แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในสมาธิภาวนาทั้งหลาย วันสุดท้ายนี้จะพูดกันถึงประโยชน์ของการที่มาฝึกสมาธิภาวนา คำว่าสมาธิภาวนานั้นมีความหมายพิเศษคือไม่ใช่ฝึกสมาธิอย่างเดียวโดยตรงแต่ว่าฝึกทุกอย่าง ภาวนาแปลว่าทำให้เจริญทุกอย่าง ทุกอย่างโดยใช้สมาธิเป็นเครื่องมือ นั้นการฝึกสมาธิภาวนาก็คือฝึกให้เกิดสมาธิและใช้สมาธิเป็นเครื่องมือให้เกิดสิ่งที่เราประสงค์ต่อไป แล้วแต่ว่าเราจะประสงค์อะไร ท่านอาจจะเอาไปใช้ในเรื่องบ้านเรือนทำกิจการในโลกก็ได้ โดยหลักใหญ่ๆเขามีว่า ตามพระบาลีมีว่าเพื่อความสุขทันตาเห็นทันใจก็ได้ เพื่อมีญาณทัศนะอันเป็นทิพย์กระเดียดไปทางปาฏิหาริย์ก็ได้ เพื่อความสมบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะถึงที่สุดก็ได้นี่ก็เพื่อสิ้นกิเลส อาสวะทั้งหลายทั้งปวง เป็นสี่ความหมายใหญ่ๆอยู่อย่างนี้ ขอให้ท่านพยายามใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เรียกว่ามันจะคุ้มค่าหรือเกินค่า แม้แต่ข้อแรกที่ท่านว่ามีความสุขได้ในปัจจุบันทันต้องการ ถ้าฝึกสมาธิได้จริงก็เป็นอย่างนั้น คือหยุดอารมณ์ร้ายได้ทันทีเรียกอารมณ์สงบเย็นในความหมายของพระนิพพานมาได้ทันที ที่ไหนก็ได้เมื่อใดก็ได้ไม่ใช่ต้องในป่า ในบ้านในเมืองแม้ในที่อึกทึกครึกโครม ในรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่สามารถทำจิตสงบได้ ข้างโรงงานอึกทึกครึกโครมก็ทำได้ ตามโรงละครก็ทำได้ ในที่สุดไม่เชื่อก็ไปลองดู นี่แม้เพียงข้อแรกมีความสุขได้ในปัจจุบันทันต้องการ แต่ขอให้ท่านที่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งนั้นๆจริงๆ ไม่ใช่ทำพอเป็นพิธีเป็นแบบพิธีท่าทาง อะไรทำนองนี้มันก็คงไม่สำเร็จประโยชน์เหมือนกับเล่นละคร แต่ถ้าฝึกได้จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอานาปานสตินี่สามารถบังคับจิตได้ทันเวลาทันความต้องการอย่างไรก็ได้อย่างนี้เป็นต้น อาตมาได้บอกแล้วว่าแม้จะเดินมาที่นี่จากที่พัก เดินมาที่นี่มาฟังบรรยายอย่างนี้การเดินมานั้นก็เป็นการฝึกไม่ใช่ว่าเดินไปโรงเรียนไม่ใช่ ไปถึงโรงเรียนถึงจะฝึก แม้กำลังเดินมานั้นก็เป็นโรงเรียนเป็นโรงเรียนอยู่ในการเดินเพราะท่านต้องเดินด้วยสมาธิ ด้วยสติ ด้วยสมาธิกำหนดความไม่มีตัวตนอยู่ตลอดทุกก้าวที่เดิน จะได้เห็นอะไรจะได้สัมผัสอะไรในเวลานั้นก็สามารถศึกษาความไม่ใช่ตน แม้แต่จะเห็นอะไรแทรกแซงเข้ามา ก็สามารถจะเห็นลึกไปถึงความไม่มีตัวตนไม่ใช่ตัวตนของสิ่งนั้นๆ กระทั่งว่ามันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คือ ปฎิจจสมุปบาทก็เห็นได้ในสิ่งนั้นๆ ทุกเวลา ทุกวินาทีทุกกระเบียดนิ้ว แล้วก็เป็นการศึกษาไปหมด ทำอย่างนี้ไว้ให้เคยชินแล้วก็จะได้รับประโยชน์ และอีกอย่างหนึ่งที่ว่ามาฝึกในสถานที่อย่างนี้ก็มันฝึกการดำเนินชีวิตชนิดที่ว่าเป็นการศึกษาไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จะเป็นการกินการนอนการทำอะไรก็ให้มันเป็นการศึกษาไปหมดทุกอย่าง เรามีบทสำหรับถือเป็นหลัก motto แล้วแต่จะเรียก “กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู เท่าๆเล้าหมูแล้วฟังยุงร้องเพลง”อย่างนี้เป็นต้น ท่านลองคิดดูมันมีความหมาย อาบน้ำในคูในแอ่งน้ำในลำธารที่ไหลอยู่ มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติไม่มีปัญหาและสามารถที่จะปรับปรุงให้ไม่มีปัญหา พระพุทธเจ้าเองเท่าที่อาตมาสังเกตดูตามพระบาลี คงไม่ได้สรงน้ำทุกวันหรอก ไม่ได้สรงน้ำทุกวัน แล้วก็ไม่ได้อาบกันอย่างแบบสมัยนี้ ถ้ามันจำเป็นท่านยังให้งดอาบอย่างในวินัยบางข้อให้ติดสุขอาบน้ำน้อยมากสิบวันครั้งอย่างนี้ เพื่อไม่ไปแย่งน้ำชาวบ้านอาบ หรืออาบน้อยครั้งอย่างนี้เป็นต้น ท่านลองคิดดูว่ามันเป็นเรื่องปฏิบัติธรรมะกี่มากน้อย อาตมาเคย ไม่ใช่เคยที่เป็นอยู่อาบน้ำอย่างเช็ดตัวเสียน้ำสักขันเท่านั้นแหละ ขันเดียว หลายๆวันแล้วจึงอาบน้ำจริง อาบน้ำเป็นถังหิ้วนั่นสักทีหนึ่ง มันก็อยู่ได้นี่ไม่ตายอย่างนี้คิดว่าครั้งพุทธกาลก็น่าจะมีกันอย่างนี้เหมือนกัน น้ำที่มีอาบจะเป็นน้ำร้อนน้ำอะไรนี่ก็ถือให้เป็นประโยชน์เป็นยาเป็นอะไรไปเสีย อาตมาเคยอาบน้ำนั่นแหละเขาเคยเอามาให้อาบวันละขัน วันละขัน อาบแล้วก็ไม่ได้ล้างน้ำจืดน้ำอะไรเพราะมันก็ไม่ได้มีเค็มมีอะไรมากนักมันก็ไม่ต้องอาบน้ำจืด มันก็ไม่มีปัญหา จะเตรียมน้ำอย่างดีอย่างโรงแรมไว้ให้ท่านทั้งหลายอาบนี่มันก็เป็นเรื่องบ้าที่สุดทั้งเจ้าของบ้านและแขก มาหัดบ้ากันมากกว่า อาบน้ำนั่นแหละแล้วก็ไม่ต้องล้างน้ำจืด น้ำกินจะกินกี่มากน้อย วิธีอย่างนี้มันก็ใช้ได้ทั่วไป ลองนึกถึงวิธีอย่างนี้กลับไปใช้ที่กรุงเทพจะประหยัดน้ำ ประปาได้อีกมากมายแล้วก็ไม่ตาย อยู่ได้แล้วก็สบายดี นี่ขอให้ฝึกฝนการอยู่ที่เรียกว่าคล้ายๆกับที่พระพุทธเจ้าหรือพระภิกษุสงฆ์ท่านอยู่ แต่เรามาพูดเสียใหม่อาบน้ำในคู คืออาบน้ำในร่องน้ำในลำธารในคลองคือมันง่าย สำหรับการกินอาหารที่ว่ากินจานแมวนั้นมันก็ไม่มีการเลือก แบบหลักที่เป็นหลักหัวใจก็คือว่าทำอาหารให้มันสำเร็จรูปอยู่ในจานนั้นไม่ต้องเลือกไม่ต้องคัดไม่ต้องจัดอย่างนั้นอย่างนี้กันอีก ใส่ลงไปไม่มีก้างไม่มีก้างปลาไม่มี แล้วก็หลับตากินก็ได้มันก็คล้ายๆกันทุกคำไม่แปลกอะไรกันนักเหมือนกับคลุกข้าวให้แมวกิน เรียกว่ากินข้าวจานแมว ระงับกิเลส คือให้ระงับอะไรได้อีกหลายๆอย่าง เป็นการปฏิบัติธรรมะในข้อที่เรียกว่าไม่ใช่ตัวตนได้มาก ที่กินก็ไม่ใช่ตัวตนผู้กินก็ไม่ใช่ตัวตน ประโยชน์ของมันก็ไม่ใช่ตัวตนนี่ฝึกอย่างนี้ เป็นวิปัสสนาโดยไม่รู้สึกตัว อยู่ในตัว นอนกุฏิขนาดเล้าหมูก็หมายความว่ามันไม่ต้องมากมายอะไรมากนักไม่ต้องประดับประดาให้มีราคาเป็นหมื่นเป็นแสน ฟังยุงร้องเพลงนี่บทเรียนที่ดี สามารถฟังเสียงยุงร้องเป็นเพลงได้ ก็หมายความว่าเห็นอนัตตามากทีเดียว เห็น ปฎิจจสมุปบาทก็มาก แต่เดี่ยวนี้พอยุงมาตอมมันก็โกธร มันก็โกธรเสียแล้ว มันถึงกับตบยุงหรืออะไรกันยุ่งไปหมด ก็ควรจะลองฝึกดูบ้างแม้ไม่ทำเป็นประจำ หลีกเสียได้ก็หลีกแต่ที่ว่าควรจะลองดูบ้าง สอบไล่ตัวเองวัดใจตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร จึงกำจัดโมโหโทโสได้กี่มากน้อย แล้วยังมีข้ออื่นๆอีกมาก นี่ยกตัวอย่างมาเพียงสี่ข้อว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง ไม่ใช่เอาตามตัวหนังสืออย่างนั้นแต่ว่าเอาความหมายทั้งหมดนั้นเป็นหลักสำหรับยึดถือปฏิบัติ จะเรียกในบาลีว่า “สันโดษ” โดยทั่วไปจะเรียกให้สูงขึ้นไปก็เรียกได้ว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องเหล่านี้ ในสิ่งเหล่านี้ให้มันเกิดความลำบากเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ขอให้ท่านมองเห็นว่าแม้แต่เพียงการปฏิบัติเพื่อความเป็นอยู่นั่นอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะเป็นบทเรียนสูงสุด จะไปฝึกวิปัสสนาสมาธิอะไรขึ้นอีกก็เรียกว่าได้มากขึ้นไป เพียงแต่เป็นอยู่อย่างภิกษุสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่กันก็คุ้มแล้วเกินค่าขอให้สนใจด้วย
