แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกและท่านอุบาสก อุบาสิกาสาธุชนทั้งหลาย ขอโอกาสบรรยายธรรมในลักษณะที่เราเรียกกันว่า ปาฐกถาธรรม แทนชนิดที่เรียกว่า เทศนา เพราะว่ามันฟังง่ายตรงไปตรงมาไม่เสียเวลามาก เรามาพูดกันในลักษณะปาฐกถาธรรม เรื่องที่จะพูด จะคิด จะนึก จะปรึกษาหารือกัน มันก็ควรจะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์คุ้มค่าของเวลา ที่จะมีประโยชน์คุ้มค่าของเวลานั้น มันไม่มีเรื่องอะไรดีไปกว่าเรื่องที่จะดับทุกข์ หรือว่าแก้ปัญหาของเราได้
ข้อนี้ก็สรุปได้สั้นๆ ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า แต่ก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี เราบัญญัติเฉพาะเรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์เท่านั้นแหละ ถ้าต้องการหรือพูดมากไปกว่านั้น มันก็ต้องเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ คือเสีย เวลาโดยไม่จำเป็น บางคนจะสงสัยว่า นี่ทำไมไม่พูดเรื่องทำมาหากินหาความสุขกันบ้าง ทำไมพูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ ไม่พูดเรื่องหาความสุข นั่นแหละใจความสำคัญมันอยู่ที่ตรงนั้น มันหลงในความสุขจนไม่มองเห็นความทุกข์ มันหาแต่ความสุขจนไม่มองเห็นเหตุแห่งความทุกข์ มันก็เลยไม่ดับทุกข์ เมื่อไม่ดับทุกข์ มันก็ไม่มีความสุข ฉะนั้นหาจนตาย หาความสุขจนตายมันก็ไม่พบ เพราะว่ามันไม่ได้ดับทุกข์ มันไม่ได้มองเห็นเหตุแห่งความทุกข์ ฉะนั้นดูกันให้ดีๆ ซิ มันเป็นความจริงหรือไม่จริง มันอยากรวยมันหาเงิน มันบ้าเงินมันอยากรวย รวย อยากรวยหาความร่ำรวย จนลืมเหตุแห่งความยากจน ไม่รู้ความยากจนอยู่ที่ไหน และมีมูลเหตุอย่างไร มันก็เลยไม่แก้ความยากจนได้ และก็ไม่พบความรวย ถ้าจะหาให้พบความรวย มันก็ต้องหาให้พบเหตุแห่งความยากจน ตัดเหตุแห่งความยากจนเสียมันก็ไม่จน เมื่อมันไม่จนมันก็รวย เรื่องของความสุขนี้ก็เหมือนกันแหละ มันโง่ โง่กี่มากน้อย มันหาความสุขจนไม่มองเห็นเหตุแห่งความทุกข์ ความทุกข์มันก็มีอยู่เรื่อยไป หาจนตายมันก็ไม่พบกับความสุข ถ้ามองเห็นความจริงข้อนี้ ก็คงจะพูดกันไปได้ พูดจากันไปได้ ก็พระพุทธเจ้าตรัสทั้งที มันจะไม่มีความสำคัญเอาเสียเลยได้ยังไง
ฉันพูดแต่เรื่องทุกข์กับความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ไม่ได้พูดถึงเรื่องความสุข เพราะมันจะดับทุกข์หมด ดับทุกข์ไม่มีเหลือ มันก็เหลือแต่ความสุขโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นจงรู้จักเหตุแห่งความทุกข์ แล้วก็ดับทุกข์กันให้ได้ ศึกษาธรรมะโดยแท้จริงก็เพื่อจะทำลายเหตุแห่งความทุกข์ เมื่อความทุกข์ไม่มีเหลือแล้วอะไรจะเหลือ มันก็เหลือเป็นความไม่ทุกข์ ก็คือความสุข ดังนั้นเรามาพิจารณากันให้มาก ให้ถึงที่สุดในเรื่องเหตุแห่งความทุกข์ ต่อจากที่เราพูดกันแล้วในตอนเย็น ตอนเย็น เหตุแห่งความทุกข์ ที่เราได้เรียนได้เล่าเรียน ได้ฟังกันมาก็ว่าตัณหา ตัณหานี้มันก็รู้กันแต่ชื่อ มองไม่เห็นว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้อย่าง ไร ท่องจำไว้ตามเขาบอกมันก็ไม่เห็น เหตุแห่งทุกข์คือตัณหา ตัณหาให้เกิดทุกข์อย่างไร ข้อนี้เป็นสิ่งที่จะ ต้องมองกันให้เห็นชัด ตัณหามันเป็นเหตุให้เกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ว่าตนหรือของตน ตัณหาคือความ รู้สึกอยากต้องการด้วยความโง่ ถ้าว่าอยากหรือต้องการด้วยสติปัญญาอันถูกต้อง เขาไม่เรียกว่าตัณหาหรอก ฉะนั้นอย่าพูดง่ายๆ ชุ่ยๆ เหมือนกับพูดกันตามศาลาวัด ซึ่งมักจะพูดกันว่า ถ้าอยากแล้วก็เป็นตัณหาทั้งนั้นแหละ ถ้าเกิดมีความอยากแล้วเป็นตัณหาทั้งนั้น อยากก็เป็นความโลภทั้งนั้น เป็นกิเลสทั้ง นั้น นี่มันหลับตาพูด มันไม่รู้เรื่องที่มันพูด บางทีก็พูดตามๆ กันไป คนแรกพูดอย่างนั้น คนทีหลังก็พูดอย่างนั้น มันต้องแยกกันให้ชัดว่า ถ้ามันอยากด้วยความโง่ ต้องการด้วยความโง่ มันก็จะเกิดตัวกูผู้อยาก ตัวกูผู้อยาก อยากด้วยความโง่ก่อน แล้วมันจึงจะเกิดความรู้สึกว่า มีตัวกูเป็นผู้อยาก ทีนี้เรียกว่าตัณหาให้เกิดอุปาทาน ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง มีตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานก็เกิดขึ้นมา อุปาทานว่าตัวกูเกิดขึ้นแล้ว มันเห็นแก่ตัวกู มันมุ่งแต่ตัวกู มันต้องการแต่ประโยชน์แห่งตัวกู ที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่รู้จักสิ่งนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะรู้จักมูลเหตุแห่งความทุกข์หรอก ไปสรุปความสำคัญอยู่ที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่อะไรหมด เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่ธรรมะ ไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่เห็นแก่ผู้ใด เห็นแต่ตัวกู เห็นแต่แก่ตัวกู มันก็เกิดความอยากต่อไปอีก จะกระทำตามความต้องการของตัวกู หรือว่าเมื่อมันได้มาตามความต้องการของตัวกู มันก็เกิดกิเลสประเภทหนึ่ง เมื่อยังไม่ได้ก็เกิดกิเลสประเภทหนึ่ง ได้มาแล้วก็เกิดกิเลสประเภทหนึ่ง เก็บไว้ก็เกิดกิเลสอีกประเภทหนึ่ง ดูให้ดีถ้ามันมาจากความเห็นแก่ตัวแล้ว มันจะมีกิเลสหลายๆๆๆ ชนิด หลายรูปแบบเกิดขึ้นมาอย่างครบถ้วน มันเกิดความโลภ หรือตัณหาเมื่อมันอยากจะได้ เมื่อมันไม่ได้ตามที่มันอยาก มันก็เกิดความโกรธ เกิดโทสะ ถ้ามันยังไม่ได้ มันยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร จะได้ทำอย่างไรจะได้ มันก็ยังมีโมหะอยู่นั่น ความเห็นแก่ตัวนี้มันเป็นที่ให้เกิดความเกิดกิเลส เกิดสิ่งที่เรียกว่ากิเลสรอบๆ ด้านเลย ทุกอย่างทุกชนิดเลย เห็นแก่ตัวกู ถ้าเป็นชนิดบวก มันก็ยินดีพอใจ หัวเราะร่าเริงไปตามเรื่อง