แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ท่านครูบาอาจารย์ ผู้มีอาการแห่งน้ำชาล้นถ้วย แห่งกระเชอก้นรั่ว และอาการแห่งแม่ปูที่เดินตรงๆให้ลูกดูไม่ได้ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปใช้ประกอบในกิจหน้าที่การงาน และการดำเนินชีวิต ให้เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด สำคัญที่สุดสำหรับชีวิต ซึ่งธรรมชาติมอบให้มาสำหรับการพัฒนาเอาเอง ธรรมชาติให้ชีวิตมาอย่างวัตถุดิบ ท่านต้องมาพัฒนาให้มันเป็นวัตถุที่มีประโยชน์ เมื่อท่านแสวงหาวิธีพัฒนาอย่างนี้ ก็เป็นที่น่ายินดี และขออนุโทนา
การที่เราเลือกเวลาพูดกันอย่างนี้ ก็เพราะเหตุผลบางอย่าง เวลาตื่นนอนใหม่ๆอย่างนี้ จิตเหมาะสมกว่าเวลาอย่างอื่น คือมันยังว่างอยู่ หรือว่าน้ำชามันยังไม่ล้นถ้วยก็ได้ แต่เราควรจะมองกันให้ลึกไปกว่านั้น คือเป็นเวลาที่ธรรมชาติกำหนดไว้ สำหรับเป็นการเบิกบาน ใครๆก็เห็นได้ว่าดอกไม้โดยมาก ส่วนมากมันเบิกบานในเวลาที่จะรุ่งอรุณ เป็นเวลาที่เบิกบานของสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ เวลาก่อนอรุณ พร้อมที่จะตรัสรู้แล้วก็เลยตรัสรู้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ คือเวลาอย่างนี้ ไม่ใช่เวลาที่แสวงหาความสุขจากการนอน แต่ควรจะถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม
ทีนี้ส่วนตัวอาตมาต้องขออภัย เป็นเรื่องส่วนตัว คือเวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่พอจะมีเรี่ยวแรงสำหรับบรรยายได้บ้าง เวลาตื่นมันอ่อนเพลียมาก เดี๋ยวนี้อาตมาอยู่ในลักษณะที่อ่อนเพลีย หรือจะเรียกให้ถูกว่า ไม่มีแรง ไม่รู้สึกอ่อนเพลีย แต่ว่าไม่มีแรง ไม่มีแรงแม้จะห่มจีวรผืนใหญ่ มีการพูดกันแต่ในเวลาที่มีเรี่ยวแรงบ้าง คืออาการที่ใช้เวลาอย่างนี้ ใช้เป็นประโยชน์ที่สุด แม้ว่าท่านทั้งหลายจะต้องเดินมาจากสวนโมกข์นอก มาสู่สวนโมกข์นี้ นี่ก็เป็นเวลาเรียน อย่าเข้าใจว่าเป็นเวลาเดินมาโรงเรียน หรือเป็นเวลาเดินกลับบ้าน มันเป็นเวลาเรียนตลอดเวลาที่เดินมา เขาเดินเพื่อมอร์นิ่งวอล์ค (morning walk) ก็ตามใจเขา แต่ว่าเรากำลังเข้าโรงเรียนในการที่เดินมา ก็ต้องเดินมาโดยลักษณะของผู้ปฏิบัติธรรมะ คือมีสติ มันเป็นโอกาสแห่งการฝึกสติตลอดเวลาที่เดินมา กี่ก้าว ๆ ๆ ก็สุดแท้ มันเป็นเวลาเข้าโรงเรียน ในความหมายหนึ่ง ในอิริยาบถหนึ่ง มานั่งกันที่นี่ก็เป็นเวลาที่ว่า เข้าโรงเรียน ๆ ชีวิตเป็นโรงเรียนตลอดเวลา เอากันอย่างนั้นดีกว่า ถ้าใครสามารถใช้ชีวิตให้เป็นโรงเรียนตลอดเวลา จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากธรรมชาติ ขอแสดงความเข้มแข็งกันเถอะในส่วนนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องยุ่งยากลำบาก หรือไปโรงเรียน มาโรงเรียนไม่มี ชีวิตทุกวินาทีเป็นโรงเรียน ทุกกระเบียดนิ้วเป็นโรงเรียน ทีนี้ขอให้ทำให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้
ทีนี้อยากจะทำความเข้าใจเกียวกับอุปสรรคคาราคาซังไม่มีที่สิ้นสุด ที่มันปิดบัง หรือกีดกันความก้าวหน้าของพุทธบริษัท โดยเฉพาะที่เป็นครูบาอาจารย์ คืออาการที่น้ำชามันล้นถ้วย เติมอะไรไม่ลง และอาการทีว่ากระเชอก้นรั่ว ใส่อะไรลงไปมันก็รั่วเสียหมด คืออาการที่มันไม่แสดงให้ผู้อื่นดูได้โดยแท้จริง เหมือนอาการของแม่ปูที่เดินตรงๆให้ลูกดูไม่ได้ เอากันเพียงสามอย่างนี้ เป็นปัญหาแรกที่อาตมาเห็นว่าควรจัดการ ถ้าปํญหาเหล่านี้ไม่หมดไปในปัจจุบันนี้ ความก้าวหน้าของพุทธบริษัทในการบรรลุธรรมะอันสูงขึ้นไป จักไม่มี ถ้ามันมีอาการของน้ำชาล้นถ้วยขัดขวางเสีย มีอาการกระเชอก้นรั่วขัดขวางเสีย มีอาการทำให้ดูกันจริงๆไม่ได้นี่มันขัดขวางเสีย
เอาหละ ขอให้ทำความเข้าใจว่าท อาตมาไม่ได้พูดเจาะจงลงไปว่า ใครมีอาการกันอย่างนี้ แต่ว่าพูดสำหรับผู้มีอาการอย่างนี้ ซึ่งอาจจะมีที่นี่ หรือจะมีทั่วโลกที่อื่นก็ได้ ในโลกของพุทธบริษัททั้งหมดมันยังมีอาการอย่างนี้อยู่ ความก้าวหน้าในทางธรรมมันจึงไม่มี มันค่อยมาจัดการปัญหาที่คาราคาซังกันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ให้มันหมดไป แล้วเราก็จะประสบผลที่ประสงค์มุ่งหมายกัน ในฐานะเป็นพุทธบริษัทก็ดี ในฐานะเป็นครูบาอาจารย์ก็ดี
ท่านทั้งหลายอาจจะฉงนว่า ทำไมข้างบนเติมไม่ลง แต่ข้างล่างมันรั่วได้ ข้างบนมีอาการน้ำชาล้นถ้วย เติมอะไรไม่ลง แต่ข้างล่างมันก็มีอาการก้นรั่ว รั่วออกไปได้ นี้มันเป็นสิ่งที่มีเงื่อนงำ แล้วข้างบนมันเติมอะไรลงไปไม่ได้ เฉพาะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ได้โดยแท้จริง สิ่งเก่าๆมันเกรอะกรัง มันอัดอยู่ มันเติมสิ่งใหม่ที่จำเป็น หรือมีประโยชน์ลงไปไม่ได้ นี่เรียกว่าส่วนข้างบน
ส่วนข้างล่าง มันเก็บไว้แต่ส่วนที่เป็นกาก ส่วนที่จะเป็นเนื้อหาสาระโดยแท้จริง มันกลับรั่วลงไปเสียหมด รั่วลงไปเสียหมดเก็บกักไว้แต่ที่เป็นกาก แล้วข้างบนก็มีอะไรกั้นไว้ เติมของจำเป็นลงไปไม่ได้ ข้างล่างมันก็รั่ว เก็บของจำเป็นไว้ไม่ได้ นี่มันจึงมีได้พร้อมกันอย่างที่น่าหัวที่สุด ข้างบนเติมลงไม่ได้ แต่ข้างล่างมันก็รั่วเรื่อยอย่างนี้ นี่ปัญหาคาราคาซังที่แท้จริง ที่กำลังมีอยู่ในพวกเรา
อาการที่ว่าแม่ปูเดินตรงๆให้ลูกดูไม่ได้ นี่ก็ดูเอาเองเถอะว่า การปฏิบัติธรรมะนั่น มันยังไม่สำเร็จประโยชน์ คือมันปฏิบัติธรรมะให้สุจริตไม่ได้ มันยังมีการปฏิบัติธรรมะ เพื่อแสวงหาประโยชน์อยู่เสมอไป แล้วบางทีก็ต่ำมาก จนถึงกับแสวงหาประโยชน์ทางวัตถุด้วยซ้ำไป ทางวัตถุ ทางเนื้อหนังในโลกนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ มรรคผล นิพพานเลย นี่มันไม่มีผู้ที่จะสามารถแสดงให้ดูโดยเด็ดขาดถึงที่สุดว่า มันต้องทำกันอย่างนี้ มันต้องทำกันอย่างนี้ เพราะว่าจิตใจมันไปเป็นทาส ทาสของประโยชน์ ไปบูชาประโยชน์ มันก็แสดงอาการเดินตรงๆให้ลูกปูดูไม่ได้ ขอให้คิดเถอะว่ามันมีกันอยู่ที่ตรงไหน นี่แหละมันเป็นปัญหาที่มันมีอยู่ ความก้าวหน้าในทางธรรมะมันมีไม่ได้
ขอโอกาสให้เราพูดกันในวันแรกวันนี้ถึงปัญหาเหล่านี้ คือปัญหาที่สะกัดกั้นความก้าวหน้าของพุทธบริษัทเราโดยทั่วไป อาตมาไม่ได้ระบุว่าท่านเป็นผู้น้ำชาล้นถ้วย แต่ได้พูดไปในฐานะที่ว่ามันอาจจะมีอยู่ที่ไหน มันอาจจะมีอยู่ในโลกพุทธบริษัทเราทั่วไปทั้งโลกบริษัททุกประเทศก็ได้ มีอาการอย่างนี้ ไปดูเอาเองเถอะ เพราะฉะนั้นเราจะถือโอกาสพิจารณากันเป็นเรื่องๆไปตามลำดับ
ข้อแรก ที่ว่าน้ำชามันล้นถ้วย มันเป็นความรู้ท่องจำ แล้วก็เข้าใจว่าถึงที่สุดแล้ว เติมอะไรลงไปไม่ได้อีก จะขอระบุไปยังความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่องจำกันมาตั้งแต่แรกเรียน แล้วมันก็ตายด้านอยู่ด้วยการท่องจำ ความรู้ของการท่องจำ ความหมายของการท่องจำ มันไม่มีผลเลย คือออกไปเลยออกไปจนถึงที่สุดแห่งธรรมฐิติญาณทั้งหลายเหล่านี้ คือมันไม่อาจจะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด คือมันอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนกแก้วนกขุนทองอยู่ที่นี่ งั้นขอให้เติมส่วนที่ยังขาดอยู่ ที่มันยังเป็นยอดสูงขึ้นไป และลงไปให้ได้ เมื่อเห็นอนิจจัง มันก็เห็นทุกขัง คือการที่ต้องผูกพันตัวอยู่กับสิ่งที่เป็นอนิจจัง การผูกพันตนอยู่กับสิ่งที่เป็นอนิจจังน่ะมันลำบาก มันเป็นทุกข์ นี่การที่มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อย่างที่บังคับไม่ได้นั่นแหละ คือความไม่เป็นตัวตนของตนเอง คือเป็นอนัตตา