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึกการศึกษาเรื่องแรกเราเรียนเรื่องปฎิจจสมุปบาท รู้ความจริงตามธรรมชาติว่าทุกอย่างมันเป็นอนัตตา คือเป็นกระแส ปฎิจจสมุปบาทนั่นแหละแล้วมันก็เป็นอนัตตา แล้วก็ยังรู้ถึงขนาดว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์จะดับไปอย่างไรนี้เป็นความรู้ที่ได้รับในส่วนที่เรียกว่า ปฎิจจสมุปบาทซึ่งเป็นการศึกษาเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็มีการปฏิบัติบ้างตามสมควร เช่นมีสติให้ถูกจังหวะของ ปฎิจจสมุปบาทแล้วความทุกข์ก็เกิดไม่ได้ แล้วก็ฝึกอานาปานสติโดยตรง เพื่อจะใช้จิตให้มีสมรรถภาพแก้ปัญหาความทุกข์ตามหลัก ปฎิจจสมุปบาท ฝึกแล้วมันก็เกิดธรรมะโดยทั่วไปตามควรแก่เรื่องของมัน ธรรมะที่จะใช้เป็นเพื่อนคู่หูแก่เราก็คือธรรมะสี่ประการดังที่กล่าวแล้วข้างต้นเอาไว้ก่อนว่า “สติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ” นี่ต้องเอามาใช้อย่างกับเพื่อนเกลอเพื่อนคู่หู ธรรมะนอกนั้นก็ใช้ ใช้ไปตามเรื่อง
นี่ขอให้นึกถึงข้อที่ว่าอาตมาเตือนท่านทั้งหลายแล้วๆเล่าๆ ขอให้นึกถึงธรรมชาติที่กำหนดมาให้ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ชีวิตนี้ธรรมชาติให้มาเหมือนอย่างเดิมพัน ต้นทุนสำหรับเอามาลงทุนก็มาลงทุนพัฒนาเอาเอง ชีวิตนี้พัฒนาได้ แล้วผู้ที่เรียกว่าเจ้าของ สมมติเรียกว่าเจ้าของต้องพัฒนาเองจะให้ใครช่วยพัฒนาก็ไม่ได้ ทีนี้การพัฒนาในที่นี้หมายถึงการกระทำที่ถูกต้องที่เป็นไปเพื่อผลดี ผลดี จะเรียกว่ามีกำไร หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่จะเรียกกัน แต่เราไม่ได้ไปบ้าดี หลงดี เมาดี จะตัดปัญหาออกไป ความทุกข์ไม่มีเหลือ ให้ชีวิตที่เป็นชีวิตที่ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์หรือเรียกว่าน่าปารถนา อาตมาจะใช้คำจำง่ายๆว่ามันจะมีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ ช่วยจำไปแล้วก็ไปคิดดูสังเกตดูศึกษาดูว่าชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ สุนัขยังมันไม่กัดเจ้าของ ทำไมชีวิตจะมากัดเจ้าของซะเองมันเป็นเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องความโง่เขลาของเจ้าของชีวิตมากกว่า เราจะต้องรู้จักกระทำจัดชีวิตนี้ให้เป็นชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ ได้กำไรสูงสุดในการที่พัฒนาชีวิต ไม่กัดเจ้าของโดยประการทั้งปวงมันก็ไม่มีความทุกข์โดยประการทั้งปวงมันหมายถึงนิพพาน อยากจะพูดเรื่องเกี่ยวกันนอกเรื่องหน่อยแต่ว่าเกี่ยวข้องกันสักหน่อยว่า ธรรมเนียมโบรมโบราณก่อนพุทธกาลในอินเดียเขาก็มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ว่าจะต้องค้าขายเลี้ยงชีวิตให้ถึงที่สุด นี่ฟังดูแปลกหูจัง ตัวหนังสือมันแปลอย่างนั้น โวหาระหรือ สังโวหาระ คำนี้แปลว่า “ค้าขายให้ได้กำไร” ชีวิตะ สังโวหาระ ก็ “ค้าขายด้วยชีวิต ลงทุนค้าขายด้วยชีวิต” เข้าหลักกับที่กล่าวมาแล้วว่า พัฒนา แต่เขาก็มีความนิยมกันเพียงว่าสำเร็จประโยชน์ ในการงานในหน้าที่การงานมีทรัพย์สมบัติมหาศาลพอตัว จนกระทั่งว่ามอบหมายทรัพย์สมบัติมรดกอะไรต่างๆอันมั่นคงให้กับลูกหลานไปแล้ว คนแก่คนนี้ก็มีชีวิตที่พิเศษนุ่งผ้าขาว สวมเสื้อขาวสวมรองเท้าขาว กันร่มขาว เดินเล่นอยู่ตามป่าละเมาะริมลำธารหาความพักผ่อนที่นั่นจนกว่าจะตาย ทำอย่างนี้เขาเรียกว่าถึงที่สุดแห่งชีวิตสะโวหารคือค้าขายด้วยชีวิตถึงที่สุดสำเร็จประโยชน์ ก็นิยมกันอย่างนั้น ทีนี้วันหนึ่งคนที่เขาทำสำเร็จอย่างนั้น เกิดมาพบกันกับพระพุทธเจ้าเข้า เขาก็พูดตามแบบของเขาว่าข้าพเจ้านี่สำเร็จชีวิตสะโวหารอย่างที่กล่าวแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าในธรรมวินัยนี้ในลัทธินี้ไม่เรียกอย่างนั้นว่าชีวิตสะโวหาร ชายคนนั้นถามว่าเพราะเหตุใด ก็ดูสิถ้าลูกหลานของคุณตายคุณก็ร้องห่มร้องไห้ ถ้าทรัพย์สมบัติอะไรเปลี่ยนแปลงไปคุณก็ยังร้องห่มร้องไห้ยังเสียดายยัง แม้ที่สุดแต่ว่าจะตายเองมันก็ยังเดือดร้อนเป็นทุกข์ เขาก็เลยขอพระพุทธเจ้าตรัสบรรยายว่าไอ้ชีวิตสะโวหารในลัทธิของพระพุทธองค์ว่าอย่างไร จึงได้พูดกันถึงเรื่องสิ้นสุดแห่งกิเลส สิ้นสุดแห่งความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตน ไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ต้องหัวเราะไม่ต้องร้องไห้มีแต่ความว่าง จากกิเลส ว่างจากความทุกข์ กว่าจะถึงลมหายใจครั้งสุดท้าย เขาเห็นด้วย เขาขอเปลี่ยนชีวิตสะโวหารให้มาเป็นแบบของพระพุทธเจ้า นี่ ขอให้ทราบว่าแม้แต่คนโบรมโบราณเขาก็มีหลักเกณฑ์ที่จะทำชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เป็นชีวิตที่ดีที่สุดตามที่จะทำได้ด้วยกันเหมือนกัน แต่มันยังค้นไม่พบถึงระดับสูงสุดเขาก็มี มีไปตามระดับของเขาเช่นอย่างนั้นเป็นต้น เดี๋ยวนี้เราเป็นพุทธบริษัทได้รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เกิดในยุคที่มันเป็นยอดสุดของวิชาความรู้ทางจิตใจทางธรรมทางศาสนา แล้วก็ท่านสอนไอ้ชีวิตสะโวหารถึงที่สุดในลักษณะอย่างนี้เราก็ควรจะได้รับประโยชน์ ซึ่งอาตมาเรียกเป็นธรรมดาๆว่าชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป ไม่มีอะไรที่จะเป็นปัญหากันอีกต่อไปจนนาทีสุดท้ายของชีวิตไม่มีปัญหา มันก็ดูพระพุทธเจ้านั่นแหละท่านมีชีวิตสะโวหารถึงที่สุดตามแบบของท่านคือบรรลุพระนิพพาน พระนิพพานนี่ไม่ใช่ตาย พระนิพพานนั้นไม่ตาย ต้องไม่ตายต้องมีค่าเท่ากับความไม่ตายจึงจะเป็นนิพพาน อย่าเข้าใจผิดๆเป็นนิพพานของพวกอื่นๆว่านิพพานคือตายนิรันดร ตายตลอดกาลตายนิรันดร เป็นนิพพานของพวกนั้น แล้วจะได้มาสอนคนแถวนี้ไว้ก่อนพุทธศาสนามาถึงด้วยซ้ำไปเข้าใจนิพพานว่าคือความตายนิรันดร นิพพานต้องเป็นความไม่ตาย ไม่ตายนิรันดรเพราะไม่มีตัวตนที่จะตาย เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนที่จะตาย เกิดความไม่ตายนิรันดร ไม่มีปัญหา พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ของท่านทำหน้าที่ทั้งวันทั้งคืนในการโปรดสัตว์ หัวรุ่งก็คิดว่าจะไปโปรดใคร พอเช้าก็ไป