แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมมิก สพรหมจารีทั้งหลาย เรามาพูดกันในเวลาอย่างนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กว่าเวลาอื่น กำลังกาย กำลังจิต กำลัง รวบรวมกันดีเข็มแข็งถึงที่สุด เหมือนคำกล่าวของกวีคนหนึ่งว่า เริงสำราญเหมือนดอกไม้บานยามเช้า ข้อนี้มันก็มีความหมายอยู่บ้างเหมือนกันนะ คือเป็นเวลาที่มันเป็นสมาธิอัตโนมัติ ง่าย แม้ดอกไม้นี้ก็เถอะ ถ้ามันเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นดี มีอะไรมันก็ช่วยความเป็นสมาธิได้ ไม่ใช่จะนำมาแต่ความฟุ้งซ่าน เราจึงเลือกเวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่สนทนาธรรมปรึกษาหารือ สำหรับหัวข้อที่จะพูดกันในวันนี้ ขอสรุปสั้น ๆ ว่า มาช่วยซ่อมแพกันเถิด เมื่อวานเราพูดถึงเรื่องแพแตก วันนี้เราก็มาพูดกันเรื่องว่ามาช่วยซ่อมแพกันเถิด
พระพุทธองค์ไม่ใช่บุคคลแพแตก พวกเราต่างหากล่ะที่ทำแพแตก แล้วก็โดยไม่รับผิดชอบและโดยไม่รู้ว่าใครควรจะรับผิดชอบ พระพุทธองค์ทรงมอบให้แล้วเป็นแพที่สมบูรณ์ นี้เรามาทำแตกกันเสียเองในภายหลัง การเผยแผ่ การแพร่ไปแห่งพระศาสนาตลอดเวลาสองพันปีนี่ มันก็ยิ่งไปได้หลายทิศหลายทาง เข้าไปปะทะกับวัฒนธรรมสายอื่น ๆ มันเข้าผสมปนกันเข้าไป นั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดพุทธศาสนาใหม่ ๆ ขึ้นมาหลายรูปแบบ จนต้องเรียกว่า พุทธศาสนาในประเทศไทย ในประเทศลังกา ในประเทศพม่า ในประเทศจีน ยุ่งไปหมด ไอ้ทั้งหมดนี้มันเป็นไปเพื่อกิเลส เป็นไป เป็นไปโดยอำนาจของกิเลสของเราเองทั้งนั้นแหละ คือของคนพวกนั้นน่ะ โดยไม่รู้สึกตัว และการที่พุทธศาสนา เข้าไปผสมกับวัฒนธรรมประจำชาติของประเทศนั้น ๆ มันเป็น เป็นปัญหา คือไม่ผสมก็ไม่ได้ ถ้าผสมแล้วมันจะเป็นอย่างไร มันจะเป็นของเก่าอยู่ได้อย่างไรนี่ก็ลองคิดดู ถึงไม่ผสมมันก็ไม่ได้ มันก็เข้ากันไม่ได้ หรือมันไม่ต้อนรับบ้าง ไม่พอใจบ้าง นี่เป็นเหตุให้ได้พุทธศาสนาหลายรูปแบบ จนเกิดคำพูดขึ้นว่าต้องเลือก ต้องเลือกพุทธศาสนา เลือกศึกษา เลือกปฏิบัติหรือเลือกอะไรก็แล้วแต่
อาการนี้ก็เป็นไปโดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่ได้เจตนา โดยไม่รู้สึกตัว หรือว่าเจตนาก็คิดว่าเจตนาดี จะยิ่งดี มันยิ่งเป็นปัญหา ยิ่งเป็นกันไกล ยิ่งไปกันเลอะ ไม่รู้สึกตัว มันจึงเป็นได้มากถึงอย่างนี้ ถ้ามีความรู้ถูกต้องหรือรู้สึกตัวอยู่มันก็ไม่ ไม่งอก งอกออกไปเป็นเนื้องอกแบบนี้ ลองเปรียบเทียบกันดู พุทธศาสนาทีแรกแยกเป็นนิกายแล้วก็เป็นไปตามทิศทางต่าง ๆ มันมีอะไรงอกออกไปกี่มากน้อย ทำความลำบากให้แก่ผู้ที่จะศึกษาในภายหลัง มันจึงมีการแตกในทางความคิดเห็นนี่ได้เป็นแขนง ๆ ออกไป ไม่อย่างนั้นแล้วมันแยกนิกายไม่ได้ แล้วมันยังมีประโยชน์ทางวัตถุเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย นี่ก็เลยพอดีไป
ต่อมาเรื่องการเมืองมันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยมันยิ่งไปกันใหญ่ พุทธศาสนาส่วนที่เป็นรูปร่างรูปโครงข้างนอกมันจึงแตกแยกเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนที่เป็นเนื้อในแท้ ๆ ถึงอย่างไรมันก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่ามันก็ลำบาก แล้วมันติดต่อกัน เกี่ยวข้องกัน สัมผัสกันแต่ส่วนที่มันเป็นรูปร่างภายนอก ทีนี้มองดูว่าการแตกนั้นได้แตกออกไปเป็นกี่เสี่ยง กี่ขีด กี่แฉก กี่แยกนี่ ก็ได้พูดกันมาแล้วเมื่อวาน การบรรยายเมื่อวาน ควรจะมาทำในใจอีกสักครั้งหนึ่งว่ามันเป็นไปในทิศทางไหน เพื่อให้เกิดอะไรขึ้นมา ถ้าเราจะย้อนไปนึกถึงพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ในสมัยที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ท่านจะเห็นได้ว่า มันไม่มีอะไรมากมาย ไม่มีรูปไอ้โครงร่างโครงสร้างหรืออะไรประกอบมากมาย ท่านพระพุทธเจ้าตรัสว่า ตอนนี้ก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี เราบัญญัติเฉพาะเรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น