แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิก สพรัหมจารี และท่านสาธุชนอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ในการบรรยายรอบที่ ๒ นี้ จะพูดถึงเรื่องอายุต่อไป ในส่วนที่เป็นสมุทัย เราได้ทำความเข้าใจกันแล้วแต่แรกว่าจะพูดเรื่องนี้โดยหลักอริยสัจ ๔ คือ มีหัวข้อว่ามันคืออะไร มันมาจากอะไร มันเพื่อประโยชน์อะไรและมันจะได้โดยวิธีใด ในภาคเช้าก็ได้พูดมาแล้วว่าอายุ หรือการเลิกอายุนั้นคืออะไร
ทีนี้ก็จะพูดถึงสมุทัย เหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าอายุ และเหตุที่ทำให้ต้องเลิกอายุ เรียกว่าเป็นเรื่องฝ่ายเหตุ ที่เป็นแดนเกิด ขอให้ตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ด้วยกันจงทุกท่าน ได้พูดมาอย่างยืดยาว ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอายุคือตัวตน ตัวตนคืออายุ เพราะมีตัวตนจึงมีอายุ ถ้าเลิกตัวตนเสียได้ ก็เป็นอันเลิกอายุ เดี๋ยวนี้จะรู้ว่าอะไรเป็นมูลเหตุที่ทำให้มี ตัวตนและที่ทำให้มีอายุ เหตุเหล่านี้เรียกว่าสมุทัย แดนเป็นที่ตั้งขึ้นพร้อมของสิ่งนั้น
ในชั้นแรกนี้ก็จะพูดกันถึงเรื่องเหตุให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าตัวตนกันก่อน ตัวตนๆ มิได้เป็นของที่มีอยู่จริง เป็นแต่เพียงความโง่หรืออวิชชามันสร้างให้เกิดขึ้นมาในความรู้สึก ในความรู้สึกว่าตัวตน ตัวตนเป็นเพียงความรู้สึกของอวิชชา จึงมิใช่ตัวตนอันแท้จริง มันเป็นตัวตนผีหลอก นี่ช่วยจำข้อความข้อนี้ไว้ให้ดีๆ ความรู้สึกว่าตัวตนๆ นั้นมันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันหรือเป็นจริงจังอะไร แต่ว่ามันเป็นยิ่งกว่าผี ยิ่งกว่าผีเสียอีก คือมันมีการกระทำให้เป็นปัญหา ให้เกิดปัญหา ให้เกิดความทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเป็นของหลอก มันจึงทำได้มาก ของหลอกก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้มาก ถ้าเรารู้ว่าตัวตนนี้มันเป็นของหลอก มันหลอกเราไม่ได้ ความทุกข์ก็จะไม่เกิด จึงจะขอพูดเรื่องนี้กันให้ชัดเจนเป็นพิเศษว่าตัวตนนี่เป็นผีหลอก มันเกิดขึ้นมาจาก ความรู้สึกตามธรรมชาติ และมันต้องมีความรู้สึกตามธรรมชาติโดยระบบประสาทอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ มันจึงจะเกิดความรู้สึกว่าตัวตนตามมา เช่นว่า ตาเห็นรูป ตาเห็นรูปนี้เป็นปรากฏการณ์เป็นปฏิกิริยา ตามธรรมชาติแท้ๆ เมื่อตามันมี แล้วรูปข้างนอกมันก็มี พอมาถึงกันเข้า ก็เรียกว่าตาเห็นรูป คือมันถึงกันเข้ากับรูป มันมีเพียงอาการตาเห็นรูป ตามธรรมชาติ แต่ความโง่หรืออวิชชาตามสัญชาตญาณน่ะ มันสร้างผีหลอกขึ้นมา กูเห็นรูปนี่ ตาเป็นสิ่งที่รู้สึกต่อรูป ตามธรรมชาติ ตามระบบประสาท แต่อวิชชาได้สร้างตัวกู ตัวกู ตัวกู กูเป็นผู้เห็นรูป กูเห็นรูป เข้าใจความข้อนี้สิ แล้วจะเข้าใจตัวตนผีหลอกที่มันเกิดอยู่เต็มไปหมดนั่น
หูได้ยินเสียงโดยระบบประสาทที่หู แต่อวิชชามันก็สร้างความรู้สึกขึ้นมาว่ากูได้ยินเสียง กูได้ยินเสียง ในส่วนที่เป็นจมูก จมูกมันได้กลิ่น รู้สึกกลิ่นตามระบบธรรมชาติเพราะกลิ่นมันก็มีอยู่ในโลก ประสาทจมูกก็มีอยู่ มันก็ถึงกันเข้า มันก็เกิดรู้สึกกลิ่น แต่ความโง่มันสร้างว่ากูได้กลิ่น เรื่องรสทางลิ้นก็ทำนองเดียวกันนั่นแหละ ลิ้นมีระบบประสาทที่ลิ้นสำหรับรู้สึกสิ่งที่มาถูกกันเข้ากับลิ้น รสมาถูกเข้ากับลิ้น ก็เกิดความโง่ กูอร่อยหรือกูไม่อร่อย หรือกูได้รส ระบบประสาทที่ลิ้นมันรู้สึกได้ ในทางบวกคือถูกกับลิ้น ในทางลบคือไม่ถูกกับลิ้น มันก็รู้สึกอร่อย หรือไม่อร่อยตามธรรมชาติเท่านั้นเอง แต่อวิชชามันก็สร้างตัวกูขึ้นมาว่าตัวกูได้รส กูอร่อยหรือกูไม่อร่อย สัมผัสผิวหนัง มีผิวหนังทั่วกายทั่วทั้งตัวเป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกทางกายคือมีระบบกาย กายประสาท มันก็มีสิ่งมากระทบผิวหนัง มันก็รู้สึกตามธรรมชาติ อ่อนโยน นิ่มนวล ละมุนละไมหรือว่าแข็งกระด้าง ความโง่ก็เกิดตามว่า กูได้สัมผัส กูได้สัมผัส นี่จะต้องทำความเข้าใจกันให้ดีๆ ว่า ระบบสัมผัสทางผิวหนังนี่ร้ายกาจที่สุด สร้างปัญหาในโลกมากที่สุด ยิ่งกว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น เพราะเหตุไร เพราะว่ามันให้เกิดความรู้สึกรุนแรงมาก รุนแรงมาก หรือว่าเกิดตัวกูรุนแรงมาก กูรู้สึกระบบสัมผัสทางผิวหนังแล้วมีสัญญาที่หลอกให้ว่าเป็นสัมผัสจากอะไร จากผู้หญิง จากผู้ชาย อย่างนี้แล้วมันก็ไปกันใหญ่ เป็นความรู้สึกที่หลอกหลอนอย่างยิ่ง มีตัวกูที่เกิดมาจากระบบสัมผัสทางผิวหนังนี้ แล้วมันก็ถึงกับฆ่ากันตาย เรื่องกามารมณ์กำลังครองโลก โลกทั้งโลกกำลังบูชากามารมณ์ มีเหยื่อสนองความรู้สึกทางกามารมณ์ แล้วมันผลิตกันขึ้นโดยโรงงานอุตสาหกรรม ที่จะให้หลงใหลในความรู้สึกทางโผฏฐัพพะ โลกก็เลยยุ่งมากเพราะเรื่องนี้ เกิดผลตามมาอีกหลายอย่างจากความไม่ถูกต้องทางกามารมณ์นี้ เกิดโรคประหลาดๆ ที่กำลังเป็นทุกข์เป็นห่วงกันทั้งโลก สมน้ำหน้ามัน ไอ้มนุษย์ที่ไม่รู้จักกามารมณ์ โรคอะไรก็รู้จักกันดีแล้ว โฆษณาอยู่ทางหนังสือพิมพ์ ทางวิทยุทุกวันๆ
ทีนี้ก็เหลืออันที่ ๖ คือ ใจ หรือมโน มีมโนสัมผัส ระบบความรู้สึกทางจิตมันก็รู้สึก รู้สึกว่าถูกใจ หรือว่า ไม่ถูกใจ คือเป็นบวกหรือเป็นลบตามเคย มันก็ตัวกูรู้สึก ตัวกูรู้สึก ตัวกูรู้สึกอย่างนั้น ตัวกูรู้สึกอย่างนี้ แล้วก็งอกงาม ออกไปเป็นการกระทำ เป็นกรรม เป็นอะไรต่อไปอีก ช่วยจับใจความสำคัญให้ได้ว่าอวิชชาสร้างตัวกูขึ้นมา สวมทับความรู้สึกที่มันรู้สึกอยู่เองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องมีตัวกู เช่น ตาเห็นรูปอย่างนี้ ต้องมีตาแล้วก็มีรูป เมื่อมาถึงกันเข้า มันก็เกิดจักษุวิญญาณ เห็นรูป นี่เป็นวิญญาณเห็นรูป เมื่อตาด้วย รูปด้วย จักษุวิญญาณด้วย ทำงานร่วมกันอยู่ ก็มีผัสสะ ผัสสะทางตาๆ แล้วมันก็จะเกิดตามลำดับโดยรายละเอียดของปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง เราลองๆ ว่ากันดูกับเรื่องทางตา ตาเห็นรูปเกิดจักษุวิญญาณ ๓ อย่าง คือ ตากับรูป กับจักษุวิญญาณทำงานถึงกันอยู่คือ จักษุวิญญาณสัมผัสรูปทางตานั่นน่ะ ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าผัสสะ ทีนี้ผัสสะให้เกิดเวทนา เพราะว่าเมื่อมีผัสสะแล้ว มันก็เกิดความรู้สึกเป็นเวทนาตามธรรมชาตินั่นแหละ มันก็จะโง่ว่ากู กูรู้สึกเวทนา กูรู้สึกเวทนา พอเวทนาเกิดขึ้น ที่จริงมันเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติที่ว่ามีผัสสะแล้ว มันก็ต้องเกิดความรู้สึกเป็นเวทนา เกิดเป็นเวทนาแล้ว มันแล้วแต่เวทนาจะเป็นบวกหรือเป็นลบ คือยินดีหรือยินร้าย ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ทุกข์หรือสุข นี่เกิดเวทนาอย่างนี้แล้ว มันก็เกิดตัณหา คือความอยากๆ ถ้าเวทนาเป็นบวก คือสุขหรือน่ารักน่าพอใจ ให้เกิดความกำหนัด มันก็เกิดตัวกูผู้อยาก ตัวกูผ้อยาก เกิดตัวกูผู้อยากขึ้นมา เป็นตัวกูบวก ถ้าเวทนานั้นมันไม่เป็นสุข ไม่เป็นที่น่าพอใจ เป็นเวทนาลบ มันเกิดตัวกู ตัวกูลบ เวทนามันรู้สึกได้ตามธรรมชาติของเวทนา แต่ความโง่มันเอามาเป็นของตัวกู คืออวิชชา มันสร้างตัวกูขึ้นมาเป็นผู้รู้สึกต่อเวทนา มันไม่ได้เกิดอยู่ก่อน มันเพิ่งเกิดทีหลัง เมื่อมีเวทนาแล้ว มันจึงเกิดตัวกู ผู้รู้สึกต่อเวทนา เป็นผีหลอกอย่างนั้น เวทนาก็หาใช่ตัวกูไม่ หาใช่ตัวกูเป็นผู้รู้สึกไม่ มันเกิดตามธรรมชาติ เพราะเมื่อมีผัสสะก็ต้องมีเวทนา มีเวทนามันก็ต้องมีตัณหา ทีนี้มีตัณหาแล้ว นี่มีความอยากอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว มีความอยาก เข้าใจคำว่าอยากๆ นี้ให้ดีๆ พอความอยากเกิดขึ้นในใจแล้ว อวิชชามันก็สร้างกูผู้อยาก กูผู้อยากขึ้นมานี่ นี่กูตอนนี้เรียกว่าอุปาทาน เป็นกูผู้อยาก อยากไปตามเวทนา กูผู้อยากและความยึดมั่นถือมั่นในเวทนา ที่ทำให้เกิดตัณหาว่ากูอยากอย่างไร กูอยากอย่างไร แล้วก็มีอุปาทานว่ากูอยากอย่างนั้น กูอยากอย่างนั้นนี่ พอมันมีอุปาทานอย่างนี้ก็เรียกว่าตัวตน สิ่งที่เรียกว่าตัวตนน่ะเริ่มแล้ว มีอุปาทานว่าตัวตน ก็ให้เกิดภพหรือภวะ ความมีอยู่ความเป็นอยู่หรือความเกิดขึ้นก็ได้แห่งตัวตน ตอนนี้เปรียบเทียบได้กับว่าครรภ์มันแก่ อาศัยความถึงกันเข้าระหว่างหญิงกับชาย แล้วก็มีการกระทำกิจกรรมจนมีการตั้งครรภ์น่ะ การตั้งครรภ์นี้เท่ากับภพ พอภพที่เป็นครรภ์นี้แก่ไปๆ แก่ไปจนถึงที่สุด มันก็ต้องคลอดออกมาจากความรู้สึกที่เป็นตัวกู ที่แก่ถึงที่สุดแล้วก็คลอดออกมาเป็นชาติ คือความทุกข์ทั้งหลาย แสดงบทบาทเป็นความทุกข์ทั้งหลาย ฉะนั้นตัวกูนี่ มันก็จบลงด้วยความทุกข์ๆ
จงสังเกตคำว่าชาติๆ ในที่นี้ไว้ให้ดีๆ เพราะคำว่า ชาติๆ นี้มันมี ๒ ความหมาย ความหมายทางวัตถุทางภาษาคน คำว่าชาติ มันก็หมายถึงการคลอดจากท้องแม่อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ก็เรียกว่าชาติ ที่คลอดจากท้องแม่นี้เป็นชาติ ทางเนื้อหนังทางภาษาคน ส่วนชาติที่ฝ่ายนามธรรม เป็นนามธรรมนั้น มันก็เป็นการถึงที่สุดแห่งอุปาทานว่าตัวกู ตั้งแต่ครรภ์แก่จนคลอดออกมานี้เรียกว่าชาติ ชาติชนิดนี้เป็นนามธรรม เล็งถึงฝ่ายนามธรรม เกิดได้วันเดียว หลายสิบชาติหลายร้อยชาติก็ได้น่ะ ขอให้เข้าใจข้อนี้เถิดว่า วันเดียวนี่ เกิดได้หลายสิบชาติหลายร้อยชาติ ตัวกูชนิดนี้ เดี๋ยวเกิดทางตา เดี๋ยวเกิดทางหู เดี๋ยวเกิดทางจมูก เดี๋ยวเกิดทางลิ้น เดี๋ยวเกิดทางผิวหนัง เดี๋ยวเกิดทางใจ ก็เรียกว่าชาติๆ มันเลยมี ๒ ชาติ ชาติท้องแม่นั้น หลายๆ ปีจะเกิดได้สักคนหนึ่ง หรืออย่างเก่งก็ว่าปีหนึ่งเกิดได้สักคน ชาตินี่ แต่ชาติทางนามธรรมทางจิตใจนี้ วันเดียวนะ วันเดียวเท่านั้นแหละ เกิดเป็นสิบๆ เป็นร้อยๆ ชาติ จำความหมายของคำว่า หลายๆ สิบชาติ หลายๆ ร้อยชาตินี้ไว้ให้ดีๆ จะหายโง่ หายโง่ โง่บรมโง่ ในข้อที่ว่านิพพานต้องรอกันหลายหมื่นชาติ หลายแสนชาติ จึงจะได้นิพพาน ถ้านับชาติอย่างเกิดจากท้องแม่อย่างนั้นแล้ว มันก็รอกันตายแหละ หลายหมื่นชาติ หลายแสนชาติ แต่ถ้าว่าเกิดทางนามธรรมทางจิตใจแล้ว ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์หรือเพียงเดือนเดียว มันก็จะครบหลายหมื่นหลายแสนชาติเสียแล้ว เพียงเดือนเดียวเท่านั้น นั่นแหละความรอบรรลุนิพพาน หมื่นชาติ แสนชาติ มันก็เป็นไปได้ มันเป็นไปได้เพียงไม่กี่เดือนก็ได้นี่ แต่ถ้าเอาชาติทางท้องแม่ก็รอไปเถอะเพราะว่าชาติๆ หนึ่งมันมีทีเดียว เกิดจากท้องแม่ชาติหนึ่ง มันมีชาติเดียวทั้งชาติ อายุ ๘๐ ปี ๑๐๐ ปี ก็มีชาติเดียวเท่านั้นแหละ นี่ตัวกู มันเกิดทางนามธรรม เป็นชาติทางนามธรรม ไม่ใช่เกิดทางรูปธรรมซึ่งเป็นภาษาชาวบ้านพูด แล้วภาษาธรรมะพูดก็ว่า เกิดแห่งอุปาทานว่าตัวตน วันเดียวเกิดได้หลายสิบชาติหลายร้อยชาติ ถ้าเข้าใจข้อนี้ถูก เข้าใจข้อนี้ถูก จะเข้าใจเรื่อง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณโดยถูกต้อง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกถึงภพที่มีในกาลก่อน ชาติที่มีในกาลก่อน ในพระไตรปิฎกพูดไว้เป็น ๒ ความหมาย ความหมายอย่างว่า เกิดจากท้องแม่แล้วไปเกิดใหม่ เกิดจากท้องแม่แล้ว ไปเกิดใหม่ อย่างนี้ก็มี แล้วก็มีมากเสียด้วย เอาเกิดธรรมดาเป็นเครื่องนับ แต่ถ้าบาลีบางแห่งในสังยุตตนิกาย โดยเฉพาะในสังยุตตนิกายระบุว่า เป็นการเกิดแห่งอุปาทาน การระลึกชาตินั่นคือการระลึกถอยหลังว่าได้เกิดอุปาทาน มากี่ครั้งอย่างไรๆ อย่างไรๆ อย่างไรๆ นี่ เช่นเดี๋ยวนี้ เอ้า,จะระลึกชาติ ก็ระลึกไปถึงว่าเมื่อชั่วโมงที่แล้วมาเกิดอย่างไร เมื่อชั่วโมงที่แล้วมาเกิดอย่างไร เมื่อชั่วโมงที่แล้วมาเกิดอย่างไร เพียงวันเดียวนั้นก็ได้หลายสิบชาติแล้วแหละ ชาติอย่างนี้แหละ เป็นชาติในปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้อง ที่ถูกต้องตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ชาติเข้าท้องแม่แล้ว ไปเกิดใหม่นั้นเป็นของลัทธิอื่นที่เขาสอนกันอยู่แล้วก่อนพุทธกาล แล้วทำไมมันพลัดเข้ามาอยู่ในพุทธศาสนา ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ทำให้สงสัยว่าจะได้มีคนขบถสักคนหนึ่งแล้วเอาข้อความของศาสนาอื่นมาใส่ไว้ในพุทธศาสนา การระลึกชาติจึงเป็นอย่างนั้นเหมือนที่เขามีพูดกันในศาสนาอื่น นี่ที่พูดอย่างนี้ก็ถูกด่าแหละ หลายองค์ที่นั่งอยู่ที่นี่ด่า กำลังด่าแล้วก็ได้ ชาติที่จะรำลึกได้เป็นหมื่นชาติ แสนชาติ อสงไขยชาติ นั่นมันชาติทางนามธรรม ชาติในปฏิจจสมุปบาท ถ้ามันหยุดชาติอย่างนี้จึงจะหยุดเวียนว่ายโดยแท้จริง ชาติทางรูปกายแล้วมันก็เป็นชาติตามแบบรูปกาย และขอให้เข้าใจความหมายอันสำคัญอย่างยิ่งไว้อีกข้อหนึ่งด้วยว่าแม้ว่าจะมีการคลอดออกมาจากท้องแม่โดยรูปกายเป็นเด็กนอนอยู่แล้วนี่ ยังไม่เรียกว่ามีชาติโดยสมบูรณ์ ว่าตามหลักธรรมะยังไม่มีชาติโดยสมบูรณ์แม้จะออกมาจากท้องแม่แล้ว ถ้าจะให้สมบูรณ์ก็สมบูรณ์ทางวัตถุคือคลอดมาจากท้องแม่ ต่อเมื่อเด็กนั้นมีความรู้สึกโดยปฏิจจสมุปบาท เกิดตัวกูๆ อยู่ในจิตของมัน นั่นแหละจึงจะเรียกว่าชาตินั้นสมบูรณ์ ชาติทางวัตถุจากท้องแม่ออกมาเป็นฐานรองรับสำหรับจะเกิดชาติทางจิตทางวิญญาณโดยปฏิจจสมุปบาท นี่เป็นชาติจริงๆ เพียงแต่คลอดมาจากท้องแม่ยังมีชาติชนิดเปลือก แต่เมื่อจิตยึดมั่นด้วยอุปาทานแล้ว มันจึงจะมีชาติแท้จริง เป็นเนื้อในให้ชาตินั้นสมบูรณ์โดยความเป็นชาติทั้งโดยร่างกายทั้งโดยจิตใจ
เอ้า,ทีนี้เด็กจะเกิดปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร คงยากที่ใครจะเชื่อ เพราะมันไม่ศึกษา เพราะมันไม่สนใจศึกษา ในพระบาลีก็มีกล่าวถึงทารกนั้นน่ะ มันไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ มาแต่ในท้อง มันโง่มาแต่ในท้อง มันไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ มาแต่ในท้อง เอ้า,ทารกคลอดออกมาหยกๆ นี่ มันก็ต้องมีการสัมผัส ทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนะ
จะยกตัวอย่างทางตาทางหูก็ได้ แต่ไม่ดีเท่ากับทางรสทางลิ้น มันไม่เท่าไหร่ มันก็ต้องได้กินน้ำได้กินนมแม่ ได้กินนมแม่นี่มันเกิดปฏิจจสมุปบาททางลิ้น ลิ้นถูกกับรสของน้ำนม มันก็เกิดชิวหาวิญญาณ เด็กทารกนั่นแหละ เพิ่งเกิดมาหยกๆ มันเกิดชิวหาวิญญาณ แล้วมันก็เกิดผัสสะในน้ำนมนั่นแหละ แล้วเกิดเวทนาในน้ำนมนั่นแหละ แล้วก็เกิดตัณหาตามเวทนานั้น มันก็เกิดตัวกู ตัวกูอร่อย ตัวกูไม่อร่อย หรือตัวกูอร่อยนี่ เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วว่าความรู้สึกทางลิ้นได้เกิดขึ้นมาแล้ว มันจึงจะเกิดความรู้สึกหลอกว่าตัวกู ตัวกูอร่อย หรือไม่อร่อยนี่ ถ้าเด็กคนนั้นได้มีการปรุงแต่งทางจิตใจโดยวิธีแห่งปฏิจจสมุปบาทอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว ก็เรียกว่า ชาติของมันสมบูรณ์ เพียงแต่ออกมาจากท้องแม่ยังไม่สมบูรณ์หรอก แต่เมื่อมีชาติทางอุปาทานทางจิตใจเกิดขึ้น มาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็สมบูรณ์
เด็กทารกนี่ เขาเอาตุ๊กตาสวยๆ มาแขวน ตา มันก็รับอารมณ์ทางตา เกิดผัสสะเวทนาทางตาก็ได้ ทางหู คือเมื่อมันโตพอที่จะรู้สึกกับเสียง เสียงขับกล่อมอันไพเราะโหยหวนที่เขาขับกล่อม เด็กทารกมันก็เกิด ปฏิจจสมุปบาททางหู ทางจมูก เขาให้ดมอะไร มันก็เกิดปฏิจจสมุปบาททางจมูก ทางลิ้น ทางกายและก็ทางผิวหนัง ทีนี้ได้รับการประคบประหงมเหลือประมาณ ลูกอ่อนๆ ได้รับการประคบประหงมเหลือประมาณ เกิดผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ทางผิวหนัง ทีนี้มันก็มีจิตใจทำงาน รู้สึกเป็นอารมณ์พอใจไม่พอใจขึ้นมา ก็ครบหมดทั้ง ๖ อายตนะ นี่เด็กคนนี้เกิดมาโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะมีการเกิดทั้งโดยทางวัตถุ ทางร่างกาย และเกิดทางจิตทางวิญญาณตามกฏเกณฑ์ แห่งปฏิจจสมุปบาท นี่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นอาการเกิดขึ้นแห่งตัวกูหรือแห่งอายุ เมื่อมีตัวตนมีตัวกู มันก็มีอายุ
เอ้า,ทีนี้เมื่อพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้ว ก็ขอให้ ขอให้ได้พูดให้มันหมดเปลือก ปฏิจจสมุปบาทชนิดนี้ ชนิดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอาทิพรหมจรรย์น่ะ คือปฏิจจสมุปบาทชนิดที่กำลังพูดอยู่นี่แหละ วันหนึ่งพระองค์ทรงประทับนั่งอยู่โดยไม่มีใครอยู่ด้วยหรือท่านไม่เห็น ท่านนึกว่านั่งอยู่คนเดียว พระพุทธเจ้า ก็สาธยายปฏิจจสมุปบาทอันนี้ขึ้นมา จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ ตากับรูปถึงกันเข้า ก็เกิดจักษุวิญญาณ, ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส การประจวบกันเข้ากับสิ่งทั้ง ๓ นี้ คือ ตาด้วย รูปด้วย วิญญาณด้วย นี้เรียกว่าผัสสะ, ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา อย่างนี้เรื่อยไปตามที่รู้กันอยู่แล้ว
ปฏิจจสมุปบาทนี้ตั้งต้นด้วยคำว่า ตากระทบรูปเกิดวิญญาณแล้วเกิดผัสสะ ซึ่งไม่ได้เอามาเรียน ในแบบเรียนนักธรรม นี่เป็นปฏิจจสมุปบาทชนิดนี้ เป็นปฏิจจสมุปบาทชนิดที่พระพุทธองค์ทรงมาสาธยาย สาธยายด้วยพระองค์เอง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ ก็สาธยายเล่น เอ้า, เผอิญมันมีภิกษุองค์หนึ่ง แอบอยู่ข้างหลัง มันแอบฟังอยู่ข้างหลังตลอดเวลา พระพุทธเจ้าทรงเหลียวไปพบ เอ้า, เอ็งอยู่นี่ เอาไป,เอาไป ปฏิคฺคณฺหตุ นี่ เอาไป, ปฏิคฺคณฺหถ, ปฏิคฺคณฺหิ, ปฏิคฺคณฺห นี่เอาไปๆ นี้เป็นอาทิพรหมจรรย์ นี้เป็นอาทิพรหมจรรย์ เป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ทั้งในการศึกษาทั้งในการปฏิบัตินั่น เราเลยเรียกกันตามพอใจของเราว่าปฏิจจสมุปบาทฮัมเพลง ขออภัยที่ดูถูกพระพุทธเจ้าไปหน่อยว่าฮัมเพลง เหมือนว่าเรานั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรจะทำ ก็ร้องเพลงเล่นอย่างนั้นแหละ ร้องเพลงเล่น เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังร้องเพลงเรื่องปฏิจจสมุปบาท เพราะว่าท่านค้นๆ ค้นมาตั้งแต่ก่อนตรัสรู้แล้วว่าปฏิจจสมุปบาทคืออะไรๆ พอตรัสรู้ก็ตรัสรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ท่านก็ไปพิจารณาทบทวน ทบทวนอยู่ใน ๗ วันนั่นแหละ ทบทวนๆ แล้วก็สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท มันขึ้นสมอง มันขึ้นจิตใจ ท่านจึงเอามา เหมือนกับว่าปากมันว่าไปเองอย่างนั้นแหละ ปากมันว่าไปเองเหมือนกับเด็กร้องเพลงหรือว่าเด็กท่องสูตรคูณ นี่ปฏิจจสมุปบาทที่ควรสนใจและเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะมันตั้งต้นที่อายตนะทำงานแล้วก็เกิดอาการต่างๆ
ทีนี้มันมีปฏิจจสมุปบาทใหญ่หรือสมบูรณ์กว่านั้น ที่เอามาใช้เรียนเป็นแบบเรียนกันนั่นแหละ มันขึ้นต้นว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เลยโน่น อวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดอำนาจการปรุงแต่ง เรียกว่าสังขาร อำนาจการปรุงแต่ง สิ่งนี้มันจะปรุงแต่ง มันไม่ยอมให้หยุด มันจะปรุงแต่ง เพราะมีอวิชชา มันจึงมีอำนาจการปรุงแต่งขึ้นมา เรียกว่าสังขาร เพราะมีอำนาจการปรุงแต่งคือสังขารน่ะ มันไปคว้าเอาวิญญาณธาตุตามธรรมชาติมาปรุงแต่งเป็นวิญญาณทางอายตนะ สังขารให้เกิดวิญญาณ สังขารให้เกิดวิญญาณ ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทใหญ่ได้ เข้าใจไม่ได้ ก็เข้าใจไม่ได้
สังขาร อำนาจการปรุงแต่ง ไปคว้าเอาวิญญาณตามธรรมชาติ วิญญาณธาตุตามธรรมชาติ มาปรุงแต่ง เป็นวิญญาณทางอายตนะ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ นี่ พอได้วิญญาณทางอายตนะมาแล้ว มันก็พร้อมที่จะมา เป็นคู่กับร่างกาย สามารถที่จะมีนามรูปคือร่างกายและจิตใจ ฉะนั้นพระบาลีจึงว่า วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ มีนามรูป แล้วมันก็ครบเครื่องที่จะให้เกิดอายตนะ เป็นที่ตั้งแห่งอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ทั้ง ๖ นี้ มีแต่กายมันก็ทำไม่ได้ มีแต่จิตก็ทำไม่ได้ ต้องมีทั้งกายและจิต มันจึงเป็นอายตนะครบสมบูรณ์ขึ้นมาเป็นอายตนะ อายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะมีอายตนะ จึงมีผัสสะ ถ้าไม่มีอายตนะจะผัสสะกับอะไร มีอายตนะจึงมีผัสสะ ผสฺสปจฺจยา เวทนา มีผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน ตอนท้ายนี้เหมือนกันจนตลอด คนบ้าหรือคนโง่อธิบายผิด เป็นเกิด ๒ หน
พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่าเกิด ๒ หน เกิดหนเดียวเท่านั้นแหละ เกิดหนเดียวเท่านั้นแหละ ครั้งแรกมันก็มีอวิชชาให้เกิดอำนาจการปรุงแต่งคือสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณทำให้เกิดนามรูป นี้ มันเข้าใจว่าเกิดหนหนึ่ง และมาตอนท้ายตอนจบนี้ว่าภพให้เกิดชาติ นี่เกิดอีกหนหนึ่ง ปฏิจจสมุปบาทสายเดียวเกิด ๒ หน มันเข้าใจไม่ได้ มันปฏิบัติไม่ได้ มันไม่มีประโยชน์อะไรในการที่จะอธิบายอย่างนั้น ฉะนั้นขอให้อธิบาย ปฏิจจสมุปบาท หรือเข้าใจปฏิจจสมุปบาทให้ถูกต้อง ทั้งอย่างที่เต็ม เต็มรูปแบบคือปฏิจจสมุปบาทใหญ่ ตั้งต้นด้วย อวิชฺชาปจฺจยา แล้วปฏิจจสมุปบาทที่รัดกุมเข้ามา ที่พระพุทธเจ้าท่านสาธยายเอง ตั้งต้นที่อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่มันเรื่องเดียวกันนั่นแหละ เรื่องเดียวกันแหละ แต่วิธีกล่าวนั้นมันผิดกัน นี้มันจะกล่าวเฉพาะเดี๋ยวนี้ เวลานี้ ที่จะทำหน้าที่ เริ่มกล่าวเมื่อมีการตั้งต้นทำหน้าที่ ทีนี้ปฏิจจสมุปบาทใหญ่ มันกล่าวตั้งแต่ว่า มันจะได้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาอย่างไร ตั้งแต่ก่อนโน้นด้วย มันจึงกว้างไกลออกไป หรือยาวออกไป แล้วก็ยังมีปฏิจจสมุปบาทสั้นๆ ไม่กี่อาการอีกก็มี เช่นว่า เพราะประชุมแห่งนามรูป เพราะมีการประชุมแห่งนามรูป มันก็เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เอ้อ,เพราะการประชุมแห่งธาตุ พูดผิดไป เพราะการประชุมแห่งธาตุ ธาตุทั้ง ๖ มันก็มีเกิดนามรูป เกิดผัสสะ เวทนา รับกันสั้นๆ อย่างนี้ก็มี หรือสั้นเข้ามาอีก ก็เพราะมีอาหาร เพราะมีอาหาร มีผัสสาหาร มีวิญญาณาหาร แล้วก็เกิดปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ก็มี แต่นั้นมันสั้นๆ ลัดๆ ศึกษายาก คือไม่ชัดเจน เอากันที่ชัดเจนดีกว่า
