แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้อาตมาภาพจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องส่งเสริมสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ วิริยะและความพากเพียรของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลา ธรรมเทศนาวันนี้ก็เป็นที่ทราบกันได้อยู่เองแล้วทุกคนว่า เป็นธรรมเทศนาปรารถมาฆบูชา คือวันที่เราชวนกันมากระทำการบูชา เนื่องด้วยพระอรหันต์ประชุมกันในวันนี้ ในวันคล้ายวันนี้ คือ วันเพ็ญ เดือนมาฆะ พูดกันว่าวันมาฆบูชา ขออย่าได้ฟังสักแต่ว่ามาฆบูชา มาฆบูชา ขอให้เข้าใจความหมายว่ามันเป็นวันของพระอรหันต์ ท่านประชุมกันในวันมาฆบูชา ถ้าจะพูดกันอย่างธรรมดาๆ ก็พูดว่าวันนี้เป็นวันพระอรหันต์ของโลก ระลึกถึงวันวิสาขบูชา ว่าเป็นวันพระพุทธเจ้า ระลึกถึงวันอาสาฬหบูชา ว่าเป็นวันพระธรรม ระลึกถึงวันมาฆบูชา ว่าเป็นวันพระสงฆ์ โดยใจความเป็นอย่างนี้ ขอให้ทำความเข้าใจว่าเนื่องกัน วันวิสาขบูชาเป็นวันเป็นวันพระพุทธเจ้า นั่นนะใจความสำคัญมันอยู่ที่ตรงไหน ท่านเคยสนใจจนถึงกับ รู้สึกพอใจหรือไม่ วันวิสาขบูชาหรือวันของพระพุทธเจ้านั่น จึงเป็นวันชัยชนะ วันชนะ วันพราหมณ์ชนะของสัตว์โลกต่อสิ่งที่เป็นศัตรูของโลก คือ พญามาร วันนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ วันชนะมาร วันนั้นคือวันชัยชนะของมนุษย์ ต่อสิ่งที่เรียกว่าศัตรูของมนุษย์ คือ มาร แล้วก็สรุปใจความสั้นๆ ว่า วันวิสาขบูชา คือ วันพระพุทธเจ้า เป็นวันชัยชนะของมนุษย์ ของพระพุทธเจ้าของมนุษย์ทั้งหมด ทั้งจักรวาลก็แล้วกัน แล้วชนะมารวันนั้นเป็นวันแห่งชัยชนะ ของมนุษย์ทั้งหมด ทั้งจักรวาลก็แล้วกัน ได้ชนะมาร วันนั้นเป็นแห่งชัยชนะ ต่อมาพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรม ประกาศพระธรรมจักรในวันอาสาฬหบูชา แสงสว่างก็เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์อย่างสมบูรณ์ วันพระธรรมจึงเข้ากับวันแห่งแสงสว่างของมนุษย์ มนุษย์ออกมาจากความมืดมาสู่แสงสว่าง เรียกว่าง่ายๆ เป็นวันที่หายโง่ก็แล้วกัน ก่อนนี้ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจในการที่จะเอาชนะต่อความทุกข์ บัดนี้นี้มีความรู้พอที่จะเอาชนะความทุกข์ได้ เราจึงเรียกวันนี้ว่าเป็นวันแสงสว่างของโลก
ต่อมาวันที่คล้ายวันนี้ คือ วันมาฆบูชา บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายบังเอิญมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย เป็นจำนวนถึง ๑๒๕๐ รูป แล้วก็ประหลาดที่ว่าไม่ได้นัดหมาย แล้วก็ประหลาดที่ว่าเป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ความน่าอัศจรรย์อยู่ที่ตรงนี้ แต่ความหมายสำคัญนั้นมันอยู่ที่ว่า จำนวนพระอรหันต์ เป็นวันที่ว่ายอดสุดของมนุษย์ หรือ มนุษย์ยอดสุดมนุษย์เต็มเปี่ยมแห่งธรรมนั้นน่ะ ตั้ง ๑๒๕๐ รูปมาประชุมกัน นี่ก็วันพระอรหันต์ของโลก วันพระพุทธเป็นวันชนะ วันพระธรรมเป็นวันแสงสว่าง วันมาฆบูชาเป็นวันสะอาด ยอดมนุษย์ มีความสะอาดบริสุทธิ์ถึงที่สุด ทำเอาใจพร้อมกันไปทั้งทั้งสามวันอย่างนี้ที่จะพอใจ จะเข้าใจ จะมีความยินดี ปรีดาปราโมทย์ถึงที่สุด จึงขอให้ลูกดกๆ ทั้งหลายให้รู้จักวันสำคัญทั้งสามวันนี้ ที่เหลือนี่ก็จะรู้จักแต่วันวาเลนไทน์ซะแล้ว วันบ้าบออะไรก็ไม่รู้ วันเป็นทาสของกามรมณ์ก็ไม่รู้ เด็กๆ มันก็รู้จักวันวาเลนไทน์มากกว่า วันพระพุทธ วันพระธรรม วันพระสงฆ์ พ่อแม่ไม่รับผิดชอบ พ่อแม่ดูเอาเถิด ขอให้จัดการกันเสียใหม่ ให้ลูกเล็กๆ ของเรารู้จักวันสำคัญของมนุษย์ ว่าเป็นวันที่มนุษย์ชนะมาร ว่าเป็นวันที่มนุษย์มีแสงสว่าง ว่ามนุษย์มีความบริสุทธิ์สะอาด เป็นยอดของมนุษย์มาประชุมกัน มันมีความสำคัญกว่าวันใดๆ มันสนใจกันแต่ว่าเป็นวันกรรมกร เป็นวันอนามัย เป็นวันสิทธิมนุษยชน วันอะไรก็ ไม่มีความสำคัญเท่ากับเป็นวันของพระพุทธ เป็นวันของพระธรรม เป็นวันของพระสงฆ์ นี่คือ ความสำคัญของวัน
เมื่อมาที่นี่ด้วยความลำบาก ขึ้นมาบนภูเขา ทางก็ลำบาก แล้วเราต้องเดินเท้าเปล่า ซึ่งมีแผ่นดินขรุขระ มีเจ็บปวด มีลำบาก ความลำบากทุกๆ อย่างจะเกิดขึ้นได้ก็ช่างมันเถอะ เพราะว่าความลำบากนั้นเป็นเครื่องสักการะบูชาสูงสุด ยิ่งกว่าเครื่องสักการะบูชาใดๆ เรียกว่า ปฏิบัติบูชา เรียกว่า ความเสียสละซึ่งเป็นเครื่องบูชา บูชาด้วยการเสียสละ พระพุทธเจ้าท่านตรัสสรรเสริญปฏิบัติบูชา เมื่อวันปรินิพพานปรากฏว่า มีการบูชาใหญ่หลวงของพวกเทวดา ทำให้ดอกไม้ทุกทิศหล่นลงมาจากสวรรค์เต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง อย่างมโหฬาร แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไม่ ไม่มีความหมาย การปฏิบัติบูชา การประพฤติ การกระทำ ตามคำสั่งสอนของตถาคต เป็นการบูชาที่สูงสุด เราอาศัยหลักนี้เป็นเครื่องกำหนด ขอให้เราได้ทำการปฏิบัติบูชาได้เสียสละ เมื่อมีการเสียสละมันเท่ากับเป็นการลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว ลดกิเลสมันยิ่งใกล้นิพพาน ถ้ามันสนุกสนานคึกครื้น ก็ด้วยความสวยงาม สนุกสนานเหล่านี้ ยิ่งไกลจากนิพพาน เพราะฉะนั้นปฏิบัติบูชาจะมีความหมายมากกว่าอามิสบูชา จึงขอให้ทำในใจเหมือนกับว่า เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่โน้น พระอรหันต์มาประชุมกันเราก็ลอบแอบดู เพื่อเกิดมีความพอใจหรือมีตา มีจิตใจน้อมไปตามร่องรอยของพระอรหันต์
