แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันสุดท้ายนี้จะบรรยายโดยหัวข้อว่า “การมีธรรมะในชีวิตประจำวัน” เราได้พูดกันถึงธรรมะแต่ละอย่างๆ เป็นที่เข้าใจกันมาทุกอย่างแล้ว มาวันนี้ก็จะพูดกันถึงข้อที่ว่าจะมีชีวิตด้วยธรรมะนั้นหรือมีธรรมะนั้นในชีวิตในแต่ละวันๆนี้ได้อย่างไร ก็หมายความว่าจะมีชีวิตชนิดที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะเหล่านั้นได้อย่างไร ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่าจะใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันนั้นมันต้องมี มันต้องมีธรรมะนะ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วจะใช้อะไร มีคนเป็นอันมากมาถามปัญหาเรื่องจะใช้ชีวิต ใช้ธรรมะ มีธรรมะ มันก็มีปัญหาอยู่ที่ตรงนี้แหละ คือเขาจะใช้ธรรมะโดยไม่ต้องมีธรรมะ มันไม่มีธรรมะ มันไม่เคยเรียนเลยไม่เคยศึกษาเลยเพียงแต่ตื่นหรือเห่อกับที่เขาว่าว่ากันมาว่าธรรมะแก้ปัญหาในชีวิตได้ ก็ขอพูด มาพูดถึงเรื่องใช้ธรรมะแก้ปัญหาชีวิตโดยที่มันไม่มีธรรมะเลย
ขอให้สนใจคำพูด และคำพูดคำหนึ่งนะว่า “ศึกษา” คือศึกษาธรรมะ ต้องมีการศึกษาธรรมะที่ครบเต็มตามความหมายของคำว่าศึกษา เอาตามตัวหนังสือ คำว่าศึกษาในภาษาไทยเราก็ดี ศึกฺษาในภาษาสันสกฤตก็ดี สิกขาในภาษาบาลีก็ดี มันเป็นคำเดียวกัน นั่นคือการศึกษา ความหมายของคำๆนี้เมื่อเอากันอย่างครบถ้วนตามตัวหนังสือนั้นแล้ว มันก็ดูเห็นซึ่งตนเอง ด้วยตนเอง โดยตนเอง เพื่อประโยชน์แก่ตนเองในภายใน มันมีคำว่า “ต้องดูก่อน” ดูที่สิ่งที่จะศึกษา จะศึกษาเรื่องอะไรต้องดูที่สิ่งนั้น มันก็จะมีการเห็น เห็น เพราะดูเป็นจึงเห็น พอเห็นจริงจึงรู้จัก รู้จักว่ามันเป็นอะไรเป็นอย่างไร เกี่ยวข้องกันอย่างไร พอรู้จักแล้วก็สามารถที่จะวิจัยวิจารณ์ทบทวนด้วยเหตุผลว่ามันเป็นไปอย่างนั้นได้จริง นี่เรียกว่าทีนี้ก็สามารถที่จะมี มีธรรมะแล้ว ขึ้นมาถึงขนาดนี้ก็เรียกว่า “มีธรรมะ” ทีนี้ก็จะใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ ในที่นี้หมายถึงในชีวิตประจำวัน วิธีให้ธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกอย่าง แล้วปัญหาหรือความทุกข์มันก็ไม่เกิด นี่เรื่องที่ว่าจะต้องพูดกันในวันนี้
เรื่องที่ว่าจะใช้ธรรมะกันอย่างไรก็ได้พูดแล้วในวันก่อนๆนู้น ต้องมีสติ สติเร็วทันควันเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ให้ระลึกไปถึงปัญญา ปัญญาที่ได้ศึกษาไว้มาก ปัญญาเรื่องอะไรข้อไหนจะเอามาใช้ เผชิญกับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว เอาเฉพาะปัญญาส่วนนั้นมา ไม่ต้องเอามาทั้งหมด มันก็กลายรูปเป็นสัมปชัญญะ สัมปชัญญะก็คือปัญญาเหมือนกันแหละ แต่มันมาตรงเรื่องตรงจุด พร้อมที่จะแก้ปัญหานั้นๆ เฉพาะเหตุการณ์นั้นๆ เปลี่ยนชื่อนิดหน่อยเรียกว่า “สัมปชัญญะ” ปัญญาที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์หรือกำลังอยู่ในหน้าที่นั้นเรียกว่าสัมปชัญญะ ก็จัดการกับเหตุการณ์นั้นๆ ทีนี้มีเหลืออยู่ถ้ากำลังของปัญญามันน้อยไป คือมีสมาธิตามธรรมชาติน้อยไปเรียกว่ากำลังมันน้อยไป ก็ต้องมีสมาธิคือกำลังจิตที่ฝึกไว้อย่างเข้มแข็งเพียงพอเอามาอีกทีหนึ่งเพื่อเพิ่มกำลังของปัญญา ปัญญาครบด้วยกำลังอย่างนี้แล้วด้วยความรู้ด้วยแล้วมันก็ตัดปัญหา ความรู้นั้นเปรียบเหมือนกับความคม แต่ถ้าไม่มีน้ำหนักมันไม่ตัดหรอก ให้คมยิ่งกว่ามีดโกนถ้าไม่มีน้ำหนักมันก็ไม่ตัด ปัญญาเป็นเพียงความคม สมาธิมันเป็นน้ำหนัก พอมันได้ทำงานร่วมกันมันก็ตัด มันถึงต้องมีปัญญาและสมาธิเผชิญกับเหตุการณ์นั้นๆ แล้วมันก็ตัดได้ ทำหน้าที่ได้
เดี๋ยวนี้เราจะมีชีวิตประจำวันในลักษณะอย่างไร คือต้องการพ้นอย่างไร ต้องการพ้นอย่างไรในชีวิตประจำวัน ข้อนี้มันต้องแน่นอนเสียก่อน แน่นอน เราจะเอาพ้นในชีวิตประจำวันนั้นอย่างไร กล่าวโดยสรุปรวมก็ว่ามันชีวิตมีชีวิตชนิดที่อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น หรือปัญหาเข้ามาสามารถแก้ไขหมดสิ้นไปได้ นี่ว่าชีวิตนี้มันอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ปัญหามันคือความยุ่งยากลำบากแห่งความทุกข์นั่นเอง เมื่อปราศจากปัญหาด้วยประการทั้งปวง นั้นก็เป็นชีวิตที่สงบเย็น สงบเย็น ไม่มีไฟคือกิเลส ไม่มีไฟคือทุกข์ มันก็สงบเย็น ที่มันไม่สงบเย็นเฉยๆ มันเป็นประโยชน์เพราะมันแคล่วคล่องว่องไวในการปฏิบัติหน้าที่ มันสามารถในหน้าที่เพราะสงบเย็นนั่น มันก็เลยปฏิบัติหน้าที่ลุล่วงไปทั้งหมดไม่ว่าหน้าที่อะไร ก็คือหน้าที่ประโยชน์ตน หน้าที่ประโยชน์ผู้อื่นที่มีอยู่ถ้าจะต้องทำ ที่มีอยู่สำหรับจะทำ ปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ทุกอย่างทุกหน้าที่ พูดสรุปว่ามันยิ่งสงบเย็นและเป็นประโยชน์ สองคำนี่ ชีวิตนี้สงบเย็นและเป็นประโยชน์ ก็เป็นประโยชน์