อยากจะขอให้เห็นเรื่อยไปว่าเห็นอนัตตา แล้วต้องเห็นให้ลึกลงไปถึงข้อที่ว่า ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง เป็นอย่างนี้เอง ที่เรียกว่า “ธัมมัฏฐิตัตตา” การตั้งอยู่โดยธรรมดา ตามธรรมดามันเป็นอย่างนี้เอง คือมันต้องตั้งอยู่ในลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเห็นความเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติแล้ว มันเห็นชัดว่า โอ้ มันมีกฏของธรรมชาติบังคับอยู่ให้เป็นอย่างนี้ นี่เรียกว่า “ธัมมนิยามตา” ธัมมนิยามตา ความเป็นไปตามบทนิยามของธรรมชาติ คือกฏของธรรมชาติ นี่มันจะต้องเห็นชัดออกไป
ทีนี้ถ้าเห็นอย่างนี้ชัดอย่างนี้แล้ว ก็เอ้ามันมีแต่กระแสแห่ง “อิทัปปัจจยตา” อาศัยการเกิดขึ้น ๆ ๆ เป็นไปไม่มีที่สิ้นสุด แม้ดับลงก็อาศัยการดับลง ๆ ๆ เห็นอาการที่มันอาศัยกันแล้วเกิดขึ้นแล้วดับลงอย่างนี้ เรียกว่าเห็น “อิทัปปัจจยตา” บางทีอาจจะเป็นคำแปลกหู สำหรับคนบางคนก็ได้ ไม่รู้ว่าอิทัปปัจจยตา นี่คืออะไร จะต้องเห็นต่อจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเห็น “ธัมมัฏฐิตัตตา” มันตั้งอยู่ตามธรรมชาติอย่างนี้เอง “ธัมมนิยามตา” มันมีกฏของธรรมชาติบังคับอยู่ คืออิทัปปัจจยตา คือ อาการอย่างนี้เรียกว่า “อิทัปปัจจยตา” คือความที่มีปัจจัยเป็นเครื่องผลักไส ให้เป็นไปในทางที่จะเกิดขึ้นก็ดี ในทางที่จะดับลงก็ดี นี่เรียกว่าเห็น อิทัปปัจจยตา เห็นอิทัปปัจจยตา จริงๆแล้ว มันก็เห็นว่า “โอ้ มันว่าง” ว่างจากสิ่งที่เรียกว่า อัตตา หรือตัวตน ที่เรียกว่า “สุญญตา”
“สุญญตา” แปลว่า ว่าง ว่างจากสิ่งที่เป็นตัวตน สุญญตา สุญญะ นี่แปลว่าว่างนะ ว่างจากสิ่งที่มีสาระเป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน สาระที่ควรถือเอาว่าเป็นตัวตนนั่นมันไม่มี แต่ในประเทศเรานะ แม้ในกรุงเทพฯ นั่นแหละ ระบุลงว่าในกรุงเทพฯ ยังมีคนแปลคำนี้ผิดๆ แปลสุญญตา ว่าสูญเปล่า สูญเปล่านี่ ไม่มีความหมายเช่นนั้น ไม่ได้ตรงกับความหมายของคำว่าสุญญตา สุญญ มันแปลว่า ว่าง ว่างจากตัวตน ไม่ใช่สูญเปล่า มันมีค่า มันมีลักษณะ มันมีอำนาจ มันมีอิทธิพลไปตามแบบของมัน แล้วไม่ได้สูญเปล่าหรอก แต่ว่าทั้งหมดนั้นมันว่าง ว่างจากตัวตน
เมื่อมันเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้อย่างที่ว่ามาแล้วนี้ มันก็ว่า อ้อ มันเป็นอย่างนี้นี่ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันไม่เป็นอย่างอื่นนี่ นี่ก็เรียกว่าเห็น ตถาตา ๆ ตถาตา ความเป็นเช่นนั้น เห็นความเป็นเช่นนั้น เห็นความเป็นเช่นนั้นโดยเด็ดขาดแล้ว ในจิตมันก็ปล่อยวางเอง มันก็ไม่ยึดถืออะไร มันไม่ไปหลงยึดมั่นอะไร เกาะติดอยู่ที่อะไร หรือไปหลงใหลในอะไร เรียกว่า “ตถาตา” ความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้ใดมีตถาตา ผู้นั้นเป็นตถาคต ตถาคต จอมตถาคต คือพระพุทธเจ้าก็ดี ตถาคต คือ พระอรหันต์ทั่วไปก็ดี นี่เรียกว่าตถาคต ผู้เห็น หรือ ผู้ถึงซึ่ง ตถา ความเป็นอย่างนั้น นี่ธรรมฐิติญาณ ความตั้งอยู่ตามธรรมชาติธรรมดาของสิ่งธรรมชาติทั้งทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้ แล้วก็มาถึงขั้นสุดท้าย คือเป็น “อตัมมยตา”
อตัมมยตา อาการที่สิ่งใดๆปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป สิ่งใดๆปรุงแต่งมันไม่ได้อีกต่อไป มันคงที่แข็งโก๊ก อยู่ในธรรมชาติที่ถูกต้องนี้ เรียกว่า อตัมมยตา จิตมีความเป็นสิ่งที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป เรียกว่า อตัมมยตา น้ำชามันล้นถ้วย มันไม่มาถึงนี่ มันไม่มาถึงอตัมมยตา บางคนบอกว่าไม่เคยได้ยินคำนี้ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินคำนี้ ท้าให้คุณอ่านพระไตรปิฎกแปลไทยจนจบทั้งชุด คุณจะไม่พบคำ คำนี้ เพราะว่าเขาแปลเป็นภาษาไทยเสียแล้ว แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ มันแปลเป็นภาษาไทยเสียแล้ว ไม่มีคำว่า อตัมมยตาเหลืออยู่ เว้นไว้แต่จะรู้จักภาษาบาลี ไปอ่านภาษาบาลี จึงจะพบคำว่า อตัมมยตา อตัมมยตาในที่ทั่วไปหลายๆแห่ง ความที่ สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง หรือยึดไว่ไม่ได้ มันเลื่อนไป ๆ ๆ หาความถูกต้องถึงที่สุด นี่แหละเรียกว่า อตัมมยตา
อาตมาขอระบุตรงที่ว่า ความรู้มันไปตันเสียที่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นกแก้วนกขุนทอง ๆ ร้องอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่ก้าวไปถึงความหมายลึกซึ้งไปตามลำดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามอย่างนี้ มันเป็นนกแก้วนกขุนทองอุดรู มันเติมอะไรลงไปไม่ได้ แล้วไอ้สามอย่างที่สองมันก็มีไม่ได้ ธัมมัฏฐิตัตตา เป็นไปตามธรรมชาติอย่างนั้น ธัมมนิยามตา เพราะมีกฏธรรมชาติบังคับอยู่อย่างนั้น อิทัปปัจจยตา มีความเป็นไปตามปัจจัยอย่างนั้น สามอย่างนี้ก็มีไม่ได้ เมื่อสามอย่างนี้มีไม่ได้ มันก็ไม่มีทางที่จะเห็นสุญญตา- ความว่างจากตัวตน ตถาตา-ความเป็นเช่นนั้นเอง อตัมมยตา- ความที่อะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ สามอย่างอันสุดท้ายนี่มันไม่มี มีไม่ได้ เพราะมันเติมลงไปไม่ได้ มันเติมความรู้ลงไปไม่ได้ มันอุดตันเสีย เพียงแค่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นี่ยกตัวอย่างว่าทำไมมันไม่ก้าวหน้า เพราะน้ำชามันล้นถ้วยเสียด้วยการพูดหรือการท่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลายเป็นมนต์ไปเลย กลายเป็นบทมนต์สวดท่องไปเฉยๆก็มี ไม่ใช่วิปัสสนา ไม่ใช่ความเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ขอให้จัดการกับสิ่งเหล่านี้ ให้มันเติมลงไปได้เรื่อย เติมความรู้ที่เป็นธรรมะ ที่เป็นความจริงของธรรมชาติลงไปได้เรื่อยๆ อาการที่เรียกว่าน้ำชาล้นถ้วย มันก็ไม่มี มันเติมสิ่งที่มีสาระแก่นสารลงไปได้เรื่อยๆ มันก็มีการบรรลุธรรมะ มันเปลี่ยนจิตใจได้
ตรงนี้ขอบอกกล่าวเป็นการแถมพกแทรกแทรงว่า อย่าไปมัวโง่ ๆ ๆ พูดว่าไปนิพพาน ไปนิพพานอย่างที่พูดกันอยู่โดยมาก อะไรก็จะไปนิพพาน มันเป็นความไม่รู้ เป็นคำพูดของคนไม่รู้ ของคนน้ำชาล้นถ้วย จนฟู่ขึ้นมาข้างบน ไปนิพพาน นิพพานมันถึงไม่ได้ด้วยการไป มันไม่ต้องไป มันไม่ต้องไป ไปหานิพพานนั้นมันไม่ต้องไป เพียงแต่จิตมันเปลี่ยนอยู่ที่นี่ จิตมันเปลี่ยนเป็นจิตชนิดสุดท้ายที่เป็นอตัมมยตานี้แล้ว พระนิพพานก็มาถึงเอง พระนิพพานก็ครอบงำเอาเอง ไม่ต้องไป ไม่ต้องไปหานิพพาน จิตเปลี่ยน ๆ ๆไปตามลำดับของอนิจจตา ทุกขตา อนัตตัตตา ธัมมัฏฐิตัตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา มันจิตเปลี่ยนมาตามลำดับ ๆ อย่างนี้แล้วนิพพานถึงเองเพราะนิพพานรออยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง แต่อวิชชามันกั้นเอาไว้ แสงของนิพพานส่องถึงจิตไม่ได้
พอเอาเรื่องอวิชชาที่เป็นเรื่องกั้นจิตออกเสีย นิพพานก็ส่องถึงเอง และส่องอยู่ตลอดเวลา แต่มันเข้าไม่ถึง เพราะม่านของอวิชชามันบังไว้ เช่นเดียวกัน ว่าถ้าเราไม่เปิดหน้าต่าง แสงแดดก็เข้ามาไม่ได้ พอเปิดหน้าต่าง แสงแดดมันก็เข้ามาเองแหละ เราไม่ต้องไปหาแสงแดด นิพพานเป็นอย่างนี้ นิพพานไม่ต้องไป เราไม่ต้องไปนิพพาน เพียงแต่ว่าเราชำระสะสางจิตใจมันถูกต้องตามลักษณะอย่างนี้แล้ว มันก็ถึงนิพพาน โดยที่นิพพานมันส่องลงมาเอง ในเมื่อมันหมดเครื่องกั้น คืออวิชชา เป็นน้ำชามันล้นถ้วย มันมัวแต่บ่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันก็เลยไม่มีความ ไม่มีได้ผลตามที่ควรจะต้องการ จิตไม่ได้เปลี่ยนไปอยู่ในลักษณะที่จะสัมผัสพระนิพพานได้ มันก็มัวแต่ท่อง จะไป ฉันจะไป ๆ อีกกี่แสนชาติ กี่หมื่นชาติ ฉันก็จะถึงพระนิพพาน นี้มันก็เป็นเรื่องน้ำชาล้นถ้วย
