แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สิ่งแรกที่สุด ขอแสดงความยินดีในการที่ท่านทั้งหลายมาแสวงหาความรู้ในทางธรรมะเพื่อประกอบกิจกรรมในหน้าที่ ในชีวิต ในการงานของท่านให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ท่านมาเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนา แล้วก็ฝึกการปฏิบัติเพื่อให้ได้รับประโยชน์ตามหลักแห่งการศึกษานั้นๆ มันมีเป็น ๒ เรื่อง ๒ ตอนอยู่ คือว่าท่านจะต้องศึกษาให้รู้เรื่อง แล้วก็ท่านก็ปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลตามนั้น
ทีนี้มันมีเรื่องที่สำคัญเรื่องแรกที่เราจะต้องรู้จัก แต่แล้วก็ไม่ค่อยได้รู้จัก จะเป็นเพราะเหตุใดก็ๆๆพูดยาก เรายังไม่ได้รู้จักสิ่งแรกที่เราควรจะรู้จัก ซึ่งจะได้ทราบกันในวันนี้ สิ่งนั้นพระพุทธเจ้าท่านเรียกมันว่า อาทิพรหมจรรย์ คือจุดตั้งต้นแห่งการปฏิบัติธรรม แล้วมันยังประหลาดที่ว่าสิ่งนั้นแหละกลายเป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงที่สำคัญที่สุดที่จะต้องรู้จักให้ได้เป็นสิ่งแรก
ต้องขออภัยที่จะพูดตรงๆหรือมันค่อนข้างจะหยาบคายว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ฝรั่งยังไม่รู้จัก ท่านอ่าน ท่านศึกษา ท่านเรียนกันแต่พระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นบุคคล เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์อย่างที่ท่านอ่าน ท่านเรียนในหนังสือต่างๆแหละ เป็นบุคคลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ได้เกิดขึ้นในอินเดีย แล้วก็ได้สอน แล้วก็ได้นิพพาน พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์
แต่พระพุทธเจ้าองค์ที่เราจะกล่าวถึงนี้ไม่อยู่ในประวัติศาสตร์หรืออยู่นอกประวัติศาสตร์ ฟังดูเข้าใจยาก ที่ว่าอยู่นอกประวัติศาสตร์ก็เพราะว่าเราไม่นับเข้ามาในประวัติศาสตร์ เราไม่นับเนื่องเข้ามาในประวัติศาสตร์ เราเปิดดูประวัติศาสตร์มันไม่มีพระพุทธเจ้าองค์นี้ จึงเรียกว่าพระพุทธเจ้าที่นอกประวัติศาสตร์
เพื่อจะเข้าใจเรื่องนี้ เราจะต้องทราบถึงพระพุทธภาษิตที่ท่านตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นธรรมะน่ะ ผู้ใด ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นฉัน
ทีนี้ What คืออะไรเป็นอะไร ปะ อ่า, เป็นปฏิจจสมุปบาท อะไรเป็นปฏิจจสมุปปาทะ ก็คือกฎของการที่ความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร และความทุกข์อาจจะดับลงไปอย่างไรนี่ กฎเกณฑ์ที่ว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นมาอย่างไร ความทุกข์จะดับลงไปอย่างไร อันนั้นเรียกว่า กฎปฏิจจสมุปบาท นอกจากจะเป็นกฎที่มีอยู่แล้ว เรายังจะต้องเห็นอาการ กิริยาอาการที่แสดงออก เป็นอาการว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ดับลงไปอย่างไร นี้เรียกว่า อาการ อาการของปฏิจจสมุปบาท
ที่เซ็นเตอร์ของเราที่ท่านทั้งหลายเข้าไปฝึก เข้าไปอาศัยเพื่อฝึกนั้น เราจึงมีหลักการที่ว่าสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทก่อน ครั้นเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้วเราจึงสอนปฏิบัติอานาปานสติ เพื่อให้เราสามารถปฏิบัติได้ตามกฎของปฏิจจสมุปบาท ดังนั้นมันจึงมีเป็น ๒ เรื่อง รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วปฏิบัติอานาปานสติเพื่อเอาผลแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้น อาตมาขอร้องให้ท่านทั้งหลายสนใจที่สุด พยายามที่สุดที่จะเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทในฐานะเป็นจุดตั้งต้น ด้วยเหตุนี้แหละเราจึงเรียกสิ่งนี้ว่า สิ่งแรกที่เราจะต้องรู้จัก
