แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้เราจะได้พูดกันเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท อีกสักครั้งหนึ่ง โดยหัวข้อว่า ปฏิจจสมุปบาทโดยประยุกต์ ครั้งที่แล้วมาเราพูดเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทโดยประจักษ์ ภาษาเด็กๆ ง่ายๆ ก็รู้จัก โดยประจักษ์ คือ รู้จัก realize ซึ่งเป็น experience เป็นอะไรก็แล้วแต่ คือรู้จัก รู้จัก ส่วนวันนี้เราจะพูดกันโดยประยุกต์ คือใช้มันให้เป็นประโยชน์เป็น apply อย่างที่พูดกันโดยมาก ปฏิจจสมุปบาทโดยประยุกต์ ถ้าไม่มีการประยุกต์ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ต้องประยุกต์คือใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ วันนี้เราก็จะพูดกันโดยประยุกต์ คือใช้มันให้เป็นประโยชน์ให้ได้ แต่อาจจะอยู่นอกความสนใจของคนบางคนก็ได้ ยังไม่รู้จักและยังไม่รู้จะใช้ประโยชน์อะไร และมันยังจะคิดว่าไม่ต้องก็ได้ แต่ว่าเป็นความจำเป็นที่สุดที่เราจะต้องรู้จัก และใช้มันให้เป็นประโยชน์กันให้จนได้
เรื่องลึก ลึกจนคนธรรมดาสามัญไม่สนใจ แต่ว่าสัตบุรุษสนใจๆ มีความเป็นพุทธบริษัทมากขึ้นๆ ก็เพราะรู้จักใช้ปฏิจจสมุปบาทให้เป็นประโยชน์มากขึ้นๆ ดังนั้นเราจึงต้องพูดกัน เป็นสิ่งที่ใช้เป็นประโยชน์ได้ แม้ในแง่ของโลกียะ คืออยู่ในโลก และในแง่ของโลกุตระ คือจะขึ้นอยู่เหนือโลกก็หมดกันเท่านั้นแหละ ก็มีอยู่ ๒ ความหมายเท่านั้น เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างที่กล่าวมาแล้วเมื่อวันก่อน เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัส ระบุว่าเป็นอาทิพรหมจรรย์ เป็นจุดตั้งต้น จุดตั้งต้นของการประพฤติพรหมจรรย์ คือรู้ปฏิจจสมุปบาทก่อนแล้วก็ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติไปตามลำดับ จนดับทุกข์ได้สิ้นเชิง เรื่องปฏิจจสมุปบาทมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องสมมุติ ไม่ต้องมีสมมุติฐาน hypothesis บ้าๆ บอๆ อะไรกัน เหมือนกับเรื่อง philosophy เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ต้องมีของจริง เอามาวางอยู่โดยประจักษ์ พิสูจน์ทดลองจนพบความจริงของสิ่งนั้นๆ และใช้เป็นประโยชน์ให้ได้ อย่างนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คำนึงคำนวณโดยเหตุผล ผิดๆ ถูกๆ หรือนำไปสู่ไสยศาสตร์เสียอีก ไม่ไหว
ทีนี้เราก็จะดูกันในแง่ของการใช้ให้เป็นประโยชน์ มีพระบาลีไว้ชัดว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ท่านทั้งหลายอาจจะไม่เคยได้ยิน และไม่เข้าใจ ฟังแล้วไม่เข้าใจว่า ปฏิจจสมุปบาท จะเป็น มัชฌิมาปฏิปทาได้อย่างไร ก็อย่าลืมว่าพระพุทธศาสนาของเรามีหัวใจเป็นเรื่อง มัชฌิมาปฏิปทา ไม่สุดโต่งฝ่ายโน้น ไม่สุดโต่งฝ่ายนี้ อยู่เหนือสิ่งที่เป็นคู่ๆ จะเรียกว่าอยู่ตรงกลางก็ได้ ปฏิจจสมุปบาทนี้จะช่วยให้เราอยู่ได้ที่ตรงกลาง ตรงกลาง ไม่ดิ่งไปทางซ้าย ไม่ดิ่งไปทางขวา จนไปสุดเหวี่ยงสุดโต่งอยู่ที่นั่น มันมีแต่กระแสแห่งการปรุงแต่งๆ ปรุงแต่ง ไม่ไปจับยึดสุดโต่งสิ่งใดที่ไหน ฝ่ายไหน
คำว่า มัชฌิมาปฏิปทา อยากจะให้เปรียบเทียบกับคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่า มัธยัสถ์ มัธยัสถ์ เมื่อเอาภาษาเป็นหลัก เป็นคำเดียวกันแท้เลย มัธยัสถ์ แต่ในภาษาไทย เด็กๆ บ้าๆ บอๆ มัธยัสถ์ ก็คือไม่สุรุ่ยสุร่าย มัธยัสถ์ แต่คำว่ามัธยัสถ์ มัธยะ-สะ- ถะ คือตั้งอยู่ตรงกลาง คำว่า มัธยัสถ์ มัธยัสถ์ ไม่ใช่ว่าขี้เหนียว หรือว่าไม่สุรุ่ยสุร่าย มันตั้งอยู่ตรงกลาง มัธยัสถ์คือตั้งอยู่ตรงกลาง มัชฌิมาปฏิปทา ก็มีในท่ามกลาง มีตรงกลาง เข้าใจคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา ก็จะเข้าใจคำว่า มัธยัสถ์ ภาษาวัตถุก็มัธยัสถ์เงินทองข้าวของ ถ้าภาษาธรรมะก็อยู่ตรงกลาง อยู่ตรงกลาง ไม่เหวี่ยงข้างโน้น ไม่เหวี่ยงข้างนี้ อธิบายไปในคราวเดียวกันก็ได้ มัธยัสถ์กับมัชฌิมาปฏิปทานี้
คำแรกที่สุดดูเหมือนจะเป็นคำว่า อัตถิตา, นัตถิตา ซึ่งเป็นคำสำคัญของเรื่องปรัชญาในอินเดีย ซึ่งเถียงกันมา มันเป็นปัญหาโลกแตก อัตถิตา แปลว่า มีอยู่ หรือ ความมีอยู่ นัตถิตา แปลว่า ไม่มี ความไม่มีอยู่ ปัญหาที่เถียงกันคือว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ หรือไม่มีอยู่ สัพพังอัตถิ สัพพังนัตถิ พวกหนึ่งว่ามี อีกพวกหนึ่งว่าไม่มี แล้วก็เถียงกัน จนพอใจอย่างไร ก็แบ่งพวกกันไปถือตามนั้นๆ อัตถิตา ก็เป็น สัสสตทิฎฐิ นัตถิตา ก็เป็น อุทเฉจทิฎฐิ มันบ้าทั้งสองพวกเลย ถ้าเป็นพุทธแท้ มันเป็นปฏิจจสมุปบาท มันไม่กล่าว อัตถิตา มีอยู่ๆ ไม่กล่าวว่า นัตถิตา ไม่มีๆ มันมีอยู่อย่างลักษณะของปฏิจจสมุปบาท ปรุงแต่งกันอยู่ไปตามลักษณะของเหตุปัจจัย มีแต่กระแสของการปรุงแต่ง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะเรียกว่ามีอยู่ก็บ้า จะเรียกว่าไม่มีอะไรเลยก็บ้า
นี่เป็นเหตุให้เรารู้จักพุทธศาสนาได้ดีว่ามันไม่ใช่ว่ามีอยู่หรือไม่มีเอาเสียเลย ข้อนี้สำคัญมากในการที่จะเข้าใจพุทธศาสนา เข้าใจเรื่อง อัตตา อนัตตา นั้นแหละได้ดี พูดว่า อัตตา อัตตา มีอยู่ ตัวตนมีอยู่ มันก็สุดโต่งฝ่ายนี้ พูดว่า นัตถิตา นัตถิตา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย มันก็อยู่ฝ่ายโน้น แต่ถ้าพูดอยู่ตรงกลาง ตรงกลาง ก็พูดว่า อนัตตา มีสิ่งซึ่งมิใช่อัตตา จะเข้าใจหรือไม่ฟังดูให้ดี ถ้ามีอัตตา อัตตา มีเต็มเปี่ยมแห่งความมี ก็เป็นอัตตา เป็นมิจฉาทิฎฐิฝ่ายซ้าย หรือว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย หรือจะเรียกว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีอัตตาเสียเลยก็ได้ นี้เป็นมิจฉาทิฎฐิฝ่ายขวา ที่มันอยู่ตรงกลาง ตรงกลาง อนัตตา อนัตตาคือมันมิใช่อัตตา อัตตาที่เรากำลังมีอยู่ในความรู้สึก รู้สึกเป็นอัตตาอยู่นั้นมันมิใช่อัตตา ต้องใช้คำว่า อะ เข้ามา มิใช่อัตตา มิใช่อัตตา อนัตตาไม่ได้แปลว่าไม่มีอัตตา อนัตตาแปลว่าไม่ใช่อัตตา นั่นแหละอยู่ตรงกลาง จงรู้จักพุทธศาสนาให้ดีๆ ในฐานะที่ว่ามันมีอัตตาของคนโง่ แล้วก็ไม่มีอัตตาตัวจริงของผู้รู้
