แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้วิสัจชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ขอให้ธรรมในใจ ให้สำเร็จประโยชน์
วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชาดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันอยู่แล้ว ดังนั้นธรรมเทศนาในวันนี้ก็ปรารภอาสาฬหบูชา ถ้าจะเอาใจความเนื้อหาของอาสาฬหบูชาก็คือพระพุทธวัจนะ อันแสดงถึงธัมมจักกัปปวัตตนะ คือการประกาศพระธรรมที่ได้ตรัสรู้ให้โลกรู้ แต่เรามักจะไม่เรียกกันว่า วันธัมมจักแต่มาเรียกว่าวันอาสาฬหบูชา ก็ไปยึดมั่นในเรื่องเวลามากกว่าเรื่องตัวจริง ข้อนี้ก็ขอให้ใคร่ครวญดูบ้างจะได้กระทำให้เป็นเรื่องที่ฮามากขึ้นไม่เพียงแต่สักว่าเอาตามเวลา แต่มันเป็นธรรมเนียมประเพณีมาเสียแล้วว่าเราถือเอาเวลาเป็นหลัก วันประสูติ ตรัสรู้ เรียกว่าวันวิสาขะบูชา วันแสดงธัมมจัก เรียกว่าวันอาสาฬหบูชา วันประชุมสงฆ์พระอรหันต์ทั้งหมดในพุทธศาสนาเรียกว่าวันมาฆบูชา มีอยู่เป็น ๓ วัน บางท่านก็ต้องทำความรู้สึกว่าวันนี้กำลังเป็นวันไหน เป็นวันอะไร เราจะต้องทำอย่างไรจึงจะสมกันกับความหมายของวันวันนี้
เมื่อเทียบกันทั้ง ๓ วันจึงจะเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เทียบกันทั้ง ๓ วันก็คือ วันพระพุทธ วันพระธรรม วันพระสงฆ์ วันพระพุทธก็คือวันวิสาขะเป็นวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน วันอาสาฬหบูชาก็วันที่แสดงพระธรรม วันที่ได้ตรัสรู้ วันมาฆบูชาก็เป็นการประกาศการที่มีผู้ได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้นั้นมากมายมหาศาลได้เป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นเป็นจำนวนพัน นี่เรียกว่าตามลำดับกาลก็เป็นอย่างนี้ แต่ก็มีบางท่าน บางครูบาอาจารย์นับเอาวันนี้เป็นวันครบหมดทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็มี โดยอ้างว่าวันนี้แสดงธรรมแล้วก็มีผู้รู้ตาม ๑ องค์คือ อัญญาโกณฑัญญะ มาเป็นพระสงฆ์แต่เพียงองค์เดียวเอาเป็นพระสงฆ์นี้ดูมันยังไงยังไงอยู่ จะมายอมรับว่าพระสงฆ์องค์เดียวก็ได้เหมือนกัน วันนี้ครบหมด เกิดพระพุทธ เกิดพระธรรม เกิดพระสงฆ์ขึ้น ๓ อย่าง แต่อาตมาไม่ค่อยจะเห็นอย่างนั้น เห็นว่าเอากันให้ชัดเจนเต็มที่ถึงขนาด
ก็วันวิสาขะบูชานั้นน่ะเป็นวันประสูติ วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขะบูชาเป็นวันประสูติและตรัสรู้ วันอาสาฬหบูชาเป็นวันประกาศสิ่งที่ตรัสรู้ วันวิสาขะ วันมาฆบูชาเป็นวันประชุมกันของบุคคลที่ได้รับผลของการตรัสรู้ ดูเอาแต่ใจความก็ว่าวันพระพุทธเจ้าเป็นวันที่มีผู้ค้นพบและสอนมรรค วันพระธรรมคือวันที่ผู้รู้บอกสิ่งที่ได้รู้ให้คนอื่นรู้ และวันพระสงฆ์เป็นวันที่แสดงจำนวนผู้ที่ได้รู้ ได้รับประโยชน์ นี่ถ้าเอาวันพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยหลักของการกระทำมันจะได้เป็นอย่างนี้
วันผู้รู้ ผู้บอกและก็วันสิ่งที่บอก และวันได้รับประโยชน์จากาการบอก และถ้าเราจะพูดกันอย่างภาษาธรรมที่ลึกซึ้งก็ยังพูด (นาทีที่ 0.07.25) .....ธรรมโดยไม่เอาบุคคลเป็นหลัก พูดภาษาคนเอาบุคคลเป็นหลักก็พูดกันที่ตัวบุคคลหรือสิ่งที่มีที่กระทำ ถ้าพูดโดยภาษาธรรมเป็นหลัก เอาภาษาธรรมก็ต้องเอาธรรมเป็นหลักไม่ก็พูดไปเรื่อย ธรรม พระพุทธเจ้าเมื่อได้กล่าวโดยธรรมก็คือ ความบริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบแห่งจิตใจ พระธรรมก็คือภาวะแห่งความสะอาด สว่าง สงบของจิตใจ ปรากฏที่จิตใจ วันพระสงฆ์ก็วันที่มีความสว่าง สะอาด สงบแห่งจิตใจของคนจำนวนมาก ถ้ากล่าวอย่างนี้มันก็เป็นวันเดียวกันหมดทั้ง ๓ องค์ บางคนคงจะไม่ยอม ไม่ยอมก็ตามใจ
แต่อาตมาแนะให้เห็นนับตั้งแต่ว่าวันวิสาขะบูชา ก็แปลว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน ก็เราก็บอกว่าประสูติ ตรัสรู้ นิพพานมันเรื่องเดียวกัน ประสูติคือการเกิดพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ก็คือพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า นิพพานก็นิพพานของกิเลสกิเลสดับไปอย่างไม่มีเชื้อเหลือ ประสูติ ตรัสรู้ นิพพานถ้ากล่าวโดยภาษาธรรมมันก็เป็นเรื่องเดียวกันเป็นวันวิสาขะบูชา ฉะนั้นบุคคลผู้ประสูติและเป็นพระพุทธเจ้าก็มีจิตใจสำคัญอยู่ที่มีความสะอาด สว่าง สงบ คือรู้ รู้จนสะอาด สะอาด สำหรับชำระความเศร้าหมอง และก็สงบ วันวิสาขะวันเดียวก็แยกเป็น ๔ ความหมาย ก็แยกเป็น ๔ วันเสียก็ได้ เอามารวมความหมายเดียวกันเป็นวันเดียวกันเสียก็ได้ นี่ก็ควรจะมองเห็น ควรจะเข้าใจมันไม่ใช่สำคัญอยู่ที่นั่น มันสำคัญอยู่ที่ความหมายของเรื่อง ก็ถึงเรียกวันพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อีก จะทำให้เป็นวันเดียวเสียก็ได้ ก็คือวันแห่งความสะอาด สว่าง สงบซึ่งเคยบอกกันหลายครั้ง หลายสิบครั้งแล้วว่า พระพุทธเจ้ามีหัวใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ พระธรรมก็มีหัวใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ พระสงฆ์ก็มีหัวใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ เมื่อเอาหัวใจเป็นหลักก็เหมือนกันเลย เหมือนกันตรงที่มีความสะอาด สว่าง สงบ เหมือนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นองค์เดียว ๓ องค์เป็นองค์เดียวเสีย ผู้ใดทำจิตใจสะอาด สว่าง สงบได้ ผู้นั้นก็เป็นได้ทั้งพระพุทธ เป็นทั้งพระธรรม เป็นทั้งพระสงฆ์
พุทธะในที่นี้เรียกว่าพุทธะเฉยๆ ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะเพราะไม่ได้ตรัสรู้เอาเอง เป็นพุทธะทั่วๆไปก็รู้ รู้ ก็หายหลงไม่มีกิเลสมันก็บริสุทธิ์ นั้นควรจะนึกถึงข้อนี้ที่จะมาทำบูชาอะไรก็ตามขอให้นึกถึงข้อที่ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่มีหัวใจเป็นอย่างเดียวกัน มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ ใครมี ๓ อย่างนี้ก็เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสียเอง แล้วก็หาว่าพูดบ้าๆ บอๆ อวดดี ซึ่งแปลกออกไป ไม่เอาด้วยก็มี ก็ตามใจ เป็นเสรีภาพว่าใครจะคิดอย่างไรจะเชื่ออย่างไร แต่มาคิดว่ามีทางลัด ทางลัดที่จะลัดสั้นเข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำให้เป็นองค์เดียวกันเสีย แล้วก็ให้มีอยู่ในจิตใจของเราซึ่งมีความสะอาด สว่าง สงบตามรอยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนั้นวันนี้กวาดหมด เอาพระธรรมเป็นหลัก เอาพระธรรมเป็นหลักที่ว่าพระธรรมนี่ทำให้เกิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระธรรม ถ้าไม่มีพระธรรมไม่มีอะไรตรัสรู้ ท่านตรัสรู้แล้วพระธรรมนี่แหละทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า นี่คล้ายๆ กับพระธรรมได้สร้างหรือคลอดพระพุทธเจ้าออกมา คือพระธรรมถูกแผ่ไปยังทุกคน มีความหมายดับทุกข์ ดับทุกข์ให้แก่ทุกคน
ธรรมหรือพระธรรมเพียงคำเดียวนี่จะพอเสียแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจก็อาจจะทำให้เป็นสิ่งเดียว เป็นพระธรรมคำเดียวแล้วก็ใช้สารพัดอย่าง พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาก็เพราะพระธรรม พระสงฆ์เป็นพระสงฆ์ขึ้นมาก็เพราะพระธรรม เพราะมีพระธรรม พระธรรมเป็นพระธรรมเพราะก็เป็นธรรม มีธรรม มีความเป็นธรรมอยู่ที่นั่น ทั้ง ๓ องค์ได้เป็นองค์เดียวกันเสีย มีความหมายเพียงคำเดียวสั้นๆ ว่า ธรรม ธรรมหรือพระธรรม
