แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้จะขออนุโมทนาเป็นภาษาไทย เพื่อทำความเข้าใจกันให้ถึงที่สุด ให้ได้รับประโยชน์ ได้รับอานิสงส์ถึงที่สุด ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี อนุโมทนาเป็นภาษาบาลีนั้นก็ฟังไม่ค่อยถูก หรือไม่ถูก
วันนี้เป็นวันทำบุญ ที่เรียกว่า ปีใหม่ เนื่องด้วยปีใหม่ มันก็ควรจะมีอะไรใหม่ ถ้าไม่มีอะไรใหม่ มันก็ไม่เรียกว่าปีใหม่ มันได้แต่ทำ ซ้ำ ซ้ำๆ ซ้ำกันอย่างนี้ ทุกปีก็ ซ้ำ ซ้ำๆ ไอ้เรื่องซ้ำนั้นมันใหม่ไม่ได้ แม้จะเปลี่ยนวิธี มันก็ยังไม่มีอะไรใหม่น่ะ มันเป็นซ้ำอยู่ ขอให้ทุกปี มีการกระทำที่เลื่อนชั้นขึ้นไป สูงขึ้นไป ดีกว่าขึ้นไป ให้เป็นเรื่องใหม่ นี่ ขอให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้ว่า อุตส่าห์มาที่นี่เพื่อทำบุญปีใหม่ ก็ขอให้มีอะไรใหม่ อย่างน้อยที่สุด ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ว่าท่านหัวหน้า ทายก ทายิกา นี่ ได้กล่าวคำ อธิษฐานว่า “การทำบุญนี้ ขอให้เป็นไปเพื่อนิพพานในปัจจุบันกาลนี้เทอญ” มันคงจะเป็นของใหม่ คนบางคนไม่เคยได้ยินน่ะ ว่า “นิพพานในปัจจุบันกาลนี้เทอญ” ถ้ามันไม่รู้ มันก็ไม่รู้ แต่มันก็ควรจะรู้ นิพพาน นิพพานที่แท้จริงนั้น ไม่ได้แปลว่าตาย ไม่ได้แปลว่าถึงต่อตายแล้ว นิพพานที่ถึงต่อตายแล้วนั้น เก็บไว้ให้คนโง่ ขอพูดอย่างนี้ เก็บไว้ให้คนโง่ นิพพานต่อตายแล้วน่ะ พุทธบริษัทจงมีนิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็น สันทิฏฐิกัง อะกาลิกัง เอหิปัสสิกัง โอปะนะยิกัง นิพพานนั้น นี่ เมื่อใดไม่มีกิเลสเผาผลาญอยู่ในใจ เป็นจิตใจเย็น เมื่อนั้นเป็นนิพพาน ยังไม่สมบูรณ์หรอก ยังไม่ถึงที่สุดสมบูรณ์หรอก แต่ว่าเป็นนิพพาน เป็นนิพพานในขั้นตระเตรียม เป็นนิพพานในขั้นต้น เป็นนิพพานในขั้นตัวอย่าง แต่ก็ว่าไม่ได้ ถ้าทำหมด ก็อาจจะเป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ก็ได้ มีคนบรรลุนิพพานโดยสมบูรณ์ที่นี่กันเดี๋ยวนี้กันก็มีมาก ในประวัติศาสตร์ พุทธกาลที่แล้วมา ขอให้เข้าใจ เป็นความรู้ใหม่ว่า นิพพานนี้ถึงได้ในปัจจุบันกาล แล้วก็พยายามให้มี ให้มี ให้มี มันจึงจะไม่เสียทีที่ เป็นพุทธบริษัท คือประคองจิตใจไว้ ให้ดีๆ อย่าให้กิเลสมันเป็นไฟลุกขึ้นมา มันเงียบอยู่ มันก็คือเย็นๆ มีจิตใจเย็น มีชีวิตเย็น มีอะไรเย็น มีความสุขชนิดเย็น นี่เรียกว่า นิพพานในปัจจุบันกาล ขอให้ถือเป็นเรื่องใหม่ ชนิดหนึ่ง เรื่องหนึ่งด้วย
โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ปีใหม่ต้องมีอะไรที่ดีกว่าปีเก่า ถ้าไม่มีอะไรดีกว่าปีเก่า มันก็ไม่ใช่ปีใหม่นั่นแหละ มันก็ซ้ำๆ ไม่ใช่ปีใหม่ ปีใหม่ยังมีอะไรดีกว่าปีเก่า ในเรื่องความรู้ก็ดี ในเรื่องของปฏิบัติก็ดี ในเรื่องของผลของการปฏิบัติก็ดี ฉะนั้นขอให้มันมีอะไรที่ใหม่กว่าปีเก่า ที่สูงขึ้นไป ดีกว่ายิ่งๆขึ้นไป นี่ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน จงเป็นทางนี้ ให้ได้รับประโยชน์ เป็นพระนิพพานในปัจจุบันกาล คือมีชีวิตเย็น ยิ่งๆขึ้นไป ชีวิตไม่กัดเจ้าของ หมายความว่า โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ลุกขึ้นมากัดเจ้าของ (/หัวเราะ/) เพราะมันเย็น นั่นแหละคือประโยชน์ที่จะได้รับในปัจจุบันกาล อันนี้ก็ขอให้มีมากขึ้นไป มากขึ้นไป มากขึ้นไปกว่าปีเก่า คือเย็นมากกว่าปีเก่า แล้วต้องรู้จักขอบใจ พระนิพพานชนิดนี้ พระนิพพานชนิดนี้ ทำให้จิตใจเย็น ปกติอยู่ได้นี้ มีพระคุณมาก มันทำให้ไม่บ้า ไม่งั้นมันจะเป็นบ้ากันหมด ถ้ากิเลสคือไฟเผาอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นบ้าเดี๋ยวก็ตายหมดแหละ ที่ไม่เป็นบ้า และไม่ตาย นี่เพราะพระนิพพานชนิดนี้คุ้มกะลาหัวไว้ ขออภัย พูดให้หยาบคาย มันจำง่าย มันลืมยาก พระนิพพานชนิดนี้มันคุ้มไว้ มันจึงไม่เป็นบ้า มันจึงนอนหลับสนิท แล้วมันชีวิตมันรอดอยู่ได้ ขอให้ขอบพระคุณพระนิพพานชนิดนี้ แม้ชั่วคราว ชั่วคราวชั่วขณะ เรียกว่า สามายิตะนิพพาน (06.12) ด้วยกันจงทุกคนนี้ ก็เป็นเรื่องใหม่
ทีนี้ จะพูดถึง เรื่องที่มันใหม่ไปอีก ใหม่กว่าเรื่องนี้ ต่อไปอีก ที่จะต้องรู้ จะต้องรู้จัก คือขอให้รู้จักพระรัตนตรัย ให้มากขึ้นไป ให้ยิ่งขึ้นไป ให้ดีขึ้นไป ให้ลึกซึ้งขึ้นไปกว่าปีเก่า ขอให้รู้จักพระรัตนตรัยให้มากกว่าปีเก่า ดีกว่าปีเก่า ลึกกว่าปีเก่า ได้รับประโยชน์มากกว่าปีเก่า นี่เป็นเรื่องเรียกว่า เบื้องต้นน่ะ หญ้าปากคอกที่สุดน่ะ พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่คนเป็นอันมากยัง ไม่รู้จักโดยแท้จริง ยังไม่รู้จักถึงที่สุด และส่วนใหญ่ก็รู้จักแต่ปากว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ” นกแก้วนกขุนทอง มันก็ว่าได้ ถ้าจะเปรียบสักหน่อย อัด อัด อัดบันทึกเสียงไว้เปิดให้มันทั้งวัน ทั้งวันก็ได้ แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ขอให้รู้ความหมายโดยแท้จริง ของคำว่าพระรัตนตรัย และเห็นอยู่ว่ามีอยู่อย่างนั้นจริงๆ แล้วก็พอใจ ดีใจ มีศรัทธา มีความเลื่อมใส มีการปฏิบัติที่สูงขึ้นไปเพราะรู้จักพระรัตนตรัยที่แท้จริง นี่ช่วยฟังให้ดีๆ ลูกเด็กๆทั้งหลาย นักเรียนก็ดูเหมือนจะมี ในวันนี้ รู้จักพระรัตนตรัยให้ยิ่งกว่าที่ครูสอน ในโรงเรียนนั่นน่ะ มัน ก.ข.กอกา มากเกินไป รู้จักพระรัตนตรัยตัวจริงกันเสียบ้าง ที่ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่าที่สวดกันอยู่ตามศาลาวัดนั้นก็ยังเด็กเกินไป ยังไม่เพียงพอ ยังต้องรู้จักให้มากกว่านั้น รู้จักพระพุทธ รู้จักพระธรรม รู้จักพระสงฆ์ ให้มากกว่านั้น
เมื่อคืนนี้ก็พูดกรอกหูพวกฝรั่งด้วยเรื่องนี้เหมือนกันแหละว่า คุณมาหลายหนแล้ว คุณจงรู้จักพระรัตนตรัยให้ถูกต้องและให้ถึงที่สุด ขอให้ฟังให้ดีว่า พระรัตนตรัย แท้จริงนั้นอย่างไร
พระรัตนตรัยนั้นเป็นของโลก เป็นของจักรวาล ไม่ใช่ของพวกพุทธบริษัทเพียงไม่กี่คน ไม่ใช่ของพระเทศไทย ไม่ใช่ของประเทศอินเดีย เป็นของจักรวาลทั้งหมดทั้งโลกที่มีชีวิต เป็นของจักรวาล พระรัตนตรัยต้องมีในจักรวาล ถ้าไม่มีในจักรวาลมันจะแตกสลายไม่มีเหลือ เอ้า, ฟังให้ดีว่า พระพุทธคืออะไร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร
พระพุทธคือ ผู้ที่รู้ สิ่งที่มนุษย์ต้องรู้ สิ่งใดที่มนุษย์ต้องรู้เพื่อความรอดของมนุษย์แล้ว ต้องมีผู้รู้และสอน ผู้นั้นแหละคือพระพุทธเจ้า รู้เรื่องทั้งหมดที่จะช่วยจักรวาลไว้ได้ นี่คือพระพุทธป็นของจักรวาล อย่ามาของกู ของกูที่นี่เพียงไม่กี่คน มันจะโง่นั่น มันเป็นของจักรวาล ผู้ที่รู้สิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้ นั่นคือ พระพุทธเจ้า ก็ต้องมีอยู่ในจักรวาล
พระธรรม คือความรู้ และการปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติเรื่องนั้นแหละ เรื่องที่พระพุทธเจ้ารู้และสอน นั่นแหละ เรียกว่าพระธรรม ต้องมีในจักรวาล ถ้าไม่มีแล้วในจักรวาลจะสลาย จะไม่มีอะไรเหลือ
เอ้า, ทีนี้ พระสงฆ์ พระสงฆ์ …….(เสียงขาดหาย)
10.13 – 11.25 เสียงขาดหาย
10.56
มีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์
ทำไมจะรู้จักมีเพียงแต่ ทีนี่ มีแต่เมืองไทยมีแต่…..เป็นของจักรวาล ขอให้รู้จัก
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของจักรวาล ทีนี้ อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า พระพุทธเจ้านี่ ยังมีเป็นชั้นๆ พระพุทธเจ้า ……11.22
11.25
พระพุทธเจ้าในภาษาคน ก็มี พระพุทธเจ้าในภาษาคนน่ะ ชื่อ สิทธัตถะ โอรสพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางมายา เกิดที่อินเดีย เมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว นี่พระพุทธเจ้าในภาษาคน พระพุทธเจ้าอย่างคน ไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่แท้จริง นี่บอกอย่างนี้ เพราะพระพุทธเจ้าเอง ท่านได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ใดเห็นฉัน ผู้นั้นเห็นธรรมะ ถ้าไม่เห็นธรรมมะ แม้แต่จับจีวรฉันไว้ก็ไม่ชื่อว่าเห็นฉัน พระองค์ปฏิเสธร่างกายนี้ว่า ไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะนั้น พระพุทธเจ้า