ท่านทั้งหลายจงทำในใจอย่างนี้เถิด การมาบำเพ็ญมาฆบูชาก็จะมีความหมาย แล้วก็จะมีความหมายยิ่งๆ ขึ้นไปสำหรับในปีข้างหน้า เพราะว่าจะต้องทำให้ดียิ่งขึ้นไป ให้สูงสุดขึ้นไป ให้ลึกซึ้งขึ้นไปทุกปีๆ เดี๋ยวนี้ทำได้เท่านี้ ปีหลังๆ เราก็ทำให้ดีกว่านี้ ลึกซึ้งกว่านี้ ด้วยศรัทธา ด้วยเสียสละ ด้วยวิริยะ ด้วยอะไรต่างๆ ที่มากกว่านี้ กิเลสของเราก็จะน้อยลง จะลดลง นั่นคือ การตามรอยพระอรหันต์โดยแท้จริง เดี๋ยวนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ตามหัวข้อที่ยกกันไว้เบื้องต้นแล้วว่าสัพพะปาปัสสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การทำจิตของตนให้ขาวรอบ ตามตัวหนังสือว่าขาวรอบ ผู้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์โดยรอบ บริสุทธิ์อย่างครบถ้วน คนเห็นความสำคัญของหลักเกณฑ์อันนี้ ไม่ค่อยให้ความสนใจ ที่จริงมันเป็นกฏเกณฑ์ หรือเป็นหลักเกณฑ์ หรือเป็นความจริงที่มันจะช่วยโลก จะช่วยโลกให้รอดอยู่ได้ ก็อาศัยหลักเกณฑ์สามอย่างนี้ คือ ไม่ทำความชั่ว แล้วก็ทำความดี แล้วก็ชนะความดี อยู่เหนือความดีอีกหนึ่ง เป็นนิพพาน มันฟังยาก จะทำความดีไปทำไม ทำความดีก็โยนทิ้ง จะทำความดีไปทำไม มันมีความจำเป็นที่จะต้องเดินไปทางนั้น มันต้องมีความดี ต้องรู้จักความดี แล้วมันไม่บ้าดี หลงดี เมาดี เหยียดดี มันไม่เห็นนิพพาน มันไม่มีทางผ่านทางอื่น ไม่มีทางผ่านว่าละเสีย แล้วทำดี แล้วอยู่เหนืออิทธิพลของความดี เป็นนิพพาน ว่างจากความชั่ว และว่างจากความดี มีการเว้นบาป อยู่ติดนรก เว้นบาป แล้วก็ทำบุญ นี่คือเปิดสวรรค์ แล้วก็เหนือบุญๆ ไม่บ้าบุญ ไม่เมาบุญ ไม่อยู่ในปลักของบุญ เป็นอันสุดท้ายๆ อิสระจากบุญ จากบาป อันนี้สำคัญมาก เพื่อนสอนว่าอย่าทำบาป ทำบุญ นี่มันสอนกันมาก่อนพุทธกาล มันก็จมกันอยู่ที่นั่น ติดกันอยู่ที่นั่น ติดสวรรค์ สวรรค์กามาวจร คือสวรรค์กามรมณ์บ้าง สวรรค์รูป คือไม่เกี่ยวกับกามรมณ์ เป็นพวกพรหม มีรูปพรหม มีรูปสวรรค์ชั้นพรหมนี้บ้าง นั่นแหละติดกันอยู่ที่นั่น ยอดสุดของสวรรค์ชั้นอรูปพรหม ก็คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะที่สอนโดยครูคนสุดท้าย ที่สอนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ศึกษากับครูคนสุดท้ายคือพุทธกะดาบสรามบุตร สอนเรื่องเนวสัญญานาสัญญายตนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่านี่ไม่ใช่ที่สุดๆ อาจารย์บอกว่านี่ที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า นี่ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ที่สุด ก็ขอลาๆ ท่านแสวงหาของพระองค์เองจนพบนิโรธ หรือ นิพพาน เหนือสวรรค์ๆ กามนี่ก็เป็นภพ รูปพรหมก็เป็นภพ อรูปพรหมก็เป็นภพ เป็นภพๆ คือความเป็นอยู่ด้วยการยึดถือว่ามีตัวตน ยึดถือว่ามีตัวตนมันก็เป็นภพ ภพทั้งหลายทั้งหลายเป็นที่ตั้งของความทุกข์ เหนือภพมันจึงเกิดมีพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องเหนือภพ จนนิโรธ จนนิพพาน เรียกว่ายอดสุดของคำสอน ไม่มีใครสอนได้ดีไปกว่านี้ได้อีก ไม่มีใครเหนือกว่านี้ได้อีก หลุดพ้นจนนิพพาน
มาจัดลำดับให้ดีดูกันใหม่เสีย เลิกบาปเสีย แล้วก็มีบุญเข้ามา แล้วก็เหนือบุญเสีย แล้วก็นิพพาน แต่ว่าชาวโลกของเรามันเป็นอย่างไร มันกำลังบ้าบาป อย่าไปพูดถึงบุญเลย มันบ้าบาป หลงบาป เมาบาป เสียเป็นส่วนมาก บางคนละบาปมาทำบุญบ้าง ก็มันเป็นบุญที่หลอกที่ล่อ ให้เมาความสุข ของบุญที่เกิดจากบุญเป็นเรื่องสวรรค์ จึงไม่ดับทุกข์ จะต้องเหนือบุญนั้นอีกทีหนึ่ง บาปมันก็ลบ บุญมันก็บวก เมื่อเหนือลบเหนือบวกมันจึงจะเป็นนิพพาน ถ้ายังมีบุญมีบาปเยอะ เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ รู้สึกว่ากูได้มา กูเสียไป กูแพ้ กูชนะ กูได้เปรียบ กูเสียเปรียบ อย่างที่มนุษย์กำลังรู้สึกกันอยู่ในเวลานี้ นั่นมันไม่ดับทุกข์ มันจมอยู่ในกองทุกข์ มันต้องเหนือนั้นๆ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องรู้สึกว่า กูได้ กูเสีย กูแพ้ กูชนะ นี่เรียกพระอรหันต์อยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง เหนือปัญหาทั้งปวง ทั้งสุข ทั้งดี ทั้งทุกข์ ทั้งบุญ ทั้งบาป มันเป็นปัญหา มันก็คงขึ้นไปเหนือปัญหา เรียกว่าหมดปัญหา นั้นก็คือ หมดทุกข์ทั้งปวง คำสอนที่ว่า อย่าทำบาปให้ทำบุญนี่มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ไม่ต้องสงสัย คำสอนใดๆ ที่มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า คำสอนเก่าแก่เรียกเป็นบาลีว่า สนตนธรรม คำสอนที่สืบต่อกันกันมาไม่รู้แต่ครั้งไหน พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องนี้ว่าเป็นสนตนธรรม อยู่บ่อยๆ อย่าผูกเวร น หิ เวเรน เวรานิ อย่าจองเวร สตธรรมโม สนนฺตโน ธมฺโม สนตนธรรม (ไม่แน่ใจนาทีที่24:47) สนตธรรมนี่ต้องมีมาก แม้แต่ศีลห้าก็เหมือนกันเป็นคำเก่าแก่ที่รับมากุศลธรรมบทก็เป็นสนตนธรรม เป็นคำสอนที่ทำละชั่วทำดีนี่ ก็เป็นสนตนธรรม พระพุทธเจ้ามาต่อยอดให้สูงขึ้นไปเหนือชั่วเหนือดี นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แล้วมารู้จักคำสอนในขั้นที่เป็นพระพุทธศาสนาว่าจะดับทุกข์ทั้งปวงได้อย่างไร เป็นโวหารที่จะพูดได้ว่าพระพุทธเจ้าสวมยอดต่อให้ สนันตนธรรม หรือว่าจะได้ทำความสมบูรณ์ให้แก่สนตนธรรม แต่ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อได้ว่าได้เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นอันมากมาแล้วก็ตามสอน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็สอนอย่างนี้ พระเจ้าทุกพระองค์ก็สอนอย่างนี้ ไม่ทำบาป ทำกุศล ทำจิตให้ขาวรอบ ถ้าอย่างนี้พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ฉายซ้ำ ฉายหนังซ้ำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็ตามใจ ไม่ใช่ปัญหาสำคัญ ปัญหาสำคัญอยู่ที่มันดับทุกข์ได้หรือไม่ เดี๋ยวนี้คนมันไม่รู้แม้แต่ว่าอย่าทำบาปมันก็ไม่รู้ มันไม่รู้จักว่าบาปอันตรายเท่าไร ทำบุญก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าได้ความสนุกสนาน มันได้กามารมณ์ มันเรียกว่าบุญๆ มันก็ไม่ถูก มันลบกระดานหมดทิ้งไปเสีย ตั้งต้นกันใหม่ ไม่ทำบาป แล้วก็ทำบุญ แล้วก็ทำบุญ
ปัญหามันมีอยู่ว่าเราจะนำหลักการนี้ของพระพุทธเจ้านี้ มาใช้ในโลกปัจจุบันนี้ได้อย่างไร โลกในปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยบาปก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง โลกทุกวันนี้จำนวนหนึ่งมันก็บ้าบุญๆ มันก็ต้องแก้ไข โดยหลักการนี่ หลักการแห่งโอวาทปาฎิโมกข์ ทำจิตให้มันเหนือบาปและเหนือบุญ ให้มันเหนือบวกให้มันเหนือลบ ไม่หลงบวก ไม่หลงลบ ถ้าว่าถ้าหลงบวกมันก็เกิดกิเลส ถ้าหลงลบมันก็เกิดกิเลส นะฟังให้ดี ถ้าเกิดชอบใจขึ้นมามันก็เกิดกิเลสบวก ชอบใจมันก็เกิดกิเลสบวก มันก็คือ ความโลภ ราคะ ความกำหนัด อวิชชา ความที่จะยึดครองให้มาก แต่ถ้ามันเกิดลบมันก็เกิดกิเลสลบ กิเลสลบ ก็คือ โทสะ ประทุษร้าย โกรธะ มีความโกรธแล้วมันจะฆ่าให้ตาย กิเลสบวกมันจะเอาไว้ กิเลสลบมันจะฆ่าให้ตาย เดี๋ยวนี้เราก็มีแต่กิเลสบวกสะสมๆ จนไม่รู้จะสะสมกันอย่างไร เพราะมันเกินไปหมดในบ้านในเรือน มันก็มีกิเลสลบที่จะฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด ลองสำรวจดูทุกวันๆ ไม่เคยขาด ในโลกนี้มีที่ที่มันจะประหัตประหารกัน ต่อสู้ แย่งชิง แข่งขัน เอาเปรียบกันบ้าง ไม่เว้นแต่ละวันบนโลกนี้ เพราะฉะนั้นกล่าวได้ว่า กิเลสบวกและกิเลสลบมันกำลังครองโลกอยู่ทีเดียว ถ้าเมื่อไรเห็นว่าไม่ไหวป่วยการ เลิกบวกเลิกลบ นั่นแหละมันจะสู่สันติภาพ ถ้าคนมันยังโง่ยังหลงอยู่บวกในลบแล้ว จะไปหวังสันติภาพ จะร้องตะโกนป่วยการ ตะโกนจนตาย สันติภาพก็ไม่มี เมื่อคนมันไปหลงในมูลเหตุของกิเลส คือ บวกและลบ ขอให้ระวังกันเถิดว่า โลกมันกำลังจะวินาศ เพราะว่ามีความหลงในบวกในลบ โลกยิ่งเจริญด้วยวัตถุก็ยิ่งเจริญทางวัตถุขนาดหนัก แล้วมันเป็นอันว่าความหลงบวกไปถึงขนาดสูงสุด มันจะเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยา ความเบียดเบียน เจริญทางวัตถุด้วยเครื่องจักร ด้วยอุตสาหกรรม มันก็กิเลส มันก็เกิดกิเลสชนิดอุตสาหกรรมเหมือนกัน กิเลสมันก็เป็นอุตสาหกรรมเหมือนกัน มันเกิดขึ้นอย่างไรถึงรุนแรงอย่างมากมาย แล้วกิเลสอุตสาหกรรมมันจะทำลายโลก ระวังดีๆ นะ ที่ว่าเจริญๆ ทางวัตถุ เจริญด้วยอุตสาหกรรมนี้ อันนั้นจะทำลายโลก หนทางรอดมีอยู่ข้อเดียวเท่านั้นแหละ คือ เอาธรรมะมาไว้ให้มากพอ ชัดเจนกันให้มากพอ อุตสาหกรรมก้าวหน้าเท่าไร เอาธรรมะมาป้องกันไว้ ความเจริญทางวัตถุนั้นจะไม่ทำลายโลก ที่จริงแล้วความเจริญทางวัตถุนั่นแหละมันทำลายโลก เพราะว่าความเจริญทางวัตถุมันทำให้เห็นแก่ตัวๆ บวกก็เห็นแก่ตัว ลบก็เห็นแก่ตัว มันก็เกิดความทุกข์ เพราะเสียทั้งสองฝ่าย การจะยึดเอาจะยึดครองนี่ก็มีปัญหา การทำลายล้างเรื่องชิงต่อสู้กันมันก็มีปัญหา เมื่อเราหยุดหลงในความเป็นบวกในความเป็นลบ เมื่อนั้นจะหมดปัญหา ถ้าท่านทั้งหลายมีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ท่านก็จะเห็นว่าทั้งบวกและลบมันเป็นเพียงปฏิจจสมุปบาทเสมอกัน ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันมีบวกมีลบ ดังนั้นจึงหยุดหลงบวกและหลงลบ แต่มันก็เป็นเรื่องเข้าใจยาก ที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทนี่ อาศัยกันเกิดขึ้นๆ อาศัยกันอย่างนี้ เกิดผลอย่างนี้ อาศัยกันอย่างนี้ดับลงไป อาศัยอย่างนี้มันเกิดขึ้น มันไม่ใช่เป็นบวกเป็นลบตามธรรมชาติ เป็นความโง่ของมนุษย์ไปจัดให้มันเป็นบวก จัดให้มันเป็นลบ สิ่งใดที่พอใจก็จัดเป็นบวก ไม่พอใจก็จัดเป็นลบ แต่มันก็ไม่เหมือนกับทุกคน บางคนมันก็ไม่ยอมรับที่เป็นบวกของคนที่ไม่เป็นลบ ไม่เป็นบวกของคนอื่นก็ได้ คือเห็นไม่ตรงกัน มันจึงทำอะไรอย่างตรงกันข้าม คนหนึ่งว่าดี อีกคนหนึ่งว่าไม่ดี เรื่องเดียวกันก็ยังมี ความเชื่อนี่มันอยู่ที่ตามความพอใจของมนุษย์ อันธพาลหรือโจรมันก็เชื่อว่าดีอย่างนั้น สุภาพบุรุษ สัตบุรุษ ดีจึงทำแบบนี้ มันก็ยังขัดขวางกันอยู่อย่างนี้ ความขัดแย้งยังมีอยู่ตลอดไป ดีชั่วนี่มันเป็นปัญหา ยื้อแย่งกันอยู่ระหว่างคนพาลกับสุภาพบุรุษ ถ้าเอาหลักธรรมะเป็นหลักมันก็พูดว่า สิ่งใดไม่ทำอันตรายใครมีแต่ให้รับประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย สิ่งนั้นดีสิ่งนั้นถูก ถ้าไม่เป็นอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าผิด ถ้าถือหลักอย่างนี้ก็ได้ ยุติกันได้ ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อกันทุกฝ่าย ไม่ทำบาป ได้แต่ทำบุญ แล้วก็เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว พอมีความเห็นแก่ตัวมันก็ตรงกันข้าม มันหมุนไปคนละทิศคนละทาง เห็นแก่ตัว ก็เป็นทาสของกิเลส รักสิ่งใดก็เป็นทาสของสิ่งนั้น โกรธสิ่งใดก็เป็นทาสของสิ่งนั้น คงจะฟังไม่ถูก รักสิ่งใดเห็นของสิ่งนั้นมันฟังง่าย มองเห็นกันอยู่ โกรธสิ่งใดมันก็เป็นทาสของสิ่งนั้น มันหมายความว่า ถ้าไปโกรธสิ่งนั้นเขาต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามอำนาจของความโกรธ มันดันไปเกลียดเขา อิจฉาริษยา ไปฆ่าเขา ทนอยู่ไม่ได้ต้องทำไปตามความโกรธ อย่างนี้ก็เรียกว่า เป็นทาสของความโกรธก็ไม่สนุกอะไร เพราะฉะนั้นอย่าเป็นบวก เป็นบวกก็เป็นทาสบวก เป็นลบก็เป็นทาสลบ จะเห็นว่าบวกหรือลบก็เป็นของหลอกไม่ใช่ความสงบโดยเสมอกัน อย่าบวกอย่าลบ สงบแล้วเป็นสันติภาพ การเป็นบวกการเป็นลบนี่มันอยู่ที่จิตใจของคน มันไม่ได้อยู่ที่ความจริงของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรเสียใจ ไม่ควรหลงรัก ไม่ควรหลงโกรธ ไม่ควรอะไรหมด แต่มนุษย์มันโง่ ไปหลงรัก หลงโกรธ หลงพอใจ หลงไม่พอใจ ตามความรู้สึกของตนๆ นี่เราเป็นทาสของสิ่งทุกสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มาอย่างบวกก็เป็นทาสบวก มาอย่างลบก็เป็นทาสลบ โลกนี้จึงไม่มีสันติภาพ ทั้งโลกกำลังระดมกันเป็นทาสบวก ทุกคนชอบบวก ถามดู คชสูตร คชสูตร บูชากันนัก เป็นของบวก เป็นของพอใจ เป็นของถูกต้อง แล้วมันก็แย่งบวกกัน แล้วมันก็ฆ่าฟันกัน เพราะความหลงบวก หลงบวกเท่าไรความเป็นลบก็เข้ามาเท่านั้นแหละ เพราะมันเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็ทำลายกัน ทำลายล้างกัน ความเป็นบวกเท่าไร ความเป็นลบก็จะตามมาเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงบวก อย่าไปหลงลบ
ข้อนี้อยากจะพูดสักหน่อยว่า มนุษย์เคยเจริญเคยรู้ ไม่หลงบวก ไม่หลงลบกันมาแล้วกันมาแต่โบราณดึกดำบรรพ์ มันช่างโง่ช่างบ้ามาหลงบวก มาหลงลบกันทีหลัง ศาสนาของยิว ก่อนคริสต์ ไม่เป็นคริสต์เป็นยิวมาก่อน คำสอนคัมภีร์ไบเบิลของพวกยิว ที่เป็นคัมภีร์ต้นๆ ของพวกคริสต์ พระเจ้าก็สั่งคนที่สร้างอย่าได้กินผลไม้ที่ทำให้คนรู้ดีรู้ชั่ว คือ บวกลบอย่ากินผลไม้รู้บวกรู้ลบ บ้าบวกบ้าลบแล้วมันก็ฆ่ากัน มนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาแท้ๆ มันไม่เชื่อๆ มันกินผลไม้ที่ห้าม มันก็มีความรู้สึกอย่างบวกหรืออย่างลบ นี่ก็มีปัญหาเรื่องในคัมภีร์นั้นมันก็เขียนไปต่อมาๆ ว่า ลูกหลานของคนนั้น ลูกหลานที่ดื้อกินผลไม้ พอมีลูกหลานมา มันก็หลอกน้องชายไปฆ่าเสียในป่า เพราะว่าพ่อมันรักน้องชาย ไม่รักตัวพี่ชาย พี่ชายก็หลอกน้องชายไปฆ่าเสียในป่า นั่นเห็นไหม มันหลงบวกหลงลบ พี่ชายมันหลอกน้องชายไปฆ่าในป่า เพราะว่าพ่อไม่รัก ถ้าใครไปหลงดี หลงชั่ว หลงบวก หลงลบก็ไม่ต้องไปทำอย่างนั้น นี่มันเป็นประจักษ์พยานอย่างนี้ คัมภีร์ไบเบิลของพวกยิวตั้งหลายพันปี สอนเรื่องไม่ให้หลงดี หลงชั่ว ที่บวกและลบ คนก็ไม่ถือ ต่อมาพระเยซูก็มาไม่เน้นเรื่องนี้มาเน้นเรื่องรักผู้อื่น รักผู้อื่น ความรักคือพระเจ้า มันก็ไปทางอื่น ไม่ได้ละบวกละลบ ไม่ได้เลิกบวกเลิกลบ มันก็ยิ่งเป็นบวกมันลักษณะหนึ่ง นี่ก็เป็นของคริสเตียนไม่ต้องพูด เรื่องยิวมันเก่ากว่า ก็สอนให้เลิกดีเลิกชั่ว
ที่นี่ว่าตะวันออกสุดของเราสมัยเล่าจื้อ พร้อมๆ กับสมัยพระพุทธเจ้าก่อนเล็กน้อย เล่าจื้อสอนว่าอย่าไปหลงหยินหรือหยาง คือ บวกและลบ มันก็จะไม่ใช่เต๋า ถ้าหลงหยิน หลงหยาง มันก็ไม่ใช่เต๋า ถ้าเป็นเต๋าก็ไม่หลงหยิน หลงหยาง คือไม่หลงบวกหลงลบก็มีสอน แต่คนก็ไม่ได้ถือ ลัทธิเต๋าก็เหลือแต่อาซิ้มไหว้สิงโตนั่นแหละ อาซิ้มจุดธูปไหว้สิงโต ลัทธิเต๋าจะเอาอะไรกับมัน ของเดิมเขาสอนไม่ให้หลงหยิน หลงหยาง คือ ไม่ให้หลงบวก ไม่ให้หลงลบ ในอินเดีย ศาสนาฮินดูสอนให้ละบุญและบาป บุญะบาปะละเสีย แล้วอาตมันก็จะไปอยู่นิรันดร์ มันผิดกันตรงนี้ พระพุทธเจ้าท่านละเสียทั้งบุญและบาป และว่างไปเป็นนิพพาน แต่ว่าฮินดู เขาสอนว่าว่าละบุญละบาปเสีย แล้วก็จะเป็นอิสระ เป็นอาตมันนิรันดร นิรันดรมันอยู่ที่ไหนก็ตามใจ มันไม่เหมือนกันตรงนี้ กล่าวได้ว่า เขาก็เห็นโทษของบุญและบาป บุญและบาปเป็นเครื่องจองจำ เหมือนกับโซ่ตรวนจองจำวิญญาณให้ติดอยู่ที่นี่ เลิกบุญและเลิกบาปหลุดจากโซ่ตรวจแล้วก็จะหลุดถาวรที่เกิดเป็นนิรันดร เกิดเป็นนิรันดร พระพุทธเจ้ามาทีหลัง ท่านก็สอนอย่างนั้น เลิกบาป เลิกตัวตน แล้วก็ว่างไปจากความเวียนว่ายตายเกิด นี่แสดงว่ามนุษย์รู้จักเรื่องไม่บุญ ไม่บาป ไม่บวก ไม่ลบ มากันเป็นพันๆ ปีแล้ว แต่เราเลิกเสียทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย มาหลงบุญๆ หลงบวก หลงลบ กันเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะโลกในปัจจุบันนี้ หลงบวกกันเป็นการใหญ่ มีแต่ของเกินทั้งนั้น เกินในทางบำรุงบำเรอ แล้วยังจะสร้างโรงงานอุตสาหกรรม สร้างผลิตของกิเลสอย่างนี้ บนโลกอย่างนี้แล้วโลกมันจะไม่วินาศ ไม่มีที่สงสัยแล้ว หลงบวกมากขึ้นไปอีกๆ มันก็เหตุแก่ตัวหนักขึ้น มันก็เกิดกิเลสหนามากขึ้น แล้วมันก็ต้องฆ่าฟันกัน ทำลายล้างกัน เพราะความเห็นแก่ตัว คนที่อยู่เดี๋ยวนี้มันก็เยอะแล้วปัญหาเยอะแล้ว ทำให้เห็นแก่ตัว ทำให้เกิดสิ่งไม่พึงปรารถนาทุกอย่าง ความลำบากยิ่งยากลำบากของมนุษย์ในโลกนี้ เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว คนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนนอกนั้นก็เห็นแก่ตัว ต่างคนต่างต่อสู้เพื่อประโยชน์ของตัว ไม่ดูใคร ก็เกิดการขัดแย้งกันไปหมด มลภาวะทั้งหลาย แล้วอีกอย่างมันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ผู้เห็นแก่ตัวทำให้เกิดมลภาวะอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ดิน ที่น้ำ ที่ไม่ว่าที่ไหน ทำลายป่า มันเห็นแก่ตัวนี่มันทำความพังพินาศอย่างอื่น เพราะมันเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี่ทำให้เกิดอาชญากรจนคุกไม่พอใส่ ตำรวจไม่พอ ต้องเพิ่มตำรวจ ศาลไม่พอ ต้องเพิ่มศาลเรือนจำไม่พอ ต้องเพิ่มเรือนจำ โรงพยาบาลบ้าไม่พอ ต้องเพิ่มโรงพยาบาลบ้า รัฐบาลไม่มีเงิน เพิ่มเรือนจำ เพิ่มโรงพยาบาลบ้า นี่มันมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี่มันประหลาดนะ ขอให้พิจารณาดูให้ดี ความเห็นแก่ตัวมันทำให้ขี้เกียจ ความเห็นแก่ตัว มันไม่ทำให้ขยันช่วยตัว มันอยากจะเอาเปรียบมันอยากนอนเสีย ให้ประโยชน์ไหลเข้ามา มันนอนอ้าปากให้เงินทองไหลเข้ามาคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวมันไม่ได้ขยันทำงาน ขี้เกียจและเอาเปรียบผู้อื่น ทำแค่ตัวเองจะคอยรับผล ความเห็นแก่ตัวนี่มันไม่สามัคคี เรียกร้องสามัคคีมันได้ที่ไหนเล่า พลเมืองเห็นแก่ตัว ถ้าเราตามเรียกร้องความสามัคคีก็เป็นหมันเท่านั้น ถ้าพลเมืองไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องเดือดร้อนอะไรก็มาเป็นฝูงมาช่วยกัน ความเห็นแก่ตัวมันไม่สามัคคี ความเห็นแก่ตัวมันทำให้อิจฉาริษยา เรื่องนี้ใหญ่หลวงมาก โลกจะวินาศเพราะความอิจฉาริษยา แต่แล้วความอิจฉาริษยามันก็ยังไม่ลบ มันก็เพิ่มๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ มีแผนการอิจฉาริษยากันอย่างลึกซึ้งทั้งส่วนบุคคล ทั้งส่วนของกรม ทั้งส่วนประเทศชาติ ทั้งโนโลกเลย ความเห็นแก่ตัวๆ ทำให้เกิดปัญหาทุกชนิด ให้ท้าทายว่าปัญหาใดๆ วิกฤตการณ์ใดๆ ที่ตอนนี้ได้เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวนั้นไม่มีๆ มันมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น มันมาเกิดได้แม้ว่าระหว่างสามีกับภรรยา สามีกับภรรยาเห็นแก่ตัวขึ้นมาก็เกิดทะเลาะกัน พ่อแม่เห็นแก่ตัวลูกก็แย่ เดี๋ยวนี้มันก็เห็นแก่ตัวกันถึงขนาดเกิดอะไรใหม่ๆ ปัญหาใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดมันก็เกิด ให้คนป่าหัวเราะ คนป่าสมัยดึกดำบรรพ์เขาไม่เป็นโรคเอดส์ คนป่าสมัยดึกดำบรรพ์ไม่มีปัญหายาเสพติด คนป่าสมัยดึกดำบรรพ์ไม่มีปัญหาอย่างที่เดี๋ยวนี้มี นี่มันน่าละอาย ควรจะละอายคนป่ามันบ้าง ความเลวร้ายนี่เกิดจากความเห็นแก่เพิ่มขึ้นๆ ก็มีขึ้นมา ที่สมัยคนป่าไม่มี คนป่ามีสันติภาพมากกว่าคนปัจจุบัน ที่มันเตลิดเปิดเปิงในทางบวก ในทางเห็นแก่ตัว คนที่เจริญๆ มันถูกแล้วมันเจริญมาด้วยความเห็นแก่ตัว มันเจริญแต่ว่ามันไม่ได้ลดปัญหาแต่มันเพิ่มปัญหา สุนัขมันมามันๆ ไม่ได้เพิ่มความเห็นแก่ เห็นแก่ตัวเท่าเดิม ปัญหาของสุนัขอย่างไรมันก็มีเท่าเดิม แต่ว่าคนมันเพิ่มความเห็นแก่ตัวจะเอายังไง ที่นี่มีปัญหามากกว่าสุนัข คนป่ามาเห็นก็หัวเราะ คนป่ามาเห็นความเจริญที่มนุษย์สมัยนี้สร้างขึ้นมา และเพิ่มปัญหาๆ คนป่าหัวเราะจนฟันหัก เรื่องความเจริญของคนสมัยนี้ ลองไม่เห็นแก่ตัวสิ อย่าเห็นแก่ตัวสิ ปัญหาเหล่านี้มันก็ไม่มี จึงขอยืนยันว่าจะเจริญทางวัตถุแล้ว จะเจริญทางวัตถุแล้ว ยังเตรียมยาหม้อใหญ่ไว้แก้ปัญหาความไม่เห็นแก่ตัวหรือธรรมะ ถ้าเจริญทางวัตถุแล้วก็บางเรื่องมันก็เห็นแก่ตัวๆ มันก็เชือดคอตัวเองตายหมด เพียงความไม่เห็นแก่ตัว คือ ธรรมะ ธรรมะเอาไว้สำหรับจะแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นมาจากความเจริญทางวัตถุ เราหวังว่าจะมียุคอุตสาหกรรม ติดเหยื่อกิเลสทั้งนั้น จะอุตสาหกรรมกันขนาดไหนก็ติดเหยื่อกิเลส แล้วคนก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น น่าจะแก้ปัญหาข้อนี้ ธรรมะเท่านั้นๆ เตรียมธรรมะไว้มากพอสำหรับจะเจริญทางอุตสาหกรรมในอนาคต มิะฉะนั้นความเจริญทางวัตถุจะทำลายโลกๆ กันหมด
เมื่อนึกถึงข้อที่ว่าอย่าหลงบวก อย่าหลงลบ มันจะไม่เห็นแก่ตัว ที่นี่มันหลงบวกมากเกินไปจนเกินๆ ทำอุตสาหกรรมมันก็ยิ่งเกินๆ สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีมันก็มีต้องมี มันก็เต็มไปด้วยความยุ่งยากความลำบาก อย่าหลงบวก อย่าหลงลบ และก็ไม่เห็นแก่ตัว บ้านเมืองก็เยือกเย็น โลกก็ศรีอริยเมตไตรย อย่าเข้าใจผิดนะว่าโลกจะศรีอริยเมตไตรยนี่วิเศษวิโสอะไรหนักหนา เนื่องจากว่าโลกศรีอริยะเมตไตรยมันไม่มีคนที่เห็นแก่ตัว มันมีแต่คนที่ไม่เห็นแก่ตัว คอยชูมือตลอดว่าจะให้ช่วยอะไร จะให้ทำอะไร จะให้ช่วยอะไร ไม่เห็นแก่ตัวผู้นั้นพร้อมที่จะช่วย นั่นแหละโลกพระศรีอริยเมตไตรย พอออกไปกลางถนนก็ดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร มีแต่คนดี มีมิตรสหายชูมือไว้ให้ช่วยอะไร พอกลับมาบ้านเรือน อ้อ นี่บ้านของเรา นี่ภรรยาสามีบุตรของเรา พอออกไปกลางถนนก็เหมือนกันหมด จนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เพราะฉะนั้นโลกพระศรีอริยเมตไตรย ไม่มีอะไร นอกจากความไม่เห็นแก่ตัว ตัวหนังสือมันก็บอกอยู่แล้วว่าเมตตรัย เมตตรัย ความเป็นมิตร เกื้อกูลแก่ความเป็นมิตร ศรีก็ชั้นเลิศ อริยะก็ชั้นประเสริฐ ศรีอริยะเมตไตรย คือ เมตไตรยชั้นเลิศ ชั้นอริยะ ความเป็นมิตรชั้นเลิศชั้นอริยะ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันไปเสียทุกคน ลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ลงไปถึงต้นไม้ ต้นไร่ก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครใจดำที่จะทำลายล้างต้นไม้ ซึ่งมันก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ต้นไม้มีความรู้สึกไม่อยากตาย อยากอยู่อยากรอดทั้งนั้น วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ข้อนี้ แต่ไม่มีใครสนใจเพราะเขาเอาแต่ความสะดวก ที่ทำลายป่าไม้ ทำลายต้นไม้เพื่อประโยชน์ของกู ถ้าว่าเรามีความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันให้ถึงสัตว์เดรัจฉาน ให้ลงไปถึงต้นไม้ ไม่ต้องลงไปถึงก้อนหิน ก้อนหินมันไม่มีชีวิตจิตใจไม่ต้องลงไปถึง แต่ว่าไปถึงต้นไม้ ต้นไร่พืชทั้งหลาย เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา ไม่มีใครทำลายต้นไม้ลงคอ คนสุภาพมันก็มีจิตใจมันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่หลงบวก มันไม่หลงลบ มันยึดถือแต่ความถูกต้อง อย่าเรียกว่าหลง มันยึดถือความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง มันผิดไม่ได้ กงการว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ มันคงที่อยู่แต่ในความถูกต้อง จิตขาวรอบเป็นอย่างนั้น ละบาปเสีย ทำบุญละบุญเสีย มันก็ขาวรอบ คงที่อยู่ในความถูกต้อง เรียกด้วยคำแปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งท่านไม่เคยได้ยินว่า อตัมมยตา จิตที่ไม่ถูกปรุงแต่งโดยอะไร ให้ปราศจากความถูกต้อง เพราะอตัมมยตาทำให้พระพุทธเจ้าออกบวช พระพุทธเจ้ารู้ไปตามลำดับ พระพุทธเจ้ารู้จนละเลิกครูคนสุดท้ายที่สอนว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ มารู้เรื่องนิโรธ เรื่องนิพพานของพระองค์เอง มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง ทำผิดมาปรุงแต่งไม่ได้ ในทางบวกก็ไม่ได้ ในทางลบก็ไม่ได้ ความทางถูกต้องมันก็เจริญงอกงามๆ ไปความถูกต้อง จนพระอรหันต์เลย คงที่อยู่ในความถูกต้องขอให้ช่วยจำด้วย จารึกไว้ในใจ จารึกไว้ในพระเครื่องที่เอามาแขวนคอ พระเครื่องที่เอามาแขวนคอจารึกคำว่าคงที่ๆ อยู่ในความถูกต้อง ขอให้เราเตรียมธรรมะนี่ไว้ให้พอ ให้คงที่อยู่ในความถูกต้อง เอามาแขวนไว้ที่คอ เป็นเครื่องป้องกันเสนียดจรรไรอันจะเกิดมาจากความเจริญทางวัตถุโดยยึดอุตสาหกรรม ยุคนิคบ้าบออะไรก็ไม่รู้เรียกว่าอุตสาหกรรม ถ้าไม่มีอันนี้เป็นเครื่องรางวินาศ โลกนี้วินาศ มันเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไปในทางผิดมากขึ้น มันรักษาความถูกต้องไว้ไม่ได้ มันบังคับกิเลสไม่ได้ เตรียมไว้เถิดเครื่องป้องกัน เป็นยา เป็นวัคซีน เป็นอะไรก็แล้วแต่ เป็นเครื่องป้องกันให้มันคงที่อยู่ในความถูกต้องๆ จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งปรุงแต่ง บวกก็ไม่เปลี่ยน ลบก็ไม่เปลี่ยน ลบมาก็ไม่เปลี่ยน บวกมาก็ไม่เปลี่ยน คงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่ยิ่งกว่าภูเขา ก็ภูเขานั้นหวั่นไหวนะ ภูเขาจะหวั่นไหวเมื่อแผ่นดินไหว ภูเขาสะท้านยังหวั่นไหวเมื่อแผ่นดินไหว ภูเขาหิมาลัย ภูเขาอะไรในโลกที่ไหนก็ตามหวั่นไหวเมื่อแผ่นดินไหว จิตนี้ไม่หวั่นใจต่อให้จักรวาลมันหวั่นไหวก็ตาม จิตนี้ไม่หวั่นไหว คงที่อยู่ในความถูกต้อง นี่คือ จิตขาวรอบ จิตของพระอรหันต์ที่เรากำลังพูดกันอยู่ในวันนี้ วันอาสาฬหบูชา พระอรหันต์ที่มีจิตขาวรอบมีความคงที่อย่างนี้
เรื่องที่เราจะเอามาเปรียบเทียบอุปมา พวกฝรั่งฟังแล้วเข้าใจคำนี้ลำบากมาก ต้องพูดโดยอุปมาว่า ถ้ามีสาวสวยคนหนึ่งมีความคงที่อยู่ในความถูกต้อง อตัมมยตาความคงที่อยู่ในความถูกต้อง ให้ชายหนุ่มเจ้าชู้รูปงาม แสนอิสระมาเป็นฝูงเป็นร้อยๆ พันๆ จะมาเกี้ยวหญิงสาวคนนี้ไปไม่ได้หรอกทำไม่ได้ ความคงที่อยู่ในความถูกต้องหรืออตัมมยตา หรือว่าในทางกลับกันชายหนุ่มคนนี้ มีอตัมมยตา มีความคงที่อยู่ในความถูกต้อง ให้นางฟ้า นางงามจักรวาล นางอะไรมาตั้งฝูงเป็นร้อยๆ พันๆ ก็ลากหัวเอาไปไม่ได้ เพราะมันคงที่อยู่ในความถูกต้อง อตัมมยตา ของกกคงที่อยู่ในความถูกต้อง นั่นคือ จิตขาวรอบ ถ้าจิตยังไม่ขาวรอบ มันไม่คงที่มันก็เปลี่ยนไปตามอารมณ์บวก อารมณ์ลบ
เป็นอันว่าสรุปความว่าโลกนี้ต้องพึ่งพาอาศัยหลักการของวันมาฆบูชาสำหรับพระอรหันต์ว่าละชั่วทำดี และก็อยู่เหนืออิทธิพลของทั้งความดีและความชั่ว อย่าให้ความดีและความชั่วมาครอบงำเป็นบวกและเป็นลบ ให้อยู่เหนือบวกเหนือลบ แล้วก็เป็นอะไร แล้วก็เป็นว่าง คือพระนิพพาน ว่างในพระพุทธศาสนาคือ นิพพาน นี่คือว่างอย่างนี้ ว่างคือ ไม่หลงบวก ไม่หลงลบ ไม่มีความหมายบวกหรือลบก็ไปอัดอยู่ในใจ ว่างจากความดีว่างจากความชั่ว ว่างจากบุญ ว่างจากบาป ว่างจากนรก ว่างจากสวรรค์ ว่างจากของเป็นคู่ๆ ทั้งหมด นี่คือ หลักการของมาฆบูชา หมายถึง พระอรหันต์ มาฆบูชาในที่นี้ หมายถึง เรามาบูชาพระอรหันต์ผู้มีจิตใจอย่างนี้ๆ เอาละนี่คือเรื่องของวันนี้ วันที่พระอรหันต์ได้เกิดขึ้นในโลกถึงที่สุด
อาตมาอยากจะพูดว่าโลกยิ่งจำเป็น ที่จะต้องใช้หลักการของพระอรหันต์ มาป้องกันเสนียดจัญไรที่มันจะเกิดขึ้นจากความเจริญทางวัตถุ อย่าหลงบาป ทำบาป เมื่อทำบุญ แล้วก็อย่าหลงบุญ เป็นสะพานไปหาความหลุดพ้น ต้องผ่านไปทางบุญ ถ้าไม่ผ่านไปทางบุญก็ไม่รู้จะผ่านไปทางไหน บุญเป็นเพียงบันไดที่จะไปหานิพพาน ทำบุญแล้วมันจะมีบันได รู้จักพระนิพพาน รู้พระนิพพานแล้วก็หมดเรื่อง ขอให้เราพอใจเถิดว่าเราได้มาประชุมกันเป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ผู้มีหลักการอย่างนี้ เว้นบาป ทำกุศลถึงพร้อม แล้วก็จะมีจิตขาวรอบ อยู่เหนืออิทธิพลของบุญและบาป ขอให้เราได้รับความรู้อันนี้สำหรับไปกล่อมเกลาหรือว่าไปปรุงแต่งให้จิตใจของเราคงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่ๆ อยู่ในความถูกต้อง เปลี่ยนเป็นอะไรไม่ได้ เปลี่ยนเป็นบวกก็ไม่ได้ เปลี่ยนเป็นลบก็ไม่ได้ เปลี่ยนเป็นนรกก็ไม่ได้ เปลี่ยนเป็นสวรรค์ก็ไม่ได้ คงที่อยู่ในความถูกต้อง คือ ว่างจากความทุกข์ๆ ก็เป็นนิพพาน เรื่องจบตรงนี้ เพราะเราพูดถึงนิพพาน ให้นิพพานเป็นเครื่องราง เป็นของขวัญที่จะป้องกันปัญหาวิกฤตการณ์ใดๆ อันจะเกิดขึ้นมาในโลกมนุษย์เรา ขอให้ท่านทั้งหลายไม่ต้องเชื่ออาตมา แต่เอาไปคิดดูให้ดี มองเห็นได้เองว่าอะไรจะต้องทำอย่างไร แม้จะต้องเชื่อพระอรหันต์กันกี่มากน้อย เราไม่เชื่อบุคคล แต่เราเชื่อเหตุผลที่มันจะแสดงตัวอยู่ในสิ่งนั้น นี่คำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนว่า อย่าเชื่อบุคคล อย่าเชื่อตำรา อย่าเชื่อคำภีร์ อย่าเชื่อครูบาอาจารย์เลย แต่ให้เชื่อเหตุผลที่มันแสดงอยู่ในนั้น อยู่ในคำพูดนั้นๆ เช่น พระพุทธเจ้าสอนว่าทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เราไม่เชื่อ แต่เราดูว่าเหตุผลที่มีอยู่ในคำสอนนี้มันจะทำให้เกิดอะไรขึ้นมา เราก็จะเจอทางดับทุกข์ เห็นชัดทางดับทุกข์ เชื่อเหตุผลที่มันแสดงอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ความลับข้อนี้มีอยู่เอามาเปิดเผย พระพุทธเจ้าให้ท่านสอน ท่านมีวิธีสอน ท่านมีหลักการสอน เก่งกว่าพวกครูบาอาจารย์สมัยนี้ ที่มีวิชาครูรวมกันยังไม่เท่าวิชาครูของพระพุทธเจ้าในการสอน ท่านสอนโดยมีหลัก มีเทคนิคสามอย่าง ข้อหนึ่ง จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่านี่เป็นของใหม่ ทั้งที่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งนี้จะต้องมีอะไรพิเศษและน่าสนใจ ต้องช่วยฉันได้ นี่เรียกว่าให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ต้องพูดเป็นลักษณะว่านี่เป็นของใหม่ ฉันไม่เคยรู้จัก นี่คือข้อแรก ข้อที่สอง แสดงให้มีเหตุผลอยู่ในคำพูดนั้นๆไม่ต้องเชื่อผู้พูด เหตุผลมีอยู่แล้วในคำพูด จะเห็นได้ว่าจะดับทุกข์ได้อย่างไร ท่านแสดงมีเหตุผล ข้อที่สอง แล้วข้อที่สาม ท่านแสดง ท่านสอนให้มีปาฎิหาริย์ๆ คือ สำเร็จประโยชน์ได้จริง สิ่งใดที่ท่านแสดงลงไปแล้วมันเป็นปาฎิหาริย์ มันดับทุกข์ได้จริงตามคำที่พูดนั้น อย่างนี้เรียกว่าปาฎิหาริย์ คือให้เกิดผลทางความดับทุกข์ได้จริง นี่เรียกว่าคำสอนนั้นมีปาฏิหาริย์ ทบทวนอีกทีว่า ท่านสอนให้เป็นของที่รู้สึกว่าเป็นของใหม่ ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ท่านพูดในแง่ที่มันรู้สึกว่าแปลก ท่านสอนให้ดับทุกข์และนิพพาน ผู้ฟังก็รู้สึกว่านี่ไม่เคยได้ยิน นี่มันของใหม่น่าสนใจ ข้อที่สองท่านใส่เหตุผลไว้ครบถ้วนในคำพูดเหล่านี้ ไปตรึกตรองเห็นได้เองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผล เขาจะมองเห็นได้เอง ปาฏิหาริย์คุณลองทำตามดูสิ มันมีผลเด็ดขาด มีผลเต็มที่ แล้วก็มีปาฏิหาริย์ ถ้าจำไว้ก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จะพูดอะไรกับใคร จะสอนอะไรกับใคร สอนให้มันมีความรู้สึกว่าเป็นของใหม่ ไม่เคยได้ยินได้ฟัง และสอนให้เห็นว่ามันมีเหตุผลๆ มันมีปาฏิหาริย์ ลองไปทำเข้าเถิด จะได้ผลตามนั้น เป็นของใหม่ มีเหตุผล มีปาฏิหาริย์ นี่เป็นองค์ประกอบคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจึงเป็นศาสดาของโลก เป็นครูบาอาจารย์ของโลก เพราะท่านมีเทคนิคในการสอนอย่างนี้ เคยฟังแล้วก็แล้วไป ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนก็เป็นความลับ ควรจะรู้กันเสียทีว่ามันต้องรู้เรื่องนี้ ขอให้ถือเอาไว้เถิดว่า การสังคม ซึ่งกันและกันจะน้อมนำจิตใจของกันและกันให้ไปในความถูกต้อง ให้มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง พูดจากับเขาให้มีองค์ประกอบครบทั้งสามองค์ๆ มันก็สำเร็จ ทำได้ด้วยมีจิตคงที่อยู่ในความถูกต้อง จิตขาวรอบ บริสุทธิ์ปราศจากการรบกวนของกิเลสแล้วก็ตาม
เป็นอันว่าเรื่องเกี่ยวกับพระอรหันต์หรือมาฆบูชานี่ อาตมาต้องการจะบอกกล่าวเพียงเท่านี้ อย่างนี้ ขอให้สรุปใจความให้ดีๆ ให้ติดไปกับความจำ ไปคิดนึกใคร่ครวญและทำให้ได้ตามนั้น อย่าให้พูดที่นี่ แล้วมันตกค้างอยู่ที่นี่ พูดมันที่นี่ แล้วมันก็ตกหล่นอยู่ที่นี่ ไม่มีประโยชน์อะไร ท่านก็มาเหนื่อยเปล่า เสียค่ารถเปล่า เสียค่าอะไรเปล่า ต้องการมาฆบูชา แต่ถ้าได้รับเอาหลักการของพระอรหันต์ ในการทำโอวาทปาฎิโมกข์ไปใช้ก็คุ้มค่าๆ ค่าเหนื่อย ค่าแพง ค่าเสียเวลา คุ้มค่าๆ ขอให้ท่านได้รับประโยชน์คุ้มค่าในการมาทำมาฆบูชาในสถานที่นี้ ในลักษณะเป็นวัดป่า ทำอะไรมันกลางป่า พูดกับต้นไม้ เอาละเป็นอันว่าหมดเรื่องมาฆบูชา
นี่ขอโอกาส ขออภัย พิเศษให้อามตาได้พูดเรื่องส่วนตัวสักเล็กน้อย เพราะมันเป็นโอกาสที่จะพูด คือ พูดเรื่องทำบุญเลิกอายุ ที่จะทำกันในปีนี้ มีคนไม่เข้าใจว่าจะทำอย่างไร ขอบอกกล่าวกันเสียในที่นี้จะจำไปบอกเพื่อนฝูงกันด้วย ว่าวันที่ 27 พฤษภาคม ซึ่งมีอายุโดยสมมุติครบ 84 ปี นี่ขอทำกุศลเป็นพิเศษ เรียกว่า เลิกอายุ เลิกอายุ คนทั่วไปเขาทำบุญต่ออายุ เลี้ยงกันใหญ่ กินกันใหญ่ ให้ของขวัญกันใหญ่ ต่ออายุ อาตมาบอกไม่เอา ไม่เอาขอทำบุญล้ออายุๆ แต่มันก็มีปัญหาต้องล้อๆๆ ในที่สุด นี่ขอให้ทำบุญเลิกๆ พอกันทีเรื่องอายุ เลิกกันที หมดปัญหากันที เรียกว่า ทำบุญเลิกอายุ ทำบุญล้ออายุมาหลายปีแล้ว ท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วฟังอยู่แล้ว เลิกกันทีเถิดทำบุญล้ออายุ ปีนี้ขอทำบุญเลิกอายุ ไม่ให้เกียรติอะไรต่ออายุ ไม่ง้ออายุ ไม่ต่ออายุ ไม่ล้ออายุ เลิกให้มันหมดความหมาย เลิกอายุนี่ไม่ใช่ตาย ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย แต่ว่าทำให้มันหมดปัญหาเกี่ยวกับอายุ ปัญหาใดๆ เกี่ยวกับการมีอายุเลิกๆ ให้มันหมดปัญหาเกี่ยวกับอายุ ไม่มีความผูกพันกันกับอายุอีกต่อไป หลายคนอาจจะไม่ชอบ เพราะอยากจะต่ออายุ หรือว่าอยากจะล้ออายุก็ตามใจ แต่อาตามาต้องการจะเลิกอายุ มีอิสรภาพจากปัญหาที่มันเกี่ยวกับอายุ พอใจในการที่จะหมดปัญหา หมดความผูกพันเกี่ยวกับอายุนี่คือ เสรีภาพ สรุปความแล้วว่าจะเลิกอายุ ไม่ผูกพันเป็นปัญหายุ่งยากลำบากในการที่มีอายุ มีอายุไม่รับผิดชอบ ไม่เป็นภาคของอายุก็ว่าอย่างนั้นแหละ จะทำบุญแบบเลิกอายุ ไม่สวดมนต์ไม่เลี้ยงพระ ไม่เลี้ยงคน ทำบุญด้วยการไม่เลี้ยงพระไม่เลี้ยงคน ไม่กินกันใหญ่ ไม่เลี้ยงกันใหญ่ ไม่มีโรงเลี้ยงกันใหญ่ ไม่มี จะขอร้องให้เว้นอาหารสักหนึ่งวัน สองวัน สามวัน แล้วแต่จะเว้นได้ ถ้าหิวขึ้นมาจริงๆ ก็กินน้ำข้าวต้มสักถ้วยหนึ่งก็พอ กินน้ำผลไม้สักถ้วยพอ ไม่เลี้ยงกันใหญ่ ไม่กินกันใหญ่ คืออย่างนี้ เลี้ยงคนแต่กินน้ำข้าวต้ม ไม่รับเงินกันใหญ่ ไม่รับของขวัญกันใหญ่ ไม่รับสักการะใดๆ ไม่มีมโหรสพใดๆ นอกจากมโหรสพทางวิญญาณ คือ ทำให้รู้ธรรมะมากขึ้น นี่คือธรรมโคตรสัญจรที่จะรบกวนคนทั่วบ้านทั่วเมือง มีธรรมโคตรสัญจรข้างใน เชื่อใจข้างๆ ในจิตใจ ในเนื้อในตัว ในร่างกาย ธรรมโคตรสัญจรอยู่ข้างใน รู้อะไรๆ มากขึ้น ใครจะทำก็ได้ ทำข้างนอกตามใจ ใครจะทำข้างนอกก็ได้ แต่อาตมาไม่ทำ ไม่ยอมทำ ไม่ขอร้องให้ทำ ธรรมโคตรสัญจรที่จะรบกวนคนทั้งบ้านทั้งเมืองไม่เอาแล้ว ธรรมโคตรสัญจรอยู่แต่ภายในอัตภาพร่างกาย แล้วก็จะสวดบทสวดพระบาลี สูตรที่แสดงความจริงของนามรูป เช่นโพชฌงคสูตร คิริมานนทสูตร ถ้าใครอยากจะมาร่วมงานเลิกอายุก็เชิญเถิด เชิญ เรียนเชิญ เรียนๆ โพชฌงคสูตร เรียนคิริมานนทสูตร มาสวดกันๆ สวดปริ ไม่เอาไม่เอา สวดพุทธมนต์ไม่เอา สวดเลิกอายุๆ นามรูปเป็นของว่างเปล่าจากตัวตน ทำอานาปานสติ มีการเลิกอายุเป็นอารมณ์ ทำอานาปานสติมีการเลิกอายุเป็นอารมณ์ทั้งวันทั้งคืนๆ กันดูสักสองสามวัน ทำความสงัดๆ ทำความสงัดสูงสุดๆ นี่คือ เลิกตัวกูเสีย เลิกตัวกูเสียแล้วก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็มีความสงัดสูงสุดๆ แทนที่จะไปนั่งป่าคนเดียว ไปนั่งในถ้ำคนเดียว ป่าช้าคนเดียวไม่สงัด ถ้ามันมีตัวกูอัดอยู่ในป่า ความสงัดของคนโง่มันเป็นอย่างนั้น ความสงัดของพระพุทธเจ้าคือ ไม่มีตัวกูอย่างข้างใน ไม่มีตัวกูรบกวนอยู่ข้างในนี่คือ ความสงัด สงัดที่แท้จริง มีจิตอย่างนี้ที่ไหนที่นั่นเป็นที่สงัดหมด ในกลางโรงละครก็ได้ กลางโรงอุตสาหกรรมเครื่องจักรดังสั่นหวั่นไหวก็ได้ถ้าฉันมีความสงัด ถ้าไม่มีความเป็นตัวกูอย่างข้างใน นี่เรามาพูดทำความสงัดในลักษณะอย่างนี้กัน ที่นี่ว่าผู้ที่มาร่วมกันงานอย่ามาเลย ไม่ต้องมาหรอก ขอร้องว่าไม่ต้องมา หมดเงินที่จะเสียค่าพาหนะรวมแล้วไปช่วยเด็กอนาถา ไปช่วยเด็กไม่มีอาหารกลางวัน ไม่ต้องมา เอาเงินนั้นไปช่วยกุศลทางสาธารณประโยชน์ นี่ทำบุญเลิกอายุ ทำงานอยู่ที่บ้านๆ ทำงานให้เป็นสุขสนุกตลอดเวลาที่ทำงาน งาน คือ ธรรมะ ธรรมะ คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ จงทำงานอยู่ที่บ้าน นั่นก็เป็นธรรมะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพและก็ชื่นใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง อยู่บ้านไม่ต้องมา เข้าห้องอ่านหนังสือเรื่องเลิกอายุที่มีอยู่หลายเล่ม อาจจะขอโปรแกรมวิทยุ ส่งเรื่องเลิกอายุให้ฟังกันก็ได้ ถ้าทำได้ ขอให้คอยฟัง ทำสมาธิๆ เลิกตัวตน เลิกตัวตน เลิกจากความรู้สึกว่ามีตัวตนสงัดจากความมีตัวตน ถ้าเลิกตัวตนมันก็เป็นเลิกอายุโดยอัตโนมัติ เพราะว่าเมื่อไม่มีตัวตนมันก็มีอายุไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งหรอกอายุนี่ ถ้ามีตัวตน ตัวตนน่ะมันเป็นที่ตั้งของอายุ ก็เลิกตัวตนเสีย อายุก็เลิกเสีย ไม่มีที่ตั้งมันก็ไม่มีอายุ ทำความสงัดจากตัวตน ทำจิตใจให้ว่างจากความมีตัวตน มันก็เป็นเลิกอายุโดยสมบูรณ์ ขอบอกเตือนไว้อย่างนี้ว่าจะทำบุญเลิกอายุ ในปีนี้ ที่ทำอย่างนี้ ขอร้องท่านทั้งหลายทุกคนจำกันไปบอกกล่าวเพื่อนฝูง ให้รู้จักกันทั่วถึงทุกคนด้วยว่า ปีนี้อาตมาทำบุญเลิกอายุ ๆ คือ เลิกบุญ เลิกกุศล เลิกอะไรหมด ช่วยจำไปเสียเถิด หัวข้อพึงเกิดนี้ใครต้องการจะรับก็รับได้ เป็นหัวข้อที่พึงเกิด นี่เป็นเรื่องส่วนตัวขอโอกาสประกาศว่าจะทำบุญเลิกอายุในปีนี้อย่างไร เรื่องส่วนตัวจบแล้ว
เหลือแต่ว่าจะทำใจให้พร้อมๆ พร้อมที่จะทำมาฆบูชา เลิกตัวกูเถิด ถ้ามีตัวกูมันอยู่ที่ตัวกู ถ้าเลิกตัวกูมันไปอยู่ที่พระพุทธเจ้า จิตไปอยู่ที่พระพุทธเจ้า ไปอยู่ที่พระอรหันต์ เลิกตัวกูที่จะเป็นวันมาฆบูชาจะอยู่กับพระอรหันต์ ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ขอให้เตรียมตัวพร้อมที่จะทำมาฆบูชา เลิกตัวกูเสีย จิตก็จะเป็นตามรอยพระอรหันต์โดยอัตโนมัติๆ นี่มาฆบูชาที่สูงสุด การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเตรียมใจ กายไม่ต้องก็ได้ เตรียมใจก็แล้วกัน ให้พร้อมที่จะทำมาฆบูชา บูชาพระอรหันต์ ด้วยการเลิกตัวตนเสีย เลิกตัวกูเสีย จิตว่างเหมือนพระอรหันต์ และก็ไปรวมกับพระอรหันต์เองโดยอัตโนมัติ ขอยุติการบรรยายธรรมเทศนาด้วยการสมควรแก่เวลา