ทีนี้มันก็มีข้อที่จะต้องพูดเลยไปถึงว่าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า สิ่งนี้เป็นพระพุทธเจ้าที่ท่านยังไม่รู้จัก พระพุทธเจ้าองค์ที่ท่านยังไม่รู้จัก ที่พูดเป็นพระพุทธเจ้านี้มันก็คล้ายกับวิธีพูดอย่างอุปมา แต่มันไม่ใช่อุปมา มันไม่ใช่อุปมา มันเป็นตัวความจริงว่าเราจะต้องรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์นั้นยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่นอกประวัติศาสตร์แล้วเป็นนิรันดร
พระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นบุคคล บุคคลน่ะ นั่นก็อย่างหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าที่มิใช่บุคคล แต่ว่าเป็นกฎ กฎของธรรมชาตินี้มันอีกอย่างหนึ่ง มันคนละอย่าง อย่างไหนมีความสำคัญท่านศึกษาแล้วก็จะรู้ได้เอง เราจะต้องรู้จักพระพุทธเจ้าอย่างมิใช่บุคคล อย่างเป็นนิรันดร พระพุทธเจ้าองค์นั้นน่ะมีอยู่นิรันดร ไม่เกิดขึ้น ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน ไม่อะไรหมด คืออยู่เป็นนิรันดร เป็นสิ่งที่ประหลาดที่ว่ามันไม่ต้องเกิด มันไม่ต้องดับ มันมีอยู่เป็นนิรันดร ฉะนั้นเราจะรู้จักพระพุทธเจ้านอกประวัติศาสตร์นี้โดยที่พระพุทธเจ้าองค์ในประวัติศาสตร์นี้ช่วยบอกให้ กล่าวอย่างสั้นๆที่สุดก็ว่า พระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์น่ะช่วยสอนให้เรารู้จักพระพุทธเจ้าที่อยู่นอกประวัติศาสตร์หรือนิรันดร
อยากจะขอยืมคำหรือหลักการ หลักของฝ่ายมหายานมาบอกกล่าวให้ท่านทั้งหลายทราบเพื่อจะเข้าใจเรื่องนี้ได้โดยง่าย ทางมหายานเขามีอาทิ อาทิพุทธะ คือพุทธะองค์แรก องค์ตั้งต้นที่สุดนี้ อาทิพุทธะ แล้วจากอาทิพุทธะก็มี ธยานีพุทธะ ธยา ธยาน่ะ ฌานน่ะ ธยานีพุทธะ คือพระพุทธเจ้าที่เกิดมาจากฌานของอาทิพุทธะ แล้วก็มีมานุสสีพุทธะ คือพระพุทธเจ้าอย่างบุคคลนี่ออกมาจากพระพุทธเจ้าธยานีพุทธะ
พระพุทธเจ้า อ่า, พูดย้อนอีกทีหนึ่งสั้นๆง่ายๆว่า พระพุทธเจ้าอย่างมนุษย์นี่ช่วยทำให้เรารู้จักกฎ คือกฎปฏิจจสมุปบาทนั่นแหละ แล้วก็พระพุทธเจ้าที่เป็นฌาน ธยานีพุทธะนั่นคือเป็นตัวกฎ ตัวกฎที่ครอบงำจักรวาล แล้วอาทิพุทธะก็คือมูลเหตุที่ทำให้เกิดกฎหรือต้นเหตุของกฎ เป็น ๓ ชั้นกันอยู่อย่างนี้
ถ้าเราจะมีความรู้อย่างสมบูรณ์ เราต้องรู้จักพระพุทธเจ้าองค์นี้คือผู้บอกให้เรารู้จักกฎ แล้วก็รู้จักพระพุทธเจ้าชั้นที่ลึกเข้าไป ธยานีพุทธะ คือตัวกฎ ตัวกฎ กฎปฏิจจสมุปบาทน่ะ แล้วก็ลึกขึ้นไปเป็นอาทิพุทธะ คือมูลเหตุที่ให้เกิดกฎ อันนี้ไม่จำเป็นก็ได้ มันลึกเกินไป เรารู้ตัวกฎที่ทำให้ดับทุกข์ได้มันก็จะพอ และพระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์นี่ช่วยให้เรารู้จักตัวกฎซึ่งเรียกว่าพระพุทธเจ้านอกประวัติศาสตร์
ทีนี้เราเลิก เลิกเถรวาท เลิกมหายาน ไม่ๆให้เป็นอย่างเถรวาท ไม่ให้เป็นอย่างมหายาน ก็เป็นอย่างธรรมชาติๆ ธรรมชาติแท้ ธรรมชาติของๆๆๆจักรวาลน่ะ มันกลายเป็นแต่ ก็เรียกว่าผู้บอกกฎ แล้วก็ตัวกฎ และตัวเหตุให้เกิดกฎ ๓ อย่างนี้เป็นใจความสำคัญ
ทีนี้ก็มีปัญหาอยู่ที่ว่า ทำไมจึงเรียกกฎนั่นว่าเป็นพระพุทธเจ้า ในฝ่ายไอ้เถรวาทนี้ก็มีคำตรัสว่า ผู้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม” นั่น เห็นไอ้ตัวร่างกายของพระพุทธเจ้าเองนั้นยังไม่ๆเห็นพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อเห็นธรรม เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าองค์นั้นได้ตรัสรู้นั่นแล้วเอามาสอนนั่นน่ะ นี่เห็นธรรมแล้วจึงเห็นพระพุทธเจ้า แล้วสิ่งที่เอามาสอนหรือตัวกฎนั้นก็คือปฏิจจสมุปบาท ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้านี้มีอยู่เป็นชั้นๆๆๆ พระพุทธเจ้าผู้บอกให้เรารู้กฎนี่ก็เป็นพระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์ แล้วตัวกฎนั้นน่ะเป็นพระพุทธเจ้านิรันดรๆ นอกประวัติศาสตร์ แล้วก็มีตัวเหตุที่ให้เกิดกฎ อาทิพุทธนั้นน่ะเป็นที่มาแห่งกฎ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก โดยไม่ต้องถือว่ามหายานหรือเถรวาทแหละ ให้ถือว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ความจริงของธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้
เดี๋ยวนี้เราอ่านหนังสือที่ได้เขียนขึ้นเยอะแยะไปหมด มหาศาล หนังสือเขียนขึ้นเยอะแยะ พูดถึงแต่พระพุทธเจ้าองค์นี้ในประวัติศาสตร์ มีเรื่องอย่างนี้ มีประวัติอย่างนี้ แล้วก็ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ได้มีความคิดที่ว่าพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง คือองค์ที่พระพุทธเจ้าองค์นี้บอกให้ พระพุทธเจ้าองค์นี้บอกให้รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งน่ะซึ่งเป็นองค์นอกประวัติศาสตร์น่ะไม่ค่อยมี แล้วถ้ามี จะมีพูดถึงบ้างก็ไม่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ท่านจงนึกถึงหนังสือทุกเล่มที่ท่านเคยอ่านมาแล้วนั้น จะไม่เรียกกฎปฏิจจสมุปบาทนี้ว่าพระพุทธเจ้า เลยรู้จักกันแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียว องค์ประวัติ องค์ในประวัติศาสตร์ อาตมาจึงขอ จึงขอถือโอกาสเรียกพระพุทธเจ้าองค์นี้ว่า พระพุทธเจ้าที่เรายังไม่รู้จัก พระพุทธเจ้าองค์นอกประวัติศาสตร์
เรายังจะต้องขอยืมคำฝ่ายมหายานมาอีก ๒ คำ คือคำว่า อมิตายุพุทธะ กับ อมิตาภพุทธะ อมิตายุพุทธะแปลว่าพระพุทธเจ้าซึ่งมีอายุที่เราคำนวณไม่ไหว คำนวณไม่ได้ อมิตาภพุทธะแปลว่าพระพุทธเจ้าที่มีแสงสว่างที่เราคำนวณไม่ไหว ไอ้คำ ๒ คำนี้ให้คำอธิบายดีมาก คือสิ่งที่ให้ ที่มีอายุจนคำนวณไม่ได้เป็นนิรันดร แล้วก็สิ่งที่ให้แสงสว่างจนคำนวณไม่ได้ ๒ คำ
อายุ Age น่ะ
ทีนี้ท่านก็ใช้ความคิดหรือสติปัญญาของท่านเองน่ะ คิดดูสิว่าอะไรบ้างที่มันจะมีอายุจนคำนวณไม่ได้ มีแสงสว่างจนคำนวณไม่ได้ มันก็ได้แก่สิ่งที่เรียกว่ากฎๆๆนั่นแหละ The Law นั่น โดยเฉพาะกับกฎแห่งอิทัปปัจจยตา กฎแห่งปฏิจจสมุปบาท กฎนี้มีอายุคำนวณไม่ไหวว่ามันมีมาตั้งแต่เมื่อไร กฎนี้มีแสงสว่างคำนวณไม่ได้ว่ามันส่องแสงสว่างไปจนถึงไหนนั่น มันเป็นสิ่งที่คำนวณไม่ได้ทั้งโดยอายุและทั้งโดยแสงสว่าง
ทีนี้เราไม่พูดกันอย่างศาสนาแล้ว จะไม่ต้องพูดกันอย่างศาสนา เราพูดกันอย่างวิทยาศาสตร์ดีกว่า ให้นักวิทยาศาสตร์หรือวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์น่ะมาช่วยค้นคำนวณคิดดูว่าอะไรบ้างล่ะที่จะเป็นสิ่งที่มีอายุไม่จำกัด ไม่จำกัด No Limited มันไม่จำกัด แล้วมีแสงสว่างไม่จำกัด อายุไม่จำกัด แสงสว่างไม่จำกัด ขอให้นักวิทยาศาสตร์หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ช่วยค้นดู เราขอเสนอสิ่งที่เรียกว่า กฎ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎอิทัปปัจจยตา คือสิ่งนี้ คือสิ่งนี้ นี่คือพระพุทธเจ้าที่มีอายุไม่จำกัด มีแสงสว่างไม่จำกัด
นอกจากว่าอายุไม่จำกัด แสงสว่างไม่จำกัด แล้วมันยังจะต้องกล่าวไปถึงว่าสถานที่ก็ไม่จำกัด คืออยู่ไปเสียทุกหนทุกแห่งไม่ยกเว้นอะไรที่ไหน นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องคิดดู ข้อนี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจพระพุทธเจ้าองค์ที่สำคัญที่สุดน่ะ คือองค์ที่พระพุทธเจ้าองค์นี้ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ใดเห็นฉัน ผู้นั้นเห็นธรรม” พระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นธรรม พระพุทธเจ้าองค์พระธรรม องค์พระธรรม ไม่ใช่องค์บุคคล ไม่ใช่องค์บุคคล แยกบุคคลออกไปเสียก็เหลือแต่ธรรม พระธรรม พระธรรมคือกฎปฏิจจสมุปบาท
เมื่อตั้งปัญหาขึ้นมาว่า จะเห็นที่ไหน เห็นกันที่ไหน คำตอบมันมีว่า เห็นทุกแห่ง เห็นทุกแห่ง เอ้า, ท่านเหลือบตาไปที่ไหนล่ะ เอ้า, ดูที่ใบไม้ใบหนึ่งน่ะ ที่ใบไม้ใบหนึ่งก็มีกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท ที่ต้นไม้ ไอ้ ที่บุคคล ที่สัตว์เดรัจฉาน ที่ ไม่ว่าที่ไหนทุกๆ ทุกๆอะตอมน่ะมันมีกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท เราเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนี้ได้ทุกแห่ง
แล้วเผอิญมีคนยิว American-Born น่ะ เขาชื่อ Emanuel Sherman น่ะ เขาเขียนภาพสอนธรรมะนี่ เขาเขียนภาพขึ้นมาภาพหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ ช่วยเข้าใจคำนี้ให้ดีๆนะ หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเอง พระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเอง คุณจงหาม่านแห่งความโง่ของคุณให้พบแล้วคุณก็ทำลายมันเสีย คุณก็จะพบพระพุทธเจ้าอยู่ที่ตรงนี้เอง ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ
ฉะนั้นขอให้สนใจสิ่งที่บัง บังพระพุทธเจ้าคือม่านแห่งความโง่ของเราเอง ม่าน สิ่งที่บัง แล้วม่านนั้นก็คือความโง่ ความโง่เกิดเป็นม่านขึ้นมาบังพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เราจงทำลายม่านนี้แล้วเราก็จะพบพระพุทธเจ้าองค์นิรันดร หรือกฎปฏิจจสมุปบาท หรือกฎอิทัปปัจจยตา
ที่เซ็นเตอร์ของเราก็สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็หมายถึงเราจะสอนถึงวิธีที่จะทำลายม่าน ทำลายม่านแห่งความโง่ของเราน่ะ เราจงเรียนให้เข้าใจกฎปฏิจจสมุปบาทแล้วเราจะปฏิบัติให้ได้ นั่นแหละเราจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าองค์นิรันดร ซึ่งได้รับการบอกกล่าวจากพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ พระองค์ในประวัติศาสตร์นี่จะบอกให้รู้พระพุทธเจ้านอกประวัติศาสตร์ ในที่สุดท่านก็จะเห็นได้เองว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ฝรั่งยังไม่รู้จัก ไม่ค่อยจะรู้จัก ไม่ค่อยจะสนใจนั่นน่ะคืออะไร
แต่ก็ขอบอกความจริงว่า แม้แต่คนไทย พม่า ลังกาอะไรก็ไม่ค่อยรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก็ไม่ค่อยจะสนใจพระพุทธเจ้าองค์นี้ และก็จะไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งด้วยซ้ำไป คือเขาไม่ค่อยจะสนใจประโยคที่ว่า เขา ใคร ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ใดเห็นฉัน ผู้นั้นเห็นธรรม เขาไม่ค่อยสนใจประโยคๆนี้ เดี๋ยวนี้ขอให้สนใจเป็นพิเศษ แล้วก็จะได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าองค์ที่จะช่วยได้
ทีนี้เราก็จะพูดกันถึงประโยชน์ ประโยชน์ที่เราจะได้รับเพราะการเห็น หรือการรู้จัก หรือการมีพระพุทธเจ้าองค์นี้ พระพุทธเจ้าพระองค์จริง เราจะต้องรู้จัก เราจะต้องเห็น จะต้องรู้จัก แล้วเราจะต้องมีจนได้ ประโยชน์สูงสุดที่เราจะได้รับจากการเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ก็คือว่าเราจะได้รับชีวิตใหม่ จะเป็นคำคริสเตียนหรือคำอะไรไม่ต้องสนใจ แต่เราจะเรียกว่าชีวิตใหม่ คือ Quench Life ชีวิตที่ Quenchๆๆน่ะ คือเย็นๆๆๆ
ไอ้ Quench Life นั่นน่ะคือสิ่งที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า นิพพานะ นิพพานะ ในเมืองไทยเรียกว่า นิพพาน คำนี้เป็นคำที่เข้าใจยากและเข้าใจผิด และยังคงเข้าใจผิดกันอยู่ทั่วๆไป จะต้องทำความเข้าใจกันใหม่ มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งอย่างกับตรงกันข้าม นิพพานนั้นแปลว่าไม่ตายๆ แต่ไปแปลว่านิพพานว่าตาย แปลนิพพานว่าตาย มันตรงกันข้ามอย่างยิ่ง นิพพานหรือ Quench Life นั่นมันไม่ตาย มันไม่ตายโดยประการทั้งปวง จะไปเข้าใจว่านิพพานแปลว่าตาย
มันเป็นไปได้ว่าในๆอินเดีย ในอินเดียความรู้ทางศาสนามันเป็นไปถึงขนาดสูงสุดจนพูดว่านิพพานน่ะคือตายนิรันดร ตายที่ดิด เด็ดขาด ตายสิ้นสุด ตายนิรันดรนั่นน่ะ อันนั้นเรียกว่านิพพาน เพราะจะต้องเข้าใจว่านิพพานๆนี้ใช้กันมาแต่ก่อน ก่อนพุทธกาล ทุกๆนิกายใช้คำว่านิพพานร่วมกันแล้วอธิบายต่างกัน จะต้องมีลัทธิสูงสุดในอินเดียที่พูดว่านิพพานคือตายเด็ดขาด ตายนิรันดร แล้วก็สอนทั่วไป มันเข้ามาแทรกแซงในพุทธศาสนา ในประเทศไทยนี้ชาวฮินดูเข้ามาสอนก่อนพุทธ เขาเอานิพพานอย่างนี้มาสอนให้ก่อนก็ได้ เราจึงเข้าใจนิพพานว่าตายๆซึ่งผิด ผิดที่สุด ไม่มีอะไรจะผิดเท่า ประชาชนชั้นชาวบ้านทั่วๆไป ทั่วๆ ชาวบ้านประชาชนทั่วๆไปนี้ก็ยังเข้าใจว่านิพพานเป็นความตายนิรันดรตามที่ฮินดูสอน ต่อเมื่อเรียนพุทธศาสนาจึงจะรู้ว่าไม่ตาย ไม่ตาย กลับตรงกันข้าม
ขอให้ท่านสนใจความหมายของคำว่า Quench, Quench คือ Quench ของทุกสิ่งที่เราไม่ปรารถนา สิ่งใดก็ตามกี่อย่าง มาก กี่ร้อยอย่างพันอย่างแต่ที่เราไม่ปรารถนา Quench ออกไปของสิ่งเหล่านั้น นั่นน่ะคือนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Quench แห่งความทุกข์ เราจะต้องหา Quench ให้พบในสิ่งที่กำลังไม่ Quench สิ่งที่กำลังเป็นทุกข์เป็นร้อน ยุ่ง ทรมานไป วุ่นวายไปหมดนี่ ในนั้นจะต้องหา Quench ให้พบ
ท่านจะต้องตั้งปัญหาง่ายๆขึ้นมาว่า ชีวิตของท่านน่ะมัน Quench หรือไม่ Quench ชีวิตของท่านน่ะมัน Quench หรือยัง หรือยังไม่ Quench ท่านก็จะต้องหาให้พบ Quench ในชีวิตที่กำลังเดือด Turmoil, Turmoil เดือดๆๆๆนี่ ต้องหา Quench ให้พบ
เรามีคำพูดสำหรับกิจกรรมอันนี้ว่า เราจะแสวงหาจุดที่เย็นที่สุดน่ะ Quench ที่สุดที่ใจกลาง ใจกลางเตาหลอมเหล็กที่กำลังลุกโพลงๆ พูดง่ายๆก็ว่าเราต้องหา Quench ในสิ่งที่มันกำลังไม่ Quench ถ้ามันร้อนมาก มันร้อนมาก มันก็ต้องมีไอ้เย็นมาก ทางวัตถุไอ้จุดเตาหลอมเหล็กมันก็ร้อนมากที่สุดแล้ว แต่พอความร้อนนั้นออกไปเราก็พบไอ้ที่เย็นที่สุด เราต้องเพ่งหาไอ้เย็นที่สุดที่กลางเตาหลอมเหล็ก
ความดับทุกข์ ดับทุกข์มันมีที่ความทุกข์ มันมีที่อื่นไม่ได้ ความดับทุกข์มันมีที่อื่นไม่ได้ ป่วยการพูด มันต้องมีที่ความดับทุกข์ มันต้องมีที่ความทุกข์ เราต้องหาความดับทุกข์ที่ความทุกข์ให้พบ เพราะฉะนั้นจงหาที่ตัวความทุกข์นั่นเอง
ในที่นี่เรามีบทเรียนที่สอนด้วยวัตถุ เรียนด้วยวัตถุสิ่งของ อยู่ที่ตรงโน้นนั่น อยากจะให้ขอ ขอร้องให้ท่านไปดู เรามีสระใหญ่ สระใหญ่ แล้วที่กลางสระนั่นมีต้นมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง นี่เป็นบทเรียนสอนด้วยวัตถุเรื่องนิพพาน สระใหญ่นั้นก็คือวัฏฏะสงสาร มหาสมุทรแห่งความทุกข์ เรียกว่า O อ่า, Ocean of Wax มหาสมุทรแห่งขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งเดี๋ยวเป็น Liquid เดี๋ยวเป็น Solid เดี๋ยวเป็นไอ้แข็ง เดี๋ยวเป็นอ่อน เดี๋ยวเป็นแข็ง เดี๋ยวเป็นอ่อน คือเป็นของหลอกน่ะ ความสุข ความทุกข์ ความสุข ความทุกข์ ความสุข ความทุกข์ เป็นทะเล ทะเลแห่งวัฏฏะสงสาร แต่ที่กลางทะเลนั่นน่ะจะหาพบนิพพาน คือต้นมะพร้าว มันไม่เป็นอย่างนั้นนะ มันไม่เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ มันคงที่ มันเป็นนิรันดร มันเป็นเย็น Quench นิรันดรน่ะ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ได้จะดีมากน่ะ ไปดูกันสักทีไม่เป็นไร อยู่ที่ตรงนั้น เราจะต้องหาพบนิพพานท่ามกลางแห่งความทุกข์ จะหาให้พบ Quench Life ท่ามกลางไอ้ Life ที่มันเดือดพล่านนั่นเอง
ที่ต้นมะพร้าวนั้นน่ะ พอฝนตกไม่ถูก ฝนตกไม่ถึง ฟ้าร้องไม่ได้ยิน ฟ้าผ่าไม่ได้ ฟ้าผ่าไม่ถูก ต้นมะพร้าวนั่นเป็น Symbol ของ Quench Life ท่านไปนั่งรอบสระนั้นแล้วทำสมาธิ เข้าใจความหมายของต้นมะพร้าว คือการศึกษาที่ดีที่ๆจะรู้จัก Quench Life หรือที่เป็นผลของการเห็นปฏิจจสมุปบาท
ทีนี้เราก็พูดกันถึง Quench Life อีกทีหนึ่ง มันเป็นความหมายที่ควรจะเข้าใจ เพื่อนๆของท่านเคยได้ยินคำนี้แล้วก็ชอบ Quench Life นั่นน่ะคือ Life ที่ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของนี่ก็คือ Quench Life ถ้ายังไม่ Quench อยู่ๆๆๆเพียงใด ชีวิตนี้จะกัดเจ้าของ ชีวิตนั่นแหละจะกัดเจ้าของ มันไม่ มันไม่ใช่ Quench Life
ท่านกำลังมีชีวิตที่กัดเจ้าของใช่ไหม ชีวิตชนิดที่ประเดี๋ยวความรักกัด ประเดี๋ยวความโกรธกัด ประเดี๋ยวความเกลียดกัด ประเดี๋ยวความกลัวกัดนี่ใช่ไหม ท่านชอบความตื่นเต้น ไอ้สิ่งที่ให้เกิดความตื่นเต้นแก่ท่าน ดูนั่น ดูนี่ เห็นนั่น เห็นนี่ เกิดความตื่นเต้น ท่านกลับเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ความตื่นเต้นทุกชนิด ไปดูมวย ไปดูฟุตบอล ไปดูบ้าๆบอๆอะไร มันเป็นไอ้ความตื่นเต้น ไอ้ความตื่นเต้นนี้ก็กัดเจ้าของ
ความหวังอย่างโง่เขลาในอนาคตที่แล้ว อ่า, ที่ยังไม่มา แล้วความอาลัยอาวรณ์อดีตที่ผ่านไปแล้วนี่ก็กัดเจ้าของ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือความอิจฉาริษยา ไม่รักผู้อื่น ไม่ยินดีด้วยความได้ของผู้อื่น นี้เรียกว่าความอิจฉาริษยา นี้ก็กัด กัดเจ้าของ กัดเจ้าของ ไม่ๆกัดผู้ถูกริษยาด้วยซ้ำไปแต่ว่ากัดเจ้าของ กัดเจ้าของ
ความหวง หวง ขี้เหนียว ตระหนี่ทั่วๆไปก็ดี ความหึง หึงทางเพศตรงกันข้ามก็ดี ความหวงและความหึงนี่ก็กัดเจ้าของ ลองดูว่ามันจะ Quench ได้อย่างไรเล่า ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงนี่มันทำให้ไม่ Quench มันทำให้ไม่ Quench ท่านดูเอาเองว่ามันไม่ Quench อย่างไร นี่คือชีวิตกัดเจ้าของ
ถ้าเรามีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่พูดมาแล้วนี่ ชีวิตจะไม่กัดเจ้าของเพราะมันไม่มีเจ้าของให้กัด จะไม่มีตัวตนเจ้าของ ไม่มีเจ้าของที่เป็นตัวตนให้กัด ชีวิตเลยไม่กัดเจ้าของ เดี๋ยวนี้ชีวิตมีธรรมะสูงสุด ยอดสุดของธรรมะเรียกว่า อตัมมยตา อาจจะเป็นคำที่แปลกเกินไปสำหรับท่าน ท่านจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยิน แต่อยากจะให้รู้จัก จะขอร้องให้ท่านรู้จัก พยายามรู้จักสิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา ซึ่งมีแล้วชีวิตไม่กัดเจ้าของ ท่านเรียนรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ปฏิบัติได้เสร็จแล้วท่านจะมีอตัมมยตา
เราจะมีคำแปลที่ง่ายๆสำหรับคนทั่วๆไปจะรู้จักได้ทันทีสำหรับคำนี้ก็ว่า Spiritual Equilibrium เป็น Equilibrium ชนิดสูงสุดเป็นชั้น Spiritual, Spiritual Equilibrium นี่คืออตัมมยตา เดี๋ยวนี้จิตอยู่ในภาวะที่อะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ Concoct ไม่ได้ Condition ไม่ได้ จิตอยู่เหนือการปรุงแต่งทุกๆอย่าง มันจึงเป็น Equilibrium ชนิด Spiritual ความที่จิตคงที่ๆๆจนอะไรปรุงแต่งไม่ได้นี่คืออตัมมยตา
เราควรจะมีคำแปลของอตัมมยตาที่ดีที่สุดและไปอยู่ในดิคชั่นนารี่คำพูด ภาษาพูดของมนุษย์ มันมีประโยชน์ที่สุดน่ะ เป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะมีควรจะได้ มีความหมายเท่ากับนิพพาน นิพพาน หรือว่ามีความหมายเท่ากับว่าไปอยู่กับพระเป็นเจ้านิรันดรของคริสเตียนอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันคงที่ คงที่ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อะไรทำไม่ได้ มันเป็น Spiritual Equilibrium
มันอาจจะเป็นเพียงคำพูดสั้นๆคำเดียวว่า Unconcoctability หรือ Uncondi conditionability of The Mind คำเดียวสั้นๆ Unconcoctability ช่วยจำไว้ ช่วยจำไว้ในใจว่านั่นน่ะเป็นจุดสูงสุดของมนุษย์แหละ เป็น Quench Life ถึงที่สุด ไม่มีอะไรสูงกว่า ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมมันจึง Concoct ไม่ได้ Condition ไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันอยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกหรือความเป็นลบ Positiveness หรือ Negativeness ของทุกๆสิ่ง ของทุกๆสิ่ง มันอยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบ
ถ้าความเป็นบวกหรืออิทธิพลของความเป็นบวกครอบงำจิตใจของเรา เราก็มี Self หรือตัวตนชนิดบวก ถ้าความเป็นลบครอบงำจิตใจของเรา เราก็มี Self หรือตัวตนชนิดลบ เดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบ เดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบ นั่นน่ะคือไอ้ตัวความทุกข์
เดี๋ยวนี้จิตของเราเดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบ เดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบ เดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบ แล้วมันจะ Quench ได้อย่างไร มันจะ Quench ได้อย่างไร ถ้าเมื่อมันเดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบ ไอ้ความที่เดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบ เดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบนั่นแหละคือสุนัขกัดเจ้าของอย่างยิ่ง อย่างสูงสุดแหละ ทีนี้มันมีปัญหาว่า ท่านจะเห็นว่านี้มันมากเกินไป สูงเกินไป มากเกินไปหรือเป็น Abnormal เสียแล้ว ไม่อยากจะสนใจ เราก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะผลของการเห็นปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตามันทำให้เกิดผลอย่างนี้ คืออยู่เหนือบวกเหนือลบ
ในพุทธศาสนาเรามีคำพูดคำหนึ่งซึ่งท่านควรจะสนใจอย่างยิ่งคือคำว่า เหนือโลก เหนือโลก เหนือโลกโดยประการทั้งปวง ในลัทธิอื่นในศาสนาอื่นอาจจะไปหยุดเสียเพียงแค่ว่า The Better World หรือ The Best World เราไม่ต้องการ World เราต้องการอยู่เหนือโลกโดยประการทั้งปวง เหนือโลกนั่นแหละคือเหนือบวกเหนือลบ เหนือโลกคือเหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบ อิทธิพลของความเป็นบวกความเป็นลบเต็มไปในโลกทั่วไปทั้งโลก เราจะอยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบ เรียกว่าอยู่เหนือโลก หมดปัญหา ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ
คนพ้องๆสมัยกับพระพุทธเจ้าคือ เหลาจื้อ ในประเทศจีน เขาก็สอนการอยู่เหนืออิทธิพลของยินและยาง อยู่เหนืออิทธิพลของยินและยางก็คืออยู่เหนืออิทธิพลของบวกและลบ นี่ก็มีผู้สนใจ มีผู้สอน มีผู้พยายามกันมาๆๆนานแล้วเหมือนกันแหละ
ก็ในคัมภีร์ไบเบิลนั่นเอง แต่เป็น Old Testament น่ะ ตอนใบแรกๆน่ะก็สอนเรื่องนี้แหละ คือพระเจ้าบอกอย่ากินผลไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว Good And Evil อย่าไปรู้ดีรู้ชั่ว มันจะอยู่ จะยึดชั่ว ยึดดียึดชั่วและอยู่ใต้อิทธิพลของดีของชั่ว นี้ก็แปลว่าพวกยิวหลายพันปีมาแล้วมันก็รู้เรื่องว่าอย่าไปอยู่ใต้อิทธิพลของ Good And Evil มันก็อย่างเดียวกับว่าที่เราว่าจะไม่อยู่ใต้อิทธิพลของบวกและลบ เป็นที่น่าเสียใจที่ว่า ชาวคริสเตียนเขาไม่ได้ถือเอาคำสอนข้อนี้ว่าเป็นหัวใจของ Christianity, Beyond Good And Evil นี่ เขาไม่ได้ถือเอาข้อนี้เป็นหัวใจของ Christianity ถ้าว่าเขาถือเอาข้อนี้เป็นหัวใจของ Christianity เขาจะมาเข้าเรื่องของเราที่ว่าอยู่เหนือโลก เหนือโลก เหนือบวกเหนือลบ
ตลอดเวลาที่เรายังอยู่ภายใต้อิทธิพลของบวกและลบ ชีวิตนี้ไม่อาจจะ Quench ไม่อาจจะมี Quench Life เราจะต้องพยายามให้อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบ ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้จะช่วยท่านให้อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบ
เอาออก เอาออก
จึงขอร้องอย่างยิ่งว่าการศึกษาอบรมที่เซ็นเตอร์นั้น ขอให้ท่านสนใจที่จะรู้จะเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้อยู่เหนืออิทธิพลของบวกและลบ ขอให้สนใจอย่างยิ่ง เข้าใจเรื่องนี้ให้จนได้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ซึ่งอาจารย์จะสอนท่านทั้งหลาย
เรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าพระองค์นิรันดรนั่นจะสอนให้เรารู้เรื่องความเป็นมายา มายา มายา Delusive มายาของบวกและลบ มันเป็นมายาทั้งบวกมายาทั้งลบ ทั้งบวกทั้งลบเป็นมายา เราเลิกโง่ เลิกไม่หลงในมายาของบวกและลบ เราก็จะถึงไอ้โล โลกุตตระ เหนือโลก หรือมีไอ้ชีวิตชนิด Quench ถึงที่สุดเลย
เรายังอยู่ใต้อิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบในโลกนี้ ในโลกนี้ เราจะศึกษาอย่างวิทยาศาสตร์ก็ได้ จะศึกษาอย่างพุทธศาสนาก็ได้ ให้รู้ว่าบวกและลบเป็นมายา เป็นมายา ไม่ใช่ความจริง เราทำลายความโง่หรือความหลงในเรื่องนี้เสียได้เราก็จะเหนือบวกเหนือลบ ชีวิตจะ Quench ถึงที่สุด ไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป
(นาทีที่ 89:20 เล่นย้อนกลับไปที่นาทีที่ 88:25 ซ้ำอีกหนึ่งรอบ) เป็นมายา เป็นมายา ไม่ใช่ความจริง เราทำลายความโง่หรือความหลงในเรื่องนี้เสียได้เราก็จะเหนือบวกเหนือลบ ชีวิตจะ Quench ถึงที่สุด ไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนไอ้เรื่อง Relativity of Time And Space ของไอน์สไตน์ ถ้าท่านศึกษาได้ถึงที่สุดก็จะรู้ความเป็นมายาของบวกและลบ เราก็จะอยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและลบ เช่นเดียวกับพุทธศาสนาซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ด้วยเหมือนกัน
ขอให้รู้ปฏิจจสมุปบาท รู้ปฏิจจสมุปบาทหรือพระพุทธเจ้าองค์จริงนี่อย่างยิ่งเถิด แล้วไอ้ Relativity of Time And Space ไม่อาจจะหลอกลวงเราอีกต่อไป ไม่อาจจะหลอกลวงเราอีกต่อไป เรื่องก็สิ้นสุดของไอ้ Quench
ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลาย เป็นผู้ฟังที่ดี ทนฟังมาเกือบ ๒ ชั่วโมงแล้ว ขอให้พยายามให้รู้จักปฏิจจสมุปบาท จะได้รับประโยชน์คุ้มค่า ขอยุติการบรรยาย.