เอาหละ ถ้าหากว่ายังยินดีที่จะใช้คำว่า หมื่นชาติ แสนชาติกันละก็ขอให้เข้าใจถูกต้องว่า หมื่นชาติแสนชาติกันที่ไหน หมื่นชาติแสนชาติกันที่นี่ ในชีวิตนี้ ในชีวิตเดียว ในชีวิตเดียวนี้ มันก็หมื่นชาติแสนชาติเสียแล้ว คือเกิดอุปาทาน ยึดถือว่าตัวกู ตัวกูครั้งหนึ่งก็คือชาติหนึ่งแหละ อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเข้าอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาครั้งหนึ่ง เกิดความรู้สึกเป็นตัวกู เป็นของกู ครั้งหนึ่งก็เรียกว่าชาติหนึ่งแล้ว ดังนั้นเพียงชั่วโมงเดียวนั้น มันเกิดตาย ๆ ไม่รู้สักกี่สิบชาติ กี่ร้อยชาติ เป็นเดือน เป็นปีนี่มันก็เป็นหมื่นชาติแสนชาติได้ในชีวิตนี้ ในชาตินี้ ไม่ต้องเข้าโลงไปไหนหรอก นี่ถ้านับชาติอย่างนี้ ก็มีหวังที่ว่าจะบรรลุนิพพานโดยปรับปรุงจิตใจหมดเครื่องปิดกั้น แล้วนิพพานก็ส่องแสงเข้ามาสู่จิตใจนี่เอง นิพพานไม่ต้องไป เพียงแต่ปรับปรุงจิตใจให้หมดจากเครื่องปิดกั้นคือ อวิชชา แล้วนิพพานก็ส่องลงที่ใจ จิตก็สัมผัสกับนิพพาน งั้นขอให้เลิกคำพูด ที่พูดกันจนติดปากว่า ไปนิพพาน ๆ ๆ ว่าให้คนโง่มันไป คนที่รู้พระนิพพานโดยแท้จริงไม่ต้องไป จัดการปรับปรุงจิตใจอยู่ที่นี่ แล้วนิพพานก็ส่องลงไปที่จิตเอง
มีรูปภาพอยู่รูปในตึก รูปภาพพระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ คุณทุกคน พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณทุกคน ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าที่วัด ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าที่อินเดีย แต่จงหาพระพุทธเจ้าที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเอง พบม่านนั้นแล้วฟันมันเสีย เผามันเสีย เลิกม่านนั้นออกไปเสีย พระพุทธเจ้าก็จะประทับอยู่ที่ตรงนั้น นี่แสดงว่าพระพุทธเจ้าน่ะ พร้อมที่จะถึง พร้อมที่จะมี แต่ว่ามันมีสิ่งที่บังไว้ไม่ให้มี ไม่ให้มี คืออวิชชา
อวิชชานี่มันเป็นเรื่องอย่างเดียวกันกับนิพพาน นิพพานพร้อมจะสัมผัสกับจิตใจ แต่มันมีอะไรมาบังไว้ มันสัมผัสกันไม่ได้ มันก็ต้องเข้าใจผิดว่ารออีกหมื่นชาติแสนชาติ กูจะไปถึงนิพพาน นี่ก็ความรู้ที่มันเป็นน้ำชาล้นถ้วย บางครั้งสาธุชนที่เป็นธรรมดาสามัญ เป็นชาวไร่ชาวนาก็ดี เป็นครูบาอาจารย์ก็ดี น้ำชามันล้นถ้วย มันใส่ลงไปไม่ลง มันใส่ลงไปไม่ลงเพราะมันมีสิ่งเหล่านี้ผลักดันให้ขึ้นมา ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่ถูกต้องน่ะมันไม่มี มันมีแต่ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ผิดพลาด ที่โง่เขลา เป็นน้ำชาล้นถ้วยบังเอาไว้ ดันขึ้นมาไว้ ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้องมันเติมลงไปไม่ได้
เรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้องนั่นน่ะ มันเป็นเรื่องสอนให้รู้ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตน มีอย่างหนึ่งมันเป็นเพียงกระแสแห่งธรรมที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทท มันมีแต่กระแสแห่งธรรมอย่างนี้แล้ว มันก็ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีเป็นคู่ ๆ ๆ มีแต่ว่าถ้าเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีทุกข์ นี่ปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ ที่มันมีอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบไหนมาก็ไม่รู้ บอกว่ามีตัวตนอยู่ที่ชาตินี้ส่วนหนึ่ง อยู่ที่ชาติแล้วมาส่วนหนึ่ง อยู่ที่ชาติหน้าอีกส่วนหนึ่ง กลายเป็นมีตัวตนวิ่งข้ามภพข้ามชาติ นี่ปฏิจจสมุปบาทอะไรก็ไม่รู้ มันมาสอนให้มีตัวตน แล้วมันยังมีสอนเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องบุญเรื่องบาปที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ มันไม่เคยเลิกเสีย กวาดทิ้งไปเสียให้หมด ทั้งเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องกุศล เรื่องอกุศล กวาดทิ้งไปให้หมด มันไม่มีปฏิจจสมุปบาทชนิดนั้น มันมีแต่ปฏิจจสมุปบาทชนิดที่มันเป็นตัวตนขึ้นมา เป็นคำอธิบายชั้นหลัง และรับไว้ได้ก็ได้ไว้สอนลูกเด็กๆ สอนในระดับที่มันยังมีตัวตน มันยังมีตัวตนเรียนปฏิจจสมุปบาทชนิดนี้ แต่ขออย่าให้ปฏิจจสมุปบาทชนิดนี้เป็นน้ำชาล้นถ้วยดันเอาไว้ เติมปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้องแท้จริงลงไปไม่ได้ มีอาการที่น้ำชามันล้นถ้วย
อีกอย่างหนึ่งมันก็มีสิ่งที่ฟังแล้วไพเราะเสนาะโสต ใหญ่โตมโหฬาร คือคำว่า อภิธรรม อภิธรรม มันจะเอาอภิธรรมมาเติมลงไปในสิ่งที่มันพอดีอยู่แล้วคือธรรม ธรรมเฉยๆ ธรรมวินัย ธรรมเฉยๆ วินัยเฉยๆ มันไม่ชอบ มันจะเอาอภิวินัยมาเติมลงไปในวินัย มันจะเอาอภิธรรม มาเติมลงไปในธรรม ข้อนี้เป็นเรื่องชั้นหลัง เป็นคำอธิบายชั้นหลัง ไกลไปกว่าครั้งพุทธกาล อภิวินัยก็คือ อธิบายวินัยอย่างละเอียดนอกขอบเขตที่คนธรรมดาควรรู้ อภิธรรม ก็คืออธิบายธรรมะเกินขอบเขตกว่าคนธรรมดาควรรู้ มันเรียกว่าอภิวินัย อภิธรรมอยู่แล้วครั้งพุทธกาลน่ะ แต่มันหมายเพียงเท่านี้ นี้ไม่ต้องรู้ นี่ไม่ต้องรู้เพราะมันเป็นส่วนเกิน ในสูตรที่เปรียบด้วยม้าน่ะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไอ้ความสีสวยของมัน สีสวยของม้านี่ นั่นแหละคืออภิวินัย และอภิธรรม อย่าเอามาเลย ไม่ต้องเอามาก็ได้ ขอให้ม้ารูปร่างดี มีอนามัยแข็งแรงมันวิ่งไปถึงได้ มันไม่ต้องมีสีสวยก็ได้ แต่ถ้าจะมีสีสวยกันละก็ขอให้มี อภิวินัย อภิธรรมนั่นน่ะ ทีนี้เราได้เอามหาอภิธรรมด้วยซ้ำ เอามาเติมลงไปใน ธรรมะที่มันพอดีอยู่แล้ว สำหรับจะไปสู่ความดับทุกข์ คือนิพพาน วินัยก็เหมือนกันแหละ เรียน ๆ เรียนกันอย่างเป็นอภิวินัย มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ มันได้แต่เรียนจนความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด นี่ก็เป็นน้ำชาล้นถ้วย มีมหาอภิธรรมรองรับอยู่ จนธรรมะธรรมดาเติมลงไปไม่ได้ นี่ขอให้เข้าใจกันว่า สภาพน้ำชาล้นถ้วยนี่มันยังมีอยู่อย่างนี้ ทีนี้จะให้ไกล้ตัวเข้ามาอีกก็บอกว่า มหาสติปัฏฐานสี่ อย่างที่กล่าวไว้ใน ฑีฆนิกายคัมภีร์ นิกายสูตรนี้สูตรเดียว จะต้องอ่านทั้งวัน ถ้าอ่านโดยแจกตัว ไม่ใช้วิธีลัด อ่านไปตามตัวทั้งหมดทั้งหกชั่วโมงขึ้นไป นี่เรียกว่ามหาสติปัฏฐานสี่ ยึดมั่นกันนักมาแต่โบราณ จำได้ก็วิเศษหละ บางคนอยากจะตายลงด้วยการจำนี้ให้ได้เท่านั้นก็พอ มีมหาสติปัฏฐานสี่ อัดอยู่จนน้ำชาล้นถ้วย เติมอานาปานสตินิดเดียวลงไปไม่ได้ อานาปนาสติ คือหัวใจของมหาสติปัฏฐานสี่ อานาปานสติสี่ ที่ท่านทั้งหลาย จะต้องศึกษาและฝึกฝนกันในคราวนี้ ในคราวที่มาปฏิบัตินี่มันเติมลงไปไม่ได้ เพราะมหาสติปัฏฐานสี่มันอัดอยู่ มันล้นถ้วย มันเติมลงไปไม่ได้ ไปด้วยสำนักต่างๆอ่ะ ติดมั่นยึดมั่นในมหาสติปัฏฐานสี่ ถอดออกมาเป็นรูปแบบกรรมฐานต่างๆนานา เป็นแบบพม่า เป็นแบบลังกา แบบอะไรก็ไม่รู้ ส่วนหัวใจแท้ๆคือ อานาปานสติสี่ นิดเดียวเติมลงไปไม่ได้
เรื่องอานาปานสติสี่ มันเป็นสูตรเล็กๆ อยู่ในคัมภีร์มัจฉิมนิกาย ส่วนมหาสติปัฏฐานสี่ มันสูตรยาว ๆ ยาวจนไม่น่าเชื่อว่า พระพุทธเจ้าจะนั่งตรัสทีเดียวจนหกชั่วโมงแปดชั่วโมงเช่นนั้น มีอยู่ในทีฆนิกาย นิกายที่พูดถึงสูตรใหญ่ๆ ยาว ๆ ๆ ยาวทั้งนั้นแหละนิกายนั้นน่ะ อาตมาไม่เชื่อว่าคำนี้ สูตรนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัส แต่ไม่กล้าพูด จะถูกด่า ถ้าพูดเองก็พูดได้ว่า ไม่เชื่อว่ามหาสติปัฏฐานสูตรนี่เป็นสูตรที่พระพุทธเจ้าได้ตรัส แต่เชื่อว่าเป็นสูตรที่เขียนอธิบายให้มากขึ้น ๆ รวบรวมหมวดขึ้นทีหลังต้องมาจัดไว้ในทีฆนิกายส่วนเดิมแท้อยู่ในมัจฉิมมณีนิกาย คือสูตรขนาดกลาง พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่า เมื่อตถาคตอยู่ด้วยอานาปานสติ เป็นวิหารธรรม ก็ได้แต่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอมอบหมายให้เธอทั้งหลาย นำไปปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาอันจะเกิดขึ้นในทางวินัยก็ดี ในทางธรรมะก็ดี
อานาปานสติโดยเนื้อแท้ โดยเนื้อแท้ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรปน มันเติมลงไปไม่ได้ในชีวิตนี้ เพราะน้ำชามันล้นถ้วย ล้นถ้วยด้วยมหาสติปัฏฐานสูตร ที่จริงถ้าเก็บเอาแต่หัวใจ มันก็ได้อย่างเดียวกันแหละ แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตร มันไม่ได้ใส่ไว้ครบ ใส่หัวใจของอานาปานสติไว้ไม่ครบ ใส่ไว้นิดเดียว วรรคเดียว ตอนกายานุปัสสนาเท่านั้นเอง
นี่เมื่อบูชายึดมั่น หมายมั่นในมหาสติปัฏฐานสูตรเด็มที่กันเสีย แล้วน้ำชามันก็ล้นถ้วย มันก็เติมอานาปานสติภาวนาลงไปไม่ได้ นี่คือความวิตกของอาตมาว่าจะไม่สำเร็จประโยชน์ ถ้าไม่ศึกษาเรื่องอานาปานสติให้เข้วใจถูกต้อง และปฏิบัติได้แล้ว มันจะไม่สำเร็จประโยชน์ มันจะมีแต่มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นน้ำชาล้นถ้วยอยู่เรื่อยไปนี่ นี่คืออาการแห่งน้ำชาล้นถ้วย
ทีนี้เรื่องที่ละเอียดๆ เรื่องเกี่ยวกับเรื่องปฏิจจสมุปบาท ขอให้ท่านศึกษาให้ดี ศึกษาปฏิจจสมุปบาทให้ดี ปฏิจจสมุปบาทนี่มันเพิกทิ้งไปหมดทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งบุญ ทั้งบาป ทั้งนรก ทั้งสวรรค์ ที่เป็นคู่ๆๆๆทั้งกุศลทั้งอกุศล ตัดทิ้งไปหมด ให้มันอยู่นอกเหนืออำนาจของสิ่งเป็นคู่ๆเหล่านี้ คือไม่มีความเป็นบวกที่ดึงดูดให้จิตใจไปหลง ไม่มีความเป็นลบที่จะทำให้จิตใจเคียดแค้น ไม่มีบวกไม่มีลบ ไม่มีอภิชชา ไม่มีโทมนัส ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ต้องการจะสอนเรื่องนี้ชัดๆ คือไม่ให้เป็นบวก ไม่ให้เป็นลบ เจอคนมันอัดไว้ซึ่งความรู้สึกที่เป็นบวกเป็นลบแน่นๆๆ จนเติมลงไปไม่ได้ สรุปสั้นๆว่ามันอัดไว้ด้วยความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบแน่นจนเติมความรู้เรื่องไม่บวกไม่ลบลงไปไม่ได้ นี่คือน้ำชามันล้นถ้วย น้ำชามันล้นถ้วย เมื่อใดจัดการเสียใหม่ ไม่หลงบวกไม่หลงลบ เอากวาดทิ้งไปเสียให้หมดนั่นแหละ ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท มันก็ช่วยไม่ให้เป็นบวกเป็นลบ ไม่มีปัญหาเรื่องกุศล เรื่องอกุศลกันต่อไป มีปัญหาแต่อยู่เหนือกิเลส เหนือการปรุงแต่ง เหนือกุศล เหนืออกุศล ซึ่งเป็นการปรุงแต่ง มันก็มีนิพพาน นี่ความเป็นบวกเป็นลบ มันอัดอยู่ในจิตใจของทุกคน เป็นน้ำชาล้นถ้วย เติมความรู้ที่ไม่ใช่บวกไม่ใช่ลบลงไปไม่ได้
นี่รู้ไว้เถอะว่าความที่เติมลงไปไม่ได้มันมีอยู่อย่างนี้ ฟังไม่รู้เรื่อง เรื่องไม่บวกไม่ลบ แล้วก็ไม่ยอมฟัง เรื่องเหนือบวกเหนือลบ เพราะว่าจิตใจมันบ้าบวก มันหลงลบ ทั้งโลก ๆ แหละ ทั้งจักรวานในโลกนี้ มันบ้าบวกหลงบวก แล้วโลกมันเจริญทางวัตถุ ก็เพราะมันบ้าบวก ๆ เดี๋ยวนี้มันสร้างอุตสาหกรรม ระบบอุตสาหกรรม สร้างสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้มีกิเลสไปในทางบวก แล้วโลกนี้มันจะทนไหวหรือ คนในโลกมันจะทนไหวหรือ โดยเฉพาะลูกเล็กๆ วัยรุ่นมันจะทนไหวหรือ มันก็บ้าบวก ๆ ๆ บ้าบวกเท่าไหร่มันก็เกลียดลบกันเท่านั้น มันก็เกลียดลบเท่านั้น มันก็มีความต้องการที่จะเอาในฝ่ายที่เป็นบวก และต้องการจะทำลาย จะฆ่าฝ่ายที่เป็นลบ ที่เป็นอุปสรรคศัตรู มันก็มีปัญหา เรื่องบ้าบวกบ้าลบกันเสียตลอดเวลา จนเติมความรู้เรื่องไม่บวกไม่ลบลงไปไม่ได้ นี่คือความที่น้ำชามันล้นถ้วยของท่านสาธุชน และของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงธรรมตรง ๆ จริง ๆ ลงไปอย่างนี้ โดยไม่กลัวว่าท่านจะโกรธ
ทีนี้ก็มาถึงที่ว่ากระเชอก้นรั่ว ข้างบนเติมลงไปไม่ได้ ข้างล่างมันก็รั่วไปเสียหมด สิ่งใดที่ไม่ถูกกับกิเลส ที่จะกำจัดกิเลส ที่จะเข่นฆ่ากิเลส มันรั่ว ๆ ๆ ไปหมด มันเก็บไว้แต่กิเลสหรือกากของกิเลส กระเชอก้นรั่ว กระเชอก้นรั่วมันไม่รู้ว่านิพพานเป็นสิ่งที่มีได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มันก็รู้แต่ว่าต้องรอกันหมื่นชาติแสนชาติ พระนิพพานบ้าๆบอๆ ที่สอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า คือนิพพานที่สอนเรื่องตาย ตายนิรันดร ๆ ตายไปอย่างนิรันดร นี่เขาสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า นิพพานคือตายนิรันดร
ต่อมาพระพุทธเจ้าท่านสอนนิพพาน นิพพาน คือ ว่าง ว่างนิรันดร ไม่ต้องตาย ว่างจากตัวตนโดยนิรันดรนั่นแหละถือเป็นนิพพานที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ทีนี้มันอัดเข้าไว้แต่นิพพานที่ตายนิรันดร สอนอยู่ในอินเดียก่อนพุทธกาล แล้วก็มาสอนแถวนี้ก่อนพระพุทธศาสนา ข้อนี้กล้ายืนยันว่า นิพพานตามแบบฮินดู นอกพุทธศาสนาได้มาสอนที่นี่ก่อนแล้ว ก่อนพุทธศาสนาจะมาถึง จึงได้สอนเรื่องนิพพาน คือตายนิรันดร ๆ ไว้ก่อนแล้ว พอพุทธศาสนาเข้ามาถึงสอนยาก มาสอนเรื่องไม่ตายนิรันดร ไม่ตายนิรันดร คือ นิพพานในพระพุทธศาสนา ถ้าตายนิรันดรน่ะ นิพพานนอกพุทธศาสนา
ทีนี้เรามามีตายนิรันดรน่ะ เป็นนิพพานเป็นทุนรอน นิพพานที่นี่และดี๋ยวนี้มันเลยมีไม่ได้ เมื่อใดจิตไม่มีกิเลส หรือกิเลสไม่เกิดขึ้นแก่จิต จิตยังอยู่กับนิพพาน พอกิเลสเกิดขึ้นมา นิพพานก็หายไป เรียกว่าพออุปาทานว่าตัวกูของกูขึ้นมาเมื่อไร นิพพานก็หายไปเมื่อนั้น พอในจิตนี้ไม่มีอุปาทานว่าตัวกูของกู นิพพานก็อยู่กับจิตนั้น นิพพานที่ไม่มีตัวกู จิตที่ไม่มีตัวกู จิตที่ไม่มีตัวกูนี่คือนิพพาน มีนิพพานที่นี่ นิพพานเดี๋ยวนี้ ทุกคราวที่กิเลสยังไม่เกิด หรือกิเลสยังไม่เกิดขึ้นรบกวน เราก็มีนิพพานน้อยๆ นิพพานชั่วคราว ซึ่งเรียกโดยชื่อว่า นิพพุติ นิพพุติ ความดับเย็นชั่วคราว พอกิเลสยังไม่เกิดนี่นิพพานที่นี่ นิพพานเดี๋ยวนี้ ถ้านิพพุติเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย อย่างถึงที่สุดจริงๆแล้วก็เป็นนิพพานที่นี่และดี๋ยวนี้ เป็นนิพพานที่นี่และดี๋ยวนี้- เป็นความไม่ตายนิรันดร ช่วยจำว่านิพพานในพุทธศาสนา คือความไม่ตายนิรันดร นิพพานนอกพุทธศาสนาก่อนโน้น นิพพานคือตายนิรันดร พวกนอกศาสนามาขอให้พระพุทธเจ้าแสดงนิพพานของพระพุทธเจ้า นิพพานอย่างของพระพุทธเจ้า หมายความว่าเขามีนิพพานอย่างตายนิรันดรอยู่จนไม่ชอบใจแล้ว ชักจะไม่ชอบแล้ว มาขอให้พระพุทธเจ้าแสดงของพระองค์ คือ ทรงแสดงนิพพานที่ไม่ตายนิรันดรอย่างนี้ก็มี
ทีนี้มันเตลิดออกไปอีกว่า ไม่ตายนิรันดรน่ะ มันสมมุติเป็นไม่ตายนิรันดร และสมมติให้เป็นปรมาตมัน เป็นอัตตานิรันดรไปเสีย ก็เป็นนิพพานฝ่ายโน้นน่ะ ซึ่งเขาไม่เรียกนิพพาน แต่ก็มีความหมายอย่างเดียวกับนิพพาน คือมีอยู่นิรันดร เป็นอัตตานิรันดรอัตตาที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยบุญและบาปเหมือนกันแหละ และที่ฮินดูสูงสุดของ เวลันตะ (นาทีที่ 43.39) มันก็เหนือบุญเหนือบาป แต่มันมีอัตตานิรันดรเหลืออยู่ มันไม่ได้เป็นความไม่มีอัตตา หรือความไม่ตายนิรันดรเหลืออยู่ นี่ขอให้เข้าใจว่า เรามีทุน ทุนความรู้ในวัฒนธรรมเลย ในจิตใจมาแต่ปู่ย่าตายายโน่นแหละ คือเรื่องนิพพาน คือตายนิรันดร ไม่เข้าใจเรื่องว่านิพพาน คือไม่ตายนิรันดร นิพพานคือเมื่อไม่มีกิเลส ไม่มีความเป็นบวกไม่มีความเป็นลบ เดี๋ยวนี้เราไม่สามารถจะรับปฏิบัติอานาปานสติ เพราะมีมหาสติปัฏฐานสี่อัดแน่นอยู่ มันก็เลยไม่สามารถจะปฏิบัติอานาปานสติ คือความที่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่เหนือกาย เหนือเวทนา เหนือจิต และเหนือความหลอกลวงของธรรมชาติ สี่อย่างนี่แหละหัวใจของมันอยู่ที่ว่า อำนาจเหนือกาย - กายจะมาหลอกลวงไม่ได้ อำนาจเหนือเวทนาทั้งหลาย - เวทนาจะมาหลอกลวงไม่ได้ อำนาจเหนือจิต - จิตจะมาหลอกลวงไม่ได้ ไม่หลงใหลในลักษณะใดลักษณะหนึ่งของจิต แล้วไม่หลงใหลในความหลอกลวงของธรรมชาติ คือความน่ายึดมั่นถือมั่น น่ารักน่าพอใจ น่ายึดมั่นถือมั่น สี่อย่างนี้คือหัวใจของอานาปานสติภาวนา แล้วก็เป็นหัวใจในมหาสติปัฏฐานสี่อันยืดยาวนั่นอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่หมด ไปตรวจดูเอง หัวใจของอานาปานสติไม่รวมอยู่ทั้งหมดในมหาสติปัฏฐานสูตร มีครึ่งๆกลางๆ นี่กระเชอมันรั่วที่ก้น เพราะมันไปอัดเอาไว้ซึ่งนิพพานที่ไม่ใช่พุทธศาสนา แล้วก็ไปเอาอานาปานสติ หรือสติปัฏฐานสี่ ซึ่งไม่ใช่ของจริงของพระพุทธเจ้ามาใส่ไว้ มันเป็นของเพี้ยน ของใหม่ แต่งใหม่ พูดใหม่ รวบรวมกันใหม่จนเฟ้อน่ะ มาใส่ไว้ นี่เรียกว่ากระเชอก้นรั่ว เพราะมันมีอะไรอัดเอาไว้เสียแต่อย่างนั้น เกรอะกรังอยู่แต่อย่างนั้น ไอ้ของดีๆ ของแท้จริงมันก็รั่ว ๆ ๆ ลงไปหมด
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างเฉียบขาดที่สุด เหมือนกับประกาศิต ฉันพูดแต่เรื่องทุกข์ กับดับทุกข์ "บุพเพจาหัง ภิกขเว เอตรหิ จะ ทุกขเจวะ ปัญญาเปมิ ทุกขัสสะ จะ นิโรธัง" ก่อนนี้ก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ที่ฉันบัญญัติขึ้นสอนแต่เรื่องทุกข์ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นไม่ได้สอนน่ะ เรื่องอัตตา เรื่องตัวตน เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องบุญเรื่องบาป ไม่พูด พูดแต่ว่าทุกข์อย่างไร ดับทุกข์อย่างไร ที่เราก็มาเอาอะไรพอกพูนเข้าไป ๆ จนเป็นดินพอกหางหมู ดินพอกหางหมูนี่เข้าใจว่าท่านทั้งหลายที่นี่ คงจะไม่เคยเห็นก็ได้ อาตมาไปเห็นแล้วตกใจ มันพอกได้อย่างไร หมูบางตัว ดินพอกหางหมูกลมเหมือนลูกบอล กลมเกลี้ยง ลูกโตเกือบเท่าลูกมะพร้าวข้างใน พอกอยู่ที่หางหมู ดิ่งชี้อยู่อย่างนี้ ดินพอกหางหมูจนทำอะไรไม่ได้ ในความไม่รู้ว่ามันพอกได้ เป็นดินพอกหางหมู แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้ อย่าให้มีความรู้ชนิดดินพอกหางหมู อย่าให้มันมีดินพอกหางหมู หางหมูจึงจะกวัดแกว่งได้ ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ เดี๋ยวนี้มันกวัดแกว่งไม่ได้ มันหนักมันดึงเหมือนกับหางจะขาดออกไป เมื่อก่อนวัดที่อาตมาได้ไปอยู่กรุงเทพฯ วัดปทุมคงคา มีหมูอยู่ใต้ถุนหลายตัว มีดินพอกอย่างนี้อยู่หลายตัว ก้อนโตบ้างเล็กบ้าง สงสารอย่างยิ่งที่มันใช้หางไม่ได้ ใช้หางปัด ๆ ๆ ยุงปัดศัตรูไมได้ ระวังให้ดีดินพอกหางหมู แล้วมันปัดกิเลสไม่ได้ จิตใจมันถูกดึงไว้ด้วยดินพอกหางหมู เหมือนล้างกิเลสไม่ได้ มันปัดกิเลสไม่ได้
ทีนี้เรามาดูกันแต่เท่าที่พระพุทธองค์สอนว่า ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร โดยอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท และทุกข์ดับลงไปอย่างไร โดยอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท เรื่องนอกนั้นไม่สนใจ ไม่เอามาใส่ให้รกหัว ให้เป็นน้ำชาล้นถ้วย ให้เป็นกระเชอก้นรั่วกันอีกต่อไป ท่านพูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ เมื่อพวกอื่นก็พูดเรื่องอัตตา อนัตตา เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องแบบของเจตภูตวิญญาณอะไรก็ตาม แต่พระพุทธเจ้าพูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ มันมีความทุกข์กันที่ไหนก็ดับกันที่นั่น อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ก็ตัดต้นเหตุมันเสีย ในที่สุดสรุปว่า ความโง่ว่ามีตัวตนนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ดับความโง่ที่ทำให้รู้สึกว่ามีตัวตนออกไปเสีย มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดทุกข์ นี่มีความรู้อย่างนี้
ขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลายที่เป็นชาวนาก็ดี ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็ดี จงได้รู้อาการที่น้ำชาล้นถ้วย และกระเชอก้นรั่ว ที่มันมีอยู่พร้อมกันทั้งสองอย่าง ข้างบนเติมไม่ลง แต่ข้างล่างมันรั่วได้เรื่อย เอาของดี ๆที่มีประโยชน์ไว้ไม่ได้ จงศึกษาเรื่องนี้ ให้เรียน ๆ ๆ โดยวิธีเรียน แล้วก็รู้ ๆ ๆ รู้เรื่องนี้ แล้วก็เข้าใจ ๆ เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วก็มาปฏิบัติ เห็นแจ้ง มีวิปัสสนา เห็นแจ้ง ทีแรกมีความรู้เพราะเรียน เรียนอย่างในโรงเรียน แล้วก็มาคิดใคร่ครวญ มีโยนิโสมนสิการ จนเข้าใจ ๆ ๆ แล้วมาทำวิปัสสนา ๆ วิปัสสนาเห็นแจ่มแจ้ง เห็นแจ่มแจ้งโดยไม่ต้องเชื่อเหตุผลใดๆ เพราะมันเห็นอยู่ที่ตัวจริง มันแจ่มแจ้งอย่างนี้ มันเหนือเหตุผล นี่แหละวิปัสสนา เห็นแจ้ง รู้ตามที่เรียน ได้ยิน ได้ฟัง ทางหู ทางตา นี่เรียกว่ารู้ เป็นความรู้ เป็นสุตตะ แล้วก็มาคิดใคร่ครวญโดย โยนิโสมนสิการ นี่อาศัยเหตุผล ใคร่ครวญไปตามเหตุผล ยังอยู่ภายใต้อำนาจแห่งเหตุผล สรุปได้อย่างไรแล้วมาปฏิบัติ แจ่มแจ้งจนไม่ต้องอาศัยเหตุผล ว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่อนิจจังอย่างนี้ ทุกขังอย่างนี้ อนัตตาอย่างนี้ ธัมมนิยามตาอย่างนี้ ธัมมัฏฐิตัตตาอย่างนี้ อิทัปปัจยตาอย่างนี้ สุญญตาอย่างนี้ ตถาตาอย่างนี้ อตัมมยตาอย่างนี้ อย่างนี้ นี่คือ แก้ปัญหาเหล่านี้ออกไปเสียได้ ท่านที่เป็นน้ำชาล้นถ้วย และท่านที่เป็นกระเชอก้นรั่ว ขอให้มองให้เห็นว่าในโลกพุทธบริษัทเรา ไม่ใช่ระบุท่านคนใดคนหนึ่งหละ ในโลกพุทธบริษัทเราทั้งโลก มันยังมีอาการแห่งน้ำชาล้นถ้วย และกระเชอก้นรั่วอยู่อย่างนี้เรื่อยไป
ขอแสดงความหวังจริงใจสักหน่อยว่า ขอให้เลิกอาการน้ำชาล้นถ้วย และก็เลิกกระเชอก้นรั่วกันเสียให้ได้ในคราวนี้ ในคราวนี้ พยายามเลิกน้ำชาล้นถ้วย เลิกกระเชอก้นรั่วกันเสียให้ได้ ถ้ามีความรู้ที่แท้จริง ที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา และทีแรกก็ต้องฟังแหละ มันช่วยไม่ได้ที่จะไม่ฟัง ที่จะเรียนรู้อย่างที่เรียกว่า ปรโตโฆษะ มันฟังตามที่เขาบอกมา ไม่งั้นมันไม่มีจุดตั้งต้น มันไม่มีจุดตั้งต้นถ้าไม่มีการเรียนอย่างนี้ แล้วก็มาทำโยนิโสมนสิการ มีมนสิการ พระธรรมในใจ โยนิโส ก็แปลว่า โดยต้นเหตุ คำว่า โยนิ โยนินั่น คำนี้แปลว่า อวัยวะเพศของสตรีก็ได้ เรียกโยนิ แต่ตัวแท้ตัวจริงคำนี้แปลว่ามูลเหตุ ต้นเหตุ โยนิ-เหตุ โสโด-โดยต้นเหตุ โดยมูลเหตุ ลึกถึงมูลเหตุ มนสิการ ทำในใจ ทำในใจให้ลึกถึงต้นเหตุ แล้วมันก็จะรู้โดยเหตุผล จะรู้โดยเหตุผล เป็นความรู้โดยโยนิโสมนสิการ ตามเหตุผลที่ได้กระทำลงไป
ทีนี้ความรู้นี้มาย่อย มาทำเป็นวิปัสสนา ทำจิตให้เหมาะสม ทำจิตให้เป็นสมาธิถึงที่สุด มีกำลังในการที่จะสอดส่องโดยลึกซึ้งถึงที่สุด แล้วก็สอดส่องดูเห็นความจริง ความจริงของธรรมชาติ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยตัวจริง ๆ อวิชชาก็หลุดออกไป นี่เรียกว่าเห็นแจ้ง เห็นแจ้งไม่อาศัยเหตุผลอีกต่อไป มันเหนือเหตุผล ไม่ต้องโยนิโสมนสิการ แบบเหตุผลอีกต่อไป เพราะว่ามันได้เห็นแจ้งเสียแล้ว มันเห็นแจ้งเสียแล้ว มันอยู่เหนือเหตุผลเสียแล้ว
นี่ขอให้ช่วยปรับปรุงกันอย่างนี้ให้เลื่อนชั้นมาจากการเรียนรู้จากภายนอก มาอยู่ที่ว่า โยนิโสมนสิการ โดยเหตุผลภายใน และเลื่อนอีกชั้นมาเป็นวิปัสสนา การเห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงอย่างไร นี่ก็เรียกว่าเห็นแจ่มแจ้ง หรือรู้ธรรมะ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีวิมุตติ แล้วก็มีวิมุตติญาณทัสสนะ เห็นแจ่มแจ้งในวิมุตติที่หลุดพ้นแล้ว นั่นแหละสมบูรณ์ ขอให้เราหลุดพ้นจากเครื่องกีดกัน คือน้ำชาล้นถ้วย และกระเชอก้นรั่วกันเสียโดยเร็วเถิด
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่สาม คือแม่ปูที่ไม่อาจจะเดินให้ลูกดูอย่างถูกต้อง นี่ได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่เด็กแล้วใช่ไหม นิทานเรื่องแม่ปูกับลูกปู แม่ปูมันดุลูกว่า ทำไมไม่เดินให้ตรง กวัดไปแกว่งมา ลูกปูก็บอก แม่เดินให้ฉันดูสิ แม่ปูมันก็เดินให้ดู มันก็ตรงไม่ได้นี่ เพราะปูมันเดินอย่างนั้นนี่ ซ้ายทีขวาที ๆ นี่แม่ปูที่จะเดินให้ลูกดูอย่างแท้จริงไม่ได้มันไม่สามารถที่จะเป็นอยู่อย่างถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาให้ลูกปูดูไม่ได้ คือมันไม่อาจจะเป็นอยู่ อย่างไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ความคิดหรือการกระทำ หรือการพูดจาอะไรก็ตามชนิดที่ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู มันทำให้ดูไม่ได้ ทำออกมาทีไรมีตัวกู มีของกูไปเสียทั้งนั้น นี่แม่ปูมันทำให้ลูกดูไม่ได้ ในการที่จะไม่มีตัวกู ไม่มีของกู แม่ปูมันก็มีแต่กิเลสกาม กิเลสกาม มีความใคร่ตามอำนาจของกิเลส มันทำให้ลูกปูดูไม่ได้ ทำให้ลูกปูดูไม่ได้ ในการที่จะมีธรรมกาม ธรรมกาม
ธรรมกาม คงจะแปลกหูสำหรับท่านทั้งหลาย ๆ คน กิเลสกามน่ะเคยชิน ทั้งการได้ยินและการประพฤติ กระทำ มันทำด้วยกิเลสกาม ความใคร่ไปตามอำนาจของกิเลส มันเป็นกิเลสกาม เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นธรรมกาม ธรรมกาม ใคร่ไปตามอำนาจของธรรมะ ธรรมะที่แท้จริง กิเลสไม่มาเกี่ยวข้อง นี่เป็นธรรมกาม แม่ปูมีชีวิตอยู่อย่างธรรมกามให้ลูกดูไม่ได้ มันมีแต่กิเลสกาม กิเลสกามจะเอานี่เอานั่นไปเสียหมด ยอดสุดของมันอยู่ที่สวรรค์ สวรรค์น่ะมันยอดสุดของกาม ไม่ใช่ว่าเป็นที่ที่ว่าจะไกล้พระนิพพาน ยิ่งไปสวรรค์มันก็สุดโต่งไปทางบวก ไกลนิพพาน ไปนรกก็สุดโต่งไปทางซ้าย ไปนรกก็ไกลนิพพาน มันสุดโต่งเสียทั้งสองอย่าง มันไม่นรก มันไม่สวรรค์ มันอยู่เหนือเหนือ- เหนือนรก เหนือสวรรค์ มันถึงจะเป็นนิพพาน แม่ปูแสดงบทบาทนี้ให้ลูกดูไม่ได้ เพราะว่ามันติดอยู่ในกิเลสกาม หรือฝ่ายบวก ติดฝ่ายบวก ติดฝ่ายบวกมากเท่าไร มันก็มีปัญหาฝ่ายลบมากเท่านั้น มันเป็นของคู่กัน
นี่ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาสังเกตุดูให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าตัวกู ว่าของกู เกิดขึ้นมาจากความเป็นบวกและความเป็นลบ ความรู้สึกเป็นบวกเกิดขึ้นก็เกิดตัวกูบวก ความรู้สึกเป็นลบเกิดขึ้นก็เป็นตัวกูลบ ทั้งตัวกูบวกและตัวกูลบ มันบ้าเท่ากัน มันทำให้เกิดความทุกข์โดยเท่ากัน ตัวกูบวกมันก็ให้เกิดอภิชชา อภิชชาในพระบาลี เรียก อวิชชา ความเป็นบวก คือจะเอาตัวกูลบมันก็เกิดว่าไม่เอา โทมนัส-ขัดใจ ขัดแค้นใจ ท่านฟังให้ดี อย่าไปเอาปนกับคำอื่นๆเสีย คำว่า อภิชชา และโทมนัสนี่ ปฏิบัติพรหมจรรย์นี้ มหาสติปัฏฐานสูตรก็ดี อานาปานสติก็ดี เพื่อจะนำออกเสียซึ่งอภิชชา และโทมนัสในโลก คล้ายๆกับท่านจะบอกว่าในโลกมันมีเพียงสองอย่างคือ อภิชชา และโทมนัส อภิชชา คือตัวกูบวก โทมนัส คือตัวกูลบ เอาออกไปเสียทั้งสองอย่าง ไม่มีบวกลบนั่นแหละเป็นนิพพาน นี่เราอย่าว่าแต่จะมีเลย จะมีเลย แม้แต่เพียงเข้าใจก็เข้าใจไม่ได้ ๆ เข้าใจเรื่องตัวกูบวก เรื่องตัวกูลบนี่มันไม่ได้ ขอให้รู้จักกันเสียที ธรรมชาติแท้ๆ มันให้มาเป็นกลางๆ เด็กอยู่ในท้องแม่เป็นกลาง ไม่บวกไม่ลบ เพราะมันไม่อาจจะคิด พอมันออกมาจากท้องแม่ มันสัมผัสอารมณ์ภายนอกด้วยตาหูจมูกลิ้นกายใจของมัน มันจึงเกิดอารมณ์ชนิดที่จะเป็นบวก ชนิดที่จะเป็นลบ พอถูกใจอร่อยก็เกิดอารมณ์บวก ไม่ถูกใจ ไม่อร่อย ก็เกิดอารมณ์ลบ มันเคยชินอยู่แต่สองอย่างนี้ บวกลบ ๆ ๆ มันก็เกิดความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ เป็นตัวกูบวก เป็นตัวกูลบ เป็นเงาตามตัวขึ้นมาตามความเป็นทารก โตขึ้นมาเป็นเด็ก โตเป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว ติดอยู่ที่ความเป็นบวก และความเป็นลบนี่เรียกว่าไปตามอำนาจของกิเลสเสียแล้ว คำสอนแต่โบราณในเมืองนี้มีบทหนึ่งน่าสนใจมาก เพราะว่าเด็ก ๆ เด็กที่พอโตขึ้นพอสมควรแล้วก็ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป ถ้าคุณเข้าใจเรื่องนี้ คุณจะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตได้อย่างถูกต้องและดีมาก พอเด้กมีอายุโตขึ้นพอสมควรมันก็ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป ทิ้งความสมดุลย์ ทิ้งความเหนือบวก เหนือลบไปบูชาบวกลบไปตามโจรไปน่ะ เป็นกิเลสนานาชนิด ไปหัวหกก้นขวิดตามพวกโจร คือกิเลสนานาชนิด นี่คืออาการของพวกเราที่พอเกิดมาจากท้องแม่ พออายุพอสมควรแล้ว มันก็ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป เด็กบางคนก็ไม่ได้กลับมาเป็นโจร ตายไปเลย ถ้าโชคดีของเด็กบางคน มันรู้ว่า อ้าวโจรนี่ มันก็ฆ่าโจรกลับมาหาพ่อแม่ นั่นแหละพุทธบริษัทที่แท้จริง ฆ่าโจรคือกิเลสบวกลบเหล่านั้นเสีย แล้วก็มาหาพ่อแม่ คือ ธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า มาเป็นพระอริยบุคคล มาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้านี่ ฆ่าโจรเสียทิ้ง กลับมาหาความถูกต้องหรือมาหาพ่อแม่ก็ได้ วัยรุ่นนั่นแหละระวังให้ดี มันจะทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป ไปหาความเอร็จอร่อยทางบวก หาความสนุกสนานทางลบ ได้ฆ่าเขาได้ตีเขามันก็สบายใจนั่นแหละ มันบ้า บ้าลบ ส่วนมากมันก็หลงบวกบ้าบวก แล้วมันยังบ้าลบหลงลบ มันต้องเลิกกันทั้งนั้นแหละ
นี่เราเลิกเป็นเด็กๆ ที่ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป คืออย่าไปเป็นพวกกิเลส พวกโจรเลย กลับมาหาธรรมะ คือ มาหาพระพุทธเจ้า คือความอยู่เหนือบวกและเหนือลบ บวกอร่อยก็อย่างนั้น ลบไม่ถูกใจก็อย่างนั้นให้มันเป็นสักว่าบวกและลบอย่ามาครอบงำจิตใจของเรา ถ้าสุดโต่งไปในทางบวกมันก็ไปในทางบ้าบวก สวรรค์เป็นเบื้องหน้า ถ้าติดใจในทางลบ ก็สุดโต่งในทางลบ ก็มีนรกเป็นเบื้องหน้า อย่ามีสวรรค์ อย่ามีนรกเป็นเบื้องหน้า ให้มีพระนิพพาน เหนือบวก เหนือลบ เหนือนรกเหนือสวรรค์นั่นแหละนิพพาน ให้มีพระนิพพานเป็นเบื้องหน้า
นี่พ่อแม่กล้าแสดงบทบาทนี้ให้ลูกดูได้ไหม มันจะกล้าอะไรเพราะไม่รู้จัก มันไม่รู้จักมันก็ไม่กล้า มันไม่มีความกล้า มันทำให้ลูกปูดูไม่ได้ ว่าจะเดินตรงนั้นเดินอย่างไร มันก็เดินซ้ายที ขวาที เป็นบวกเป็นลบ ๆ เตาะแตะ ๆไปอย่างนี้
นี่ขอให้คิดเถอะว่า เรามันอยู่กันในสภาพอย่างนี้ มันไม่มีคนตรง อุชุปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน มันมีแต่เรื่องบวกลบ ๆ ๆ ไม่สามารถที่จะเป็นอิสระเหนือบวกเหนือลบ อยู่ตรงกลางก็ไม่เอานะ อยู่ระหว่างกลางบวกกลางลบก็ไม่เอา เพราะเผลอมันก็ไปบวกลบได้โดยง่าย ต้องอยู่เหนือ ๆ ๆโดยประการทั้งปวง จะอยู่ตรงกลางเป็น between หรือ สมดุลย์เป็น balance นี่ไม่เอาแหละ ไม่เอาแหละ ต้อง above, beyond อยู่ข้างบน เหนือสุดโน่น เหนือบวกเหนือลบโดยประการทั้งปวง จึงจะเป็นพุทธศาสนา
นี่แหละแม่ปูมันเดินให้ลูกดูไม่ได้ เพราะมันติดบวกติดลบ เตาะแตะ ๆ ๆ อยู่ บวกลบ ๆ ๆ เราจึงไม่สามารถจะอบรมลูกในไส้ ลูกในท้องให้มันเดินถูกทางได้ แล้วไม่เท่าไหร่ลูกมันก็หนีพ่อแม่ตามโจรไป ไม่มีโอกาสจะอบรม พอกลับมาทีนี้มันมีปัญหามากเสียแล้ว เว้นไว้แต่ลูกนั่นแหละมันไปชนะโจรมาได้ ชนะกิเลสมาได้ จึงมาเป็นบุตรพระตถาคตได้อีกทีหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นลูกคน แล้วก็ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป เพราะพ่อแม่มันสอนไม่ได้ มันทำตัวอย่างให้ดูไม่ได้ เพราะพ่อแม่มันเป็นบวกเป็นลบขนาดหนักเอาเสียเอง เป็นบวกเป็นลบแล้วก็เกิดกิเลส ทุกชนิด บวกก็เกิดกิเลสประเภทราคะ โลภะ ลบก็เกิดกิเลสประเภทโทสะ โกรธะ ไม่บวกไม่ลบก็เกิดกิเลสประเภทโมหะ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร กิเลสบวก กิเลสลบ กิเลสที่ยังไม่รู้ว่าบวกหรือลบน่ะ ราคะโทสะโมหะ
ขอให้รู้จักกันแจ่มแจ้งโดยแท้จริง แล้วก็เป็นผู้นำที่ดี อย่าให้ลูกหลงบวกหลงลบ มาแต่อ้อนแต่ออก บอกให้เด็ก ๆ รู้ว่าไอ้สิ่งที่มันอร่อยเนี่ยมันทำให้เราโง่ไปทางหนึ่ง สิ่งที่ไม่อร่อยมันก็ทำให้เราโง่ไปอีกทางหนึ่ง พาลูกเด็ก ๆ มาก ๆ ไปที่ร้านขายของที่สวยงาม เอร็จอร่อย แล้วแพงมากที่สุด แล้วก็บอกลูก โอ้ดูสิลูกสวยทั้งหมดนี่เขามีไว้ให้เราโง่ ของเล่นก็ดี ของกินก็ดี อร่อยมาก แพงมาก สวยมาก ทั้งหมดนี้ เขามีไว้ให้เราโง่ ใครพาลูกไปให้ดูแล้วบอกอย่างนั้นบ้าง มีแต่พาลูกไปแล้วบอกว่า เอ้อมึงอยากเอาอะไรกูก็ซื้อให้ทั้งนั้น แพงเท่าไหร่ กูก็ซื้อทั้งนั้น ของเล่นชิ้นนี้แพงเท่าไหร่กูก็ซื้อให้มึงนะนี่ นี่มันมีแต่พาลูกไปหลงบวกหลงลบ มันไม่ได้พาลูกไปละลายความเป็นบวก และละลายความเป็นลบ นี่มันจะไปโทษใคร คือพ่อแม่นั่นเอง หรือผู้ใกล้ชิดนั่นเอง ย้อมใจของเด็กๆให้หลงบวก และหลงลบมากขึ้น หนีตามโจรไป อะไรจะแก้ได้ ก็มีทางเดียวแต่ความรู้ที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า พรหมจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ วิปัสสนา ๆ ๆ เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนว่ามันใช้ไม่ได้ทั้งบวกและลบ ใช้ไม่ได้ทั้งบุญและบาป ใช้ไม่ได้ทั้งกุศลและอกุศล กูไม่เอากับมึง มึงจะมาปรุงแต่งกูไม่ได้ กูจะเป็นอิสระเหนือบวกเหนือลบ เหนือบุญเหนือบาป เหนือกุศลเหนืออกุศลโดยประการทั้งปวง
นี่ขอถามว่าท่านทั้งหลายจะมีความกล้าหาญถึงอย่างนี้ไหม ถ้ายังสวามิภักดิ์ต่อความเป็นบวก เป็นทาสของกิเลส เป็นขี้ข้าของกิเลสมาอย่างดึกดำบรรพ์นั้น ท่านจะเอาออกได้ไหม ถ้ามันเอาออกไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะมาศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนา เพราะว่าวิปัสสนาต้องการจะเอาออกเสียจากความเป็นทาสของความเป็นบวกของความเป็นลบ เดี๋ยวนี้โลกจะวินาศอยู่แล้ว เพราะหลงความเป็นบวก หลงความเป็นลบ เขาไม่มีความคิดที่จะเอาชนะบวกและลบ มีความคิดแต่ความเป็นทาสของความเป็นบวกมากขึ้นไป สร้างเหยื่อของกิเลสและความเป็นบวกโดยระบบอุตสาหกรรม ประเทศไทยเราก็จะเป็นนิคเป็นแน็ค (NIC) กับเขาด้วย เห็นไหม มันจะไปมีอุตสาหกรรมสร้างเหยื่อให้กิเลสเหมือนกับพวกอื่นๆ นั่นแหละ
นี่พุทธบริษัทระวังให้ดีๆ อย่าให้อุตสาหกรรมมาจับตัวเราใส่ลงไปในนรก ของความเป็นบวกและความเป็นลบ นี่พ่อแม่จะต้องเข้มแข็ง พ่อแม่จะต้องแสดงบทบาทให้ดู คือการเดินให้ตรงทางไปสู่พระนิพพาน หรือดำรงจิตไว้ให้ถูกต้องสำหรับพระนิพพานจะปรากฏให้ดู ให้ลูกดู วัฒนธรรมอย่างนี้แต่ก่อนมีมาก แต่มันค่อยๆเสียไป สูญเสียไปเพราะวัฒนะธรรมใหม่ๆ ของพวกตะวันตกมันเข้ามา มันเป็นเรื่องวัตถุ ๆ วัตถุไปหมด มันไม่เป็นเรื่องจิต ไม่เป็นเรื่องวิญญาณ เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ยินคำว่าเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย สมัยอาตมาเป็นเด็กๆ มันได้ยินทั่วไปเสียหมดเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ๆ คุณยายคุณย่าพูดวันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ยิน ได้ยินแต่ว่ามึงก็มึงกูก็กู มึงก็มึงกูก็กู นายทุนก็กูลูกจ้างก็กู มันไม่มีทางที่จะประสานงานกันได้ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพ มันไม่มีเสียงว่า เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เพราะมันเต็มอัดอยู่ด้วยตัวกูของกู
นี่ปัญหานี่เป็นปัญหา ไม่กล้าที่จะแก้ปัญหา หรือไม่สามารถที่จะปลีกตัวออกมาจากปัญหา มันไปเข้าเป็นสมุนของโจร ทิ้งพ่อแม่หนีไปเป็นโจร มันไม่ออกมาจากปัญหา ใครจะช่วยให้มันออกมาจากปัญหา เมื่อมันสมัครจะไปเป็นโจรเสียแล้ว ใครจะดึงออกมา โชคดีมันจะอยู่ที่ตรงไหน ที่จะดึงเด็กที่ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป กลับมาหาความถูกต้องของความเป็นพ่อแม่ หรือของพระธรรม พอเด็กโตขึ้นมาพอที่จะเข้าไปในขอบเขตของพระธรรม มันก็วิ่ง มันก็ทิ้งพระธรรมหนีตามโจรไป ที่เรียกว่าหนีพ่อแม่ตามโจรไป ไปอยู่กับพวกโจร น้อยตัวนักที่จะหลุดออกมาจากอำนาจของโจร ออกมาหาพระธรรม กิเลสจับยึดไว้จนตาย ตายก็ไม่รู้ว่าตาย ตายก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร อยู่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร นี่คือความไม่รู้
ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จงเป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริง เป็นปูชนียบุคคลสูงสุดของมนุษย์ รู้เรื่องนี้แล้วพยายามที่จะดึงมนุษย์ออกมาเสียจากอำนาจของพวกโจรนั่นแน่ะ คือครูบาอาจารย์ ถ้าแสดงความเป็นปูชนียบุคคล เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นปูชนียบุคคล อย่าเป็นครูบาอาจารย์ที่อยู่ใต้อานัติของประโยชน์ อานัติของประโยชน์ เป็นเงินเดือนก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ เป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง เรียก อานัติของประโยชน์ อย่าอยู่ใต้อานัติของประโยชน์ จงเป็นปูชนียบุคคลแท้จริง เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง เห็นแก่ธรรมะไม่เห็นแก่ตัวกู ถ้าเห็นแก่ตัวกูไม่เห็นแก่ธรรมะ พอไม่เห็นแก่ตัวกูมันก็เห็นแก่ธรรมะโดยอัตตโนมัติ เมื่อเห็นแก่ธรรมะมันก็เห็นแก่ผู้อื่นโดยอัตตโนมัติ เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ตัวกูมันก็ไม่เห็นแก่ธรรมะและไม่เห็นผู้อื่น มันเลิกเห็นแก่ตัวกู เพราะรู้ธรรมะที่แท้จริงว่าตัวกูมันไม่มีโว้ย ไม่เห็นแก่ตัวกูแล้ว มันก็มีอัตตโนมัติเองที่จะเห็นแก่ธรรมะ คือความถูกต้อง แล้วก็เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ผู้อื่น เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เราก็จะมีโลกใหม่ มีโลกแห่งเพื่อนเกิด แห่งเพื่อนแก่ แห่งเพื่อนเจ็บ แห่งเพื่อนตาย เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เบียดเบียนกันไม่ได้โดยประการทั้งปวง
เดี๋ยวนี้มันมีแต่โลกแห่งตัวกู โลกแห่งตัวกู มึงลบมึงกูก็กู คนก็เห็นแก่ตัวกูเพิ่มขึ้น ๆ เห็นแก่ตัวกูเพิ่มขึ้นตามความเจริญทางวัตถุ ความเจริญทางวัตถุที่มากขึ้นเพราะมันหลงตัวกู คนเห็นแก่ตัวนั้นไม่อยากทำงาน ขี้เกียจทำงาน อยากนอนแต่อยากเอาประโยชน์ เอากับมันสิ มันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวกู มันไม่อยากทำงาน อยากแต่จะนอน อยากแต่จะเอาเปรียบ อยากจะเอาประโยชน์ คนเห็นแก่ตัวนี้สามัคคีใครไม่ได้ จะเรียกร้องความสามัคคีเพื่อประเทศชาติ ร้องให้ปากแหกมันก็มีไม่ได้ คนเห็นแก่ตัวมันสามัคคีไม่ได้ แล้วคนเห็นแก่ตัวมันอิจฉาริษยาเสมอไป มันอิจฉาริษยาผู้ที่ดีกว่าตัวเสมอไป แล้วคนเห็นแก่ตัวนี่มันก็จะต้องเป็นอาชญากรโดยอัตตโนมัติ ตลอดเวลา เพราะความเห็นแก่ตัว มันขโมยโดยตรง ขโมยโดยอ้อมประโยชน์ของผู้อื่น มาเป็นประโยชน์ของตัว เพราะมันเห็นแก่ตัวมันเป็นอาชญากรโดยอัตตโนมัติ นี่ผู้เห็นแก่ตัว ผู้เห็นแก่ตัวเป็นอย่างนี้
งั้นขอให้เรารู้จักศัตรูอันเลวร้ายที่สุดคือความเห็นแก่ตัว ศาสนาทุกศาสนาในสากลจักรวาล ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ก็สอนเพื่อไม่ให้เห็นแก่ตัว แม้ศาสนาไสยศาสน์อย่างโง่เขลาที่สุดก็สอนเรื่องไม่ให้เห็นแก่ตัว แต่คนมันก็ไม่ถือกันในส่วนนี้ มันไม่ถือในส่วนที่ทำลายความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวก็มากขึ้น ๆ ๆ ในโลก จนเป็นโลกของความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ผัวมันก็เห็นแก่ตัว เมียมันก็เห็นแก่ตัว มันก็กัดกัน ขออภัยใช้คำหยาบคายหน่อย มันเห็นแก่ตัวมันก็ต้องกัดกัน แม้ระหว่างผัวกับเมีย แม้แต่แม่กับลูก ลูกก็ทำพ่อแม่น้ำตาตก พ่อแม่ก็น้ำตาตกเพราะความเห็นแก่ตัวของลูก นี่มันเป็นอย่างนี้ ในที่สุดมันก็หลง หลงตัวเอง หลงตัวเอง
ผู้เห็นแก่ตัวมันก็เป็นบ้า ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า แล้วมันก็ถึงกับฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าหมด แล้วมันก็ฆ่าตัวเองตายตาม ความเห็นแก่ตัวของคนเห็นแก่ตัว แล้วเดี๋ยวนี้ก็สร้างคุกไม่หวาดไหว ไม่พอจะใส่ผู้เห็นแก่ตัว สร้างเรือนจำไม่ไหว สร้างโรงพักไม่ไหว สร้างศาลไม่ไหว สร้างโรงพยาบาลบ้าก็ไม่ไหว ไม่มีเงินจะสร้างแล้วที่จะมาใส่คนผู้เห็นแก่ตัว รัฐบาลเขาแถลงงบประมาณอย่างนั้น งบประมาณที่จะสร้างโรงพยาบาลโรคจิตเพิ่มอีก เพราะกำลังไม่มี สร้างศาลอีก สร้างเรือนจำอีก มันก็ไม่ค่อยจะมี เพราะคนเห็นแก่ตัวมันมากขึ้น ๆ ๆ ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว แล้วมันจะพูดกันรู้เรื่องเหรอ ขอให้มองดูเท่านี้ ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัวมันจะพูดกันรู้เรื่อง มันจะต่อรองอะไรกันสำเร็จเล่า นี่ความเห็นแก่ตัวมันเลวร้ายถึงขนาดนี้ พอหลงทางขึ้นมามันก็ฆ่าตัวเอง ฆ่าลูกฆ่าเมีย ฆ่าได้หมดแม้พระอรหันต์มันก็ฆ่าได้ นี่ผู้เห็นแก่ตัว แล้วโลกเจริญด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะเขาไม่สนใจในเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว
เมื่ออาตมาเด็กๆจำความได้ว่าถ้าฝรั่งเขามา แล้วเขาดูถูกคนไทยว่า ผู้เห็นแก่ตัว เมื่ออาตมาเด็กๆจะได้ยินอย่างนี้ ชอบไปฟังฝรั่งมาพูดอบรมประชาชนก่อนโน้นเขาใช้ฝรั่งอบรมประชาชนโอ้มันติคนไทยว่าเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ไม่พูดแล้ว ๆ เพราะฝรั่งรับเอาไปไว้เองหมดแล้ว ไม่ต้องมาหาว่าคนไทยเห็นแก่ตัวแล้วไปดูเอาเอง มันเห็นแก่ตัว ๆ ๆ เห็นแก่ตัวมันจะครองโลก มันอยากจะครองโลก มันอยากจะแย่งกันครองโลก มันเอาไปไว้หมดเลยความเห็นแก่ตัว
ในที่ประชุมสหประชาชาติ UNO มันเป็นที่ทะเลาะกันของผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้นน่ะ เป็นที่ทะเลาะกันของบุคคลผู้เห็นแก่ตัว ยื้อแย่งประโยชน์ไปหาประเทศของตัว ยื้อแย่งกัน พูดกันแต่เรื่องโทษของความเห็นแก่ตัวไม่ตกลงกันได้ เพราะมันมีความเห็นแก่ตัว ถ้าเมื่อไรมันหยุดความเห็นแก่ตัว มันก็พูดกันรู้เรื่อง อาตมาคิดว่าเลิกเลิก UNO กันเสียเถอะ United Nations น่ะเลิกเหอะ มาเป็น URO - United Religion Organization, URO, URO เป็นองค์การแห่งศาสนารวมกัน แล้วควบคุม UNO องค์การชาติรวมกันที่จะให้URO มาเป็นอิสระเด็ดขาดคงจะทำไม่ได้ เอามาควบคุม UNO ก็แล้วกัน เอา URO ควบคุม UNO เอาองค์กรของผู้ไม่เป็นแก่ตัว มาควบคุมองค์การของผู้เห็นแก่ตัวนี่ โลกนี้จะมีสันติภาพ ถ้ายังปล่อยไว้อย่างนี้ ปล่อยไว้อย่างนี้มันก็ยิ่งทวีความเห็นแก่ตัว ไม่มีทางที่จะมีสันติภาพ และมันก็บูชาความเห็นแก่ตัว มันก็แย่งกันครองโลกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด สร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางอะไร ทุกอย่าง เพื่อจะครองโลก พูดกันไม่รู้เรื่อง ให้พูดกันสักหมื่นครั้งแสนครั้ง มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้ามันไม่ลดความเห็นแก่ตัว
ขอให้ธรรมะกลับมาโดยเร็ว ธรรมะกลับมาโดยเร็ว กำจัดความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในโลกให้มันจางไป จางไปโดยวิธีของธรรมะที่สูงสุดอย่างยิ่งก็คือวิธีของวิปัสสนา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธัมมัฏฐิตัตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา อันสุดท้ายอตัมมยตา แปลว่า อะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ อะไรปรุงแต่งไม่ได้ คงที่แข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง เรียกว่า อตัมมยตา ผู้มีอตัมมยตา เรียกว่า อตัมมโย คือ พระอรหันต์ พระอรหันต์ เรียกว่า อตัมมโย เพราะมี อตัมมยตา
ขอให้ธรรมะขึ้นมาสูงสุดจนถึงจุดนี้ คือมีอตัมมยตาแข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง มันก็ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันมีแต่ความถูกต้อง เห็นแก่ความถูกต้อง มันก็รักผู้อื่นทั่วจักรวานโดยอัตตโนมัติ นี่โลกของพระศรีอาริยเมตตรัย โลกของบุคคลที่รักผู้อื่นโดยอัตตโนมัติ ไม่มีความเห็นแก่ตัว ขอให้แสดงความหวังว่าโลกนี้ปรากฏโดยเร็ว ท่านทั้งหลายจงเลิก ลดน้ำชาล้นถ้วย ท่านทั้งหลายจงอุดรูรั่วของตะกร้าที่อยู่ข้างล่าง ท่านทั้งหลายจงเป็นแม่ปูที่เดินให้ลูกดูได้ว่าเดินตรงๆ ต้องเดินอย่างนี้ แล้วท่านทั้งหลายต้องกล้าลอง ต้องกล้าหาญ ทดลองไม่เห็นแก่ตัว ฉันจะไม่เห็นแก่ตัวให้แกเห็น ขิให้มีความกล้าหาญอย่างนี้ แล้วปัญหาก็จะหมดไป
เดี๋ยวนี้โลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว มาอาศัยธรรมะสูงสุดของพระพุทธศานากำจัดความมีตัวเสีย แล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวก็จะเห็นแก่ธรรมะและผู้อื่น ก็จะมีสันติภาพ คือพระนิพพานในความหมายทั่วๆไปมาครองโลก ให้โลกนี้เย็นเป็นโลกของพระนิพพาน อย่างน้อยก็เป็นนิพพุติ นิพพุติ เย็นในขณะที่ไม่มีกิเลส
นี่ขอแสดงความหวังว่า ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนที่มาศึกษาอบรมธรรมะนี้ จงมีความสำเร็จประโยชน์ ประสบความสำเร็จประโยชน์ในการที่จะแก้ไขปัญหานำมาซึ่งความเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง ไม่มีน้ำชาล้นถ้วย ไม่มีกระเชอก้นรั่ว ไม่มีแม่ปูที่เดินคดไปคดมาให้ลูกปูดู ขอแสดงความหวังว่าในทุก ๆ วินาทีเป็นโรงเรียน ทุกๆวินาทีเป็นโรงเรียนตลอดเวลา ที่มาฝึกฝน ความรู้คือ ปฏิจจสมุปบาท ปฏิบัติธรรม คือ อานาปานสติ มีสองเรื่องเท่านั้น ไม่ต้องมีกี่เรื่อง สองเรื่องเท่านั้นก็พอ แล้วแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งสิ้นได้
เราก็ได้พูดกันในเวลาที่ควรพูด ขอบพระคุณที่อุตส่าห์ทนฟัง นึกด่าอยู่ในใจบ้างก็ได้ ก็ขอบพระคุณเหมือนกันแหละคุณ แต่ว่าเราจะต้องเลิกน้ำชาล้นถ้วย จะต้องเลิกตะกร้าก้นรั่ว มาเป็นแม่ปูที่ดี แสดงบทบาทที่ถูกต้องอยู่ตลอดทุกเวลา เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระพุทธศาสนา อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย