แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่อง อานาปานสติและประโยชน์ของมัน เป็นการพูดกันในลักษณะสอบสวน Scrutinize ว่าท่านได้เข้าใจผิดเข้าใจถูกอย่างไร ที่ไหน ลักษณะ Scrutinize ดู แล้วมีลักษณะสอบไล่ Examine ดูด้วยตนเองว่าท่านสอบไล่ได้หรือสอบไล่ตก ท่านจะมีความเข้าใจได้กว้างต่อเมื่อท่านสามารถที่จะมองเห็นไอ้ประโยชน์นานาชนิดของอานาปานสติ การกระทำก็ดี ประโยชน์ก็ดี มีลักษณะเป็นหลายๆชนิด เราจะต้องรอบรู้แล้วเราก็จะทำได้ ก็การกระทำก็ดี ประโยชน์ของมันก็ดี มันมีหลายแง่หลายมุมหลายชนิดนี่ เราควรจะรู้จักทุกชนิด
เมื่อมองดูในแง่ของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็จะเห็นว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ คือสามารถจะกระทำให้เกิดขึ้นมาได้โดยมีเหตุผลหรือการกระทำที่ถูกต้อง มันไปเป็น เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของวิทยาศาสตร์แหละ เมื่อทำอย่างนี้ผลก็เกิดขึ้นอย่างนี้ เมื่อทำอย่างนี้แล้วผลก็เกิดขึ้นอย่างนี้ นี่เรียกว่ามันเป็นไปในแง่ของวิทยาศาสตร์
แล้วมันก็เป็นไปในแง่ของวิทยาอนามัย อนามัย ที่สามารถนำไปใช้เพื่อมีสุขภาพ เพื่อมีสุขภาพดีโดยมีอนา อานาปานสตินี่เป็นหลักอนามัยทางร่างกาย ทางจิตใจ ทางสติปัญญา เป็นอนามัยไปหมดทั้ง ๓ ทางเลย
แล้วมันก็มีความเป็นศิลปะ Artistic ที่งดงาม ท่านลองสังเกตดูว่ามันมีความละเอียด ประณีต สุขุม งดงาม แล้วมันก็มีความทำยาก ไม่ได้ ทำไม่ได้ง่ายนัก แต่ทำยากเหมือนกับศิลปะทั้งหลาย แต่มันก็มีผลตอบแทนสูงมาก มันควรจะรู้จักใช้เป็น Art ในการที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เป็น Buddhist Art โดยแท้จริง
เพื่อนที่เป็นฝรั่งเขามาสะสม แสวงหาสะสม Buddhist Art เป็นพระพุทธรูป เป็นไม้แกะสลัก เป็นภาพเขียน เป็นอะไรต่างๆ เขาสนใจโบสถ์ เจดีย์ วิหารที่สวยงาม แล้วเขาเรียกมันว่า Buddhist Art อาตมาบอกเขาว่าไม่ใช่ๆ พระพุทธเจ้าไม่เคยรู้จักสิ่งเหล่านี้ แล้วไม่ใช่ Art ของ Buddhist น่ะ มันเป็นอะไรก็แล้วแต่ Art ของ Buddhist ก็คือวิธีที่ฉลาด ละเอียด ประณีตที่จะกะ กำจัดความทุกข์ออกไปเสียจากจิตใจอย่างสวยงาม นั่นแหละเป็น Buddhist Art
ทีนี้ดูต่อไปในฐานะที่เป็นธรรมะ ธรรมะ ธรรมะคำนี้โดยเนื้อแท้แปลว่า หน้าที่ หน้าที่นี้ก็คือจะช่วยให้รอด ช่วยให้เกิดความถูกต้องสำหรับการรอด เลยไปถึงหลักทางวิทยาศาสตร์ Biology ที่ว่า The Fittest Survival นั่น คือทำให้เหมาะสมที่สุด เหมาะสมที่สุด ถูกต้องที่สุดสำหรับจะมีชีวิตรอดอยู่นั่น การทำอานาปานสตินั่นแหละเป็นวิธีที่จะทำให้เกิดความเหมาะสมที่สุดสำหรับจะมีชีวิตอยู่ อย่างนี้เรียกว่าธรรมะคือหน้าที่แห่งความรอด
แม้เราจะมองดูในแง่ของศาสนา Religion มันก็เป็นได้เต็มที่ แต่เราต้องตีความ แปลความของคำว่า Religion ให้ถูกต้อง Lig หรือ Leg นี่เป็น Observe, Observance ที่ทำให้เกิดการผูกพันกันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด การกระทำที่มีผลทำให้เกิดการผูกพันกันเข้าระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุดนี้ความหมายของคำว่า Religion ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว การทำอานาปานสติเป็นตัวศาสนา เป็นหัวใจของศาสนาเลย