ถ้ามันเป็นชนิดลบ มันก็โกรธ มันก็ขัดใจ มันก็ร้อนเป็นไฟ ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้มา มันก็เป็นโมหะมืดมน มืดมน มืดมน เมื่อมันมีทั้งโลภะ โทสะ โมหะอย่างนี้แล้ว มันจะเอาความสุขมาจากไหน เพราะมันเต็มไปด้วยเหตุแห่งความทุกข์ มันไม่รู้จักเหตุแห่งความทุกข์ มันบ้าที่จะหาความสุข โดยไม่รู้จักเหตุแห่งความทุกข์ มันก็ไม่ได้ตัดเหตุแห่งความทุกข์ นี่ขอให้เราดูตัวเอง แล้วดูการกระทำของตัวเอง ว่ามันถูกต้องรึยัง มันถูกต้องแก่การดับทุกข์หรือยัง ถ้ามันถูกต้อง มันก็ดับทุกข์เห็นได้ ให้เห็นได้ว่ามันดับทุกข์ ให้เห็นได้ว่ามันถูกต้อง ถ้ามันไม่ดับทุกข์ให้เห็นได้ มันก็ไม่มีความถูกต้อง มันไม่ใช่ความถูกต้อง เรื่องถูกต้องไม่ถูกต้องนี้ไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่อใครให้ป่วยการ เชื่อสิ่งที่มันปรากฏอยู่ ถ้ามันดับทุกข์ได้ มันก็คือถูกต้อง มันดับทุกข์ไม่ได้ มันก็คือไม่ถูกต้อง ไม่ต้องถามใคร ไม่ต้องอาจารย์บอกอีกทีว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง สำเร็จหรือไม่สำเร็จ มีความเห็นแก่ตัว เนื่องจากมันมีความอยาก ความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายสิ่งก็แล้วแต่ด้วยความโง่ อยากหรือต้องการด้วยความโง่ เรียกว่าตัณหาก็ได้ เรียกว่าโลภะก็ได้ ถ้าอยากหรือต้องการด้วยสติปัญญา ด้วยสติปัญญาเป็นเหตุให้ต้องการหรือค้นหาด้วยสติ สติปัญญา ความต้องการอันนี้ไม่เรียกว่าตัณหา ไม่เรียก ว่าความโลภ แต่เรียกอีกคำหนึ่งเรียกว่า สังกัปปะ สังกัปโป สังกัปโป สังกัปปะ ไม่ใช่คำลึกลับอะไร เป็นคำที่ท่านทั้งหลายต้องเคยได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆ ถ้าหูมันไม่หนวกนะ เพราะพระที่มาสวดมาฉันที่บ้านให้ยะถา ที่วัดอะไรก็ตามจะมีบอกถึงคำนี้ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา สังกัปปาตัวนั้นแหละแปลว่า อยาก หรือประสงค์ หรือต้องการด้วยสติปัญญา มันเป็นความอยากเป็นความต้องการ ชื่อเรียกเหมือน กันแต่ว่ามูลเหตุมันต่างกัน ถ้าต้องการโดยความโง่ มันก็ทำไปตามความโง่ ทำไปตามกิเลสตัณหา ถ้าต้องการด้วยสติปัญญา มันก็ทำไปด้วยสติปัญญา มันต่างกันเท่าไหร่ลองคิดดู อันหนึ่งทำด้วยความโง่ อันหนึ่งทำด้วยสติปัญญา อย่าเอากับมันเลยตัณหาโลภะหรืออวิชชา อย่าไปเอากับมันเลย ทำให้มันกลายเป็นสังกัปปะ หรือสังกัปปา หรือสังกัปโปก็แล้วแต่จะเรียก คำเดียวกันนั้นแหละ ให้มันมีมูลเหตุที่ถูกต้อง ให้มันมีมูลเหตุที่ถูกต้อง ให้เป็นความอยากที่มีมูลเหตุที่ถูกต้อง แล้วมันผิดไปไม่ได้หรอก ถ้ามูล เหตุมันถูกต้อง มันผิดไปไม่ได้ มันก็จะต้องไปตามทางตามลู่ทางของความถูกต้อง ไปถึงจุดหมายปลาย ทาง แล้วก็ประสพสิ่งที่จะพึงได้รับ นี่เรียกว่ามันไม่เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ความถูกต้อง มันทำไปด้วยความมุ่งหมายถูกต้อง เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวมันเกิดโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันไม่เกิด ไม่เกิดโลภะ โทสะ โมหะไม่เกิด มันไปเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ก้าว หน้าไป ก้าวหน้าไป ในที่สุดก็พบกับสิ่งที่ควรจะต้องการ ควรจะได้ควรปรารถนา เราไม่ต้องเสียเวลาพูดให้มันมากมาย หลายสิบชื่อหลายร้อยชื่อ เอาชื่อเดียวพอที่สำคัญที่สุด ก็คือความเห็นแก่ตัว ความอยากที่โง่เขลา เห็นแก่ตัว เกิดอุปาทานมีตัว แล้วก็เห็นแก่ตัว นั่นแหละจุดนั้นจุดเดียวพอ อย่ามองข้ามมัวแต่หาความสุข หาความสุขโง่เขลา หาความสุขจนไม่รู้ว่าเหตุแห่งความทุกข์มันอยู่ที่ตรงไหน มันเป็นเพราะข้อนี้เวลาจึงล่วงมา ล่วงมาเป็นสิบๆ ปี จะเป็นร้อยปีก็ไม่พบกันกับไอ้ความดับทุกข์
เอ้า, ทีนี้ก็จะมาพูดกันเรื่องความมีตัว และความเห็นแก่ตัว ให้เป็นที่เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดกว่าเรื่องใดๆ แหละ คือรู้จักความเห็นแก่ตัว รู้จักกำจัดความเห็นแก่ตัว แล้วทำให้หมดความเห็นแก่ตัว นี่เท่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา กล้าพูดได้ว่าทุกศาสนาเลยมันก็สอนเรื่องนี้ แต่มันใช้คำพูดต่างกัน ในศาสนาบางแห่งมันเกิดในที่อื่น ในยุคอื่นสมัยอื่น มีสิ่งแวดล้อมอย่างอื่น มันก็ใช้คำพูดต่างกัน แต่ว่าใจความสำคัญอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ศาสนายิวหลายพันปีมาแล้ว มันก็สอนได้อย่างถูกต้อง เรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว แต่แล้วสาวกมันไม่ปฏิบัตินี่ สาวกมันไม่ปฏิบัติ มันก็เป็นหมัน ศาสนาคริสต์ก็ถ่ายทอดมาจากศาสนายิวนี่ ก็จะกำจัดความเห็นแก่ตัว สาวกมันไม่ปฏิบัติมันก็เป็นหมัน ศาสนาพุทธเราก็เหมือนกันนะ พระพุทธเจ้าก็สอนให้ทำลายความมีตัว ความเห็นแก่ตัว สาวกมันไม่ปฏิบัติ กลับเห็นแก่ตัวยิ่งๆ ขึ้นไป เรื่องนี้พูดยาก พูดแล้วมันเป็นเรื่องมีผลร้ายก็ได้ จะลองพูดกันดูบ้างก็ดีเหมือนกันว่า คอยฟังให้ดี เรากำลังทำบุญทำทาน ทำบุญทำทานด้วยความเห็นแก่ตัว เพิ่มความ เห็นแก่ตัว ไม่ได้ทำบุญทำทานเพื่อจะลดความเห็นแก่ตัว พอจะเข้าใจได้แล้วกระมัง ทำบุญบาทหนึ่ง เอาวิมานหลังหนึ่งตามที่เขาโฆษณากัน ตักบาตรช้อนหนึ่ง เอาวิมานหลังหนึ่ง มันเกินๆ กว่าความเห็นแก่ตัวเสียอีก หรือว่าทำบุญเพื่อไปนอนในสวรรค์ ในวิมาน เป็นเทวดามีนางฟ้าเป็นร้อยๆ เป็นบริวารนี่มันเป็นอะไร มันเป็นเห็นแก่ตัวเกินขอบเขตเกินประมาณ เรามาทำบุญเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัว ไม่ได้ทำบุญเพื่อลดความเห็นแก่ตัว มันรักษาศีลเอาหน้า มันรักษาศีลอวดคนน่ะ อย่างนี้มันรักษาศีลเพิ่มความเห็นแก่ตัว นี่ให้ทานมันก็ให้ทานเอาหน้าอวดคน มันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว แม้ทำสมาธิก็ทำอวดคน ทำให้คนเขาหลง โอ้, นี่มันเคร่งทำสมาธิ เอาปัจจัยไปถวายมันมากๆ ถ้าทำสมาธิอย่างนี้ มันก็ทำสมาธิเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัว หรือทำวิปัสสนา ทำวิปัสสนาเพื่อเห็นคนที่ตายไปแล้ว แล้วมาบอกญาติของมัน แล้วเขาก็จะได้ให้อะไรมากๆ ทำวิปัสสนาอย่างนี้ วิปัสสนาเห็นแก่ตัวควรจะจัดการ อย่าให้ทานเพื่อเห็นแก่ตัว อย่ารักษาศีลเพื่อความเห็นแก่ตัว อย่าทำสมาธิเพิ่มความเห็นแก่ตัว อย่าทำวิปัสสนาเพิ่มความเห็นแก่ตัว จงทำมันลด ให้ทานอย่างนี้มันลดความตระหนี่ ลดความหวงแหน ลดความเห็นแก่ตัว เห็นอยู่ว่าสิ่งนี้มันเป็นที่ตั้งความ เห็นแก่ตัว สละมันเสียซิ รักษาศีลก็เหมือนกันยอมลำบาก ยอมลำบาก ยอมลำบากไม่ตามใจตัว ไม่ตาม ใจตัว รักษาศีลอย่างนี้มันก็ลดความเห็นแก่ตัว ทำสมาธิจิตสงบตั้งมั่นเสีย ความเห็นแก่ตัวก็เกิดไม่ได้ ทำวิปัสสนาให้เห็นว่า ไอ้ตัวกูหรือไอ้ความรู้สึกตัวกูเห็นแก่ตัวนั้น ไม่ใช่ของจริงเป็นของมายาเป็นของหลอก ลวงเกิดมาจากความโง่ เรื่องนี้พูดไปก็คงไม่มีใครฟัง และไม่มีใครทำความเข้าใจ พูดก็จะ จะเหนื่อยเปล่าๆ แต่เป็นความจริง ความจริงที่สุดว่าไอ้ตัวตน ตัวตนที่รู้สึกว่าตัวตน ตัวตนหรือตัวกูนั้นมันเป็นมายาไม่ใช่ของจริง มันเกิดมาจากความโง่ ความไม่รู้ เช่นพอตาเห็นรูป ตาระบบประสาทตาเห็นรูป ความโง่มันก็เกิดขึ้นมาว่ากูนะเห็นรูป กูนะเห็นรูป เห็นรูปอย่างนั้นอย่างนี้ กูเป็นผู้เห็น ที่จริงระบบประสาททางตาต่างหากเป็นผู้เห็น พอมีกูผู้เห็น มันก็ต้องการอะไรเพื่อตัวกู ขยายการกระทำต่อไป เพื่อให้ได้มาซึ่งอะไรที่ตัวกูมันต้องการ หูได้ยินเสียงมันว่ากูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นมันว่ากูได้กลิ่น ลิ้น ลิ้นมันได้รสว่ากูได้รส ผิวหนังได้รับความสัมผัสต่างๆ ก็ว่ากูสัมผัส นี่กูมันเกิดขึ้นมาอย่างโง่ๆ ที่ละเอียดไปกว่านั้นก็คือว่า มันต้องเกิดความเจ็บก่อน แล้วมันจะเกิดความรู้สึกว่ากูเจ็บ กูไม่ได้เกิดอยู่ล่วงหน้ารอว่าเมื่อไหร่จะเจ็บ แล้วกูจะได้เจ็บเปล่าหรอก เพราะตัวกูมันไม่ใช่ของจริง มันเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อมีความรู้สึกอะไรขึ้นมา อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เช่นมีดบาด เจ็บ เกิดความเจ็บ รู้สึกอยู่ในใจเต็มที่มันจึงจะเกิดความรู้สึกว่ากูเจ็บ ก่อนหน้านั้นตัวกูไม่มี ไม่ได้มี ไม่ได้เกิด ไม่ได้มี นี่ตัวกู ตัวกูมันเป็นเพียงมายาไม่ใช่ของมีอยู่จริง เพิ่งเกิดต่อ เมื่อมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ความโกรธนี้ก็เหมือนกันแหละ มันมีความรู้สึกไม่ถูกใจก่อน แล้วตัวกูผู้ไม่ถูกใจจึงเกิดขึ้นมา ความรักก็เหมือนกัน มันมีการถูกใจถูกอารมณ์ก่อน แล้วมันจึงเกิดตัวกูผู้รักผู้ถูกใจขึ้นมา ฉะนั้นความรู้สึกกี่อย่าง กี่อย่างที่มันมีอยู่สำหรับจิตใจรู้สึก ทุกอย่างมันเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกว่า ตัวกูหรือตัวตนได้ทุกอย่างทุกประการ ฉะนั้นตัวกูนี้จึงเกิดง่าย เกิดที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ เท่าไหร่ก็ได้ และมันเกิดทีหลังการกระทำ มันไม่น่าเชื่อ เพราะมันไม่ใช่ตัวจริง มันจึงเกิดทีหลังการกระทำ ตามธรรมดาผู้ทำต้องเกิดก่อนการกระทำ อันนั้นมันเป็นของจริง มันเป็นเรื่องจริง แต่นี่มันของลวงของเท็จ การกระทำเกิดก่อนแล้วความรู้สึกผู้กระทำเกิดตามมาทีหลัง มันต้องมีเงินก่อนใช่ไหม มันต้องมีเงินก่อนใช่ไหม มันจึงจะเกิดความรู้สึกว่ากูมีเงิน ความรู้สึกว่ากูมีเงินนี้เกิดไม่ได้ลำพังล้วนๆ เกิดไม่ได้ต้องมีเงิน มีเงิน ได้เงิน มีเงินแล้วจึงจะเกิดความรู้สึกว่ากูมีเงิน จะได้ลูกได้เมียได้ผัวอะไรก็ตาม มันต้องได้ก่อน แล้ว มันจึงเกิดความรู้ สึกว่ากูได้ กูได้อย่างนั้นอย่างนี้ กูมีอย่างนั้นอย่างนี้ เอ้า, สมมุติว่าเงินหาย เงินมันต้องหายก่อน มันจึงจะเกิดความรู้สึกว่าเงินของกูหาย หรือกูเป็นผู้ที่ว่าเงินมันหาย กูมันไม่ใช่ของจริง มันเป็นมายาเกิดขึ้นจากความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดอยู่แล้ว ฉะนั้นตัวกูจึงเป็นสิ่งที่หลอกลวง แล้วก็ไปเห็นแก่ความหลอกลวง เอาความหลอกลวงเป็นหลัก มันจะได้อะไร มันก็ได้โง่ๆ หนักขึ้นไปอีก หนักขึ้นไปอีกมันไม่ดับทุกข์
เอ้า, ย้อนกลับมาว่าตาเห็นรูป ก็ไม่เกิดว่ากูเห็นรูป ตาเห็นรูป สติปัญญาของจิตใจมันก็รู้สึกได้ว่าควรทำอย่างไร ควรทำอย่างไร รูปที่เห็นนี้มันเป็นอะไรควรจะทำอย่างไร ก็ทำไปไม่ต้องรัก ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องเกลียด ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอะไรกับมัน ควรทำอย่างไรก็ทำๆๆ ตามที่ควรจะทำ เรื่องร้ายมันก็ไม่เกิด มันเกิดแต่เรื่องที่มันควรจะเกิดคือเป็นฝ่ายดี นี่เราพร้อมที่จะเกิดความโง่ว่า มีตัวกูในทุกเรื่องราว ทุกอย่างทุกประการที่ว่า อะไรๆ มันจะเกิดขึ้นมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าอารมณ์ อารมณ์มันเกิดขึ้นมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาเป็นกูหมด เกี่ยวข้องกับกูหมด ผูกพันกับตัวกูหมด เลยยุ่งกันใหญ่ ถ้าว่าให้เป็นเรื่องของไอ้ธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้น อย่าเกิดตัวกู มันก็ไม่เกิดความรู้สึกที่เป็นบวกหรือเป็นลบ ไม่อาจจะเกิดโลภะที่เป็นบวก ไม่อาจจะเกิดโทสะที่เป็นลบ ไม่อาจจะเกิดโมหะที่เป็นความมืดๆๆ ไม่รู้บวกหรือลบ อาตมาพูดแล้วท่านก็ไม่เข้าใจ ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจก็เหนื่อยเปล่า เหนื่อยเปล่า พูดกันสักคืนก็เหนื่อยเปล่า นี่คือเรื่องของหัวใจของธรรมะ หัวใจของพระศาสนา