ปฏิจจสมุปบาทช่วยได้ ให้มองเห็นชัดว่ามันมีแต่อัตตาที่มายา ที่ลวง ควรเรียกเสียใหม่ว่า อนัตตา คือมิใช่อัตตา นี่จะรู้จักหัวใจพุทธศาสนา จะไม่ได้พูดว่า มี มี มี หรือ ไม่มี ไม่มี ไม่มี ไม่พูด มันมีอยู่อย่างไม่ใช่อัตตา ไปจัดการกับมันให้ดีๆ ให้ถูกตามเรื่องของอนัตตา ปฏิจจสมุปบาทจะช่วยได้ ช่วยได้ ช่วยไม่ให้เกิดมีอัตถิตา หรือนัตถิตา แต่เป็นภาษาที่ละเอียดอ่อน ที่จะเข้าใจได้ก็ต้องมีความคิด มีสติปัญญาเห็นชัด ศึกษาปฏิจจสมุปบาทให้ถึงที่สุด ก็จะเห็นได้ชัดว่ามันไม่มี อัตถิตา หรือ นัตถิตา
ทีนี้ก็จะมาถึงคำที่ว่า จะถูกด่า มันเลยไปถึงว่ามีกุศล ไม่มีอกุศล กุศลนี้มันบัญญัติเอาตามตัณหาของคน พอใจก็จัดเป็น กุศล ไม่พอใจก็จัดเป็นอกุศล กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทล้วนๆ ไม่จัดว่ากุศล ไม่จัดว่าอกุศล จะจัดว่าอะไร ก็จะจัดว่าเป็น อัพยากฤต อัพยากฤต แปลว่า กล่าวไม่ได้ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าท่านเข้าใจ ปฏิจจสมุปบาทโดยประจักษ์ชัด แล้วท่านก็จะเห็นว่า โอ้, นี่มันไม่ใช่กุศลหรืออกุศล มันเหนือความหมายแห่งกุศล เหนือความหมายแห่งอกุศลไปเสียอีก
ทีนี้ถ้าเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เรื่องเด็กๆ ก็ได้ ความรู้สึกของเด็กๆ ของคนไม่รู้ มันก็มีความรู้สึกไปตามไอ้ความลวงของปรากฏการณ์นั้น มันจึงเกิดอาการแบ่งแยกว่าเป็นอันนี้ แล้วก็เป็นอันโน้น ท่านคิดดูให้ดีๆ เด็กๆ เขาต้องรู้สึกว่าอันนี้กับอันโน้น มันต่างอย่างตรงกันข้าม ถ้าเป็นผู้รู้ปฏิจจสมุปบาท โดยนัยแห่งความจริงแล้ว มันไม่มีนี้ มันไม่มีโน้น มันมีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันไปเรียกเอาเองว่าส่วนไหนที่อยู่ใกล้ๆ หรืออยากจะเรียกว่า นี้ๆ นี้ แล้วก็ โน้นๆ โน้น ถ้าเลิกนี้ เลิกโน้นกันเสียที มันก็หมดปัญหาไปเยอะ มันมีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท แล้วยังมีความหมายไกลไปถึงว่า ไม่มีเอง หรือไม่มีอื่น คู่นี้ก็เข้าใจยาก ถ้าว่ามีเอง มีอื่น แล้วก็มีมึงมีกู ไม่ต้องสงสัย เองกูทำเอง โน้นคนอื่นทำ มันออกเป็นเองเป็นอื่น นี่สมบัติของกู นี่สมบัติของคนอื่น มันมีเอง มีอื่น แล้วก็จะมีคู่ตรงกันข้าม แล้วจะมีข้าศึกแก่กันและกัน โลกนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าเองและอื่น แล้วมันก็เป็นข้าศึกแก่กันและกัน ระวังให้ดี ผัวเมียมันจะกัดกัน ในเมื่อเกิดความรู้สึกว่าเอง ว่าอื่น มันยึดถือว่าฝ่ายนี้เป็นฝ่ายกู เมียมันก็ด่าผัวได้ ถ้าผัวมันรู้สึกว่าเป็นเองเป็นอื่น มันก็ตบเมียได้ ไม่ต้องสงสัย มันรู้สึกเป็นเองและเป็นอื่น เช่นเดียวกับเป็นนี้เป็นนั้นขึ้นมา
ถ้ามีความแจ่มแจ้งในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทแล้ว ไม่มีเองนี้ และไม่มีโน้นอื่นโน้น ไม่มีเองไม่มีอื่น เราถูกลวงอยู่ตลอดเวลาโดยความมีเองแล้วก็มีอื่น ปัญหามันก็เกิดขึ้น ทำให้เกิดเป็นมึงเป็นกู เป็นฝักเป็นฝ่ายเป็นปรปักษ์กันขึ้นมา ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทโดยประจักษ์ชัด มันจะไม่มีความรู้สึกว่าเองว่าอื่น แล้วจะสบายสักเท่าไร จะหมดปัญหาไปสักเท่าไร จะรับคนทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันได้ทุกคน มันไม่มีเอง ไม่มีอื่น ไม่มีนี้ไม่มีนั้น นี่ประโยชน์สูงสุดของปฏิจจสมุปบาท บางทีจะพูดไปได้ถึงว่าไม่มีดำไม่มีขาว ดำก็เป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ขาวก็เป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท อันหนึ่งสะท้อนแสง อันหนึ่งไม่สะท้อนแสง อันหนึ่งสะท้อนแสงระบบหนึ่ง อีกระบบหนึ่งจะเป็นกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันจะไม่มีดำ ไม่มีขาว ดำขาวบัญญัติ เช่นเดียวกับบัญญัติเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล อย่างนั้นแหละ ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทโดยชัดแจ้งแล้ว มันไม่มีดำไม่มีขาวหรอก แล้วมันก็จะไม่มีกลางวันหรือกลางคืน เวลา เวลานั้นไม่มีความต่างกันเป็นกลางวันและกลางคืน เด็กๆ จะรู้สึกต่างกันมากว่ากลางวันสว่างกลางคืนมืด กลางวันทำงาน กลางคืนนอน มันต่างกันมาก
แล้วถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทแล้ว มันก็เห็น โอ้, มันเป็นกระแสเห็นเวลา กระแสแห่งเวลา ชั้นเลว ชั้นต่ำ สมมุติเป็นนาฬิกาเป็นชั่วโมงเป็นอะไร แต่ถ้าชั้นลึกที่สุด มันก็เห็นว่ากระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงไปตามปฏิจจสมุปบาท ถ้าเป็นธรรมชั้นปรมัตถ์ ชั้นอภิธรรมยอดสุดแล้วมันก็จะพูดว่า เวลาเป็นเพียงความหมายแห่งความยังไม่ได้มาตามต้องการของกิเลสตัณหา ภาวะที่ยังไม่ได้ตามกิเลสตัณหามันต้องการนั้นคือ เวลา พอมันได้ตามความต้องการของกิเลสตัณหา เวลามันก็หมดไป เวลามันก็หยุด มันไม่มีความอยากความกระหาย จุดตั้งต้นระหว่างความต้องการ กับถึงปลายทางตามที่ได้ตามต้องการระหว่างนั้นเรียกว่า เวลามีอยู่จริง เวลามันกัด กัดหัวใจคนทุกคนอยู่ เพราะมันไม่มีความรู้เรื่องนี้ มันก็มีอิทธิพลของเวลาเกิดขึ้นมาแบ่งแยก กัดหัวใจ กัดหัวใจ มันต้องกลัวเวลา ต้องมีอะไรกันยุ่งใหญ่ เรื่องเกี่ยวกับเวลา
ถ้ารู้ปฏิจจสมุปบาท เวลาก็เป็นเพียงกระแสของการเปลี่ยนแปลงของสังขารทั้งหลายทั้งปวง มันเรียกว่ามันไม่มีเวลา มันไม่มีเอง มันไม่มีอื่น มันไม่มีแม่ มันไม่มีลูกก็ได้ ทั้งแม่ทั้งลูกมันก็เป็นกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันไม่ต้องมีผัว ไม่ต้องมีเมียก็ได้ เพราะมันเป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ไม่ต้องมีข้าศึก ไม่ต้องมีมิตรสหายก็ได้ เพราะมันเป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็ไม่ต้องมีสุข ไม่ต้องมีทุกข์ ทั้งสุขและทุกข์เหมือนกัน โดยความเป็นกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ไม่ต้องมีแพ้ ไม่ต้องมีชนะ มันเป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันไม่มีทุกคู่ๆ ที่เราหลงกันเป็นคู่ๆ คู่ๆ ตรงกันข้าม อย่างที่มีในความรู้สึกของคนธรรมดาสามัญ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นบุญเป็นบาป เป็นดีเป็นชั่ว เป็นแพ้เป็นชนะ เป็นได้เป็นเสีย เป็นเสียเปรียบเป็นได้เปรียบ เป็นร่ำรวยเป็นยากจน เป็นคู่ๆ นับได้เป็นสิบๆ คู่ ไม่มีคู่เหล่านั้น ถ้ายังเห็นเป็นคู่ๆ อยู่ ก็คือยังไม่เห็นปฏิจจสมุปบาท กระทั่งว่าในที่สุดจะไม่เห็นเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เพราะมันเป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เพราะมันเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ปัญหาเต็มไปหมด ปัญหาก็เต็มไปหมด เหนืออดีต เหนือปัจจุบัน เหนืออนาคต นั่นรู้ปฏิจจสมุปบาท ท่านคำนวณดูเองว่าทั้งหมดนี้ ทั้งหมดนี้มีประโยชน์กี่มากน้อย มัชฌิมาปฏิปทานี้ เป็นประโยชน์กี่มากน้อย ไม่แบ่งแยกเป็นคู่บวกลบอะไร เป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ต้องการผลอย่างไรก็ทำให้สอดคล้องกันกับกฎเกณท์หรือกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ก็จะได้รับสิ่งนั้นขึ้นมา ก็อย่าเอามายึดถือไว้เป็นตัวกู ยึดถือไว้เป็นของกู เป็นของตัวเอง เป็นของผู้อื่น เป็นของข้าศึก เป็นของศัตรู เป็นของมิตรสหาย นี่มันก็หมดปัญหา แต่ได้พูดแล้วมันยากเกินไป มันยากเป็นที่สนใจของคนธรรมดาสามัญ ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มันเป็นเรื่องที่ลึกที่สุด เมื่อพระอานนท์ทูลพระพุทธเจ้าว่าเป็นเรื่องลึก ลึกพอประมาณ พอประมาณ ไม่ลึกกี่มากน้อย ในเรื่องปฏิจจสมุปบาทได้เกิดมัชฌิมาปฏิปทา มันก็จะว่าง ไม่มีเป็นคู่เปรียบ เป็นคู่ยึดถือ มันก็จะบรรลุถึงพระนิพพาน ผลยอดสุดท้ายของมัชฌิมาปฏิปทา ก็คือพระนิพพาน ไม่แยกเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่แยกเป็นดำเป็นขาว เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นได้เป็นเสีย เป็นดีเป็นชั่ว ไม่มีอะไรหมด มันว่าง มันอะไร เป็นมัชฌิมาปฏิปทาที่สุด สิ่งนั้นก็คือความว่าง รู้จักให้ดีเถอะ ที่อยู่ตรงกลาง ไม่เป็นอะไรฝ่ายไหนที่สุด ก็คือความว่าง ความว่างก็เป็นคำพูดแทนพระนิพพาน นิพพาน คือ ว่างจากทุกอย่าง ว่างจากการปรุงแต่ง ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ว่างจากของที่เป็นคู่ๆ
นี่ประโยชน์ที่จะได้รับจากการเห็นปฏิจจสมุปบาท คือสามารถเข้าถึงจุดความหมายของสิ่งที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ขอยืมเอาความหมายชาวบ้าน ลูกเด็กๆ มัธยัสถ์ มัธยัสถ์นี้มาใช้ มาใช้ นี่ระดับสูง ระดับจิต ระดับวิญญาณ ก็คือ ตั้งอยู่ในท่ามกลาง อย่างมัธยัสถ์ อย่างที่เรียกว่าไม่สุรุ่ยสุร่ายรู้จักขี้เหนียว ให้ตั้งอยู่ในท่ามกลาง ท่ามกลางคืออะไร ก็คือพอดี พอดี มัชฌิมาปฏิปทา คือความพอดี พอดี
ความพอดีนี่เข้าใจยากนะ อย่าอวดดี ว่าเข้าใจได้ทันที ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักความพอดี แล้วบรรลุนิพพานได้แน่นอนเลย เดี๋ยวนี้มันพอดีเอาตามกิเลส กิเลสต้องการอะไร ก็พอดีตามกิเลส มันใช้ไม่ได้ พอดีตามกฎความจริงของความจริง ของสัจจะ ของธรรมชาติ ถูกต้องพอดีก็ไม่เกิดปัญหาใดๆ ไม่เกิดปัญหาใดๆ นี่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นตัวมัชฌิมาปฏิปทาก็ได้ ถ้ายังโง่เกินไปก็ว่า ปฏิจจสมุปบาทจะนำไปสู่มัชฌิมาปฏิปทา แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นตัวความจริงของมัชฌิมาปฏิปทา เอามาประยุกต์ได้ มันก็จะเกิดความเป็นอิสระ เหนือการถูกลวงของสิ่งที่เป็นคู่ๆ คู่ๆ กี่ร้อยคู่กี่พันคู่ มันอยู่เหนือความถูกลวงของสิ่งที่เป็นคู่ ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่บุญไม่บาป ไม่นรกไม่สวรรค์ ไม่อะไรที่เป็นคู่ตรงกันข้าม หลุดพ้น หลุดพ้นเพราะไม่ติดบ่วงของความเป็นคู่ ไม่มีอุปาทานเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งที่เป็นเหยื่อของอุปาทาน เพราะมันว่าง
ทีนี้ข้อที่ทรงแสดงไว้น่าสนใจอย่างหนึ่งว่า ปฏิจจสมุปบาท มัชฌิมาปฏิปทานี้ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งมิจฉาทิฎฐิใดๆ ท่านจงรู้จักคำว่ามิจฉาทิฎฐิ มิจฉาทิฎฐิให้ดีๆ ปฏิจจสมุปบาทไม่เป็นที่ตั้งแห่งมิจฉาทิฎฐิใดๆ โดยหลักวิชาเราถือตามที่พุทธองค์ตรัสว่า มิจฉาทิฎฐิมี ๖๒ ชนิด รายละเอียดไปดูในพรหมชาลสูตร ทีฆนิกาย ถ้าเข้าใจเรื่อง ทิฏฐิ ๖๒ แล้วก็เรียกว่ารู้จักมิจฉาทิฎฐิทุกชนิดๆ ทุกชนิด พรหมชาลสูตรนี้เปรียบเหมือนอวน อวนทุกชนิด อวนทุกชนิด ปลาทุกชนิดติดอยู่ในอวนเหล่านี้ ติดอยู่ในอวนเหล่านี้ อวนคือมิจฉาทิฎฐิ ถ้ามีปฏิจจสมุปบาทจะไม่มีมิจฉาทิฎฐิใดๆ เกิดขึ้น แม้แต่มิจฉาทิฎฐิโดยสรุปสั้นๆ ที่เรารู้จักกันดีว่า เห็นเป็นเที่ยง เห็นเป็นสุข เห็นเป็นอัตตา แทนที่จะเห็นว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา กลับไปเห็นเป็นตรงข้ามเสียมาเป็นเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา เพราะมีมิจฉาทิฎฐิ
ถ้ามีสัมมาทิฎฐิ มีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้วจะไม่เกิดความเห็นผิดชนิดนั้น ปฏิจจสมุปบาทป้องกันการเห็นผิดทุกชนิดๆ จะเป็นมิจฉาทิฎฐิโดยประธานว่า สัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฎฐิ นัตถิกทิฏฐิ อกิริยทิฏฐิ เหล่านี้ก็เหมือนกัน ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทแล้ว ทิฏฐิเหล่านี้มันไม่เกิด เกิดไม่ได้ จึงสรุปสั้นๆ ว่า เห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วไม่เกิดมิจฉาทิฎฐิใดๆ มิจฉาทิฎฐิเลวร้ายก็คือ มิจฉาทิฎฐิ ที่เห็นตรงกันข้ามจากอริยสัจทั้ง ๔ เรื่องอริยสัจ ๔ ไม่ต้องพูดกันรู้ดีกันแล้ว ไม่ต้องพูด ถ้าเกิดเห็นตรงข้ามอริยสัจ ๔ นั่นคือ มิจฉาทิฎฐิสุดยอด ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทไม่อาจจะเกิดมิจฉาทิฎฐิใดๆ แม้มิจฉาทิฎฐิที่ตรงกันข้ามจากอริยสัจทั้ง ๔ มันก็เรียกประยุกต์เถิด ประยุกต์เถิด มันจะเป็นอะไร สมมุติเกราะแก้วกำแพงแก้วป้องกันเสียซึ่งมิจฉาทิฎฐิทั้งหลาย ไม่ให้มาครอบงำกู มันไม่มีกู
ทีนี้ ปฏิจจสมุปบาท มันทำให้เกิดความรู้ที่ถูกต้อง ที่ถูกต้องตามธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือมันทำให้ไม่เกิดความรู้สึกว่าผู้ ไม่ใช่ผู้เมียนะ ผู้อย่างนั้น ผู้อย่างนี้ เป็นผู้ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ไม่รู้ เป็นผู้กระทบกัน เป็นผู้กิน เป็นผู้เสวย เป็นผู้อยาก เป็นผู้ยึดมั่น ผู้อย่างนั้น ผู้อย่างนี้ มีมาเป็นผู้ๆ เหลือประมาณ แบ่งแยกเป็นฝ่ายสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฎฐิ จนมีผู้นี้ ผู้นั้น ผู้เอง ผู้กู คำว่าผู้ๆ ก็คือตัวตนนั้นแหละ ถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีคำว่าผู้ ผู้กิน ผู้ใช้ ผู้ได้ ผู้เสีย ผู้แพ้ ผู้ชนะ ผู้ทุกผู้ที่มันมีพูดกันอยู่ในโลก พอเห็นปฏิจจสมุปบาทแล้ว ไอ้สิ่งที่เรียกว่าผู้ๆ ผู้ๆ อย่างนั้นอย่างนี้มันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ไม่มีผู้ที่จะเป็นตัวตนที่จะเป็นผู้ขึ้นมา แล้วสบายสักกี่มากน้อย ท่านทั้งหลายลองคิดดูเอาเองว่ามันไม่มีความโง่ว่าผู้ แม้ที่สุดจะเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย ความรู้สึกตามธรรมดาสามัญของความไม่รู้ของอวิชชา มันมีผู้หญิง มันมีผู้ชาย ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทมันมีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันไม่มีผู้หญิง ผู้ชาย แล้วคนโง่ที่หลงใหลในเวทนา ในอารมณ์ มันก็บัญญัติเอาเองว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย เห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วก็เลิกผู้กันหมดเลย ผู้นั้น ผู้นี้ ผู้โน้น ไม่มีผู้ใดๆ แต่เมื่อเรายังต้องพูดตามภาษาชาวโลก ภาษาชาวบ้าน ก็ยังมีเป็นผู้ ผู้มา ผู้ไป ผู้ได้ ผู้เสีย ผู้แพ้ ผู้ชนะ ผู้รู้ ผู้ไม่รู้ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท
ทีนี้มาดูกันในแง่ที่มันละเอียดว่า ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วจะเห็นลักษณะอันประณีตอันลึกซึ้งทุกชนิดทุกลักษณะที่เราจะต้องเรียน ที่เราจะต้องรู้ ที่เราจะต้องศึกษา ลักษณะทุกชนิดของสังขาร สังขาร เอาตัวสังขารเองก่อนก็ได้ ถ้าเรารู้ปฏิจจสมุปบาท เราจะเห็นสิ่งที่สังขาร ที่เรียกว่าสังขารแล้วรู้จัก สังขารของเด็กๆ สังขารของชาวบ้าน ก็คือร่างกาย เท่านั้นมันไม่พอหรอก
สังขาระ แปลว่า กระทำ มาจากคำว่า กระทำพร้อม สังขาระ ก็กระทำพร้อม กระทำพร้อมก็เรียกว่าสังขาร เป็นผู้ปรุง คือกระทำพร้อม กระทำพร้อมเราเรียกว่าปรุง ปรุง ปรุง เป็นฝ่ายปรุงก็ได้ เรียกว่า สังขาร คือมันเป็นผู้ปรุง เป็นฝ่ายถูกปรุงก็ได้ เรียกว่า สังขาร เพราะมันถูกปรุง เป็นกิริยาอาการของการปรุงก็ได้ เรียกว่า อาการปรุง อย่างน้อยได้ถึง ๓ ความหมายของสังขาร ผู้ปรุงก็เรียกว่าสังขาร ผู้ถูกปรุงก็เรียกว่าสังขาร อาการที่ปรุงก็เรียกว่า สังขาร รู้จักสังขารในลักษณะอย่างนี้ จะไม่เป็นเด็กๆ ไม่เป็นยายแก่ตามศาลาวัด รู้จักสังขารเพียงว่าร่างกาย สังขาร สังขาร ก็ดูซิกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทมันมีปัจจัยเป็นผู้ปรุง มีผลจากปัจจัยเป็นผู้ถูกปรุง มันมีกิริยาอาการของการปรุง นั่นก็คืออาการของปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง เห็นไหม ปฏิจจสมุปบาทช่วยให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าสังขาร สังขาร ปฏิจจสมุปบาทช่วยให้เรารู้จักตัวปฏิจจสมุปบาทเอง เรียกว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม ปฏิจจสมุปปันนธรรม ถ้าไปดูที่กิริยาอาการเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ถ้าไปดูที่ตัววัตถุแห่งการกระทำนั้น เรียกว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม แปลว่าสิ่งที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น สิ่งๆ หรือตัววัตถุหรือที่ไม่ใช่วัตถุก็ตาม ที่มันถูกกระทำปรุงแต่งขึ้นมา เรียกว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม ถ้าดูที่ตัวอาการของมันก็เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นอันว่าปฏิจจสมุปบาทช่วยให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม
ปฏิจจสมุปบาท มี ๑๒, ๑๒ ปฏิจจสมุปปันนธรรม อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ เรื่อยไปจนจบเป็น ๑๒ สิ่งก็เรียกว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม ที่ลึกซึ้ง แล้วมันก็เห็นความลึกซึ้งในลักษณะที่ลึกซึ้งที่แฝงอยู่ที่ตัวสิ่งเหล่านั้น ในตัวปฏิจจสมุปปันนธรรม มันมีลักษณะแห่งอนิจจัง ปฏิจจสมุปบาท ช่วยให้เราเห็น อนิจจัง ความเป็นอนิจจังที่มันแฝง จะเรียกว่าแฝงก็ได้ ที่จริงมันไม่ได้แฝง คนโง่มันไม่เห็นเอง มันจึงกลายเป็นของลึกลับ คล้ายกับมันแฝง ซ่อน แต่ที่จริงมันไม่ได้ซ่อน มันแสดงอยู่โร่ร่าเลย ปฏิจจสมุปบาทแสดงให้เห็นอนิจจัง อนิจจังความไม่เที่ยง พอดูตัวปฏิจจสมุปบาทจะเห็นความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงเรื่อย ไหลเรื่อยๆ เหมือนกับแม่น้ำที่ไหลเรื่อย เห็นอนิจจังโดยเห็นปฏิจจสมุปบาท แล้วก็เห็นสังขตัง สังขตังสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง สังขตธรรมทั้งหลาย เรียกว่า ลักษณะที่แสดงอยู่ที่ปฏิจจสมุปบาท เรียกว่า สังขตะ สังขตะลักษณะ แต่ถ้าเห็นโดยตรงกันข้าม เห็นอสังขตะไปเลย ยังไม่เห็นเพราะสังขตะมันยังไม่เห็น คนโง่มันยังไม่เห็นแม้แต่สังขตะ แล้วมันจะไปเห็นอสังขตะได้อย่างไร แต่ว่าปฏิจจสมุปบาทแสดงให้เราเห็น ให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าสังขตะ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ทำให้เห็นอีกสิ่งหนึ่งเรียกว่า วยธัมมตา วยธัมมัง เสื่อมไป เสื่อมไปเป็นธรรมดา ลักษณะเสื่อมไปเป็นธรรมดา ก็เห็นอยู่ที่ปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็สิ้นไปๆ ขยธัมมัง สิ้นไปเป็นธรรมดา วยธัมมัง เสื่อมไป เป็นธรรมดา ก็เห็นอยู่ที่ปฏิจจสมุปบาท คนโง่มันไม่เห็นทำอย่างไรได้ ปฏิจจสมุปบาทช่วยให้เห็น แสดงให้เห็นมันก็ยังไม่เห็น แล้วก็จะเห็นสูงขึ้นไปถึง วิราคะธัมมัง ธรรมะที่น่าสั่นหัวน่าเบื่อหน่ายไม่น่ายึดมั่นถือมั่น อาการที่ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น วิราคะธัมมังก็แสดงอยู่ที่ปฏิจจสมุปบาท นิโรธะธัมมัง ดับลง ดับลง ปัจจัยนี้เกิดขึ้น ส่งผลนี้แล้วก็ดับลง ส่งผลนี้แล้วก็ดับลง อาการแห่งนิโรธะธัมมังดับอยู่เป็นธรรมดา ก็แสดงอยู่ตลอดสายแห่งปฏิจจสมุปบาท นี่อวิชชา เป็นเจ้าของบ้าน เป็นเจ้าของกิจการ มันบังหมดทำให้ไม่เห็นอาการของสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าเราจะย้อนดูอีกทีว่ามันเป็นที่เกิดดับของอวิชชา ตัวปฏิจจสมุปบาทให้ตลอดสาย จะเห็นการเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับแห่งอวิชชา อวิชชาอย่างนี้ดับไป อวิชชาอย่างโน้นขึ้นมาแทน มันก็โง่ไปตามลำดับ แต่ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทแล้ว มันจะฉลาดไปตามลำดับ ฉลาดไปตามลำดับ เมื่อมีปฏิจจสมุปบาทแล้วประยุกต์ใช้ให้ได้ ก็จะเห็นสิ่งที่ควรจะเห็นไปตามลำดับ
ปฏิจจสมุปบาทมันช่วยให้เห็นความจริงที่เราไม่เห็น แล้วเราโง่ กายนี้ของกู ร่างกายนี้ของกู ชีวิตนี้ของกู ลูกเมียของกู ทรัพย์สมบัติของกู อำนาจวาสนาของกู ถ้าไม่เห็นปฏิจจสมุปบาทมันจะรู้สึกอย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาทจะช่วยให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องว่าร่างกายนี้ มันมิใช่ของมึง มิใช่ของกู มันเป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เป็นไปเอามายึดถือ กายๆ นี้ของกู ทั้งเนื้อทั้งตัวร่างกายทั้งรูป นามนี้เป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็ไปตู่เอามา ไปปล้น ไปโกงเอามา ว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู ปฏิจจสมุปบาทจะแหกตาให้เห็นความจริง หายโง่เสียทีว่ากายนี้มิใช่ของกู นี่ประโยชน์ของปฏิจจสมุปบาท เห็นไปตามลำดับ จนไม่มีช่องทางใดๆ ที่จะเอาอะไรมายึดถือว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู
ปฏิจจสมุปบาทจึงมีลักษณะเป็นอริยญายธรรม ช่วยจำให้ชัดๆ อริยะ แล้วก็ ญายะ, ธรรม, อริยะ แปลว่า ประเสริฐ, ญายะ แปลว่า เคลื่อนไปๆ, ธรรม แปลว่า ธรรม, อริยญายะธรรม นี่พระพุทธเจ้าตรัสเอง ไม่ใช่อาตมาว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นอริยญายธรรม เป็นเครื่องไปอันประเสริฐ ไปจากความโง่สู่ความฉลาด ไปจากความมืดสู่ที่สว่าง สรุปแล้วไปจากความทุกข์ไปสู่ความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ อริยญายธรรม ถ้าเปรียบไม่รู้จะเปรียบกับอะไร เรือบินอันวิเศษก็ไปได้แค่นั้นแหละ ไม่ไปโลกุตรได้ วัตถุยานพาหนะใดๆ ที่แสนจะวิเศษในโลกนี้มันก็ไม่ไปสู่เหนือโลกได้ ปฏิจจสมุปบาทเป็นอริยญายธรรม เป็นทางไป เป็นเครื่องไป เป็นการไปอันประเสริฐไปสู่จุดสูงสุด คือเหนือโลก ปฏิจจสมุปบาทเป็นอริยญายธรรม ใครซื้อเครื่องบินลำนี้มาขี่ได้ ก็ไปนอกโลก อริยญาญธรรม ปฏิจจสมุปบาท เป็น อริยญายธรรม อย่าเรียกให้ขาด ยะ ไปตัวหนึ่งนะ อริยญายะ ไม่ใช่ อริ-ญายะ, อริยญายธรรม, ปฏิจจสมุปบาทเป็นอริยญายธรรม, อริยะแล้วก็ ญายะ ย ยักษ์ ทั้งนั้นแหละ, ธรรม
เป็นอย่างไร เป็นอย่างไร เมื่อวานก็พูดแล้วถึง ปฏิจจสมุปบาท ขั้นที่จะออกไปจากทุกข์ มีอวิชชา สังขาร วิญญาณ นาม รูป สังขาร จนเกิดความทุกข์ ความทุกข์ท่วมทับเป็นไฟไหม้ เป็นไฟเผาอยู่อย่างนี้ แล้วมันก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา คือความเชื่อว่ามีสิ่งที่แก้ได้ คือดับทุกข์ได้ ที่เรียกว่า ให้เกิดศรัทธา ให้เกิดศรัทธา ความทุกข์ให้เกิดศรัทธา แล้วก็เกิดหาธรรม จนมาช่วยดับทุกข์ได้ ซึ่งเป็นลักษณะของสัญชาตญาณ สัญชาตญาณ ขออภัยพูดอย่างหยาบๆ หมามันเจ็บปวดขึ้นมา มันก็มีความเชื่อ ว่ามีสิ่งที่จะช่วยความเจ็บปวดได้ มันก็วิ่งกระเสือกกระสนไปหาไอ้ที่มันจะช่วยระงับความเจ็บปวดได้ มันเกิดศรัทธาว่ามีสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เช่นถ้ามีทุกข์ แล้วจะต้องมีไอ้สิ่งดับทุกข์ ตัวอย่างปฏิจจสมุปบาท ลูกเด็กๆ ของเรามันล้มลงหัวแตก เจ็บปวด มันก็มีศรัทธาเชื่อว่ามีสิ่งที่จะช่วยแก้ความเจ็บปวด จะมีบุคคล หรือมีสิ่งของ หรือมีกิริยาอาการที่จะแก้ความเจ็บปวด ก็นึกถึงหมอ มันก็มีความเชื่อว่าหมอจะแก้ได้ มันก็วิ่งไปหาหมอ ช่วยพาไปหาหมอที นี่ศรัทธามันเกิดขึ้น ศรัทธาที่จำเป็น ศรัทธาที่แท้จริง ศรัทธาที่ตั้งต้น เชื่อว่ามีสิ่งที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เป็นเหตุให้แสวงหาธรรมะ ศรัทธาเบื้องต้นมาจากความทุกข์ ความทุกข์มันบีบคั้น มันเฆี่ยนตีให้ไปแสวงหาสิ่งที่จะช่วยกำจัดทุกข์ นี่ศรัทธาตัวนี้ใหเรู้จักไว้เถอะ จะต้องมีศรัทธาถูกต้องเรื่อยไปๆ พอเป็นพระอรหันต์แล้วจึงเลิกศรัทธา พระอรหันต์มีคุณบทคำหนึ่งเรียกว่า อัสสัทโธ ผู้ไม่มีศรัทธา ผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์เท่านั้น ถึงมีศรัทธา พอเป็นพระอรหันต์แล้วเลิกศรัทธา ไม่มีความจำเป็นที่จะเชื่อใคร เชื่ออะไร หรือหวังพึ่งใคร ศรัทธามีสำหรับคนที่ยังมีความทุกข์จะต้องแสวงหา พอหมดความทุกข์สิ้นเชิงแล้วก็เลิกศรัทธา จบสิ้นสุดศรัทธา ลงที่ความเป็นพระอรหันต์ พอความทุกข์บีบคั้น ความทุกข์บีบคั้น เชื่อแน่ว่ามีสิ่งแก้ได้ ก็แสวงหาธรรมะ คือแสวงหาผู้ช่วยเป็นที่พึ่ง หาแพทย์หาหมอ หาพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมแพทย์จอมหมอ หานิพพานเสียแล้วก็ไปหาสัตบุรุษ ผู้รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ไปหาพบสัตบุรุษ พบสัตบุรุษได้นั่งใกล้สัตบุรุษ ได้ยินได้ฟังธรรมะของสัตบุรุษ ทีนี้ได้ธรรมะแล้ว พอได้ธรรมะก็ปราโมทย์ ปีติยินดีไปตามลำดับ ที่เขาแจงไว้ในอภิธรรม แล้วมันก็มีปราโมทย์ยินดีปีติ พอใจ ปัสสัทธิ ระงับ แห่งความขลาดกลัว มีความสุข แล้วก็มีจิตเป็นสมาธิ สมาธิแล้วก็เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ ตามที่เป็นจริงแล้วก็เกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายในความทุกข์ เกิดวิราคะ วิราคะจางออก คลายออกแห่งอุปาทานทั้งหลาย ก็เกิดวิมุตติ ความหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น เกิดญาณรู้ โอ้, จบกันที ญาณสุดท้ายเรียกว่า ขยญาณ, ขยะ สิ้นไปแห่งทุกข์ มีขยญานแล้วก็นิพพาน เห็นหรือไม่ว่าความทุกข์มันผลักไปหาพระนิพพาน มันทนอยู่ที่นี่ไม่ได้ มันผลักไปหาพระนิพพาน ให้เกิดศรัทธาว่า เชื่อว่ามีสิ่งที่กำจัดทุกข์ได้ มันก็แสวงหาไปตามลำดับๆ อย่างที่ว่าไปทางสัตบุรุษ ผ่านไปทางสัตบุรุษ ก็พบสิ่งสุดท้ายคือดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ประโยชน์ของความทุกข์ แต่ถ้าไม่รู้จักใช้ปฏิจจสมุปบาทแล้วมันไปทางอื่น มันไม่มาทางนี้ ถ้ารู้จักปฏิจจสมุปบาทถูกต้องครบถ้วนแท้จริงแล้ว มันก็ผลักไสให้มาทางนี้ ให้เชื่อมั่นในสิ่งที่จะดับทุกข์ได้ เป็นจุดตั้งต้นของศรัทธา ก็นำไปสู่ธรรมะ คบหาสัตบุรุษ จนมีธรรมะไปตามลำดับๆ แล้วก็สมบูรณ์ นี่เรียกว่า นำไปสู่ความดับทุกข์ กระแสแห่งการดำเนินไปสู่การดับทุกข์ ก็เป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ ทำให้ความดับทุกข์เกิดขึ้นมา ความดับทุกข์เกิดขึ้นมาเป็นปฏิจจสมุปบาทของสิ่งที่จะดับทุกข์ได้ มันสรุปใจความสำคัญอยู่ที่ว่า ให้รู้ความจริงของสิ่งทั้งปวงในสากลจักรวาลทั้งภายนอกทั้งภายใน ทั้งฝ่ายรูป ฝ่ายนาม ว่ามันมีแต่อาการของปฏิจจสมุปบาท ไม่มีอะไร จนกระทั่งวาระสุดท้าย ดับสิ้นสุดไป มันก็ยังเป็นลักษณะของปฏิจจสมุปบาท คือความดับทุกข์สิ้นเชิงมันปรากฏออกมา นี่ประโยชน์ของปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างนี้
ที่มีพระบาลี พุทธภาษิตบางแห่งว่า ควรจะสนใจหรือรู้ไว้ว่า ปฏิจจสมุปบาทหรือความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ พวกที่เรียนอภิธรรมมาแล้ว ได้ยินคำนี้ทั้งนั้นแหละ ในสุตตันตะ โสตาปัตติยังคะ แปลว่า องค์แห่งการบรรลุโสดาบัน โสตาปัตติยังคะ, องคะ องค์ปัตติ, ยังคะ การบรรลุ, โสตา แปลว่า โสดาบัน, องค์แห่งการบรรลุโสดาบัน ที่ท่านทั้งหลายจะได้ยินกันอยู่โดยมากทั่วไปตามนัยธรรมดาสามัญก็ว่ามี ๔ คือมี ศรัทธา ศรัทธาตั้งมั่นคงในพระพุทธหนึ่ง ศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหวในพระธรรมหนึ่ง ศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์หนึ่ง แล้วก็ยังมีอริยกันตศีล มีศีลเป็นที่ชอบใจของพระอริยเจ้าหนึ่ง ๔ อย่างนี้เรียกว่าโสตาปัตติยังคะ ก็จริง เชื่อไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็มีศีลบริสุทธิ์เป็นที่ชอบใจของพระอริยเจ้า นี่เป็นหลักทั่วไปที่สอนเรื่อง โสตาปัตติยังคะ
แต่เดี๋ยวนี้ กรณีนี้พระพุทธเจ้า ปฏิจจสมุปบาท ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นโสตาปัตติยังคะ เป็นองค์ของการบรรลุโสดาบัน ลองดูซิ ลองรู้จักปฏิจจสมุปบาท เห็นปฏิจจสมุปบาท จะเกิดองค์แห่งการบรรลุโสดาบันขึ้นมาทันที ไม่ต้องนับให้เป็น ๔ อย่าง ไม่ต้องไปพูดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อริยกันตศีลอะไรให้มากมาย เห็นปฏิจจสมุปบาท จะเกิดองค์แห่งการบรรลุกระแสแห่งพระนิพพาน โสดาบันเรียกว่า กระแสแห่งพระนิพพาน ข้อเดียวพอ เห็นแจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทโดยประจักษ์ แล้วประยุกต์มันให้ได้ มันก็มีองค์แห่งการบรรลุโสดาบัน คือเป็นผู้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน ประหยัดได้มากทีเดียว แต่โดยทั่วไปจัดไว้ ๔ เสมอ ศรัทธามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีอริยกันตศีล คือศีลที่ไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อย แต่ฟังดูแล้วเป็นเรื่อง ก ข ก กาอยู่มาก พอเห็นปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องชั้นสูง เป็นความรู้ชั้นสูง ไม่ใช่ชั้นประถมชั้นอนุบาล มันจะช่วยให้เห็นพระนิพพาน เห็นกระแสแห่งพระนิพพาน แล้วไปจบอยู่ที่ประตูของพระนิพพาน คำพูดเรียกพระโสดาบันอีกคำหนึ่งว่า อมตทวารา อ จะนะ ยืนจรดอยู่ที่ประตูของพระนิพพาน แต่ยังไม่ได้ก้าวเข้าไป ยังไม่ได้เปิดประตูเข้าไป นี่เป็นพระโสดาบันยืนจรดอยู่ที่ธรณีประตูของพระนิพพาน ด้วยความรู้ ความเห็น ความแจ่มแจ้งในเรื่องปฏิจจสมุปบาทว่า ความทุกข์เกิดอย่างไร ความทุกข์ดับอย่างไร มันเป็นการรับประกันอย่างยิ่งเลยว่าได้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน ด้วยความรู้ของสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
แต่ในที่บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสธรรมอย่างอื่น โสตาปัตติยังคะ ก็มีเหมือนกัน เป็นความรู้ถูกต้องในเรื่อง อริยมรรค มีองค์ ๘ ก็เป็นองค์แห่งการบรรลุกระแสแห่งพระนิพพานเหมือนกัน แต่ที่ทรงเน้นมาก สำคัญมากสำหรับผู้มีสติปัญญาสูงสุดแจ่มใส ท่านก็เน้นที่การเห็นปฏิจจสมุปบาทว่าเป็นโสตาปัตติยังคะสังยุต คำนี้แปลกหูหน่อย เป็นคำใหม่ช่วยกันจำให้ดีๆ อย่าเอาไปเรียกให้ผิดๆ ถูกๆ โสตาปัตติยังคะ องค์แห่งการบรรลุโสดาบัน ดูกันต่อไปอีกบ้างก็ได้ เวลายังมี เวลาเหลืออยู่บ้าง ก็ดูกันต่อไป
ปฏิจจสมุปบาท ที่เราจะต้องเห็นหรือใช้ ควบคุมให้มีการใช้ในชีวิตประจำวัน ต้องมีสติอันถูกต้องมากมายเพียงพอรวดเร็วในการที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็จะควบคุมไว้ได้ ไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าอัตตา ความรู้สึกว่าอัตตาจะไม่เกิดขึ้นที่ไหน ในเวลาใด ในสิ่งใด เพราะการเห็นปฏิจจสมุปบาท ก็ไม่เกิดความโง่ว่าตาเห็นรูปก็กูเห็นรูป กูได้ยินเสียงก็กูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นก็กูได้กลิ่น เอามาเป็นของกูเสียหมด ถ้ามีปฏิจจสมุปบาท ความโง่เหล่านี้ไม่เกิด ตาเห็นรูปก็ตาเห็นรูป มีระบบประสาทที่ตามันเห็นรูป เห็นรูปเท่านั้นก็พอแล้วที่ตาเห็นทำหน้าที่ของมัน ไม่เกิดตัวกูที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ เรามันก็จะไม่โง่ ไปเอารูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ว่าเป็นของกู ตัวกูก็ไม่เกิด ของกูก็ไม่เกิดในชีวิตประจำวัน นี่มันสบายดีสักเท่าไหร่ ท่านทั้งหลายก็คิดดูเอาเอง ไม่เกิดความโง่ อัตตา ก็ไม่มีวัฏฏะไม่มีวัฏฏะ วัฏสงสารนั่นแหละ วัฏสงสารของคนที่ไม่รู้ว่า วัฏสงสารของลูกเด็กๆ ลัทธิอื่นก่อนพุทธกาล วัฏสงสารเขาเรียกว่าตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย เกิดจากท้องแม่แล้วเข้าโลง แล้วเกิดจากท้องแม่แล้วเข้าโลง นี่เรียกว่าวัฏสงสาร วัฏสงสารอย่างนี้ เขาพูดกันอยู่ก่อนพุทธเจ้าของคนสมัยโน้น รู้เพียงเท่านั้น วัฏสงสารอย่างเลวร้ายที่สุด คือ วัฏสงสารในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง เกิดกิเลส เกิดโง่ มันก็ทำกรรมไปตามความโง่ ก็ได้รับผลกรรมตามการกระทำ แล้วกิเลสก็ไม่หมดไป มันก็ทำกรรมอีก คอยวนเวียนอยู่ระหว่างกิเลส กรรม รับผลกรรม รับกิเลสอีก ทำกรรมอีกรับผลกรรมอีก วนเวียนอยู่ระหว่างกิเลสกรรมวิบากกรรมมากมายมหาศาล ในวันหนึ่งๆ ไม่รู้กี่วัฏฏะ ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทจะ เห็นวัฏฏะที่แท้จริง ที่ร้ายกาจจริง แล้วจะหยุดวัฏฏะนี้เสียได้ด้วยการควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ วัฏสงสารก็ไม่เกิด สรุปความว่ามันทำให้รู้จักวัฏสงสาร แล้วก็ควบคุมวัฏสงสารไว้ได้ ไม่ให้เกิด ก็สบายดี เพราะไม่มีวัฏฏะ ไม่มีวัฏสงสาร ทำให้ไม่โง่ไปหลงไสยศาสตร์ ถ้ารู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่มีวันโง่ไปหลงใหลไสยศาสตร์
ไสย คำนี้มันเล่นตลก ไสยแปลว่าหลับ ไสยศาสตร์ แปลว่าความรู้ของคนหลับ พุทธศาสตร์ พุทธะ แปลว่า ตื่น พุทธศาสตร์ ก็แปลว่า ความรู้ของคนตื่น เราจะปลอดภัยจากไสยศาสตร์ คือความรู้ของคนหลับ มาเป็นความรู้ของคนตื่น คนหลับก็ไม่รู้ ไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้อะไร มันก็มีความคิดที่จะให้ผู้อื่นช่วย ไม่มีความรู้เรื่องกรรม เรื่องอะไรที่จะช่วยตัวเอง สิ่งอื่นที่จะมาช่วยก็ไม่รู้ว่าอะไร ก็เดาเอาเอง ก็เกิดความคิดผีสาง เทวดา พระเจ้ามาให้ผู้อื่นช่วย ให้ผู้อื่นช่วยแล้วกัน เรียกว่า ไสยศาสตร์ มีรากฐานอยู่บนความกลัวที่โง่เขลาที่สุด ความกลัวที่โง่เขลาที่สุดเป็นเหตุให้เกิดไสยศาสตร์ และไปยึดมั่นในไสยศาสตร์ ถ้าเป็นความกลัวที่ประกอบอยู่ด้วยพุทธศาสตร์ ความกลัวที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา คือ กลัวไม่โง่ มันจะวิ่งไปหาพุทธศาสตร์
การเรียนรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท จะทำให้พ้นจากอำนาจครอบงำของไสยศาสตร์ ไม่มีไสยศาสตร์ เรามีพระพุทธเจ้า พระองค์จริงอย่างที่ว่ามาแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ เห็นปฏิจจสมุปบาทเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอย่างนี้ จะไปหลงไสยศาสตร์อย่างไรได้ ทีนี้เอาไปทำเป็นไสยศาสตร์เสียหมด เอาพระพุทธเจ้าไปทำเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เชิญมาได้ เชิญกลับได้ เอาพระธาตุมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อ้อนวอนได้ เอาพระพุทธรูปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อ้อนวอนได้ มันถลำเข้าไปในไสยศาสตร์ ไกลจากกระแสแห่งความรู้แจ้งของปฏิจจสมุปบาท พอรู้แจ้งปฏิจจสมุปบาท สิ่งเหล่านี้หายไป มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง มีธรระพระองค์จริง มีพระสงฆ์ พระองค์จริง แล้วก็ดับทุกข์ได้จริง ดับทุกข์ได้จริง พ้นจากอำนาจของไสยศาสตร์ แต่มันจะทำอย่างไรได้เล่า มันเกิดมาเป็นลูกเด็กๆ จากท้องแม่ ไม่มีอะไร ความรู้อะไรสักนิดก็ไม่ได้ติดมาจากในท้องแม่ มันมาโง่ มันก็มาโง่ เข้าไปในเหตุของไสยศาสตร์ วิ่งหนีตามโจรไป ความโง่คือโจร วิ่งหนีตามความโง่ไป กว่าจะรู้สึกตัว ตัดโจรทิ้ง กลับมาหาพ่อแม่ นั่นคือความรู้ที่ถูกต้อง
ปฏิจจสมุปบาท เป็นความรู้ที่ทำให้ไม่ต้องพลัดไปสู่ไสยศาสตร์ แต่ไม่รู้จะเอามาจากไหน ใครเคยสอนลูกเด็กๆ เรื่องจริงอย่างนี้บ้าง พ่อแม่รักลูกๆ ตามใจๆ มันโง่หนักขึ้นไปๆ กิเลสตัณหาเจริญมากขึ้นไป ก็ตายจากความรู้ที่ถูกต้อง พ่อแม่นั่นแหละทำให้ลูกวิ่งหนีตามโจรไป เพราะว่าบำรุงส่งเสริมแต่ความรู้เรื่องความต้องการของกิเลสตัณหา ควรจะสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท กับลูกเด็กๆ นี้ ให้มันรู้ไว้ ให้มันรู้ไว้ นับตั้งแต่ว่าพออร่อยขึ้นมาก็บอกว่าเช่นนี้เอง มันเป็นเช่นนี้เอง ความรู้สึกของระบบประสาททางลิ้น เช่นนี้เอง อย่างนี้เรียกว่าอร่อย ถ้ามันไม่อร่อย มันขม มันเผ็ดอย่างนี้เอง รู้ว่ามันเป็นเช่นนี้เองตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อย่าไปหลงเรื่องอร่อย อย่าไปหลงเรื่องไม่อร่อย ให้รู้ว่ามันเป็นเช่นนี้เอง อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ถ้าตาเห็นรูป ก็ให้ตาเห็นรูป อย่าให้กูเห็นรูป หูได้ยินเสียง ก็ว่าหูได้ยินเสียง อย่าว่า กูๆ ได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นหอมเหม็น จมูกก็ได้กลิ่น จมูกมีระบบประสาท มันรู้ของมันเอง ไม่ใช่กู ลิ้นได้รส ก็ลิ้นมันได้รส ไม่ใช่กู อย่าหลงในเรื่องอร่อย โผฎฐัพพะ ผิวหนังก็อย่างนั้น ผิวหนังมันรู้สึก ผิวหนังมันมีระบบประสาท มันก็รู้สึกได้ตามระบบของผิวหนัง ที่จิตนี้มันก็คิด รู้สึกได้เอง มันเป็น จิต ตามธรรมชาติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็น อายตนะ ตามธรรมชาติ อย่าเอามาเป็นกู ลองเทียบเคียงดูอีกครั้ง พอมันเป็นกู มันต่างกันกี่มากน้อย ตาเห็นรูปนั้นอย่างหนึ่ง พอกูเห็นรูป ต่างกันกี่มากน้อย มันต่างกันเหลือประมาณ มันเกิดปัญหาเหลือประมาณ มันเกิดความครอบงำจิตใจเหลือประมาณ ตาเห็นรูป กับกูเห็นรูป มันต่างกันอย่างที่เรียกว่ามากมายเหลือเกิน หูได้ยินเสียง ก็กูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ก็กูได้กลิ่น สอนลูกเด็กๆ อภิธรรมชั้นเลิศแก่ลูกเด็กๆ อย่างนี้ไปก่อนเถอะ อย่าไปหลงของที่เป็นคู่ คือ อร่อยไม่อร่อย ไพเราะหรือไม่ไพเราะ หอมหรือเหม็น ทุกๆ คู่ ให้เขารู้เถอะ จะเป็นโชคดีมหาศาลที่เด็กคนนี้ได้เกิดมาในตระกูลของพ่อแม่ที่สัตบุรุษ เป็นพระอริยเจ้า มันอาจได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบก็ได้
นี่เขาให้เราพูดเรื่อง ตัวเอง เพื่อตัวเองออกมาจากความเข้าใจผิดไปในไสยศาสตร์ ให้เข้าใจพุทธศาสนาเสียตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ลูกเด็กๆ พ่อแม่พาลูกเด็กๆ ไปที่ร้านขายของเล่น ของสวยงาม ของอร่อยอย่างดี ภัตตาคารอย่างดี ของเล่นดีอย่างดี แล้วก็บอกลูกว่า โอ้, ไอ้นี่ มึงดูมันมีไว้สำหรับทำให้เราเป็นคนโง่ มันมีไว้สำหรับทำให้เราโง่ จะดิ้นรนกระเสือกกระสนอยากจะได้ อยากจะมี พ่อแม่คนไหนทำอย่างนี้บ้าง พ่อแม่คนไหนพูดกับลูกอย่างนี้บ้าง มันมีแต่พาลูกไปภัตตาคารที่ชั้นเลิศ ชั้นดี ขายของเล่นชั้นที่แพงที่สุด แล้วบอกว่า มึงจะเอาอะไร กูจะซื้อให้ทั้งนั้นแหละ ใครโง่กว่าใคร พ่อแม่โง่ หรือลูกมันโง่ แล้วใครมันโง่กว่าใคร ใครสอนให้ใครโง่ สอนอภิธรรม สอนธรรมะสูงสุดให้แก่ลูกเสียตั้งแต่เล็กๆ เถอะ ในชีวิตประจำวันนี้มันจะเกิดอาการที่เรียกว่าตรงกันข้าม คือมันไม่ไหลไปในทางของอวิชชา แล้วมันก็ไหลกลับมาทางของวิชชา
มันมีใจความสำคัญของไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์ในข้อที่ว่า ถ้าเป็นไสยศาสตร์มันพึ่งสิ่งอื่น มันพึ่งผู้อื่น ถ้าเป็นพุทธศาสตร์มันพึ่งตัวเอง พึ่งธรรมะ พุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมทีปา ธรรมสรณา อนัญญทีปา อนัญญสรณา จงมีธรรมะเป็นประทีป มีธรรมะเป็นสรณะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นประทีป เป็นสรณะเลย ท่านตรัสโดยภาษาสากลอีกทีหนึ่งว่า อัตทีปา อัตสรณา อนัญญทีปา อนัญญสรณา จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นประทีป เป็นที่พึ่งเลย นี่ก็เพียงแต่ว่าอย่าไปหวังพึ่งคนอื่นให้ช่วยตัวเอง ให้ช่วยตัวเอง แกมีตัวเองอย่างไร ก็ตัวเองนั่นแหละช่วย แม้ตัวเองที่ไม่จริง ตัวเองที่โง่ ก็ขอให้ตัวเองที่มันโง่ช่วยตัวเอง อย่าไปหวังพึ่งอะไรเลย มันเป็นพุทธศาสตร์ หวังพึ่งตัวเอง นั่นคือพึ่งธรรมะ ทำให้ตัวเองมีธรรมะ แล้วธรรมะก็จะเป็นที่พึ่งแก่ตัวเอง อย่างนี้เรียกตัวเองพึ่งตัวเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องอัตตาอะไรหรอก สอนแต่ว่าถ้ามีอะไรเป็นอัตตา ก็เอาอันนั้นแหละ เป็นการแก้ปัญหา ถ้าหนามมันยอกก็เอาหนามนั่นแหละบ่ง หนามยอกเอาหนามบ่งนี้บางคนจะเข้าใจผิดเป็นว่ามันก็เจ็บมากไปกว่าก่อน หนามยอกเอาหนามบ่งนี้ มันถอนเอาหนามเดิมออกด้วยหนามใหม่ ที่ชายทะเลมีต้นไม้ชนิดหนึ่ง หนามยาวเท่านิ้วฟุตนิ้วครึ่ง ตำเข้าไปแล้วเอาออกยาก พอหนามนี้ตำติดอยู่ในเนื้อ ก็ไปตัดหนามมาใหม่สองหนาม มาแทงเข้าสองข้าง สองข้างของหนามที่ฝังอยู่ในเนื้อ แล้วก็งัดพร้อมๆ กัน เป็นฟังก์คัมอย่างนี้ หนามสองอันนี้จะช่วยงัดเอาหนามที่ฝังอยู่ในเนื้อขึ้นมา หนามยอกเอาหนามบ่ง รู้จักทำอย่างนี้ ตัวเอง อัตตาตัวเอง มันสร้างความทุกข์ขึ้นมา ก็เอาอัตตาที่เป็นตัวเองที่มันโง่นั่นแหละเป็นหนามที่จะถอนหนาม หนามยอกเอาหนามบ่งนี้เป็นความรู้ของปฏิจจสมุปบาทอย่างยิ่งอย่างสูงสุดเลย
ขอให้เอาความทุกข์มาเป็นปัจจัย เป็นต้นเหตุในความรู้ที่จะดับทุกข์ อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า พอมีทุกข์ก็เกิดศรัทธาในสิ่งที่ตรงกันข้ามที่จะดับทุกข์ได้ แล้วก็ไปหาสิ่งนั้น ได้มาก็ดับทุกข์ได้ ก็มีอาการเหมือนหนามยอกเอาหนามนั่นแหละบ่งหนาม ถอนหนามขึ้นมา ประโยชน์อานิสงส์ของสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ก็จะสามารถพึ่งตนเอง คือพึ่งธรรมะ พึ่งธรรมะคือพึ่งตนเอง ซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนา ถ้าไปพึ่งสิ่งอื่นจะเป็นผีสาง เทวดา พระเจ้า อะไรก็ตาม ถ้าเป็นนอกไปจากตนแล้ว มันก็ไม่ใช่พุทธศาสนา พุทธศาสนาจะพึ่งตนเอง ถ้าจะมีพระเจ้าก็มีความรู้ของตนเอง ปฏิจจสมุปบาทจะเป็นพระเจ้าที่จะช่วยได้ ไม่ใช่พระเจ้าองค์อื่น พระเจ้าที่นอกออกไปไม่เอา เราจะเอาพระเจ้าคือความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท คือกฎเกณฑ์อันเฉียบขาดของปฏิจจสมุปบาท มาเป็นพระเจ้า แล้วก็ถอนความทุกข์ แล้วก็ดับความทุกข์ออกมาเสียให้ได้ มีปฏิจจสมุปบาทเป็นพระเจ้าประจำอยู่ในตน คุ้มครองหมดเลย ความทุกข์เกิดไม่ได้ ดับทุกข์ได้เพราะความทุกข์เกิดไม่ได้ คำพูดนี้ก็ควรจะสนใจ เรามักจะพูดกันแต่ว่าดับทุกข์ ดับทุกข์ แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ใช้คำนี้ เป็นภาษาชาวบ้าน มันต้องพูดสำหรับชาวบ้าน ก็ต้องพูดภาษาชาวบ้าน แม้ฟังดูก็ขัดความจริง ดับทุกข์นี้ไม่สนุก ป้องกันอย่าให้ทุกข์เกิดนั่นคือดับทุกข์ ดับทุกข์นั่นคือป้องกันไม่ให้ทุกข์เกิด ทำไม่ให้ทุกข์เกิดนั่นแหละคือดับทุกข์ อย่าให้ทุกข์เกิดแล้วรบราฆ่าฟันกับความทุกข์ เอาไม้สั้นไปรันขี้หน้ามันเลอะ ป่วยการ อย่าให้ทุกข์เกิดนั่นแหละคือดับทุกข์ มีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้วความทุกข์มันเกิดไม่ได้ เราจะไม่ต้องต่อสู้กับความทุกข์ให้ยุ่งยากลำบาก เรามีความเฉลียวฉลาดมากพอที่จะไม่ให้ความทุกข์เกิด ความทุกข์ไม่เกิดนั่นแหละคือดับทุกข์ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์คือทำให้ความทุกข์มันเกิดไม่ได้โดยประการทั้งปวง ถ้ามีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้วมันจะทำอย่างนี้ได้ มันจะทำอย่างนี้ได้ ขอให้เข้าใจไว้
ทั้งหมดนี้ตามที่กล่าวมา เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทประยุกต์ เอามาใช้ มา apply เป็นสิ่งที่ใช้ได้ เป็น applicable ประยุกต์ได้ และความเป็นอย่างนั้นมันก็มีอยู่ ประยุกต์ได้ ความประยุกต์ได้ applicability มันมีอยู่ ขอให้เอามาใช้ให้ได้ ใช้ให้ได้ จงทุกๆ คน อาตมาบรรยายเรื่องความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องแรก ให้รู้ว่าเป็นอย่างไร เป็นอย่างไร แล้วก็ประยุกต์มันให้ได้ ทีนี้ต่อไปก็อยากพูดเรื่องเครื่องมือสำหรับประยุกต์ คือ อานาปานสติ วันหลังเราก็จะพูดกันถึงเรื่อง อานาปานสติ ในวันนี้ก็พูดถึงประยุกต์ปฏิจจสมุปบาทกันอย่างไร มีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยประจักษ์ แล้วก็มีความรู้โดยประยุกต์ คือใช้มันให้ได้ เป็นสิ่งที่จะต้องเรียกว่าของขวัญอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ให้ ใครมีสติปัญญาก็รับได้ ใครไม่มีสติปัญญาก็เหลว สร้างสติปัญญาในเรื่องนี้ขึ้นไว้มากๆ ก็จะเอาของขวัญนี้ มาใช้ให้เป็นประโยชน์และดับทุกข์ได้ เรามีความจำเป็นที่ต้องรู้โดยประจักษ์ และมีความจำเป็นที่จะต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้คือมาประยุกต์ปฏิจจสมุปบาท
วันก่อนก็พูดแล้ว ปฏิจจสมุปบาทโดยประจักษ์ ประยุกต์ก็พูดกันในวันนี้ ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายเมื่อรู้จักปฏิจจสมุปบาทดีแล้ว ก็จะประยุกต์ ประยุกต์ยังขาดเครื่องมือสำหรับประยุกต์ เราก็สร้างเครื่องมือขึ้นมา สิ่งนั้นคือความรู้เรื่องอานาปานสติ ซึ่งจะได้ค่อยพูดกันต่อไป ฝึกฝนกันต่อไป จนมีอาวุธอันแสนจะวิเศษนี้กำจัดความทุกข์ออกไปโดยสิ้นเชิง
การบรรยายในวันนี้สมควรแก่เวลา ขอแสดงความหวังว่าจงทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาท ให้ถูกต้องเพียงพอ ละเอียดลออ ทุกแง่ทุกมุม แล้วไปหาเครื่องมือสำหรับปฏิบัติให้ได้ตามนั้น ขอยุติการบรรยาย ขอขอบคุณท่านทั้งหลายในการเป็นผู้ฟังที่ดี ขอแสดงความหวังว่าจะมีความก้าวหน้าไปตามทางแห่งพระธรรมตามลำดับๆ อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย