็สอนว่าเมื่อพ้นดีพ้นชั่วแล้วก็จะถึง อาตมันนิรันดร Universal internal soul (นาทีที่ 41.03) ผู้ที่อยู่เหนือดีเหนือชั่วแล้วก็จะนิพพาน ไม่มีศาสนาไหนที่แท้จริงที่ถูกต้องและสูงสุดสอนให้บูชาดี เอาดีที่สุดนั่นแหละเป็นหลัก เพราะฉะนั้นขอให้นึกถึงข้อนี้เสียก่อน ทำไมทุกศาสนาที่ดี ที่แท้จริงสอนให้อยู่เหนือดีเหนือชั่ว
ขอให้ถือเอาคำกล่าวที่ว่า อย่ากินผลไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว คืออย่าไป classify หรือไป regard สิ่งใดๆว่า positive หรือ negative เพียงแต่รู้ว่าสิ่งนี้เราจะต้องทำกับมันอย่างไร สิ่งนี้เราจะต้องทำกับมันอย่างไรเท่านั้นแหละพอ สิ่งนี้มีเหตุปัจจัยอย่างไร เราจะจัดการกับมันอย่างไร อย่าไป regard ให้เป็นดีเป็นชั่วขึ้นมานั่นแหละ คืออย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว นี่คำสอนนี้ลึกซึ้งที่สุด คำสอนในไบเบิลตอน old testament ให้เราเข้าใจข้อนี้ แล้วเราจะเข้าใจพุทธศาสนา ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อ ก็เห็นว่าท่านทั้งหลายมีกำเนิดเป็นคริสเตียนกันโดยมาก แล้วเข้าใจดีอยู่แล้ว ก็ขอให้เข้าใจยิ่งขึ้นไป ถ้าเป็นคริสเตียนที่ถึงที่สุด ก็จะเป็น Buddhist ที่ถึงที่สุดได้เหมือนกัน
อย่าพยายามทำให้เกิด Balance ระหว่างชั่วกับดี หรือว่าเราจะอยู่ในระหว่าง ระหว่างไม่ชั่วไม่ดี อย่าไปทำอย่างนี้ balance หรือ between นี่ใช้ไม่ได้ เราต้องอยู่ข้างบน above beyond good and evil ต้องศึกษาให้รู้ความจริงข้อนี้ จนเราจะอยู่เหนือๆๆอิทธิพลทั้งหมดของชั่วและดี นี่คือใจความสำคัญของธรรมะที่ท่านทั้งหลายจะต้องศึกษา
ถ้าใครที่มีความเห็นว่า อยู่เหนืออิทธิของgood and evil นี้ไม่มีความหมาย nonsense ไม่มีความหมาย หรือว่า abnormal หรือว่า crazy แล้วเราก็ไม่ต้องพูดกัน เราไม่ต้องพูดกัน เราไม่ต้องมาศึกษาพุทธศาสนาด้วย ดังนั้นเราจึงจะพยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้จนได้ คืออยู่เหนืออิทธิพลของดีและชั่ว บวกและลบ
มีคนบางคน เพื่อนที่เป็นคริสเตียนบางคนเขาอธิบายว่า god นี่คือ utmost good ก็บอกไม่เห็นด้วย เราไม่เห็นด้วย ถ้า god แท้จริงต้อง beyond good แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าเป็น god ที่แท้จริงต้อง beyond good ไม่ใช่ utmost good นี่ท่านไปคิดข้อนี้ให้เข้าใจเถอะ
หลายคนจะคิดว่าเมื่อเหนือ เหนือ เหนือดี เหนือดี พ้นดี เหนือดี แล้วจะมีประโยชน์อะไร แล้วจะ (นาทีที่ 53.40) เราจะยืนยันว่านั่นแหละ นั่นแหละคือ supreme life นั่นแหละ ชีวิตที่อยู่เหนือชั่วเหนือดีทั้งหมดนั่นแหละ เป็นชีวิตที่สูงสุด สูงสุด เราจะพูดกันถึงเรื่องนี้ต่อไป
เมื่ออยู่เหนืออิทธิพลหรือความหมายหรือคุณค่าที่เหนือดีเหนือชั่วได้แล้ว เราก็จะมีชีวิตที่สูงสุด มีความหมายแยกออกเป็น ๒ อย่าง คือว่ามันเป็น blissful blissful ถึงที่สุด และมันก็เป็น useful useful ถึงที่สุดด้วย ๒ อย่างคู่กันไปจึงจะเรียกว่าเป็นชีวิตสูงสุด ชีวิตสูงสุดจะต้องมีลักษณะเป็น blissful และ useful นี่ สิ่งนี้ต้องมาจากอยู่เหนืออิทธิพลของดีและชั่ว
ถ้าเรายังบูชาบวก หรือบูชาลบ บวกหรือลบมีอิทธิพลเหนือเราแล้วจะไม่มี blissful ไม่มี ไม่มีความเยือกเย็น สงบเย็นแห่งชีวิต เพราะว่า positive หรือ ดี ดีนี่ มันปรุงให้มีการวุ่นวาย ปรุงแต่งๆๆ อยู่ตลอดเวลา ให้รักๆๆๆๆ ให้พอใจๆๆอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้ไม่ใช่ blissful
ความรู้สึกดีชั่ว บวกลบนี้นั่นแหละคือต้นเหตุของความเห็นแก่ตัว selfishness มันมาจาก อยู่ใต้อิทธิพลของดีและชั่ว ถ้ามันเป็นอย่างดีมันก็เห็นแก่ตัวตามแบบดี ถ้ามันมาจากเห็นแก่ชั่วมันก็เห็นแก่ตัวอย่างแบบชั่ว ความเห็นแก่ตัวนั่นมีทั้ง positive และ negative เพราะฉะนั้นเราจึงเลิกกันทั้ง positive และ negative เราจึงจะไม่มีความเห็นแก่ตัวทุกๆชนิด
ไม่ต้องมีใครบอก ฉันก็เห็นได้เองว่า ความเห็นแก่ตัวมาจากความพอใจใน positive มาก มากกว่า negative เพราะทุกคนรัก พอใจ positive แล้วมันจึงรักและพอใจในตัวที่เป็น positive อย่างยิ่ง เราทุกคนในโลกจึงบูชา positive แล้วก็มีความเห็นแก่ตัวชนิดที่เข้าใจยากที่สุดน่ะ เข้าใจได้ยากที่สุด เป็นความเห็นแก่ตัวชนิดดี ขอให้สังเกตมาจนรู้จักสิ่งนี้ว่าแม้แต่ความเห็นแก่ตัวอย่างดีมันก็ไม่เห็นแก่ผู้อื่น มันก็ไม่เห็นแก่ความถูกต้องน่ะ เพราะมันเห็นแก่ตัวๆๆ ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นความถูกต้องนี่ระวัง ระวังความเห็นแก่ตัวที่มันมาจาก positive
ส่วนที่เป็น positive นั้นมัน enslave เรา ทำให้เราเป็นทาสของมันมากกว่าที่จะเป็น negative นี่ขอให้เข้าใจเรื่องนี้ให้ดีๆว่า positive ทั้งหลายนี่มัน enslave เราลงไปสู่ความเห็นแก่ตัว แล้วกระทำๆอย่างเห็นแก่ ที่เป็น negative ไม่เป็นทำนองนั้น ไม่มากอย่างนั้น แต่มันก็ยังพาไปสู่ความเห็นแก่ตัวตามแบบของ negative จึงกล่าวได้ว่า ทั้ง positive และ negative มัน enslave เสมอกันๆ
เราจะต้องศึกษามาตั้งแต่ว่าเด็กทารก เด็กทารกแรกคลอดมาจากท้องมารดา แรกคลอดออกมาจากท้องมารดา พอเขาได้รู้สึก positive เช่นได้กินนมหรือกินของอร่อย เขาก็รู้สึกอร่อย เขาก็ชอบใจ เขาก็มีความรู้สึกที่เป็น positive ก็เพราะว่า attach มาในฐานะที่มันเป็น positive ทีนี้เมื่อเขาไปกินของที่ไม่อร่อย ของขม ของอะไรเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาเขาก็มีความรู้สึกเป็น negative มันเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เด็กทารก เพราะว่าเด็กทารกนี้ไม่มีความรู้อะไรเลย มาจากท้องแม่ ไม่มีความรู้อะไรเลย เขาจึงมาโง่ ที่ว่าจะเป็น positive โง่ที่ว่าจะเป็น negative เขาก็เริ่มโง่ๆ สำหรับเป็น positive และ negative มาจนเป็นผู้ใหญ่ จนเป็นคนโต มันก็บูชาฝ่าย positive มันก็เกลียดชังฝ่าย negative มันจึงมีความเห็นแก่ตัวทั้งอย่าง positive และทั้งอย่าง negative
ทีนี้ถ้าว่ามันถูกครอบงำ ถูกจับฉวยครอบงำเอาโดย positive หรือโดย negative ก็ตามเสียแล้ว มันไม่อาจจะเป็นชีวิตชนิด blissful หรือ useful ไม่อาจจะ blissful ไม่อาจจะเป็น useful ถ้ามันถูกจับเอาโดย positive หรือ negative เสียแล้ว เราจึงต้องจัดการมัน กำจัดอิทธิพลของ positive และ negative กันเสียให้ได้
ท่านมาที่นี่เพื่อจะศึกษาธรรมะและฝึก meditation นี่ก็เพื่อจะทำให้สามารถอยู่เหนืออิทธิพลของ positive และ negative ถ้าท่านพยายามทำความเข้าใจให้ดี แม้จะทำไม่ได้ แต่ถ้าเข้าใจดี แล้วท่านก็อาจจะไปทำทีหลัง ที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นก็จะมีความรู้ในการที่จะกำจัดอิทธิพลของ positive และ negative แม้ท่านจะมาที่นี่อย่าง tourist tourist ก็ขอให้ท่านกลับไปอย่าง pilgrim ท่านมาประเทศไทยอย่าง tourist ก็กลับไปอย่าง pilgrim คือมีความรู้ที่จะกำจัดอิทธิพลของ positive และ negative ขอให้มาอย่าง tourist กลับไปอย่าง pilgrim
ท่านต้องรู้เรื่องนี้ คือ มีความรู้มีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องนี้ นี่อย่างหนึ่ง และท่านต้องทำอย่างนั้นให้ได้นี่มันอีกอย่างหนึ่ง มันเป็น ๒ อย่างอยู่ ได้รู้ว่าความจริงสิ่งทั้งปวงเป็นอย่างไร เป็นอย่างไร นี่เป็นความรู้ ซึ่งเราจะช่วยให้ท่านรู้ แต่แล้วท่านทำไม่ได้ ท่านทำไม่ได้ ทำตามนั้นไม่ได้ คือไม่อาจจะออกจากอิทธิพลของ positive และ negative เราจึงมีการปฏิบัติ มีการปฏิบัติ ให้ท่านสามารถปฏิบัติได้ และชนะอิทธิพลของ positive และ negative ได้ ดังนั้นเราจึงสอน พยายามสอน พยายามให้ท่านเข้าใจเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท positive และ negative จะเกิดขึ้นมาอย่างไร ถ้าท่านควบคุมมันไม่ได้ เราก็ฝึกให้ท่านฝึกอานาปานสติ ท่านก็ควบคุมการเกิดแห่ง positive และ negative ได้ ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้น หมายความว่าท่านรู้ว่ามันเป็นอย่างไร และท่านต้องปฏิบัติได้ตามนั้นด้วย มันเป็นเรื่อง ๒ เรื่องด้วยกันขอให้เข้าใจไว้ก่อน
เราไม่อาจจะทำให้สำเร็จได้ภายในเวลาเพียง ๑๐ วัน ๑๐ วันเราทำให้ครบหรือสำเร็จไม่ได้ แต่เราจะมีความรู้ มีความรู้สำหรับทำต่อไป ทำต่อไปจนสำเร็จได้ ดังนั้นขอให้ท่านพยายามให้ดีที่สุดที่จะเข้าใจๆๆ เห็นแจ้งๆเรื่องนี้ดีที่สุด แล้วท่านก็พยายามต่อไป พยายามต่อไป ปฏิบัติ develop the mind อานาปานสตินี่ต่อไปๆ สักวันหนึ่งท่านจะทำได้ ทีนี้ขอให้สนใจว่า เรากำลังพยายามทุกอย่างทุกทางเพื่อจะถอนตัวออกมาจากความเป็นทาสของ positive และ negative เราจะไม่เห็นแก่ตัว แล้วเราจะมีชีวิตชนิดที่เป็น blissful และ useful ได้เต็มตามความหมายของมัน
ความรู้ ความรู้ที่เพียงพอ ความรู้ที่ถูกต้องและเพียงพอนั้น มันมีไม่ได้เพียงแต่การศึกษาๆ study study นี่ไม่พอ มันจะรู้ถึงที่สุด รู้กันไปก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติๆๆ อันนั้นจะรู้ๆๆ รู้จริง รู้ถึงที่สุด เดี๋ยวนี้เราก็ต้องมีการเรียน การศึกษา เราก็มี รู้เพียงแค่การศึกษา ถ้าปฏิบัติๆเราจะรู้อย่างชนิดปฏิบัติ มันเป็นความรู้อย่าง อย่างจิตใจ อย่าง experience โดยจิตใจโดยตรง ท่านจึงต้องทำทั้งการศึกษาธรรมะ และท่านก็ต้องปฏิบัติๆๆธรรมะด้วย แล้วความรู้ก็จะสมบูรณ์ จะถอนอำนาจของ positive และ negative ได้
ยิ่งกว่านั้นอีก ก็คือว่า แม้แต่เรื่องสำหรับศึกษา สำหรับ study นี่ เราก็ยังจะต้องกระทำจากสิ่งที่มีจริงเป็นจริง ไม่ใช่ศึกษาเพียงอ่านหนังสือ ไม่ใช่ศึกษาเพียงฟังๆๆนี่ไม่พอ เราต้องศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง เช่นว่า positiveนั้นมันกัดเราอย่างไร negative มันกัดเราอย่างไร ในชีวิตประจำวันตลอดเวลาแห่งชีวิตของเรา มันกัดเราอย่างไร มันเป็นสิ่งที่กัดเจ้าของ attach positive attach negative แล้วมันจะกัดเจ้าของ มันเป็นสุนัขที่กัดเจ้าของ นี่จะต้องศึกษาจากที่การถูกกัด ถูกมันกัด ถูกมันกัด อยู่ทุกวันๆ โดยการที่ไป attach กับ positive และ negative นี่เป็นการศึกษาอย่างยิ่ง เป็นการศึกษาที่พร้อมกับการปฏิบัติไปในตัว
ในทางพุทธศาสนาถือว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุด อันตรายที่สุด เป็นบาปที่สุด เป็นซาตาน Satan นั่น อย่างยิ่งที่สุดก็คือ ความเห็นแก่ตัว ซึ่งมาจาก attachment ต่อ positive และ negative
ความเห็นแก่ตัว selfishness น่ะ มันจะกัดผู้มีความเห็นแก่ตัวนั่นเอง แล้วมันจะออกไปกัดผู้อื่นด้วย มากออกไป มากออกไป จึงถือว่าความเห็นแก่ตัวนี่เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เป็นบาปสูงสุด เป็นอันตรายที่สุด ต้องช่วยกันกำจัด กำจัดของเรา เราก็จะเป็น blissful ถ้าช่วยกำจัดของผู้อื่นเราก็จะเป็น useful เรามีชีวิตที่เป็น blissful และ useful ได้เพราะว่าเราสามารถกำจัดความเห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัวเกิดได้ตามธรรมชาติโดย instinct ที่มันมีอยู่ตามธรรมชาติ พอเด็กทารกออกมาจากท้องมารดา มันก็เริ่มรู้จักความเห็นแก่ตัว อร่อยก็เกิด positive ไม่อร่อยก็เกิด negative ก็เห็นแก่ตัวทั้ง ๒ แบบ ทีนี้เราเห็นแก่ตัวมันเกิดได้ตามธรรมชาติ และที่มีเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นอีกๆๆ คือ สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่จะมาช่วยให้มันยินดีมาก ยินร้ายมาก รักมาก โกรธมาก รักมาก โกรธมาก มันก็เพิ่มขึ้น ความเห็นแก่ตัวมันก็เพิ่มขึ้นๆ ตามที่เราได้รับการแวดล้อมจากสิ่งภายนอก มันจึงมีความเห็นแก่ตัวทั้งที่เกิดจากสันชาตญาณ และเห็นแก่ตัวทั้งที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งแวดล้อมเข้ามาๆมากขึ้นทุกที นี่ ๒ ชนิดอยู่อย่างนี้
เรายิ่งไปเอาสิ่งที่เป็น positive มาหล่อเลี้ยงชีวิตมากเท่าไหร่ ความเห็นแก่ตัวจะมากขึ้นเท่านั้น มากขึ้นเท่านั้น เอา positive มาเท่าไร จะเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้นๆ ข้อนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะว่าเรากำลังบูชา ความเห็นแก่ตัว เอ๊ย positive ซึ่งจะมาเป็นอาหารให้แก่ความเห็นแก่ตัว นี่คือสิ่งที่เราต้องระวัง
โลกนี้กำลังจะวินาศ ใกล้ๆความวินาศยิ่งขึ้นไปทุกที เพราะว่าความเห็นแก่ตัวนั้นมันเพิ่มขึ้นในโลก ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นในโลก เพราะเราส่งเสริม positive things หรือว่าคุณค่า อำนาจ อิทธิพลของ positive มากขึ้นๆ ความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้นในโลก โลกนี้มันก็ใกล้ความวินาศยิ่งขึ้นไปทุกที ทุกวันๆ
นายทุน นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว นายจ้าง นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้าง ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว ในที่บางแห่งบางเวลา รัฐบาลก็เห็นแก่ตัว ประชาชนราษฎรก็เห็นแก่ตัวมากขึ้นๆๆนี่ ปัญหาเฉพาะหน้า หรืออันตรายเฉพาะหน้าที่มันมีอยู่ในโลกคือ ความเห็นแก่ตัวมันเพิ่มขึ้นในโลก เพิ่มขึ้นในโลก ตามที่เรามีความเจริญทางวัตถุ เจริญทางวัตถุ หล่อเลี้ยง positive และ negative มากขึ้นเท่าไร มันก็เห็นแก่ตัวในโลกเพิ่มขึ้นๆมากเท่านั้นล่ะ นี่อันตราย
ยิ่งมีความเจริญทางวัตถุยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งมีความเจริญทางวัตถุ ยิ่งเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เราก็ยิ่งส่งเสริมความเจริญทางวัตถุ ด้วยเหตุผลความเห็นแก่ตัว ด้วยเหตุผลอย่างอื่น อย่างเหตุผลทางการเมือง ถ้าเรายังส่งเสริมความเจริญทางวัตถุ มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่ส่งเสริมความเจริญทางวัตถุ ยิ่งมีความเจริญทางวัตถุก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัวมันก็ยิ่งกัดตัวเองและกัดผู้อื่น เป็นชีวิตที่กัดตัวเอง เป็นชีวิตที่กัดผู้อื่นมากขึ้นตามที่ความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้น ตามที่ความเจริญทางวัตถุมันมากขึ้น ขอให้เราเพ่งดูความเจริญทางวัตถุให้ดีๆ ควบคุมมันให้ได้ อย่าให้เราตกเป็นทาสของความเจริญทางวัตถุ
เราจะต้องรู้จักตัวเองให้ดี ให้ดี ให้ถูก มากขึ้นๆ ตามธรรมดาทั่วไปเรามีร่างกายและมีจิตใจ body and mind มีร่างกายมีจิตใจ นี่ต้องมี ต้องมีด้วยกันทุกคน แล้วคนพวกหนึ่งเขามีสิ่งที่ ๓ เป็นความเห็นแก่ตัว มี ๓ สิ่ง ร่างกาย จิตใจ ความเห็นแก่ตัว แต่คนอีกพวกหนึ่งที่จะไม่มีปัญหานั้น เขามีร่างกาย มีจิตใจ และมีความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ตัวตน ตัวเราในโลกเวลานี้มีอยู่ ๒ ชนิด คือ มีความเห็นแก่ตัวกับไม่มีความเห็นแก่ตัว เรามีร่างกายและจิตใจเหมือนกันนั่นแหละ ทุกคนต้องมี แต่พวกนี้มีความเห็นแก่ตัว พวกนี้ไม่มีความเห็นแก่ตัว ถ้ามันมีปัญหาอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวเราจะมาหาวิธี eliminate ความเห็นแก่ตัวนี้ออกไป ออกไป ขอให้ท่านตั้งใจว่ามาที่นี่ ศึกษาหาความรู้ทางธรรมะเพื่อจะกำจัดความเห็นแก่ตัวหรือสิ่งที่ ๓ ที่ไม่พึงปรารถนานี่ออกไป ออกไป
ความเห็นแก่ตัว selfishness นั้นมันมาจากความรู้สึกว่ามีตัว รู้สึกว่ามีตัว egoism มี egoism แล้วมันก็ทำให้มี selfishness เราจะต้องรู้ความหลอกลวง ความไม่ใช่ของจริงของความเห็นแก่ตัว และความมีตัว มาศึกษากันให้มาก โดยเฉพาะศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท จะมองเห็นความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตัว ไม่มีตัว แล้วมันก็ไม่อาจเกิดความเห็นแก่ตัว นี่คือใจความสำคัญว่าจะต้องเอาความรู้สึกโง่ๆผิดๆ ๒ อย่างนี้ออกไปเสีย คือความมีตัว ความรู้สึกว่ามีตัวนี่ กับความเห็นแก่ตัว ๒ อย่างนี้ออกไปเสีย
เราจะศึกษาได้จากสิ่งที่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริง แก่ตัวเราเอง แก่ตัวเราเอง เช่น เมื่อ ตา ตานี่เห็นรูป ตาเห็นรูป หรือ nervous system ของตามีการเห็นทางตา แต่เราก็ ฉันเห็นรูป เมื่อตาเห็นรูปเราโง่ว่าฉันเห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียงก็เหมือนกันแหละ nervous system ที่หูมันทำหน้า มันมีการได้ยิน แต่ฉันก็โง่ ฉัน ฉันเห็นรูป ไม่ได้เป็นการกระทำตามธรรมชาติของไอ้ nervous system เหล่านั้น เมื่อจมูกได้กลิ่นก็ว่าฉันได้กลิ่น เมื่อได้รส ลิ้นได้รส ก็ฉันได้รส เมื่อได้รับสัมผัสผิวกายทั่วๆไป nervous system ทางกายมันทำหน้าที่ ทำการงาน function ของมันก็ ฉันได้รับ ได้รับ touch ทางกาย และเมื่อจิตแท้ๆ จิตตามธรรมชาติมันคิด ก็โง่ว่าฉันคิด ไม่ใช่จิตคิด นี่เราได้สร้าง egoism ขึ้นมาแล้ว ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้ว egoism นี้ก็จะให้การเกิดแห่งความเห็นแก่ตัวหรือ selfishness อีกต่อไป จงดูสิของจริง จงดูสิเรื่องจริงที่กำลังมีอยู่กับเรา egoism สร้าง selfishness
ที่เห็นได้ง่ายๆ เช่นว่า มีดบาดนิ้ว เราไม่รู้สึกว่ามีดบาดนิ้ว เรารู้สึกว่ามีดบาดฉัน มีดบาดกูนี่ ไม่ได้รู้สึกว่ามีดบาดนิ้ว มาจากมีดบาดกูที่นิ้ว มันก็ไม่รู้สึกว่ามีดบาดนิ้ว มันก็รู้สึกว่ามีดบาดกู พอมีกูเข้ามาแล้วมันก็มีความคิดที่โง่ที่สุดต่อไปอีก มันก็จะจัดการตามความโง่ มันก็จะจัดการกับมีด มันอาจจะทำลายมีด มันอาจจะหักมีด นี่เรียกว่าความรู้สึกว่าตัวตน egoism นี่ เป็นของที่ไม่มีอยู่จริง มันเกิดมาจากความโง่ ไม่รู้สิ่งเหล่านั้นตามที่เป็นจริง เราจะต้องมาศึกษาเรื่องนี้กันให้ดีๆว่า โดยแท้จริงแล้ว self หรือ ego นี่มิได้มี มิได้มีอยู่จริง มิได้มีอยู่เป็นของจริง มิได้มีอยู่จริง เกิดชั่วคราวๆๆเพราะความโง่ของเราเอง ดังนั้นจึงได้มากหลายสิบครั้งต่อวันหนึ่ง แล้วมันก็มีเรื่องมากมายเป็นบวกเป็นลบ เป็นบวกเป็นลบมากมาย ถ้ามี egoism แล้วมันก็มีความเป็นบวกเป็นลบอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
เมื่อเด็ก เด็กเล็กๆคนหนึ่งเขาเดินไปชนเก้าอี้ hit เก้าอี้ เขาก็เตะเก้าอี้เพราะมันเกิด ego ขึ้นฝ่ายนี่ฉัน ego ฝ่ายเก้าอี้ว่ามัน มันก็มีความรู้สึกว่าฉันถูกกระทำ ฉันก็ต่อสู้ fighting มันก็เกิดขึ้น ทั้งที่แท้จริงไม่มี ego ฝ่ายไหน ฝ่ายไหนก็ไม่มี ego แต่เมื่อมีความโง่ มีความโง่ ignorant เสียเมื่อไร มันก็มี ego เมื่อนั้นแหละ นี่ ego ไม่ได้เกิดอยู่ มันเพิ่งเกิดเมื่อเด็กเขาเจ็บ เมื่อเด็กเขาเจ็บเพราะเขาชนเก้าอี้ มันก็เกิด ego แล้วก็ fight อัน ego ตรงกันข้ามนี่ เพราะฉะนั้นขอให้ถือว่า self หรือ ego นี่มันไม่มีตัวจริง มันเป็นเพราะดับของความโง่แล้วก็เป็นชั่วคราวๆๆ ไม่มีตัวจริงอะไรที่ไหน
ขอให้มองเห็นความจริงข้อนี้ จึงสรุปความว่า ego หรือ self นี่มิได้มีอยู่จริง มิได้มีอยู่จริง แต่ไปเกิดครั้งคราวๆด้วยความโง่ ด้วยความไม่รู้ เมื่อไรมีความไม่รู้ มี ignorant เมื่อนั้นก็จะมี ego หรือ self นี่เกิดขึ้น เมื่อได้รับเวทนา หรือ feeling หรือ emotion อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว ego ego จะต้องเกิดขึ้นมาทันที มันเกิดวันหนึ่งหลายร้อยครั้งก็ได้ ขอให้มองเห็นว่า มิใช่มีอยู่จริงมันเป็น delusive มันเกิดจากความโง่ มันเป็น delusive อย่างนี้ท่านก็รู้จักความจริงทั้งหมดของทั้งหมด รวมทั้งของพุทธศาสนาด้วย
ในที่สุดขอให้เรามองเห็นความจริงที่สรุปเป็นใจความสั้นๆได้ว่า ตัวผู้กระทำนั้นมันเกิดจากการกระทำ ถ้าไม่มีการกระทำมันจะไม่เกิดความรู้สึกว่ามีผู้กระทำ เด็กๆเขาไม่เชื่อ เขาว่ามันเป็น illogic มันไม่เป็น logic แต่ที่จริงนั้นคือความจริง ตัวผู้กระทำนี่เกิดรู้สึกขึ้นมาเมื่อมีการกระทำหรือได้รับผลของการกระทำก็ตาม มี feeling มี emotion มีแล้วมันจึงจะเกิดความรู้สึกว่าผู้กระทำ ผู้กระทำมาทีหลังการกระทำและมาจากการกระทำ คนธรรมดาเห็นว่า illogic บ้าง เขาไม่เชื่อ แต่ถ้าเรามองเห็นความจริงอันนี้ เราก็จะถอน ego self หรือ egoism เสียได้ เราจะไม่มีความเห็นแก่ตัวและปัญหาจะไม่เกิดเลย ผู้กระทำมาจากการกระทำและมาทีหลังการกระทำ ขอให้พยายามทำความเข้าใจ
นี่คือความจริงสูงสุดที่พุทธศาสนาหรือธรรมะต้องการจะทำให้เราเข้าใจ ให้เราเข้าใจ ว่ามันไม่มี self ที่แท้จริง มันเกิดมาจากความโง่เป็นคราวๆ ศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้วจะเห็นชัดในข้อนี้ ปฏิบัติอานาปานสติแล้วเราจะควบคุมการเกิดแห่ง self อย่างโง่ๆนี้เสียได้ ขอให้ท่านพยายามที่จะศึกษาในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท พยายามที่จะปฏิบัติในเรื่องของอานาปานสติ ให้ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไปตลอดเวลา ในที่สุดท่านก็จะชนะ มันจะไม่มีทั้ง fighting และ flighting มันก็หมดปัญหา เป็นชีวิตที่อยู่เหนือปัญหาใดๆ
สรุปความว่า ชีวิตที่ไม่มี egoism เกิดขึ้น ไม่มี selfishness เกิดขึ้น มันก็เป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ถ้ามี egoism มี selfishness มันกัดเจ้าของ เดี๋ยวนี้ไม่มี egoismไม่มี selfishness มันไม่กัดเจ้าของ มันก็สามารถเป็นชีวิตชนิดที่ blissful useful ได้เต็มที่ นี่เรื่องมันก็จบอย่างนี้
ขอขอบคุณในการเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยความอดทนมาเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว ขอยุติการบรรยาย
ขอยุติการบรรยาย ขอให้ประสบความสำเร็จ ขอให้ประสบความสำเร็จ