เดี๋ยวนี้เรามันเติม มันเติมเข้าเอง เราเติมกันเอง เพื่อความเจริญ เพื่อความเจริญ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น อย่างเป็นสวรรค์วิมาน เป็นเรื่องโลก เรื่องธรรม เรื่องอะไรยุ่งไปหมด เอาปัญหาของชาวบ้านมาใส่เข้าไปด้วย ถ้านึกถึงพระพุทธภาษิต ที่ตรัสว่า เรานำมาสอนแก่เธอทั้งหลายเทียบได้กับใบไม้กำมือเดียว นี่มันต่างกันน่าใจหาย เข้าใจว่าเคยอ่านเรื่องนี้กันมาแล้วทุกรูป ทุกองค์ พระพุทธเจ้าทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่ง เปรียบเทียบให้ดูกับใบไม้ทั้งป่า แล้วก็แบบว่า เราสอนนี่กำมือเดียว ที่มันพอ มันพอสำหรับจะดับทุกข์ พูดแต่เรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์นั่นแหละ มันก็ไม่มีอะไร มันก็ไม่มีพิธีรีตอง ไม่ได้มีอะไรมาก วินัยแม้จะว่ามีหลายข้อ มันก็รวมตัวได้เป็นอุปกรณ์ของพระธรรม ของธรรมะ มันช่วยให้ดับทุกข์ง่ายขึ้น มีการเป็นอยู่ชนิดที่จะไม่เกิดปัญหา ช่วยกันดับทุกข์ได้มากขึ้น
เมื่อเราเรียนกันแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ มันก็รัดกุม รัดกุมดีมาก เจาะจงลงไปที่ความทุกข์ และกระทำกันอย่างตรงกันข้ามกับความทุกข์มันก็ดับทุกข์ เรื่องมันก็มีเท่านี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีอะไรอีก อย่างที่พูดกันแล้วเมื่อวาน มากเหลือที่จะมาก ขอให้มาคิดใคร่ครวญทบทวน ว่าเราจะผูกแพที่กระจัดกระจายนั้นน่ะกันใหม่อย่างไร มันแตกไปกี่เสี่ยง กี่เสี่ยง เป็นเสี่ยง ๆ อย่างไร เราจะผูก ผูกมารวมกันใหม่ในรูปเดิมอย่างไร
เราลองทำภาพพจน์ของการแตกกระจายออกไปของพ่วงแพดู เมื่อแพแตก มันก็ส่วนประกอบไม้ไผ่โดยเฉพาะมันก็ลอยกระจัดกระจาย ไปทั่วทะเล ทั่วมหาสมุทร ไปคนละทิศละทาง มันเกลื่อนไปในมหาสมุทร ในหมู่มนุษย์ซึ่งมีความต้องการต่าง ๆ กัน ต่าง ๆ กันจนนับไม่ไหว แล้วก็มีคนเก็บเอาไปใช้ในรูปอื่น ๆ ไม่ใช่ใช้เป็นแพแล้วเดี๋ยวนี่ เอาไม้ไผ่อุปกรณ์เหล่านี้ไปใช้เป็นอย่างอื่น นี่มันก็เป็นเรื่องของแพแตก ไม่ใช้ในลักษณะของพาหนะข้ามฝาก มันจะเป็นพาหนะที่ มันจะเป็นเครื่องอุปกรณ์ที่จะไม่ข้ามฝาก ที่จะตรึง ๆ ปักแน่นไปให้เป็นฐานวัฏฏะ กันอยู่ที่ตรงนี้ เหมือนครั้งพุทธกาล ชีวิตพระเราเป็นชีวิตเร่รอน เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นปักหลัก ลงหลักอะไรก็เถอะ จะตรงกันข้ามกันมาก ๆ แล้วก็ยังไม่ร้ายเท่ากับที่ว่า กลายเป็นอาวุธใช้ประหัตประหารกัน เอาไม้ไผ่มาคนละลำ คนละลำแล้วก็รำไล่เข้าหากัน แบบ อะไรก็ไปดูเอง นี่มันก็ใกล้เข้าอีก ไอ้แพแตกมันก็เลยยิ่งกว่าแพแตก สร้างปัญหาใหม่ เดี๋ยวนี้มันมาเกี่ยวข้องกันกับการค้าเป็นสินค้าไปก็มี เป็นอุปกรณ์การค้าไปก็มี เป็นศิลปวัตถุ ไม่มีที่สิ้นสุด
ฝรั่งคนรู้จักคุ้นเคยกันคนหนึ่งเขามา ผมถามเขาว่า เขาต้องการอะไร เขาต้องการศิลปวัตถุ ผมก็บอกว่า โอ้ย, ที่คุณรวมรวมไม่ใช่ศิลปวัตถุของชาวพุทธหรอก เป็นพระพุทธรูปบ้าง เป็นอะไรบ้าง เป็นศิลปวัตถุ อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยรู้จัก อย่ามาเรียกว่า พุทธศิลป์ นาทีที่ 0.15.50 ทะเสิน อะไร ถ้าจะเป็นพุทธศิลป์แล้วมันก็เป็นในเรื่องความสามารถเฉลียวฉลาดในการดับกิเลส แต่แล้วมันก็ไม่เป็นในทางนั้น มันเป็นเรื่องศิลปวัตถุ วัตถุ เป็นเรื่องซื้อขาย เป็นเรื่องขโมย เป็นเรื่องการตัดพระเศียรไปขาย มันก็ยุ่งเพิ่มขึ้น นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ มันเป็นวรรณคดี เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ไม่รู้จักจบจักสิ้น เรียนจากประวัติก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนหรือบอกให้เราเรียนพุทธประวัตินะ จงสังเกตดู แต่นี่เราเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ประวัติของพระพุทธเจ้าไม่พอยังต้องเรียนประวัติศาสตร์อินเดีย ประวัติศาสตร์ปรัชญาของอินเดีย นี่เรียนจนตายก็เรียนไม่หมด มันก็เสียเวลาไปเท่านั้น กระทั่งว่าเราเอามาจัดกันในมหาวิทยาลัยทั่วโลกเดี๋ยวนี้ก็เรียนพุทธศาสนา