ในความหมายทั้งหมดนี้ ท่านลองใคร่ครวญดู Scrutinize ดูว่าท่านได้ทำถูกต้อง สามารถที่จะนำไปใช้ในประโยชน์ทั้งหมดนี้ได้หรือยัง แล้วในที่สุด สุดท้ายนี้จะใช้มันอย่างไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็ได้ Superstition น่ะ คือว่าจะเป็นๆเครื่องมือแสวงหาไอ้ Magic Power อะไรต่างๆอย่างที่เรียกว่าเป็นไสยศาสตร์นี้ก็ยังได้ และได้เคยใช้มาแล้วมากมายแต่หนหลัง
แล้วท่านก็สังเกตเห็นเองแล้วว่า ทั้งหมดนี่มันทำโดยทางลมหายใจ ผ่านทางการหายใจ โดยวิธีการหายใจ เป็นการหายใจพิเศษจนกระทั่งว่าเป็นการหายใจที่ควบคุมโลกได้ เราจะไม่อยู่ใต้อำนาจบีบคั้นของโลก เราจะควบคุมโลกให้เป็นไปตามความต้องการของเรา ถ้าเรารู้จักหายใจอย่างครบถ้วนถูกต้องทุกวิธี ทุกๆวิธีตามแบบของอานาปานสติ มันจะเป็นการหายใจที่ควบคุมโลกทั้งโลกได้ คำว่า ควบคุมโลก ในที่นี้หมายความว่าความเป็นบวกหรือความเป็นลบที่มันมีอยู่ในโลกนั่นน่ะมันไม่สามารถทำอะไรแก่เรา ไม่มี Effect อะไรแก่เรา เราจะปกติๆๆอยู่ได้ อยู่เหนืออิทธิพลของไอ้ความเป็นบวกหรือความเป็นลบที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันได้
ขอให้สังเกตได้ ดูที่การหายใจ การหายใจนี่ อย่างๆน้อยนี่มันมีตั้ง ๓ แบบ การหายใจอย่างหยาบๆ คือหายใจอย่างแรง หายใจสุดเหวี่ยงของไอ้การหายใจนี่ มันมีผลว่าการหายใจเข้า การหายใจเข้าเต็มที่นี่ ท้องมันกลับแฟบเข้าไป ส่วนท้องส่วนล่างมันแฟบเข้าไป ส่วนบนส่วนอกต่างหากที่มันจะพองขึ้น ฉะนั้นการหายใจเข้าทำให้ท้องแฟบนี่มันผิดจากที่ท่านเคยพูดหรือเคยสังเกต อ่านการหายใจออก การหายใจออกนี่มันกลับทำให้ท้องป่องออกมา ท้องส่วนล่างป่องออกมา มันแฟบส่วนบนที่เป็นหน้าอก แม้เพียงเท่านี้ท่านก็ตั้ง ต้องสังเกตดูให้ดี มันผิดกับที่คนเขาพูดกันอยู่ การหายใจเข้าก็พอง การหายใจออกยุบ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแหละ ลองๆๆดูเองเถอะ หายใจเข้าสุดเหวี่ยง ท้องข้างล่างมันกลับยุบมาพองข้างบน หายใจออกสุดเหวี่ยง อกข้างบนกลับยุบ ไอ้ท้องข้างล่างกลับพอง นี้มันก็เป็นแบบหนึ่งแล้วที่มันมีผลแก่ร่างกาย
ทีนี้อีกชุดหนึ่งคือไม่บังคับ เราไม่บังคับ เราปล่อยไปตามธรรมชาติธรรมดา หายใจตามธรรมดาพอสมควร มันก็มีผลอย่างที่เรารู้ๆและพูดกันอยู่แล้วว่า หายใจเข้ามันพองออก หายใจออกมันยุบเข้า นี่ถ้ามีการหายใจอย่างธรรมดาๆ ไม่มีบังคับ หายใจเข้ามันก็พองออก หายใจออกมันก็ยุบ ตรงๆง่ายๆอย่างนี้นี่ก็อีกแบบหนึ่งหรือชุดหนึ่ง
ทีนี้อีกชุดหนึ่งหรืออีกระดับหนึ่งเป็นชุดที่ ๓ หมายถึงลมหายใจที่ละเอียด ละเอียดแล้ว ที่ไหล เอาแต่ที่ละเอียดที่ระงับแล้ว โดยเฉพาะในขั้นจตุตถฌาน จะหายใจเข้าหรือจะหายใจออกก็ไม่มี ไม่มีพองไม่มียุบ ไม่มีพองไม่มียุบ ไม่มีการพองออกหรือยุบเข้า ไม่มีการหายใจเข้าออกเพราะว่าการหายใจนั้นประณีตละเอียดมากเกินไปจนเกือบจะไม่เป็นการหายใจนี่ หายใจอย่างนี้ไม่มีพองไม่มียุบ