ว่ามันมีผลร้ายเกิดขึ้นมา เพราะมันเกิดความรู้สึกเป็นตัวกู แล้วก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่ตัว มันจึงมีเรื่องเป็นได้หรือเป็นเสียคือ เป็นบวกหรือเป็นลบ เป็นรักหรือเป็นเกลียด หรือเป็นโกรธตรงกันข้ามแหละ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง มันไม่สงบ มันไม่อยู่ตรงกลางที่เป็นความสงบ แล้วเราก็ไม่ค่อยจะชอบนะความสงบอันที่จริง มันชอบให้มีอะไรกระตุ้น ให้มีอะไรกระตุ้น เราไม่ชอบสงบ เพราะว่ามันไม่ชอบสงบ มันชอบให้อะไรกระตุ้นมันจึงต้องไปเที่ยวหาอารมณ์มากระตุ้น อย่างเลวที่สุดมันก็ไปหาเหล้ามากิน เพราะว่าเหล้ามันกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น มันไม่ชอบความสงบ มันชอบความตื่นเต้น มันหาเหล้ามากิน หาสิ่งเสพติดมาเสพ เพื่อกระตุ้นให้มันเกิดความตื่นเต้น เพราะเรามันชอบความตื่นเต้น ให้มีอะไรมากระตุ้นอย่าให้มันสงบ ฉะนั้นไอ้ความวุ่นวาย หรือมูลเหตุให้เกิดความทุกข์ มันก็เกิดขึ้นมาเต็มไปหมด จริงหรือไม่จริงลองไปคิดดู ไอ้การที่พอใจในการกระตุ้น ในการที่มีอะไรมากระตุ้น เรียกว่ามาขับกล่อมนี้ก็ตาม มันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งมันช่วยไม่ได้ มันช่วยไม่ได้ มันเกินความรู้สึกของคนเราที่จะบังคับ มันเป็นสัญชาตญาณอันลึก ซึ้งซ่อนเร้นอยู่ พอออกมาจากท้องแม่ มันก็ต้องการสิ่งกระตุ้นหรือขับกล่อมเสียแล้ว และก็พอดีกันแหละพอลูกออกมาแล้ว ก็มีการขับกล่อมทุกอย่างทุกประการนะ ให้มันได้เห็นสิ่งสวยๆ ให้มันได้ฟังเสียงที่ไพเราะ ให้มันได้กลิ่นหอม ให้มันได้ไอ้ที่อร่อย เรียกว่าสิ่งขับกล่อมสิ่งกระตุ้น ลองคิดดูทีว่าเอาพวงอะไรสวยๆ ไปแขวนไว้ที่เปล ให้ลูกเด็กๆ ที่นอนเปลมันเห็น มาแขวนทำไม มาแขวนทำไม มันถ่ายทอดกันมาในความรู้สึกว่า ทำอย่างนี้ดี ที่จริงก็คือมันกระตุ้น มันกระตุ้นเด็กๆ ในทางตา แล้วก็ร้องเพลงเอื่อยๆๆ ให้ไพเราะใส่หูเด็ก ก็คือความกระตุ้นทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางอะไรก็ทำไปตามแต่ละอย่างละอย่าง มันเติบโตขึ้นมาด้วยความกระตุ้นเคยชินเป็นนิสัย ให้ได้รับการกระตุ้น ต้องการจะได้รับการกก กอด หรือมีแม้แต่การตบเบาๆ การทำกล่อมให้หลับอย่างนี้ นี้มันเป็นสัญชาตญาณที่ลึกซึ้ง ที่มันซ่อนอยู่ในส่วนลึกซึ้งของสัญชาตญาณ มันก็พอดีกันนะ เกิดขึ้นมาแล้วก็ได้รับการกระตุ้น แล้วก็กระตุ้นมากขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้น จนเป็นเด็กโตเป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่มเป็นสาว มันก็พอใจในสิ่งกระตุ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนี่ จนกระตุ้นสูงสุดในลักษณะที่เรียกว่า กามารมณ์ คือเรื่องทางเพศ เพศหญิงเพศชายก็แล้วแต่ ต้องเป็นเรื่องทางเพศ มันกระตุ้นอย่างยิ่งแหละจากเพศตรงกันข้าม มันก็บ้าต่อไปไม่มีสิ้นสุด ความหลงใหลในการกระตุ้น ความเห็นแก่ตัว มันตั้งอาศัยอยู่บนความรู้สึกสัญชาตญาณข้อนี้ สัญชาต ญาณแห่งการที่ให้มีอะไรกระตุ้น แล้วก็เพลิดเพลิน ได้มีอะไรมากระตุ้นให้เพลิดเพลินนั้นมันถูก ใจ ถูกใจ กิเลส ถูกใจความเห็นแก่ตัว แล้วก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว
เอ้า, ทีนี้ก็เอากันใหญ่กว้านมากว้านสิ่งต่างๆ มากมาย จะซื้อหาแพงถูกเท่าไหร่ไม่ว่า มีเงินเท่า ไหร่ก็เอาไปซื้อหามา ไปกว้านเอามา เพื่อมาสนับสนุนบำรุงบำเรอ ความรู้สึกที่เป็นความกระตุ้น หรือว่าเห็นแก่ตัว จริงหรือไม่จริง ทำไมมันจะต้องหาเงินมากๆ แล้วก็ซื้อหาสิ่งกระตุ้นทั้งนั้นแหละ ไม่มีอะไรที่มันซื้อหามา สิ่งกระตุ้นความรู้สึกสนองความอยาก ของความเห็นแก่ตัวของกิเลส มีเงินสักล้านก็ใช้หมด สิบล้านก็ใช้หมด ร้อยล้านก็ใช้หมด เพราะว่าสิ่งที่จะสนองความเห็นแก่ตัวนั้น มันมีมากมายมหาศาล ซื้อกันไม่ไหวทั้งโลก อย่างนี้ในทางธรรมะเขาเรียกว่าเป็นทาส เป็นทาสของตัณหา ทาสขี้ข้านะ เป็นทาสเป็นขี้ข้าของตัณหา ให้ตัณหามันใสหัวไปหาอะไร พูดให้สุภาพอีกหน่อยก็ว่า เป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของตา เป็นทาสของหู เป็นทาสของจมูก เป็นทาสของลิ้น เป็นทาสของผิวหนัง เป็นทาสของจิตใจ เป็นทาสของอายตนะมีอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเมื่อได้เป็นทาสของอายตนะแล้ว มันก็ได้เป็นทาสของตัณหา เพราะอายตนะมันให้เกิดเวทนาเกิดตัณหา พอเกิดตัณหาแล้วเจ้าอุปาทานก็มา ความเห็นแก่ตัวมีตัวและเห็นแก่ตัวมันก็มา จะเป็นทาสตัณหา หรือเป็นทาสอายตนะ มันก็พุ่งไปยังเป็นทาสตัวกู เป็นทาสตัวกู มันเป็นผีไม่ใช่ของจริง เกิดทีหลัง เกิดตามอารมณ์ เกิดจากความหลอกลวงของอารมณ์ ใครไม่เป็นอย่างนี้บ้างเอาพูดจริงๆ กันที โดยใจจริงใครไม่เป็นอย่างนี้บ้าง หรือว่าใครชนะสิ่งเหล่านี้ได้ไม่เป็นทาส ไม่เป็นทาสของตัณหา ไม่เป็นทาสของอายตนะ นั่นแหละคือเป็นปุถุชนเต็มขั้น เขียนป้ายมาแขวนคอ กูเป็นปุถุชนเต็มขั้น เป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของตัณหา ต่อเมื่อลดลงๆๆ มันจึงจะลดความเป็นปุถุชนเต็มขั้น มีความเป็นพระอริยะเจ้าเพิ่มขึ้นบ้าง จะได้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็ตาม กว่าจะเป็นพระอรหันต์ เลิกละความเป็นปุถุชนคนโง่คนหนา มาเป็นคนฉลาด เป็นคนลืมหูลืมตา เบาบางด้วยกิเลสตัณหา เข้ามาอยู่ในฝ่ายของพระอริยะเจ้า เดี๋ยวนี้คุณอยากจะบรรลุธรรมะ ก็อยากจะดีจะเด่นจะดัง ไม่ใช่เพื่ออยากจะพ้นทุกข์ อยากจะเป็นพระโสดา สกิทาคามี เพื่อจะได้ยกหูยกหาง ไม่ใช่เพื่อจะดับทุกข์จริงหรือไม่จริงคิดดู ถ้าใครมาสรรเสริญเยินยอว่า ได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าอาจารย์เขาตั้งให้ว่า คุณเป็นโสดาบันแล้ว มันก็ดีใจ ไม่ใช่เพื่อดับทุกข์ มันเพื่อจะยกหูชูหางทั้งนั้นแหละ พูดอย่างนี้มันเลยขอบเขตไปแล้วรึยังล่ะ ถ้าเลยขอบเขตแล้วก็ไม่ต้องพูด แต่ถ้ามันยังเป็นความจริงอยู่ ก็ยังต้องพูดต่อไป เพราะมันเนื่องกันอยู่กับความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ตัวกูไม่ใช่ของจริงเป็นมายาหลอกลวง แต่แล้วความโง่มันก็บูชา บูชา คือว่าตัวกูมันบูชาตัวกู ตัวกูมันบูชาตัวกู ความโง่มันบูชาความโง่ ความโง่มันบูชาความโง่ นั่นแหละ เรื่องมันก็ไปกันใหญ่ จนมีกิเลสนับไม่ไหว จนมีความทุกข์นับไม่ไหว เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว
ถ้าคุณไม่เคยฟังอย่างนี้มาก่อน คุณก็ไม่เคยนึกไม่เคยคิดอย่างนี้ จะรู้สึกไปในทางไม่มี ไม่มีเรื่องอย่างนี้ ไม่มีเรื่องอย่างนี้ มีแต่เรื่องกูหาแสวงหาอะไร ตามที่กูต้องการได้มาแล้วก็พอใจ ได้มาแล้วก็พอใจ ได้มาแล้วก็พอใจ มันมีแต่เรื่องอย่างนั้น ไม่เห็นว่ามันเป็นความทุกข์ ไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา ที่คนทรมานผูกมัดรัดรึงอะไร แต่แล้วอุตส่าห์มาวัด อุตส่าห์มาศึกษาธรรมะ อุตส่าห์มาศึกษาพระธรรมในพระศาสนาในวัด พูดอย่างนี้ก็เหมือนกับไล่คุณออกจากวัดใช่ไหม ไล่กลับไปอย่ามาวัด เพราะถ้ามาวัดมันก็ต้องมาศึกษาอะไรที่มันเป็นความจริง จริงชนิดที่มันดับความทุกข์ ที่มันไม่ส่งเสริมความมีตัวกู มีตัวกูของความโง่ไม่ใช่ตัวจริง มีตัวกูของความโง่นี่ แล้วมันก็มีการกระทำ กระทำไปตามความอยาก ความต้องการของความโง่ นี้เรียกว่าตัวกูมันเห็นแก่ตัว แล้วก็มันบังคับอัตภาพชีวิตนี้ให้ทำไปตามความโง่ มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วมันยังน่าหัวที่ว่ามันก็ไปทำ ไปทำ ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ แล้วมันก็ทำเกินกว่าที่มันควรจะทำ มันต้องการจะมีกินมีใช้มากเกินกว่าที่ควรจะมี ควรจะกิน ควรจะใช้ แล้วพอได้เกียรติยศชื่อ เสียงขึ้นมาบ้างมันก็เอากันใหญ่ เอากันใหญ่ท่านสมภารก็บ้าใหญ่เท่านั้นแหละ นี่ถ้าว่ามันมีอะไรที่ให้มันเกิดเกียรติยศชื่อเสียงเล่าลือกันขึ้นมาแล้ว มันก็อย่างนี้ทั้งนั้นแหละ อย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เมื่อท่านสมภารไม่ดับทุกข์ แล้วทายก ทายิกามันจะดับทุกข์ได้อย่างไร เพราะมันคลานตามหลังสมภารนะโว้ย คิดกันดูอย่างนี้บ้างซิ ถ้าความเห็นแก่ตัวมันยังเป็นเจ้า มันยังเป็นนาย ยังเป็นอยู่เหนือ แล้วมันก็ไปอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ปัญหาก็ไม่รู้จักจบ อวดดีอวดเด่นแข่งขันแย่งชิงกันให้ดีให้เด่นกว่าใครทั้งหมด ซึ่งที่แท้มันก็ไม่จำ เป็นเลย แทนที่จะเอาแต่พอกินพอใช้สบายดี ไม่ต้องหามากๆ มันก็ไม่ชอบ มันต้องหาให้มันมากเข้าไว้ ให้มันดีมันเด่น ให้มันยิ่งกว่าใครๆ นี่แหละส่วนที่มันเกิน ส่วนที่มันเกินจำเป็นก็มีกันอยู่ทั่วๆ ไป ที่บ้านก็ดี ที่วัดก็ดี หรือเมืองสวรรค์ก็เหมือนกันแหละ มันบ้าส่วนเกินกันทั้งนั้นแหละ เมื่อตอนเย็นก็ได้พูดกันมากแล้ว ถึงเรื่องว่าความเห็นแก่ตัวมันกำลังครองโลก ครองโลกน่าหัวความเห็นแก่ตัวของมนุษย์แต่ละคน ของมนุษย์แต่ละคน มันกลับครองโลกได้และครองเจ้าของด้วย มันไสหัวลากคอเจ้าของไปตามความเห็นแก่ตัว ด้วยกิเลส ด้วยโมหะ ไปทำสิ่งที่เป็นปัญหาทั้งนั้น อย่างน้อยก็มันทำให้หาเกินไป หลงเกินไป มีเกินไป แล้วก็ขี้เหนียว แล้วก็ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เจือจานไม่อะไรทั้งหมด คนยากจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว มหาเศรษฐีก็เห็นแก่ตัว คนขอทานก็เห็นแก่ตัวจริงหรือไม่จริง แม้ว่ามันจะคนละรูปแบบมันก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น มหาเศรษฐีมันก็เห็นแก่ตัวตามแบบมหาเศรษฐี คนขอทานมันก็เห็นแก่ตัวตามแบบคนขอทาน มีแต่หมาเท่านั้นที่มันไม่ค่อยจะเห็นแก่ตัว เพราะมันคิดไม่เป็น มันคิดไม่เป็น หมานี้พอกินอิ่มก็พอแล้ว มันไม่ได้ทะเยอทะยานที่จะยกหูชูหางทั้งที่มันมีหางนะ ทั้งที่มันมีหางนะ มันไม่ได้ทะเยอทะยานที่จะยกหูชูหาง แต่ไอ้มนุษย์นี้ไม่รู้เป็นยังไง หูมันก็ไม่ค่อยมี หางก็ไม่ค่อยมี แต่มันยกหูชูหางนี่เอาซิ เลี้ยงหมาไว้เป็นอาจารย์กันบ้างก็ยังดี มันยังทะเยอทะยานน้อยกว่า เห็นแก่ตัวน้อยกว่า ปัญหาจึงไม่มี ไม่มีปัญหา ไม่มีความยุ่งยากลำบาก ไอ้หมาบ้าไม่ใช่อย่างเดียวกับคนบ้า คนบ้ามันบ้า บ้าด้วยอวิชชา ไอ้หมาบ้ามันบ้าด้วยเชื้อโรคอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อวิชชา หมาบ้ากับคนบ้านี้คนละเรื่อง หมามันจะบ้าอย่างคนไม่ได้หรอก แต่คนบ้าอย่างหมาได้ถ้ามันรับเอาเชื้อ เชื้อบ้าเข้าไป เราอย่ามีอวิชชาคือความโง่ มันก็จะไม่เกิดตัวกู ไม่เกิดตัวกู เมื่อตาเห็นรูปก็ตาเห็นรูป ไม่ใช่กูเห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียงก็หูได้ยินเสียง ไม่ใช่กูได้ยินเสียง อย่างนี้เป็นต้น ตัวกูมันไม่เกิด ตัวกูมันไม่เกิด หรือเมื่อมันได้รับความรู้สึกเป็นอารมณ์รุนแรงขึ้น มา ความเจ็บความปวด หรือความรักความโกรธ ความเกลียดความหลง มันก็เป็นเรื่องของไอ้ความ รู้สึกตามธรรมชาติของอายตนะ ไม่เกิดความโง่หลงขึ้นมาว่ากูเจ็บกูอย่างนั้นกูอย่างนี้ กูรักกูสูญเสียความรักกูอะไรสารพัดอย่าง ปัญหามันก็ไม่มี ถ้ามันไม่มีตัวกู แล้วมันสูงสุดไปถึง ถ้าไม่มีตัวกู มันก็ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตายเป็นอมตะธรรม เป็นอมตะธรรมของพระอริยะเจ้า ที่เขาพูดว่าพระอริยะเจ้ามีอมตะธรรมไม่เกิดไม่ตายอีกต่อไป พระอรหันต์ ก็ท่านไม่มีตัวกูท่านหมดตัวกู ท่านก็หมดความรู้สึกว่าตัวกูด้วยประการทั้งปวง นี้อะไรมันจะเกิดอะไรมันจะตายละ เดี๋ยวนี้เรามันมีตัวกูนี่ เอามาเป็นตัวกู เอามาเป็นของกูหมด อะไรมันเกิดเอามาเป็นของกู อะไรมันแก่ก็เอามาเป็นของกู อะไรมันตายก็เอามาเป็นของกู มันก็มีหมดแหละ มีทั้งในแง่บวก มีทั้งในแง่ลบ พระอรหันต์ไม่มี พระอรหันต์ไม่มีสมบัติแม้แต่สตางค์แดงเดียวคุณฟังเข้าใจไหม แล้วทำไม่จะต้องมีความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ทรัพย์สมบัติอะไรสักสตางค์หนึ่งก็ไม่มี เพราะท่านไม่มีตัวกูที่จะยึดถือว่าสตางค์อันนี้เป็นของกู แล้วจิตใจของท่านจะสบายไปกี่มากน้อย เมื่อไปเทียบกันดูกับบุคคลที่อะไรๆ ก็ของกู อะไรของกู อะไรก็ตัวกู อะไรของกูมากมายมหาศาล อย่าอวดดีกับเรื่องนี้เลยทุกคนแหละ อย่าอวดดีกับเรื่องนี้เลย เพราะมันยังมีตัวกู มันยังมีของกูมากนัก มันยังยกหูชูหางทั้งที่มันไม่มีหูมีหาง อย่างที่ว่ามาแล้ว สุนัขมันไม่ยกหูชูหาง เหมือนกับคนยกหูชูหาง ทั้งที่ไม่ต้องมีหูมีหาง เพราะกิเลส เพราะอวิชชา เพราะความโง่ มันหยุดกันเสียบ้างไอ้ความอวด เรื่องอวดนะหยุดกันเสียบ้าง ถ้ายังอวดอยู่มันก็คืออวิชชา อวิชชามันไม่ใช่ความจริง มันก็สร้างปัญหา ถ้าไม่มีอวิชชามันมีความผิดพลาดอะไรไม่ได้ เช่นว่าไม่มีอวิชชา ก็ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ ไม่มีนามรูป เพราะมันไม่ปรุงแต่งอะไรถ้ามันไม่มีอวิชชา หรือว่าถ้ามันไม่มีอวิชชามันมีแต่วิชชา เมื่อตาเห็นรูปมันก็ว่าตาเห็นรูปไม่ใช่กูเห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียงก็หูได้ยินเสียงไม่ใช่กูได้ยินเสียง มันก็ไม่เกิดตัวกูทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่มีทางที่จะเกิดตัวกูที่ตรงไหน ถ้ามันไม่มีอวิชชา อวิชชาเป็นแม่บทเป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้เกิดตัวกู แล้วก็เกิดกิเลสนานาชนิด จะยกหูชูหางนี้มันก็ด้วยอวิชชา ด้วยอวิชชา ด้วยตัณหา อวิชชาเกิดตัณหา ตัณหาเกิดอุปปาทานเรื่อยไป นี่เรื่องธรรมชาติของคนแต่ละคน
เอ้า, ทีนี้พูดถึงเรื่องส่วนรวมสักทีรวมกันทั้งโลก เมื่อทุกคนมันมีความเห็นแก่ตัว แล้วเอาความเห็นแก่ตัวของคนทุกคนมารวมกันเข้า มันจะสักกี่มากน้อยมันจะสักเท่าไหร่ ความเห็นแก่ตัวนี้มันจะใหญ่โตสักเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้มันครองโลก ความเห็นแก่ตัวนี้มันครองโลก มันพาโลกไปทางไหนก็ได้ มันก็พาโลกไปในทางความบ้าความหลง หลงก็หลงในส่วนเกินทั้งนั้น ส่วนที่ไม่จำเป็นทั้งนั้น มันประดิษฐ์สร้างสิ่งที่ไม่จำเป็นขึ้นมา จนกลายเป็นของเคยชินและเสพติด ไอ้เราก็พลอยโง่ไปไม่ทันรู้ มีนั่นมีนี่มีที่มันสร้างขึ้น มาใหม่ๆ แปลกๆ ต้องซื้อทั้งนั้นแหละ ขายของเก่าซื้อของใหม่ของแปลกทั้งนั้น ที่แท้แล้วมันยังไม่ถึงกับจะต้องซื้อหรอก แต่ถ้าอวิชชาตัณหานี้มากพอแล้วมันต้องซื้อ เช่นหนุ่มๆ หนุ่มๆ วัยรุ่นสาวๆ ก็ตาม มันไม่ต้องมีจักรยานยนต์ มันก็มีจนได้ มันต้องสะสมหาซื้อจนได้ ไอ้คนแก่ๆ เหล่านี้ไม่ต้องมีตู้เย็นหรอก มันก็ต้องมีตู้เย็นจนได้แหละ จนว่าไอ้น้ำไม่ได้แช่เย็นแล้วก็กินไม่ได้ล่ะ อาตมาก็เหมือนกันแหละ แต่ขอยืนยันให้ท่านทั้งหลายรู้ อาตมาไม่ได้ซื้อหาตู้เย็น ไม่ได้ขอร้องใครให้เอาตู้เย็นมาให้ แต่ตู้เย็นบ้าที่ไหนก็ไม่รู้มันมามีได้ในวัดนี้ สองตู้สามตู้จนทำให้เกิดต้องกินน้ำเย็น กินน้ำแช่เย็น ไม่แช่เย็นกินไม่ได้ นี้เรียกว่ามันไม่จำเป็นแต่มันก็เข้ามาได้อย่างไร ก็ลองคิดดู เอ้า, คิดกันดูทั้งโลก วันหนึ่งเสียค่าน้ำแข็งหรือค่าตู้เย็นก็ตามกี่มากน้อย ค่าน้ำแข็งอย่างเดียวทั้งโลก ทั้งโลกนี่ไม่มีตัวเลขเขียนนะ ไม่รู้จะกี่แสนๆๆ ล้านๆ บาท ค่าน้ำ แข็งทั้งโลกในวันเดียว แต่แล้วโลกมันก็ไม่เย็น โลกมันก็ยังไม่เย็น สมัยคนป่าไม่นุ่งผ้า ไม่มีน้ำแข็ง ไม่รู้จักน้ำแข็งเลย มันยังเย็นกว่า โลกสมัยคนป่าเย็นกว่าโลกสมัยที่คนรู้จักทำน้ำแข็งกิน นี่เรียกว่าน้ำแข็งเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีพิษสงค์อะไรมันก็ยังเป็นมากถึงขนาดนี้ แล้วจะของเอร็ดอร่อยมึนเมาเหล้าเบียร์อะไรเหล่านี้ล่ะ มันจะกี่มากน้อย คนป่าไม่รู้จักกินน้ำอัดลม เพราะมันไม่มี มันไม่รู้จัก มันก็ไม่ตายมันอยู่ได้ เดี๋ยวนี้ต้องกินน้ำอัดลม ต้องกินน้ำอัดลม แล้วมีอะไรดีกว่าคนป่า ความเห็นแก่ตัวมากขึ้นกว่าคนป่า ต้องเดือดร้อนลำบากยุ่งยากมากกว่าคนป่า เพราะความเห็นแก่ตัวมันเจริญก้าวหน้า เป็นสิ่งที่ลึก ลึกซึ้ง ลึกซึ้งและยุ่งยากที่สุด ลำบากที่สุดที่จะรู้จักมัน ที่จะกำจัดมัน ที่จะทำลายมัน มันยิ่งงอกงามขึ้นมาเรื่อย งอกงามขึ้นมาเรื่อย มนุษย์มีความเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ ความเห็นแก่ตัวมันจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ไปดูเอาเอง เจริญในทางวัตถุอะไร มันก็จะเพิ่มความเห็นแก่ตัวในทางวัตถุเหล่านั้น เจริญในทางเรื่องกิน มันก็เพิ่มเรื่องกิน เจริญในทางเรื่องเล่น มันก็เพิ่มเรื่องเล่น แม้แต่สิ่งที่ไม่จำเป็น มันก็เอามาเป็นสิ่งที่จำเป็น แม้สิ่งที่เป็นสวยงามโดยไม่จำเป็น มันก็ต้องมีขึ้นมา