พุทธศาสนาเข้าไปสู่มหาวิทยาลัย แล้วก็ดูเหอะคำว่าวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยนั้นน่ะ มันแปลว่าที่นอนแห่งความรู้ ที่ซุกหัวนอนแห่งความรู้ มันไม่ได้ใช้ชนิดที่จะดับทุกข์ตามพระพุทธประสงค์ ทีนี้มันเข้ามาเกี่ยวกับการค้ามันก็กลายเป็นธุรกิจ เป็น เรื่อง เรื่องธรรมะกลายเป็นเรื่องธุรกิจ ถ้าเป็นเรื่องศิลปวัตถุมันก็เป็นภาระให้ท่านสมภาร ถ้าเป็นวรรณคดีมันก็ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเป็นวิทยาลัยมันก็เป็นที่นอนแห่งความรู้ มันนอน มันนอนออกันอยู่ที่นั่น บางแห่งก็ให้ปลวกมาเรียน นี่การที่ธรรมะที่เป็นแพ พ่วงแพสำหรับข้ามมหาสมุทรโดยตรงมันได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่ามันไม่มี พระพุทธประสงค์เหลืออยู่เลย มันเป็นอะไรไปหมดก็ไม่รู้
พระพุทธประสงค์อยู่ที่ไหนขอให้คิดกันดู นี่เรียกว่ามันแตกออกเป็นเสี่ยง เป็นเสี่ยง เป็นเสี่ยง ไกลออกไปทุกที ไกลออกไปทุกที เดี๋ยวนี้พระพุทธรูปหรือศิลปวัตถุกลายเป็นสินค้า เป็นวัตถุแห่งปัญหา เป็นวัตถุแห่งการทะเลาะวิวาท มันไกลจากความเป็นพ่วงแพสำหรับข้ามมหาสมุทร เอ้า,พวกเราผมถือว่า เป็นพุทธทาส ธรรมทาส สังฆทาส ทั้งนั้นแหละ อย่างที่กล่าวไปหยก ๆ เมื่อตะกี้นี้ก็ยังปฏิญญาเป็นพุทธทาส ธรรมทาส สังฆทาส ขอได้นึกถึงข้อนี้อย่าลืมเสีย เรื่องอื่น ๆ มันก็เล็กน้อย ประโยชน์ตนมันเล็กน้อย ประโยชน์พระพุทธเจ้า ประโยชน์พระธรรม ประโยชน์โลกนี่มันมากกว่า มาช่วยกัน ซ่อมแพกัน ผูก ผูกแพกันใหม่ ซ่อมแพกันใหม่
ปัญหาคงมีมาก เพราะว่ามันล่วงมาตั้งสองพันกว่าปี โลกมันเปลี่ยนแปลงมาก ปัญหาคงยังมีมากในการที่จะผูกแพขึ้นมาใหม่ ให้มันเหมาะสม ให้มันรับกันกับไอ้โลกปัจจุบันนี่ เราก็พอจะรู้กันอยู่ว่าโลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไปทางไหน มันเหไปทางไหน มันบูชาอะไรกัน ถึงที่สุด ฉะนั้นการที่จะซ่อมแพกันใหม่มันต้องนึกถึงข้อนี้ เพิ่มความยากลำบากให้แก่เรา แต่มันก็ไม่มีทางอื่นในเมื่อมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องแก้ปัญหาของมนุษย์ผู้ที่เป็นอย่างนี้
ที่จริงเดี๋ยวนี้มันเป็นยุคอุตสาหกรรม ยุคเศรษฐกิจที่ผูกพันกันอยู่กับอุตสาหกรรม ไอ้เศรษฐกิจคำนี้น่าหัวที่สุดน่ะ คำว่าเศรษฐ ที่จะแปลว่าประเสริฐที่สุด มันกลายเป็นเรื่องบ้าบอที่สุด อุตสาหกรรมก็เป็นเครื่องผลิตเหยื่อของกิเลสทั้งนั้น จะสู้ไหวหรือคิดดูเถอะ ครั้งพุทธกาลหรือก่อนนู้นเขาไม่ได้ผลิตเหยื่อของกิเลสกันด้วยเครื่องจักรหรอก กว่าจะได้แต่ละชิ้นละอัน เดี๋ยวนี้มันผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรม ผลิตเหยื่อของกิเลสหรืออุปกรณ์ของกิเลสออกมาเยอะแยะไปหมด น่าเห็นใจพวกเด็ก ๆ วัยรุ่น ทนไม่ไหว มันก็ตกเป็นเหยื่อ ปัญหามันก็มากขึ้นมา จะควบคุมเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมเราก็ไม่มีอำนาจโดยตรง แล้วเราก็สู้เขาไม่ได้เพราะว่าเขามันมีอำนาจเงิน อำนาจสารพัดอย่าง แต่ก็ไม่ยอมแพ้พยายามหาหนทางที่จะชักจูง ชี้แจง เกลี้ยกล่อมให้เรื่องเศรษฐกิจอุตสาหกรรมนั้น มันเปลี่ยนไปหาทิศทางที่ว่าจะสร้างสันติภาพ ถ้าปล่อยไปตามแบบนี้มันไม่สร้างสันติภาพ มันส่งเสริมวิกฤตการณ์ มันกอบโกย มันชิงกันกอบโกย มันรบราฆ่าฟันกัน เพื่อการกอบโกย นี่ก็เป็นปัญหา
ทีนี้ยุคนี้ก็เป็นยุควิทยาศาสตร์ ที่คนมันฉลาดมันทำอะไรได้ เหมือนกันว่าเล่น ต้องใช้คำพูดว่าไปเที่ยวโลกพระจันทร์หรือดวงดาวกันต่าง ๆ ได้เหมือนกับไปเที่ยวสวนหลังบ้าน ง่าย ๆ อย่างนั้น นี่ยุควิทยาศาสตร์ ยุคอวกาศ ยุคปรมาณู แล้วใครจะมัว แล้วคนไหนใครจะมามัวนั่งกำหนดจิต ศึกษาจิต ฝึกฝนจิตให้อยู่ในทางสงบสงัดมันก็ยาก มันก็ได้แต่พูดเกลี้ยกล่อมกันไป วิทยาศาสตร์มันกำลังจะเชือดคอเจ้าของ ดูให้ดีเสียบ้าง ยิ่งเจอก็ยิ่งเชือดคอเจ้าของเพราะว่า เรื่องมันนิดเดียว คือวิทยาศาสตร์มันไปตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส มันไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของโพธิปัญญา เราไม่ได้ใช้สิ่งที่ประเสริฐนี้ในทางสันติภาพ เราไปใช้ในทางสนองกิเลส น่าเสียดาย เครื่องมือที่วิเศษ แสนจะวิเศษ อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ๆ ใหม่ ๆ เหล่านี้เอาไปใช้สนองกิเลสกันทั้งนั้น ก่อนนี้มันยังหาเหยื่อของกิเลสยาก ยิ่งหาง่ายในยุควิทยาศาสตร์ เมื่อกิเลสมันได้เหยื่อมันก็เจริญ มันก็กล้าแข็ง โลกมันก็เปลี่ยนเป็นยุคใหม่ เรียกว่ายุคที่ว่าตัณหามันครองโลก ข้อนี้ขอเชิญนำไปคิดพินิจพิจารณาดูว่าไอ้โลกของเรานี่ตัณหามันครองโลกเสียแล้ว แต่ยุคโบราณนั้นมันยังมีอย่างอื่น มีความรู้สึกอย่างอื่นครองโลก เดี๋ยวนี้ตัณหาความทะเยอทะยานนานาประการร้อยแปดพันเก้ามันครองโลก ยุคที่ตัณหามันครองโลก คนก็หลับตาไปในทิศทางหนึ่งเพื่อลืมตาไปในอีกทิศทางหนึ่ง มันสนองกิเลสตัณหา สนองกิเลสตัณหานานาประการ ทางกาย ทางใจ ทางอะไรก็ไปเป็นทาสของกิเลสตัณหาหมด เรียกว่ายุคตัณหาครองโลก เราพูดเขาคงไม่ฟังหรอก ไม่ฟัง เมื่อเราจะบอกคนที่เมาว่าคุณเมา เขาไม่ฟังหรอก เขาไม่เชื่อ เขาจะด่าเอาด้วย นี่มันลำบากจริงนะ พูดกับคนที่ยุคตัณหาครองโลกนี่
แต่นี่มันยิ่งกว่านั้น ตัณหามันนำไปสู่อุปาทาน มันเลยกลายเป็นว่า ไอ้ความเห็นแก่ตัวน่ะมันครองโลก ความเห็นแก่ตัวน่ะมันครองโลก คำนี้น่ะ ไม่มีใคร จนใจไม่มีใครกลัว แต่ว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวทีสุดยิ่งกว่าอะไรหมด มันเป็นตัวมารร้าย มันเป็นตัวซาตาน เป็นเสนียดจัญไรอะไรของโลก แต่คนเขาไม่มอง แล้วก็กลับชอบ เห็นแก่ตัว ใช้ความเห็นแก่ตัว ขอเตือนพวกเรานักศึกษาจงรู้จักความเห็นแก่ตัว ที่เป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนเด็ก ๆ สั่งสอนต่อไปก็ให้เขารู้จักความเห็นแก่ตัว กระทั่งมองให้ลึกกว้างไกลออกไปว่า มนุษย์ไม่เคยรู้จักสิ่งนี้ แล้วก็สอนเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว อยู่ในรูปของวัฒนธรรม ศีลธรรมหรือศาสนาอะไรก็ตามเถิด เพื่อจักสอนให้กำจัดความเห็นแก่ตัว
พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ความยึดมั่นถือมั่นตัวตนนั่นแหละเป็นปัญหาเป็นต้นเหตุทั้งหมดแห่งความทุกข์ จึงได้ตรัสคำพูดสรุปรวบยอดว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งปวงทั้งสังขตะ ทั้งอสังขตะ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตน แต่มันก็ตรงกันข้าม ในโลกนี้มันยึดเป็นตัวตนไปเสียทั้งหมด อยู่ในโลกก็ยึดโลกเป็นตัวตน พอสนใจนิพพานก็ให้นิพพานเป็นตัวตน มันก็ไม่ ไม่ ไม่พบกัน เพราะพระนิพพานน่ะจะเป็นตัวตนไม่ได้ มันจะยึดว่านิพพานน่ะเป็นตัวตน จะเอามาเป็นนิพพานของกู
ผมขอแนะนำสักนิดหนึ่งว่า ช่วยศึกษาดูเหอะ ไอ้ทุก ๆ ศาสนา ที่ว่าสำคัญ เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นหลักเป็นฐานได้หยิบปัญหานี้ขึ้นมาพิจารณาแล้วสอนกันทั้งนั้น ไม่ให้เห็นแก่ตัว ไม่ให้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวแล้วเกิดกิเลสนานาประการ แล้วก็ทำลายโลก แล้วยังสอนลึกลงไปถึงข้อที่ว่า ความเห็นแก่ตัวมันมาจากความหลงดีหลงชั่ว หลงสิ่งที่เป็นคู่ เป็นคู่ ๆ แล้วมันก็ผิดทั้งสองฝ่าย หลงดีมันก็บ้าดีเมาดี หลงชั่วมันก็บ้าชั่วเมาชั่ว มันก็ผิดทั้งสองฝ่าย มันต้องอยู่เหนือดีเหนือชั่ว อยู่เหนือจะดีกว่าอยู่ตรงกลางนะ อยู่ตรงกลางไม่ค่อยปลอดภัย อยู่เหนือไปเลย คำสอนประเภทโลกุตระจึงเกิดขึ้นมา อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของคู่ ๆ คู่ ๆ ขอให้ช่วยศึกษากันให้มากเรื่องคำว่าของคู่ ๆ เรียกตรง ๆ ว่าแพ OPPOSITE คู่ของสิ่งที่ตรงกันข้าม ไปเรียกไอ้ DUALISM DUALISM อะไร ยังสลัว ยังมัว สู้เรียกกันตรง ๆ ว่า คู่ตรงกันข้าม คู่ตรงกันข้าม เรียกอย่างนี้ดีกว่า ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ นรกสวรรค์ ได้เสียกำไรขาดทุน แพ้ชนะ กระทั่งคู่ที่ร้ายกาจที่สุดคือหญิงและชาย ไปคิดดูเหอะ เอากระดาษมาจดคิดดู เดี๋ยวก็จะได้ตั้งร้อยคู่ ตรงกันข้าม ตรงกันข้ามร้อยคู่ มันนำไปเกิดความรู้สึก ให้เกิดความรู้สึก โง่ในแง่บวกบ้าง โง่ในแง่ลบบ้าง POSITIVE NEGATIVE น่ะกำลัง กำลังอาละวาด ในแง่บวกมันก็ให้บ้าหลงไปทาง แง่ลบมันก็บ้าหลงไปทาง แง่บวกมันก็จะเอาแต่ยึดครอง แง่ลบก็จะฆ่าจะทำลาย จะทำความวินาศ ถ้าไม่มีแง่บวกและแง่ลบกันแล้ว ไอ้ ก็มีสันติภาพ คือมันว่าง มันว่าง มันว่าง
ศาสนาสายยิว เซมิติก (SEMITIC) สายยิว มาเป็นยิว เป็นคริสเตียน กระทั่งเป็นอิสลาม อะไรก็ตาม มันมาเครือเดียวกัน ต้นตอไปสุดอยู่ที่คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ไบเบิลหน้าแรก ตอนแรก ก็พระเจ้าสร้างโลกเสร็จแล้วก็บังคับมนุษย์ว่าอย่าไปกินผลไม้ ที่ให้มีความรู้เรื่องดีเรื่องชั่ว ถ้ากินแล้วจะตาย เท่านี้มันพอแล้ว คือพระเจ้าบอกน่ะ ไปจัดเป็นดีเป็นชั่วเข้าไปแล้วแกจะตาย คือจะเกิดปัญหา เกิดความทุกข์ แต่เขาก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ ข้อนี้กันนักหรอก เขามาสนใจคำสอนตอนหลัง ๆ ของพระเยซู ตอนหลัง ๆ นี่ รักผู้อื่น รักผู้อื่น ไอ้คำสอนที่ลึกที่อย่าไปหลงดีหลงชั่วไม่ค่อยมีใครสนใจ ผมเคยสนทนากับผู้มีความรู้หรือศาสตราจารย์ว่าคุณ ข้อนี้คุณหมายความว่าอย่างไร ไม่ให้หลงดีหลงชั่ว GOOD AND EVIL, FRUITS OF THE TREE OF KNOWLEDGE OF GOOD AND EVIL ต้นไม้ที่ทำให้มีความรู้ รู้ดีรู้ชั่วนั้นน่ะอย่าไปกินผลของมัน เดี๋ยวนี้มันบ้าดีบ้าชั่วกันทั้งโลกมันก็เลยจะล้างโลก
เรื่องนี้มันมีความหมายนะเราลองศึกษาดูเถอะ ทารกอยู่ในครรภ์ ไม่มีความรู้สึกดีชั่ว ทารกคลอดออกมาใหม่ ๆ ไม่รู้สึกดีชั่ว ปัญหาไม่มี ปัญหาไม่มี พอต่อมา ๆ แกก็ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กายใจของแก คือแยกเป็นบวกเป็นลบ เป็นดีเป็นชั่ว อร่อยไม่อร่อย เป็นดีเป็นชั่ว ทีนี้ปัญหาเกิดเต็มไปหมด กิเลสเกิดเต็มไปหมด นี่ความทุกข์มาเต็มไปหมด นี่แกตาย แกไปหลงดีหลงชั่วเลยแกตาย ความคิดข้อนี้ ลึกนะ แล้วก็หลักพุทธศาสนาด้วย ผมบอกเขาว่าหัวใจของพุทธศาสนาอยู่ที่บรรทัดแรก ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล เขาไม่เชื่อ เขาก็จะคิดว่า ผมประจบเขาบ้างล่ะ พูดกันไม่รู้เรื่อง นี่แสดงว่าหลายพันปีมานี่ มนุษย์เริ่มเห็นไอ้ฤทธิ์เดชของไอ้ดีชั่ว บ้าดีบ้าชั่ว หลงดีหลงชั่ว ต้องการให้อยู่เหนือเสีย คัมภีร์ไบเบิลตายด้านไม่มีใครมาสอนเรื่องนี้ สอนแต่คำสอนหลัง ๆ ของศาสดาหลัง ๆ หลัง ๆ จนกระทั่งพระเยซูเน้นเรื่องรักผู้อื่น แต่มันก็นั่นกันอยู่ ถ้ามันหลงดีหลงชั่ว มันรักผู้อื่นไม่ได้ มันรักกิเลส
ลัทธิเต๋าของเหลาจื้อมันก็พ้องสมัยกับพุทธกาลเป็นพัน ๆ ปีเหมือนกันน่ะ มันก็สอนมากมายสรุปความแล้วก็อย่าไปบ้าดีบ้าชั่ว อิมหรือเอี๊ยง หยินหรือหยาง อะไรก็ ภาษาจีน สาขาไหน หยินหรือหยาง ดีชั่ว ไปหลง หยิน หลงหยาง ก็ตาย เหนือหยิน เหนือหยาง เหนือดี เหนือชั่วแล้วก็รอด เขารู้กันเป็นพัน ๆ ปีแล้ว อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็รู้ นี่เราอยู่ใต้ดีใต้ชั่ว POSITIVE เป็น NEGATIVE แต่ท่านใช้คำซึ่งพวกเราเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเสียก็ได้ คือถ้าว่า อภิชฌาและโทมนัส อภิชฌาน่ะ POSITIVE โทมนัสน่ะ NEGATIVE เรียกอย่างนี้ไม่โก้ใช่ไหม อภิชฌาและโทมนัส แต่นั่นน่ะคือตัวแท้ อภิชฌาเป็นฝ่ายบวกฝ่ายดี โทมนัส ฝ่ายลบฝ่ายชั่ว ท่านสอนคำแรก ๆ ให้ระวังตาหูจมูกลิ้นกายใจนะ ถ้าไม่ระวังตาหูจมูกลิ้นกายใจ อภิชฌาและโทมนัสจะไหลตามก้นเธอไปนะ นี่ แม้เรื่องนิพพานก็เหมือนกัน เรื่องนิพพานน่ะ ละอภิชฌาและโทมนัส ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ นาทีที่ 0.38.02 ไม่ มนาปัง ไม่ อมนาปัง ไม่สุขไม่ทุกข์
ฮินดูเขาก็มีตัวตนแต่เขาก็ต้องว่า ละปุญญะ ละปาป ละบุญละบาปเสียก่อน ตัวตนจึงเป็นอิสระ นี่ก็เรียกว่าประกาศสงครามกับบุญและบาปเหมือนกันนะนี่ เคยไปไกลถึงอย่างนี้แล้วมันก็กลับ ย้อนกลับไปหา ตรงกันข้าม มันเป็นทาสของไอ้บวกและลบ ปัญหามันก็ยาก ยิ่งถ้าหลงถลำลึกเข้าไปในอิทธิพลของบวกและลบ แล้วมัวแต่สอนให้คุณยายทำบุญไปสวรรค์ ได้แต่หลอกแก ไปสวรรค์มันก็ไปหาบวก บวกเกินไป นรกเขาไม่ไปก็ดีแล้ว แต่ว่าไปสวรรค์มันก็ไปหาบวกมากเกินไป มันไม่มีทางจะดับทุกข์ ก็แก้ตัวกันว่าต้องเอาอันนี้มาล่อไว้ก่อนไม่ฉะนั้นเขาจะไม่มาทางนี้ เอาก็ได้เหมือนกัน แต่ต้องสอนเรื่องเหนือสวรรค์กันบ้าง เหนือบวกกันบ้าง ยิ่งขอให้สนใจคำว่าบวกลบ มันไม่ได้มีความหมายเพียง ขั้วบวก ขั้วลบของไฟฟ้า หรือที่มนุษย์รู้จักกันนัก มันเป็นเรื่องทั้งหมดของมนุษย์เลย ยังอยู่ในภายใต้บวกและลบก็อยู่ในโลก เหนือโลกไปไม่ได้ นี่มาสอนโลกปัจจุบันที่เจริญโดยวิทยาศาสตร์ให้ไม่หลงบวกไม่หลงลบนี่ มันยากเหลือประมาณ ยากเหลือประมาณ โบราณเขาพูดว่า ดึงอ้อยจากปากช้าง ดึงอ้อยจากปากช้าง ก็ช้างมันคาบอยู่ ดึงออก มันยาก
ถ้าคนเห็นว่ามีวิธีอีกอย่างหนึ่ง คือก็ได้เห็นว่าลูกช้าง ลูกช้างน่ะมันดึงออกได้ ลูกช้างมันดึงอ้อยจากปากพ่อช้างแม่ช้าง ขอให้ใช้วิธีที่นุ่มนวลที่สุด ค่อยพูดค่อยจากันให้ดี ดึงมนุษย์ออกมาเสียจากปากช้าง คือความหลงบวก หลงลบ แบบสากลเค้าให้พรกันแล้วให้พรกันเป็นบวก ให้ทุก ๆ อย่างเป็นบวก ให้ทุก ๆ อย่างเป็น POSITIVE แล้วมันยิ่งบ้าหนักเข้าไปอีก ไม่ได้ให้ผ่อนออกมาเสียจาก POSTITIVE มีแต่ให้ถลำลึกเข้าไป ขอให้รู้ว่า POSITIVE และ NEGATIVE นั่นแหละมันเป็นเหตุแห่งความเห็นแก่ตัว อันหนึ่งให้เอาอันหนึ่งไปทำลาย ถ้ามันเลิกเห็นแก่บวกแก่ลบแล้วมันก็ไปเป็นอย่างนี้แหละ ไปสร้างเหยื่อของกิเลสแล้วรบราฆ่าฟันกัน ทำลายล้างกัน นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว ไอ้พวกที่ไม่เป็นนายทุน ไม่เป็นชนกรรมาชีพมันก็เห็นแก่ตัว พวกเราก็ระวังให้ดีนะ พวกเรานี่ระวังให้ดี รู้จักความเห็นแก่ตัวกันไว้ให้มาก ๆ มันเป็นสิ่งที่มหาศาลครอบงำโลก โลกกำลังถูกครอบงำอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว
มาเรียนก็เพื่อเห็นแก่ตัว สอบไล่ได้ก็โกงเพื่อจะเห็นแก่ตัว มันสอบไล่ได้ หลาย ๆ อย่างมีปัญหาในวัดเรานี่เรื่องความเห็นแก่ตัว แล้วยังจะเห็นแก่ตัวต่อไปตามลำดับอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ช่วยสังเกตว่าเดี๋ยวนี้จะได้สอน แม้แต่โรงเรียนวันอาทิตย์น่ะจะสอนให้ถูกต้องว่า ให้เด็ก ๆ มันมองเห็นเอง ศัตรูเลวร้ายที่สุด สูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใดคือความเห็นแก่ตัว มลภาวะทุกชนิดน่ะมันมากจากความเห็นแก่ตัว มลภาวะทางน้ำก็ดี ทางอากาศก็ดี ทางแผ่นดินก็ดี ทางเสียงก็ดี มันล้วนแต่มาจากความเห็นแก่ตัว ที่ไหนเจริญมากที่นั่นยิ่งมีมลภาวะมาก เห็นแก่ตัวมาก ที่กรุงเทพมันก็มีไอ้เรื่องมลภาวะมากกว่าที่สวนโมกข์เพราะมันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ปัญหายุ่งยากของมนุษย์มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น การปกครอง การเมือง การอะไรก็ตาม ปัญหามันมาจากความเห็นแก่ตัว มันทะเลาะกันเพราะเห็นแก่ตัว มันอิจฉาริษยาหึงหวงฆ่าฟันกัน มันก็เห็นแก่ตัว อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่ไม่เคยมี ที่พ่อขมขืนลูกสาวตัวเองไม่เคยมี มันก็มีมากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัวมันเจริญ ท้าได้เลยว่า อาชญากรรมอันไหนนะที่ไม่ได้มาจากความเห็นแก่ตัว ช่วยไปหามาให้ดูสักหน่อยสิ อาชญากรรมอันไหนที่มันไม่มาจากความเห็นแก่ตัวนี่ เห็นแก่ตัวทางบวก เกิดกิเลสบวก เห็นแก่ตัวทางลบเกิดกิเลสลบ เห็นแก่ตัวทางโง่ ไม่บวกไม่ลบ อย่างโง่ไม่บวกไม่ลบ ไม่ต้องเรียนหนังสือก็ได้ ถ้าเรารู้เรื่องกำจัดความเห็นแก่ตัวแล้วไม่ต้องเรียนหนังสือให้เสียเวลา กำจัดความเห็นแก่ตัวหมดแล้วไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องทำอะไรทีมันเสียเวลาเหน็ดเหนื่อย ช่วยแนะให้เพื่อนมนุษย์เห็นอันตรายร้ายกาจนี้ แล้วตัวเราเองก็พยายามละเสียก่อน ละให้ได้เสียก่อน ทำตัวให้บริสุทธิ์เสียก่อนแล้วค่อยไปสอนผู้อื่น ทำตัวให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วจึงสอนผู้อื่นมิฉะนั้นจะเป็น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต เป็นบัณฑิตสกปรก เป็นครูสกปรก คาถานั้นคงจะจำกันได้ อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย อถญฺญมนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต (อัตตานะเมวะปะฐะมังปะฏิรูเปนิเวสะเย อะถัญญะมะนุสาเสยยะนะกิลิสเสยยะ ปัณฑิโต) อย่าเป็นบัณฑิตสกปรก ไปทำตัวให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยไปสอนเขา
คริสต์ศาสนาทั้งหมดก็ปัญหาเห็นแก่ตัว นาทีที่ 0.45.51 มาร พุทธเราทั้งหมดก็ปัญหาเห็นแก่ตัว คือกิเลส ศาสนาไหน ๆ ก็ตาม ศีลธรรมไหน ๆ ระบบไหนก็ตาม มันมีต้นเหตุมาจากความเห็นแก่ตัว น่าละอายสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมีความเห็นแก่ตัวเท่าเดิม เพราะมันไม่เจริญ มันเจริญไม่เป็นนี่ มันคิดไม่ได้ มันเท่าเดิม ความเห็นแก่ตัวมันเท่าเดิม แต่มนุษย์เจริญด้วยปัญญา สติปัญญามากขึ้น ๆ ความเห็นแก่ตัวก็มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็มหาศาลท่วมโลก ทั้งโลกน่ะมันมีปัญหามาจากความเห็นแก่ตัว นายทุนกับกรรมกรตกลงกันไม่ได้ ก็ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ลูกจ้างกับนายจ้างรักกันไม่ได้เพราะมันเห็นแก่ตัว มันหนักเข้า ๆ จนกลัวเมียก็ทะเลาะกันเพราะเห็นแก่ตัว มิตรสหายที่เคยรักใคร่กลมกลืนกันก็ กลมเกลียวกันก็แตกกันเพราะความเห็นแก่ตัว เอาความเห็นแก่ตัวออกไปเสียได้โลกนี้ก็เป็นโลกของพระศรีอาริยเมตรัยทันทีในพริบตาเดียว ถ้าใครเอาออกไปได้ ขอให้แสดงความหวัง ตั้งความหวัง เพื่อจะช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัวตามหลักของพระพุทธเจ้า เห็นแก่ตัวแบบหนึ่งออกมาเป็นราคะ โลภะ เห็นแก่ตัวแบบหนึ่งออกมาเป็น โทสะ โกธะ เห็นแก่ตัวแบบหนึ่งออกมาเป็นโมหะ หลงใหล กำจัดความเห็นแก่ตัวออกไปเสียได้เมื่อไหร่ พระพุทธศาสนาเดิมแท้ก็กลับมา
ฉะนั้นวิธีที่เราจะผูกพ่วงแพกันใหม่ ซ่อมแซมแพกันใหม่ก็สนใจเรื่องธรรมที่กำจัดความเห็นแก่ตัว ถ้าว่าทุก ๆ มหาวิทยาลัยในโลกสอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียว ทำอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องสอนเรื่องอื่นน่ะ แต่ใครไม่เชื่อใคร ผมพูดอย่างนี้เขาก็ว่าบ้า เขาก็ไม่เชื่อ แต่ว่าเคยมีนะเรื่องนี้ มหาวิทยาลัยที่ยังดี ๆ อยู่ เน้นเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าวิชาความรู้ ผมได้ยิน น.ม.ส. (กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์) เมื่อกลับมาจากการศึกษาเล่าเรียนใหม่ ๆ มาแสดงปาฐกถาที่ นาทีที่ 0.48.45 เก่าแก่ที่นู่น ผมอุตส่าห์ไปฟังก็ได้ยินประโยคนี้ ว่ามหาวิทยาลับ CAMBRIDGE นี่มันเน้นความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าวิชาความรู้หรือปริญญา เขาพยายามทุกอย่างที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวแต่แล้วมันไม่สำเร็จ วิชาความรู้สำหรับกอบโกยมันชนะเรื่อยไป จนค่อย ๆ เลือนหายไป นี่พวกเรากำลังจะมีมหาวิทยาลัยสงฆ์ ระวังให้ดี ๆ ให้มันมีการทำลายความเห็นแก่ตัวมากกว่าเรื่องวิชาความรู้ ซึ่งมันไม่รู้จักจบวิชาความรู้ แต่ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันจะจบ มันจะหยุด ดับทุกข์สิ้นเชิงกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ มันมีที่จบสิ้นแห่งความทุกข์
ทีนี้จะพูดอย่างไร จะพูดอย่างไรกับช้างน่ะมันคายอ้อย หรือว่ามันจะไม่ให้ทำอะไรตามใจกิเลส ผมเห็นว่าไอ้เรื่อง หลักเรื่อง อนุปุพพิกถา นี่ดีมาก สอนให้ทำทาน ทำศีล ไปสวรรค์ แล้วก็บอกโทษแห่งสวรรค์ บอกอานิสงส์แห่ง นาทีที่ 0.50.24 เมฆธรรมะ ถ้าเขายังหลงใหลในผลของไอ้บวก ของทาน ของศีล ของสวรรค์กันอยู่แล้วก็ไม่ ไม่มีทางที่จะพูดกันรู้เรื่อง เดียวนี้สวรรค์มันขยาย ขยายความวิเศษสวยงามมากขึ้น ๆ ด้วยอุตสาหกรรม แต่ว่าเราจะบอกเขาว่า ไอ้สวรรค์นี่มันจะไปจบลงที่ความทุกข์ หลงในสวรรค์นี่มันจะจบลงด้วย ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว แล้วคุณก็จะฆ่ากันทั้งโลก หันมาหา เนกขัมมะ ออกจากสวรรค์ หลักเกณฑ์ มันมีอยู่อย่างนี้ แต่มันก็อธิบายยากเหมือนกัน อธิบายยาก ยอมรับว่าถูกแล้ว สวรรค์มันถูกแล้ว แต่ขอให้ดูผลของสวรรค์ว่ามันจะนำไปไหน มันก็นำไปสู่ความอิจฉาริษยาเพราะความเห็นแก่ตัว เทวดาก็ยังทะเลาะกันนะ ขอให้รู้ไว้ว่าเทวดาก็ยังทะเลาะกัน มีนางฟ้าเป็นบริวารตั้ง ๕๐๐ น่ะมันยังไม่พอ ยังทะเลาะกัน นี่ความที่ไม่รู้จักอิ่มจักพอ นี่มหาวิทยาลัยในโลกควรจะมีหลักสอนคนให้รู้ การสร้างสวรรค์แล้วก็เห็นโทษของสวรรค์ แล้วก็ออกมาเสียจากสวรรค์ POSTITIVE POSITIVE ทั้งหลาย สันติภาพมีอยู่อย่างนี้ อย่างอื่นไม่มี ถ้าเราจะต้องผูกแพที่แตกสลายให้มาเป็นแพกันใหม่ก็จะต้องนึกถึงเรื่องนี้ ต้องนึกถึงเรื่องนี้ ควรจะเป็นวิชา วิชาแก่น วิชาหลัก วิชาบังคับในมหาวิทยาลัย สอนเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว เรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้ายังไม่มีใครเอา เราเอาไปพลางก็ได้ ไม่เป็นไร มันยากเหมือนกับจะดึงอ้อยจากปากช้าง หรือมันจะยากเหมือนกับว่าจะเอาลูกพรวนไปผูกคอแมว หนูตัวไหนจะทำได้ แต่ก็ว่าอย่าท้อถอยเลย อย่าท้อถอยเลย คอยหาโอกาสเรื่อย ๆ เรื่อย มันจะต้อง ต้องอะไร ต้องเข้าใจกันสักวันหนึ่ง ถ้าพูดรู้เรื่องกันสักวันหนึ่ง เดี๋ยวนี้พูดจากันไม่รู้เรื่อง แต่ขอให้พยายามไปเถอะ มันจะพูดจารู้เรื่อง เข้าใจกันสักวันหนึ่ง ทำความเข้าใจแก่กันได้สักวันหนึ่ง นั่นน่ะโลกนี้จะมีสันติภาพ ถ้ามหาวิทยาลัยจะมีประโยชน์แก่มนุษย์ในโลก มหาวิทยาลัยสั่งจัดการเรื่องนี้ คือทำให้คนหมดความเห็นแก่ตัว ตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาใด ๆ ก็ได้ ซึ่งล้วนแต่ต้องการจะกำจัดความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ผมหวังอยู่ว่า จะหาโอกาสประชุมกันระหว่างศาสนา มาทำความเข้าใจเรื่องที่ตรงกันอยู่แล้วน่ะ ตรงกันอยู่แล้วทุก ๆศาสนา แต่ละเลยกันเสียหมด พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ซิกข์ ฮินดู อะไรก็ตาม ต้องการจะกำจัดความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น แต่ทำไมกลับมาเห็นแก่ตัว ต่อสู้กันระหว่างศาสนา ผมหวังอย่างนี้ แต่มันอาจจะเกินก็ได้ เกินความสามารถก็ได้แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า พยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนาเรื่อยไป เรื่อยไป ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็เขียนหรือพูดเรื่อย ๆ ไป ถ้าทำได้อย่างนั้นก็เรียกตัวมาประชุมกันได้เมื่อไหร่ก็จะถือว่าวิเศษวิโสที่สุด ทำความเข้าใจระหว่างศาสนา กลับไปสู่หัวใจของศาสนาทุกศาสนามาแต่เดิม คือทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่บ้าดี บ้าชั่ว ไม่บ้าบวก บ้าลบ มันจะรอด
ฉะนั้นเราจะช่วยกันผูกแพ ซ่อมแพ เก็บกวาดของกระจัดกระจายทั้งหลายมาผูกเป็นแพ อย่างหัวข้อว่ามาซ่อมแพกันใหม่เถิด มาสวนโมกข์มาปรึกษาหารือกันเรื่องซ่อมแพ อย่ามาชักไม้ไผ่ออกมาองค์ละลำแล้วมาฟาดกัน มันจะไม่ซ่อมแพ มันมีอะไรทะแม่ง ๆ อยู่เสมอว่า เผลอแล้วเราจะเอาไม้ไผ่คนละลำมาฟาดกัน ฉะนั้นขอให้ทำทั้งหมดนี้เพื่อสนองพระพุทธคุณ สนองพระพุทธประสงค์ ผมขอยืนยันว่าไม่มีอะไรดีกว่านี้ ถ้าคุณมีอะไรดีกว่านี้ ลองว่ามา อยากจะฟังถ้าคุณมีอะไรดีมากกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรดีกว่ามาช่วยกันซ่อมแพของพระพุทธเจ้าที่พวกเราเอามาทำแตกกระจายเสียหมด นี่ขอฝากไว้ คำพูดสั้น ๆ ว่า มาช่วยกันซ่อมแพใหม่กันเถิด เวลาเหลืออยู่เท่าไร จะพูดวันนี้เท่านี้ เรามาช่วยกันซ่อมแพเถิด อย่ามาทำลายแพหรือทำให้แพเป็นเครื่องมืออย่างอื่นเลย ขอแสดงความหวังว่าเพื่อนสหธรรมมิก สพรหมจารีทั้งหลาย จะได้อุทิศชีวิต ร่างกาย จิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นสนองพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำสิ่งที่เชื่อได้ว่าพระพุทธองค์ทรงหวังว่าให้เราทำ ให้เราทำ ให้ประสบความสำเร็จทีละเล็กทีละน้อยก้าวหน้าขึ้นไปตามลำดับทุก ๆ รูปทุก ๆ องค์เทอญ