เราก็พอเปรียบได้ว่าเวลาเพียงครั้งเดียวคราวเดียววันเดียวนี่จะทำให้ครบหมดพระธรรมในความหมายของพระธรรมในทุกๆ ความหมาย แล้วก็แจกออกไปเป็น ๓ องค์ก็ได้ เป็นองค์เดียวก็ได้ ได้อ่านได้ฟังมาในอินเดียครั้งพุทธกาล เขาก็ถือคำนี้คำเดียวนี้เป็นหลักใหญ่ พระธรรมปรากฏ พระธรรมบังเกิด คำเดียวพอก็ตื่นเต้นยินดีกันใหญ่ เพราะว่าพระธรรมบังเกิดหรือปรากฏแล้วจะทำให้บังเกิดทุกอย่าง ทุกอย่างอย่างมากมายมหาศาล จึงเกิดพระพุทธหรือเกิดพระสงฆ์หรือเกิดความรู้หรือการปฏิบัติหรือผลของการปฏิบัติอะไรอีกมากมายเพราะเกิดพระธรรมเพียงสิ่งเดียวนั้นเกิดหมดครบทุก พระธรรมเป็นที่รวมอย่างนี้
ถ้าพูดในหลักการศึกษามันมากไปกว่านี้ พระธรรมคือธรรมชาติ คือกฎของธรรมชาติ เป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็ควรที่จะได้รับจากหน้าที่ อย่างนี้แล้วมันยิ่งหมดหมดทั่วสากลจักรวาล ไม่ยกเว้นอะไร ไม่มีอะไรเหลือสักนิด เป็นธรรมหรือพระธรรมเป็นธรรมะหมดจะถือเอาความหมายนี้ก็ได้ ถ้าสามารถหรือว่าเป็นคนเก่งก็ถือเอาได้ ธรรมชาติมีอยู่ในตัวเราทุกคน เนื้อ หนัง เลือด กระดูก ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่มันอยู่ที่ในตัวเรา นี่คือตัวธรรมชาติ และที่ตัวธรรมชาตินี้ก็มีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ ดังนั้นร่างกายจึงทำหน้าที่ได้เพราะมันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ทุกๆ เซลล์หรือทุกๆปรมาณูก็ว่าได้ ต้องเป็นไปตามกฎนั้น มันจึงมีกฎของธรรมชาตินี่สิงอยู่ในธรรมชาติก็ทำให้เกิดหน้าที่แก่สิ่งเหล่านั้นคือมีชีวิต มันก็ต้องมีการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ ปอดก็หายใจหายใจ หัวใจก็สูบฉีดโลหิต ทุกๆ อย่างทำหน้าที่ ทุกๆ เซลล์ทำหน้าที่ แล้วก็เกิดผลออกมามีความสุขสบาย ไม่สุขสบายก็ได้ถ้าทำผิด ทำหน้าที่ผิด ดังนั้นธรรมะทั้ง ๔ ความหมายมีอยู่ในบุคคลแต่ละคน ทุกคนทุกคนโดยตัวธรรมชาติก็ดี ตัวกฎของธรรมชาติก็ดี ตัวหน้าที่ตามของกฎของธรรมชาติก็ดี ผลจากหน้าที่ก็ดีมีอยู่ในทุกตัวคน
ถ้ามันไม่รู้ก็ไม่รู้ เห็นก็ไม่เห็น ความลับมันอยู่ที่ปลายจมูกหรือที่หน้าผากของคนโง่ เรื่องธรรมดานี่ขอให้เข้าใจความลับมันไม่มีอยู่ที่ปลายจมูก ที่หน้าผากของคนโง่ คือคนโง่มันมองไม่เห็น นั้นการที่มีธรรมะ ความหมายครบถ้วนอยู่ในร่างกายคนคนหนึ่งก็ไม่เห็น จะทำอย่างไรได้ก็เป็นความลับไปเสียหมดและมันก็อยู่ที่ปลายจมูกหรือหน้าผาก นี่เราควรจะเพิ่มความรู้ความคิด ความนึกการคิด การนึกมีสติปัญญา อย่าให้เป็นหมันเปล่า บางคนชื่อปัญญาแต่โง่ยิ่งกว่าเต่าก็มี บางคนชื่อว่ารวย รวย แต่มันไม่มีสตางค์สักบาทหนึ่งก็มี ชื่อนี่ระวังหน่อย ระวังขอให้ทุกคนมีอะไรๆ สมชื่อจนรอดตัว มีสมชื่อรอดตัว เขาเลือกตั้งมาดี จึงมองเห็นว่าในคนคนเดียวนี้มีอะไรครบหมด มีธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติ มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มีผลที่ได้รับจากหน้าที่ และที่มันวิเศษก็คือบางส่วนบางอย่างมันทำหน้าที่เองแม้แต่เรานอนหลับ ปอดมันหายใจ หัวใจสูบฉีดโลหิต ไม่ต้องลุกต้องชี้ วิเศษอย่างนี้ก็มี แต่บางหน้าที่นั้นต้องทำด้วยเจตนานี้มันก็มี เมื่อหน้าที่มันครบถ้วนแล้วชีวิตนี้มันอยู่ได้ ชีวิตอยู่ได้ด้วยธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่นั้นต้องถูกต้องสำหรับจะรอด ถ้าหน้าที่ผิดหรือต้องวินาศมันก็ตาย นั้นจึงมีความถูกต้อง มีการทำหน้าที่ ก็มีธรรมะคือความถูกต้อง เมื่อมันมีคนรอด
นี่พูดเสียยืดยาวนี่ก็เพื่อให้รู้วันนี้เอาว่าสรุปใจความให้สั้น สั้นที่สุดกันแล้ว เป็นวันพระธรรม เป็นวันพระธรรม ถ้าเราจะให้สมกับที่เราอุตส่าห์มาประชุมกันก็ขอให้มันเป็นเรื่องของพระธรรม พระธรรมเต็มที่เลย วันอื่นเราไม่ได้มาประชุมกันที่นี่ มันก็ยากที่จะพูดกัน แต่วันนี้เรามาประชุมกันที่นี่แล้วมันก็ง่ายที่จะพูดกัน ทุกคนรวมกันทำให้เป็นพิเศษสำหรับพระธรรมให้วันนี้เป็นวันพระธรรม มันก็มีพระธรรมปรากฏชัดเจนแก่จิตใจ อยู่ที่บ้านที่เรือนมันมีเรื่องมากมันก็ยุ่งมืดครี้มไปหมดไม่รู้อะไร แต่เดี๋ยวนี้ก็อุตส่าห์มาถึงที่นี่ มานั่งกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ มานั่งกันในป่า ที่นี้ให้คล้ายกับพระพุทธเจ้าเคยนั่งประกาศธรรม เราก็มาชวนกันทำจิตใจให้เหมาะสมเช่นนั้น ให้เห็นธรรม ให้มีธรรม ให้รู้ธรรม นั่นแหละให้เข้าใจธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
อย่าให้มันจบลงด้วยอนุสาวรีย์ของความโง่ ทำอะไรทำเสียเป็นวรรคเป็นเวรจนตาย สิ่งที่เหลืออยู่เป็นอนุสาวรีย์ความโง่ มีความโง่เหลืออยู่เป็นเจดีย์อย่างนี้มันไม่ไหว ขอให้ฉลาด ฉลาดทุกครั้ง ทุกครั้งที่หายใจก็ยังดี หายใจครั้งฉลาดเพิ่มขึ้นเพราะมันได้รู้อะไรมากขึ้นเพราะมันได้ผ่านอะไรมากขึ้น เอาหละขอย้ำอีกทีหนึ่งว่าขอร้องให้รู้จักพระธรรมหรือธรรมในความหมายที่ว่ารวมพระพุทธ พระสงฆ์อยู่ด้วยก็ได้ แต่ในความหมายที่ว่ารวมหมดทุกสิ่งทั้งสากลจักรวาลในตัวธรรมชาติทั้งหมด ตัวกฎของธรรมชาติทั้งหมด ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติทั้งหมดและก็ผลที่ได้รับจากหน้าที่ทั้งหมด มันไม่มีอะไร เมื่อมีครบทั้ง ๔ อย่างนี้แล้วมันก็เป็นธรรมคือเป็นความถูกต้องสำหรับจะรอดมันจึงไม่รอด และเราก็ได้รอดรอดสำหรับปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าถึงที่สุดแห่งชีวิต ทุกคนไม่ประมาทแล้วก็รีบใช้โอกาสนี้ให้ธรรมะมีก้าวหน้า ก้าวหน้า ก้าวหน้าเสียโดยเร็ว ได้รับธรรมะที่สูงสุดที่ควรจะพอใจได้ทันก่อนสิ้นชีวิตดีอย่างนี้
อย่ามัวแต่เสียเวลาเรื่องอะไรก็ไม่รู้ บางเวลาไม่ได้ทำใจเรื่องธรรมแม้แต่อึดใจเดียวก็มี ระวังให้ดี บางคนน่ะบางคนน่ะทั้งวันไม่ได้เคยสนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรม ไม่สะดุดใจไม่สนใจเรื่องการเรื่องงานเลย อิจฉาริษยา หรือเห็นแก่ตัว หรือสงสัยนั่นนี่ไปเสียหมด ไม่มีเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นธรรม ประกอบอยู่ด้วยธรรม หรือมีธรรมหรือความถูกต้อง เป็นความสะอาด เป็นความสว่าง เป็นความสงบแห่งจิตใจ ตอนแรกถ้าวันอื่นๆ มันไม่ได้ทำ ก็ขอให้วันนี้ได้ทำ ได้ทำให้เป็นวันพระธรรม ให้มันรู้สึกซึมซาบในความสะอาด ความสว่าง ความสงบของจิตใจ
จิตใจนี้มันมีธรรมชาติเป็นของบริสุทธิ์ เป็นจิตเรียกว่าธาตุชนิดหนึ่ง เป็นจิตล้วนๆ แต่บางพวกเรียกว่าวิญญาณ อย่าไปเรียกตามเขา ให้เรียกว่าจิตล้วนๆ ก็แล้วกัน จิตล้วนๆ จิตน่ะเป็นจิตล้วนๆ แล้วก็มีสิ่งที่มาประกอบจิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เวลานั้นไม่ล้วนเสียแล้ว ไม่ล้วนเสียแล้ว ถ้ามีอะไรประกอบจิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จิตล้วนๆ ก็เรียกกันในอภิธรรมว่าภวังคะจิต คือจิตล้วนๆ ถ้ามาอยู่เป็นภพ เป็นตัวภพ ในสุตตันตะเรียกว่า ประภัสสร พระพุทธเจ้าเรียกว่าประภัสสร มีอุปกิเลสอะไรนั่นก็เรียกว่าประภัสสร แต่เราจะเรียกตามภาษาเราคนโง่ว่าจิตล้วนๆ
จิตล้วนๆ ไม่มีอะไรปน จิตล้วนๆ จิตล้วนๆ น่ะตั้งอยู่บนตัวยืนโรงของชีวิต เพราะมีความรู้สึกคิดนึกอย่างนั้นอย่างนี้เข้ามาประกอบ จิตก็เปลี่ยนไป จิตก็เปลี่ยนไปตามสิ่งที่เข้ามาประกอบ ความรู้สึกเป็นกิเลสเข้ามาประกอบก็เป็นจิตมีกิเลส ก็ตั้งกิเลสหลายร้อยอย่าง หลายพันอย่าง จิตไม่มีกิเลสก็มีลักษณะมีกิเลสหลายร้อยอย่าง หลายพันอย่าง ฉะนั้นจิตล้วนๆ เปลี่ยนไปได้มากมายนับไม่ไหว อยากจะพูดสักหน่อยอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องนอกเรื่อง คือความเป็นหญิงหรือความเป็นชายไม่ได้มีอยู่ในจิต ฟังให้ดี จิตไม่ได้มีความเป็นหญิงหรือมีความเป็นชายอยู่ในจิต เป็นจิตล้วนๆ ไม่ได้เป็นหญิงไม่ได้เป็นชาย ต่อเมื่อมันมีความรู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชายเกิดขึ้น จิตจึงจะเปลี่ยนเป็นหญิงหรือเป็นชาย แม้จิตของผู้ชายมันก็ไม่ได้เป็นผู้ชายหรอก มันเป็นจิตล้วนๆ ไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย ต่อเมื่อความรู้สึกที่เป็นชาย เรียกตามภาษาอภิธรรมกันหน่อยก็เรียกว่า (นาทีที่ 0.26.36) ปูริสินทรีย์ ปูริสินทรียัง.. หรืออินทรีเยอะแยะ ในความรู้สึกเป็นชายแรงอันกล้าครอบงำปุริสินทรีย์ ยังคครอบงำจิต จิตนั้นก็เป็นจิตชาย และถ้าเป็นผู้หญิงก็เหมือนกัน เมื่อ(นาทีที่ 0.26.58) อิตถินทรียัง คือความเป็นใหญ่ในอินทรีย์หรือความเป็นสิ่งสูงสุด อำนาจเด็ดขาดสูงสุด เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด มีลักษณะเป็นหญิงครอบงำจิต จิตจึงจะเป็นหญิง ถ้าไม่โง่เกินไปนะคงจะสังเกตได้บางคราวเราไม่รู้สึกเป็นผู้หญิงหรือเป็นชาย มันต้องมีสิ่งนี้ครอบงำจิตจึงจะรู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชาย นี่ถ้าบางเวลาจิตไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มันก็ไม่รู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชาย แม้แต่เวลานอนหลับเสียมันก็ไม่รู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชาย เพราะว่าตื่นอยู่นี่จิตมันไม่คิดให้เป็นทางนั้นมันดึงได้ในทางล้วนๆ เป็นจิตล้วนๆ มันก็ไม่รู้สึกเป็นหญิงเป็นชาย
แต่ว่าธรรมชาติสร้างสิ่งที่จะทำให้เกิดรู้สึกเป็นหญิงเป็นชายไว้ในร่างกายนี้ที่เรียกว่า ต่อมหรือแกลน (gland) แกลน ภาษาฝรั่งต่างๆ สำหรับจะทำความรู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชาย ใส่มาในร่างกายผู้ชาย ใส่มาในร่างกายผู้หญิง มันก็ได้สร้างอวัยวะเพศสำหรับทำหน้าที่ตามเพศ คือใส่มาให้ด้วย มันมีทั้งอวัยวะเพศหญิงหรือเพศชายด้วย และต่อมแกลนสำหรับจะเกิดความรู้สึกเป็นหญิงหรือเป็นชายด้วย ที่มันก็ได้อารมณ์จากข้างนอก อาสนะข้างนอกนี่ ขอโทษอะไร รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทำอารมณ์นี้ คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันมีจาก(นาทีที่ 0.28.51) ปุริสินทรียัง โสตินทรียัง ทางตา หู จมูก ลิ้น กายมันมี ไปรับเอา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเข้าและมันไปผสมกันกับเรื่องของต่อมแกลนที่จะให้เกิดความรู้สึก อินทรีย์หญิง อินทรีย์ชายแล้วแต่กรณี เข้าไปรับเป็นอินทรีย์ชายปรุงแต่งขึ้นมาเสร็จครอบงำจิต จิตนั้นก็เป็นจิตชายนี่มันก็บ้าทำแบบชาย ถ้าเป็นอย่างหญิงก็บ้าอย่างหญิง ความเป็นหญิงหรือความเป็นชายนั้นเป็นของชั่วขณะ เป็นของหลอกชั่วขณะ แต่คนก็ไปโง่กับมันถึงที่สุดเห็นเป็นของจริง เป็นของแน่ๆ ตายตัว เป็นหญิงเป็นชายไปตลอดเวลา มันตายแล้วมันยังเอาไปได้ด้วยถ้าคิดอย่างนั้น
ฉะนั้นขอให้รู้แต่ว่าจิตล้วนๆ ไม่เป็นอะไรหมด ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่บุญ ไม่บาป ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่อะไรหมด คือไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชายเรียกว่า จิตมันอินทรีย์ อินทรีย์ทั้งหลาย สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์บ้างจักขุนทรีย์ โสตินทรีย์บ้างหรือว่าสัทธินทรีย์ แล้วก็ใส่อินทรีย์ทั้งหลาย กระทั่งอินทรีย์ที่เป็นความเป็นพระอรหันต์ ปัญญาตาวีเป็นพระอรหันต์ อินทรีย์อย่างนี้เป็นพระอรหันต์ครอบงำจิต จิตเป็นพระอรหันต์ เมื่อสิ่งที่จะมาเรียกว่าหัวโขนนี้มาสวมเข้ากับจิตแล้วจิตจะเป็นอะไรมีตั้งหลายๆ หลายอย่าง ที่สวดๆ กันมีถึง ๒๒ อย่าง จิตแท้ๆ ไม่ได้เป็นอะไร จิตแท้ๆ ไม่ได้เป็นอะไร เมื่ออบรมถูกวิธีจิตแท้ๆ ก็มีอินทรีย์ ฝ่ายที่จะให้ตรัสรู้มีศรัทธา มีทั้งสติ สมาธิ ปัญญา กระทั่งเป็นโพชฌงค์เป็นอะไรไปเลย นี่จิตล้วนๆ จิตล้วนๆ ไม่มีความหมายเป็นอะไร ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่บุญ ไม่บาป ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่หญิง ไม่ชาย ไม่อะไรหมด มันเป็นร่าง
นั่นแหละการทำความเพียร ทำวิปัสสนาอะไรก็คือสร้างอินทรีย์ฝ่ายที่จะให้ตรัสรู้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ทำอานาปานสติก็ดี ทำอะไรก็ดีที่เรียกว่าทำกัมมฐาน มันพอกพูนอินทรีย์ฝ่ายที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ เพื่อเป็นประโยชน์มากขึ้นและไม่ให้โอกาสแก่อินทรีย์ฝ่ายที่จะทำให้เกิดโทษเกิดทุกข์ ขอให้รู้ว่าจิตนี้ไม่ได้เป็นหญิงหรือเป็นชาย ความรู้สึกเป็นหญิงเป็นชายหรือเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่งเพิ่งมาครอบงำทำให้โง่ให้บ้า หรือถ้าว่าจิตเป็นหญิงหรือเป็นชายโดยเด็ดขาดแล้วเป็นพระอรหันต์ไม่ได้หรอก พระอรหันต์มีจิตที่ไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย คือเป็นจิตเดิมแท้ ขจัดสิ่งที่จะมาทำให้รู้สึกเป็นหญิงเป็นชายออกไปหมด ก็เป็นจิตล้วนๆ เป็นจิตบริสุทธิ์ จิตที่ไม่มีความเป็นอะไร ไม่เป็นตัวกูไม่เป็นของกู ไม่เป็นอะไรทั้งหมด
นี่คือความลับของธรรมะ ลับหรือไม่ลับคิดดู ลับมากลับน้อยคิดดูเอง ถึงเราจะต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะเป็นอย่างไร ความจริงเป็นอย่างไร ถ้ามันถึงจิตเดิมแท้ จิตล้วนๆ ไม่มีอะไรจึงจะเรียกว่า จิตประภัสสร หรือว่าจิตภวังคจิต ก็สุดแท้ แต่ว่าภวังคจิตนั้นมีความหมายว่าถึงมันไม่เป็นอะไรเช่นไม่มีอารมณ์อะไรเลย แต่จิตประภัสสรนี่เอาเพียงว่าไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ไม่มีกิเลส เป็นจิตที่ปราศจากกิเลสด้วยประการทั้งปวง เรียกว่า จิตประภัสสร
ธรรมดาจิตคนเราก็ประภัสสรอยู่แล้วๆ เล่าๆ หลุดๆ ล่อๆ ไม่ใช่จะไม่ประภัสสร จิตบางเวลาก็ไม่มีกิเลสแต่แล้วกลับมีกิเลส มันหลุดรอดอย่างนี้ ต้องไปทำกัมมฐาน สมาธิ ภาวนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วประภัสสรตายตัว ประภัสสรตายตัวไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ไม่มีกิเลสอีกต่อไป นี่ความลับเกี่ยวกับจิต ทำได้ถึงขนาดนี้ ก็เราก็ไม่ได้ทำเพราะเราไปมัวโง่ หลงสิ่งที่ไม่ต้องทำ สิ่งที่ควรทำไม่ได้ทำ มันก็เลยไม่รู้พระธรรม ไม่รู้ตัวธรรมที่สูงสุดคือตรัสรู้ คือขจัดกิเลสและความทุกข์ออกไปหมดไม่มีเหลือ มีแต่จิตที่ไม่มีกิเลสมันก็ไม่มีความทุกข์ ก็จบเรื่องก็จบที่นั่น การประพฤติธรรมะจบตรงที่ว่าจิตประภัสสรตลอดกาลไม่กลับมีกิเลสอีกต่อไป เรื่องมันมากเรื่องที่จะต้องปฏิบัติ ที่ต้องรู้ รู้ รู้ รู้ กันว่าปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติมากเกิดผลออกมาหลายอย่างหลายประการ นี่ถ้ารู้ไปในทางที่จะไม่เกิดกิเลสก็ก้าวหน้าไปในทางนิพพาน ถ้าจะรู้ไปในทางตรงกันข้ามยึดมั่นถือมั่น ทีนี้มันก็อยู่ที่นี่มันก็ไม่ไปไหน
เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้คือออกไปจากกิเลสทั้งหลายหมด เราก็เรียกว่าหลุดพ้นออกไปได้โดยสิ้นเชิง ก็ท่านกลับมาสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างนั้น นั่นแหละพระคุณของพระพุทธเจ้า พระคุณของพระพุทธเจ้า ดับทุกข์ด้วยพระองค์เองก่อนแล้วสอนสัตว์ทั้งหลายให้ดับทุกข์ได้ด้วย เมื่อวันตรัสรู้ก็คือนั่นแหละท่านปลดเปลื้องเรื่องของกิเลสหรือความทุกข์ออกไปหมด นี่วันนี้วันที่ตรงกับวันนี้วันอาสาฬหะนี้เปิดเผยขึ้นเป็นครั้งแรก แปลว่าก่อนพระพุทธเจ้าเขามีตัวตนเป็นตัวเป็นตน เขามีขันธ์ ๕ เป็นตัวตน ไม่ใช่ไม่รู้จักขันธ์ ๕ ก่อนพระพุทธเจ้านี่เชื่อแน่ได้เขารู้จักเรื่องขันธ์ ๕ เหมือนกันแหละ แต่เขารู้จักในลักษณะเป็นตัวตน รูป เป็นตัวตนเพราะมันทำอะไรได้ ตาเห็นได้ หูได้ยินได้ เวทนาก็เป็นตัวตนมันรู้สึกได้ สัญญาก็เป็นตัวตนก็มันสำคัญมั่นหมาย สังขารเป็นตัวตนมันคิดได้
พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาก็มาดูกันใหม่ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตน ถ้ามีตัวตนมันมีกิเลส ถ้ามีกิเลสมันก็มีความทุกข์ ความทุกข์เกิดมาจากตัณหา
ตัณหาคือกิเลส ตัณหาเกิดจากมีตัวตนเป็นผู้อยาก เป็นผู้อยากอย่างโง่เขลา อยากได้ความโง่ ไม่ได้ต้องการได้ความฉลาด ถ้าอยากได้ความโง่ก็เรียกว่าตัณหา โลภะไปตามเรื่อง ตัณหา โลภะ ราคะไปตามเรื่อง แต่ถ้าอยากด้วยสติปัญญา อยากจะดับทุกข์สิ้นเชิง อยากนี้ก็เรียกว่า สังกัปปะ สังกัปโป สังกัปปะ สังกัปปา แล้วแต่จะพูดถึงในกรณีไหน แต่ตัว ตัวมันแท้ๆ เลยสังกัปปะ
ความอยากและสติปัญญาจะดับความทุกข์ให้สิ้นเชิง นี่เราก็ต้องมีเป็นความอยากที่ต้องมี ความอยากที่ต้องละคือตัณหา ราคะ โลภะ นั่นต้องละ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าความทุกข์เกิดมาจากตัณหา ก็ละตัณหา แล้วก็มาแนะให้มีสังกัปปะ มีสัมมาทิฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวาจา ก็เหมือนเตารีดนี่เป็นสิ่งที่ต้องทำให้มี ถ้าประสงค์อย่างนี้ก็ไม่ใช่ตัณหา มันความประสงค์จะดับเสียซึ่งตัณหา ในวันที่สมมติเรียกว่าวันอาสาฬหะ วันที่แสดงธัมมจักนี่เราก็เลยพูดอย่างนี้ให้รู้จักตัณหาคือความอยากได้อำนาจของอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ดับมันเสียด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยองค์ ๘ ประการคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ดังนั้นวันนี้เป็นวันที่เราจะต้องรู้ว่าเป็นวันพิเศษ เป็นวันสำคัญ เป็นวันที่เราจะต้องจัดการกับชีวิตของเรานี่ให้ได้รับผลจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามีประโยชน์แก่เราบ้าง มิฉะนั้นเราก็เป็นเหมือนกันว่าอะไรล่ะ ตวักในหม้อแกง ไม่รู้รสแกง กบใต้กอบัว ไม่รู้กลิ่นเกสรบัวมันจะเป็นเสียอย่างนั้น ปรับปรุงให้ชีวิตเหมาะสมที่จะรู้ จะเข้าใจ จะปฏิบัติและจะได้รับธรรมะหรือพระธรรมให้อย่างที่พระพุทธเจ้าประสงค์จะให้เราได้รับ
พระพุทธเจ้าประสงค์ให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงพ้นจากความทุกข์แต่ไม่ใช่ตรัสรู้อวิชชาหรือตัณหา ประสงค์ได้ปัญญาสูงสุด ก็สัตว์ทั้งปวงควรจะดับทุกข์ ควรจะออกมาจากทุกข์ นี่ขอให้ทุกคนสนองพระพุทธประสงค์ที่ว่าดับทุกข์ให้ได้ จึงจะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า นี่คือรับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทำให้พระพุทธเจ้าสมประสงค์ นี่ถ้าพระพุทธเจ้าท่านประสงค์อย่างนั้น เราอุตส่าห์ทำให้ท่านสมประสงค์ อย่าเป็นเต่าอย่าเป็นแรด อย่างนี้ทำให้พระพุทธเจ้าผิดหวังผิดประสงค์ท่านต้องการให้ทุกคนรู้ดับทุกข์ได้ นี่คือความไม่ประมาท ความไม่ประมาทอยู่ที่ตรงนี้แหละ คือทำให้พระพุทธเจ้าไม่ผิดหวัง ท่านหวังว่าสัตว์เหล่านี้จะพ้นทุกข์ เราก็ทำให้มีการพ้นทุกข์ตามสมควร ทั้งหมดก็ยิ่งดีแต่อย่างน้อยก็ให้มีการพ้นทุกข์ ดังนั้นวันนี้เป็นวันพิเศษอย่างยิ่งที่เราจะต้องมาพูดกันเรื่องนี้ มาพูดกันเรื่องนี้ คือใคร่ครวญเรื่องนี้ทำจิตใจเรื่องนี้ ทิ้งเรื่องอื่นหมดเลย มาประชุมกันอยู่ที่นี่สนใจแต่เรื่องนี้ อย่างที่บ้านไม่ต้องสนใจ มาสนใจแต่เรื่องว่าเราจะสนองพุทธประสงค์ ไม่ให้
พระพุทธเจ้าผิดหวังจะเอาชนะกิเลสและความทุกข์ให้ได้ตามสมควร และมาถึงวันสำคัญนี้เป็นวันที่พระองค์ทรงเปิดเผยธรรมะ ทรงค้นพบและแจก แจก แจกให้การแจกธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีผล ไม่ให้เป็นหมันเปล่า นี่ปรารภเบื้องต้นขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนที่มา ที่อุตส่าห์มาจากที่ไกล อุตส่าห์มาจากที่ไกลมาทำไม มาทำอะไร นี่ก็ต้องคิดนะมาทำอะไรที่มานี่ มาตามธรรมเนียม มาตามธรรมเนียมเป็นเต่าเป็นแรด มาตามธรรมเนียม หรือว่าเห่อๆ มาเพราะว่าสนุกดีเหมือนกับเด็กๆ อยากจะมาดูและก็ เห่อๆ มาก็ยังได้รับประโยชน์ เราไม่ได้เห่อหรือไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นทำนองนั้น เพียงแต่เรารู้ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีความหมายอย่างนี้เราจึงมาทำจิตใจของเราให้มีความหมายอย่างนี้ มาซักซ้อม ศรัทธาที่เรามีอยู่แล้วให้มันจริงยิ่งขึ้นให้มันเจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งขึ้น อย่าให้มันเฉยอยู่ มาซักซ้อม ศรัทธาและก็มาเพิ่มเติมศรัทธา คล้ายกับว่ามาปรับปรุงจิตใจให้เหมาะสมกับความหมายของวันวันนี้ คือวันแสดงธัมมจัก แล้วก็ทำให้เกิดจิตใจเป็นพิเศษขึ้นมาชั่วโมงหนึ่งก็ยังดี ชั่วโมงไม่ได้เอานาทีเดียวก็เอา ครั้นมันมีจิตใจพิเศษไม่มีกิเลสเกิดขึ้น ไม่มีความทุกข์รบกวน จิตเป็นอิสระจากกิเลสและความทุกข์ ๕ นาทีก็เหลือจะวิเศษ ถ้าตั้งใจมันก็คงจะไม่ไม่เหลวไหล ไม่ผิดหวังเหมือนกัน
ขอให้ตั้งใจทำ วันนี้จะซักซ้อมความรู้ความเข้าใจที่ได้ศีกษาพระธรรม ซักซ้อมความเชื่อ ซักซ้อมความรู้ ซักซ้อมสมาธิ สติและก็ทำเป็นจิตใจพิเศษ มีชีวิตจิตใจเป็นพิเศษกันซักพักหนึ่งไม่ได้ แม้แต่ครึ่งวันก็วิเศษมาก มีจิตใจพิเศษสมตามพระพุทธประสงค์ได้สักครึ่งวัน เดี๋ยวนี้ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีก็มีแต่จิตใจขุ่นมัว มีจิตใจขุ่นมัวด้วยกิเลสสารพัดอย่าง ขอให้ใคร่ครวญอย่างนี้จนรู้สึก รู้สึกเศร้า รู้สึกเศร้าให้แก่ตัวเองว่าไม่สมกับเวลา ไม่สมกับการศีกษา ไม่สมกับสถานะเป็นภิกษุ สามเณร เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา ไม่สมกับชื่อ ถ้ามันไม่สมกับชื่อ มันไม่สมกับฐานะมันก็เรียกว่าเป็นหมัน อาตมาพูดมาตั้งชั่วโมงแล้วนิดเดียวที่ว่าอาสาฬหะคืออะไร วันพระธรรมคืออะไร ธรรมะคืออะไร อยากจะท้าทายว่าคงจะหายโง่ไปหลายคน ไอ้พวกแรดมันคงจะหายโง่ไปหลายคน หลายตัว ว่าจิตแท้ๆ ไม่ได้เป็นหญิงไม่ได้เป็นชาย แต่ว่าส่วนประกอบแวดล้อมทำให้เกิดอินทรีย์ อินทรีย์ครอบงำจิต จิตจึงจะเป็นหญิงเป็นชายขึ้นมาชั่วขณะๆ บางเวลามันก็หลับไปไม่รู้สึกเป็นหญิงเป็นชายก็มี เวลาที่เราไม่ได้สนใจในความเป็นหญิงเป็นชายก็มี มันเป็นได้มากถึงขนาดนี้ เรื่องกิเลส โลภะ โทสะ โมหะมันขจัดออกไม่ได้ ควรจะขจัดออกไปเสีย ทำได้ง่ายมากกว่าความเป็นหญิงเป็นชาย
ทีนี้มาทำอาสาฬหบูชา เด็กๆ รู้ มาเวียนเทียน เดินเวียนเทียน เวียนเทียน เดินเวียนเด็กๆ มันรู้ ถ้าผู้ใหญ่รู้เพียงเท่านั้นมันก็ยังเป็นเด็กๆ น่าสงสาร ถ้าผู้ใหญ่เหล่านี้รู้จักวันนี้เพียงว่ามาซื้อเทียนและเดินเวียน ทำให้มันน่าสงสารเพราะว่าเป็นเด็ก ก็ต้องพูดถึงคำว่า ประทักษิณ ประทักษิณ เดินเวียนขวา ถือเทียนเดินเวียนขวา มันเป็นรูปแบบไม่ใช่ความหมาย คือเดินและเวียนขวาเรียกว่าประทักษิณ จะว่าอะไรก็ตามอย่างเดินเวียนเทียน นี้ก็เป็นรูปแบบทำไปตามรูปแบบ ทำไปอย่างเหมือนกับละเมอ