มันต้องเห็นธรรมะนั้น จึงจะเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง เห็นธรรมะ เห็นที่ไหน มีตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม เห็นธรรมนี่แหละคือ เห็นฉัน แต่พวกเราไม่สนใจ ปฏิจจสมุปบาท ที่นั่งอยู่ที่นี่ดูจะไม่มีใครสนใจ แต่ว่าฝรั่งมาเรียนทุกเดือน มาเรียนทุกเดือน ทุกเดือน เรียนเรื่องปฏิจจสมุปบาท และปฏิบัติทางอานาปานสติ นี่พวกฝรั่งมันจะข้ามหัวไปนั่น ขอพูดอย่างนี้ดีกว่า ระวังให้ดี เมื่อฝรั่งเรียนเขาอยู่ทุกเดือนๆ นั้นน่ะเราไม่สนใจกันเลย ว่า ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร
คำว่า ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ การที่ความทุกข์อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นอย่างไร อาการที่ความทุกข์อาศัยปัจจัยแล้วดับลงอย่างไร ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับลงอย่างไร นั่นแหละ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นฉัน เห็นเรา เห็นตถาคต ต้องเห็นปฏิจจสมุปบาท จึงจะชื่อว่าเห็นธรรม และเห็นพระตถาคตจริงๆ เห็นแต่เนื้อแต่ตัวเป็นคนนั้นน่ะไม่พอหรอก ยิ่งเห็นเพียงพระพุทธรูป เห็นเพียงพระธาตุ นั้นยิ่งไกลออกไปใหญ่เลย เห็นตัวจริงในอินเดียยังไม่พอ เพราะมันไม่รู้ธรรมะ คนเป็นอันมากในอินเดีย มากมายมหาศาลนั้นน่ะ เดินสวนทางกันกับพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ยังไม่รู้จัก ยังไม่เลื่อมใส ไปทุกคน พูดได้ว่า ที่มันพอใจเลื่อมใสในพุทธศาสนานั้นมีน้อยกว่ามาก ที่มันไม่เลื่อมใส มันมีมากว่า เพราะมันมีอีกหลายลัทธิ หลาย ๑๐ ลัทธิที่สอนเป็นอย่างอื่น เขาก็มีสาวกมากมายเหมือนกัน แสดงว่าในอินเดียนั้นน่ะ คนเป็นอันมากก็ไม่ได้รู้จักพระพุทธเจ้าแม้จะเดินสวนทางกัน มีกว่านั้นอีกก็ยังว่า อิจฉาริษยา ลัทธิอื่นเขาอิจฉาริษยา คิดจะทำลายพุทธศาสนา ทำลายพระพุทธองค์ นี่ก็ยิ่งไม่เห็น ยังมีกว่านั้นอีกก็คือ พวกผู้หญิงทั้งหลายน่ะ เขายกโขยงมาชี้หน้าด่าพระพุทธเจ้าว่า ไอ้คนดีแต่ทำให้คนเป็นหม้าย เอากะมันซิ ผู้หญิงทั้งหลายไปด่าพระพุทธเจ้าว่า ดีแต่ทำให้คนเป็นหม้าย มาทำให้ผัวออกไปบวชกันหมด เมียมันเป็นหม้าย พระพุทธเจ้าถูกด่าอย่างนี้ อย่างนี้จะเรียกว่า ในอินเดียนั้น คนรู้จักพระพุทธเจ้าได้อย่างไร มันไม่เห็นธรรมะ มันไม่รู้ธรรมะ ถ้ามันเห็น ปฏิจจสมุปบาท แล้วมันจะทำอย่างนั้นไม่ได้
ขอให้เข้าใจดีๆว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริงหรือ เนื้อแท้แล้วมันอยู่ลึกเข้าไป อยู่ลึกเข้าไป ต้องเห็นทางเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ดับลงแห่งทุกข์ จึงจะชื่อว่าเห็น ปฏิจจสมุปบาท แล้วก็เห็น พระพุทธเจ้า
เอ้า, ทีนี้จะขอพูดอีกสักหน่อยว่า อย่าโง่ อย่าโง่ กว่าพวกมหายาน พวกมหายานรู้เรื่องนี้ เขารู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นอมิตายุ เป็นอมิตาภะ พระพุทธเจ้าที่มีอายุไม่จำกัด มีแสงสว่างไม่จำกัด ไม่มีเกิดไม่มีตายไม่มีดับ ไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพานอะไรหมด เพราะมันอยู่ตลอดกาล นั่นแหละพระพุทธเจ้า อมินภะ อมิตายุ พวกมหายานเขาสอนเรื่องนี้ พวกเถรวาท ยังงมโข่งอยู่ ยังไม่รู้ ขอให้รู้เถิด พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้นะ ว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นฉัน
ทีนี้องค์ของปฏิจจสมุปบาท นั้นมันเป็นกฎของธรมชาติ เป็นความจริงของธรรมชาติ มีอยู่ตลอดไป เลยไม่จำกัดอายุ เป็นแสงสว่างตลอดกาล ไม่จำกัดแสงสว่างนั้นเป็น อมิตาภะ พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสสอนเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่โดยชื่ออย่างนี้ พวกเรามันโง่เอง พวกเถรวาทมันโง่เอง แล้วมันก็ไปด่าพวกมหายานว่า เอาอะไรไม่รู้มาสอน พระพุทธเจ้า อมิตาภะ พระพุทธเจ้า อมิตายุ ไม่รู้จัก
ก็มันโง่เอา แล้วมันจะรู้จักหรือ
ขอให้รู้จัก กฎแห่งปฏิจจสมุปบาท อันนี้คือองค์พระพุทธเจ้า นี่แหละ อยู่ตลอดเวลา นิรันดร ไม่ต้องประสูติ ไม่ต้องตรัสรู้ ไม่ต้องนิพพาน มีอยู่นิรันดร เป็นแสงสว่างนิรันดร เรียกว่า อมิตาภะ อมิตายุ “อมิตะ” แปลว่า คำนวนไม่ได้ “อาภะ” แปลว่า แสงสว่าง “อมิตาภะ” แปลว่ามีแสงสว่างที่คำนวนไม่ได้ “อมิตายุ” ก็มีอายุที่คำนวนไม่ได้ นิรันดร ไม่มีเกิด ไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน เป็นแสงสว่างอยู่เอง ตลอดนิรันดร นี่พระพุทธเจ้าองค์นี้รู้จักหรือยัง ถ้ายังไม่รู้จักก็ยังโง่ ยังบรมโง่ ยิ่งกว่าพวกมหายาน ที่เขารู้ และเขาสอนกันอยู่เรื่อง อมิตาภะ อมิตายุ และยังสอนว่าเป็นที่เกิดแห่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และพระพุทธเจ้าอีกกี่ร้อย กี่พันองค์ก็ตามแหละ นั่นจะเกิดมาจากพระพุทธเจ้า อมิตาภะ อมิตายุ ทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าองค์นิรันดรนั่นน่ะ
พระพุทธเจ้าองค์นี้ก็ได้ตรัสไว้ กฎปฏิจจสมุปบาท นั่นล่ะคือฉัน คือธรรมะ คือฉัน แต่เรานั้นมันไม่รู้เอง ฉะนั้นขอให้รู้ แล้วก็จะพบกับพระพุทธเจ้าองค์ที่ไม่ต้อง ประสูติ ไม่ต้องตรัสรู้ ไม่ต้องนิพพาน แต่เป็นอยู่โดยแสงสว่างตลอดนิรันดร
ท่านทั้งหลายคงอยากจะได้ยินมามากแล้วว่า พระพุทธเจ้ามี ๘ องค์ มี ๒๔ องค์ มี เป็นทั้ง ๑๐๘ องค์ หลายร้อยองค์ มีพระพุทธเจ้ามากมาย แต่ว่า ทุกองค์เกิดมาจาก องค์เดิม องค์ที่ไม่รู้จัก ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน นั่นแหละ รู้จักพระพุทธเจ้าต้นตอ แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็จะรู้จักพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง กฎแห่งปฏิจจสมุปบาท ว่า ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับไปอย่างไร นี่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท สอนพวกฝรั่งทุกเดือน และให้ปฏิบัติอานาปานสติ เพื่อรักษากระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ให้มันถูกต้อง ระวังให้ดี อย่าให้ล้าหลัง
แต่มีเกร็ดที่จะบอก ให้รู้อีกทีหนึ่งว่า แม้คำสอนเรื่อง อมิตาภะ อมิตายุ ของมหายานนั้นน่ะ มันก็เริ่มถอยหลัง เริ่มงมงาย จนไม่รู้ ไม่รู้ตามที่เป็นจริงเหมือนกันแหละ พวกมหายานก็ไม่กี่คนหรอก ไม่กี่คนหรอก ที่รู้เรื่องนี้ มันมหายานแบบ งมงายมากมาย เป็นอาซิ้มตามโรงเจ แต่ก็ยังดีที่เค้ายังรู้จักคำว่า อมิตาภะ อมิตายุ พวกอาซิ้มจะสวดมนต์ว่า (19.39)นาโม อามีทาฮุก นาโม อามีทาฮุก ก็หมายความว่า อมิตาภะ อมิตาภะ นั่นแหละ พวกอาซิ้มเหล่านั้นเชื่อว่า ถ้าสวดออกชื่อพระพุทธเจ้า อมิตาภะ ๘ หมื่น ครั้งแล้วพอๆ รอดๆๆ พอไม่สบายเจ็บไข้ แล้วรถมารออยู่บนหลังคา เทวดาเอารถมารออยู่บนหลังคา พอดับจิต ก็ขึ้นรถไปสู่สุขาวดี เพราะว่ารู้จักอมิตาภะ ข้อนี้มันก็น่าหัวเหมือนกันแหละ สวดอมิตาภะ ๘ หมื่นครั้ง มันมีความจริงว่า ถ้าเขาสวดตั้ง ๘ หมื่นครั้ง เขาจะคงรู้จักความจริงได้ว่า อมิตาภะ นั้นคืออะไร อมิตาภะ คืออะไร คือสิ่งที่ไม่ต้อง ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน มีตลอด อนันตกาล อาจจะรู้ได้ ถ้ามันพูดตั้ง ๘ หมื่นครั้ง แล้วมันคิดอยู่เสมอ มันอาจจะรู้ได้ แต่ถ้าไม่รู้ได้ก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่องศีลธรรม มีจิตใจดีพร้อม ที่จะไปสวรรค์ ที่ชลบุรี อาซิ้มคนหนึ่งมานั่งคุยกับอาตมาหลายชั่วโมงเรื่องนี้แหละ เขายินดีที่สุดที่จะมี อมิตาภะ
พวกเซน ไม่ใช่ ไม่ใช่มหายาน อย่าโง่ไปว่า พวกเซน เป็นมหายาน พวกเซนน่ะมันคัดค้านมหายาน อธิบายมหายานเสียใหม่ ว่า อมิตาภะ นี่คือจิตเดิมแท้ จิตที่ไม่มีกิเลส จิตที่ไม่ประกอบอยู่ด้วยกิเลส จิตนิรันดร จิตนั้นแหละ เรียกว่าจิตเดิมแท้ นั่นแหละ อมิตาภะ อมิตายุ พวกมหายาน เรียกอมิตาภะ อมิตายุ ก็ตามใจ ฉันเรียกว่า จิตเดิมแท้ (21.21)????? เรียกว่าความว่าง นิรันดร นั่นแหละ อมิตาภะ อมิตายุ เขารู้กันถึงอย่างนี้ เรายังไม่รู้
ฉะนั้นขอให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือ กฎปฏิจจสมุปบาท ว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับลงไปอย่างไร เห็นอันนั้นแหละ เห็นธรรมะ เห็นธรรมะจะเห็นฉัน
ทีนี้ กฎปฏิจจสมุปบาทนั้นมีอยู่ที่ไหน เออ, ต่อไปอีกซิ ถ้าจะอยากเห็นกฎปฏิจจสมุปบาท คือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง นี่จะไปเห็นที่ไหน นี่จะโง่บรมโง่อีกทีหนึ่ง พระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือ กฎปฏิจจสมุปบาทนั้น “มันอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเอง” คุณมีความโง่มากจนเกิดเป็นม่านบังขึ้นมา พระพุทธเจ้าพระองค์จริง หรือ กฎของปฏิจจสมุปบาทนั้นอยู่ที่หลังม่านตรงนั้นแหละ มีรูปภาพอยู่ในตึกนี้ ประตูนู่นเข้าทางซ้ายมือ ภาพแรกน่ะ พระพุทธเจ้าอยู่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ ถ้าคุณยังมีม่านแห่งความโง่อยู่ คุณก็ไม่พบพระพุทธเจ้า มันบังเสีย หาม่านแห่งความโง่ให้พบ แล้วแหวกออกไปสักนิดหนึ่ง โอ้, พระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปหาที่วัด ไม่ต้องไปหาที่อินเดีย ไม่ต้องไปหาที่ไหน
หาที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ มีใคร บรรดาคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครไม่มีความโง่มือทีวะ, ใครไม่มีความโง่ทั้งหมดนี่ ใครไม่มีความโง่ หืม, เอ้า, ไม่มีใครยก เห็นไหม มันต้องมีความโง่ ดีแล้วแหละ ม่านแห่งความโง่หลังนั้นน่ะ มีพระพุทธเจ้าอยู่ นี่สาวทิ้งไปเสีย ฟันเสีย ไฟเผาเสีย ให้ม่านแห่งความโง่มันหมดไป อยากน้อยที่สุดก็แหวกไปสักนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้าจะนั่งปุก อยู่ที่ตรงนี้เอง(/หัวเราะ/)
นี่ ความรู้นี้ใหม่หรือไม่ใหม่ ปีใหม่ หรือไม่ปีใหม่ ความรู้นี้ ใหม่หรือไม่ใหม่ (/หัวเราะ/) ถ้าใหม่ก็ควรจะดีใจว่าเราได้รู้เรื่องใหม่ เพิ่มขึ้นในฐานะปีใหม่ ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของเรา เป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า กฎปฏิจจสมุปบาท เป็นนิรันดร เป็น อมิตาภะ เป็น อมิตายุ เป็นกฎธรรมะ ที่ว่ามนุษย์คนใดรู้กฎนี้แล้ว คนนั้นก็เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล ใครรู้จักกฎอันนี้ก็จะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล พระพุทธเจ้าอย่างบุคคลจึงเกิดขึ้นมาก หลายสิบ หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นเพราะรู้กฎอันนี้ เดี๋ยวนี้เรานี่แหละ จะเป็นผู้รู้กฎอันนี้ จะรู้จักพระพุทธเจ้าแท้จริง นิรันดร คือ กฎปฏิจจสมุปบาท
ขอให้เป็นของใหม่ พอท่านฟังเรื่องนี้ถูก ท่านก็จะได้ โอ้, พระพุทธเจ้านี้ ไม่ใช่ของเราคนเดียว ของจักรวาล ของทั้งหมด ทั้งสิ้น มีอยู่ทั่วจักรวาล ทั้งหมดทั้งสิ้นนั่น หายโง่ไปเท่าไร เอ้า, คงจะกว่า ๓๐ % (/หัวเราะ/)
ที่นี้พระธรรมล่ะ พระธรรม ไอ้ตัวกฎปฏิจจสมุปบาท นั่นล่ะ เป็นพระธรรม เป็นความจริง เป็นกฎความจริงของธรรมชาติ เป็นกฎอันเด็ดขาดของธรรมชาติ เป็นกฎของจักรวาล ตัวปฏิจจสมุปบาทนั้นเอง เป็นพระธรรม เป็นพระธรรม ที่มนุษย์ควรจะรู้ และปฏิบัติเอา หายโง่ขึ้นมาอีก ๓๐%
ทีนี้พระสงฆ์ล่ะ พระสงฆ์อยู่ที่ไหนล่ะ ใครรู้เรื่องนี้ ปฏิบัติให้ได้ ดับความทุกข์ให้ได้นั้นล่ะ เป็นพระสงฆ์ เราก็มีส่วนที่จะปฏิบัติได้ พอรู้เรื่องนี้เข้ามาก็ ก็รู้ หายโง่อีก ๓๐%ใน ๑๐๐% น่ะใช้ได้แล้ว ใช้ได้แล้ว มันรู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดีแล้ว นี่ของใหม่ ใหม่หรือไม่ใหม่เล่า คิดดูสิ เคยได้ยินได้ฟังแต่ก่อนที่ไหนล่ะ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังแต่ก่อน ก็ต้องถือว่าเป็นของใหม่ ขอให้ท่านทั้งหลายรู้เรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงว่า มันประจำจักรวาล และตลอดนิรันดร ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ตลอดนิรันดร จักรวาลมันจะไปอยู่นิรันดรเท่าไร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่คู่กันเป็นนิรันดร เป็นของจักรวาล เป็นของโลกทั้งหมด ไม่ใช่ของพุทธบริษัทพวกเดียว พุทธบริษัทโง่ๆเท่านั้น ที่จะพูดว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของ พุทธบริษัทพวกเดียว มีแต่เมืองไทย มีแต่อินเดีย นี่มันไม่ถูกหรอก มันของจักรวาล และเป็นนิรันดร ไม่จำกัดเวลา ตลอดกาล นิรันดร ที่แล้วมาก็ไม่รู้ว่าเท่าไร ต่อไปข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าอีกเท่าไร คือมัน นิรันดร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของนิรันดร
นั่นแหละ พระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์ธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นฉัน พระพุทธเจ้าองค์ธรรมนี่แหละ ใครไปเห็นเข้าคนนั้นก็จะเป็นพระพุทธเจ้า อย่างมนุษย์ อย่างบุคคล พระสิทธัตถะ โอรสพระเจ้าสุทโธทนะ ก็เป็นองค์หนึ่งในหลายๆร้อยองค์พันองค์ ที่ได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล ก็ได้เห็นพระพุทธเจ้าอย่างธรรมะ คือตรัสรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ค้นคว้าแต่เรื่องปฏิจจสมุปบาท ไปเรียนในสำนักต่างๆ มันไม่สอนเรื่องนี้ ท่านก็ทิ้งหมด ละเลิกไปหมด ครั้งสุดท้าย อุทกดาบส อาฬารดาบส ไม่ได้สอนเรื่องนี้ สอนแต่เรื่อง หมกอยู่ใน (27.03)วนสัญญา อาน สัญญา ท่านก็ไม่เอา ท่านมีอตัมยตา ละออกมาเสียจากลัทธินั้น มาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า เพราะเห็นปฏิจจสมุปบาท ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเพราะท่านตรัสรู้ ปฏิจจสมุปบาท (27.21)ท่านว่านี้เป็น อาทิพรหมจรรย์ ท่านเอามาท่องอยู่บ่อยๆ เหมือนกับเด็กๆเล็กๆมัน ท่องสูตรคูณ กันลืม ในพระบาลีมีว่า พระพุทธเจ้าเอาสูตรปฏิจจสมุปบาทนี้ มา สาธยาย เรียกว่า ท่องอยู่พระองค์เดียว คิดว่าไม่มีใครอยู่ ท่านก็ท่อง อย่างนี้ (27.40-27.50 จ คุณ จ ปฏิจรูเป จ อุปัจจติ วิญญานัง.. กสังปัตติ ปัสโส ปัจจปัจฉยา เวทนา เวทนาปัจฉยา ฟังไม่ทัน) เรื่อยไปนี่ นั่นแหละ เรื่องปฏิจจสมุปบาท มันมีความพิเศษมากถึงอย่างนั้น ทำให้คนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังเอามาสาธยายอีก นี่มันสำคัญถึงขนาดนี้ พวกคุณระวังให้ดี เมื่อพวกฝรั่งเขาอุตส่าห์เรียนทุกเดือน ทุกเดือน นี่จะข้ามหัวพวกคุณไป เป็นห่วงอยู่อย่างนี้แหละ ขอให้รู้จักพระพุทธเจ้าองค์ปฏิจจสมุปบาทเถิด จะรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม พระองค์เนื้อ พระองค์แท้ พระองค์ในพระองค์จริง ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดพระพุทธเจ้าอย่างพระองค์คน พระองค์บุคคลอีกมากมาย มหาศาล นี่ใหม่ หรือไม่ใหม่ ความรู้อันนี้ ข้อความอันนี้ใหม่หรือไม่ใหม่ ถ้ามันใหม่ก็ดีใจ ขอแสดงความยินดีว่าท่านทั้งหลายได้รับความรู้ อันใหม่ ได้รับความรู้อันใหม่ สมกับที่ว่ามันเป็นปีใหม่ ได้รู้เรื่องใหม่ รู้พระพุทธเจ้าพระองค์จริง เรียกเป็นบาลีว่า อมิตาภะ ผู้มีแสงสว่างไม่จำกัด เรียกว่า อมิตายุ มีอายุไม่จำกัด มันเป็นนิรันดร ขอให้รู้จักว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นนิรันดร เป็นนิรันดร และไม่จำกัดที่ ว่าอยู่ที่ไหน มีอยู่ทั่วไปในทุกหนทุกแห่ง นี่พระพุทธเจ้าที่เราควรจะรู้
รู้ต่อจากพระพุทธเจ้า ที่เป็นบุคคล ที่เล่าเรียนกันนักหนา แล้วไม่รู้ ปฏิจจสมุปบาท นี่มันไม่ไหวแล้ว มันต้องรู้ไปถึงใจความต้นตอที่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท ขอให้สนใจ ขอให้ไปศึกษาเล่าเรียน ให้รู้เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แล้วจะควบคุมความทุกข์ได้ ไม่เกิดความทุกข์ เรื่องปฏิจจสมุปบาท นี่สอนเรื่องไม่มีตัวตน มันมีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ปรุงแต่งกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีตัวตนที่ตรงไหน มีแต่กระแสแห่งเหตุ แห่งปัจจัยปรุงแต่งกันไปอย่างนั้นแหละ ข้อนี้ลึก ลึกๆ ลึกกว่าวิทยาศาสตร์ที่เขาเรียนกันอยู่ในโลกอีก ร้อยเท่า พันเท่า ถ้าเอาอย่างนี้มาเปรียบเทียบแล้ว วิทยาศาตร์ในโลกปัจจุบันนี้เป็นเด็กอมมือ มันไม่รู้ ไม่รู้วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงคือ ปฏิจจสมุปบาท ขอให้รู้ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก ถึงกันเข้าแล้ว ก็เกิดวิญญาณ ทั้ง ๓ ประการ คือ วิญญาณในอายตนะภายใน ภายนอกถึงกันอยู่ เรียกว่า ผัสสะ เมื่อมีผัสสะ ก็มีเวทนา มีเวทนาก็มีตัณหา ตัณหา ก็มีอุปทาน ก็มีภพ มีชาติ มีทุกข์ทั้งปวง เนี่ย มันมีจริงอยู่อย่างนี้ อยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของพวกคุณ รวมทั้งอาตมาด้วย (/หัวเราะ/) ปฏิจจสมุปบาท นี่มันอยู่หลังม่านแห่งความโง่ของเรา รู้เสียเถิด สอนเรื่อง อนัตตา เรื่องไม่มีตัวตน ถ้ารู้จักตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็รู้จักว่า ตา ก็มิใช่ตน มันเป็นธรรมชาติ มันมีระบบประสาทเห็นได้ หูก็มิใช่ตัวกู มันเป็นตามธรรมชาติ มันได้ยินได้ ไม่ต้องมี อัตตา จมูกก็เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมีตัวกู มันก็ดมกลิ่นได้ ลิ้นมันก็เป็นธรรมชาติ มันรู้รสได้ โดยไม่ต้องเป็นตัวกู ผิวหนังร่างกาย ก็ไม่ต้องเป็นตัวกู มันก็รู้ สัมผัสได้ ใจ มันก็ไม่ต้องเป็นตัวกู เป็นใจ เป็นธรรมชาติ เรียกว่า ใจไม่ต้องเป็นตัวกู ก็คิดนึกได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ตัวกู เลิกโง่ อย่าเอาตาเป็นตัวกู ถ้าตาเห็นรูป ก็ว่าตาเห็นรูป อย่าว่ากูเห็นรูป มันจะโง่น่ะ ช่วยฟังให้ดีๆ เมื่อตาเห็นรูป ให้รู้ว่าตาเห็นรูป ไม่ใช่กูเห็น อย่างนี้มันกูเห็นไปหมดนี่ พอได้ฟังเสียงก็ กูได้ยินเสียง มันไม่ใช่ หูได้ยิน จมูกได้กลิ่นก็ กูได้กลิ่นอีกแล้ว มันไม่ใช่จมูกได้กลิ่น สอนเป็นเรื่องของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามธรรมชาติ อย่าเป็นกู กูๆๆๆ เห็น ได้ยินได้ฟัง นั้นเลย นี่ ความรู้เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท จะสอนให้อย่างนี้
ทีนี้ไอ้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ ข้างนอกที่เข้ามาสัมผัส ตา หู นั้นก็ ธรรมชาติ ธรรมชาติๆ อย่างนี้ อย่าเอามาเป็นของกู อย่าเป็นรูปของกู เสียงของกู จมูกก็ กลิ่นของกู อะไรของกู ทีนี้พอมา ๒ อย่างนี้มาถึงกันเข้า อายตนะภายในภายนอก เรียกว่า วิญญาณ ก็ให้เป็น วิญญาณของธรรมชาติ อย่าวิญญาณของกู อย่าเอาวิญญาณ มาเป็นตัวกูเลย คำสอนผิดๆในโลกนี้ มันก็มี เอาวิญญาณมาเป็นตัวกู อย่าไปออกชื่อเขาเลย เราไม่ต้องพูดร้ายให้ใคร แต่มีพวก พวกหนึ่งที่เอาวิญญาณเป็นตัวตน วิญญาณมาทำหน้าที่ทางตา ทางหู ทางจมูก นี่มันพวกนั้นว่า พวกนี้ไม่ว่า ตามีระบบประสาทตา เห็นรูปได้เอง หูมีระบบประสาท หูได้ยินได้เอง จมูกมีระบบประสาท จมูกดมกลิ่นได้เอง จึงเป็นว่า มันมีแต่กาย กับ ใจ ไม่ต้องมีตัวกู เป็นสิ่งที่ ๓ หรอก ไอ้ฝ่ายเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ทำหน้าที่รู้สึกได้เอง ไม่ต้องมีสิ่งที่ ๓ เข้ามาช่วย
ความลับที่สุดมันมีอยู่ว่า มันมีระบบประสาท ตั้งอาศัยอยู่ที่กาย แล้วก็รับใช้จิตใจ จิตใจอาศัยระบบประสาท จึงรู้สึกได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ต้องมีอัตตา ตัวตนที่ไหน นี่หัวใจ พระพุทธศาสนา อยู่ที่ตรงนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิใช่ตัวตน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ มิใช่ของตน วิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะ อายตนะ เช่นนี้ก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของตน ผัสสะที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้ ก็เป็นธรรมชาติ ปรุงแต่งตามธรรมชาติเป็นอาการของปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่ตัวตน ผัสสะ ไม่ใช่ตัวตน ให้เกิดเวทนาขึ้นมา เวทนา ก็ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติ มีรากฐานอยู่ที่ระบบประสาท เวทนาเกิดความอยาก อย่าโง่เขลา ไอ้ตัณหามันก็ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นไอ้ความรู้สึกของความโง่ของจิต ที่มันโง่ จิตนี้มันถูกหลอกถูกลวง โดยระบบประสาท ทำให้เข้าใจไปว่า อย่างนั้น ๆ อย่างนู้น ระบบประสาทมันหลอกลวงให้จิตมันโง่ นี่ถือเป็นอวิชชาไปยึดถือเป็นตัวตนไปหมด ให้รู้จักกันให้ดีเถิดว่า ตัณหาก็มิใช่ตัวตน อุปปาทานก็ยิ่งเป็นลมๆแล้งๆ เป็นลูกหลอกลูกหลงที่สุดเลย ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตน ถ้าเห็นได้อยากนี้จะดีมาก คนที่เห็นได้รู้สึกได้ว่า ไอ้ความทุกข์ไม่ใช่มีตัวตนที่มีอยู่จริง คนนั้นน่ะฉลาดที่สุด ทำให้ความทุกข์ไม่ใช่ตัวตน เป็นของว่างไปเสีย ไม่ต้องดับทุกข์ ทุกข์มันดับเอง ฉลาดกี่มากน้อย พวกนี้มันไม่ฉลาด มันก็ต้องต่อสู้ความทุกข์ เอาไม้สั้นไปรันขี้ หน้าเลอะหมด ถ้าไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีอาการอย่างนี้ ไม่ต้องยุ่งยากลำบาก เพราะว่ามันทำให้ทุกข์นี่ เป็นของไม่ใช่ตัวตนแล้วว่างไปเสีย ว่างจากตัวตนไปตั้งแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่างจากตัวตนไปตั้งแต่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ ว่างไปเสียตั้งแต่จาก จักษุวิญญาณ โสตะวิญญาณ (35.53)ทานะวิญญาณ วิญญาณทั้งหลาย ว่างจากตัวตน ผัสสะ เกิดมาจากสิ่งนี้ก็ว่าง เวทนาเกิดมาจากสิ่งนี้ก็ว่าง ว่างๆ หมดเลย ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์นั่นแหละ
เรื่องของปฏิจจสมุปบาท โดยครบถ้วน โดยสมบูรณ์ โดยสิ้นเชิง พยายามเรียนให้รู้ แล้วปฏิบัติให้ได้ ควบคุมจิตไว้ให้ได้ ลักษณะอย่างนี้ ท่านก็จะมีพระพุทธเจ้าอยู่กับท่าน หรือกล้าพูดได้ว่า ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองก็มี ปฏิจจสมุปบาท เข้ามาสิงสถิตอยู่ในจิตใจนี้ ก็ไม่มีความทุกข์เหลือ เรื่องมันก็จบ
ขอให้ความรู้อันนี้ เป็นความรู้ใหม่ สำหรับปีนี้ ว่ามันไม่มีสิ่งที่เป็นตน มันมีสิ่งที่เป็นธาตุ ตามธรรมชาติ มันปรุงแต่ง แล้วมันหลอกโดยระบบประสาท มันเข้าใจผิด มันโง่ มันหลอกจิต ให้โง่ มันมีร่างกาย กับจิตใจ ๒ อย่าง ๒ ระบบ มันทำผิดของมันเอง มีระบบประสาทเรียกว่า เจตสิก ระบบเจตสิก นี่มันอยู่กับใจ อยู่กับจิต นับเป็น ๒ ระบบ ก็คือ ก็พอ คือ ระบบกาย กับระบบจิต นี่ระบบเจตสิก หรือระบบประสาทไว้กับจิต มันเหลือแต่ กายกับจิต มันมีระบบประสาท ทำให้โง่ ทำให้หลงอยู่เสมอ เป็นสวย เป็นไม่สวย เป็นน่ารัก เป็นไพเราะ ไม่ไพเราะ อร่อย ไม่อร่อย นี่เป็นเรื่องหลอก ของระบบประสาท มันหลอกจิตให้หลง โดยธรรมชาติแล้ว ไม่เป็นอะไรเลย เป็นแต่กระแสของปฏิจจสมุปบาท ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าดี ว่าชั่ว ว่าบุญ ว่าบาป ว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าอร่อยไม่อร่อย สวยไม่สวย งามไม่งาม ไม่ทั้งนั้นแหละ คือว่างจากความหมายแห่งตัวตน
เอาล่ะพอแล้ว มันใหม่มากเกินไปแล้ว กลัวจะรับไปไม่ไหว นี่ ใหม่ ความรู้ใหม่ ขอให้เป็นสิ่งใหม่ เกิดขึ้นมาในใจใหม่ แล้วปีนี้ก็จะเป็นปีใหม่ สำหรับท่านทั้งหลาย นี่คือ คำอนุโมทนาโดยภาษาไทย ฝากให้เป็นของขวัญปีใหม่ ให้รู้เพิ่มขึ้นกว่าปีเก่า แล้วเราก็จะมีความจริง ที่ว่าเรามีปีใหม่ มีอะไรใหม่ เลื่อนชั้นขึ้นไป เลื่อนชั้นขึ้นไป ไปหาพระพุทธเจ้า พระองค์จริง คือพระองค์ธรรม ตามหลังพระพุทธเจ้าพระองค์บุคคลนี้ไป ไปๆ ไปหาพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ถึงเมื่อไร ก็เรื่องก็จบล่ะ ขอให้สนใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์ธรรม เห็นแล้วก็ดับทุกข์ อยู่เหนือทุกข์โดยประการทั้งปวง
เวลาก็สมควรแล้ว เกี่ยวกับอนุโมทนา ขอยุติการอนุโมทนาเป็นภาษาไทย ต่อนี้ไปก็จะ อนุโมทนาเป็นภาษาบาลีตามธรรมเนียม
(39.13 – 39.54 เป็นสำเนียงใต้)
เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันลึกซึ้งจนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เข้าใจนี่ ไว้พูดกันวันหลัง อีกกี่ครั้งกี่คราวก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ ฉันก็ไม่กลัวเหนื่อย พูดได้เรื่อยไป ถ้าเป็นเรื่องนี้ ไว้พูดกันวันหลังอีกก็ได้ เวลานี้ไม่มีแรง แม้แต่จะถือบาตร รับบาตร ไม่มีแรง ขอกลับไปก่อน ใส่ให้ในบาตรนี้สักบาทหนึ่งก็แล้วกัน ไม่มีแรงที่จะถือบาตรเลย
?????(39.48ชื่อบุคคล) ไปเว้ย….