ที่ชัดเจนอย่างยิ่งก็คืออันนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าทรงมากล่าวอยู่ด้วยพระองค์เอง เหมือนเด็กเขาท่องสูตรคูณ แล้วกำชับภิกษุที่แอบได้ยินว่า นี่ อาทิพรหมจรรย์, นี่ อาทิพรหมจรรย์ ย้ำอย่างนี้ ว่านี่เป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ แก่จงเอาไป เอาไป เป็นอาทิพรหมจรรย์ คือไปประพฤติปฏิบัติไปศึกษา ท่านจงสังเกตดูให้ดีว่าในกระแสแห่ง ปฏิจจสมุปบาทอย่างยาวหรืออย่างสั้นก็ตามเถิด มันมีตอนที่สำคัญที่สุด ที่เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาตินั่นน่ะ ชาตินั้นๆ แหละ ชาตินั้นแหละคือตัวกูๆ ที่เต็ม เต็มที่ออกมาเป็นเต็มที่แล้ว แต่ถ้ายังเป็นเพียงตั้งครรภ์ ก็คืออุปาทานหรือภพๆ ที่แน่นอนก็คือภพตั้งครรภ์ ว่ามันมีการตั้งครรภ์ตัวกู แล้วภพเจริญๆ เจริญจนเป็นชาติ เอาตัวกูที่เต็มที่คลอดออกมา มีชาติอย่างนี้คลอดออกมาแล้ว มันก็เต็มไปด้วยทุกข์ทั้งปวง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ทั้งหลาย ความทุกข์ทั้งหลาย เพราะมันมีชาติอย่างนี้ แล้วมันก็สำคัญอยู่ที่เพราะมันมีตัวกู ความสำคัญว่าตัวกู ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกว่าของกู มันมีความรู้สึกเป็นตัวกู แล้วเอาอะไรมาเป็นของกู มันก็เลยคว้าเอามาหมดเลย ความเกิดเป็นของกู ความแก่เป็นของกู ความตายเป็นของกู โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส ปายาส เป็นของกู พลัดพรากจากที่รักเป็นของกู ประสบสิ่งไม่รักก็เป็นของกู ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องตัวกู เป็นเรื่องของกูไปหมด ตัวกูและของกูจึงเป็นตัวปัญหาเป็นตัวทุกข์ แล้วมันก็เกิดมาจากความโง่ที่มันสร้างขึ้นมา อวิชชามันสร้างตัวกูขึ้นมา ฉะนั้นถ้าอย่ามีสร้างตัวกูขึ้นมา มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้มันสร้างขึ้นมาเสียทุกทีที่มีการสัมผัสทางอายตนะ แล้วมันก็สร้างอย่างสนิทสนม อย่างแนบเนียน อย่างแยบคาย อย่างฉับไว จนกลายเป็นเรื่องของธรรมชาติไป พอตาเห็นรูป มันก็ว่ากูเห็นรูป ถ้าไปเกี่ยวข้องกับรูปนั้น มันก็ว่ารูปของกู ทางหูก็เหมือนกันแหละ หูได้ยินเสียงโดยระบบประสาท มันก็ว่ากู กูได้ยินเสียง แล้วก็ไปพยายามที่จะเอาเสียงนั้น มาให้อยู่ในอำนาจของกู วิทยุจึงขายดีใช่ไหม โทรทัศน์จึงขายดี มันก็มาเป็นของกู เสียงของกูเอามาเป็นของกู หรือแม้ที่สุดแต่ว่าเสียงที่มีอยู่ในตัวคน ก็ให้เอามายึดถือเป็นของกู กลิ่นได้มาเป็นของกู อยากให้มีได้ตามชอบใจ ไปซื้อมาเป็นขวดๆ เลย อาหารก็เหมือนกันแหละ มันจะเป็นของกูมากๆ ก็ไปกักตุนมา มีสต๊อกอาหารหรือสิ่งอร่อยอย่างอื่น น้ำธรรมดากินไม่ได้ต้องกินน้ำอัดลม นี่, คิดดูเถิดว่ามันเป็นอย่างไร ของกู สัมผัสผิวหนังนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย จะทำให้มันมีรสอร่อย มีอัสสาทะทางสัมผัสผิวหนัง เมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก็มีเพศตรงกันข้ามมาอยู่เป็นคู่ครอง แล้วก็เหตุปัจจัยนานาสารพัดอย่างส่งเสริมความรู้สึกทางเพศ นี่เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้
ตัวกูๆ นั้นอวิชชาสร้างขึ้น ไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติแท้จริง ดังนั้นมันจึงเป็นผีหลอก ผีหลอกอย่างไร คือ มันเกิดทีหลังความรู้สึก ช่วยฟังให้ดี ตัวกูๆ ผี ผีหลอกนี้มันเกิดทีหลังความรู้สึกทางอายตนะ มันต้องเกิดความรู้สึก ทางอายตนะก่อน เกิดความรู้สึกทางอายตนะแท้ๆ ล้วนๆ ตามธรรมชาติก่อน แล้วมันจึงจะเกิดตัวกูผีหลอกขึ้นมา เมื่อตาเห็นรูปตามธรรมชาติตามธรรมดา แล้วมันก็เกิดความโง่สร้างขึ้นมา กูเห็นรูป นี่อวิชชาสร้างตัวกูขึ้นมา ตัวกูนี้เพิ่งเกิดภายหลังจากการเห็นรูปนะ ไม่ได้เกิดอยู่ก่อน ไม่ได้เกิดรออยู่ก่อนเพื่อจะเห็นรูป มันไม่ได้มีตัวกูที่ รออยู่ก่อนเพื่อจะเห็นรูป ตัวกูนี้มันเพิ่งเกิดเมื่อมีการเห็นรูปแล้วมันจึงเกิดความโง่ว่าตัวกูเห็นรูป ถ้าใครเข้าใจว่าตัวกูนี้ มีอยู่ก่อน รออยู่ก่อนเพื่อจะเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่นหรืออะไร นี้มันเป็นลัทธิอื่น เป็นศาสนาอื่นที่เขาสอนอยู่ก่อนพุทธกาล ก่อนพุทธกาลเขาสอนกันอย่างนั้นว่ามันมีตัวกู มีตัวตน มีชีวะ มีอาตมัน มีบุคคลน่ะอยู่ประจำเลย สำหรับจะรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูกนั้น เขาก็มีตัวกูกันไปแบบนั้น สอนอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านก็ ไม่ ไม่ ไม่ เราไม่เห็นด้วย เราพูดอย่างนี้ เราพูดว่าตัวกูนี้เป็นอุปาทาน มาทีหลังการสัมผัสทางอายตนะ พอตาเห็นรูป ตัวกูเห็นรูป เป็นตัวกูผีหลอกเกิดทีหลัง นี่ความที่ว่าไม่มีตัวตนจริงของกู ตัวตนอันแท้จริงของตัวกูมิได้มี เป็นเพียงตัวกูผีหลอกที่เกิดขึ้นจากการกระทบทางอายตนะ ที่เห็นได้ง่ายๆ ชัดๆ นะ มันต้องมีความเจ็บก่อนสิ เช่น มีดบาดเจ็บ มันมีความเจ็บก่อน มันจึงจะเกิดรู้สึกว่ากูเจ็บ กูไม่ได้รั้งรออยู่ว่าเมื่อไหร่จะเจ็บแล้วจะเจ็บ มันต้องมีความเจ็บก่อน แล้วจึงว่ากูเจ็บ นี่ตัวกูผีหลอก มันเกิดเมื่อมีความรู้สึก มันต้องได้เงินก่อนนะ ได้เงินมาโดยวิธีใดก็ตาม ได้เงินก่อน มันจึงจะเกิดความรู้สึกว่ากูได้เงิน ใครบ้างรู้สึกว่ากูได้เงินแต่ยังไม่ทันได้เงิน ยังไม่ทันได้เงินมันคิดว่ากูได้เงิน นี่มันคิดได้ที่ไหน คิดก็คือบ้าน่ะ มันฝัน มันต้องได้เงินก่อน มันจึงจะเกิดความรู้สึกว่ากูได้เงิน เงินมันต้องหายไปก่อน มันจึงจะรู้สึกว่ากูเสียเงิน หรือกูเงินหาย ความรู้สึกหรือการกระทำทางอายตนะต้องมีอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน แล้วมันจึงค่อยเกิดความรู้สึกว่าตัวกู ตัวกู เป็นอย่างนั้นๆ ตัวกูมิได้มีอยู่ตลอดเวลา มันเพิ่งปรุงแต่งด้วยความโง่ เป็นอุปาทานขึ้นมา เมื่อมันมีการกระทำไปแล้วทางอายตนะ ต้องมีความรักเกิดขึ้นในใจก่อน รู้สึกเป็นความรักในใจก่อน จึงจะมีความรู้สึกเกิดว่าตัวกูรัก กูรัก แล้วก็รักเป็นของกู ตัวกูก็ดี ของกูก็ดีมันเกิดทีหลังความรู้สึกทางอายตนะ เรื่องโกรธ เรื่องเกลียด เรื่องกลัว ก็เหมือนกันแหละ มันต้องกลัวอะไรเข้าอย่างหนึ่งก่อน แล้วมันจึงเกิดความรู้สึกว่ากูกลัว กูกลัว
นี่พุทธศาสนา ตัวกูมาทีหลังความรู้สึกทางอายตนะ ถ้าเป็นของลัทธิอื่น โดยเฉพาะลัทธิที่เขาก็เรียกกันว่าฮินดู หรืออะไรนั่นแหละ เขาสอนตัวกูมีอยู่ก่อน ตัวกูมีอยู่ก่อน สิงสถิตอยู่ในร่างกายนี้ แล้วตัวกูนี้วิ่งไปทำหน้าที่ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้น ทางกายบ้าง ถ้าไม่มีงานทำ นอนหลับ ตัวกูไปเที่ยว ตัวกูหนีไปเที่ยว ถ้าตัวกูไม่กลับมา ไม่ตื่น นี่เขาสอนว่ามีตัวกูกันอย่างนี้ ถ้าใครเชื่ออย่างนี้ ก็ขอให้รู้ว่านั้นมันตำรา นั้นมันเป็นของที่ไม่ใช่พุทธ มันมีคนหลอกขาย หลอกพิมพ์ขายเป็นพุทธ อาตมาก็เคยเห็นหนังสือที่มีข้อความอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้หายไปหมดแล้ว หนังสือที่มีขายอยู่ตามตลาดน่ะอธิบายอย่างนี้ เรื่องตัวกูถือเป็นธรรมะชั้นสูง ตัวกูสิงสถิตอยู่ในอัตภาพนี้ตลอดเวลา สำหรับทำหน้าที่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็อยู่กันจนร่างกายดับ ตัวกูไปหาที่เกิดใหม่ ตัวเดียวกัน ตัวเดียวกัน คนเดียวกัน ตัวเดียวกัน นี่ความโง่มันมีขนาดนี้ มันสอนกันผิดๆ สืบกันมาอย่างนี้
ในพระบาลีเกวัฏฏสูตร พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุนั้นว่า แกอย่าพูดอย่างนั้นสิ ภิกษุนั้นพูดว่า ตเววิทํ วิญฺญาณํ วิญญาณนี้แหละไปเกิด วิญญาณนี้แหละจุติ วิญญาณนี้แหละไปเกิด วิญญาณนี้จุติ วิญญาณนี้อยู่ที่นี่ พูดได้ กินได้ ทำอะไรได้ พอตายก็วิญญาณนี้จุติไปเกิด มันพูดอย่างนี้ พระองค์นี้มันมีลัทธิ ถือลัทธิอย่างนั้นมาก่อน แล้วเผอิญเข้ามาบวชในพุทธศาสนา แล้วมันก็พูดอย่างนี้ จนภิกษุทั้งหลายได้ยินเข้า เห็นว่านี่มันนอกรีต นี่มันมิจฉาทิฏฐิ ไปทูลพระพทธเจ้า พระพุทธเจ้าเรียกตัวไปว่ากล่าว มันก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อ นั่นในพระไตรปิฎกเองมันก็มี เล่าถึงเรื่องลัทธิมีตัวกูอย่างนี้ ที่เขาถือกันอยู่ก่อนอย่างแน่นแฟ้น ถ้าถืออย่างนั้นก็เป็นฮินดูไปสิ ถ้าถือว่าไม่มีตัวกู แม้เดี๋ยวนี้ก็มิได้มีตัวกู ตัวกูเพิ่งเกิดทีหลังความรู้สึกทางอายตนะ เกิดแล้วมันก็ดับไป เป็นความรู้สึกทางอายตนะ ที่เกิดแล้วก็ดับไป ฉะนั้นตัวกูมันก็เป็นผีหลอก เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ แล้วจะไปยึดถือว่าตัวตนได้อย่างไรเล่า มันก็ไม่ยึดถือเองแหละ ขอให้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้เถิด มันก็ไม่มีตัวกูเอง มันหมดไปเอง
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงตั้งใจว่าช่วงเลิกอายุนี่ ศึกษาปฏิจจสมุปบาทกันให้ชัดเจน ทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน หรือปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทกันให้ได้ คือมีสติป้องกันไม่ให้เกิดโง่เป็นตัวกูขึ้นมาเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ เมื่อเป็นอย่างนี้ มันต้องฝึกอานาปานสติ มันจึงจะมีสติสมบูรณ์ป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าตัวกูทางอายตนะใด อายตนะหนึ่ง จึงต้องทำคู่กันไป ศึกษาปฏิจจสมุปบาทให้เข้าใจแล้วก็เจริญภาวนาเรื่องอานาปานสติ เพื่อให้ทำได้ตามนั้น แม้เราจะศึกษาปฏิจจสมุปบาทจนเข้าใจ แต่มันยังทำไม่ได้หรอก มันยังไม่มีสติพอ ต้องฝึกสติ ฝึกสติโดยอานาปานสติ มีสติพอมันก็จะควบคุมผัสสะไม่ให้โง่ เวทนาไม่ให้โง่ ไม่ให้เกิดตัณหาโง่ ไม่ให้เกิดอุปาทานว่าตัวกู นี่เรื่องของมันเป็นอย่างนี้
อยากจะขอให้ทำความเข้าใจเป็นพิเศษเรื่องว่าตัวกูผีหลอกนี้มันเกิด เกิดอย่างยิ่ง เกิดเหลือประมาณ เกิดโดยไม่ต้องมีใครมาสอน มันเป็นเรื่องของอวิชชาเข้าไปครอบงำสัญชาตญาณ เด็กๆ มันไม่ได้เล่าเรียนอะไรหรอก มันก็ มันก็เข้าใจอย่างนี้ พอเห็นรูป ก็ว่ากูเห็นรูป ได้ยินเสียง ก็ว่ากูได้ยินเสียง กูมันเกิดมาเป็นจริงเป็นจังสำหรับเด็ก เด็กที่ค่อยๆ โตขึ้นมา สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ทารกนี้มันไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติมาแต่ในท้อง มันจึงออกมา โง่ โง่ โง่ โง่ แล้วก็เป็นทุกข์ ถ้ามันมีความรู้เรื่องนี้มาแต่ในท้อง มันก็ไม่เกิดหลงตัวกู ตาเห็นรูป ก็มันไม่ว่ากูเห็นรูป กูได้ยินเสียงมันก็ไม่ว่ากูได้ยินเสียง เพราะว่านั่นมันเป็นเรื่องความทุกข์ ไม่ใช่เรื่องวิมุตติ ถ้ามันมีความรู้เรื่องวิมุตติ มันก็ไม่เห็นเช่นนั้น
นี่ขอให้เข้าใจเรื่องนี้ว่า มันไม่ได้มีความรู้มาแต่ในท้อง มันว่างจากความรู้ ความโง่มันก็เข้าสวมรอย มันก็เกิดได้เองตามสัญชาตญาณ ตามสัญชาตญาณว่าตัวกู คนก็เกิดได้ สัตว์เดรัจฉานก็เกิดได้ ความรู้สึกอย่างนี้ แต่เราพิสูจน์ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้รู้สึกอย่างจิตใจของคนเรา แต่เข้าใจว่านะ อาตมาเชื่อว่า แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็เกิดความรู้สึกว่ากูเห็นรูป กูได้ยินเสียง กูได้กลิ่นด้วยเหมือนกัน แม้แต่ต้นไม้ด้วยซ้ำไป ถ้าใครรู้จักวิญญาณ รู้จักความรู้สึกของต้นไม้ มันก็จะรู้สึกว่าต้นไม้มันก็มีความรู้สึกว่าตัวกูเหมือนกันแหละ แต่ว่ามันน้อยมาก มันละเอียดมาก มันนิดเดียว มันไม่มากพอ นี่ขอให้เรารู้จักว่าตัวกูๆ นี้ คืออวิชชาสร้างขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป็นพื้นฐานแห่งชีวิต เพื่อจะดำรงชีวิต เพื่อจะต่อสู้ เพื่อมีอยู่แห่งชีวิต เพื่อจะสืบสนองชีวิต มันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไอ้ตัวกูผีหลอกกลับมีประโยชน์ในการช่วยผดุงชีวิต ส่งเสริมชีวิตให้มันต่อสู้เพื่อตัวกู