ทรมานบุคคลนั้นจนสำเร็จประโยชน์เที่ยงสายก็ไม่ว่า บ่ายมาถึงวัดกลับมาถึงวัดก็ต้องสอนคนที่มาหาที่วัด ค่ำลงก็ต้องสอนภิกษุสามเณรประจำวัด พอดึกเข้าก็สอนพวกเทวดาเที่ยงคืน เลยดึกพักผ่อนนิดหน่อยก็หัวรุ่งอีกก็คิดว่าวันนี้จะเป็นสอนใครอีก ทำงานครบวงจรไม่มีความทุกข์ สนุก อย่างน้อยก็สนุกสุดเหวี่ยง เมืองนี้แล้วก็ไปเมืองโน้นก็เดินไปไม่มีรถยนต์ไม่นั่งเกวียนไม่นั่งรถม้าเพราะว่ามันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิตท่านก็เดินไป สังเกตดูตามพระบาลีไม่เห็นตรงไหนที่แสดงว่าท่านต้องมีรองเท้าหรือมีร่มนะ ท่านไม่ได้มีแม้แต่รองเท้าไม่มีร่ม ไม่มีอะไรอย่างที่พระสมัยนี้มีแม้แต่กล้องถ่ายรูปนะ พวกชีเอาอย่างมีกล้องถ่ายรูปกันมากเหมือนกัน พระพุทธเจ้าไม่มีแม้แต่ร่มไม่มีแม้แต่รองเท้าคิดดูสิท่านก็ทำงานได้ทั่ว จนคืนนี้จะนิพพานกลางวันยังเดินอยู่เป็นโยชน์ๆ พอนิพพานแล้วก็ยังมีคนมาขอให้สอนอีก จะนิพพานอยู่หยกๆแล้วก็ยังสอนให้อีก ไอ้คนๆนั้นได้รับความรู้ทางธรรมะพอที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ ต่อมาไม่กี่นาทีท่านก็นิพพาน นิพพานอย่างปิดสวิทซ์ไฟไม่มีปัญหาอะไร โดยการที่ทำอานาปานสติเชี่ยวชาญสูงสุดมาตั้งแต่เดิม เดิมแท้จนบรรลุนิพพาน ท่านก็นิพพานเหมือนอย่างกับเราปิดสวิทซ์ไฟ เลิกกัน ชีวิตพระพุทธจ้าถึงที่สุดแห่งชีวิตสังโวหาระ คือการใช้ชีวิตนั้นเองลงทุนให้เป็นประโยชน์ ท่านก็ได้อย่างนั้น นี้เราเป็นสาวกก็สนใจจะทำตามรอยของท่าน มันก็ต้องทำ ไม่ทำก็เป็นเต่าเพราะว่าเกิดมาทีหนึ่งไม่เสียชาติเกิดได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ก็ต้องทำ นั้นขอให้ทำขอให้ฝึกขอให้ศึกษาอยู่ทุกเวลาแม้แต่ในขณะที่ทำการงาน เราอาจจะสอนลูกเด็กๆให้เขาเรียนหนังสือไปพลางศึกษาชีวิตไปพลางศึกษาธรรมะ เสร็จการเรียนไปทำการงานก็ศึกษาธรรมะไปพลางในตัวการงาน สำเร็จประโยชน์ในการงานมีเงินมีทองก็ศึกษาไปพลางจนกระทั่งว่าศึกษาชีวิตในขั้นสุดท้ายไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นตัวตนว่าเป็นของตนมันก็ว่างไปหมดจากปัญหาไม่มีปัญหาอะไรนี่ นี่คือการใช้ชีวิตเป็นตัวการศึกษาเสียเอง ไม่ใช่เป็นของวิเศษวิโส การศึกษาไปจนตลอดชีวิต ชีวิตนั้นก็รู้ รู้สิ่งที่ควรจะรู้ รู้ว่าหมดปัญหานั่นแหละ อย่างอานาปานสติหมวดสุดท้ายข้อที่สี่ ปัสสิทธิคานุปัสสี(นาทีที่ 29:55) หมดแล้วหมดแล้ว ปัญหาหมดแล้ว โยนคืนให้ธรรมชาติหมดแล้วไม่มีปัญหาอีกต่อไปแล้วจนถึงขั้นนั้น พัฒนาชีวิตด้วยการเติม เติมสิ่งที่มันยังขาดอยู่ลงไปให้คือธรรมะที่มันยังขาดอยู่ แล้วก็เอาสิ่งที่ไม่ควรมีเอาออก เอาออก เอาออกตามที่ควรจะเอาออก กิเลสทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นแม่บทของกิเลสทุกชนิด แล้วก็พัฒนาให้มันดีกว่าเดิมที่มันยังต่ำอยู่ยังอ่อนอยู่หรือมันยังโง่อยู่พัฒนาให้ดีกว่าเดิม เช่นความรักด้วยกิเลสพัฒนาให้เป็นความรักโดยเมตตาเสีย ความรักในอำนาจตัวกู ตัวกูรักด้วยกิเลสพัฒนาด้วยความรู้เป็นเรื่องของเมตตาเป็นเรื่องของอนัตตา เป็นความรักขออนัตตา ความรักของอัตตาบ้าๆบอๆ เปลี่ยนเป็นความรักของอนัตตาอย่างนี้เรียกว่าได้ทำสิ่งที่มันยังไม่ดีที่สุดให้ดีที่สุด ส่วนที่เติมลงไปก็เติมลงไปไอ้ความรู้ที่เรายังไม่มี ความสามารถที่เรายังไม่มีโดยเฉพาะเช่นสติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิยังไม่มีก็เติมลงไป ทีนี้สิ่งที่ต้องเอาออก สิ่งที่ไม่ควรมีคือความเห็นแก่ตัว ความโง่เขลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ตัวตนนี่เอาออก เอาออกเรื่อย ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด ปัญหาส่วนบุคคลก็ดีปัญหาทั้งโลกทั้งจักรวาลก็ดีมันมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเอาออก เอาออก เอาออก เรื่อยไปจนกว่าจะหมดความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นพระอรหันต์ ที่อะไรพัฒนาได้ดีกว่าเดิมก็พัฒนา พัฒนา ความเห็นแก่ตัวเปลี่ยนมันให้เห็นแก่ธรรมะให้เห็นแก่ผู้อื่น ความเห็นแก่ตัวนั้นมันยังต่ำเลวเกินไป เห็นแก่ตัว เปลี่ยนให้มันเป็นเห็นแก่ผู้อื่นให้เห็นแก่ธรรมะให้เห็นแก่ความถูกต้องยึดหลักเป็นความถูกต้องแข็งโปกเลย ไม่เห็นแก่ตัวอีกต่อไป สามคำนี้ใช้ได้จำเป็นหลักไว้ “หนึ่งเติมสิ่งที่ยังขาดลงไปในชีวิต สองเอาสิ่งที่มันไม่ควรจะมีอยู่ในชีวิตออกเสียให้หมด แล้วก็พัฒนาสิ่งที่มันยังต่ำต้อยยังอ่อนอยู่ให้มันสูงขึ้นไปให้มันแก่กล้าให้มันเข้มแข็ง” โดยวิธีทั้งสามนี้จะพัฒนาชีวิตให้สำเร็จถึงจุดหมายปลายทางอย่างที่เรียกว่าสำเร็จชีวิตสะโวหาร การใช้ชีวิตเป็นเดิมพันลงทุนเป็นการค้า เปรียบเสมือนการค้าให้ได้มาซึ่งสิ่งสูงสุดคือกำไร นี่คือหัวใจของการปฏิบัติธรรม ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดีก็จะมองเห็นว่านี่เป็นหัวใจเป็นแกนของการปฏิบัติที่ลึกอยู่ข้างใน การทำอานาปานสติหรือการศึกษา ปฎิจจสมุปบาท ก่อนมันเป็นการกระทำอย่างที่ว่านี่ทั้งนั้นไปสังเกตดู มันเติมสิ่งที่ยังขาดลงไป ธรรมะที่ยังขาดอยู่ แล้วก็ดึงเอาธรรมะที่ อกุศลธรรม บาป กิเลสทั้งหลายดึงเอาออก ล้างออก แล้วก็พัฒนาที่มันยังอ่อนอยู่ยังต่ำอยู่ให้สูงๆขึ้นไป ถ้าทำได้จริงก็สำเร็จประโยชน์ได้จริง ขอให้สนใจที่จะศึกษาและปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้ อย่างที่ปฏิบัติกันแล้วนี้ ถ้า สิบวันมันไม่ได้มันก็ไปทำต่อที่บ้านที่เรือน ทำต่อไปอย่างน้อยการมาศึกษานี้คงจะได้รู้วิธีว่าทำอย่างไร แต่ยังทำไม่ได้ยังทำไม่สำเร็จจบบริบูรณ์ แต่รู้วิธีว่าจะทำอย่างไร แล้วก็ไปฝึกต่อที่บ้านที่เรือนที่กลับไปแล้วก็ฝึกได้เรื่อยไป หรือจะทำซ้ำอีกเป็นสิบวันที่สอง สิบวันที่สาม สิบวันที่สี่ ก็ทำได้เรื่อยไปมันก็ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปทุกที มันก็สำเร็จประโยชน์ก็จะได้ถึงที่สุดของการพัฒนาชีวิตทันก่อนสังขารมันจะแตกดับ ประโยชน์อย่างสูงสุดก็คือมีชีวิตเย็นเป็นนิพพาน แต่อาตมาอยากจะเรียกให้มันใกล้เข้ามาให้มันเห็นง่ายขึ้นมาอีกก็ว่าชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ความทุกข์คือกัด กัดเจ้าของ ไม่ทุกข์ก็คือไม่กัด นิพพานในความหมายที่ถูกที่แท้นั้นไม่เกี่ยวกับความตาย เกี่ยวกับความไม่ตายแต่ว่าไม่มีกิเลสโดยประการทั้งปวง คือไม่มีความทุกข์ นิพพานธาตุที่ทรงแสดงไว้มีสองอย่าง คือรู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงถูกต้องในความเป็นอนัตตา จนกระทั่งรู้ว่าไอ้เรื่องความสุขก็อนัตตา ความทุกข์ก็อนัตตา ไม่ยึดถือทั้งสุขและทั้งทุกข์ ความดีก็อนัตตา ความชั่วก็อนัตตาไม่ยึดถือทั้งความดีและความชั่ว และคนก็ว่าถ้าอย่างนั้นจะได้อะไรกัน ก็ได้เหนือดีเหนือชั่ว เหนือสุขเหนือทุกข์ เพราะว่าถ้ายังดีอยู่มันก็บ้าดีเมาดีหลงดีเป็นปัญหาไปตามแบบดี ถ้าชั่วก็มีความทุกข์ไปตามแบบชั่ว เรื่องสุขก็ยุ่ง ยุ่งไปตามแบบสุขคงจะมองเห็นกันแล้ว สุข ความสุขมันยุ่งวุ่นวายไปตามแบบสุข ทุกข์มันก็ยุ่งวุ่นวายไปตามแบบทุกข์ เหนือสุขเหนือทุกข์นั่นแหละคือที่พักผ่อน ที่ว่าง ที่ไม่มีปัญหา สิ่งนั้นเรียกว่านิพพานในขั้นหนึ่งก่อน คือว่ารู้สึกอยู่ว่าสุข รู้สึกอยู่ว่าทุกข์ รู้สึกอยู่ว่าดี รู้สึกอยู่ว่าชั่ว แต่ไม่ยึดมั่นมันไม่เอากับมัน ไม่เอากับมัน นิพพานนี้อันที่หนึ่งเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ยังมีความรู้สึกเหลืออยู่สำหรับจะรู้สึกว่าสุขหรือทุกข์ เพราะอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือเวทนาทั้งหลายยังไม่เย็นสนิท มันยังรู้สึกว่าสุขหรือทุกข์อยู่แต่กูไม่เอากับมึง สุขทุกข์ดีชั่วอะไรก็ตามไม่เอาสักอย่างนี่ก็เป็นนิพพานที่หนึ่ง พอนิพพานที่สองจะไม่รู้สึกว่าสุขว่าทุกข์จะไม่รู้สึกว่าดีว่าชั่วเอาเสียเลย เวทนาทั้งหลายเย็นสนิทคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่รับอามรณ์มาในลักษณะที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เรียกว่าไม่บวกไม่ลบถ้าเราเรียกภาษาใหม่ๆที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเป็นวิทยาศาสตร์มันไม่บวกไม่ลบ ที่เป็นบวกพระพุทธเจ้าหรือใช้ในบาลีว่าอภิชฌา มันดึงให้เอาดึงให้ไปหาแล้วให้เอา ที่เป็นลบเรียกว่า โทมนัส โทมนัส ไม่ชอบกัดใคร อยากจะทำลาย นี่คือไม่บวกและไม่ลบ ไม่มีความร้อนใดๆเกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลาย เวทนาเย็นสนิท ไม่รู้สึกว่าเป็นบวกไม่รู้สึกว่าเป็นลบ ผิดกับอย่างแรกยังรู้สึกว่าเป็นบวกว่าเป็นลบแต่ทำอะไรไม่ได้ รู้สึกความทุกข์ไม่ได้ อย่างที่สองนี่ไม่รู้สึกว่าเป็นบวกเป็นลบเสียเลย นี่คือความหมายของนิพพาน ไม่ได้ตาย ไม่ได้ตายยังเป็นๆอยู่นี่แล้วก็ไม่รู้สึกบวกไม่รู้สึกลบไม่รู้สึกสุขไม่รู้สึกทุกข์ ลองคิดดูเองว่าจะเป็นอย่างไร มันเย็น มันเย็น ตามความหมายของคำๆนี้ คำว่านิพพาน นิพพาน แปลว่าเย็นไม่ได้แปลว่าตาย คนโง่เท่านั้นที่เข้าใจผิดได้รับคำสั่งสอนมาผิดว่านิพพานแปลว่าตายนิรันดร เย็น คำชาวบ้านพูดอยู่ตามบ้านเรือนก็พูดหมายถึงเย็น เช่นไฟในครัวดับก็ไฟนิพพาน อาหารร้อนอยู่กินไม่ได้ก็พูดว่ารอก่อนให้มันนิพพานแล้วกิน คำว่านิพพานในภาษาธรรมดาใช้ตามบ้านเรือนในครัวคืออย่างนี้ ทำของร้อนให้เย็นก็เรียกว่าทำให้มันนิพพาน ตัวอย่างช่างทองเขาหลอมทองเหลวคว้างร้อน พอเขาจะทำเป็นรูปพรรณก็ต้องทำให้มันเย็น เอาน้ำรดให้มันเย็นแล้วจึงจะทำได้ คำบาลีคำนี้ก็เรียกว่านิพพาไปรยะ(นาทีที่ 41:10 ) คือทำให้มันนิพพานเหมือนกัน รู้ไว้แต่ว่าคำว่านิพพาน นิพพานนี่มันแปลว่าเย็นไม่ได้แปลว่าตาย ถ้าตายก็ตายแห่งกิเลส ชีวิตจิตใจมันยังอยู่ไม่ได้ตายกิเลสตายได้เรียกว่านิพพาน แต่ความจริงก็หมายความว่าเย็นเพราะไม่มีไฟ ไฟคือกิเลสมันร้อน ไม่มีไฟมันก็เย็นเท่านั้น ยังใช้ไกลไปถึงว่าสัตว์ป่าสัตว์ดุร้ายที่ฝึกดีแล้วจนเชื่องเป็นแมวอย่างนี้เหมือนกับช้างป่าที่แสนจะดุร้ายเอามาฝึกเชื่องเป็นแมวใช้งานอยู่ที่บ้านก็เรียกว่ามันนิพพานของมันเหมือนกัน นิพพานตามแบบของสัตว์เดรัจฉานมันเย็นไม่มีโทษไม่มีภัยไม่มีอันตราย ชีวิตของเราจะเย็นได้ด้วยการฝึกให้ถูกวิธี รู้สิ่งที่ควรรู้ แล้วก็ปฏิบัติสิ่งที่ควรปฏิบัติ ปฎิจจสมุปบาท เป็นเรื่องที่ควรรู้ อานาปานสติเป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติ ปฏิบัติไปตามหลักแห่ง ปฎิจจสมุปบาทได้สิ่งที่ดีที่สุด วันก่อนก็บอกแล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็น ปฎิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม การเห็น ปฎิจจสมุปบาท มีค่าเท่ากับเห็นพระพุทธองค์ที่แท้จริง พระองค์จริง พระองค์ธรรมไม่มีแตกดับแต่เป็นนิรันดร พระพุทธเจ้าองค์นิรันดร รู้เรื่องว่าทุกข์เกิดอย่างไรทุกข์ดับอย่างไรตลอดถึงวิธีที่มันจะดับ รู้ปฎิจจสมุปบาทเรียกอีกอย่างก็เรียกอริยสัจก็ได้ จะใช้เรียกว่าอริยสัจสี่ อธิบายกันย่อๆเพียงสี่อย่าง ถ้าเรียกว่า ปฎิจจสมุปบาทก็อธิบายกันละเอียดพิสดารไปหลายๆอย่าง เป็นรอบๆตามที่มันเกี่ยวข้องกัน เรียกให้มันถูกก็ว่าอริยสัจใหญ่คือ ปฎิจจสมุปบาท อริยสัจเล็กคืออริยสัจสี่ที่เราสอนๆเรียนๆกันอยู่ อริยสัจมีสองขนาด อริยสัจใหญ่ คือ ปฎิจจสมุปบาท รู้สิ้นเชิงไม่มีเหลือเลยเกี่ยวกับทุกข์และดับทุกข์ แล้วปฏิบัติอานาปานสติเพื่อให้ดับได้ ดับได้ตามนั้น ฝึกจิต จนสามารถดับทุกข์ได้ตามนั้น อานาปานสติ พระพุทธเจ้าทำ อานาปานสติได้ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบตามที่เคยเล่าเรียนมาแล้ว ท่านเข้ามาท่านมาบวชท่านปฏิบัติโดยอานาปานสติเป็นธรรมเคลื่อนอยู่ เรียกว่าวิหารธรรม ธรรมะเคลื่อนอยู่ ท่านตรัสเองตรัสอย่างนี้ มีอานาปานสติเป็นวิหารธรรมเคลื่อนขึ้นอยู่ก็บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ยังอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เรื่อยมาคือเป็นความสงบสุขเป็นความสุข เป็นความสงบสุขเป็นชีวิตเย็นจนตลอดชีวิต นี่คือผลของการปฏิบัติธรรม เป็นบุคคลที่ค้นพบวิธีที่จะทำให้ชีวิตได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มันควรจะได้ ไม่ค้นพบเปล่า สอน สอน สอนให้รู้ ให้คนอื่นรู้ให้ทำตามได้ด้วยนี่พระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ก็เป็นอย่างนี้ ทีนี้เราก็มีหน้าที่ที่จะศึกษาให้รู้แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ตามนั้น เหมือนอย่างที่เรากำลังมาปฏิบัติกันอยู่
เอาละวันนี้ตั้งใจจะพูดเรื่องผลของการปฏิบัติ ก็ดูเอาเองคือเรียนรู้เรื่อง ปฎิจจสมุปบาท แล้วปฏิบัติอานาปานสติแล้วผลอะไรมันเกิดขึ้น ความเย็นเกิดขึ้นเพราะกิเลสไม่เผาก็เรียกว่าเย็น เย็น บริสุทธิ์จากกิเลส กิเลสก็ไม่เผา ไม่เผามันก็เย็น นี่ก็เป็นชีวิตที่เข้มแข็งก็มีสมาธิ มีสมาธิ ไม่มีความทุกข์เพราะเย็นแล้วก็เข้มแข็งเพราะสมาธิสามารถจะทำอะไรให้ถึงที่สุดได้ ไอ้สมาธินี้มันเป็นตัวกำลังถ้าปัญญาไม่มีสมาธิช่วยปัญญาก็ไม่มีกำลังเรียกว่าความคมมันไม่ตัดถ้าไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไป สมาธิก็ช่วยปัญญาทำหน้าที่ได้ นี่เรียกว่าความเข้มแข็งมันก็ตัดขาดไปเลย ตัดกิเลส ทีนี้ก็ยังมีอีกคำหนึ่งเรียกว่าว่องไวเป็นกัมมนียะ (นาทีที่ 47:00 )ซึ่งในภาษาใหม่ๆทางการศึกษาสมัยใหม่เขาก็นิยมกันมาก กัมมนียะภาษาบาลี ภาษาไทยว่าว่องไวในหน้าที่ ภาษาฝรั่งเรียกว่า Active Activeness มันแคล่วคล่องว่องไวเหมาะสมที่สุดในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ นั้นท่านศึกษาธรรมะเหล่านี้แล้วมันจะมีผลอย่างนี้คือชีวิตนี้มันก็เย็นก็มีความเข้มแข้งกำลังมาก แล้วก็มีความแคล่วคล่องว่องไวในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างทุกประการ ทางกายก็ว่องไว ทางจิตก็ว่องไว ทางสติปัญญาก็ว่องไว เป็น Active สูงสุดไม่มีอะไรเสมอเหมือน ลองคิดดูว่าจะได้ผลอย่างไร จะได้ผลอย่างไร แล้วชีวิตนี้มันเป็นได้อย่างนี้มันก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ จะพูดถึงความเย็นหรือชีวิตเย็นให้มันละเอียดออกไปก็ว่า ตามหลักของอานาปานสติหมวดที่สามที่เรียกว่าจิตตานุปัสสนา สามารถทำให้จิตให้ เมื่อรู้จักจิตทุกชนิดแล้วก็สามารถทำจิตให้บันเทิง ปราโมทย์ บันเทิง มีความพอใจในชีวิตนี่เรียกว่าปราโมทย์ภิโมทะยัง(นาทีที่ 48:37 ) สามารถทำให้มีความบันเทิงพอใจขึ้นมาได้ เมื่อใดก็ได้ตามที่ต้องการ แล้วก็มีสมาทะหัง (นาทีที่ 48:48 ) มั่นคง แข็งโปกอยู่ในความคงที่ไม่ผิดพลาดไม่เดือดร้อน แล้วก็วิโมจะยัง(นาทีที่ 48:58 ) ปล่อยสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ด้วยอุปาทาน ปล่อยๆๆ ไม่มีอะไรยึดถือไว้ด้วยอุปาทาน นี่มันเป็นคำบาลีจะรู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ แต่ถ้ารู้ก็ดี อภิโมทะยัง ทำให้ปราโมทย์ บันเทิง สมาระหัง ทำให้ตั้งมั่น วิโมจะยัง ทำให้ปล่อย ปล่อย ปล่อยออกไป แล้วทำไมจะไม่เย็นลองคิดดู เรามีความสามารถที่จะทำจิตให้เย็น หมดความร้อนด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ฝึกไว้ดีแล้ว หายใจเพียงครั้งเดียวก็เกิด ปิติ ปราโมทย์ เย็น เกิดเข้มแข็งคงที่ ความร้อนเกิดไม่ได้ แล้วก็ปล่อย ปล่อย ไม่เอาอะไรมายึดมั่นถือมั่นไว้โดยการเป็นของหนัก ไปยึดมั่นอะไรไว้เป็นตัวตนเป็นของตนมันก็หนัก เป็นของหนักแก่ชีวิตแล้วมันก็กัดเจ้าของ ยึดมั่นอะไรไว้ด้วยอุปาทานแล้วสิ่งนั้นมันกัดเจ้าของ เงินทอง ทรัพย์สมบัติสิ่งของ บุตรภรรยาสามี เกียรติยศ ชื่อเสียง มีไว้ได้โดยไม่ต้องยึดมั่น พอยึดมั่นมันกัดเจ้าของทันที มีไว้เกี่ยวข้องด้วยได้ ใช้เป็นประโยชน์ได้ อยู่ด้วยกันได้แต่อย่าไปทำความยึดมั่นด้วยอุปาทาน มันก็ยึดมั่นด้วยอุปาทานเป็นเจ้าของมันก็กัดเจ้าของทันที ชีวิตมันกัดเจ้าของ เพราะมันยึดมั่น มันเป็นสิ่งที่ละเอียดประณีต ทำยากแต่ว่างดงามประเสริฐที่สุดนี่เป็นยอด Art ศิลปะ ศิลปะในพระพุทธศาสนา ปล่อยวางสิ่งทั้งปวงออกไปไม่ยึดถือว่าเป็นของกู แต่เกี่ยวข้องอยู่ใช้อยู่กินอยู่อะไรอยู่โดยประการทั้งปวง มันเป็นศิลปะเป็นฝีมือที่ยอดสุดไม่มีอะไรเสมอเหมือน เราได้เคล็ดลับ เคล็ดลับ เรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆว่าเคล็ดลับ เรียกเป็นภาษาฝรั่งโก้หน่อยก็เทคนิค หรือ Technology ที่จะทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์มีแต่ความถูกต้องพอใจเยือกเย็น นี่เรียกว่ามีความเยือกเย็น ทีนี้ดูต่อไปเป็นเข้มแข็ง ที่ว่าเข้มแข็งอธิบายออกไปว่า อารมณ์ภายนอกมาทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่จะเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เข้ามาแล้วทำให้จิตใจนี้หวั่นไหวไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ รับอารมณ์เหล่านั้นอย่างปกติอย่างคงที่นี่เรียกว่าเข้มแข็งต่ออารมณ์ภายนอก หมายความว่าจะมีอะไรมาทำให้รักไม่ได้จะมีอะไรมาทำให้โกธรไม่ได้ ไม่รักไม่โกธรหรือไม่บวกไม่ลบดังที่กล่าวแล้วตั้งต้น ก็สบาย นี่ดูอีกขั้นหนึ่งก็ว่ามันเข้มแข็งต่อการปรุงแต่งของสังขารในภายใน คำว่าสังขาร สังขารนี่ อย่าเข้าใจเหมือนลูกเด็กๆในโรงเรียนหรือยายแก่ตามศาลาวัดสังขารคือร่างกาย สังขารคือร่างกายไม่ใช่อย่างนั้น คำว่าสังขารแปลว่าการปรุงแต่ง สิ่งที่ปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร สิ่งที่ถูกปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร กิริยาอาการที่ปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร นั้นมันมีการปรุงแต่งอยู่เรื่อย ปรุงแต่งให้เป็นนั่นเป็นนี่ที่ร้ายกาจก็ปรุงแต่งให้เป็นกิเลส นี่เราก็เข้มแข็งไม่ให้มันปรุงแต่งไปตามนั้นคงที่ไว้ ไม่ให้ปรุงแต่งถึงจะปรุงแต่งขึ้นมาก็ไม่มีความหมายคือให้เป็นทุกข์ไม่ได้ มีความเข้มแข็งต่อการปรุงแต่ง นี้จะพูดให้ชัดต่อไปอีกก็พูดว่าเข้มแข็งต่อการบีบคั้นของกิเลส ข้อนี้สำคัญมากนะขอให้ช่วยจำไว้ให้ดี เข้มแข็งทนได้ เข้มแข็งต่อการบีบคั้นของกิเลสที่เราจะต้องลำบากยุ่งยากกระทั่งวินาศฉิบหายไปก็เพราะว่าทนไม่ได้ต่อการบีบคั้นของกิเลส เช่นอบายมุขทั้งหลายทนไม่ได้เพราะกิเลสมันบีบคั้น ทนไม่ได้ก็ต้องไปหาอบายมุขทั้งหลาย มันก็วินาศ จะเรียกว่าขันตี ก็ได้ อดทน อดทนได้ เดี๋ยวนี้เรียกว่ามันเป็นความเข้มแข็งเป็นความคงที่ของจิตทนต่อการบีบคั้นของกิเลส จำเป็นจะต้องใช้นับตั้งแต่ลูกเด็กๆทารกของเราก็สอนให้เขารู้จักทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ของความคิดฝ่ายต่ำฝ่ายชั่ว ยิ่งโตขึ้นมายิ่งต้องการ ยิ่งเป็นหนุ่มเป็นสาวยิ่งต้องการ แม้เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ยังต้องการเพราะกิเลสยังบังคับอยู่ แก่เฒ่าจะเข้าโลงอยู่แล้วก็ต้องทนต่อการบีบคั้นของกิเลส นั้นชั้นละเอียด ไม่ต้องกลัวต่อความตาย ไม่ต้องกลัวต่อความเจ็บปวด ไม่ต้องกลัวต่ออะไรๆ ก็เรียกว่าทนได้ต่อการบีบคั้นของกิเลส มันเข้มแข็งถึงอย่างนี้ อารมณ์ภายนอกก็ทำอะไรไม่ได้ การปรุงแต่งในภายในก็ทำอะไรไม่ได้ กิเลสก็บีบคั้นไม่ได้เรามีความเข้มแข็งกันอย่างนี้หรือเปล่า ที่เป็นอยู่กันนี่ดูจะไม่มีความเข้มแข็งเอาเสียเลย นั่นแหละปฏิบัติจิตให้ถูกต้องเถิดมันจะมีความเข้มแข็ง ทีนี้จะพูดถึงสิ่งที่สาม ที่ว่องไว ว่องไว Active ในหน้าที่การงาน คำว่าว่องไวในทีนี้ก็หมายถึงว่องไวในหน้าที่การงานที่ควรจะทำ ไม่ใช่ว่องไวในการจะทำไปตามกิเลสหรือทำความชั่ว บาลีเรียกว่า กัมมนียะ แปลว่าสมควรแก่การงานแก่กรรม สมควรแก่การทำการงานที่ถูกต้องคือหมายความว่ามันว่องไว ในหน้าที่การงานเพราะเหตุใดเพราะมันรู้ เพราะมันรู้ทุกอย่างโดยเฉพาะรู้เรื่องอนัตตาไม่ไปเที่ยวหลงใหลติดพันในสิ่งใดๆ มันรอบรู้ มันรอบรู้ในการใช้ธรรมะข้อไหนแก้ปัญหาอะไร ธรรมะข้อไหนแก้ปัญหาอะไรมันก็รอบรู้ รอบรู้ แล้วมันก็คล่องแคล่ว คล่องแคล่ว รวดเร็ว เพราะมันมีสติสมบูรณ์ สติสมบูรณ์ ที่พูดกันแล้วเมื่อวานนี้เรื่องสติ มันมีสติสมบูรณ์ มันก็ทำได้คล่องแคล่ว ไม่ติดขัด แล้วมันก็รอบคอบ รอบคอบด้วยสติด้วยสัมปชัญญะด้วย มัชฌิมาปฏิปทา มีญาณทัศนะความรู้ถูกต้องครบถ้วนตามที่เป็นจริงมันก็รอบคอบไม่มีอะไรตกหล่น เขามีความรอบรู้ในหน้าที่การงาน เขามีความคล่องแคล่วในการปฏิบัติเขาก็มีความรอบคอบไม่มีอะไรตกหล่นบกพร่องในหน้าที่การงาน นี่ผลของการรู้ ปฎิจจสมุปบาท และการปฏิบัติอานาปานสติ ทำให้ชีวิตนี้เย็นและทำให้มีความเข้มแข็งในชีวิตนี้แล้วก็ทำให้ว่องไวในชีวิตนี้ ให้ชีวิตนี้เย็นนี้เอาไว้ก่อนเถอะ ไม่มีความทุกข์ไม่มีความร้อนและชีวิตนี้เข้มแข็ง แข็งอยู่ในความถูกต้อง ความผิดความชั่วดึงไปไม่ได้ มันแข็งโปกในความถูกต้อง มันรู้ความจริงถึงที่สุดแล้ว มันมีความแข็งโปกอยู่ในความถูกต้อง มีธรรมะข้อหนึ่งซึ่งชื่อมันออกจะแปลกแต่ก็ควรได้ยินไว้ได้รู้ไว้ว่า อตัมมยตา อตัมมยตา เอาแต่ความหมายก็ว่า แข็งโปกอยู่ในความถูกต้อง ตามตัวหนังสือก็ว่า อะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ อะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ ไม่เป็นไปตามปัจจัยแวดล้อมปรุงแต่ง แข็งโปกอยู่ในความถูกต้อง บรรดาความไม่ถูกต้องแล้วกูไม่เอากับมึงอีกต่อไป นี่เรียกว่าความแข็งโปกอยู่ในความถูกต้องหรือความจริงหรือพระนิพพานหรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกคือความถูกต้องก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้เรามันแข็งโปกอยู่ในความถูกต้องไม่ได้ พอมีอารมณ์มีเหยื่อของกิเลสมาดึงมันก็ไป ไปหาอบายมุข ไปหาเรื่องกิเลสนานาชนิด เห็นแก่ตัวทำปัญหาให้เกิดเต็มบ้านเต็มเมือง แม้แต่คู่ผัวตัวเมียก็ต้องหย่ากันเพราะเหตุนี้เพราะความไม่เข้มแข็งอยู่ในความถูกต้อง ขอให้รู้จักไว้ว่าเราจะเข้มแข็งอยู่ในความถูกต้องสูงสุดคือไม่ยึดมั่นอะไรในความเป็นตัวตนของตน แล้วก็ไม่เห็นแก่ตนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้อง นี่เป็นหลักของชีวิตที่สูงสุด คงที่อยู่ในความถูกต้อง อะไรๆจะมาปรุงมาแต่งมาดึงมาลากไปจากความถูกต้องไม่ได้ นี่เป็นผลของความรู้และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ชีวิตไม่กัดเจ้าของ ถ้ามันดึงไปสู่ความผิดพลาดได้ ไอ้ความผิดพลาดนั้นมันกัดเจ้าของ มันดึงไปยึดมั่นถือมั่นอะไรเข้าโดยความเป็นตัวตนของตนมันก็กัดเจ้าของ จำไว้สั้นๆว่ายึดมั่นสิ่งใดแล้วสิ่งนั้นแหละมันกัด ไปยึดมั่นเป็นตัวตนเป็นของตนในสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันกัด มันทำให้ติดหนับ หนับขึ้นมาแล้วก็เห็นแก่ตัวแล้วก็ทำไปเกิดความยุ่งยากลำบากนานๆประการ ไอ้โลกเรานี่กำลังจะวินาศเพราะสิ่งนี้เพราะความเห็นแก่ตัว ทั้งโลกทั้งจักรวาลมันจะเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ ตามความเจริญทางวัตถุ ปัญหามากมายหลายประการไม่รู้กี่ร้อยกี่พันอย่างเกิดจากความเห็นแก่ตัว เพราะมันไม่คงที่อยู่ในความถูกต้อง ภาษาไทยถ้าจะพูดว่าถ้าทุกคนเห็นแก่ตัวนี่มันจะเกิดอะไรขึ้น ประชาชนก็เห็นแก่ตัว รัฐบาลก็เห็นแก่ตัว นักการเมืองก็เห็นแก่ตัว สภาก็เห็นแก่ตัว อะไรก็เห็นแก่ตัว ทหารก็เห็นแก่ตัว อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้องแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ลองคิดดู อย่าไปหวังอะไรให้มันมาก หวังไม่เห็นแก่ตัว หวังให้มีความถูกต้อง เห็นแก่ความถูกต้อง เดี๋ยวนี้คนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนไม่จนไม่มั่งมีก็เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวไปเสียทุกคนตามแบบของตน ของตน มันก็คอยจ้องที่จะกอบโกยไปตามแบบของตน ของตน แล้วมันก็กัด กัดตัวเอง กัดตัวเองให้เป็นทุกข์แล้วมันก็กัดผู้อื่นให้เป็นทุกข์ ชีวิตกัดตัวเองแล้วกัดผู้อื่นให้เป็นทุกข์ ไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็จะไม่กัดใครให้เป็นทุกข์
เหลือเวลาหน่อยนี่ก็พูดถึงเรื่องการกัดเจ้าของ อาการที่มันกัดเจ้าของหรือสิ่งที่มันกัดเจ้าของ ยกตัวอย่างมาให้เพียงพอสำหรับที่จะศึกษาว่ามีอะไรบ้าง มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างมาสักสิบอย่าง ความรัก ความโกธร ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ความอิจฉาริษยา ความหวง ความหึง สักสิบอย่างนี่สิบกว่าอย่างแล้ว ความรัก รักในสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันกัดลองดู ยิ่งรักด้วยกิเลสแล้วมันก็กัด กัดมาก ถ้ารักด้วยเมตตารักด้วยคุณความดีมันก็ยังกัดอย่างแนบเนียน รักด้วยกิเลสรักทางกามารมณ์มันก็กัดอย่างเห็นๆกันอยู่ รักด้วยเมตตาอย่างแม่รักลูกนี่มันก็กัดเหมือนกัน พอลูกจะตายลูกเจ็บไข้มันก็เหลือประมาณแม่นี้น้ำตาไหล ถ้าลูกตายไปก็ร้องไห้ ขึ้นชื่อว่าความรักแล้วมันก็กัด ถ้าไม่ต้องรักมันก็ไม่ต้องกัด นั้นมีโดยที่ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกนี่มันก็อยู่เหนือความรัก เหนือความรัก มันก็ไม่มีอะไรกัด ทีนี้ความโกธร พอโกธรมันก็ร้อนเป็นไฟมันก็กัด แล้วก็กัดตัวผู้โกธรก่อน ผู้ที่เราไปโกธรเขาบางทีเขาไม่รู้ด้วยซ้ำไป พอเราไปโกธรมันก็กัดผู้ โกธรก่อนร้อนเป็นไฟ ไม่โกธรดีกว่ามันก็ไม่กัด ความเกลียดไปเกลียดอะไรเข้ามันก็กัดหัวใจคนเกลียดนั่นแหละ ไม่ใช่ไปกัดไอ้คนที่ถูกเกลียดหรือสิ่งที่ถูกเกลียด ความเกลียดมันกัด ความกลัว กลัวไม่ว่ากลัวอะไร กลัวชนิดไหนมันก็กัดเจ้าของกัดคนกลัว ไม่กลัวอะไรก็ไม่มีอะไรกัด การตื่นเต้นนี้สำคัญมาก ความตื่นเต้นในอะไรมันก็สิ่งนั้นมันก็กัด ของแปลก ของน่าอัศจรรย์ที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นมันกัดอย่างไม่รู้สึก ต้องไปดูมวยต้องไปดูกีฬาต้องไปหาอะไรมาดื่มมากินให้มันตื่นเต้น ตื่นเต้น ตื่นเต้น ความตื่นเต้นอย่างนี้มันกัดเจ้าของ ถ้าไม่ตื่นเต้นมันสบายกว่า สบายกว่า ไม่ตื่นเต้นหวั่นไหวไปตามอะไรมันสบายกว่า นี้ความวิตกกังวลที่ยังไม่มา ไอ้เรื่องที่ยังไม่มาก็เอามาวิตกกังวลไม่ใช่เอามาคิดอย่างถูกวิธี มันเอามาโง่แล้ววิตกกังวลให้มันกัดเจ้าของ ถ้ามาคิดตามสมควรให้ถูกวิธีนี้มันก็อีกอย่างหนึ่งมันไม่กัดเจ้าของมันเป็นประโยชน์ เอามาวิตกกังวล วิตกกังวล อย่างที่มีมีกันอยู่ก็กัดเจ้าของ นั่นเป็นเรื่องอนาคตเอามาวิตกกังวล ที่เรื่องเป็นอดีตเอามาอาลัยอาวรณ์ อาลัยอาวรณ์ไม่รู้จักสิ้นสุด ของสูญหายไปมันก็ยังกัดเจ้าของอยู่นั่นแหละ คนตายไปแล้วก็ยังกัดเจ้าของผู้รักผู้อาลัยอาวรณ์อยู่ นี่เรียกอดีตอาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่ล่วงไปแล้วในอดีตมันก็กัดเจ้าของ ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ให้มันกัดเจ้าของจะทำอะไรก็ทำ ทำบุญทำทานอะไรให้เขาก็ทำไปเถอะ ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ให้มันกัดเจ้าของ อิจฉาริษยานี่สำคัญมาก มันคล้ายจะเป็นสิ่งทั่วไปเพราะว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานนี่มันก็ยังรู้จักอิจฉาริษยากัน ส่วนมนุษย์ก็แรงกว่านั้นมากละเอียดประณีตกว่านั้นมากความอิจฉาริษยา อิจฉาริษยาใครมันกัดผู้อิจฉาริษยาทันที ผู้ที่ถูกอิจฉาริษยายังนอนหลับไม่รู้ด้วยซ้ำไปและไปอิจฉาริษยาเขามันก็กัดตัวผู้อิจฉาริษยา อย่าเอากับมันเลยมีเมตตากรุณาจะดีกว่ามันไม่กัดเจ้าของ อิจฉาริษยาเมื่อใดก็กัดเจ้าของเมื่อนั้น นี่เรียกว่าอิจฉาริษยา โลกนี้ไม่มีความสงบสุขไม่มีสันติภาพเพราะมันมีการอิจฉาริษยากันระหว่างบุคคล ระหว่างหมู่คณะของบุคคล ระหว่างบริษัทนั่นบริษัทนี่ ระหว่างประเทศนั้นประเทศนี้ อิจฉาริษยาจะคอยทำลายล้างกัน กูจะครองโลก มึงเป็นข้าศึกกูก็จะทำลายมึงนี่ ความอิจฉาริษยามีไปทั้งโลก มีทั่วไปทั้งโลก เราจะเห็นได้ว่าแย่งกันครองโลก มันแย่งกันครองโลกมันก็ต้องอิจฉาริษยากันแล้วจะหาความสงบสุขมาจากไหน ระหว่างบุคคลก็อิจฉาริษยามันก็รักกันไม่ได้ มันก็เป็นศัตรูกันเปล่าๆ หมู่คณะ โลกจะฉิบหายเพราะความอิจฉาริษยา นี่อย่างบาลีว่าอิจฉาโลกนาสิกา(นาทีที่ 01:09:18) ความริษยาจะทำโลกให้ฉิบหาย คอยดูสิมันแย่งกันครองโลกมันฉิบหาย มันอิจฉาริษยากันมันจะทำความวินาศให้แก่โลก นี้ความหวง มันไม่เกี่ยวกับเพศไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ มันหวงมันขี้เหนียวมันตระหนี่ มันก็กัดเจ้าของเหมือนกัน บางทีหวงล่วงหน้า ไม่มีใครมาขอไม่ทันจะมีใครมาขอก็หวงไว้ล่วงหน้า วิตกกังวลไว้ล่วงหน้าก็กัดเจ้าของ ความหึงเป็นเรื่องหวงทางกามารมณ์ทางเพศ ความหึงนี่ก็กัดเจ้าของ หึงเท่าใดก็กัดเท่านั้น ฆ่ากันตายเพราะเหตุนี้มากมาย เพราะความหึง ขอทบทวนอีกทีว่า ความรักกัดเจ้าของ ความโกธรกัดเจ้าของ ความเกลียดกัดเจ้าของ ความกลัวกัดเจ้าของ ความตื่นเต้น ตื่นเต้นแห่งจิตใจมันกัดเจ้าของ ความวิตกกังวลในอนาคตกัดเจ้าของ อาลัยอาวรณ์ในอดีตกัดเจ้าของ อิจฉาริษยากัดเจ้าของ ความหวงกัดเจ้าของ ความหึงกัดเจ้าของ นี่ตัวอย่างยังมีอีกมากเท่านี้ก็เกินพอแล้ว ที่จะมองเห็นว่าไอ้ชีวิตนี้มันดำเนินไปผิดๆ แล้วมันก็ย้อนมากัดเจ้าของ พอเรารู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ทุกอย่างทุกส่วนประกอบของสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ตัวตนอันแท้จริงเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยเฉพาะคือความโง่ ความหลง อวิชชาเข้าไปหมายมั่นยึดมั่นว่าจะให้เป็นอย่างนั้นจะให้เป็นอย่างนี้ แล้วมันไม่เป็นไปตามนั้นแล้วมันก็กัดเจ้าของ ถ้าปฏิบัติอานาปานสติสำเร็จก็ควบคุมไว้ได้ไม่ให้มันคิดอย่างนั้น ไม่ให้มันโง่อย่างนั้น ไม่ให้มันไปยึดมั่นอย่างนั้น มันก็ไม่กัดเจ้าของ นี่ประโยชน์ของความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทและประโยชน์ของการปฏิบัติสำเร็จในเรื่องอานาปานสติ มันทำให้ชีวิตไม่กัดเจ้าของ ขอฝากไว้ให้เป็นเรื่องตลอดชีวิต ขออย่าให้ชีวิตนี้กัดเจ้าของเลย ควบคุมมันไว้ให้ได้ความรัก ความโกธร ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวง หึงเหล่านี้ ต้องอยู่ในความควบคุมของเราอย่าให้มันมีอำนาจเหนือเรา แต่ให้เรามีอำนาจเหนือมัน ควบคุมมันได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นไปในทางถูกต้องเสียให้หมด ให้เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์เสียให้หมด ไม่มีโทษโดยประการใดๆ นี่คือประโยชน์สูงสุดของธรรมะ ที่ปฏิบัติสำเร็จ ปฏิบัติธรรมะสำเร็จแล้วชีวิตไม่กัดเจ้าของ ไม่มีธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะไม่สำเร็จ เท่าไร ไอ้ชีวิตก็จะกัดเจ้าของเท่านั้น ขอให้รู้ลู่ทางไว้ รู้ความจริงของสิ่งเหล่านี้ไว้ แล้วก็ปฏิบัติให้ได้วันนี้ยังปฏิบัติไม่ได้ก็ปฏิบัติต่อไปในวันหน้า ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อยไป พยายามปฏิบัติเรื่อยไปให้ก้าวหน้าเรื่อยไป สักวันหนึ่งมันจะได้ แล้วจะถึงจุดๆหนึ่งซึ่งชีวิตนี้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดสูงสุดที่ชีวิตนี้จะมีได้ที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านนั้นว่าค้าขายด้วยชีวิตถึงที่สุดประสบความสำเร็จถึงที่สุด แต่ถ้าเรียกเป็นธรรมะก็คือนิพพาน ชีวิตเย็น ไม่ร้อนโดยประการใดๆเป็นชีวิตสะอาด เป็นชีวิตอิสระ เป็นชีวิตที่หมดปัญหา ใช้คำว่าอย่างนี้ดีกว่า ไม่มีปัญหาใดเหลืออยู่ในชีวิตนั้น นั่นคือชีวิตที่อยู่ด้วยนิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น เพราะว่ามันไม่มีร้อน ร้อนไม่มีมาก็เย็น เย็นก็เป็นนิพพาน ชั่วขณะ ชั่วขณะก็ยังดีแต่ถ้าทำไปเรื่อยๆมันก็เต็ม เต็มติดต่อกันไม่ขาดตอน ด้วยอำนาจของสติเรารักษาไว้ให้มันติดต่อกันเรื่อยไปไม่ขาดตอน ก็ได้สิ่งที่เรียกว่าพระนิพพานเป็นของขวัญในการที่ได้เกิดมาชาติหนึ่งนี้มีเดิมพันคือชีวิตมันลงทุนค้า และได้รับผลสูงสุดคือพระนิพพาน นี่ในแง่ของจิตใจ ในแง่ของวัตถุเขาก็ได้เงินได้ทองได้ข้าวได้ของอำนาจวาสนาบารมีมาเป็นของขวัญ แต่ระวังให้ดีไอ้ของขวัญนั้นมันจะกัดเอา ถ้าไม่มีธรรมะเข้าไปควบคุมสิ่งเหล่านั้นสิ่งเหล่านั้นจะกัดเอา แล้วประโยชน์สูงสุดทางโลกมันจะกัดเอา ถ้าเราไม่มีความรู้ทางธรรมะเข้าไปควบคุมสิ่งเหล่านั้น นั้นขอให้ผู้ที่ประสบความสำเร็จในทางโลกๆดูให้ดียังไม่พอหรอกต้องหาอะไรไปควบคุมมันอีกทีหนึ่ง ไอ้ความสำเร็จในทางโลกจะไม่เป็นภัยแว้งกัดเจ้าของ ก็คือความรู้ทางธรรมะอยู่อย่างเหนือไว้เสมอ เหนือไว้เสมอ เหนือโลก ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดอยู่เหนือสิ่งนั้น คือว่าเหนือนะ ใช้คำว่าเหนือ เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือได้เหนือเสีย เหนือแพ้เหนือชนะ เหนือกำไรเหนือขาดทุน เหนือเอาเปรียบเหนือเสียเปรียบ เหนือไปทุกคู่ เหนือนะดีกว่าอยู่ในระหว่าง ถ้าอยู่ในระหว่างเดี๋ยวมันไปทางไหนไม่ทันรู้ เหนือไว้เถอะ เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาปเหนือสุขเหนือทุกข์ พูดสั้นๆบุญก็ไม่ไหว ทะเลาะกันเพราะบุญก็ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร บ้าบุญเมาบุญก็คือนรกชนิดหนึ่ง บาปมันก็เหมือนกันไม่ไหว ชั่วมันก็ไม่ไหว แต่ดีนี้ก็ลองดูบ้าดีเมาดีหลงดีดู มันจะยิ่งกว่าบาป นั้นไม่ ไม่ ไม่เป็นทาสคือไม่อยู่ใต้ อยู่เหนือ คัมภีร์คริสต์เตียนของยิวโบราณก่อนพระเยซูก็สอนไว้ดี คือคัมภีร์ของยิว อย่าไปกินผลที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่วนะ อาดัมกับอีฟ พระเจ้าสั่งว่าอย่างนั้นมันก็ไม่เชื่อมันไปกินเข้า มันก็รู้ดีรู้ชั่วมันก็บ้าดีบ้าชั่ว หลงดีหลงชั่วจนเป็นเรื่องเป็นราว เพราะว่าไม่อาจจะเข้าใจธรรมะอันลึกซึ้งว่าอย่าไปยึดดียึดชั่ว เหลาจื้อ พร้อมๆสมัยกับพระพุทธเจ้าหรือก่อนนิดหน่อยก็สอนว่าอย่าไปหลงติดบวกลบ อิมเอี๊ยง หยินหยาง แล้วแต่ภาษาจีนกลาง ภาษาจีนไหน ภาษาจีนแต้จิ๋วเขาว่า อิมเอี๊ยง คือบวกลบ ถ้าไปติดกับอิมกับเอี๊ยงแล้วทนทุกข์ทรมานอย่า อิมอย่าอย่าเอี๊ยงคือเหนืออิมเหนือเอี๊ยง ไม่บวกไม่ลบ ไม่ดีไม่ชั่ว ก็จะไม่มีปัญหา แต่คนก็ไม่เข้าใจ พวกถือลัทธิเต๋าก็ไม่ได้ปฏิบัติกันถึงขนาดนี้ก็ไม่เข้าใจ มันเหลือแต่อาซิ้มไหว้หัวสิงโตอยู่ แล้วมันก้ไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องฮินดูนี้มันก็สอนเรื่องอย่า ปุญญะ อย่าบาปะ อย่าบุญอย่าบาป จะไปชีวิตนิรันดรเป็นปรมาตมันอยู่นิรันดรเป็นตัวตน แล้วก็ทำไม่ได้ก็ยังมีบ้าบุญบ้าบาปกันอยู่ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้อยู่เหนือ เหนือคู่ คู่ คู่เหล่านี้ เหนือสิ่งที่เป็นคู่ๆเหล่านี้มันไม่มีบวกมันไม่มีลบ ก็เป็นอิสระ ความคิดนี่เป็นอิสระจิตใจนี่เป็นอิสระ เหนือบวกเหนือลบก็ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ มันมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ มันจะใช้หลักวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์สูงสุดสักคนหนึ่งก็ได้ เดี๋ยวนี้ถือกันว่า อัลเบริตต์ ไอน์สไตน์ เป็นยอดนักวิทยาศาสตร์เขาสอนว่าอย่าไปหลงโง่กับความหลอกลวงของความสัมพันธ์กันระหว่างเวลากับเนื้อที่ การกินเวลากับการกินเนื้อที่ ถ้ามันสัมพันธ์กันอย่างนี้มันจะออกรสมาอย่างนี้ ถ้ามันสัมพันธ์กันอย่างนี้มันจะออกรสมาอย่างโน้น Relative of time and space(นาทีที่ 01:19:17) เขาเรียกสั้นๆว่าอย่างนั้น สัมพัทธ์ทฤษฎีระหว่าง time กับ space การกินเวลากับการกินเนื้อที่เพียง เปลี่ยนแต่เปลี่ยนเวลาหรือเปลี่ยนเนื้อที่รสนั้นก็จะเปลี่ยนที่หวานก็จะไม่หวาน ที่ขมก็จะไม่ขมมันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวนี้เราไปหลง หลง หลงว่าเพราะอย่างไร ถูกลิ้นก็พอใจ ถูกกับหูก็พอใจ ถูกกับตาก็พอใจ เพราะไปโง่ไปหลงไอ้ความหลอกลวงของความพอดีของการสัมพันธ์กันระหว่างการกินเวลากับการกินเนื้อที่ นี่วิทยาศาสตร์ที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ไม่หลงบวกไม่หลงลบไม่หลงดีไม่ไหลงชั่ว มันก็มีผลเป็นนิพพานเหมือนกันแหละ เพราะฉะนั้นเรามองพระพุทธศาสนาของเราอย่างเป็นยอดวิทยาศาสตร์ก็ได้ ที่จะสอนไม่ให้หลงดีไม่ให้หลงชั่ว ไม่ให้หลงบวกไม่ให้หลงลบ เอาวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไปช่วยอธิบายศาสนาไปช่วยอธิบายพระพุทธศาสนาหรือไปช่วยให้ปฏิบัติสำเร็จโดยง่ายก็ได้เหมือนกัน ก็มันเป็นวิทยาศาสตร์ด้วยกัน ไม่หลงบวกไม่หลงลบแล้วก็จะอยู่เหนืออำนาจของความเป็นบวกและความเป็นลบ เมื่อไปพูดถึงเรื่องนี้พวกฝรั่งก็สนใจกันมากเขาพอใจและเข้าใจ แล้วก็สนใจกันมากคือสนใจในพระพุทธศาสนาที่จะช่วยอยู่เหนือบวกเหนือลบ แล้วชีวิตไม่กัดเจ้าของ พวกฝรั่งก็พอใจคำนี้มาก ว่าชีวิตไม่กัดเจ้าของ ก็ไม่อยู่เป็นบวกเป็นลบ ก็ไม่โง่เป็นบวกเป็นลบ ก็ไม่อยู่ใต้อำนาจของความเป็นบวกและความเป็นลบ จึงหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนนี่จะมีความรู้เรื่องนี้คือเรื่องโง่จนยึดมั่นถือมั่นบวกและลบเป็นตัวตนเป็นของตน เลิกยึดมั่นถือมั่นทั้งบวกและทั้งลบว่าเป็นตัวตนของตน ไม่เอา ดีชั่วไม่เอาบุญบาปไม่เอาสุขทุกข์ไม่เอา เอาอยู่เหนือ เหนือ เหนือเป็นนิพพาน เหนือสิ่งที่เป็นคู่ ถ้ามันยังเป็นคู่อยู่เพียงไรมันก็มีการปรุงแต่งอยู่เพียงนั้น ความเป็นบวกมาก็เกิดตัวกูที่เป็นบวกมันจะเอา ความเป็นลบมาก็เกิดตัวกูที่เป็นลบมันจะฆ่าเสีย นี่คือความยินดีและความยินร้าย อย่ามีทั้งสองฝ่ายหรือทั้งสองอย่าง เราก็อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง ปฏิบัติอานาปานสติสำเร็จมีความรู้ถึงที่สุด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนกระทั่งอตัมมยตา ไม่ติดข้องอยู่ในสิ่งใดก็ชนะเหนือโลกเหนือจักรวาลเหนือทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรมาทำให้เป็นทุกข์ได้ นั่นแหละสุดยอด สุดยอดของการที่ชีวิตไม่กัดเจ้าของ ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะมีความเข้าใจเรื่องนี้เป็นเค้าเงื่อนเบื้องต้นสำหรับปฏิบัติดำเนินต่อไปอย่าให้รู้หยุดเสียจนกว่าจะถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง คืออยู่เหนืออำนาจของสิ่งปรุงแต่งที่เป็นคู่ คู่ คู่เหล่านี้หมด อย่าต้องหัวเราะอย่าต้องร้องไห้ อย่าต้องดีใจอย่าต้องเสียใจ คำนี้ฟังให้ดีดีนะ เสียใจก็นอนไม่หลับกินข้าวไม่ลง แต่ดีใจถ้ามันมากไปก็กินข้าวไม่ลงนอนไม่หลับเหมือนกัน อย่าเอามันเลยทั้งดีใจทั้งเสียใจ อยู่เหนือนั้นเสียคือความเป็นกลางหรือเป็นของว่างเป็นพระนิพพานนั่นแหละเหนือดีใจเหนือเสียใจ ดีใจก็ยุ่งเสียใจก็ยุ่ง ชั้นไม่เอาทั้งสองอย่าง เอาที่ความว่างหรือความเป็นอิสระนี่ยอดสุดของการที่ชีวิตไม่กัดเจ้าของ อย่าไปหลงดีใจหัวเราะเลย ถึงร้องไห้เสียใจก็ไม่ต้องต้องไปกลัวมัน เราไม่ไปทำกับมัน อยู่เหนือเสียทั้งคู่ เหนือดีใจเหนือเสียใจ เหนือร้องไห้เหนือหัวเราะ นั่นคือเหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือได้เหนือเสีย เหนือแพ้เหนือชนะ เหนือกำไรเหนือขาดทุน เหนือเอาเปรียบเหนือเสียเปรียบ เหนือไปทุกคู่ไปคิดเอาเองมีกี่คู่ ขอให้ความเสียสละของท่านทั้งหลายที่ได้มาศึกษาประพฤติปฏิบัติอยู่เก้าวันสิบวันนี่ช่วย อย่างน้อยที่สุดช่วยให้รู่ลู่ทางมองเห็นหนทางที่ว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเอาชนะสิ่งนี้ได้ แล้วก็พยายามต่อไปถ้ามันยังไม่ได้ ถ้าได้แล้วก็ดีวิเศษที่สุด ขออนุโมทนา แต่ถ้ายังไม่ได้ขอให้ปฏิบัติต่อไปเรารู้เค้าเงื่อนรู้หนทางแล้ว ปฏิบัติเรื่อยๆไปมันคงจะได้ก่อนสิ้นชีวิตนี้เรียกว่าก่อนตาย จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับในการเกิดมาชาติหนึ่งก็พอแล้ว ไม่มีอะไรดีกว่านี้ ขอยุติการบรรยาย ขอขอบพระคุณในการเป็นผู้ฟังที่ดีให้สำเร็จประโยชน์ไปตามลำดับ ไปตามลำดับ มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