ท่านควรจะศึกษาดูทั้ง ๓ อ่า, ทั้ง ๓ ชุด ๓ ประเภท
ท่านลองศึกษาได้ ท่านลองดูได้ เรื่องนี้ท่านลองดูได้แม้จะยังๆไม่เป็นถึงที่สุดก็ลองดูได้ หายใจหยาบที่สุด หายใจธรรมดาที่สุด หายใจละเอียดที่สุด ศึกษาเรื่องลมหายใจอย่างนี้ดู
ในชีวิตประจำวันของเรา บางเวลาไอ้สิ่งแวดล้อมน่ะ สิ่งแวดล้อมเรานั่นมันทำให้เราเกิด Emotion, Emotion อย่างหยาบ อย่างหยาบ อย่างมาก เราก็สู้มันด้วยลมหายใจอย่างหยาบ แล้วก็ทำให้ละเอียดๆๆจนเป็นธรรมดา ให้มันทำให้ละเอียดที่สุด ละเอียดที่สุดจนไม่มี ไม่มีความหมาย อย่างนี้ความเป็นบวกหรือความเป็นลบที่เกิดในชีวิตประจำวันเราสามารถขจัดอิทธิพล อิทธิพล Influence ของมันออกไปเสียได้โดยเราหายใจอย่างถูกวิธี อย่างเหมาะสมกับ Emotion นั้นๆ อย่างนี้เราจะเรียกว่าเรามีลมหายใจที่ควบคุมโลกได้ ถ้าเรามีความรู้เราสามารถที่จะต่อสู้หรือควบคุม Emotion นี้ได้โดยวิธีของอานาปานสติต่างๆอย่างถูกฝาถูกตัวถูกคู่กันนี่ ชีวิตนี้มันจะสนุกเหมือนกับเล่นกีฬา เล่นกีฬา สนุกเหมือนกับเล่นกีฬา ชีวิตนี้ไม่มีความทุกข์เลย นี่เป็นการกล่าวถึงอานาปานสติหรือประโยชน์ของอานาปานสติอย่างคร่าวๆ อย่างทั่วๆไป
ทีนี้ก็จะมาดูกันเฉพาะเทคนิคว่า อานาปานสติ คือการหายใจเข้าออกนั่นน่ะคืออะไร เรามีการบัญญัติคำเฉพาะว่า อานาปานสติ มันก็คือการกำหนดจิตที่สัจธรรมความจริงของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติเรียกว่า สัจธรรม กำหนดที่สัจธรรมของธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ แล้วก็หายใจเข้าออกอยู่ด้วยการกำหนดนั้น นี่เป็นบท บทนิยามของคำว่า อานาปานสติ
แม้แต่ลมหายใจที่หายใจเข้าออกอยู่มันก็เป็นความจริงของธรรมชาติ มีอยู่ตามธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นเพียงแต่กำหนดที่ลมหายใจก็เรียกว่ากำหนดอยู่ที่ความจริงของธรรมชาติอย่างหนึ่งแล้วแม้เป็นขั้นต้นๆที่สุด แล้วก็กระทำอยู่ทุกครั้งที่หายใจออกและหายใจเข้า อานาปานสติ กำหนดอยู่ที่สัจธรรมของธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วหายใจออก หายใจเข้าอยู่
เมื่อเรากำหนดอยู่ที่ลมหายใจ มันเป็นการกำหนดและรู้ Fact, Fact ทุกอย่างๆเกี่ยวกับลมหายใจ มันไม่ใช่รู้แต่เพียงลมหายใจ มันรู้ไอ้ความจริง ความเป็นอยู่ สิ่งเกี่ยวข้องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับลมหายใจทุกอย่างทุกชนิดตามที่ท่านจะรู้ได้เมื่อท่านทำอานาปานสติที่ครูอาจารย์เขาอธิบายให้ฟังว่ากำหนดอะไรบ้างนี่
ต่อมาเราก็กำหนดเวทนา นี้เป็นความจริงหรือสัจธรรมของธรรมชาติที่ละเอียดหรือสูงขึ้นมา ในฐานะเป็นสิ่งที่เราได้รับอยู่ตลอดวันในชีวิตประจำวันน่ะ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวทนานั่นเราจะสังเกตและรู้จักมันให้ดี รู้จักมันให้ดี แล้วก็รู้จักหน้าที่ของมัน แล้วก็รู้จักอิทธิพลของมัน Fact ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเวทนาเรารู้จักหมด นี่อานาปานสติที่เกี่ยวกับเวทนา
ท่านจะมองเห็นได้เองว่า ไอ้ปัญหาของมนุษย์นี่มันรวมอยู่ที่เวทนา เวทนาที่ได้รับจากสิ่งรอบด้าน สิ่งแวดล้อมทั้งหลายทั้งปวงมันให้เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งแก่เรา แล้วมันเป็นบวกบ้าง มันเป็นลบบ้าง มันทำให้เรายุ่งยาก เรารู้จักมันเสียให้ดี รู้จักให้ชัดเจนให้ถูกต้อง อย่าให้มันทำให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นมา นี่กำหนดความจริงของธรรมชาติที่เป็นเวทนา เราก็สามารถที่จะอยู่เหนือโลก โลกทำอะไรเราไม่ได้เพราะเราบังคับเวทนาได้ ไม่เกิดความทุกข์เพราะเหตุนั้น นี่ประโยชน์อย่างยิ่งของกำ การกำหนดเวทนา
ทีนี้ก็มา Step ที่ ๓ คือรู้สัจธรรมของธรรมชาติที่ละเอียดลงไปคือ จิต รู้เรื่องจิต จิต จิตนี้ก็เป็นสัจธรรมของธรรมชาติ ของธรรมชาติ ฉะนั้นขอให้ท่านสังเกตดูว่าอะไรๆมันรวมอยู่ที่จิตนี่ จิตเป็นผู้คิด เป็นผู้รู้สึก เป็นผู้ยึดมั่น เป็นผู้อะไรหลายๆอย่างแหละ มันรวมอยู่ที่จิต เรียกว่าเป็นไอ้ศูนย์กลางของชีวิตหรือว่าเป็นเจ้าของของชีวิต เราจะต้องรู้จักจิตให้ถูกต้อง อย่าให้มันเกิดปัญหาใดๆขึ้นมาเพราะสิ่งที่เรียกว่าจิต เรารู้จักทุกๆชนิดจนควบคุมได้ตามที่เราต้องการ เราจะต้องๆศึกษาทุกชนิดจนเรารู้จักเลือกเอาชนิดที่ว่าควรจะอยู่ในชีวิตประจำวัน นี่อานาปานสติที่ ๓
ทีนี้เราก็มาถึง Step ที่ ๔ สัจธรรมของธรรมชาติในขั้นนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่น Attachment น่ะที่มันมีอยู่ในชีวิตตลอดเวลาน่ะ ถ้าเรายังเป็นคนธรรมดาอยู่เราจะมี Attachment ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา นี่เราจะรู้จักมัน จะหยุดมัน จะควบคุมมัน จะเลิกล้างมัน ขอให้ศึกษาในชีวิตว่ากำลัง Attach อะไรอยู่
ในภายนอก ถ้าดูกันในภายนอกเราก็ Attach สิ่งภายนอก ในครอบครัว บุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สมบัติ เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง Attach นี้อยู่ในภายนอก ทีนี้ภายในก็ Attach ในความรู้สึกที่มาจากภายนอกก็ได้แต่มันเข้าไปเป็นความรู้สึกในภายใน เป็นบวกหรือเป็นลบ เราก็ Attach แต่มัน หรือแม้ที่สุดมันก็ Attach อยู่ในร่างกาย Attach อยู่ในเวทนา Attach อยู่ในตัวจิตเอง นี้ก็เป็น Attach ที่ละเอียดที่เป็นภายใน เราจะรู้จักมันให้ทั่วถึงว่า Attach อะไรอยู่ในลักษณะอย่างไร
โดยใจความในขั้นนี้ก็เราดูความจริงของสิ่งที่เรากำลัง Attach อยู่ จะเป็นภายนอกหรือภายในก็ตาม ว่าไอ้สิ่งใดที่เรา Attach อยู่นั้นน่ะสิ่งนั้นมันก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวเปลี่ยนแปลงเรื่อย ไปยึดเข้ามันก็เป็นทุกข์ แล้วมันไม่มีอัตตา อัตตา สาระอะไรที่จะเข้าไปยึดถือได้ นี่เราจะเห็นไอ้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเรื่อยขึ้นไปตามลำดับจนถึงอันสุดท้ายที่เรียกว่า อตัมมยตา แล้ว Attach นั่นก็จะละลายออก ละลายออก แล้วก็หมดสิ้นไป นี่เป็นไอ้เรื่องของอานาปานสติขั้นที่ ๔
การปฏิบัติในข้อที่ ๔ คือควบคุม Attachment ให้ได้นี่มีประโยชน์ที่สุด ขอให้สนใจเป็นพิเศษ เราควบคุม Attachment ได้นั่นน่ะมันมีประโยชน์ในการที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะว่าเรา Attach ในสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันจะเรียกว่า กัดเรา มันเป็นความหนักขึ้นมาเพราะ Attach นั่นแหละ แล้วก็มีความทุกข์ขึ้นมาเพราะ Attach นั่นเรียกว่ามันกัดเรา เรา Attach ในสิ่งใดสิ่งนั้นมันจะกัดเรา ไม่ว่าสิ่งอะไร ไม่ว่าสิ่งอะไร ภายนอกก็เหมือนกัน ภายในก็เหมือนกัน ในเรื่องของไอ้วัตถุสิ่งของ ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง บุตร ภรรยา สามี ครอบครัว Attach เมื่อไรก็กัดเมื่อนั้น ในภายในก็เหมือนความรู้สึกต่างๆนี่ Attach เมื่อไรก็กัดเมื่อนั้น เมื่อเราไม่ Attach มันก็ไม่กัด นี่มันเป็น Art ชั้นเลิศชั้นเอก รู้สึกว่ามันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการที่จะมีอยู่ใน มีชีวิตอยู่ในโลก
คนทั้งหลายทั้งปวง อาจจะรวมท่านทั้งหลายอยู่ด้วยแหละ มักจะมีความคิดหรือความเชื่อว่าเราต้องมี Attachment ชีวิตต้องมี Attachment ถ้าไม่มี Attachment มันจะไม่ทำอะไร มันจะไม่ทำอะไร เขาจะคิดไปอย่างนั้น แต่ว่าไอ้ความจริงของอานาปานสตินี้มันกลับบอกตรงกันข้ามว่า เราสามารถจะทำอะไรได้ทุกอย่างๆโดยไม่ต้องมี Attachment ผลมันก็ต่างกันสิ Attach ในสิ่งใดสิ่งนั้นมันก็กัด ไม่ Attach มันก็ไม่กัด ฉะนั้นเราก็ทำหน้าที่ต่างๆในชีวิตนี้ได้โดยที่มันไม่ๆกัด ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของเพราะไม่มี Attachment
Attach นี่ดูกันให้ละเอียดมันจะเห็นได้ว่ามันเป็นหลายความหมาย แล้วก็ละเอียด Attach To, Clinging To, Grapping At แล้วแต่จะเรียกหลายๆอย่างนั่น ทุกๆชนิดเรียกว่า Attachment, Attach ในสิ่งใดเราก็สูญเสียอิสรภาพ ไม่มีเสรีภาพ คือเราเป็นทาสของสิ่งนั้นหรือว่าสิ่งนั้นมันทำให้เราเป็นทาส เราก็สูญเสียอิสรภาพ สติปัญญาไม่มีอิสรภาพแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ เพราะ Attachment มันเอาไปเป็นทาส ไปเป็นทาสเสียแล้ว สติปัญญาไม่มีอิสระที่จะคิดจะทำ ฉะนั้นเราจึงต้องเอา Attachment ออกไปเสีย แล้วจิตนี้ก็จะมีเสรีภาพในการที่จะคิด ในการที่จะทำ ในการที่จะตัดสินใจโดยเฉพาะ นี่ประโยชน์ของ Attachment เอ่อ, ของ Non-Attachment
เมื่อมี Attachment แล้วมันก็ต้องมีไอ้ Emotion เลวร้ายหลายๆอย่างเกิดขึ้นน่ะ ความรักเกิดขึ้นก็กัด ความโกรธเกิดขึ้นก็กัด ความเกลียดๆเกิดขึ้นก็กัด ความกลัวเกิดขึ้นก็กัด ความตื่นเต้นๆเกิดขึ้นก็กัด วิตกกังวลก็กัด อาลัยอาวรณ์ก็กัด อิจฉาริษยาก็กัด ความหวงก็กัด ความหึงก็กัด สิ่งเหล่านี้ท่านจะ ควรจะรู้จักหรือยู้ คือผ่านมาแล้วแต่ท่านไม่สังเกตว่ามันกัดอย่างไร เดี๋ยวนี้เราจะไม่ Attach ในสิ่งใด เราไม่มีไอ้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ที่จะกัดจิตใจของเรา จิตใจ Freeๆๆ ก็ทำงานได้ดี ทำงานได้ดี ทำงานได้ดีเพราะจิตมัน Free อิสระ
ดูให้ชัดให้ๆจริงจังเราก็จะเห็นว่า เมื่อเรากำลังทำงานๆ ทำงานอะไรตามหน้าที่อยู่ที่ออฟฟิศของเรา ถ้าเรามี Attachment ไอ้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน จิตก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ทำไม่ได้ดี มันไป Attach อยู่ที่อื่นก็ทำงานไม่ได้ดี แม้ว่ามันจะ Attach ในตัวเราเองที่กำลังทำงานอยู่ หรือ Attach ในตัวการงานที่เรากำลังกระทำอยู่ จิตก็ทำไม่ได้ดี แม้จะ Attach อยู่ในตัวงานที่เรากำลังกระทำจิตมันก็โง่ จิตมันก็มืด มันก็ทำไม่ได้ดี จิตต้องเกลี้ยง จิตต้อง Free จิตต้องสว่างไสว ไม่มี Attachment อะไรเราก็ทำงานได้ดี จึงทำงานโดยที่ไม่ต้อง Attach อยู่ในการงานที่กำลังกระทำ ไม่ต้อง Attach ในตัวชีวิตตัวผู้กระทำ ไม่ต้อง Attach ในผลที่จะได้รับข้างหน้า ไม่ Attach ไปหมด จิตเกลี้ยง จิตสามารถทำได้ดีที่สุดน่ะ แล้วผลมันก็เกิดขึ้นเองอย่างนี้ ประโยชน์ของการที่ไม่ Attachment มันเป็นอย่างนี้
ท่านจะมองเห็นได้ไม่ๆยากหรอกว่า เราสามารถที่จะหาเงิน หาเงิน ทำอาชีพหาเงินได้โดยไม่ต้อง Attach อยู่ในเงิน เราได้เงินมาโดยไม่ต้อง Attach ในเงิน เรามีเงินไว้โดยไม่ต้อง Attach ในเงิน เราจะใช้เงิน ใช้ๆเงินแต่ก็ต้องไม่ๆต้อง Attach ในเงิน เราจะให้เพื่อนให้ฝูง จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้โดยไม่ต้อง Attach ในเงิน นี่ปัญหามันก็ไม่มี ชีวิตนี้ไม่ถูกกัด พอ Attach ในเงินเมื่อใด อย่างไร เท่าไร มันกลายเป็นของกัดเราขึ้นมาทันที นี่ไปสังเกตดูเถอะ เราหาเงินได้โดยไม่ต้อง Attach มีเงินได้ ใช้เงินได้อะไรได้โดยไม่ต้อง Attach ในเงิน นี่จะเป็นปัญหาใหญ่ของคนทั่วๆไปที่กำลังมีอยู่
เรื่องที่จะดูออกไป ต่อไปก็เช่น ครอบครัวๆ มีครอบครัวได้โดยไม่ต้อง Attach เมื่อไม่ Attach ครอบครัวก็จะเป็นเพื่อนที่ดี เป็นการช่วยกันสร้างครอบครัว สร้างชีวิต สร้างสิ่งที่ควรจะสร้างน่ะ มันก็ได้รับประโยชน์ พอเรา Attach ครอบครัวก็จะกลายเป็นภูเขาเลย เป็นภูเขาใหญ่ๆมาสวมทับอยู่บนเราถ้าเราไป Attach เข้า มีศิลปะอันสูงสุด ไม่มี Attachment ในสิ่งใด ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะกัดเราหรือท่วมทับเราอย่างนี้ นี่ประโยชน์ของ Non-Attachment
เรื่องข้างนอกเสร็จไปแล้ว ทีนี้ก็มาดูเรื่องข้างใน ตัวชีวิตนั่นเอง ตัวชีวิตนั่นเองในแง่ไหน ในความหมายไหน ตัวชีวิตนั่นเอง พอไป Attach เข้าเท่านั้นแหละก็จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาทันที จะเป็นความมืด มืดจนไม่รู้ว่าจะจัดการกันอย่างไร แล้วมันก็มีกิเลสหลายๆอย่างเกิดขึ้นเพราะ Attach นั่น มันก็ยุ่งกันไปหมด ชีวิตนี้มันก็กลายเป็นไอ้ความทุกข์ทรมาน ความร้อน เป็นปัญหาขึ้นมา ไม่เรียบร้อย ไม่ราบรื่น ไม่เยือกเย็น
แม้ที่สุดแต่สิ่งที่เรารักและพอใจกันอย่างยิ่งคือตัวความสุข ความสุข ในระดับไหนก็ตามที่เป็นตัวความสุขที่เรียกกันว่าความสุขหลายๆระดับน่ะ พอ Attach เข้ามันกลายเป็นกัดทันที มันกลายเป็นสัตว์ร้ายกัดทันที คือกลายเป็นความทุกข์ ไอ้ความสุขที่เราหวังอยู่ ขวนขวายอยู่ พยายามอยู่น่ะ พอไป Attach เข้ามันก็กลายเป็นสัตว์ร้ายกัดเราทันที ก่อนจะได้มามันก็กัดแล้ว ได้มาแล้วก็กัดแล้ว มีไว้ก็กัดแล้ว พลัดพรากไปมันก็กัดอีก นี่ความสุขกลายเป็นไอ้ความทุกข์เพราะ Attachment นั่นเอง
ทีนี้ดูทั้งภายนอกทั้งภายใน ทั้งภายในทั้งภายนอก ก็จะมาพบว่า โอ้, ไอ้สิ่งที่มัน Attach นั่นมันก็คือความหมายหรือคุณค่าของความเป็นบวกหรือความเป็นลบ Positiveness and Negativeness นั่นแหละ มันมาจากทุกทิศทุกทาง มาจากอะไรก็ได้ พอไป Attach ไอ้ความเป็นบวกความเป็นลบเท่านั้นมันก็เกิดปัญหา ในภายนอกก็เกิดปัญหา ในภายในก็เกิดปัญหา ในภายนอกภายในก็เกิดปัญหา เพราะฉะนั้นอย่าได้ Attach ในสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดที่ควร Attach พุทธศาสนาจึงมีหลักว่าไม่ Attach ในสิ่งใด ทุกสิ่งไม่ควร Attach นี่ประโยชน์ของการไม่ Attach
แล้วมันก็แปลก มีความแปลกที่ว่า สิ่งที่ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้วเป็นอดีต มันก็เอายังมา เอามา Attach ได้ สิ่งที่เป็นปัจจุบันอยู่เฉพาะหน้านี้ก็ Attach ได้ แล้วสิ่งที่ยังไม่มา ยังไม่มาถึง ยังเป็นอนาคตอยู่ก็เอามา Attach ได้ด้วยความคิดความนึก ฉะนั้นความ Attach มันมีรอบด้าน รอบด้านแล้วก็เลยเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความทุกข์
ถ้าจะพูดอย่างคริสเตียนก็ต้องพูดว่า ถ้าเรามี Attach, Attachment ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ในโลกนี้ เราก็ไปอยู่โลกพระเจ้ากับพระเจ้าไม่ได้ๆ เพราะมัน Attach อยู่กับโลกนี้ เอ้า, ทีนี้เราไปได้จากโลกนี้ไปสู่โลกพระเจ้าแล้ว เราไป Attach พระเจ้าเข้าอีกก็หมดเลย ก็มีแต่ปัญหา มีแต่ความหนัก มีแต่ความทุกข์ คือไม่ต้อง Attach อะไร ภาวะที่ไม่ Attach ในอะไรนั่นน่ะ โลกพระเจ้า โลกของพระเจ้าคือภาวะที่ไม่ Attach อะไร อยู่กับพระเจ้าโดยแท้จริงโดยไม่ต้อง Attach อะไร เราก็หมดปัญหาเรียกว่ารอด รอดพ้น คือหลุดพ้น Salvation สูงสุดไปในปัญ อ่า, จากปัญหาต่างๆ
ทีนี้พูดอย่าง Buddhist พูดอย่างชาวพุทธ Attach อยู่ในสิ่งใดก็ติดอยู่กับสิ่งนั้น มีปัญหาที่ติดอยู่กับสิ่งนั้น เราไม่ติดในสิ่งใด ไม่ยึดติดในสิ่งใดก็ไปอยู่กับนิพพานหรือภาวะแห่งนิพพาน ปราศจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่มีปัญหาใดๆ นี่เรียกว่าหมด Attachment เราก็ไปอยู่กับนิพพาน เหมือนกับว่าไปอยู่กับโลกพระเจ้า
ทุกๆศาสนาจะสอนเรื่องรอด รอดหรือหลุดพ้น Salvation, Emancipation แล้วแต่จะเรียก มันมีหลายคำ แต่รวมความแล้วคือรอดๆๆ รอดจากสิ่งที่ผูกมัด ครอบคลุม หุ้มห่อ รอดจากสิ่งเหล่านี้ นี่เรียกว่าไม่ เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ถ้ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสิ่งนั้นจะกลายเป็นผูกมัด หรือเป็นที่คุมขัง เป็นคุก เป็นตะรางขังขึ้นมาทันที นี่เราจะต้องช่วยจิตใจนี้ให้มันรอด ให้มันรอดจากอิทธิพลของความยึดมั่นถือมั่น
คัมภีร์ยิว ศาสนายิวโบราณก็ไม่ Attach ใน Good and Evil ข้อความตอนต้นของ Old Testament ของไบเบิ้ล ไม่ Attach Good and Evil เต๋าของเล่าจื้อก็ไม่ Attachment ในยินและยางคือ Positive หรือ Negative ฮินดูก็ไม่ Attachment ใน Punya And Papa นั่น นี่พุทธะ พุทธศาสนานี้ก็ไม่ Attachment ในๆทุกสิ่งน่ะที่จะเรียกว่าดีหรือชั่ว หรือทุกๆอย่างที่มันเป็นคู่ตรงกันข้าม พอไม่ Attachment ในสิ่งใดก็ Free จากสิ่งนั้น มันเป็นความรอด ท่านทั้งหลายจงดูตัวเองว่ากำลัง Attach อยู่ในอะไร เราก็ปลดเปลื้องสิ่งนั้นออกไปเสียได้โดยอานาปานสติภาวนา Step ที่ ๔ Step ที่ ๔ เรื่องธรรมะนั่น
ท่านมองเห็นเองอยู่แล้ว ไม่ต้องใครบอกว่า อานาปานสติไม่ Attach ในกาย กายะ ไม่ Attach ในเวทนา Feeling ไม่ Attach ในจิตและสิ่งที่เป็นสมบัติของจิต แล้วก็ไม่ Attach ต่อธรรมหรือธรรมชาติทั้งปวง ธรรมชาติทั้งปวง ไม่ Attach ต่อสิ่งทั้ง ๔ นี้แล้วก็คือไม่ Attach ต่อสิ่งใดๆ ท่านใคร่ครวญให้เห็น มองให้เห็น แล้วก็ปฏิบัติให้ได้
เมื่อท่านไม่ Attach ในสิ่งใด โลกนี้ก็จะไม่มีความเป็นบวกหรือความเป็นลบแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับไอ้ Positiveness, Negativeness ในโลกอีกต่อไป นั่นแหละคือ Freeๆ หลุดๆ รอด โลกไม่มีอิทธิพลใดๆเหนือจิตใจของเราอีกต่อไป
เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลก โลกทั้งหมดบูชาไอ้ Positiveness มากเกินไปใช่ไหม ขอให้ช่วยดูนี่สำคัญมาก เรากำลังหลงใน Positive ความเป็นบวกในโลกนี้มากเกินไปใช่ไหม ความเป็นบวกมันจึงเฟ้อน่ะ ความเป็นบวกจึงเฟ้อในโลก มันครอบงำไปเสียทุกหนทุกแห่ง เราเป็นทาสของ Positive เราก็ไปซื้อหาวัตถุสิ่งของ ปัจจัยอะไรที่จะมาส่งเสริมความรู้สึกเป็นบวกๆเต็มไปทั้งบ้านทั้งเรือน เต็มไปทั้งโลกนี่ เพราะว่าเรามันไปหลงความเป็นบวกในโลกโดย Attachment นั่นเอง
ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามฝึกอานาปานสติให้สำเร็จ มีความรู้ มีผล มีคุณค่าของอานาปานสติให้ได้ แล้วท่านก็จะสามารถหายใจทีเดียวขับไล่ความเป็นบวกความเป็นลบในโลกออกไปหมดสิ้นด้วยการหายใจทีเดียว หายใจทีเดียวไม่มี Positiveness, Negativeness เหลืออยู่ในโลกนั่น มันมากถึงขนาดนั้นน่ะ ขอให้สนใจเถอะ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ท่านจะใช้อานาปานสตินี้อย่างวิทยาศาสตร์ก็ได้ ท่านจะใช้อย่างอนามัยวิทยาก็ได้ ท่านจะใช้อย่างศิลปะที่งดงามที่สุดก็ได้ จะใช้อย่างธรรมะคือหน้าที่เพื่อๆความรอด หน้าที่เพื่อความรอดก็ได้ จะใช้อย่างศาสนาก็ได้ จะใช้อย่าง Superstitious Power ก็ได้ ขอให้ท่านสนใจเถิด มันมีผลเกินค่า เกินที่จะกล่าว
ชั่วเวลา ๑๐ วันของการฝึกฝนนี้ มันไม่อาจจะทำให้บรรลุผลทั้งหมดนี้ได้ แต่ก็เป็นความรู้ เป็นเบื้องต้น เป็นจุดตั้งต้นของความรู้ที่ท่านจะต้องปฏิบัติศึกษาต่อไป สิบวันครั้งที่ ๒ สิบวันครั้งที่ ๓ อะไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ กลับไปบ้านแล้วก็ขอให้ทำต่อๆๆจนให้ได้ผลอย่างที่กล่าวมา นี่คืออานาปานสติและประโยชน์ของอานาปานสติ
ขอขอบคุณท่านทั้งหลายในการเป็นผู้ฟังที่ดี และขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความก้าวหน้าในความรู้และการปฏิบัติอานาปานสติของท่านยิ่งๆขึ้นไปจนกว่าจะถึงที่สุด ขอยุติการบรรยายในวันนี้.