ถ้าทำในภาษาธรรมะภาษาถูกต้องประทักษิณ ก็แปลว่าเวียนไปในทางที่สูงขึ้น ดีขึ้น เวียนขวานี่หมายความว่ามันจะสูงขึ้น ดีขึ้นจนเป็นยอดขึ้นไป เวียนไปเบื้องขวาหมายความเวียนให้สูงขึ้นดีขึ้น สูงขึ้นไปสูงขึ้นไป ไม่ใช่เวียนอยู่ที่ตรงนี้และก็ไม่ทำอะไร เมื่อเดินประทักษิณอย่างนี้ก็ขอให้ทำในใจว่ามันทำให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจากพื้นฐานที่ว่าเป็นกิเลส พื้นฐานที่ว่าเป็นกิเลสถูกละไว้ ต่ำด้วย เวียนสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป เอาหอยตัวใหญ่ๆ ตัวแหลมๆ มาวางก็ดูตัวแล้วมันก็มีลายเวียนๆๆๆ แล้วมันจุดแหลมยอด เอานั่นแหละเป็นความหมายนั้นก็ดีจะได้ความหมายประทักษิณเวียนไปทางเบื้องขวาหมายความว่าถูกต้อง ว่าถูกต้องมันก็ดีขึ้นไปดีขึ้นไป สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปสูงขึ้นไปสูงขึ้นไปจนพ้นสิ่งที่น่ารังเกียจคือกิเลสและความทุกข์ และมาสอนลูกเด็กๆ ให้รู้ว่าเวียนประทักษิณคือหมายความว่าอย่างไร เดินเวียนเทียนก็ดีกว่าไม่เวียน ไม่เวียนเสียเลยมันก็ไม่คิดนึกอะไร แต่ได้มาเวียนก็คิดไม่ค่อยถูกว่าจิตใจของเราสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น นี่คือเวียนประทักษิณ หรือจะทำในจิตใจนึกถึงพระพุทธคุณสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น รู้สึกในพระพุทธคุณสูงขึ้นสูงขึ้นสูงขึ้น รู้จักว่าจิตนี้เบาบางจากกิเลสสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น ในลักษณะอย่างนี้ก็เรียกว่าเวียนขวา เวียนขวา เวียนขวา ปีหนึ่งก็เวียนเสีย ๕ นาที นอกนั้นเวลาทั้งปีเดี๋ยวฟุบอยู่ใต้ดิน อยู่ในกองโคลน ใต้กองโคลน โผล่ขึ้นมาเวียนขวา เวียนขวา เวียนขวา ปีหนึ่งสัก ๕ นาทีก็ทำยาก
แต่เอาหละไม่ต้องใช่คำว่าประทักษิณเวียนขวาก็ได้ เราทำจิตให้ก้าวหน้าโดยสมาธิ ภาวนา นี่ก็เป็นเวียนประทักษิณอยู่ในตัว สูงขึ้น สูงขึ้น ให้ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง มีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง นี่ประทักษิณเหมือนกันแต่ไม่ต้องไปเวียนให้เมื่อยขา จิตมันเวียนของมันเอง นั่งอยู่เป็นสมาธิแล้วจิตเวียนขวาของมันเองสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนโดยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา
อตัมยตาเป็นคำใหม่ ช่วยกันศึกษาให้เข้าใจใช้ประโยชน์ให้ได้ เป็นคำพิเศษ อตัมญตาเป็นคำพิเศษ เขาไม่เอามาพูดกันด้วยเหตุอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่รู้ว่าอะไรก็เลยไม่เอามาพูดกัน อตัมยตานั่นแหละเป็นตัวทำให้ทุกสิ่งมีวัฒนาการคือสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น ตัวหนังสือแปลว่าอันอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ อันอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ เรียกว่าไม่ติดอยู่กับอะไร ไม่สำเร็จอะไรอยู่กับอะไร
ธรรมดาจิตของเรามันติดอยู่กับสิ่งที่ปรุงแต่งแวดล้อม กำลังหลงรักอะไรมันก็สิ่งนั้นแหละเป็นที่หลงติดแล้วก็ติดอยู่ที่นั่น สูงขึ้นไปไม่ได้ ต้องละสิ่งนั้นจึงจะสูงขึ้นไปได้ คือละอะไรก็ละด้วยสิ่งที่เรียกว่าอตัมยตาสูงขึ้นไปเป็นลำดับๆ อตัมยตาอันสุดท้ายก็เป็นพระอรหันต์ อตัมยตาจากกามารมณ์ จิตเหนือกามารมณ์โดยวิธีแห่งสมาธิภาวนา ก็ไม่อยู่ที่รูปฌาน อยู่ที่รูปฌานก็หลงอยู่ที่รูปฌาน ต่อมารู้สึกว่าก็มีอตัมยตาละทิ้งจากรูปฌานไปขึ้นไปๆ ก็ไปอยู่ติดที่อรูปฌาน หนักเข้าๆ ก็รู้วิธีละจากอรูปฌานไปสู่นิโรธหรือนิพพาน นี่อตัมยตา
มีพระบาลีพิเศษประโยคหนึ่งว่า อตัมยตาสำหรับอะไร สำหรับจะละอะไร อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว อตัมญตาละกามพระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว อตัมยตาสำหรับละปฐมฌาน พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว อตัมยตาสำหรับละทุติยฌาน พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว อตัมยตาสำหรับละทุติยฌาน พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว ละตติยฌาน ละจตุตถฌาน ละ(นาทีที่ 0.53.58)..... ลำดับ อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว ประโยคนี้พิเศษมากแต่ทำไมไม่มีใครเอามาพูดและทำให้เข้าใจกันไปว่าอตัมยตาไม่มีในพระไตรปิฎก มีอยู่หลายแห่งในพระไตรปิฎกในความหมายที่ว่า อะไรๆ จะมาจับยึดไว้ไม่ได้ ที่จริงตัวนี้มันแปลว่าสำเร็จอยู่ด้วย สำเร็จอยู่ด้วย ไม่สำเร็จอยู่ด้วยอะไร ไม่ให้อะไรมากักตัวไว้ให้อยู่กับสิ่งนั้น ไม่สำเร็จอยู่กับสิ่งนั้น ไม่สำเร็จอยู่กับอารมณ์ประเภทไหน กิเลสประเภทไหน หรือว่าภพชาติชนิดไหน ไม่สำเร็จอยู่ด้วยสิ่งนั้นถอนออกมานี้เป็นอตัมยตา
ที่จริงก็ได้เป็นมาแล้วได้ใช้ประโยชน์กับมันมามากแล้ว เช่นเราจะเป็นเด็กทารกอีกไม่ได้ ที่นั่งอยู่ที่นี่ใครยังเป็นเด็กทารกได้อีกบ้างไหม เป็นเด็กทำไมจะไม่อยากเป็นเพราะมันถอนจากเด็กทารกเสียแล้ว ถอนความเป็นเด็กทารก ถอนความผูกพันอยู่ด้วยความเป็นเด็กทารก ความพอใจในความเป็นเด็กทารก มันถอนเสียแล้วจนเป็นเด็กโตเป็นเด็กโตแล้วก็ถอนอีกเป็นหนุ่มสาว ถอนเสียอีกเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นปู่ตาย่ายาย มันจะกลับไปหาเป็นเด็กทารกอีกไม่ได้เพราะมันได้ถอนเสียแล้ว ความรู้สึกอันนั้นเรียกว่าอตัมมยตาอะไรๆ ก็จับฉวยไว้ติดอยู่ที่ตรงนั้นตลอดไปไม่ได้ มันจึงมีวิวัฒนาการทางวัตถุก็ได้ ทางร่างกายก็ได้ ทางจิตใจก็ได้ มันมีวิวัฒนาการ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณอตัมยตาทำให้มีวิวัฒนาการ อตัมญตาสำหรับจะเลื่อนชั้น เลื่อนชั้นไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว (นาทีที่ 0.56.30) ภควตา เทติตา มีคำอย่างนี้ต่อท้ายหมด อตัมยตาเพื่อปฐมฌาน ทุติยฌานเป็นแต่ละขั้นละขั้น อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว จะไปโทษใครอีกไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ครบแล้ว จะละหรือจะออกมาเสียจากกามมาสู่รูป รูปหลายๆ ชั้น จะออกจากรูปมาสู่อรูป จะออกจากอรูปมาสู่นิโรธหรือนิพพาน แต่มันไม่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าเรื่องเดียวกัน ธรรมปฏิบัติชื่ออะไรหมวดไหนก็ตาม มันมีการที่ทำให้ละจากสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น เคยมีอตัมยตาทั้งนั้น เช่นว่าในถึงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็สอนเรื่องอริยอัฏฐังคิมรรค มรรคมีองค์ ๘ นั่นไปเอามาเถิดมันมีอตัมมยตาคือถอนออกมาจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาไม่ควรจะเกี่ยวข้องไม่ควรจะติดยึด สมชื่อมรรคแปลว่าเดินไป เดินไป เดินออกจากที่เดิม ที่ที่ไม่อยู่กับมันไม่ไหว ตัวอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นเป็นตัวปฏิบัติเพื่อมีอตัมมยตาแต่เขาไม่เรียกอย่างนั้นเขาไม่พูดอย่างนั้น เราก็ไม่รู้แต่ไปดูเอาเองตัวจริงมันเป็นอย่างนั้น เมื่อปฏิบัติอย่างตามมรรคมีองค์ ๘ มันก็ถอนจากขั้นต่ำๆ ที่มันควรจะอยู่ด้วยมันอยู่สูงขึ้นไป พอเห็นยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ก็ถอนต่อไปอีก ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ก็ถอนต่อไปอีก ถอนต่อไปอีก
อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ถอน ถอน ถอนตามลำดับ ที่ท่านอยู่กับอุทกดาบสรามบุตรไม่ได้มาเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง อย่าเข้าใจผิดว่าเขาไม่รู้อะไรกันนะ ในอินเดียก่อนพระพุทธเจ้าเขาก็รู้อะไรมากเหมือนกันนะ เช่น เนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือนิโรธสมาบัติที่ยังมีอาสวะของคนรู้ไม่ใช่ไม่รู้ พระพุทธเจ้ามารู้วิธีที่ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วก็มาสู่นิโรธสมาบัติชนิดที่หาอาสวะไม่ได้มันสูงกว่าทั้งนั้น ที่เขารู้กันมาต่ำกว่านั้นมากมาย ขออภัยถ้าพูดมากกว่าที่พระเณรเราหัวโล้นๆ นี้รู้ ก็ยังสู้ชาวอินเดียสมัยก่อนนั้นไม่ได้ รู้ถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ รู้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธที่ยังมีอาสวะ ก็รู้เหมือนที่เราไม่รู้แม้ปฐมฌานนั่น ถ้าเณรหัวโล้นๆ ทั้งแสนทั้งล้านนี้บางทียังไม่รู้ในสิ่งที่ชาวอินเดียชั้นต่ำๆ สมัยนั้นเขาก็รู้กันแล้ว นี่ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าล้าหลังอย่างไร ถอยหลังอย่างไร นี่กู้กู้หน้า กู้หน้ากู้ตาให้ตัวเอง กู้หน้ากู้ตาให้พระพุทธเจ้า มีสาวกที่วิ่งได้แล้วไม่ใช่คลานต้วมเตี้ยม เรียกว่าหลงอวดดีรู้นั่นรู้นี่ ทำโน่นทำนี่ เป็นโน่นเป็นนี่ ร่ำรวยนั่นร่ำรวยนี่ นี่มาหลงอยู่ที่นี่ มันก็จมลงไป จมลงไป มันไม่มีอตัมมยตาแล้วมันก็ไม่มีเวียนขึ้น เวียนขึ้น ไม่มีก้นหอยเวียนประทักษิณขึ้นมาและจมลงไป จมลงไป จมลงไป
วันนี้เป็นวันพิเศษมาสนใจอาการอันนี้กันเสียหน่อย ละอาย ละอาย แต่ยังจมอยู่จมอยู่ จมอยู่ ละอายจมลงไปอีก จมลงไปอีกนี่แย่มาก ไม่เพียงแต่จะไม่ใช่จะจมอยู่ มันกลับจมลงไปอีกจมลงไปอีก แล้วคิดดูอีกกี่ปีจะตาย อีกไม่กี่ปีจะตาย จะไปทำกันตอนไหน มันก็ต้องรีบทำกันตอนนี้ รีบทำกันตอนนี้ เข้าใจกันเสียตอนนี้ทันกับเวลาก่อนร่างกายมันจะตายไป ให้จิตมันก้าวหน้า ก้าวหน้าไปรู้จักสิ่งที่อยู่เหนือปัญหาและความทุกข์โดยประการทั้งปวง เรียกว่าเรารับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับกันก็แล้วกัน ขอให้เป็นอย่างนั้น
คิดไปคิดไปมันก็น่าเศร้า น่าสงสาร เสียเงินเสียทองกันเป็นอันมากมาย ก็ไม่ได้ทำให้เต่าสักตัวยืนตายพระพุทธเจ้าไม่ได้เสียสตางค์หนึ่งได้ทำให้แรดให้เต่าลืมตาเป็นฝูงๆ เป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านๆ เดี๋ยวนี้สมาคมนั่น สมาคมนี่ เผยแผ่นั่นเผยแผ่นี่ ที่มันเป็นล้านๆ ทำให้เต่าสักตัวหนึ่งลืมตาก็ไม่ได้ ก็ยังอวดดีกันนัก ยังยกหูชูหางในความเป็นอาจารย์ เป็นอาจารย์ก็ยกหางหาลูกศิษย์ ฟังออกไหมเป็นอาจารย์ที่ยกหางเที่ยวหาลูกศิษย์ว่าลูกศิษย์อยู่ที่ไหนบ้างจะเอามาเป็นลูกศิษย์ ครูบาอาจารย์อย่างนี้ยังมีอยู่มาก ยังมีอยู่มาก นี่ข้อความอย่างนี้กล่าวไว้นิดๆหน่อยๆ ในพระไตรปิฎก คนที่แต่งหนังสือกามนิตเอามาเขียนเสียชัดเจนยืดยาวประนามหยามน้ำหน้าพวกอาจารย์ที่เที่ยวหาลูกศิษย์
เดี๋ยวนี้มันเต็มไปหมด เป็นอาจารย์เที่ยวหาลูกศิษย์ มันมีความหมายหลายอย่าง เมื่อเกิดลูกศิษย์ หากันเป็นลูกศิษย์นี่ก็ไม่เท่าไร นี่คือความบกพร่อง ความชะงักงันของพวกเรา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกายังชะงักงันไม่เวียนประทักษิณ คือไม่เวียนขวาและขึ้นๆ ไป ไม่ใช่ลงๆ จมลงไป ไม่เวียนประทักษิณ แม้วันนี้มาเวียนประทักษิณ จะประทักษิณอย่างไรก็ไม่รู้คอยดู จะประทักษิณมีแต่ประทักษิณขึ้น หรือว่าประทักษิณลง
ญาติผู้เฒ่าของอาตมาคนหนึ่งเขาเป็นคนแก่วัด อุบาสกแก่วัด แกบอกอาตมานี่มาบวชแล้วหลายพรรษา แกว่าคำสอนที่ดีที่สุดอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน พวกโบราณก็สอน โนราห์เพราะมีบทร้องโนราห์อยู่ตอนหนึ่ง สวยขึ้นเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวสวยลงเรื่อยๆ สวยลงเรื่อยๆ สวยลงเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาบอกว่ามีสอนอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า สอนขึ้น สวยขึ้นเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ บทร้องของมโนราห์มีอยู่ตอนหนึ่ง คือมันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ก้าวขึ้นนิพพาน แต่บางทีมันก็สวยลงเรื่อยๆ สวยลงเรื่อยๆ มันติดปากติดปาก มันจมไปในกิเลส จำ ๒ คำนี้ไว้ก็พอ อย่าให้มันสวยลงเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสิ่งที่เรียกว่าอตัมมยตาสติปัญญาอันเชียวอันชาญฉลาดที่ได้เกิดมาจากการอบรมสั่งสอนให้ถอนตัวออกมาเสียจากสิ่งที่ติดอยู่ ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ถอยออก ถอนออกมาเสียได้ มันก็ไปขึ้นไป นั่นแหละคือเรียกว่าก้าวหน้าในทางแก่นพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดามีลักษณะสวยขึ้นเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ ไม่นั่งโง่หลับตาเป็นแรดอวดดีอยู่คนเดียว มันเพ้อเจ้อแล้วยัง
นี่เกือบ ๒ ชั่วโมง ที่พูดนี่เพ้อเจ้อ อาตมารู้สึกว่ามันจำเป็น จำเป็นที่จะต้องพูดกันตรงๆ อย่างนี้ เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว กี่ปีกี่ปีมันก็ไม่เกิดการเคลื่อนไหวไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวก็แต่คำพูด หรือการแสดงท่าทางเป็นพิธีรีตรอง จิตใจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางสูงขึ้น สูงขึ้น ให้เราพูดกันตรงๆไม่ละอายกันแล้วพูดกันเองไม่ไม่มีคนนอก พูดกันเพื่อนเพื่อนกันเอง เพื่อนพุทธบริษัทในวงพุทธศาสนากันเอง พูดกันตรงๆ ไม่ต้องละอาย ถ้าอย่างไรก็มาทำเป็นเรื่องเป็นราวตรงตามหลักพระพุทธศาสนา คือออกมาเสียจากทุกข์ ทีนี้ก็มาจัดการกับความรู้ ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้และสอนไว้ มารู้ตาม รู้ตาม ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นว่าที่จริงวันนี้ก็เป็นวันที่ควรจะจัดการกับการที่เรารู้อริยสัจจ์ ๔ ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้น ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สำเร็จประโยชน์ยิ่งขึ้น เวลาชั่วโมงสองชั่วโมงอยู่ที่นี่ทำได้ที่ไหนกัน มันต้องทำเป็นวันเป็นคืน ทบทวนความรู้เรื่องอริยสัจจ์ที่ละเอียด ต่อไปก็เรียกว่าเรื่อง อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ถ้าเอากันแต่ย่อๆ พูดกันน้อยๆ คำ ก็คืออริยสัจจ์ ๔ แต่ถ้าแจกให้ละเอียดละเอียดมันจะกลายเป็นเรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา มาถึงเรื่องอริยสัจจ์โดยย่อเรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร แล้วอาตมาก็จัดให้สอนให้เป็นหลักสูตรสำหรับพวกฝรั่งอุตส่าห์มาจากที่ไกลมาขอศึกษา ขั้นแรกก็ขอให้เรียนรู้อริยสัจจ์หรือปฏิจจสมุปบาท แล้วก็ให้ปฏิบัติตามนั้นให้ได้ด้วยอานาปานสติ ภาวนา มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ไม่มีอะไรเป็นหัวใจ ก็ขอสารภาพว่ายังไม่สำเร็จ ยังเป็นเต่ากันอยู่ทั้งผู้สอนและผู้เรียน ยังเป็นแรดอยู่ทั้งผู้สอนและผู้เรียน ยังไม่พ้นจากความเป็นแรดและความเป็นเต่า มันมีอยู่นิดเดียวมันได้นิดเดียว ยังจะต้องทำกันอีกมากจะต้องทำกันอีกมากกว่าจะมีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตาเพียงพอจะปฏิบัติได้ในเรื่องอานาปานสติ ภาวนาอย่างเพียงพอ
วันนี้ยังเป็นเรื่อง เป็นวันเจ้าของเรื่อง วันนี้เป็นวันเจ้าของเรื่อง เรื่องอริยสัจจ์ เรื่องปฏิจจสมุปบาท และก็เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามอัฏฐังคิกมรรค ไปเรียกว่าอัฏฐังคิกมรรคเสีย คนที่โง่ไม่รู้ว่านั่นคือเรื่องอานาปานสติ ลองปฏิบัติอานาปานสติสมบูรณ์ อัฏฐังคิกมรรค มันก็สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองว่าอานาปานสติสมบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ก็สมบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์ โพชฌงค์ก็สมบูรณ์ มรรคก็สมบูรณ์ โพชฌงค์สมบูรณ์ มรรคก็สมบูรณ์ ปฏิบัติอานาปานสติให้สมบูรณ์ โพชฌงค์จะสมบูรณ์ อริยมรรคก็จะสมบูรณ์ แต่เรายังทำไม่ได้เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วเราก็ยังไม่มีกำลัง กำลังทางจิตนะมันยังน้อย ไม่ใช่กำลังทางอื่น เอาหละแม้ว่ามันจะทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ วันนี้มีอีกสองสามชั่วโมงจะค่ำแล้ว จะพูดกันได้กี่มากน้อย จะทำความเข้าใจกันได้กี่มากน้อย ก็ทำความเข้าใจกันนี้ว่าให้มันลีกๆ ลึกขึ้น ลึกขึ้น คือ เวียนขึ้น เวียนขึ้น สวยขึ้นเรื่อยๆ เวียนขึ้น เวียนขึ้นโดยหลักของประทักษิณ ประทักษิณ เวียนขึ้น เวียนขึ้น นี่คือศึกษาก็เป็นประทักษิณด้วยการปฏิบัติ เป็นประทักษิต
ผลของการปฏิบัติก็เป็นประทักษิณคือ เวียนขึ้น เวียนขึ้น เวียนขึ้น นี่พูดหมดจะพูดถ้าจะพูดได้ไหม พูดจนหมดไม่รู้จะพูดอย่างไร มันจะติดอยู่ในจิตเท่าไรอาตมาก็รับประกันไม่ได้ ท่านทั้งหลายก็ต้องรู้ด้วยตนเองว่าความจริงข้อนี้จะเป็นที่ประจักษ์แจ่มแจ้งแก่ในตัวท่านเองอย่างไร จะติดกลับไปบ้านได้กี่มากน้อย แล้วจะไปปฏิบัติได้ยืดเยื้อต่อไปอีกสักเท่าไรก็แล้วแต่ แต่เวลาพูดมันมีสองสามชั่วโมง มันก็พูดอย่างนี้ ถ้าไม่พูดอย่างนี้มันไม่สวยขึ้นเรื่อยๆ คือมันจะไม่เวียนขึ้นเวียนขึ้นเหมือนกับเวียนประทักษิณ มันจะหยุดอยู่กับที่และจะกลับจมจมลงไปเสียอีก
วันพระธรรมวันพระธรรมโชคดีกี่มากน้อยได้มาพูดกันเรื่องพระธรรมชอบชั่วโมง ถึงไม่ถึงก็ไม่รู้ พระธรรมมาพูดกันเรื่องพระธรรมสองสามชั่วโมง และถ้าไม่เหลวไหลกันค่ำนี้พูดกันอีก ถ้าไม่เหลวไหลถ้าไม่เบื่อ ไปคิดดู พูดวันละสี่ห้าชั่วโมงแล้ววันเดียวจะได้สักกี่มากน้อยอะไร พระธรรมพระธรรมอันมหาศาล ที่เขาพูดว่า ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์นั้น อาตมาว่าน้อยไปพวกเด็กเล่น ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์มันมากกว่านั้นมากแต่ก็ไม่รู้ รู้เพียงว่า ๘๔๐๐๐ ที่จริงมันทั้งหมดมันมากกว่านั้นมาก มาสะสางความถูกต้องเกี่ยวกับตนเอง ความรู้ของตนเอง ความปักหลักอยู่ในวัฏฏะของตนเอง ในมโนราห์เรียกว่าสวยลงเรื่อยๆ สวยลงเรื่อยๆ จนโคลนมิดหัว นี่สวยลงเรื่อยๆ แต่ทำเล่นกับมันปล่อยให้มันจมมิดหัวเสีย พอถึงวันนี้ก็ดึงกันขึ้นมาที ดึงกันขึ้นมาทีจะอยู่สักกี่วัน ก็ยังดีกว่าไม่ดึง ปลุกปลุกกันเสียที ปลุกกันเสียที พอถึงวันที่จะต้องปลุก มันก็ปลุกกันเสียทีให้มันมีความถูกต้อง ให้มันมีความก้าวหน้าที่ถูกต้อง ให้มันเวียนประทักษิณคือดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้พระพุทธเจ้าแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรมีหัวใจเป็น ๒ คำ มัชฌิมา มัชฌิมาปฏิปทา นี่กลางอยู่กลางกลาง อีกคำ หนึ่งก็สัมมา สัมมา สัมมา สัมมาสติ สัมมากัมมันตะ สัมมา สัมมานี่มันเรื่องถูกต้อง เรื่องถูกต้อง นี่ถ้าพูดเรื่องกลางก็ถูกต้อง ถ้าได้ผลเป็นอริยสัจจ์ข้อที่ ๓ ทุกขนิโรธก็เป็นเรื่องว่าง ว่าง ว่าง และก็เหนือ เหนือทุกอย่าง
นี่อริยสัจจ์จับใจความสำคัญได้ว่า ท่านพูดเรื่องกลาง กลาง แล้วก็ท่านพูดเรื่องถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง พูดเรื่องว่าง ว่าง ว่าง ว่าง ว่างและมันก็เหนือ ที่จริงถ้าฟังถูกแล้วจะเห็นจะเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ต้องพูดเป็น ๔ คำ ๕ คำ เอ้าเช่นสมมุติกันพูดคำว่ากลาง กลาง และอะไรมันเป็นกลางยิ่งกว่าคำว่าว่าง คำกลางที่ตรงไหนที่มันกลางยิ่งกว่าความว่าง ความว่างแล้วมันเป็นความกลางที่สุด ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่หน้าไม่หลัง ไม่บนไม่ล่าง ความว่างเป็นกลางที่สุด
เหนือกว่ามันอะไรที่จะเหนือสิ่งทั้งปวงความว่างนี่มันไม่มี ที่มันจะถูกต้องมันไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าความว่างหรือความเหนือสิ่งทั้งปวงได้ จะถูกต้องจะถูกต้องถึงที่สุด
ไปจัดการปรับปรุงกันเสียใหม่ในชีวิตประจำวันให้การดำเนินไปในชีวิตประจำวันของเรามีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องเรียกว่ามันก็จะเหนือขึ้นไป เหนือขึ้นไป เหนือขึ้นไปจนถึงว่าง ดับทุกข์สิ้นเชิง แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีไม่มีใครต้องการจะถูกต้อง ต้องการแต่จะดี ดี ดี รวย รวย รวย สวย สวย สวย สวย เขาถือว่าดีคือถูกต้อง ที่จริงดีมันบ้าก็ได้ ยิ่งดียิ่งบ้าก็ได้ เชื่อเรื่องดีไม่ใช่กลาง มันสุดเหวี่ยงสุดโต่ง ทำดีสุดโต่งก็ทำดีสุดโต่งก็ทำชั่วไม่ใช่กลาง มันก็ดีเป็นที่รักนึกถึงเกียรติยศชื่อเสียงหูชูหางมันก็บ้าดี ถ้ามันรู้จักความถูกต้องมันก็บ้าดี มันก็หูชูหาง มันดูแต่ใครหางมันยาวยกสูงๆ ไว้คนนั้นมันบ้าดี มันไม่รู้จักความถูกต้อง มันไม่รู้จักความถูกต้อง ถ้ามันไม่รู้จักความถูกต้องมันบ้าดี มันไม่มีหางมันไม่ได้ยกหาง นี่มันเป็นเรื่องธรรมดาคำพูดอย่างธรรมดาแล้ว ไม่ใช่พระบาลีไม่ใช่คำบาลีไม่ใช่คำแก้อรรถ คำธรรมดาๆ คำกลาง ขอจงยึดหลักบนความถูกต้อง อย่าว่าดี ว่าสวย ว่ารวย ว่าสวรรค์วิมาน เอาถูกต้องถูกต้อง ถ้าถูกต้องแล้วก็ไม่เป็นทุกข์เหนือดีเหนือชั่วไปเลย ถ้ายังดียังชั่วอยู่ยังไม่ถูกต้อง บ้าดีวินาศ บ้าชั่วก็วินาศ มันบ้าอะไรบนความถูกต้อง สัมมา สัมมา ถูกต้อง
ภาวะแห่งความถูกต้องเรียกว่า สัมมัตตะ สัมมัตตะ สัมมาแปลว่าซึ่งมีความถูกต้อง สัมมัตตะแปลว่าภาวะแห่งความถูกต้อง สัมมาหรือสัมมัตตะนี่คือตัวพระพุทธศาสนา ตัวความถูกต้อง เป็นตัวพระพุทธศาสนา เหนือดีเหนือชั่วเหนือให้หมด เหนือความทุกข์ เหนือความทุกข์ยังมีเป็นนิพพาน เหนิอดีเหนิอชั่วจึงจะเป็นความถูกต้อง ถ้ามาจมอยู่ที่ดีที่ชั่วนี้ก็ไม่มีความถูกต้อง แต่บางคนถูกต้องมีความหมายให้ดี ดี ดีกว่า เอารวยเอาสวยกันดีกว่า เอาถูกต้องไปไหน นั้นขอให้รู้เสียว่าดีมันบ้าไปทิศหนึ่ง ชั่วมันบ้าไปทิศหนึ่ง ถูกต้องมันไม่บ้าไปไหนมีแต่จะสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปถึงนิพพานสูงสุด พอถึงนิพพานมันก็ไม่มีที่ไปแล้ว เรียกว่าถึงที่สุดของความว่างแล้ว
ถ้ามีสติปัญญาก็จะเห็นได้ว่าแม้พระบาลีถึงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็ได้สอนเรื่องสำคัญ มีใจความสำคัญไว้ว่ากลาง กลาง กลาง อย่าซ้ายอย่าขวา อย่าตาย อย่าหัก นี่มันกลาง กลาง ถูกต้อง ถูกต้องก็ไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดความทุกข์ ไม่เกิดกิเลส มันก็ว่าง ว่าง ว่างจนไม่มีอะไรปรุงแต่ง
ถ้าปรุงแต่งแล้วมันยังยุ่ง แม้ปรุงแต่งฝ่ายดีมันก็ยุ่ง อย่าปรุงแต่งเลย อย่าเอาปรุงแต่งเลย เอาไม่ปรุงแต่งดีกว่า มันจะเนื้อดีทุกคนดีจะไม่มีปัญหา และขอให้จำไปบ้านกลับไปบ้านอย่าให้เสียเวลาว่ามาไกลเปล่า มาวันนี้เป็นวันธัมมจักร พระองค์ทรงแสดงธรรมมีความหมายให้เห็นว่ากลาง กลาง อยู่กลาง อยู่ตรงกลาง ด้วยความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง มีสูงขึ้นไป ขึ้นไป ขึ้นไป เหนือขึ้นไป เหนือขึ้นไป สุดเหนือก็ว่าง ว่าง ว่าง ว่าง
นิพพานัง ปรมัง สุญญัง พระนิพพานว่างอย่างยิ่ง คำนี้เป็นคำผูกกันทีหลังในเมืองไทย ในพระบาลีคำอริยมรรค พูดแบบนิพพานว่า ว่าง ว่าง ว่างแต่ไม่ได้สรุปเป็นบาตรคาถาว่านิพพานัง ปรมัง สุญญัง นี่บอกให้รู้เผื่อใครยังไม่รู้ เป็นคำผูกกันขึ้นมาทีหลังเป็นอรรถคาถา อรรถคาถาธรรมบทโดยเฉพาะ นิพพานัง ปรมัง สุขขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง หรือจะไม่มีสุญญังก็ไม่ทราบนะ แต่ว่าคำนี้ผูกขึ้นในประเทศไทยว่านิพพานว่าง นิพพานสุขอย่างยิ่ง นิพพานสุขอย่างยิ่ง และนิพพานว่างอย่างยิ่งในบาลี(นาทีที่ 1.22.18)ปฏิ...ก็พูดไว้มากเหมือนกันแต่ได้พูดในรูปธรรมอย่างอื่น ไม่ใช่รูปคำกลอนว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ไม่ใช่พูดคำกลอนอย่างนี้พูดคำร้อยแก้ว แต่ก็ยึดถือได้ เชื่อถือได้ว่านิพพานว่างอย่างยิ่ง แต่เชื่อว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งนั้นต้องตีความหมายให้ถูกต้องว่าสุขชนิดไหน ถ้าสุขชนิดเป็นสังขารละก็แย่เลย สุขอย่างยิ่งคือยุ่งอย่างยิ่ง ทุกข์อย่างยิ่ง ต้องเหนือสุข เหนือสุขจึงจะสุขอย่างยิ่ง
พอใจความถูกต้อง พอใจความเหนือสุข อย่าบ้าสุขหลงสุขพอใจเหนือสุข พอใจที่จะว่าง ที่จะว่าง ดำเนินชีวิตสายกลางที่ถูกต้อง แล้วก็จะเลื่อนขึ้นไปเองโดยอำนาจของ อตัมมยตาก็จะไปสู่ความว่างอันสูงสุดและเรื่องมันก็จบ
พูดให้เด็กๆ ฟังก็พูดสั้นๆ ว่าจากชั่วมาถึงดี ขึ้นจากดีก็ถึงว่าง ถึงว่าง จากทุกข์มาถึงสุข ขึ้นจากสุขอีกทีก็ถึงว่างว่างนั่นแหละเหนือทั้งหมด เหนือความหมายทั้งหมด พอว่างแล้วมันจะมีปัญหาอะไรได้ ไม่มีที่ตั้งแห่งปัญหา ไม่มีตัวปัญหา ไม่มีอะไรเพราะมันว่าง เพราะอย่างนั้นเราจึงสงบ สงบ พระนิพพานจึงเป็นสันติอย่างยิ่ง สงบอย่างยิ่ง อย่าไปใช้คำว่าสุขเลย
นี่พระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตรมีใจความสอนให้รู้จักกลาง กลาง อย่าซ้ายอย่าขวา แล้วก็ให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ไม่บ้าดีหลงดี บ้าชั่วหลงชั่ว ให้ถูกต้อง ถูกต้อง มันเหนือทุกอย่าง เหนือสิ่งที่ปรุงแต่งแวดล้อมทุกอย่าง ทุกอย่างเหนือเหนือจนว่างหมดเลย นี่ใจความของพระบาลีธัมมจักเป็นอย่างนี้ แต่ไม่มีใครสนใจ ขอพูดคนแก่ๆ ที่มีอยู่บ้าง คนแก่ๆ สนใจสวดธัมมจักต่อเมื่อพระสวดถึง (นาทีที่ 1.25.01-1.25.05) ไม่ได้ถอดเสียง เป็นคำบาลี เอาเทียนไปจุดบนหลังประตูนั้น (นาทีที่ 1.25.09) ธัมมจักก็มาสวดธุมมนังประเคน รับเทวดาต้อนรับเทวดา บาลีธัมมจักว่าอะไรก็ไม่รู้ เรื่องนี้ขอค้านอย่างยิ่ง คล้ายๆ กับเทวดามารับรองพระพุทธเจ้า ไม่ไหวไม่ไหวอย่าทำ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ต้องมีใครรับรอง นี่ให้เทวดามารับรองว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จริงมีอย่างนั้นอย่างนี้เล่าลือกันไป เหมือนกับเทวดามาเป็นเครื่องรับรอง หนังสือรับรอง เทสติโมเนี่ยล (Testimonial) ที่เขาใช้กันในบ้านในตลาด หนังสือรับรอง พระพุทธเจ้าไม่ต้องให้ใครรับรอง อย่าให้เทวดาต้องรับรองพระพุทธเจ้า สอนไม่ถูกอย่างนี้เราปฏิบัติได้ถูกก็ถึงกลางและถูกต้อง มันก็เหนือ มันก็ว่าง
นี่คือวันนี้ วันนี้ ใจความสำคัญของพระธรรมที่แสดงในวันนี้มันเป็นอย่างนี้ เรียกว่าวันอาสาฬหบูชา หรือวันแสดงธัมมจัก วันที่ประกาศอำนาจของพระองค์ พุทธจักรคือความจริงที่มีอำนาจ ประกาศออกไปอย่างนี้ว่าความทุกข์มาจากตัณหา ดับตัณหาเสียด้วยความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ๘ ประการ อย่าไปหลงกามสุขัลลิกานุโยคข้างซ้าย อย่าไปหลงอัตตกิลมถานุโยคข้างขวา เป็นกลางและก็ถูกต้องและก็ขึ้นไปเหนือๆ และก็ว่างในที่สุด
อาตมาก็ได้แต่พูดตรงๆ อย่างนี้แหละ แล้วก็พูดในความหวังดีว่าพวกเราทั้งหมดนี่จะได้ไปร่วมมือ ร่วมมือ ร่วมมือกันกอบกู้ กอบกู้สถานะของเราเอง ถ้ายังสวยลงเรื่อยๆ หรือหยุดอยู่เป็นเต่าเป็นแรดเรื่อยๆ นี่ช่วยกันกู้สถานะนี้ให้พ้นจากความเป็นเต่าเป็นแรด ให้มันสวยขึ้นเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นนกจะได้บินไป ใครจะด่าว่าพูดตั้ง ๒ ชั่วโมงนอกพระคัมภีร์ก็ตามใจ แต่นี่หัวใจของพระบาลี หัวใจของพระคัมภีร์ซึ่งเป็นความลับของคนโง่อยู่ที่ปลายจมูก อยู่ที่หน้าผากมันมองไม่เห็น เป็นความลับก็มันอยู่ที่ปลายจมูกอยู่ที่หน้าผากที่คนโง่มองไม่เห็น มันเป็นเต่าเป็นแรดต่อไป ก็ไม่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ปลายจมูกที่หน้าผาก คืออย่าไปติดซ้ายติดขวา ให้อยู่ตรงกลาง ให้อยู่ตรงกลาง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องอย่างเดียวอย่างอื่นไม่เอา เราจะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยความถูกต้อง ไม่ได้แก้ปัญหาด้วยความดี ความงาม ความสวย ความรวย มันแก้ปัญหาไม่ได้ มันเพิ่มปัญหาทั้งนั้นแหละ ที่แก้ปัญหาได้มีอย่างเดียวคือความถูกต้อง ความถูกต้อง อย่าไปบ้าดีเมาดี บ้าสวย หลงร่ำหลงรวย มันไม่แก้ปัญหาอะไรได้
นี่ก็ขอให้เตรียมจิตใจเพราะว่าที่เทศน์นี่เทศน์เพื่อเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะสม ให้เป็นจิตใจที่เหมาะสมที่จะทำอาสาฬหบูชา จึงขอให้ท่านทั้งหลายเตรียมจิตใจ เตรียมจิตใจเพื่อให้เหมาะสมเพื่อจะทำพิธีอาสาฬหบูชาให้สำเร็จประโยชน์ ทำจิตใจเป็นกลาง ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่หน้าไม่หลัง ไม่บนไม่ล่าง เป็นกลางและถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ไม่เอาดีเอาชั่ว ไม่เอาบุญเอาบาป เอาถูกหวยไม่เอา เอาแต่ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง และก็ให้ขึ้นเหนือกิเลส เหนือสิ่งปรุงแต่ง สังขารการปรุงแต่งหยุดมันไม่ได้ ขึ้นเหนือ หลังจากนั้นถึงว่าง ถูกต้อง เป็นกลาง ถูกต้องเหนือแล้วก็ว่าง เป็นกลาง เป็นกลาง ถูกต้องและเหนือความว่าง ที่จริงภาวนาอย่างนี้จะได้ผลดี แต่เขาไม่เคยทำกันเขาจะว่าบ้าบอมันก็ต้องสวดอิติปิโสไปตามเรื่อง ทำอย่างไรได้ ที่มันสวดว่ากลาง ถูกต้อง เหนือ ว่าง นี่เขาจะว่าเราบ้า เราก็ไม่สวดให้เขาได้ยิน เราก็ว่าแต่ในใจ เตรียมจิตใจให้กลาง ให้ถูกต้อง ให้เหนือสิ่งว่าง ปากจะสวดอิติปิโสหรือสวดอะไรก็ตามใจ แต่จิตใจนี้เป็นกลาง ถูกต้อง เหนือ ว่างเรื่อยไปคือหัวใจของพระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
พระองค์ได้ทรงแสดงเปิดเผยสิ่งที่ทรงค้นพบ ความลับที่ทรงค้นพบมาเปิดเผยให้แก่พวกเรา ให้เราไปคิดเองไม่มีวันจะพบ เรียนจากพระพุทธองค์ เรียนจนพบ เรียนมันสั้น มันง่ายขึ้นอีกมาก ก็คิดไปตามที่พระองค์ได้เคยคิดแล้วมันง่ายกว่ามากที่จะไปคิดค้นเองทั้งหมด ต่อไปนี้ถ้าใครว่าคนที่ยึดหลักเป็นกลาง เป็นกลาง และก็ถูกต้อง ถูกต้อง ก็ขึ้นเหนือ ขึ้นเหนือ ขึ้นเหนือวัฏฏะ แล้วในที่สุดก็ว่างเป็นนิพพาน เป็นกลาง เป็นกลาง และก็ถูกต้อง ถูกต้อง ขึ้นเหนือ ขึ้นเหนือ แล้วก็ว่างเป็นนิพพาน ถ้าไม่มีอัตตา มี(นาทีที่ 1.31.45) ญัตตาอยู่มันไม่กลาง มีดีมีชั่วไม่กลาง มีสุขมีทุกข์ไม่กลาง มีสวรรค์มีนรกมันไม่กลาง มันสุดเหวี่ยงซ้ายขวา อย่าไปเสียดายเลยสวรรค์มันเป็นเรื่องเด็กเล่น เสียดายทำไม เราไม่มีสวรรค์ดีกว่าเอาถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง เป็นกลาง เป็นกลาง เอาไม่ดีไม่ชั่ว เอาถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องดีกว่า ไม่ต้องบ้าดีหลงดี เดี๋ยวนี้มันบ้าดีหลงดีกันหมด ไปโรงพยาบาล
นี่เวลามันสมควรแล้วพูดมากกว่านี้ก็บ้าเอง เวลาสมควรแล้วขอให้จำใจความสำคัญ อย่าให้โง่มโนราห์สวยขึ้นเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ มันสวยขึ้นเรื่อยๆ คือมันถูกต้องเรื่อยๆ ถูกต้องมาเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งจะถึงพระนิพพาน สิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ควรจะถึง เอาเป็นว่าขอให้ท่านทั้งหลายเตรียมจิตใจให้พร้อม ให้มันเป็นกลาง ให้มันว่าง ให้มันถูกต้อง เป็นจิตใจที่พร้อมที่จะทำอาสาฬหบูชา ถ้าจิตใจถูกต้องร่างกายก็ถูกต้อง อย่าไปห่วงเลยร่างกาย ทำจิตใจให้ถูกต้องเถิดร่างกายถูกต้องไปตามเอง ทำจิตใจให้ถูกต้อง ให้มันเป็นกลาง ให้มันถูกต้อง ให้มันขึ้นถึงเหนือการปรุงแต่งและก็ว่างเป็นพระนิพพาน ให้มีจิตใจหมายมั่นอยู่อย่างนี้แล้วก็เป็นจิตใจที่ถูกต้องสำหรับจะทำพิธีอาสาฬหบูชา
อาตมารับรองว่าแม้จะมาจากที่ไกลเสียค่าเรือบินมาตั้งหลายรอยหลายพันก็คุ้มค่าคุ้มค่าถ้าทำได้อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ อาตมาไปลำบากยากเข็ญอะไรก็คุ้มค่าขอให้ได้อย่างนี้ ได้ความเป็นกลาง ได้ความถูกต้อง ได้ความ ขึ้นจากกิเลสแล้วก็ถึงว่างในที่สุดเป็นพระนิพพาน เป็นอันว่าธรรมเทศนาที่แสดงมาเพื่อเป็นการเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้มีความเหมาะสมที่จะกระทำพิธีอาสาฬหบูชานี้ ก็มากพอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ทำในใจตามนั้นให้สำเร็จประโยชน์ ให้มีความเหมาะสมเพื่อจะทำพิธีอาสาฬหบูชาต่อไป ขอยุติธรรมเทศนา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้