ในวันหนึ่ง วันหนึ่งอยู่ที่นี่น่ะ มีคนแต่งกายคล้ายกับคนบ้าหลายสิบคนที่เข้ามาในวัดนี้ กางเกงมันสั้นแล้วเสื้อมันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ดูๆ แล้วมันคล้ายกับคนบ้า มันต้องแต่งกายอย่างนี้ นี่แหละมันเป็นความเจริญ เป็นความเจริญ เสื้อแสงมันทำลวดลายอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ลวดลายความหมายอะไร มันไม่ต้องทำมันก็ทำ ยิ่งเจริญมันก็ยิ่งบ้า ยิ่งเจริญมันก็ยิ่งบ้า ยิ่งบ้ามันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว นี่ท่านใส่เสื้อขาวทั้งนั้น กลางวันมาดูซิมันใส่เสื้ออะไรก็ไม่รู้ สีอะไรก็ไม่รู้ ลวดลายอย่างไรก็ไม่รู้ ไอ้เรื่องสีเรื่องลวดลายนี้มันต้องทำนะ มันต้องทำเป็นพิเศษ มันต้องเสียเงินเพื่อส่วนนั้นนะ นี่ความเจริญ ความเจริญยิ่งเจริญยิ่งมีปัญหา ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งเป็นบ้า เรื่องอาหารการกินก็ดี เรื่องเครื่องนุ่งห่มก็ดี เครื่องใช้ไม้สอยก็ดี เหย้าเรือนที่อาศัยใช้สอยเป็น อยู่ก็ดี อะไรๆ ก็ดีมันยิ่งเจริญก็ยิ่งบ้า ยิ่งเจริญยิ่งบ้า ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพราะความเจริญพวกที่เป็นมหาเศรษฐี เขาก็ต้องการเงินร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน ล้านๆ เขาก็ต้องการ ไอ้คนโง่คนจน มันไม่มีปัญญา มันก็ไม่มีแม้แต่ล้านเดียว แต่ในจิตใจมันก็อยากมีอยู่นั้นแหละ ในจิตใจมันก็อยากมีแข่งกับมหาเศรษฐี มันเป็นมนุษย์มันก็อยากจะแข่งกับเทวดา มันอยากจะกินแข่งกับเทวดา อยาก จะแต่งตัวแข่งกับเทวดา มันอยากจะมีอะไรๆ แข่งกับเทวดา อย่างนี้ทำไม่ไม่มองกันบ้าง มันเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่ตัว เอามาบวกรวมกันแล้วก็ครอบๆ โลก ครอบงำโลก ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัวก็ยื้อแย่งกันไปยื้อแย่งกันมา ทำลายหมดเลยไอ้ธรรมชาติที่เขาสร้างไว้ดีๆ ป่าไม้ก็ดี ห้วยหนองคลองบึงบางก็ดี อะไรก็ดีที่ธรรมชาติสร้างมาไว้อย่างดี ทะเลก็ดี อะไรก็ดีทำลายหมดเลย มันจะทำลายหมด ทำ ลายยิ่งขึ้นไป ทำลายยิ่งขึ้นไป มันทำลายโลกนี้มากขึ้น มากขึ้นจนจะอยู่กันไม่ได้แล้ว พวกฝรั่งนักวิทยาศาสน์มันว่า เพราะทำลายป่านี่แหละ ป่าหมดลงไปเท่าไหร่ โลกก็จะมีความร้อนเพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะว่าสิ่งที่จะมันกันความร้อนจากดวงอาทิตย์มันลดลงไป แก๊สอะไรที่มันจะกันความร้อนนี้มันก็ลดลงไป โลกมันจะร้อนมากขึ้น โลกมันจะร้อนมากขึ้น ปีละกี่องศาก็ไม่รู้ สิบปี ร้อยปี พันปี มันก็ร้อนจนเป็นไฟได้สักวัน นี่เรื่องการที่มันทำลาย ทำลายสิ่งที่เป็นคุ้มครอง ทำลายเครื่องคุ้มครอง แต่เรื่องนี้ทุกคนคงจะคิดว่ากูตายก่อนแล้ว กูไม่ได้อยู่เห็นเลยไม่สนใจ ไม่คิดว่าเป็นปัญหาสำหรับตัวกู แต่ถ้าคิดถึงส่วนรวมถึงลูกถึงหลานแล้ว ควรจะนึกกันไว้บ้างว่า ไอ้ลูกหลานมันจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ถ้ามันทำลายธรรมชาติ ทำลายสิ่งที่เป็นความถูกต้องของธรรมชาติ นี่ก็เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวจะทำลายมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว มันชอบกล มนุษย์ไม่มองเห็นว่า ไอ้ความเห็นแก่ตัวนะจะทำลายมนุษย์ มนุษย์ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งแสวงหาความเห็นแก่ตัว แต่ความจริงนี่ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่าไหร่ ยิ่งมีความวินาศเท่า นั้นแหละ จะลำบากยุ่งยากเป็นทุกข์มากขึ้นเท่านั้น เพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดความหมายเป็นสองฝ่าย คือเป็นบวกและเป็นลบ ฝ่ายหนึ่งดีอร่อยสวยงามต้องการจะเอา จะเอา จะเอา จะมี จะแสวงหา จะรวบรวม จะกักตุนเป็นฝ่ายบวก อีกฝ่ายหนึ่งตรงกันข้ามเป็นฝ่ายลบ มันจะฆ่าจะทำลาย มันเหลือแต่เรื่องเป็นบวกและเป็นลบ มันไม่มีความสงบ มันจะต้องร้องไห้และหัวเราะสลับกันไป มันไม่มีความหยุด ความเย็น ความปกติ มันให้เกิดสองอย่างคือดีใจเสียใจ ดีใจเสียใจ ดีใจเสียใจสลับ ซับซ้อนกันไปหาความพักผ่อนไม่ได้ ดีใจก็ตื่นเต้นไปตามแบบดีใจ กินข้าวไม่อร่อยนอนก็ไม่หลับ เสียใจก็ซบเซาไปตามความเสียใจ กินข้าวไม่อร่อยแล้วก็นอนไม่หลับเหมือนกันแหละ เธอไปสังเกตดูดีๆ นะ ไม่ว่าดีใจ ดีใจนั้นแหละ เกิดถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ๆ เข้ามา นอนไม่หลับคืนนั้น ความดีใจก็กระตุก กระตุกให้ตื่นเต้น ความเสียใจก็บีบคั้นให้ตื่นเต้น ไม่ใช่ความพักผ่อน นั้นน่ะมันเป็นผลมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันออกมาในรูปอย่างนี้ ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่มีกิเลส ไม่มีความเป็นบวกไม่มีความเป็นลบ มันไม่มีกิเลส มันมีแต่ความสงบสุขเยือกเย็นคงที่ แต่ก็ไม่มีใครชอบหรือไม่รู้จักชอบ ไม่อยากจะชอบเพราะมันไม่สนุก เพราะนิสัยโดยสัญชาติญาณมันต้องการความกระตุ้น มันมีอะไรมากระตุ้นไม่ให้สงบนั่นแหละมันชอบ มันจึงไปแสวงหาสิ่งกระตุ้น อบายมุขทั้งหลายเป็นเรื่องกระตุ้น จะต้องเล่นกีฬา จะต้องทำอะไรที่เป็นการกระตุ้น กระตุ้น ไม่ใช่เพื่อสุขภาพอนามัยหรอก มันเป็นเรื่องกระตุ้นด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาทั้งนั้น นี้เพื่อจะอธิบายขยายความที่ได้พูดกันแล้วเมื่อตอนเย็นบนภูเขาว่า ความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก โลกยิ่งเจริญจะยิ่งเห็นแก่ตัว โลกสร้างๆ สิ่งกระตุ้น สิ่งที่กระตุ้นให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น แล้วก็สร้างกันด้วยเครื่องจักรเป็นอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมที่มันมีขึ้นมาในโลกน่ะ มันสร้างสิ่งที่จะเชือดคอมนุษย์ทั้งนั้นแหละ ให้มนุษย์ลำบากยุ่งยากมากขึ้นไปมันเกินจำเป็น มันอย่าไปบูชาอุตสาหกรรมบ้าบอนั้นนะ มันจะสร้างปัญหา เพราะสร้างความเจริญทางวัตถุแล้วก็ยุ่งยากลำบาก ไม่มีอุตสาหกรรมเสียยังดีกว่า เป็นคนป่าไม่นุ่งผ้าเสียยังมีความสงบมากกว่าที่มันจะเจริญรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรม
เอาละ, สรุปความว่าระวัง ระวังความเห็นแก่ตัว ระวังความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันกำลังชนะ กำลังครองโลก กำลังชนะมนุษย์ กำลังครองโลก ความเห็นแก่ตัวมันกำลังท้าทายพระศาสนา ทุกศาสนาในโลก ความเห็นแก่ตัวมันท้าทายศาสนา กล้าดีมึงมาปราบกูซิ ถ้าพูดกันตรงๆ ศาสนาไหนหน้าไหนมาปราบกูซิวะ มาปราบความเห็นแก่ตัวซิวะเหลวทั้งนั้น ยังไม่มีศาสนาไหนที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวไม่ยกเว้นแม้แต่พุทธศาสนาเรา พุทธบริษัทเราก็ยังเห็นแก่ตัว ยังบรรลุมรรคผลไม่ได้ ยังบรรลุมรรคผลไม่ ได้เพราะความเห็นแก่ตัว ทำสมาธิสูงสุดถึงอรูปฌานแล้ว มันก็ยังเห็นแก่ตัวเป็นพรหมแหงแก๋อยู่นั้นแหละ หลุดพ้นออกไปเป็นพระอริยะเจ้าไม่ได้นี่เพราะความเห็นแก่ตัว ขออภัยที่มันจะต้องพูดได้อย่างนี้ว่า ท้าทายพระพุทธเจ้า ท้าทายพระธรรม ท้าทายพระสงฆ์ ความเห็นแก่ตัวในโลก เพราะพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ของพวกเรามันไม่มีนี่ เราไม่มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นี่ เป็นพุทธบริษัทกันแต่ปากนี่ ไม่มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ กิเลสความเห็นแก่ตัวมันก็ท้าทาย ท้าทายพุทธบริษัท ท้าทายพุทธศาสนา ท้าทายพระพุทธ ท้าทายพระธรรม ท้าทายพระสงฆ์ของพุทธบริษัทแต่ปาก เจ็บปวดไหมคิดดูให้ดี ถ้าว่าน่าละอายหรือเจ็บปวดละก็ มาคิดกันหน่อยมาปรึกษากันหน่อย ถ้ารู้สึกข้อจริงข้อนี้ละก็ คืนนี้คงไม่นอนไม่ต้องนอนหรอก เกลียดกลัวอันตรายเหล่านี้ มานั่งพูดกันสว่างก็ได้ เพื่อหาทางทำลายความเห็นแก่ตัว ซึ่งมันกำลังท้าทายศาสนาทุกศาสนาในโลก ช่วยจำคำนี้ไว้ด้วย ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลกทั้งหมดรวมกัน กำลังท้าทายสิ่งที่เรียกว่าศาสนา คือสิ่งที่มนุษย์ช่วยกันสร้างขึ้นมา เพื่อจะกำจัดความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวเป็นฝ่ายชนะ ท้าทายความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา แล้วมันลากคอเอาศาสนาบางศาสนาไปให้เห็นแก่ตัวเสียด้วย นี่มันเจ็บปวดข้อนี้ ศาสนาเห็นแก่ตัวเสียเอง ยกหูชูหางเสียเองไม่ยอมร่วมมือกับใคร นี่ศาสนามันพ่ายแพ้กันถึงขนาดนี้ ความเห็นแก่ตัวกำลังชนะขนาดนี้เรียกว่าความเห็นแก่ตัวมันกำลังท้าทาย ท้าทาย ศาสนาไหนมา มาเล่นกับกูซิ เอาซิ ทีนี้พวกเราพุทธบริษัทไม่รู้จักอาย ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักร้อนอะไรกันบ้างเลย เมื่อความเห็นแก่ตัวมันท้าทายศาสนา ท้าทายโลก ท้าทายมนุษย์ เก็บเอามนุษย์ไปเป็นทาสของความเห็นแก่ตัวเสียหมด ทำไม่ไม่รู้จักละอาย ไม่รู้จักกลัวกันบ้าง
ถ้าท่านไม่เข้าใจท่านก็จะคิดว่า อาตมาพูดอย่างบ้าน้ำลาย อาตมาพูดอย่างบ้าน้ำลาย ถ้าท่านไม่เข้าใจคำที่พูดนี้ แต่ถ้าท่านเข้าใจก็ค่อยยังชั่วหน่อยว่า มันเป็นความจริงที่มันมีอยู่อย่างเร้นลับ อย่างซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกๆ ของจิตใจ แล้วใครจะเลือกมองกันในแง่ไหน เชื่อในทางไหนก็เป็นอิสสระเสรีภาพ เป็นประชาธิปไตยเลือกเอาได้ เชื่อเอาได้ตามที่ตัวต้องการ อาตมามองเห็นร่วมกันว่า โอ้, ไม่ไหวแล้วโว้ย โลกมันจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวแล้ว ก็มาร่วมมือกันฟื้นฟูการปฏิบัติธรรมะ การปฏิบัติศาสนา ความ เห็นแก่ตัวของใครคนนั้นก็ทำลายมันเสีย ความเห็นแก่ตัวของใครคนนั้นก็ทำลายมันเสีย แต่ละคน ละคนช่วยทำลายความเห็นแก่ตัวของตน ของตน โลกนี้มันก็จะเบาบางลงจากความเห็นแก่ตัว ธรรมะจะครองโลก ความเห็นแก่ตัวก็ถอยไป ธรรมะจะครองโลก ธรรมะจะครองโลก ได้ครองโลกแล้วมันก็สงบเย็น สงบเย็นเป็นพระนิพพาน เป็นนิพุทธติประจำอยู่ในโลก นิพพานที่ประจำอยู่ในโลกเรียกว่า นิพุทธติ นิพุทธติ ความสงบเย็น ความหวัง ความสงบเย็นนิพุทธติ นิพุทธติคือไฟกิเลสไม่ลุกขึ้นมา แล้วก็มีความสงบเย็น จะเรียกว่าศาสนาพระศรีอารยะเมตไตรย หรือโลกพระศรีอารยะเมตไตรยก็ได้ แล้วแต่จะชอบเรียก แต่ขอให้มันเป็นความสงบเย็น เป็นความสงบเย็นไม่มีปัญหา ไม่มีความร้อน ไม่มีความทุกข์
สรุปแล้วมันมากไปไหม คุ้มค่าไหมที่ท่านทั้งหลายมาไกล มาเหน็ดเหนื่อยจากที่ไกล มาได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้คุ้มค่ากันไหม ถ้าไม่คุ้มค่ากันอาตมาก็เป็นบาป ยมบาลก็เล่นงานอาตมา ว่าทำให้คนอื่นเสียเวลาเปล่าๆ แต่ถ้ามันเป็นความจริง ช่วยให้มนุษย์ดีขึ้นได้บ้าง ก็คงจะไม่เป็นไร คงจะไม่เป็นไร เราก็คงจะได้พูดกันอีกหลายหน คือยมบาลไม่จับไปใส่นรก จะได้พูดกันอีกหลายหน ช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ นี่อาตมาพูดจนไม่มีแรงจะพูดแล้ว มันก็ต้องหยุดอยู่ดี ในระหว่างนี้มันไม่มีแรงยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นทุกปี ทุกปี ทุกปี
สรุปความกันเสียทีว่า โลกมันหมดความสงบสุข เพราะความเห็นแก่ตัวมันครองโลก ความเห็นแก่ตัวมันท้าทายศาสนาทุกศาสนา มันท้าทายบุคคลทุกคนแต่เจ้าตัวไม่รู้สึก กลับเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ทำทานก็เห็นแก่ตัว รักษาศีลก็เห็นแก่ตัว ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ทำสมาธิวิปัสสนาก็เพื่อส่งเสริมความเห็นแก่ตัว มันเป็นการได้เปรียบฝ่ายข้าศึกฝ่ายพระยามาร
เอาละขอให้คิดกันใหม่ตั้งตนกันใหม่ ดึงมันมาฝ่ายนี้ ทำลายความเห็นแก่ตัวให้ได้เปรียบทางฝ่ายธรรมะ ธรรมะ ให้มีความสงบสุขในลักษณะของธรรมะ มีความถูกต้องสำหรับจะสงบสุข ขอตั้งความปรารถนาว่า ให้ท่านทั้งหลายทุกคน ทุกคน ทุกคนมองเห็นความจริงข้อนี้ เข้าใจความจริงข้อนี้ รู้แจ้งในความจริงข้อนี้ยิ่งๆ ขึ้นไป และทำลายความเห็นแก่ตน เห็นแก่ตัวของตน ของตนให้บรรเทาเบาบางลงไป ก็จะสิ้นสุดลงสักวันหนึ่งเป็นแน่นอน ขอให้ความปรารถนานี้ มันเป็นความจริงขึ้นมาเถิด มนุษย์เราก็จะหมดปัญหา การบรรยายสมควรแก่เวลาและเรี่ยวแรงแล้ว ต้องขอยุติการบรรยายโดยไม่ต้องพูดว่า เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ เพราะว่าเราไม่ได้เทศ เราพูดกันตามธรรมดา ฉะนั้นขอยุติการบรรยาย