เรื่องปฏิจจสมุปบาท เมื่อศึกษาเข้าใจดีแล้ว ก็จะรู้ได้เองด้วยตนเองว่าอัตตา ตัวตน หรือตัวกูนั้นเกิดอย่างไร หรือว่าของกูๆ นั้นเกิดอย่างไร เป็นเงาตามตัวมา จึงมีทั้งอัตตาและอัตตนียา หรือตัวกูและของกู นั่นแหละจงเข้าใจ จงรู้จักตัวกูและของกูว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ พอมีตัวกูมันก็สำคัญต่อไป สำคัญเป็นเรื่องของกูแล้ว มันก็มีความรู้สึกใน ทางเวลาในทางอายุ เพราะตัวกูด้วยอวิชชานี้ มันต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต้องการแล้วยังไม่ทันจะได้ ระหว่างนั้น มันก็มีสิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลา เวลา กว่ามันจะได้ พอเรื่องนี้ได้แล้วเวลาเรื่องนี้หมดไปแล้ว ก็เกิดเวลาเรื่องอื่น ฉะนั้นเวลามันก็เกิดขึ้น เวลามันก็เกิดขึ้น ครอบงำตัวตน เมื่อเวลามี อายุมันก็มี อายุมันเป็นเครื่องกำหนดเวลา หรือเวลาเป็นเครื่องกำหนดด้วยอายุ อายุมันก็มี อายุมันก็คือสิ่ิงเดียวกันกับตัวตน ถ้าตัวตนมี อายุมันก็มี เลิกตัวตนเสีย อายุมันก็ไม่มี ฉะนั้นคำว่าเลิกอายุนั้น ก็หมายความว่าเลิกตัวตนเสีย เลิกตัวตนเสีย ไม่มีเวลา ไม่มีอายุ ไม่มีตัวตนนั่นแหละหลุดพ้น นั่นแหละคือหลุดพ้นจากความโง่เรื่องตัวตน หลุดพ้นจากการวนเวียนอยู่ในปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นตัวทุกข์ มีความหลุดพ้นได้เพราะเห็นความจริงว่าไม่มีตัวตน ไม่มีของตน สิ่งที่เรียกว่าเวลานั้นมันเป็นมาจากความโง่คือความอยาก ถ้ามีความต้องการมันก็มีเวลา ถ้าไม่มีความต้องการมันก็ไม่มีเวลา พระอรหันต์ไม่มีเวลา ท่านไม่ต้องการอะไร เวลาก็ไม่มีสำหรับพระอรหันต์ หรือว่าเรานี่แหละไม่ต้องเป็นพระอรหันต์หรอก ถ้าเวลาที่เราไม่ต้องการอะไร นอนหลับสบาย ถ้าต้องการอะไรอยู่ มันนอนไม่หลับ เวลาที่ไม่ต้องการอะไร เวลานั้นนาฬิกาหยุดเดิน
นี่ตัวตนหรือของตน เกิดมาจากความโง่ที่อวิชชาสร้างขึ้น ในเมื่อมีการกระทบหรือมีความรู้สึกทางอายตนะ มีการปฏิบัติทางอายตนะ แล้วมันก็ขัดกับความรู้สึกที่เขาสอนๆ หรือรู้สึกกันอยู่ว่า ทำไมผู้กระทำจึงเกิดทีหลังการกระทำ คุณลองพูดเรื่องนี้กับเด็กๆ สิ เด็กๆ มันจะท้วง เอ๊ะ,นี่ทำไมผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ แล้วอะไรมันกระทำล่ะหว่า มันจะแย้งอย่างนั้นแหละ มันมีการกระทำแล้วมันจึงเกิดความรู้สึกว่ามีผู้กระทำ นี่มันผิดความรู้สึกตามธรรมดา แต่มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นเพราะว่าตัวผู้กระทำนั้นมันไม่ใช่ของจริง มันไม่ใช่ของจริง ตัวการกระทำนั้นเป็นของจริง แต่ความโง่ที่รู้สึกว่ากูผู้กระทำนี้เป็นของเท็จ เป็นของมายา ไม่มีตัวจริง มันจึงสามารถ เกิดขึ้นมาได้ทีหลังการกระทำ ถ้าเด็กๆ เขาเข้าใจเรื่องนี้ได้ เขาก็หยุดเถียง หยุดค้าน จะไม่ค้านว่า เอ๊ะ, นี่ทำไมตัวผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ นั่นแหละความจริงที่ต้องรู้ ความจริงที่ในพุทธศาสนามีอยู่อย่างไม่เหมือนใคร ตัวตนนี้เป็นของหลอก เป็นของมายา เกิดมาจากการกระทำ หรือความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งที่หลอกตัวเองให้มีตัวตน ใครก็ตามที่นั่งอยู่ที่นี่ ถ้าไม่เข้าใจข้อนี้ ไม่เข้าใจว่าตัวผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ ไม่เข้าใจข้อนี้ คนนั้นยังไม่รู้เรื่องอนัตตา ยังไม่รู้เรื่องพุทธศาสนา ยังไม่รู้จักพุทธศาสนา เขาจะไปรู้สึกเป็นตัวตน มีตัวตน ตัวตนถาวร เวียนว่ายตายเกิดอย่างถาวร เป็นตัวตนคนเดียวกัน กี่ชาติๆ เกิดแล้ว ก็ตัวตนคนเดียวกัน แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าที่นี่เดียวนี้ เวลานี้ ชาตินี้ มันก็ไม่มีตัวตนโว้ย มันต่างกันกี่โยชน์ คุณคิดดู คุณช่วยคิดดู เวียนว่ายตายเกิด กี่ชาติๆ กี่ชาติก็ตัวตนคนเดียวกัน กับที่ว่าแม้ที่อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้เวลานี้ก็มันไม่มีตัวตน มันไม่มีตัวตนนี่ ถ้ามันมีอะไรที่ทำให้โง่หลงไปบ้าง มันก็เป็นอวิชชาทั้งนั้นแหละ ถ้าจะว่าอะไรมันเนื่องกันระหว่างชาตินี้กับชาติหน้า มันก็คือสิ่งที่ทำให้เข้าใจผิด
ข้อนี้มันต้องเปรียบเทียบด้วยอุปมาๆ ที่เขาเคยใช้เปรียบเทียบอธิบายกันน่ะ ควรจะสนใจ มะม่วงต้นนี้โตขึ้นมา เอ้า,มีลูก แล้วพอลูกมันหล่น ลูกมันหล่นมาจากต้น มีเม็ด มีเม็ดน่ะ มีเม็ดมะม่วง เม็ดมะม่วง ทีนี้เมื่อเม็ดมะม่วง ได้ความชื้นได้อาหารได้อากาศดี ก็งอกเป็นต้นใหม่ขึ้นมา เขาถามว่ามะม่วงต้นใหม่ที่มันงอกขึ้นมานี้ มันต้นเดียวกับต้นเก่าต้นแม่มันหรือเปล่า ใครๆ ก็เห็นว่าคนละต้น แล้วต้นเก่ามาเกิดหรือเปล่าล่ะ ต้นเก่ามาเกิดหรือเปล่า ก็เปล่าทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าต้นเก่าต้นแม่น่ะมันทิ้งซาก ทิ้งซากไว้ ทิ้งซากไว้ ซากนั้นน่ะมันไปหาที่เกิด ที่เกิดของมันทีหลัง มันไม่ใช่ต้นเก่า มะม่วงต้นทีหลังไม่ใช่มะม่วงต้นเก่า มะม่วงต้นทีหลังมันเป็นเพียงซากเศษอะไร ที่มันเหลือมาจากต้นเก่า เอาชาตินี้เป็นต้นมะม่วงแม่ พอมันตายมันเหลือซากเศษอะไรนิดหนึ่ง เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย มันก็ไปเกิดขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่คนเดิม ถ้าเห็นว่าคนเดียวกันเรื่อยไปทุกชาตินั่น บ้ากี่มากน้อย มันบ้าเท่ากับว่าต้นมะม่วง เล็กๆที่เกิดทีหลังต้นเดียวกับต้นเก่านั่น
อย่าเห็นว่าคนเดียว คนเดียว คนเดียว เวียนว่ายตายเกิด เวียนว่ายตายเกิดอยู่คนเดียวอย่างนี้ มันเป็นเหตุปัจจัย ที่เป็นขั้นเป็นตอน เป็นขั้นเป็นตอน มีปฏิจจสมุปบาทเฉพาะตน ความคิดว่าคนเดียว คนเดียวตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด คนเดียวโดยคนเดียวนั้นมีไม่ได้ เพราะการระลึกชาติว่าคนเดียวไปเกิดนี้ เข้าใจว่าเป็นของไม่ใช่พระพุทธศาสนา มันพลัดเข้ามาอย่างไร และเพราะว่าในพระไตรปิฎกเองมันก็มีเรื่องชาติ ชาติชนิดที่ว่าไม่ใช่ตัวตนเกิดจากท้องแม่ ชาตินั่นน่ะเกิดแห่งปฏิจจสมุปบาท ตัวกูอย่างปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ก็มี ในพระไตรปิฎกเองมันมีทั้ง ๒ อย่าง อย่างนี้ คุณก็เลือกเอาสิว่าอย่างไหนจะเป็นของพระพุทธเจ้าตรัส ปฏิจจสมุปบาทอย่างไหน เอ้อ,ระลึกชาติอย่างไหน จะเป็นของพระพุทธเจ้าตรัส เป็นอิสระที่จะคิดเอาเอง ขอยืนยันว่ามีทั้ง ๒ อย่าง ข้อความที่ว่าตัวตนคนเดียวไปเกิด ตัวตนคนเดียวไปเกิด คนเดียวกันนั้นก็มี และที่ว่าปฏิจจสมุปบาทระลึกชาติน่ะ คือระลึกถึงอุปาทานที่เกิดตัวตนที่ได้เกิดมาแล้วแต่หนหลังก็มี ไม่ใช่ว่าตัวคนไปเกิดเป็นชาติๆ เป็นเพียงอุปาทานของแต่ละรอบๆ แห่งปฏิจจสมุปบาท มันมีอยู่เป็นทะยอยลำดับลงไป ระลึกไปเถิด เพียงวันเดียวก็ได้หลายสิบชาติหลายร้อยชาติ ถ้าตั้งเดือนตั้งปีแล้ว มันก็มีเป็นหมื่นเป็นแสนชาติแหละ ระลึกอย่างนี้ก็ได้ ก็เรียกว่าปุพเพนิวาสานุสสติญาณด้วยเหมือนกัน ระวังปุพเพนิวาสานุสติญาณของใครก็ไม่รู้ที่พลัดเข้ามาอยู่ในพระไตรปิฎก ทำให้เชื่อว่าตัวตนคนเดียวไปเกิด ตัวตน คนเดียวไปเกิด ตัวตนคนเดียวไปเกิด นี้ไม่ใช่พุทธศาสนา
เอาล่ะ,เราจะดูกันตรงที่ว่าปัญหามันอยู่ที่ว่าเกิดตัวตนเมื่อไหร่ ก็มีความทุกข์เมื่อนั้นแหละ ชาติ ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺข มีชาติเมื่อไหร่ มีความทุกข์เมื่อนั้น ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงน่ะ เกวลทุกขะ ทุกข์ทั้งปวงเกิดขึ้น เมื่อมีชาติเป็นปัจจัยนี่ ทีนี้ถ้าจะเลิกตัวตน มันก็ต้องเลิกปัจจัยแห่งชาติ เลิกตัวตนเสียได้ มันก็เลิกอายุเสียได้ คือมันเลิกความโง่ว่ากูมีอายุ อายุของกู มันก็เลิกเสียได้ นี่จึงว่าจะต้องศึกษาให้เข้าใจปฏิจจสมุปบาท แล้วก็เป็นปฏิจจสมุปบาทชนิดแท้จริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้จริงๆ อย่าไปเอาปฏิจจสมุปบาทผิดๆ ปฏิจจสมุปบาทปลอม ปฏิจจสมุปบาทที่อธิบายกันเอาตามชอบใจ ขอให้ถือตรงเผงตามพระพุทธภาษิตที่กล่าวถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท อย่าไปเอาเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณมาสวมเรื่องปฏิจจสมุปบาท จงเอาเรื่องปฏิจจสมุปบาทไปสวมเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
นี่ข้อนี้สรุปความได้ว่าเราจะต้องศึกษาปฏิจจสมุปบาทให้เกิดความรู้ชัดเจนขึ้นมาว่าอวิชชาสร้างกระแส แห่งปฏิจจสมุปบาทขึ้นมา มีตัวตนรวมอยู่ที่นั่นด้วย ศึกษาละเอียดแล้วจะพบว่า โอ้, ตัวตนนี้เป็นผีหลอก เป็นผีหลอก เกิดมาจากความรู้สึกทางอายตนะ เด็กทารกมันก็เกิดได้ เกิดได้ตามสัญชาตญาณ เด็กทารกมันก็จะว่ากูเข้าใจทั้งนั้นแหละ ไม่รู้ใครสอน จะว่าพ่อแม่สอนโดยทั้งหมดก็ไม่เชิง มันรู้สึกของมันได้เอง สมมุติว่าเด็กคนหนึ่ง มันเดินไป โดนเสาหรือโดนเก้าอี้ มันก็โกรธทันทีว่าไอ้เสาหรือเก้าอี้นี่ ทำให้กูเจ็บ เท่านี้มันก็เตะเสาเตะเก้าอี้ สมน้ำหน้ามัน มันเจ็บเองมากยิ่งขึ้นไปอีก มันเข้าใจว่าเก้าอี้หรือเสานั้นเป็นตัวสู เป็นตัวสู คือตัวกูฝ่ายโน้น มันก็เตะเก้าอี้ ชกเสา หรือว่าถ้าเด็กบางคนมันไม่กล้าถึงอย่างนั้น มันก็นั่งลงร้องไห้ฮือๆ มันเป็นเรื่องของตัวตนที่มาจากความโง่ทั้งนั้นแหละ จะนั่งลงร้องไห้ฮือๆ ก็ดี หรือว่าจะเตะชกเก้าอี้เสาก็ตามใจ มันมาจากตัวตนโง่ทั้งนั้น อย่ามีตัวตนอย่างเดียว มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องของตนๆ
สิ่งที่เรียกว่าอายุๆ มันก็เป็นเพียงความสำคัญเอาเองอย่างเดียวกับสำคัญว่าตัวตน สำคัญว่าอายุของตน ไม่รู้จักเวลา เวลามันก็กัดเอาๆ ถ้ารู้จักว่าเวลาๆ นี้เป็นเพียงความโง่ของตัวตน กูไม่หลงกับมัน มันก็ไม่กัดใคร เรื่องนี้สำคัญมากนะ ถ้าเรามีความโง่เกี่ยวกับเวลา เวลามันกัดเรา ถ้าเรามีความฉลาดเกี่ยวกับเวลา เรานี่กัดเวลา เรานี่กินเวลา เราครอบงำเวลา ถ้าเรามีตัณหาความอยากอย่างโง่ๆ ด้วยอวิชชานี่ เวลาจะกินเรา แต่พอเรามีวิชชามีปัญญาถูกต้องขึ้นมา เราก็ไม่เกิดตัณหา เราก็กินเวลา ผลัดกันแหละ พอเราโง่ เวลากินเรา พอเราฉลาด เราก็กินเวลา นี่ก็เป็นหลักธรรมะที่ควรสนใจ พูดไว้อย่างในลักษณะของอุปมา แต่คนก็ไม่เข้าใจ บางคนจะไม่เข้าใจแม้แต่คำว่ากินเวลา หรือเวลากินเราก็ไม่เข้าใจ เรากินเวลาก็ไม่เข้าใจ มันเลยไม่เข้าใจทั้งหมดเลย
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทให้เข้าใจชัดเจนและชนิดที่ถูกต้องๆ ตามหลักของ พระพุทธศาสนา แล้วก็จะเห็นว่า โอ้,สมุทัยๆ มันมาอย่างนี้โว้ย จะตั้งต้นกันที่ตรงไหนก็ตาม มันมักจะตั้งต้นกัน ที่ว่าตัณหาๆ มีตัณหาแล้วก็เกิดทุกข์ เพราะว่าตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานทำให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ เรียกว่าตัณหาเป็นสมุทัยให้เกิดทุกข์ แต่มันมีหลายขั้นตอน ตัณหาต้องเกิดอุปาทานก่อน อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ รวบรัดเรียกเสียว่าตัณหาให้เกิดทุกข์ นี้ก็เป็นตัวอย่างเห็นได้ชัดว่าเรารวบหลายๆ ขั้นตอนเป็นตอนเดียว ถ้าให้จริงกว่านั้นมันก็ต้องถอยหลังไปอีกว่าอวิชชาโน้นเป็นสมุทัยของทั้งหมด อวิชชาให้เกิดสังขาร ให้เกิดวิญญาณ ให้เกิดนามรูป ให้เกิดอายตนะ ให้เกิดผัสสะ ให้เกิดเวทนา ให้เกิดตัณหานั่นมาด้วย พูดไปได้ถึงอวิชชาน่ะเป็นต้นตอ ไม่ใช่หยุดอยู่เพียงตัณหา แต่พระพุทธเจ้าท่านรวบรัดมาสอนคนธรรมดาชาวบ้านที่มันไม่ฉลาดนี่ เอาเพียงตัณหาก็พอ สมุทัยของทุกข์ระบุไปที่ตัณหา แต่ถ้าถามว่าตัณหามาจากอะไร เดี๋ยวก็ไปถึงอวิชชาอีกแหละ เราเอากันที่พระพุทธองค์ ตรัสไว้สั้นๆ ง่ายๆ ว่า ระบุว่าตัณหา ตัณหาซึ่งมาจากอวิชชา นี่เป็นเหตุให้เกิดตัวตน ให้เกิดอายุ ให้เกิดเวลา ให้เกิดความ ผูกพันกับเวลา เราก็ต้องได้ทุกข์ ได้เกิดความทุกข์ ฉะนั้นถ้าเลิกสมุทัยนี้เสียได้ มันก็ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตน ก็ไม่มีความทุกข์ ไม่มีอายุ ไม่มีเวลา ไม่มีอะไรที่มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ไม่มีที่ตั้งแห่งความยึดถือ มันก็ไม่มีความทุกข์ นี่เรียกว่าสมุทัยๆ
ขอให้รู้จักสมุทัยแห่งเวลา สมุทัยแห่งความทุกข์ สมุทัยแห่งอายุ มันมาจากการที่ไม่รู้จักตัวตนตามที่เป็นจริง ก็คือไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง เอาเป็นตัวกูบ้าง เอาเป็นของกูบ้าง ทั้งจักรวาลเลย ชีวิตนี้ก็ของกู คนที่เป็นศัตรู มันก็เป็นศัตรูของกู มันโง่เท่าไหร่ ให้ศัตรูเป็นของศัตรูสิ อย่าเอาศัตรูมาเป็นของกูสิ มันก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันเอามาเป็นของกู แม้แต่ศัตรูที่จะทำร้ายมัน นี่ความโง่เอามาเป็นของกู แล้วมีตัวกูเป็นผู้รองรับ หรือว่ามีตัวกู เป็นที่ตั้งที่อาศัยก่อนแล้วก็มีของกู ของกู ของกู เข้ามาแวดล้อมจนเต็มไปหมด มีอะไรเป็นของกูบ้าง ไปนับดูเอาเอง ที่บ้านของคุณนะ บ้านของกู เรือนของกู ไร่นาของกู วัวควายของกู ลูกเมียของกู เงินทองของกู เกียรติยศชื่อเสียงของกู นับทั้งวันก็ไม่หมดหรอก ตัวกูมันมาจากตัวกูให้เกิดของกู ของกูมันมาจากตัวกู นั่นแหละคือปัญหา ปัญหามหาศาล ปัญหาท่วมทับกันมหาศาล มันมาจากอวิชชา มันมาจากอวิชชา แล้วมันก็ปฏิบัติผิดต่อสิ่งเหล่านี้ ความทุกข์มันก็จะเกิดขึ้น เราลองพิจารณากันดูถึงข้อที่อวิชชาทำให้เกิดปัญหาแก่มนุษย์ในโลกนี้อย่างไร เท่าที่มันเป็นอยู่จริง เป็นเรื่องจริง เป็นของจริง ที่จะดูเห็นได้ไม่ต้องคาดคะเน ที่เป็นอย่างดีๆ มันตั้งใจทำดี มันตั้งใจทำดี บ้าดี เมาดี หลงดี มันตั้งใจทำดี โดยไม่รู้จักเหตุแห่งความชั่ว ฟังดูให้ดี เป็นได้ไหม มัวแต่สร้างเหตุแห่งความดีโดยไม่รู้จักเหตุแห่งความชั่ว คนบ้าดี เมาดี หลงดี มันลืมไปว่าความชั่วเป็นอย่างไร มันรู้จักแต่จะทำเหตุแห่งความดีจนไม่รู้จักเหตุแห่งความชั่ว แล้วมันก็ดีไปไม่ได้ มันก็มีความชั่วเข้ามาแทรกแซง มันก็เลยเป็นทุกข์ นี่มันสร้างเหตุแห่งความดีจนไม่รู้จักเหตุ แห่งความชั่ว เพราะมีอวิชชาเรื่องตัวกูของกูที่มันบ้าดี เมาดี หลงดี ถ้าอย่ามีตัวกู มันก็ไม่บ้าดี เมาดี หลงดี มันก็รู้จักทั้งชั่วทั้งดี มันก็ไม่มีความทุกข์
เดี๋ยวนี้มันสร้างกันแต่สันติภาพ ปากมันว่าสร้างสันติภาพ มันไม่ดูมูลเหตุแห่งวิกฤตการณ์นี่ คนทั้งโลกในโลกเวลานี้ ประเทศชาติมหาอำนาจนั่นแหละเป็นผู้นำ มันจะสร้างสันติภาพ แต่ไม่ดูมูลเหตุอย่างแท้จริง ไม่รู้จักมูลเหตุแห่งวิกฤตการณ์ สิ่งที่มันสร้างขึ้นมาวิเศษมหาศาล มันกลายเป็นทำให้เกิดความทุกข์ สิ่งที่มันสร้างขึ้นมาอย่างวิเศษๆ อะไรก็ตามนั่นแหละ วิทยาศาสตร์ก็ดี เทคโนโลยีก็ดี วิเศษๆ ทั้งหลายนี่ มันกลายเป็นไม่มาส่งเสริมสันติภาพ มันกลายเป็นเพิ่มวิกฤตการณ์ ทำให้ต่างคนต่างหามาไว้มากมาย เพื่อจะเอาเปรียบคนอื่น มันมีอะไรเมื่อมีเครื่องมือวิเศษเหล่านี้ มันมีเพื่อจะเอาเปรียบคนอื่น มันมีเครื่องจักรเครื่องกล เครื่องยนต์กลไก มีวิทยุ สถานีวิทยุ มันก็จะเพื่อเอาเปรียบคนอื่น แล้วโลกนี้มันจะมีสันติภาพได้อย่างไรเล่า ทุกประเทศชาติมันมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แต่เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อสร้างสันติภาพ แล้วโลกนี้มันจะเอาสันติภาพมาแต่ไหน มันจึงหาสันติภาพทำยาหยอดตาก็ไม่ได้ มันเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ คุณคำนวณดู ถ้าอ่านหนังสือพิมพ์หรือฟังวิทยุดู เดี๋ยวนี้ทั้งโลกมีที่รบราฆ่าฟันกันอยู่กว่าสิบแห่งโน่น แล้วก็มีตลอดไปตลอดกาล เดี๋ยวแห่งนั้นเกิดเดี๋ยวแห่งนี้หยุด แห่งนั้นเกิดแห่งนี้หยุด มันรบราฆ่าฟัน มันเอาเปรียบแย่งชิงกันตั้งกว่าสิบแห่ง แล้วมันยังมุ่งจ้องที่จะทำกันอย่างนั้นทั่วๆ ไป มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นเลย ประเทศใหญ่ก็เห็นแก่ตัว ประเทศเล็กก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว คนโง่ก็เห็นแก่ตัว คนฉลาดก็เห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ยาจกก็เห็นแก่ตัว แล้วมันจะเอาความสงบมาแต่ไหนเล่า ก็มันมีแต่ ตัวกู ตัวกู ตัวกูที่เห็นแก่ตัว ตัวกูเห็นแก่ตัว มุ่งแต่จะได้ ไม่มองเห็น เหตุแห่งความเสีย นั่นแหละคือการพัฒนาโลกสมัยนี้ โลกสมัยนี้มันพัฒนา พัฒนาเห็นแต่มุ่งแต่จะได้ ไม่มองเห็นเหตุแห่งความเสีย มันเกิดความเสียขึ้นมากมายกว่าที่จะพัฒนาให้เป็นผลดี ผลร้ายมันเกิดขึ้นมามากกว่า เรื่องอุตสาหกรรมนั่นแหละ คอยดูเถิด มันจะทำโลกให้วินาศ เพราะว่าอุตสาหกรรมๆ มันสร้างสิ่งที่ไม่ควรสร้างขึ้นมา มันสร้างมากเกินไป สร้างเกินพอดี สร้างมาส่งเสริมกิเลสตัณหาให้มากๆ แล้วมันก็ทำลายกันวินาศ ยิ่งเจริญด้วยอุตสาหกรรมทางวัตถุแล้ว ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว มันใกล้ความวินาศ และเราไม่บูชาอุตสาหกรรม เราไม่บูชาความเป็นนิกส์ เป็นแน็กอะไรกับใครอ่ะ เพราะเราเห็นว่าอุตสาหกรรมนี้มันสร้างแต่สิ่งที่เกินความจำเป็น เพราะมันเป็นเครื่องมือของพวกร่ำรวยเพื่อจะล้วงกระเป๋าคนโง่นี่ นายทุนอุตสาหกรรม มันใช้อุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือล้วงกระเป๋าคนโง่ออกมา เพราะมันสร้างของใหม่ของแปลกของดีกว่าเก่าจนต้องซื้อ ต้องโยนของเก่าทิ้งมาซื้อของใหม่ วิทยุเครื่องนี้โยนทิ้ง ไปซื้อเครื่องใหม่มาอีกแล้ว นี่มันเป็นแต่อย่างนี้แหละอุตสาหกรรม มันจะมีของหลอกลวงยิ่งขึ้นไปๆ โยนของเก่าทิ้งทั้งที่มันยังใช้ได้ มันวิ่ง ความอยากความต้องการมันวิ่งก้าวหน้า สิ่งสนองความอยากมันก็ไม่ทัน แล้วมันก็ต้องหลอกกัน มันก็ต้องหลอกกัน
เดี๋ยวนี้อาหารอย่างนี้กินไม่ได้ ต้องกินอาหารแพงกว่านี้ เสื้อผ้าอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องใช้เสื้อผ้าอย่างนั้น รถยนต์ราคาหมื่นใช้ไม่ได้ ต้องใช้ราคาแสน รถยนต์ราคาแสนกูก็นั่งไม่ได้ ต้องนั่งรถยนต์ราคาล้าน บ้านราคาหมื่นอยู่ไม่ได้ ต้องใช้อยู่บ้านราคาแสน เดี๋ยวนี้เขาอยู่บ้านราคาร้อยล้านกันแล้ว ไม่อยากเชื่อ แต่มันก็เป็นความจริง นี่เรียกว่ามันก้าวหน้า มันก้าวหน้าโดยการหลอกลวงของสิ่งที่เรียกว่าอุตสาหกรรม ของผู้ฉลาดสามารถล้วงกระเป๋าคนอื่นๆ ได้ด้วยการผลิตของสวยของงามของยั่วยวนน่ารักน่าพอใจออกมา นี่อวิชชาเท่าไหร่ ตัณหาเท่าไหร่ แล้วการโฆษณานี่ตัวร้าย ผีร้ายที่สุดอยู่ที่การโฆษณา โฆษณาด้วยฝีปากอย่างดีวิเศษ มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ มันหลอกให้ยายแก่ซื้อตู้เย็นก็ได้ มันมีฝีปากในการโฆษณา เดี๋ยวนี้การโฆษณามันยิ่งกว่าอะไร เต็มไปทุกหน้าหนังสือพิมพ์แหละการโฆษณา ส่งคนออกไปโฆษณา นี่โลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ มันกำลังตกอยู่ใต้อำนาจของความหลอกลวงของอายตนะซึ่งผลิตด้วยอุตสาหกรรม ผลิตด้วยเครื่องจักร ผลิตของสวย ของดีของงามของเอร็ดอร่อยยั่วยวนโดยเครื่องจักรมหาศาล ยิ่งเจริญด้วยวัตถุอย่างนี้ ก็ยิ่งใกล้ความวินาศ เพราะว่ามันยิ่งทำให้เห็นแก่ตัว ยิ่งหลงสิ่งเหล่านี้ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัวก็ยิ่งทำตัวให้วินาศ ทำผู้อื่นให้วินาศนี่ มันบ้าดี เมาดี บ้าดี เมาดี จนไม่มองเห็นเหตุแห่งความชั่ว มองข้ามความชั่วไปเสีย มุ่งหมายแต่ความดี เห็นแต่ความดีอย่างโง่ ดีอย่างโง่นี่ มันกำลังเป็นกันอย่างนี้ คนโง่มันมุ่งแต่จะเอาชนะ ไม่มองเห็นเหตุแห่งความแพ้ ฉะนั้นคนโง่มันจะแพ้ตลอดไป คนโง่มันมองแต่จะชนะ ไม่มองเห็นความจริงของความพ่ายแพ้ มันก็ชนะใครไม่ได้ ตัวกูมันโง่ ตัวกูมันโง่ มันมุ่งแต่จะได้ มันมุ่งแต่จะได้ มันไม่สนใจวิธีหาให้ถูกต้อง มันก็หาอย่างผิดๆ แล้วมันก็ไม่ได้ มันก็เป็นบ้าเลย มันสนใจแต่จะได้โดยไม่สนใจในเรื่องวิธีหาให้ถูกต้อง มันก็ต้องไปเป็นโจรเป็นขโมยไปจี้ไปปล้น ไม่ต้องสงสัย นี่อวิชชาตัณหามันครอบงำอย่างนี้
การศึกษาก็เหมือนกันแหละ มันมุ่งแต่จะสอนได้รับประโยชน์ค่าจ้างของการสอน ไม่รู้อะไรควร สอนอะไรไม่ควรสอน มันก็สอนเรื่องเฟ้อๆ สอนเรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ สนับสนุนให้เกิดทุกข์ยิ่งๆ ขึ้นไป มันไม่ได้สอนเรื่องดับทุกข์หรอก ฉะนั้นการศึกษาสมัยนี้มันจึงไม่ดับทุกข์ แต่มันไปในทางส่งเสริมให้เกิด ความทุกข์ลึกลับๆ เข้าใจยากยิ่งๆ ขึ้นไป โลกมันก็ไม่มีสันติภาพ มันมุ่งแต่จะสนองกิเลส เป็นทาสกิเลส เป็นทาสของอายตนะ ช่วยฟังให้ดีๆ มันเป็นทาสของกิเลส รับใช้กิเลสและเป็นทาสของอายตนะ รับใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้ได้ความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี่เรียกว่ามันเป็นทาสของอายตนะ ฉะนั้นก็เป็นทาสของตัณหาซึ่งจะต้องการๆ ต้องการ แล้วก็เป็นทาสของความโง่ ความโง่ไสหัวไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ นี่เรียกว่ามันไม่ดูอะไรควรอะไรไม่ควร
เดี๋ยวนี้ทำงานแต่เพื่อจะให้ได้เงินได้เกียรติยศชื่อเสียงโดยไม่ดูศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มันทำงานเพื่อเงิน หรือเพื่อรายได้จนไม่ดูศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มันสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไปหมดสิ้น เพราะมันไปหลงบูชาเงิน บูชาได้ บูชาการได้ ไม่ได้นึกถึงว่าศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์นี้จะต้องสงวนไว้อย่างไร จะต้องสงวนไว้อย่างไร กูไม่สนใจ กูจะเอาแต่ได้เงินได้อำนาจวาสนาแล้วก็หาเงินให้มากขึ้นเท่านั้นเอง นี่มันมุ่งแต่จะได้เงิน ไม่ดูศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เสีย เสียไปหมด มันมุ่งแต่เรื่องของกิเลส เรื่องของเนื้อหนังซึ่งที่เป็นที่ตั้ง ของกิเลสโดยไม่คิดว่าจะประหยัดเงิน ข้อนี้จริงหรือไม่จริงอาตมาก็ยังสงสัย เห็นแก่กิเลสโดยไม่คิดจะประหยัดเงิน ถ้าไม่อย่างนั้น มันไม่ไปซื้อของระบบผ่อนส่งมาหรอก มันเห็นแต่จะสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ไม่คิดที่จะเก็บเงินประหยัดเงิน ตั้งมีหลักทรัพย์ทางการเงิน เพราะมันไปพ่ายแพ้แก่ความเอร็ดอร่อย จริงหรือไม่จริง ไม่เคยคิดสะสมทรัพย์ คิดแต่จะหามาบำรุงบำเรอ เลยต้องไปซื้อของผ่อนส่ง เพิ่มหนี้มากขึ้น เพิ่มหนี้สินมากขึ้นๆ แล้วมันก็พินาศในที่สุด ไม่รู้จักชั่ว ไม่มองชั่ว ไม่รู้จักชั่ว มันบ้าดีจนไม่รู้จักชั่ว ความดีมันก็เลยกลายเป็นความชั่ว แล้วก็มองไม่เห็นความชั่วที่มันก็ซ่อนอยู่ในความดี ในความดีนั่นแหละ ลองไปยึดมั่นถือมั่นเกินความถูกต้อง เดี๋ยวมันก็กัดเอาแหละ
แม้ความดีเฉยๆ ความดีบริสุทธิ์นี้ มันก็ยังมีปัญหาให้ถูกรบกวน เพราะว่าใครๆ มันก็จะ ต้องไปหาและรบกวน ไปรบกวนถ้ารู้ว่าคนนั้นคนนี้มีความดี มีความสามารถพิเศษ มันไปรบกวนให้ช่วยลูบหัว ให้ช่วยถ่มน้ำลายรดหัว มันบ้า บ้าเกินบ้าน่ะ ว่าช่วยถ่มน้ำลายรดหัวสักทีแล้วฉันจะได้ดี มันถึงขนาดนี้ ถ้าใครมีอะไรดีมันก็ถูกรบกวน อย่าว่าคนธรรมดาเลย พระพุทธเจ้าเองก็ถูกรบกวน พระพุทธเจ้าเป็นยอดสุดแห่งบุคคลผู้มีความดีก็ถูกรบกวน มีคนไปหา มีคนไปถามปัญหา นี่ก็เรียกว่าความดีเป็นเหตุให้ถูกรบกวน แล้วความดีนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิด ความอิจฉาริษยา ข้อนี้อาตมารู้จักดี รู้จักตัวเองดีว่าเพราะมันมีอะไรดีอยู่บ้าง มันจึงถูกอิจฉาริษยาถูกว่าร้าย เพราะมันมีความดีอยู่บ้าง ถ้ามันไม่มีความดีเลย ไม่มีใครอิจฉาหรอก นี่ชักจะท้อแท้แล้ว อย่าไปสร้างความดีอะไร ให้มันมากนัก มันจะเพิ่มคนอิจฉาริษยา
เอ้า,ทั้งหมดนี้มันมาจากอวิชชา มันมาจากอวิชชา มันหลับตา มันหลับตา แล้วก็มันมัวแต่จะทำอย่างหนึ่ง จนไม่รู้จักสิ่งที่ตรงกันข้าม มันหลับตาๆ มัวทำแต่ไม่รู้จัก ยังไม่รู้จักสิ่งที่มันควรจะรู้จัก นั่นเรียกว่ามันมีอวิชชา สร้างเหตุแห่งความดีโดยไม่รู้จักเหตุแห่งความชั่ว สร้างสันติภาพโดยไม่ดูมูลเหตุแห่งวิกฤตที่มันจะเกิดขึ้นมา เพราะหลงสันติภาพ มุ่งแต่ เห็นแต่จะได้ เห็นแต่จะได้จนไม่มองเห็นเหตุแห่งความเสีย หนทางแห่งความเสีย มุ่งจะหาความสุขโดยไม่รู้จักเรื่องของความทุกข์ มันก็ได้ความทุกข์แทนความสุข บ้าดี เมาดี จนไม่รู้จักว่าความชั่วนั้นเป็นอย่างไร ความชั่วก็เข้ามาแทน แทนความดีหมด มันจะเอาชนะจนไม่มอง ไม่ดูหนทางแห่งความแพ้ มันก็แพ้เรื่อยไป คนโง่นี้มันก็แพ้เรื่อยไป มันมุ่งแต่จะได้ มันไม่สนใจวิธีหาให้ถูกต้อง มันก็ไม่ได้ มันก็ต้องไปขโมย มันก็ต้องไปขโมย ครูบาอาจารย์มุ่งแต่จะสอนโดยไม่รู้ ไม่รับรู้ว่าจะสอนอะไร อะไรควรสอน อะไรไม่ควรสอน มันก็สอนสิ่งที่ไม่ควรสอนมากกว่าสิ่งที่ควรสอน โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ การศึกษาเดี๋ยวนี้มันสอนแต่สนับสนุนความเห็นแก่ตัว ไม่ได้สอนเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว โลกนี้จึงเต็มไป ด้วยความเห็นแก่ตัวเพราะว่าการศึกษามันไม่สอนสิ่งที่ควรสอนคือละความเห็นแก่ตัว มันไปสอนสิ่งที่ไม่ควรสอน คือเพิ่ม เพิ่มความเห็นแก่ตัว ให้เด็กๆ บ้าดี เมาดี หลงดี เห็นแก่ตัว นี่เรียกว่ามันสอนในสิ่งที่ไม่ควรจะสอน และมันไม่สอนในสิ่งที่ควรจะสอน แล้วมันก็เมาเงิน บูชาเงิน หลงเงินโดยไม่รู้จักศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ว่า มีอยู่อย่างไร ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์สูญเสียไปหมดไม่มีเหลือ มันก็ยังทำไปได้เพราะเห็นแก่เงินหรือของชนิดนั้น มันเห็นแก่เหยื่อของกิเลสจนไม่คิดที่จะตั้งตัว หรือไม่คิดที่จะมีกำลังทรัพย์ที่แท้จริงที่ถูกต้อง มันเอาไปถลุงเพื่อบูชากิเลส ตัณหาเสียหมด มันบ้าดีจนไม่รู้จักความชั่วที่มันซ่อนอยู่ในความดี ในความดีมีความชั่วซ่อนอยู่นะ ระวังให้ดี ถ้าไม่ระวังให้ดี ความดีนั้นมันจะกัดคุณ มันจะกัดคุณ รู้จักกันเสียให้ดีๆ แล้วอีกอย่างมันน่าหัวเราะที่ว่าปัญหาเฉพาะหน้ามันไม่ค่อยสนใจ มันสนใจปัญหาที่ไม่รู้อยู่ที่ไหนคือปัญหาเรื่องชาติหน้า มีคนเป็นอันมากมาถามปัญหาเรื่องชาติหน้า ไม่ถามปัญหาเรื่องชาตินี้ ว่าชาตินี้จะทำกันอย่างไร อะไรดับทุกข์ มันไม่ถาม มันถามแต่เรื่องชาติหน้าโน่น เมื่อตัวกูๆ มันไม่รู้จัก ปัญหาชาตินี้มันไม่รู้จัก คือไม่รู้จักตัวกูของกู แล้วมันจะไปรู้จักปัญหาชาติหน้าหรือตัวกูชาติหน้าไปทำประโยชน์อะไร ที่นี่มันยังไม่รู้จัก มันจะรู้จักเรื่องต่อตายแล้วได้อย่างไร นี่จะเรียกว่าบ้าเกินบ้าแล้วก็ได้ ที่อยู่เฉพาะหน้า เป็นปัญหาเฉพาะหน้าไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องต่อตายแล้วโน่น เรื่องที่นี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ถูกให้ดี แต่ไปตั้งใจทำให้ถูกให้ดีสำหรับเรื่องต่อตายแล้ว เป็นธรรมเนียม เป็นแฟชั่นตามๆ กันไป นี่เรียกว่ามันไม่ดูในสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ในที่เฉพาะหน้า นี่มันจะบ้าเกินไปแล้วกระมัง ถ้าสนใจ เรื่องชาติหน้าแล้วไม่สนใจเรื่องชาตินี้ อาตมาว่ามันเกินบ้า ต้องสนใจเรื่องชาตินี้ให้มากกว่าชาติหน้ากันหลายๆ เท่า ดับทุกข์กันให้ได้ที่นี่ ดับทุกข์กันที่นี่ มีนิพพานกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ นั่นแหละจะตรงตามพระพุทธประสงค์
ตัวกู ตัวกูเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ได้มีอยู่จริง แล้วมันไปบ้าตัวกูชาติหน้า มันก็โง่หลายเท่า ตัวกูในชาตินี้มันก็ยังไม่มี มันจะไปสร้างตัวกูในชาติหน้า มันจะสร้างด้วยอะไร มันจะสร้างด้วยอะไร พระพุทธองค์ทรงแนะนำ ให้มันดับทุกข์กันที่นี่ มันก็จะไปดับทุกข์กันชาติหน้าๆ นี่เรียกว่ามันดื้อ มันดื้อ ดื้ออย่างยิ่ง ดื้อต่อพระพุทธเจ้าเสียด้วย มันเป็นเด็กดื้อ ถ้าหากว่าไม่มีตัวกู มันก็เอาจิตเป็นตัวกู เอากับมันสิ คัมภีร์บ้าๆ บอๆ ก็มีนะ อย่าออกชื่อเลยนะ ว่าจิต นั่นแหละคือตัวตน จิตฺตํ อตฺตา นาม นี่ก็ยังมีบาลีสอนอย่างนี้ เขาแก้ว่าจิตมันก็จิตสิ จิตมันก็จิตสิ จิตมันไม่ใช่อัตตา จิตมันเป็นสังขารธรรม เกิดตามเหตุตามปัจจัย คู่กันกับกาย คู่กันกับนาม จิตมันก็ไม่ใช่ตัวตน มันก็เป็นแต่จิต จิตมิใช่ตัวกู เป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ คือเป็นนามธาตุ แล้วมันถูกปรับปรุงจนรู้สึกคิดนึกอะไรได้ นี้เรียกว่าจิต มันหาใช่ตัวตนไม่ มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเพียงปฏิกิริยา เมื่อนามรูปมันทำหน้าที่กันถูกต้อง มันก็เกิดความคิดอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา เรียกว่าจิต หาใช่ตัวตนไม่ เป็นเพียงผลิตผลชั่วคราว แตกได้ สลายได้ อย่างง่ายดายที่สุด มันก็จะเอาให้มีตัวตน ตัวตนที่นี่และตัวตนเดียวกัน เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก จนกว่าจะถึงนิพพาน คนอย่างนี้ไม่สนใจนิพพานที่นี่ แล้วก็ใช้คำพูดผิดๆ ว่าไปนิพพานกันโว้ย ไปนิพพานกันโว้ย ไปนิพพาน คำพูดที่ผิดที่สุดก็คือคำว่าไปนิพพาน นิพพานนั้นไม่ต้องไป ยิ่งไปยิ่งไม่ถึงนิพพาน ยิ่งไปยิ่งไกลนิพพาน แต่ว่าทำให้นิพพานปรากฏที่ตรงนี้แหละ เอาเครื่องบังออกเสีย เอาเครื่องปิดกั้นเครื่องบังออกเสีย แล้วนิพพานก็เข้ามาหาเองแหละ เหมือนกับว่าเปิดประตูหน้าต่างแล้วแสงสว่างเข้ามาในห้องเอง ทีนี้ลอกเอาที่มันหุ้มห่อจิตออกไปเสียสิ นิพพานจะมาถูกจิตมาสัมผัสจิตเอง ไม่ต้องไปหานิพพาน คนบ้าเท่านั้นแหละที่จะพูดว่าไปนิพพาน ไปหานิพพาน พระพุทธเจ้าไม่เคยพูดว่าไปนิพพาน แต่ว่าดับไฟ ดับไฟ ดับไฟที่ร้อนเสีย แล้วมันก็เย็น เย็นก็เป็นนิพพาน นิพพานก็อยู่ที่การดับไฟเสียที่ตรงนี้ ไฟอยู่ที่ตรงไหนล่ะ ก็ไม่รู้จัก ไฟเผาอยู่ในหัวใจ มันยังไม่รู้จักนี่ แล้วมันจะดับอะไร ดับไฟที่ไหนมีนิพพานที่นั่น มีนิพพานที่นั่น
เราอย่ามีตัวกูเลย พวกอื่นลัทธิอื่นศาสนาอื่น เขาจะมีตัวกูกันกี่ชาติกี่เท่าไหร่ ก็ตามใจเขา เรานั้นแม้ในชาตินี้ ก็ไม่มี ชาตินี้ก็ไม่มีตัวกู มีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทสร้างขึ้นมาโดยความโง่ว่าตัวกู คือตัณหาให้เกิดอุปาทาน ตัวกูแท้จริงไม่มีหรอก ถึงมีก็คบไม่ได้ ถ้ามันเป็นตัวกูมันกัดเจ้าของทั้งนั้นแหละ เมื่อเรามีความรู้ให้ถูกต้องว่า ตัวกูนี้ไม่มีตัวจริง เป็นผีหลอก เกิดขึ้นมาจากการสัมผัสหรือรู้สึกทางอายตนะ อายตนะรู้สึกอะไร อย่างไร เท่าไหร่ มันก็จะเกิดตัวกูเท่านั้น เต็มตามนั้น รู้จักตัวกูว่าเป็นผีหลอก เกิดตามหลังความสัมผัสหรือรู้สึกทางอายตนะ ก็หมดปัญหา แล้วมันก็ไม่เกิดตัวกู มันก็ดับตัวกู ก็หลุดพ้นจากตัวกู หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง นี่เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจในเรื่องสมุทัยของตัวกู สมุทัยของตัวกู สมุทัยของอายุ มันมีอยู่อย่างนี้
เราจะเรียกว่าสมุทัยก็ได้ เราจะเรียกว่าอาหารก็ได้ อาหารนั้นก็แปลว่าสิ่งที่นำผลมา สิ่งใดนำผลมาให้ สิ่งนั้นเรียกว่าอาหาร ผลดีก็ได้ ผลชั่วก็ได้เรียกว่าอาหาร แต่โดยมากเล็งกันถึงความชั่ว เป็นไปในแง่ทุกข์ กวฬิงการาหารนั้นค่อยยังชั่วหน่อย อิ่มแล้วไม่เป็นทุกข์ วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหารนี้ นำมาซึ่งปัญหาซึ่งความทุกข์ทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นตัวตัณหา ตัวความต้องการ ตัวความขวนขวาย ไปตามความต้องการ แล้วมันได้ทำจนกว่าจะได้สิ่งที่มันต้องการ นี้เป็นอาหารๆ วิญญาณาหาร ก็เป็นเหตุให้เกิดผัสสะ เวทนา ตัณหา ผัสสาหารก็ให้เกิดเวทนา ตัณหา เกิดทิฐิมานะ ความโง่ ความเขลา อวิชชา เกิดภพ เกิดชาติ ตัวผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร ก็คืออาหารที่ทำให้เกิดการกระทำ เกิดการกระทำ แล้วเกิดผลของการกระทำ ทำดีทำชั่ว แต่ถ้ามันมีมูลเหตุจากอวิชชาแล้วมันทำชั่วทั้งนั้นแหละ มโนสัญเจตนาหารมันทำให้เกิดทุกข์ ที่ถ้าจะทำให้เกิดดับทุกข์ เราจะไม่เรียกว่าอาหาร จะเรียกอย่างอื่น จะเรียกว่าปัญญา จะเรียกว่าวิชชา จะเรียกว่าอะไรไปเสียทางโน้น ไม่เรียกว่าอาหาร เพราะอาหารนี้เป็นของอร่อย เป็นของหลอกให้คนติดแล้วอร่อยแล้วก็ทำไป คำว่าอาหารนั่น เป็นสิ่งที่น่าอันตราย แต่เราก็ชอบ ทุกคนก็ชอบอาหาร ชอบกินอาหารให้อร่อย แต่ควรจะเข้าใจกันเสียทีว่า คำว่าอาหารๆ นั้นมันหมายความแต่เพียงว่าจะนำสิ่งใหม่มาให้ แล้วมันมักจะเป็นไปในทางยั่วยวน ยั่วยวน ยั่วยวน หล่อเลี้ยงกิเลส ฉะนั้นอาหารนี้ระวังให้ดี หลงอาหารแล้วก็เป็นทุกข์ เมาอาหารก็ตายได้ อย่าได้มีความหลงอาหาร อย่าได้เมาอาหาร ลดอาหารก็คือลดปัจจัยแห่งความทุกข์ การลดอาหารนั่นแหละทำให้รู้จักการลดกำลังแห่งความทุกข์ ให้รู้จักอายุ อายุที่ลดอำนาจ ลดอิทธิพลลงมา ด้วยการที่เราไม่ให้มันกินอาหาร อย่าสนองอาหารให้แก่กิเลส ให้มันเป็นเสือ ให้มันเป็นเสือ เราจับมาขังกรงไว้ไม่ให้กินอาหาร แล้วมันอยู่ได้หรือ มันต้องตาย มันต้องตายแหละ เดี๋ยวนี้มันเปิดประตูไว้มากนักนี่ ให้กิเลสได้กินอาหาร ให้เสือได้กินอาหาร ทางตาก็เปิด ทางหูก็เปิด ทางจมูกก็เปิด ทางลิ้นก็เปิด ทางผิวกายก็เปิด ทางจิตใจก็เปิด เปิดช่องให้อาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงกิเลส เสือมันก็อ้วนพี มีฤทธิ์เดชแล้วมันก็กัดเจ้าของ ลดอาหาร ควบคุมอาหารให้ถูกต้อง ให้เปลี่ยนสภาพเป็น สภาพจากอาหารให้เป็นปัจจัยที่ถูกต้องปัจจัยแก่ความรอดพ้น อย่างนี้แหละดี อย่าบูชาอาหาร แต่จะบูชาปัจจัยแห่งการรอดพ้นจากความทุกข์ เราก็จะไม่หลงอาหาร ไม่หลงอาหาร มันก็จะรู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ถ้าหลงเสียแล้วมันก็โง่ เราจะสามารถควบคุม สิ่งที่ควรควบคุมด้วยการควบคุมอาหาร ควบคุมมูลเหตุ ควบคุมปัจจัย นี่เรียกว่าสมุทัย เป็นสิ่งที่ต้องรู้จัก เราจะจัดการกับสิ่งใด เราจะต้องรู้จักสมุทัยของสิ่งนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นทำไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก อวดดีไปเปล่าๆ ถ้าไม่รู้จักสมุทัยของสิ่งนั้นๆ แล้วจะไปจัดการกับสิ่งนั้นๆ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะความทุกข์ ต้องรู้จักสมุทัยแห่งความทุกข์ จึงจะกำจัดความทุกข์ลงไปได้ นี่ขอให้สนใจในสิ่งที่เรียกว่าสมุทัย
ตอนบ่ายนี้เราพูดกันเรื่องสมุทัย เมื่อตอนเช้าพูดเรื่องความทุกข์หรือตัวปัญหา เดี๋ยวนี้พูดถึงสมุทัยของปัญหา ควบคุมสมุทัยก็คือควบคุมอาหารของมันนั่นแหละ คนที่เมาอายุ มันก็คือเมาอาหารของอายุ เมาอายุ หลงอายุ บ้าอายุ บูชาอายุ คนนี้มันเมาอาหาร ลดอาหารได้เท่าใด ก็ลดความเมาในอายุได้เท่านั้น ลดอาหารเสียนั่นแหละ จะเป็นโอกาสให้ได้ศึกษาอาหาร จริงไม่จริง ลดอาหารเสียบ้าง ควบคุมอาหารเสียบ้าง นั่นแหละจะเป็นโอกาสให้ได้ศึกษาเรื่องอาหาร ถ้าบ้าอาหาร หลงอาหาร อัดเข้าไป อัดเข้าไป มันก็โง่ มันก็มึนเมาด้วยอาหาร มันก็ไม่รู้จักแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าอาหาร ฉะนั้นการที่เรามาลดอาหารกันเสียบ้างอย่างวันนี้ ลดอาหารลงเสียบ้าง คุณจะรู้จักอาหาร คุณจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอาหาร ให้ความหิวมันเกิดมาบ้าง มันจะรู้จักความหิว มันเป็นความหิวที่ฉลาด เป็นความหิวที่ทำให้รู้จักความหิว มันจะหยุดความโง่เรื่องอาหาร มันจะหยุดความกลัวเรื่องไม่มีอาหาร มันจะหยุดปัญหาทุกๆ อย่างที่เกี่ยวกับอายุ รวมความแล้วก็ว่ามันไม่เป็นคนเมาอายุ ไม่เป็นคนเมาอายุ ไม่เมาอายุ อาหารแห่งอายุมันก็คืออาหารแห่งตัวกูตัวตน ความโง่ อวิชชาให้มันเป็นอาหาร ต้นตอทั้งหมดเป็นอาหารให้เกิดอายุ ให้หลงอายุ ให้บ้าอายุ เป็นอาหารให้เกิดตัวตน ให้บ้าตัวตน ให้เมาตัวตน ให้หลงตัวตน และก็ของตนพลอยติดตามมาด้วย
อวิชชาในอาหารมีเท่าไหร่ อวิชชาในตัวตนก็จะมีขึ้นมาเท่านั้น อวิชชาในตัวตนมีเท่าไหร่ มันก็จะมีอวิชชาในอาหารมากขึ้นเท่านั้น อวิชชาในตัวตนมีเท่าไหร่ มันก็มีอวิชชาในอายุๆ มากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้จักอายุ ไม่รู้จักอายุโดยประการทั้งปวง ก็หลงอายุ ก็บูชาอายุ กลัวตายจนทำอะไรไม่ถูก คนที่หลงอายุ กลัวตายจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเกิดความตายทางจิตทางวิญญาณขึ้นมาก่อนแต่ที่ร่างกายจะตายจริงอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เพราะมันเป็นการตายชนิดที่ให้เกิดความทุกข์, ลดอวิชชา ลดอวิชชาในอาหาร ในตัณหา ในตัวตน ในอายุ ก็คือลดปัญหาทุกอย่าง
อาหารๆ นั่น มันเป็นมันเป็นคำเดียวกับคำว่าปัจจัยหรือเหตุหรืออะไร ฉะนั้นในปฏิจจสมุปบาทตลอดเรื่อง มันเต็มไปด้วยอาหาร พูดใหม่เสีย คุณอาจจะไม่เคยได้ยินว่าอวิชชาเป็นอาหารแห่งสังขาร สังขารเป็นอาหารแห่งวิญญาณ วิญญาณเป็นอาหารแห่งนามรูป นามรูปเป็นอาหารแห่งอายตนะ อายตนะเป็นอาหารแห่งผัสสะ ผัสสะเป็นอาหารแห่งเวทนา เวทนาเป็นอาหารแห่งตัณหา เป็นลำดับไป นี่มีความเป็นอาหารๆ อยู่ตลอด สายของปฏิจจสมุปบาท
เรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็คือเรื่องความเป็นอาหารแก่กันและกัน แก่กันและกันจนจบลงด้วยความทุกข์ ถ้าว่ามันจะเป็นอาหารแก่กันในทางดับทุกข์ มันก็เรียกอย่างอื่น มันเรียกว่าเป็นสติปัญญาหรือเป็นกุศล หรือเป็นอะไรกันไปเสียทางอื่น จะไม่เรียกว่าอาหาร ถ้าจะเรียกให้ดีก็เรียกว่าความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง มีความถูกต้อง นี่มันก็จะให้เกิดความดับทุกข์ขึ้นไปตามลำดับ ไม่ให้อาหารแก่ อวิชชา ไม่ให้อาหารแก่สังขาร ไม่ให้อาหารแก่วิญญาณ ไม่ให้อาหารแก่นามรูป ไม่ให้อาหารแก่ผัสสะ จนตลอดสาย นี่ไม่ให้อาหารแก่มัน นั่นแหละมันจะรอดตัว
กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทมันเต็มไปด้วยอาหาร เท่านั้นยังไม่พอ มันเต็มไปด้วยความโง่ในการที่จะกินอาหาร มันเต็มไปด้วยการหลงอาหาร บูชาอาหาร มัวเมาอาหารอยู่ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทน่ะ อวิชชามันนำหน้า มันก็มีแต่เรื่องฝ่ายที่ไม่ควรหรือไม่ถูก มีแต่เรื่องที่จะให้เกิดความทุกข์ ในปฏิจจสมุปบาท ควบคุมปัจจัยก็คือ ควบคุมอาหาร ควบคุมอาหารในปฏิจจสมุปบาทก็คือควบคุมปัจจัย ควบคุมปัจจัย รู้จักปฏิจจสมุปบาทในแง่นี้ๆ กันเสียให้ดีๆ ถ้าจะชอบคำว่าอาหาร ก็รู้จักให้มันถูกต้องว่าเป็นอาหารชนิดที่ให้เกิดความถูกต้อง อาหารที่ให้เกิด ความมึนเมาความหลงใหล อาหารอย่างนี้มันนำไปสู่กองทุกข์ อาหารในภาษาคนนี่คือของกิน อาหารในภาษาธรรม คือความถูกต้อง ความถูกต้อง ถูกต้องที่จะทำให้ดับทุกข์ รู้จักอาหารกันเสียอย่างนี้
เอาล่ะ,เป็นอันว่าเราได้พูดกันเรื่องสมุทัย สมุทัยตัวต้นเหตุ ๒ ชั่วโมงแล้ว พูดเรื่องสมุทัยคำเดียวนี่ ๒ ชั่วโมงแล้ว เข้าใจหรือยังๆ สมุทัยๆ แห่งอายุ สมุทัยแห่งอายุก็คือตัวตน สมุทัยแห่งตัวตนก็คืออวิชชา อวิชชาสร้างตัวตนขึ้นมา รู้จักตัวตนซึ่งเป็นของหลอก เป็นของปลอมซึ่งอวิชชาสร้างขึ้นมาให้จิตนี้มันโง่มันหลง แล้วได้ความทุกข์ ได้เป็นทาสของอวิชชา จิตไปเป็นทาสของอวิชชามันก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษ มีแต่ความทุกข์ รู้จักปฏิจจสมุปบาทกันให้ดีๆ นั่นแหละคือรู้จักสมุทัย สมุทัยแห่งความทุกข์
ขอพูดทางภาษาหน่อย ที่ว่าอาจจะไม่รู้หรือไม่เคยสนใจกันก็ได้ คำว่าปฏิจจสมุปบาทตัวนี้มันแปลว่า อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น มันจึงมีแต่เรื่องฝ่ายทุกข์ ไม่ได้มีในเรื่องฝ่ายดับทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทนั่น มันเป็นอาศัยกันแล้วเกิดขึ้นแต่ฝ่ายทุกข์ ถ้าฝ่ายดับทุกข์ มันควรจะเรียกว่าปฏิจจนิโรธ คืออาศัยกันแล้วดับลง แต่ไม่เคยได้ยินใช่ไหม ใครเคยได้ยินปฏิจจนิโรธบ้าง มันไม่มี มันไม่เคยใช้ แต่ที่จริงมันควรจะมี มันต้องมี มันต้องมีปฏิจจนิโรธ อาศัยกันแล้วดับทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธฝ่ายดับทุกข์ แต่ไม่มีใช้ ไม่มีใช้ก็จำเป็น จำเป็นที่ต้องใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท แต่เปลี่ยนจุดหมายปลายทางให้มันเป็นเรื่องความดับทุกข์ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นแห่งการดับทุกข์ ดีไหม นั่นอาศัยกันแล้วเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ ฝ่ายปฏิจจสมุปบาททุกข์ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นแห่งความดับทุกข์ คือพระนิพพานปรากฏ อาศัยกันแล้วเกิดความปรากฏของพระนิพพาน นี่คือ ปฏิจจนิโรธ มันมีอยู่จริง แต่มันไม่มีใครพูด ไม่มีใครเรียก เราก็ไม่เคยพบพระพุทธเจ้าจนเรียกว่าปฏิจจนิโรธ ถ้าเรียกเป็นนิโรธ ก็เริ่มเป็นทุกขนิโรธ คือดับทุกข์ แต่มันมีอยู่จริง อาศัยกันแล้วดับลง อาศัยกันแล้วดับลง อาศัยกันแล้วดับลง เพราะอวิชชาดับ สังขารดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปดับ เพราะนามรูปดับ ผัสสะดับ อาศัยผัสสะดับเวทนาดับ ดับๆ กันไป นี้ก็เป็นปฏิจจนิโรธได้เหมือนกัน นั่นแหละ มันจะเป็นไปในทางที่ว่ารู้จักอายุ ทั้งขึ้นทั้งล่อง คือรู้จักอายุทั้งฝ่ายที่มันจะเกิดขึ้น แล้วก็รู้จักอายุทั้งฝ่ายที่มันจะดับลง แต่ว่าฝ่ายที่จะดับลงหรือนิโรธนั้น เราแยกไปไว้อีกหมวดหนึ่งเสียต่างหาก เป็นหมวดที่ ๓ ถัดไป ในหมวดนี้จึงพูดกันแต่เกิดขึ้น อุปปาทะคือเกิดขึ้น ปฏิจจสมุปปาทะ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น เกิดขึ้นแห่งความทุกข์ เกิดขึ้นแห่งต้นตอแห่งความทุกข์ คือตัวตน หรือว่าอวิชชา หรือว่าตัณหาอะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นต้นตอให้เกิด เหตุแห่งความทุกข์อีกทีหนึ่ง ทุกข์มีเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็มีสิ่งที่ทำให้เกิดเหตุแห่งทุกข์อีก เป็นทอดๆ ทอดๆ กันลงไป นี้คือปฏิจจสมุปบาทในส่วนที่เป็นมูลเหตุแห่งอายุ ให้เกิดอายุโดยให้เกิดตัวตน ให้เกิดความหมายแห่งเวลา ให้เกิดปัญหาแห่งชีวิต ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหา เป็นชีวิตที่กัดเจ้าของอยู่ตลอดเวลาทั้งหลับและทั้งตื่น ไม่มีความรู้ทางธรรมะที่ถูกต้องแล้ว ชีวิตจะกัดเจ้าของทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น เวลาตื่นก็เป็นทุกข์ไป เวลาหลับก็ฝันร้ายไป ไม่มีอะไรดีที่ตรงไหน
สรุปความกันเสียที ให้มันเสร็จกันไปเสียสักตอนหนึ่งก่อนสิว่า สมุทัยแห่งอายุ สมุทัยแห่งตัวตนนั่นคืออย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ อย่าให้มันปนกันยุ่งนะ เดี๋ยวจะไม่รู้เรื่องอะไรนะ พูดไปอีกหลายชั่วโมง เดี๋ยวปนกัันยุ่งหมด จนไม่รู้เรื่องว่าพูดเรื่องอะไร ตอนบ่ายนี้พูดเรื่องสมุทัยแห่งทุกข์ สมุทัยแห่งอายุ สมุทัยแห่งตัวตน สมุทัยแห่งเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ มีเหตุซ้อนเหตุ มีเหตุซ้อนเหตุ ซ้อนเหตุ พูดกันถึงเหตุเหล่านี้ให้หมดกระแสความ มันก็ได้เป็นรูปเรื่องขึ้นมาว่าเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาท และเรื่องปฏิจจสมุปบาทมีความสำคัญมากจนพระพุทธเจ้า ตรัสเรียกว่าอาทิพรหมจรรย์ เงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์ พรหมจรรย์แห่งการศึกษาก็ดี พรหมจรรย์แห่งการปฏิบัติก็ดี มีปฏิจจสมุปบาทนี้แหละเป็นตัวเรื่อง ในพระบาลีไม่เคยพบว่าพระพุทธเจ้าเอาเรื่องอะไรมาสาธยายอยู่ด้วยพระองค์เอง ไม่พบ พบเรื่องเดียวคือปฏิจจสมุปบาท เรื่องที่มีเกียรติสูงสุดจนพระพุทธเจ้าเอามาสาธยายเอง ท่องเอง มีแต่เรื่องปฏิจจสมุปบาทเท่านั้นแหละ ฉะนั้นขอให้ความสนใจกับเรื่องปฏิจจสมุปบาทให้มาก ให้มีความสนใจในเรื่องเกียรติอันสูงสุดของปฏิจจสมุปบาทให้มาก จนถึงกับว่าพระพุทธเจ้าทรงนำมาสาธยายเล่น แต่ถ้าเป็นพวกคุณก็ร้องเพลงไอ้ทุยเอ๋ยแหละเล่น แต่พระพุทธเจ้าท่านร้องเพลงเรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นเหมือนๆ กับที่เรามันร้องเพลงเล่น หรือว่าทนยังไม่ได้ก็ผิวปากไปตามเรื่อง ว่าอะไรไปตามเรื่อง เพราะว่ามันทนไม่ได้ ถ้ามันทนไม่ได้ก็ขอให้มันหลุดออกมาเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทเถิด อย่าเป็นเรื่องอะไรบ้าๆ บอๆ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความหมาย เป็นเรื่องหยาบคาย เป็นเรื่องกามารมณ์ไปเสียอีก ขอให้หลุดปากมาเป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาท เมื่ออวิชชามันสร้างตัวตน สร้างตัวตนแล้วก็เกิดความเห็นแก่ตน เกิดความเห็นแก่ตนแล้วมันก็จะทำไปเพื่อความทุกข์ ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเห็นแก่ตนนั่นแหละมันตั้งอาศัยอยู่ที่อายุนี่ ในอายุนี่มันมีแต่ความเห็นแก่ตน อายุของคนโง่มันมีแต่ความเห็นแก่ตน ในนรกก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตน ในสวรรค์ก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตน คุณยายอย่าเพิ่งด่านะ อาตมาว่าอย่างนี้ว่าในสวรรค์ของคุณยายน่ะ มันก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตนนั่นแหละ เทวดาก็ทะเลาะกันเรื่องความเห็นแก่ตน มันครอบงำไปถึงพรหมโลกโน่น พรหมโลกโน่น ไม่ใช่แค่สวรรค์กามารมณ์หรอก พรหมโลกมันกลัวตาย มันกลัวตาย มันกลัวตาย พอได้ยินว่า ดับไปแห่งสักกายะ การดับแห่งสักกายะ สกฺกายนิโรโธ มันสะดุ้ง พวกพรหมน่ะมันโง่ โง่บรมโง่ พอได้ยินคำว่า ดับสักกายะ ดับตัวตน มันสะดุ้ง คนโง่ในโลกนี้ยังไม่สะดุ้งนะ มันไม่รู้จัก พวกพรหมมันรู้จักสักกายะคืออะไร มันเกลียด คือมันรัก มันอยากจะมีสักกายะอย่างพรหมตัวตนชั้นดีเลิศ ชั้นภวัคคพรหม พรหมอันสุดท้ายสูงสุดแล้วยิ่งไม่อยากตาย ยิ่งไม่อยากตาย นี่เขาหลงตัวตนแล้วก็เห็นแก่ตน เห็นแก่ตนจนไม่อยากจะดับตัวตน อยากจะเป็นพรหมเรื่อยไป พรหมบ้าๆ บอๆ มันจึงมีอายุยืนเป็นหมื่นกัป เป็นแสนกัปน่ะ พรหมๆ น่ะ เพราะมันบูชาตัวตน ฉะนั้นต้องหยุดความหลงชนิดนี้กันเสีย ไม่ต้องบูชาความมีตัวตนชนิดนี้ ต้องไม่เห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตนในสวรรค์ในพรหมโลกนั้น มันไม่เกี่ยวกับเราช่างหัวมัน แต่ที่นี่เดี๋ยวนี้แหละ ขอให้สนใจเถิดว่าความเห็นแก่ตนนั้นมันเป็นปัญหา มันเป็นปัญหา ทุกๆ หัวระแหง หรือว่าทุกปรมาณูก็ได้ ทุกๆ ปรมาณูมีปัญหาเกิดมาจากความเห็นแก่ตน
เดี๋ยวนี้ที่อุทธรณ์กันมาก ที่ขอร้องกันมาก อาตมาอยู่ที่นี่ก็ยังได้รับการขอร้องให้ช่วยกันเทศน์สั่งสอน ป้องกันหรือกำจัดมลภาวะ สิ่งเลวร้ายที่มากขึ้นทุกที ให้ช่วยกันหยุดทำลายป่า ป่าไม้ หยุดทำลายธรรมชาติ ความเห็นแก่ตนน่ะมันทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ความเห็นแก่ตนของคนมันทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ในกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยปัญหามลภาวะจนจะอยู่กันไม่ไหว ก็เพราะความเห็นแก่ตน
ความเห็นแก่ตนๆ คำพูดสั้นๆ นี้ อู้,ความหมายมันมหาศาล ความเห็นแก่ตน มันกลับทำลายตน พูดแล้วไม่น่าเชื่อ ความเห็นแก่ตนนั่นแหละมันทำลายตน ไปดูๆ อะไรเป็นผู้ทำลายตน ความเห็นแก่ตน เพราะความเห็นแก่ตนมันเป็นความโง่นี่ มันไม่ใช่ความฉลาดนี่ ถ้าฉลาดเขาไม่เรียกว่าเห็นแก่ตนหรอก มันเรียกอย่างอื่น เห็นแก่ตนมันก็โง่จนถึงกับมีการทำลายตน เห็นแก่ตนมันก็ขี้เกียจในการทำหน้าที่ของตน จริงหรือไม่จริง ความ ขี้เกียจในหน้าที่ของตนน่ะมันเกิดมาจากความเห็นแก่ตน เมื่อเห็นแก่ตนแล้วมันไม่ทำหน้าที่ มันจะนอนๆ นอนๆ นอนรอรับประโยชน์ ให้ประโยชน์วิ่งมาหา นี่ความเห็นแก่ตนมันขี้เกียจทำหน้าที่ มันนอนรอให้ประโยชน์วิ่งมาหา และความเห็นแก่ตนนี่ มันไม่สามัคคี มันรักกันไม่ได้ มันรักกันไม่ได้เพราะความเห็นแก่ตน ดูสิ,มันบ้าถึงขนาดนี้ มันทำให้รักกันไม่ได้ รักเพื่อนมนุษย์ไม่ได้ มันก็ไม่สามัคคี ไม่สามัคคี ขอร้องให้สามัคคี ให้รักชาติ รักศาสนา แล้วมันก็ทำไม่ได้ถ้ามันเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตนมันไม่สามัคคี มันทำลายสามัคคี ความเห็นแก่ตนนี้มันเอาเปรียบ เอาเปรียบทุกอย่างทุกประการ เอาเปรียบแล้วมันก็จะอิจฉาริษยาไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความเห็นแก่ตน มันก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ มันก็เรียนทางลัดคือรวยลัดน่ะ เป็นอาชญากร เป็นปล้น เป็นจี้ เป็นอะไรไปรวยทางลัดว่าไม่ต้องเหนื่อยมากเพราะมันเห็นแก่ตน แล้วในที่สุดมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก ในที่สุดมันก็ต้องเป็นบ้า หรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าตัวตายๆ เมื่อความเห็นแก่ตนมันหลงทาง มันจนปัญญาแล้วมันก็ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ แล้วฆ่าตัวเองตาย ในเมื่อปัญหาขัดข้องอันใหญ่มันเกิดขึ้นมันก็ฆ่า ถ้ามันไม่ฆ่าโดยวิธีนี้ มันก็ฆ่าโดยวิธีทางจิตทางวิญญาณ คือมันเป็นบ้า มันต้องจับไปอยู่โรงพยาบาลบ้า เป็นคนบ้า ก็เท่ากับฆ่าตัวเองเหมือนกันแหละ
นี่ความเห็นแก่ตน ผู้เห็นแก่ตน มันก็จบลงด้วยความเป็นบ้าหรือฆ่าตัวตาย และที่มันน่าตกใจ น่าเศร้า ก็ว่าเรากำลังมีความเห็นแก่ตนเพิ่มขึ้นๆ ตามความเจริญทางวัตถุ ความเจริญทางวัตถุทางอุตสาหกรรม มันเจริญทางวัตถุทั้งนั้น ไม่มีเรื่องทางจิตทางวิญญาณแม้แต่สักนิดหนึ่ง ยิ่งเจริญทางวัตถุ มันก็ยิ่งเห็นแก่ตน ยิ่งเห็นแก่ตน ก็เพิ่มความเห็นแก่ตน มันจะได้เป็นบ้ากันมากขึ้น ประเทศมหาอำนาจที่เจริญด้วยอุตสาหกรรมน่ะ คนเป็นบ้ามากกว่า ประเทศที่ล้าหลัง ประเทศที่ยังไม่เจริญ ยังล้าหลังนี่ คนเป็นบ้าน้อยกว่าประเทศที่มันเจริญๆ เป็นมหาประเทศ ด้วยอุตสาหกรรม ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ มันเจริญกันตรงไหน มันเจริญกันอย่างไรที่คนเป็นบ้ามากขึ้น ปัญหาเรื่องคนเป็นบ้า บ้ายาเสพติดหรือบ้าอะไรก็ตาม มันมีมากในประเทศที่เจริญด้วยอุตสาหกรรม ฉะนั้นที่เมืองนอก พวกฝรั่งเขากลัวยาเสพติดมากกว่าเมืองไทย เพราะเมืองไทยยังบ้าน้อย เพราะมันไม่เจริญด้วยเรื่องวัตถุอย่างนี้
ความเห็นแก่ตัวเป็นปัญหาทุกอย่าง เป็นปัญหาไม่ยกเว้นปัญหาอะไรที่จะไม่มาจากความเห็นแก่ตัว และเห็นแก่ตัวแล้วมันก็เกิดการกระทบกระทั่งแหละ แม้ผัวเมียมันก็ต้องกัดกันแหละ นี่ใช้คำหยาบคายหน่อย เพราะมันเข้าใจง่ายดี ผัวเห็นแก่ตัว เมียเห็นแก่ตัว มันก็ได้กัดกัน มันก็จะมีความผาสุกที่ตรงไหนเล่า ไม่มีแง่ดีสักนิดหนึ่ง มองไม่เห็น จะหาเท่าไหร่ๆ มันก็ไม่พบแง่ดีของความเห็นแก่ตัว มันกลับไปพบแง่ดีของความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่ความถูกต้องนี่ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวกู มันก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็เห็นแก่ความถูกต้องความเป็นธรรม เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ผู้อื่นนั่น มันตรงกันข้ามกับความเห็นแก่ตัว ความไม่เห็นแก่ตัวนี่จะสร้างความสงบสุข สร้างมิตรภาพ สร้างความถูกต้อง สร้างความสงบเย็นเป็นสันติภาพขึ้นมาในโลกๆ สันติภาพจะเกิดขึ้นเพราะความไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ทุกคนมันเห็นแก่ตัว ไม่ยกเว้นใคร ยกเว้นเป็นพระอรหันต์พวกเดียวเท่านั้น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ก็ยังมีความเห็นแก่ตัว เหลืออยู่บางชนิดแหละ แม้จะไม่มากมันก็เหลืออยู่บางชนิด ปุถุชนเอาไว้เต็มที่ เห็นแก่ตัว ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวยกเว้นแต่พระอรหันต์พวกเดียว สัตว์นรกก็เห็นแก่ตัว สัตว์สวรรค์ก็เห็นแก่ตัว ในพรหมโลกก็เห็นแก่ตัว ในเมืองมนุษย์ก็เห็นแก่ตัวๆ แต่น่าหัวเราะน่าสะดุ้งที่สัตว์เดรัจฉาน มันเห็นแก่ตัวน้อยกว่ามนุษย์นี้ น่าเศร้า หมาเห็นแก่ตัวน้อยกว่าคน คนเห็นแก่ตัวมากกว่าหมา คุณไปดูเอาเองสิ ไม่ใช่อาตมาแกล้งว่า ไปดูเอาเอง อาตมานั่งดูอยู่ทุกวัน หมา ไก่ แมวที่เลี้ยงไว้ โอ้,นี่มันเห็นแก่ตัวน้อยนี่หว่า มันเห็นแก่ตัวน้อย มันไม่ทำอะไรชนิดที่เป็นการเบียดเบียนกันอย่างไม่มีเหตุผลเหมือนกับมนุษย์ สัตว์มันอยู่เท่าเดิม เมื่อแสนปีมาแล้วมันเห็นแก่ตัวเท่าไหร่ มันก็เห็นเท่านั้น มันไม่เพิ่ม มันไม่เพิ่ม ส่วนมนุษย์มันเพิ่มๆ เพิ่มทุกยุคทุกสมัย พอมายุคเจริญด้วยวัตถุนี่ มันเพิ่มที่สุด ความเห็นแก่ตัวสูงสุดครองโลกเลย
นี่ความเห็นแก่ตัวของสัตว์ หยุดอยู่ คงที่อยู่ แต่เปลี่ยนแปลงวันละนิดหน่อยเท่านั้นแหละ แต่ของคนนี่เพิ่มร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ล้านเท่า ความเห็นแก่ตัวเพิ่ม เพราะฉะนั้นโลกนี้ มันจึงเป็นโลกที่เต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความยุ่งยาก เต็มไปด้วยความทุกข์ ซึ่งมาจากความเห็นแก่ตัว ลดอายุ ลดตัวตน ก็ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัวก็ลดอายุ ลดความเห็นแก่อายุ ลดความเมาในอายุ ลดความเมาในตัวตน ไม่เห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ผู้อื่น ก็รักผู้อื่น พอรักผู้อื่น มันก็เป็นศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย์ทันทีแหละ เมตไตรยะแปลว่าเกื้อกูลแก่ความเป็นมิตร ศรีอาริยะ เป็นชั้นประเสริฐ ชั้นเลิศ ชั้นสูงสุด ศรีอาริยเมตไตรย์ มันถึงขีดสูงสุดแห่งมิตรภาพ เพราะมันไม่เห็นแก่ตน ถ้ามนุษย์ทุกคนโลกนี้ไม่เห็นแก่ตน โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย์
เดี๋ยวนี้มันมีแต่ความเห็นแก่ตน มันก็เป็นโลกของคนอะไรล่ะ แล้วแต่จะเรียก เต็มไปด้วยความทุกข์ มันไม่มีมิตรภาพ ไม่ต้องเอาถึงชั้นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายหรอก ชั้นธรรมดามันก็ไม่มี นอกจากว่าเป็นมิตรในทางไปปล้น ไปจี้ ไปหาทำความชั่วกันนั่นน่ะ มิตรอย่างนั้นมี แต่เขาไม่เรียกมิตรนะ มิตรบริสุทธิ์ช่วยกันอย่างถูกต้อง ช่วยกันดับความทุกข์ นี่เรียกว่ามิตรที่แท้จริง มีได้เฉพาะผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นจงอบรมลูกหลานตาดำๆ ให้มันลดความเห็นแก่ตัว ให้มันลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว อย่าไปคิดว่ามันเสียเปรียบผู้อื่นเลย ไม่เสียเปรียบหรอก มันจะได้อะไรที่ไม่เป็นทุกข์
การศึกษามันผิด มันเลว มันมาเพิ่มความเห็นแก่ตัวก็ช่างหัวมัน ช่างหัวการศึกษา การศึกษาในโลกนี้มันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เอาดี เอาเด่น เห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ตัว มีความรู้สติปัญญา ก็เอามารับใช้ความเห็นแก่ตัว มีเครื่องมือวิเศษเอามารับใช้ความเห็นแก่ตัว มันมีคอมพิวเตอร์ร้อยเครื่อง พันเครื่อง มันก็ใช้ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ นั่นแหละความเจริญพวกนี้มันเป็นอย่างนี้ฉะนั้นขอให้เรากลับหลังจากเรื่องนั้นเสีย มาสู่ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว มันก็มีมิตรภาพ ก็อยู่กันเป็นสุข ถ้าหมดตัว ไม่เห็นแก่ตัวจนหมดตัวๆ ก็เป็นพระอรหันต์ ความเห็นแก่ตัวลดลงๆ นี่ ก็จะเป็นพระอริยบุคคลเรื่อยไปจนเป็นพระอรหันต์
นี่เรื่องสมุทัยของความทุกข์ สมุทัยของตัวตน สมุทัยของอายุที่เป็นปัญหา พูดมาตั้งมากมายนี้ เพื่อจะให้ท่านทั้งหลายเข้าใจคำพูดเพียงคำเดียวว่าสมุทัย สมุทัยคืออะไร สมุทัยแห่งความทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวงนี้มันคืออะไร มันคือความเห็นแก่ตน อายุก็เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ ตัวตนก็ล้วนแต่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ เพราะมันมีความเห็นแก่ตนซึ่งเกิดมาจากอวิชชาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าตัวตน ตัวตน ตัวตนทุกชนิดๆ เป็นเรื่องผีหลอก ไม่ได้มีตัวจริง อวิชชาสร้างขึ้นมาอย่างเป็นผี ผีสำหรับหลอก แต่แล้วมันก็หลอกเอาจริงๆ เสียด้วย หลอกจนเกิดความทุกข์ หลอกจนเป็นบ้า แล้วหลอกจนตาย นี่เรื่องตัวตนที่เกิดมาจากอวิชชา ทบทวนไปเสียให้ดีๆ ว่าตัวตนนี่มันเกิดมาจากความรู้สึกของอายตนะ เพราะอายตนะรู้สึกอย่างไร มันก็ว่าตัวกูต่างหากล่ะรู้สึก ไม่ใช่ความรู้สึกของอายตนะ มันมีตัวกู ตัวกู ตัวกูเต็มไปหมด ไม่ว่าอะไร ตัวกูผีหลอกเต็มไปหมด แล้วก็หลอกเจ้าของ กัดเจ้าของ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น
นี่เดี๋ยวนี้ชักจะไม่มีแรงพูดแล้ว จะว่าอย่างไรล่ะ เรื่องที่ ๒ คือเรื่องสมุทัย จะพูดได้จนหมดแรงแล้ว จะขอยุติพักไว้สักครู่ แล้วก็จะค่อยพูดเรื่องที่ ๓ ที่ ๔ ต่อไป เพราะฉะนั้นใครมาช่วยสลับฉากหน่อยสิ เอ้า, ถ้าจะสวดมนต์ก็ดี อยากจะฟัง ฟังแล้วจะหายเหนื่อย แล้วจะมีแรงพูด