แถมไปอีกคำหนึ่งในฐานะที่เป็นผลของมันก็คือว่า “ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของ” ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ ทว่าชีวิตนี้ไม่ได้ประกอบไปด้วยธรรมะอย่างนี้แล้ว มันกัดเจ้าของ มันคือกิเลสและความทุกข์ มันเกิดขึ้นกัดเจ้าของ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นระทึกใจกัด เดี๋ยวความวิตกกังวลอนาคตกัด อาลัยอาวรณ์อดีตกัด อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด รู้กันอยู่ดีแล้วยกตัวอย่างมาเพียงเท่านี้ก็พอ ถ้าไม่ประกอบธรรมะอยู่ในชีวิต ชีวิตมันก็โง่และก็กัดเจ้าของ ต้องกล่าวว่าชีวิตนี้เลวกว่าหมา เพราะหมายังไม่กัดเจ้าของ ฝรั่งที่เขามาๆกันนี้ เขาชอบคำนี้ที่สุด เพราะว่าก่อนเขามีกันแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของจนไม่รู้จะทำอย่างไร วิ่งเป็นสุนัขถูกน้ำร้อนไม่รู้จะไปเย็นกันที่ไหน จึงหันมาศึกษาธรรมะ หาความรู้ธรรมะ เพราะชีวิตเย็นเป็นประโยชน์และก็ไม่กัดเจ้าของเพราะมีธรรมะ จึงยินดีสนใจที่จะศึกษาธรรมะและก็ปฏิบัติเพื่อให้มีธรรมะคือ ปฏิบัติสมาธิภาวนา
หรือเราอยากจะพูดออกไปอีกสำนวนหนึ่งนะ เอาหลักจริยธรรมสากลเป็นหลัก เพราะแสดงผลสุดท้ายที่พึงประสงค์ของชีวิตด้วยเหมือนกันแหละ ก็น่าฟังจึงอยากเอามาเล่าให้ฟัง ระบบจริยธรรมสากลที่รับรองต้องกันในโลก ถูกเขียนแบบบันทึกอยู่ในหนังสือที่สำคัญๆ เช่น หนังสือ Encyclopedia เป็นต้น มันก็ว่ามีความดีสูงสุดที่ชีวิตจะพึงได้รับ ความดีสูงสุดเรียกว่า “Summum Bonum” ภาษาละติน
ข้อที่ ๑ มีความสุขสงบเย็น ข้อที่ ๒ มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์จะโดยทางกายหรือทางจิต มันก็มีความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ โดยเรียกง่ายๆว่าเป็นมนุษย์ที่เต็ม ในข้อที่ ๓ คนชนิดนี้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ Duty for duty success ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ มันก็หมายความตามหลักพุทธศาสนาว่าไม่ใช่ตัวกูทำ ไม่ใช่ทำเพื่อตัวกู จิตรู้หน้าที่ทำเพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ มันก็ไม่มีความทุกข์ มันก็ไม่มีความทุกข์ เพราะมันไม่มีตัวกูเป็นผู้ได้ผู้เสีย ผู้แพ้ผู้ชนะมันทำหน้าที่เพื่อหน้าที่โดยจิตที่ตรัสรู้แล้ว แจ่มแจ้ง สว่างรุ่งเรืองแล้ว และในที่สุดข้อที่ ๔ มันก็มีความรักสากล เรียกว่า Universal Love เมื่อมีความรักสากลแล้วมันจะมีปัญหาอะไร มันไม่กลัวอะไรเพราะมันมีความรักเป็นสากลแล้วมันไม่กลัวอะไร มันไม่วิตกกังวลมันไม่ห่วงอะไร มันก็สบายถึงที่สุด คำพูดเหล่านี้มักจะมีคำพูดต่างกันแต่ความหมายก็เหมือนกันแหละนั่น คือมันสงบเย็น สงบเย็น และก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ และชีวิตนี้ก็ไม่กัดเจ้าของ
ขอให้จำให้ดี ทำความเข้าใจดี อย่าเป็นเรื่องพูดเล่นๆแล้วก็เลิกกันไม่มีประโยชน์อะไร มันเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้จนตลอดชีวิต จนตลอดชีวิต ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา นี่เป็นสำนวนของชาวพุทธเขาใช้พูดจากันเป็นหลัก อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา และเดี๋ยวนี้เราก็ได้เกิดมาแล้ว เราจะปฏิเสธก็ไม่ได้ มันปฏิเสธไม่ได้ ไม่มีทางหรอก มันมีแต่จะทำให้มันถูกต้องลุล่วงไปด้วยดีเท่านั้นแหละในการที่ได้เกิดมาแล้ว จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่รับผิดชอบ นี่มันก็เป็นไปไม่ได้ มันทำไม่ได้ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ทำได้เพราะว่าจิตนี่เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ จะมองให้ลึกลงไปถึงจิตทีแรกที่เรียกว่า “สัญชาตญาณ” Instinct มันก็เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ มันออกมาจากท้องแม่และเป็นกลางๆ กลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว แล้วแต่ว่ามันจะได้รับเหตุ รับปัจจัยพัฒนาไปทางไหน ถ้าพัฒนาไปทางกิเลสมันก็เต็มไปด้วยกิเลสและความโง่เขลาและความทุกข์ ถ้าพัฒนาไปทางโพธิมันก็ฉลาด ฉลาดก็รุ่งเรือง ก็สว่างไสวแจ่มแจ้ง มันก็ไม่เป็นทุกข์
คำสอนโบราณทางศีลธรรมเขาเปรียบอุปมาข้อนี้ไว้ว่าเหมือนกับลูกนกแขกเต้า ๒ ตัว ตัวหนึ่งพอลมมันพัดร่วงไปจากรัง ไอ้ตัวหนึ่งมันตกไปอยู่กับฤๅษีเลี้ยงไว้ ตัวหนึ่งมันตกไปอยู่กับพวกโจรเลี้ยงไว้ ก็เลี้ยงกันตามแบบของตน ของตน นกแขกเต้าซึ่งมีลักษณะอย่างเดียวกันแหละ มันก็เปลี่ยนนิสัยไป พวกหนึ่งไอ้ตัวหนึ่งเป็นโจรผ่านใครมาก็จะฆ่าจะด่าเรื่อย ตัวหนึ่งก็เลี้ยงโดยฤๅษีใครผ่านมาก็ยินดีสรรเสริญรับรองอวยชัยให้พร จะจริงหรือไม่จริงไม่สำคัญหรอก แต่รู้ว่าเขาต้องการให้เราใช้ประโยชน์จากหลักเกณฑ์อันนี้ความจริงอันนี้
จิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้อย่างนี้ ไม่ใช่เรียกว่าสัญชาติญาณที่มาจากท้องแม่พัฒนาได้ เดี๋ยวนี้มันเกิดมาแล้วมันได้รับการแวดล้อมไปในทางกิเลสเสียมากกว่า พูดไปก็เหมือนกับว่าติเตียนวัฒนธรรมหรือว่าอะไรของตัวเอง เพราะเด็กเกิดมันก็บำรุงบำเรอให้หลงไปในทางสวยงาม เอร็ดอร่อย ตัวกูของกู ตัวกูของกู มันก็โง่ไปทางกิเลส ไม่เคยมีใครสอนลูกเด็กๆเรื่องไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว นี่ไม่มี มีแต่ให้ เอาเป็นเพื่อตัว เป็นของตัว สนุกสนาน เอร็ดอร่อยนี่มันเหมือนกับว่ามันพลัดไปอยู่ในมือโจร ในสำนักโจร ทว่าจะมีขนบธรรมเนียมประเพณีกันที่ดีกันเสียใหม่ แวดล้อมเด็กๆที่เพิ่งคลอดออกมาให้มีความรู้สึกคิดนึกที่ถูกต้องไม่หลงใหลในเรื่องบวกเรื่องลบ คงอยู่แต่ในความถูกต้อง มันก็จะดีกว่านี้กว่าที่เป็นอยู่ คือไปหลงพักหนึ่ง แล้วก็จะหวนกลับมาก็เกือบตาย มีนิทานอีกเรื่องหนึ่งสำหรับอุปมาในข้อนี้ว่า เด็กเกิดมาด้วยพ่อแม่สักหน่อยหนึ่งแล้วก็หนีตามโจรไป หนีตามโจรไป ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป แล้วก็ไปเป็นโจร เป็นโจร เป็นโจร กลายเป็นโจรไป ถ้ามันโชคมันดี มันรู้สึก โอ้ว, นี่เป็นโจรอยู่ไม่ได้ หนีโจรกลับมาหาพ่อแม่มาตั้งต้นกันใหม่ นี่มันก็ดีสิ เดี๋ยวนี้มันมักจะไม่เป็นอย่างนั้น มันก็เป็นโจรไปตลอดชีวิต ถ้ามีธรรมะเข้ามาในคราวที่เคยโง่เคยหลงไปตามสิ่งแวดล้อมอบรมนั้น มันก็หวนกลับมาหาความถูกต้อง ก็เรียกว่าทิ้งโจรกลับมาหาพ่อแม่ มาหาธรรมะกันใหม่ก็ดี
เราต้องการความสงบเย็น ก็ขอพูดเรื่องสงบเย็นกันสักหน่อย คำว่า “เย็น” เย็น นี่มันเป็นชื่อเป็นคำบาลีว่า “นิพพาน” นิพานะ นิพพานะ คำนี้แปลว่าเย็นในทุกความหมายแหละ คนเขาไม่เรียนกันไปถึงต้นตอของศัพท์ ไม่เรียนประวัติของคำ มันเลยไม่รู้ มันรู้แต่เพียงว่านิพพานในพุทธศาสนาเหมือนกับเมืองๆหนึ่งไปถึงต่อตายแล้วอยู่ที่นั่นสบายที่สุด เขาใช้ไปอย่างนั้น นิพพานนี่แปลว่าเย็น อยู่ที่นี่ไม่ต้องตายไป ไม่ต้องตายก่อนจึงจะได้รับ ถ้าจะเข้าใจตลอดว่าเย็นของสิ่งที่ร้อน ภาษาชาวบ้านพูดว่า นิพพาน นิพพานะ นิพพานะ นิพพานกันอยู่ก่อนเป็นภาษาชาวบ้าน ต่อมาถูกยืมไปใช้ในทางธรรมะทางศาสนาจึงเปลี่ยนความหมายเป็นเย็นของไฟคือ “กิเลส” นี่เย็นของไฟธรรมดา ดุ้นฟืนร้อนดุ้นฟืนลุกเป็นไฟอยู่ก็เรียกว่ามันไฟ ไฟดับก็เรียกว่าดุ้นฟืนมันนิพพาน ถ่านไฟมันนิพพาน ของที่ลุกเป็นไฟเย็นลงก็เรียกว่ามันนิพพาน ข้าวแกงร้อนกินไม่ได้ต้องรอให้นิพพาน ในครัวใช้พูดกันอยู่อย่างนี้ คำว่านิพพานใช้พูดกันอยู่ในครัวเป็นภาษาชาวบ้าน แม้ว่าเรื่องของโลหะหลอมละลายเคว้งจะทำให้เย็นเอาน้ำรด ก็เรียกว่าทำให้มันนิพพานคำเดียวกัน คำเดียวกัน นิพพาไปยะ คือทำให้มันนิพพาน นิพพานของวัตถุธรรมดาของโลหะก็มี สัตว์เดรัจฉานมันดุร้ายออกมาจากป่าขบกัดอันตราย มาฝึกจนเชื่องเป็นแมวหมดอันตรายโดยสิ้นเชิง ก็เรียกว่ามันเย็นเหมือนกัน ก็เรียกว่ามันนิพพาน
เรื่องเหล่านี้ไม่ค่อยมาเรียนรู้กันหรอกเพราะผมบอกว่านิพพานคือเย็นอย่างนี้ ก็ด่ากันเลย ก็ว่าเอาเองบ้าง หลอกบ้างอะไรบ้าง ต่อมามนุษย์ฉลาดขึ้นเห็นว่าความร้อนอีกชนิดหนึ่งไม่ใช่ความร้อนอย่างไฟๆอย่างนั้น คือเป็นความร้อนในทางจิตใจคือกิเลส เป็นร้อนทางจิตใจ ไฟอยู่ในจิตใจ ก็เสนอการดับไฟกัน พวกแรกก็เอากามารมณ์มาเป็นความเย็นไปดับไฟ ถือว่ากามารมณ์เป็นนิพพานกันพักหนึ่ง ยุคหนึ่ง แห่งหนึ่ง ต่อมาคนว่าโง่ เอาสมาธิ เอาสมาธิสมาบัติ สมาธิเป็นความเย็นดับไฟคือกิเลส ก็ยึดถือกันเหนียวแน่นพักหนึ่ง สมาธิก็มีหลายชนิด ต่อมาพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ท่านว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ ท่านเสนอความสิ้นไฟ ความหมดไฟ คือสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ นั่นแหละคือเย็นนั่นแหละคือนิพพาน ท่านสอนวิธีดับราคะ ดับโทสะ ดับโมหะ สูงขึ้นไปกว่าเรื่องของสมาธิ นิพพานก็คือเย็นเพราะไม่มีไฟ ไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ ที่มีอยู่ในจิตใจ อย่าให้มันมีสิแล้วมันจะเย็น เย็นอย่างสูงสุดจะบอกไม่ถูก เราพยายามอย่าให้มันเกิดขึ้นมาได้ ระวังป้องกันไม่ให้มันเกิด หรือว่าเกิดมาก็ไล่ ขับไล่ไปทันทีด้วยวิธีที่ว่าแล้วเมื่อสักครู่ ใช้สติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ขับไล่ให้ชีวิตมันว่างจากไฟอยู่แม้ว่ามันมีเชื้อไฟที่คอยจะเกิดก็ไม่เป็นไร เราทำให้เย็นและไม่ทำให้มันเกิด
นี่ชีวิตเย็น ชีวิตเย็น ทว่ามันเย็นเรื่อยไป ก็หมดไฟ หมดราคะ โทสะ โมหะ แล้วมันก็ยังมีอยู่ ๒ ระดับ ระดับหนึ่งดับไฟแล้วหมดกิเลสแล้วแต่ยังรู้สึกอารมณ์ที่มากระทบว่า สุขหรือทุกข์ ว่าบวกหรือลบดีกว่า สุขหรือทุกข์มันเป็นความหมายของกิเลสมากเกินไป สิ้นกิเลสแล้วพระอรหันต์พวกนี้ยังรู้สึกต่ออารมณ์ที่มากระทบว่าบวกหรือลบ คือสุขหรือทุกข์ น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ สูงขึ้นไปอีกชั้นกว่านั้นพวกที่ ๒ ไม่ สิ้นกิเลสหมดแล้วไม่รู้สึกว่าสุขทุกข์ เย็นร้อน บวกลบอะไรอีกต่อไป เย็น เย็นยังมี ๒ ขนาด พระนิพพานมี ๒ ขนาด นิพพานธาตุ มี ๒ ขนาด สิ้นกิเลสแล้วไฟดับหมดแล้วแต่ใจยังรู้สึกบวกลบอยู่ ถ้าเป็นบวกมาก็รู้สึกว่าบวก เป็นลบมาก็รู้สึกว่าลบ แต่ก็ไม่เกิดกิเลสใดๆได้ นี่เรียกว่านิพพานที่มีเชื้อเหลือ คือนิพพานที่เวทนายังไม่เย็นสนิท ถ้าว่าสิ้นกิเลสแล้วเวทนาเย็นสนิทแล้ว ไม่รู้สึกเป็นบวกเป็นลบเลยก็เรียกว่า นิพพานที่ไม่มีเชื้อเหลือ เย็นสูงสุดอยู่ที่นั่น จะถึงหรือไม่ถึงก็แล้วแต่ผู้ปฏิบัติ เพราะถ้าเย็นสูงสุดมันอยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้เราต้องการชีวิตเย็นเป็นนิพพาน ก็รู้ไว้เย็นมันมีความหมายอย่างไร ขอบเขตอย่างไร เย็นไปในทางวัตถุ ถ่านไฟเย็น สัตว์เดรัจฉานเย็น กระทั่งจิตใจเย็น
มนุษย์เราก็ต้องเอาจิตใจเย็น จิตใจมันไม่เกิดร้อน ถ้ายังไม่ถึงที่สุดก็เรียกว่าเย็นอย่าง “นิพพุติ” คือนิพพานที่ยังในระดับทั่วไป สำหรับคนทั่วๆไป ถ้าดับสิ้นเชิงก็เป็นนิพพานแท้ แต่จะเรียกว่านิพพานได้ด้วยกันทั้งสองอย่าง นี่เรียกว่าเย็น เย็น เย็น ความเย็นนี่อยู่ในวิสัยที่จะทำให้เกิดขึ้น เกิดขึ้น ถ้าเรามีธรรมะ ถ้าเรามีธรรมะสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ความเย็นมันก็จะสูงขึ้นไป มันอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ แม้ที่สุดแต่ว่าชั้นศีลธรรมนั้น ประพฤติศีลปฏิบัติสมาธิอย่างธรรมดาสามัญอย่างนี้ก็ยังมีความเย็น ส่วนนี้ส่วนที่ว่าเรียกว่า นิพพุติ นิพพุติ นี่ก็เย็นเหมือนกัน ก็ยังดีกว่าร้อน แม้จะไม่ถึงนิพพานชั้นพระอรหันต์ ก็ขอให้ถึงนิพพานชั้นชาวบ้านไปก่อนคือ นิพพุติ นิพพุติ มีความสงบเย็น ไม่ดุร้ายด้วยกิเลส ไม่ถูกเผาลนด้วยกิเลส ก็ยังดี ชีวิตก็ไม่กัดเจ้าของเหมือนกันแหละ แม้จะมีเย็นเย็นอย่างระดับชาวบ้าน นี่ชีวิตก็ยังไม่กัดเจ้าของก็นับว่ายังดี เราจะต้องพยายามให้ชีวิตนี้มันเย็นอย่างน้อยก็ในความหมายของ นิพพุติ นิพพุติ ขนบธรรมเนียมประเพณีเขาก็มีอยู่มากก็เพื่อความเย็นนี่ แต่มันก็ไม่ค่อยสำเร็จประโยชน์เพราะคนมันไปเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องกิเลสกันหมด ขนบธรรมเนียมที่ดีๆเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเพื่อกิเลสไปหมด หาขนบธรรมเนียมประเพณีที่จะเกิดความเย็นได้ยาก คนสมัยนี้จึงร้อน ร้อนกว่าคนสมัยก่อนเพราะมันไปบูชาร้อน
เราจะดูกันให้ชัดเจนละเอียดลงไปถึงว่าจะเย็นจะร้อนเมื่อไหร่ ที่นี้ก็มาถึงเรื่องการทำงานสนใจเรื่องการทำงานหน้าที่การงานหรือการทำงาน ชีวิตมันอยู่ได้ด้วยการงาน การงานเป็นสิ่งที่หลีกไม่ได้ในการงานนั้นมันก็มีหน้าที่แสวงหาให้ได้มาซึ่งสิ่งจำเป็นแก่ชีวิต แสวงหาแล้วก็ได้มา ได้มา ได้มาแล้วก็ใช้สอย ใช้สอย เพื่อเก็บตุนไว้สำหรับใช้สอยก็ได้ มันเป็นระยะเป็นขั้นตอนในการทำงานในชีวิตนี้ แสวงหา ได้มา มีไว้ ใช้สอยเพื่อลงทุนต่อไป ต้องไม่ร้อน ต้องไม่ร้อนไม่ทุกข์ไม่ยากแหละ การแสวงหาทรัพย์หรือสิ่งที่ต้องการ การได้มา การมีไว้ การใช้สอย ทีนี้ในการเก็บไว้เพื่อใช้ลงทุนต่อไป ถ้าเรามีธรรมะ มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา สมาธิพออย่างที่ว่ามาแล้ว สามารถจะควบคุมหรือป้องกันไม่ให้เกิดความร้อนขึ้นมาในการทำงาน ในการทำงาน ทุกระยะทุกขั้นตอนของการทำงาน การทำงานก็เลยไม่เป็นนรก ถ้ามันเป็นเรื่องร้อนแล้วนั้นการทำงานก็เป็นนรกคนอันธพาลก็ไม่เอา ทิ้งการงานไปเป็นอันธพาลสนุกกว่า
ในที่นี้ก่อนในการเผชิญกับศัตรู ชีวิตนี้ต้องเผชิญกับศัตรู ใครคนไหนที่ไม่มีศัตรูไม่ต้องพูดหรอก ไปหาเอาเองคนไหนที่มันไม่มีศัตรู ศัตรูมีทั้งภายนอกและมีทั้งภายใน ศัตรูภายนอกคือคู่อาฆาตคู่ทำลายล้าง คนไม่ชอบกันนั่นแหละเรียกว่าศัตรู ศัตรูภายนอกยังมีเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ความอะไรต่างๆที่มันไม่น่าปรารถนา ที่เป็นภายนอกก็มีอยู่ เรียกว่าศัตรูภายนอก ทีนี้ยังมีศัตรูภายในคือกิเลส กิเลสและความทุกข์ที่เป็นศัตรูภายใน เราต้องเผชิญกับศัตรูภายนอกและภายในนี่อยู่ตลอดเวลา ถ้าพ่ายแพ้ก็เป็นทุกข์ ชนะก็ไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะก็ยากที่จะชนะศัตรู ชนะศัตรูคู่อาฆาตก็ต้องมีธรรมะสูงลึกมาก ไม่เช่นนั้นมันก็ฆ่ากันเท่านั้นและ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ดีกันเสีย กลบเกลื่อนกันไปเสีย ดีกันเสียนั้นก็ยากลำบาก ต้องมีธรรมะชั้นสูง จะไม่รู้สึกเป็นทุกข์เพราะการเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องมีธรรมะสูง ไม่เห็นว่าเป็นของไม่เป็นทุกข์อะไร เห็นเป็นของธรรมดาอย่างนั้นเอง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเช่นนั้นเอง มันอย่างนั้นเอง มันก็ไม่แผดเผาหัวใจ ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ ศัตรูทั้งภายนอกศัตรูทั้งภายในกำจัดได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ มีธรรมะให้พอให้มากขึ้นๆสำหรับศัตรูทุกขนาด ทุกขนาด
ทีนี้ดูต่อไปว่าการอยู่ในโลกนี้มันยังมีความยากลำบากอะไรอีกบ้าง การอยู่ในโลกนี้มันอยู่รวมกับคนมากๆ คนมากมายและคนทุกชนิด เราเลือกเอาไม่ได้ เมื่อเกิดมาในโลกนี้มันมีคนทุกชนิดอยู่ในโลก มันก็ต้องเกิดมาเพื่ออยู่ร่วมหรือรวมกันกับคนทุกชนิด นี้เราก็ต้องอยู่ร่วมกับคนอันธพาล อันธพาลทั่วไปก็มี อันธพาลที่เกี่ยวข้องกันกับเราก็มี ผมอยู่ที่นี่มีคนมาถามปัญหามากไม่ใช่น้อยเลยว่า เจ้านายเขาทุจริต เจ้านายเขาต้องการจะทำเลวอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะทำอย่างไร ไม่ก็อันธพาลยังมีอยู่บนหัวเรา คิดดูอย่างนี้เถิดเจ้านายของเรา นี่คือปัญหา จะต่อสู้อย่างไร จะเอาชนะอย่างไรกับอันธพาลซึ่งมันอยู่บนหัวเรา ถ้าอันธพาลมันอยู่กลางถนนก็ดีไปสิ อยู่ตามทุ่งนาก็ดีไปที แต่นี่มันมาอยู่บนหัวเรา คนมาถามปัญหามากเรื่องจะทำงานร่วมกันกับผู้บังคับบัญชาที่คอยแต่จะคอรัปชั่นนี้ได้อย่างไร นี่มาอยู่ร่วมอันธพาลภายใน อันธพาลภายนอกก็ต้องธรรมะ อันธพาลภายในก็ต้องธรรมะ ถ้ามีธรรมะก็เอาตัวรอดได้ มีธรรมะมากพอก็รอดจากอันธพาลภายนอกเพราะว่าฉลาดสามารถรู้จักป้องกัน รู้จักรับหน้า รู้จักประสานงานอะไรต่างๆ ก็มีธรรมะให้พอ มีธรรมะให้ครบสำหรับจะอยู่ร่วมโลกกับคนอันธพาล ทีนี้ปัญหาอีกอันหนึ่งก็มันอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า คนบ้ามันมีอยู่ในโลกนี่ทำอย่างไร มันไม่ใช่บ้าอาละวาด บ้าอาละวาดก็จับไปขังไว้ที่โรงพยาบาล มันบ้าอยู่กลางถนนนี่ ทำงานอะไรต่างๆ สัมพันธ์กันอยู่ เช่น คนเลว คนนิสัยเลว หยาบช้าที่สุดเป็นคนขับรถนี่ แล้วเมื่อคุณก็ขับรถ คุณจะสวนทางกับคนบ้าชนิดนี้ คุณจะทำอย่างไร ถ้าไม่ยอมเสียสละจุนเจือให้ความบ้า ปล่อยให้ฝ่ายนู้นหมดเลยพลอยชิบหาย พลอยวินาศด้วยกัน ฉะนั้น อย่าไปแข่งขัน อย่าไปถือรั้นเอาชนะกับไอ้คนบ้า มันจะแซงหรือมันจะแกล้งอย่างไรก็อย่าไปนั่นกับมัน ยกให้มันเป็นคนบ้า อย่าคิดว่าฉันทำให้ถูก ฉันทำให้ถูก ไม่ผิดกฎ ก็ไม่ได้หรอก คนบ้ามันไม่รู้ มันไม่มีกฎ เราต้องเป็นผู้ที่ยอม ยอม ยอมผ่อนปรนอย่าให้มันเกิดอันตรายขึ้นมาได้เกี่ยวกับคนบ้า
นี่เมื่อเราอยู่ในโลกนี้มันก็คืออยู่ร่วมกันคนอันธพาลคนบ้าง อยู่ร่วมโลกกับคนบ้าบ้าง จะต้องพยายามให้ ไม่มีอันตราย มีธรรมะ บางทีก็ต้องฉลาด บางทีก็ยิ่งกว่านั้นก็ต้องอดกลั้นอดทน บางทีก็ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บางทีก็ยอมเป็นฝ่ายแพ้ด้วยซ้ำไปเพื่อให้เรื่องมันสงบไป ไม่ต้องเกิดเรื่องเราเป็นฝ่ายแพ้ ยอมอย่างนี้ แม้จะเป็นเรื่องแพ้ก็ไม่ใช่แพ้หรอก อย่าละอาย อย่าละอายเลย ให้คนบ้ามันชนะไปเสีย ให้เรื่องมันผ่านพ้นไปเสีย ไม่ใช่แพ้ อย่างนี้คือชนะแหละ ถ้าไปเผชิญกับคนบ้าวินาศนั่นแหละคือความโง่ นั่นแหละคือความแพ้ และการอยู่ร่วมโลกกับอันธพาลหรือคนบ้านี่เราเป็นฝ่ายยอม เสียสละเป็นฝ่ายยอม ป้องกันไม่ให้เรื่องราวมันเกิดขึ้น ทีนี้บางคนก็กูถูก กูถูก ดันตะพึดว่ากูเป็นฝ่ายถูก มันเป็นฝ่ายแพ้ ไปขึ้นโรงขึ้นศาล มันก็เสียเวลาเปล่าๆ ภายหลังจะถูกอันธพาลฆ่าตายเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีความหมายอะไรเลย นี่มีธรรมะไว้สำหรับอยู่ในโลกนี้ซึ่งเป็นการอยู่ร่วมโลกกันกับคนอันธพาลและคนบ้า จะเรียนธรรมะเผื่อไว้แยะนะ ธรรมะต้องเรียนเผื่อไว้แยะ เผื่ออยู่ร่วมโลกกับคนอันธพาลหรือคนบ้า
ทีนี้จะมาพูดถึงไอ้ตัวสิ่งสำคัญ ตัวสิ่งสำคัญ มันคือ “หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่” ควรจะจำไว้ให้ดี คำว่า “ธรรมะ” มันแปลว่าหน้าที่ คำว่าหน้าที่เป็นภาษาไทย ภาษาไทยเรียกว่าหน้าที่ ภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะ เป็นคำๆเดียวกัน มันคนละภาษา คำว่าหน้าที่ หน้าที่นั้นคือสิ่งที่ช่วยให้รอด สิ่งที่ช่วยให้รอดนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเล็กน้อยนะ เพราะไม่มีหน้าที่คือตาย ไม่ต้องอธิบายแล้วกระมัง ลองไม่ทำหน้าที่สิ มันจะอยู่ได้ที่ไหน ไม่ทำมาหากิน ไม่กิน ไม่จ่าย มันก็ตาย ไม่ทำหน้าที่ แขน ขา มือ ตีน ไม่ทำหน้าที่ก็คือตาย อวัยวะภายในไม่ทำหน้าที่ ตับ ไต ไส้ พุง ไม่ทำหน้าที่ มันก็ตาย เซลล์เป็นล้านๆเซลล์ที่ประกอบกันเป็นร่างกายเราไม่ทำหน้าที่ก็ตายลูกเดียว ตายลูกเดียว ชีวิตมันอยู่ด้วยหน้าที่ นั่นก็จึงมีหน้าที่ หน้าที่หรือมีการงาน ชีวิตมันจึงรอดอยู่ได้ หน้าที่มีความสำคัญอย่างนี้
เราจำกัดความของคำว่า หน้าที่หรือธรรมะ ไว้ชัดเจนแล้ว ก็เคยพูดมาแล้ว ย้ำอีกทีว่าธรรมะหรือหน้าที่นั้นคือระบบการปฏิบัติ ระบบการปฏิบัติ ขอย้ำอีกที เพราะต้องทำเป็นระบบ ไม่ใช่ทำข้อเดียวอย่างเดียว ต้องทำเป็นระบบ ระบบปฏิบัติ นี่ถูกต้อง ถูกต้อง ก็ไม่ผิด ถูกต้องแก่ความรอด ความรอด ความรอด รอดมีทั้งทางกายและทั้งทางจิตและก็ตลอดเวลาทุกขั้นตอนแห่งชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนเข้าโลง ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตและเพื่อประโยชน์ตนเองและผู้อื่นด้วย ต้องเต็มตามนี้จึงจะเรียกว่า มีธรรมะ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่นมันเล็กอยู่เมื่อไหร่ มันเล็กๆอยู่เมื่อไหร่ มันเป็นสิ่งที่ต้องฉลาด จะต้องเข้มแข็ง จะต้องอดกลั้นอดทนอะไรก็ตาม ทำให้มันสำเร็จตามนี้
คำว่า “เคารพหน้าที่” นั้นหมายความว่าไม่บกพร่องในหน้าที่ เอื้อเฟื้อในหน้าที่ไม่ใช่ มานั่งไหว้ นั่งไหว้หน้าที่ เดี๋ยวเป็นบ้าเสียเอง เคารพอย่างนี้หมายความว่าให้ความสำคัญทำอย่าให้บกพร่อง สนใจเต็มที่เรียกว่าบูชาหน้าที่ก็ได้ ไม่ใช่มานั่งจุดธูป จุดเทียน ยกมือไหว้อยู่ คือทำหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด ให้ดีที่สุด คือเคารพหน้าที่บูชาหน้าที่ ถ้าฉลาด ถ้ามีธรรมะจะสนุก ถ้าไม่มีธรรมะไม่ฉลาด หน้าที่จะไม่สนุกน่าเบื่อ น่ารำคาญ ยุ่งยาก ลำบาก เหน็ดเหนื่อย แต่ถ้ามีธรรมะพอ มีธรรมะพอ แล้วหน้าที่นั้นจะสนุก หน้าที่นั่นแหละจะสนุก นี้เราจะต้องฉลาดในการที่จะคิดนึกให้จิตใจมันสามารถทำหน้าที่ให้สนุก คือเรารู้จักธรรมะดีอย่างที่ว่ามาแล้ว นึกถึงความสำคัญ ความจำเป็นของธรรมะหรือประโยชน์ หรือคุณค่าของธรรมะจนเกิดความรู้สึกที่เรียกว่าหิว แต่ไม่ใช่หิวข้าว หิวที่จะทำนะ ความหิวที่จะทำ ถ้ามันมีความหิว มันก็จะทำได้ดี ถ้าหิวข้าวมันก็กินข้าวได้ดี หิวการหิวงานก็ทำงานได้ดี ความหิวอย่างนี้เรียกเป็นบาลีว่า “ฉันทะ” ฉันทะ ความพอใจด้วยความรู้สึกคิดนึกที่ถูกต้อง เกิดฉันทะความพอใจที่จะทำ พวกฝรั่งก็ให้ความสำคัญในสิ่งนี้มากเหมือนกันเรียกว่า “appetite” appetite หมายถึงหิว แต่มันหิวที่จะทำ หิวที่จะฟันฝ่า หิวที่จะต่อสู้ หิวที่จะทำให้ลุล่วงไป ไม่ใช่หิวด้วยกิเลส ไม่ใช่ ถ้าหิวด้วยกิเลสเป็นเรื่องของกิเลส แต่นี่มีความอยากที่จะทำ ภาษาธรรมะในฝ่ายพุทธศาสนาเรียกว่าฉันทะ มีฉันทะ ก็จะมีวิริยะ ก็มีจิตตะ มีวิมังสา ที่เรียกว่าอะไรนะ “อิทธิบาท ๔” มันโผล่ขึ้นมาด้วยฉันทะ ถ้ามีฉันทะแล้วงานก็สนุก สนุก ถ้าไม่มีฉันทะงานก็น่าไม่นึกสนุก สั่นหัวหลีกหนีทิ้งงานไปเลย และถ้ามีฉันทะก็สนุก แม้เหงื่อจะออกมาก็พอใจ เหงื่ออกมายิ่งสนุก ผมเลยเรียกว่าเหงื่อกลายเป็นน้ำมนต์ เหงื่อกลายเป็นน้ำมนต์อาบรดให้เย็น ให้มีกำลังเพื่อที่จะทำต่อไปอีก ถ้าไม่มีฉันทะเหงื่อออกมาเป็นน้ำร้อน เหงื่อออกมามันร้อน เดี๋ยวก็ทิ้งงานนี้ไปทำอย่างอื่นเลิกกัน ถ้ามันไม่มีฉันทะเหงื่อก็เป็นน้ำร้อน ทว่ามันมีฉันทะเหงื่อก็เป็นน้ำเย็นเป็นน้ำมนต์ ให้กำลังใจ ทำงานสนุกๆไปเพราะมีฉันทะ
สวรรค์เป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิต มีพัฒนา ทำหน้าที่ ทำหน้าที่พัฒนา ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ พอใจ ถูกต้อง แล้วเป็นสวรรค์อยู่ในตัวการงาน เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนเรื่องสวรรค์นรกที่เรามาพูดๆกันนี้ ไม่ใช่ของพุทธศาสนา แต่พูดอย่างนี้ถูกด่านะ คือมันเป็นของพวกอื่นๆที่พูดอยู่ก่อน ก่อนพระพุทธเจ้า นรกอยู่ใต้ดินเป็นอย่างนั้นๆ สวรรค์อยู่บนฟ้าเป็นอย่างนั้นๆ เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในหมู่คน ในหมู่คนที่พูดกันอยู่อย่างนี้ ท่านไม่ค้าน ท่านไม่ไปทะเลาะกับคนบ้า นี่เป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธเจ้า คือไม่ขัดแย้งใคร แต่จะแสดงว่าฉันว่าอย่างนี้ ฉันว่าอย่างนี้ แกว่าอย่างนั้น ฉันก็ว่าอย่างนี้ ไม่ต้อง ไม่ต้องทะเลาะกัน ท่านก็ว่าสวรรค์มันมีอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทำถูกต้อง นรกก็มีอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทำไปไม่ถูกต้องคือผิดพลาด ทีนี้เมื่อเราทำความถูกต้องอยู่ในการงาน ทำการงานอยู่อย่างถูกต้อง สวรรค์มันก็มีอยู่ในความถูกต้อง มีอยู่ในความถูกต้องของการงาน สวรรค์อยู่ที่นี่ อยู่ที่การงานที่ทำถูกต้อง สวรรค์หรือนรกก็ตาม มีอยู่ในชีวิต มีอยู่ในชีวิต กระทำหน้าที่ให้ถูกต้องทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เป็นสวรรค์อยู่ที่อายตนะนั่นแหละ อายตนะที่มีไว้สำหรับสัมผัสอารมณ์ จะเป็นนรกก็ได้ เป็นสวรรค์ก็ได้ แล้วแต่ว่ามันมีการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ฉะนั้น ขอให้เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ถูกต้องอยู่ในการงาน การงานที่ต้องทำด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีชีวิตเป็นสวรรค์ มีสวรรค์อยู่ในตัวชีวิตที่ถูกต้อง ขอให้มีชีวิตที่ถูกต้องมันก็จะเป็นสวรรค์อยู่ที่นั่น
ชีวิตมันต้องพัฒนาอยู่แล้ว มันหลีกไม่ได้ที่จะไม่รับผิดชอบไม่พัฒนา มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องพัฒนาอยู่ แล้วก็พัฒนาให้มันถูกต้องไปเลย ไม่หลบหลีกหน้าที่ ซื่อตรงต่อหน้าที่ ยอมรับว่าต้องพัฒนา แล้วก็ต้องศึกษาว่าพัฒนาอย่างไร พัฒนาอย่างไร เข้าใจดีแล้วก็พัฒนาให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง มีความถูกต้องอยู่ที่ไหนก็มีสวรรค์อยู่ที่นั่นคือพอใจ พอใจ พอใจ พอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไหร่ก็สูงสุด ขอให้มีความถูกต้อง ถูกต้องอยู่ในการกระทำประจำชีวิต ประจำวัน จนยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่จะได้ผลกว่าไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ยกมือไหว้ความถูกต้องของตัวเองแหละ มีผลดีกว่าไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆทั้งหมด หรือว่าเอาความศักดิ์สิทธิ์กันก็ศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ ศักดิ์สิทธิ์ที่ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องที่เราทำนี่ นี่แหละสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด สิ่งอื่นๆที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่จริงหรอก ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงคือหน้าที่ที่ถูกต้อง นั่นศักดิ์สิทธิ์แท้จริงจะช่วยอะไรก็ได้ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ก็เลยเป็นสิ่งที่รักษาชีวิต หล่อเลี้ยงชีวิต ผดุงชีวิต จนว่าต้องมีธรรมะชีวิตจึงจะรอด คุณมองดูในแง่ไหนก็ได้ มองดูว่าเป็นคู่ชีวิตต้องคู่กับชีวิตก็ได้ หรือมองดูให้ละเอียดกว่านั้น ลึกกว่านั้นว่ามันเป็นตัวชีวิตเสียเองก็ได้ หน้าที่เป็นตัวชีวิตเสียเอง เพราะไม่มีหน้าที่ก็คือตาย มองหน้าที่เป็นตัวชีวิตเสียเอง ก็มองได้ก็เห็นได้ ชีวิตอยู่ด้วยหน้าที่ มีหน้าที่แล้วก็มีชีวิต ไม่มีชีวิตก็คือไม่มีหน้าที่ แต่ว่าอย่างน้อยก็ขอให้มันเป็นคู่ คู่ชีวิต ปราศจากธรรมะก็ไม่มีคู่ชีวิต ไม่มีคู่ชีวิตก็คือตาย ไม่มีอะไรที่จะผดุงชีวิตให้รอดอยู่ได้
นี่เราเรียกกันว่าพูดโดยภาษาธรรม ถ้าภาษาคนคู่ชีวิตมันก็คือคู่ผัวตัวเมียนะ คู่ผัวตัวเมียคือคู่ชีวิต แล้วทำอะไรกันทำให้เกิดปัญหาออกมามากมาย มีลูกมีหลานมีเหลน คู่ชีวิตในทางธรรมะ ภาษาธรรมะ ก็คือช่วยชีวิตรอด ถ้าคู่ชีวิตในทางวัตถุภาษาคนนี่มันก็ไม่อยากจะพูด พูดแล้วเดี๋ยวมันจะโกรธ สัตว์เดรัจฉานมันมีคู่ชีวิต มันมีคู่กันทำไมคุณดูสิ สัตว์เดรัจฉานมีคู่ชีวิตมันเพื่ออะไร มันก็เท่านั้นแหละหรือว่าคนป่าสมัยนู้นยังไม่รู้ธรรมะมีคู่ชีวิตคู่ผัวตัวเมีย ก็เพื่อเท่านั้นแหละ มันก็เพื่อเท่านั้น และมันก็ยังเหลืออยู่จนกระทั่งบัดนี้แหละ แต่มันเพิ่มอย่างอื่นเข้าไปด้วย ชีวิตเพื่อกามารมณ์นั่นแหละเป็นโดยธรรมชาติ แต่เพื่อการสืบพันธุ์อีกส่วนหนึ่ง นี่มันเพิ่งเพิ่มเข้ามา แต่ว่าสัตว์มันไม่ได้คิด คู่ชีวิตเพื่อการสืบพันธุ์หรือคนป่านู้นก็ไม่ได้คิดหรอกเพื่อการสืบพันธุ์มันเพื่อความพอใจในทางกามารมณ์ นี่ธรรมชาติมันรู้ว่าสัตว์นี่ คนนี่ ไม่อยากเหน็ดเหนื่อยไม่อยากลำบาก ถ้าสืบพันธุ์เฉยๆมันไม่ทำมัน ต้องหลอกมันต้องจับจ้างมันด้วยกามารมณ์ ก็เลยเอากามารมณ์มาฝากไว้กับการสืบพันธุ์นำหน้า การสืบพันธุ์ อวัยวะสืบพันธุ์ ได้รับรสของกามารมณ์สูงสุดในทางกามารมณ์มันก็ทำ ทำโดยความสมัครใจ ก็ได้ผลออกมาเป็นการสืบพันธุ์มีลูกมีหลาน มีเหลน และถ้าแยกออกมาเพื่อกามารมณ์ล้วนๆแล้วมันน่าเศร้า มันเป็นการทำสิ่งสกปรกเพื่อความบ้าวูบเดียว ไปสังเกตดูเถิดกามารมณ์ทั้งหลายต้องเกาะเกี่ยวข้องกับสิ่งสกปรก มันมีความรู้สึกสูงสุดเป็นบ้าวูบเดียวเดี๋ยวก็หาย หายเดี๋ยวก็หิวอีกก็ทำอีก เรียกว่าระคนกันอยู่กับสิ่งที่สกปรกและน่าเกลียดและง่ายจนสัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็นก็หลงใหลได้ แล้วก็เพื่อบ้าวูบเดียว บ้าวูบเดียว กามารมณ์มีความหมายเพียงเท่านี้ ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิต แต่ทว่าเป็นการสืบพันธุ์ สืบพันธุ์นั่นนะมันเกี่ยวกับชีวิตอย่าให้ชีวิตมันสูญหายไปจากโลก ให้ในโลกนี้มันมีชีวิตอยู่หรือเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นเราจงมุ่งหมายประโยชน์ที่ว่ามันเป็นการสืบพันธุ์ก็เป็นการทำหน้าที่ การบ้ากามารมณ์นั้นไม่ใช่หน้าที่ จึงไม่ใช่ธรรมะ แต่ถ้าเป็นการสืบพันธุ์ให้ดีที่สุดมันเป็นหน้าที่ มันจึงเป็นธรรมะ คือมีการสืบพันธุ์ที่ดี ฉะนั้น ธรรมะที่เป็นหน้าที่นี้มันก็เป็นคู่ชีวิตชนิดที่ลึกซึ้ง ชนิดที่ไม่ใช่เพื่อความสกปรกบ้าวูบเดียว จะเป็นไปเพื่อความถูกต้องของสิ่งมีชีวิตที่จะต้องสืบพันธุ์ต่อๆๆๆกันไว้ ขอให้เราอยู่ในขอบเขตอันนี้ อย่าตกลงพลัดตกลงไปในเรื่องของบ้าวูบเดียวกับสิ่งสกปรกบ้าวูบเดียว บ้าวูบเดียว นี่เรียกว่าคู่ชีวิต คู่ชีวิต
ถ้าจะเรียกให้ดี ที่ตรงตามพระพุทธประสงค์ก็จะต้องเรียกว่า “กัลยาณมิตร” ช่วยจำคำนี้ไว้แทน ธรรมะเป็นกัลยาณมิตรของชีวิตและของสัตว์ จงมีธรรมะเป็นกัลยาณมิตรเถิด พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้เองว่า ทว่าสัตว์เหล่านี้ได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีความเกิดจะพ้นจากความเกิด ที่มีความแก่จะพ้นจากความแก่ ที่มีความเจ็บจะพ้นจากความเจ็บ ที่มีความตายจะพ้นจากความตาย นี่หมายความว่าถ้าได้อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตร และที่ว่าอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรคืออาศัยธรรมเป็นกัลยาณมิตร ก็ต้องปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์สอน เป็นกัลยาณมิตรกับพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แล้วก็เลยพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พ้นจากปัญหาทั้งปวง เป็นกัลยาณมิตร
เวลาจะหมดแล้วพูดอีกคำหนึ่งว่า การทำอย่างนี้รู้จักใช้ธรรมะอย่างนี้คือ “ยอดของศิลปะ” ศิลปะอย่างอื่นไม่ดับทุกข์ ศิลปะธรรมะนี่จะดับทุกข์ ศิลปะประณีตสวยงามไพเราะ มันเป็นเรื่องโง่ เราต้องโง่มากๆมันจึงจะสวย สังเกตดูที่สวยที่ไพเราะต้องโง่ตามที่เขาว่ามันจึงจะสวย มันจึงจะไพเราะ เพลงจะไพเราะ วิจิตรศิลป์จะสวยงาม เราต้องโง่ตามเขา จึงจะเห็นว่าไพเราะ ถ้าเราเป็นอิสระเหมือนพระอรหันต์มันไม่มีไพเราะ ไม่มีสวยอย่างนั้น ศิลปะที่แท้จริงที่มีความงามสูงสุดก็คือมีธรรมะเอาชนะความทุกข์ให้ได้ ดับกิเลสและดับความทุกข์ให้ได้ ให้มีธรรมะแข็งโป๊กอยู่ในชีวิต ชีวิตแข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง นั่นแหละคือยอดของศิลปะ ยอดของศิลปะ มีธรรมะสูงสุดโดยเฉพาะคืออนัตตา และเป็นทุกข์อะไรอีกไม่ได้ มีอตัมมยตา คงที่อยู่ในลักษณะที่ปัจจัยอะไรๆจะมาปรุงแต่งอย่างใดก็ไม่ได้ นั่นแหละคือยอดศิลปะ ขอให้ทุกคนมีศิลปะของพระพุทธเจ้า มียอดของศิลปะคือดับทุกข์หมดตัวตนเสียก่อนตาย ตายเสียก่อนตายนั่นแหละเป็นยอดของศิลปะ มีสติสัมปชัญญะ มีศิลปะในการครองชีวิตประจำวัน ตลอดวัน ตลอดวัน ความทุกข์ก็จะไม่มาแผ้วพานเลย
นี่ก็มีธรรมะในชีวิตประจำวันในลักษณะที่กล่าวมานี้เถิด จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพระพุทธศาสนา คือจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ธรรมะได้เล่าเรียนมาอย่างไรในการบรรยายก่อนๆ วันนี้เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ประจำวัน ตลอดวัน ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จนกว่ามันจะดับไปตามธรรมชาติ ในการบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติการบรรยาย