แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เป็นภาษาใต้) ขอทำความเข้าใจกันสักหน่อย ไม่ใช่เป็นพิเศษ สักหน่อยน่ะ ว่ายังทำเหมือนกับเด็กอมมือ เวลานี้ไม่มีสรณคมน์หรือ จึงมาขอ สรณคมน์มันวางได้ที่ไหนล่ะ ถ้ามันวางได้ แล้วต้องขอใหม่ นั่นมันบ้า ใช้ไม่ได้ ถ้ามีอยู่แล้วขออีกก็ทำเด็กๆ ทำเป็นเรื่องเด็กๆ ฉะนั้นขออย่าได้ถือว่าขอๆ อะไรกันอีก มีอยู่แล้วประกาศยืนยันออกมา ประกาศยืนยันออกมาว่ามีอยู่แล้ว คุณมีอยู่แล้ว คุณมีอยู่แล้ว เอ้า,ตั้งนะโมพร้อมกัน ๓ จบ (ช่วงสมาทานศีล นาทีที่ 05:06-08:28)
คำว่า สมาทิยามิ นี่ เป็นคำประกาศ เป็นคำประกาศของตัวเอง ต่างคนต่างประกาศของตัวเอง ว่าข้าพเจ้าสมาทานประพฤติปฏิบัติอย่างนั้นๆ ไม่ใช่คำขอ เป็นคำประกาศของตัวเองว่าถือสิกขาบทเพื่อให้มีศีล ถือ ๕ สิกขาบทเพื่อให้มีศีล ๕ และถือ ๘ สิกขาบทเพื่อให้มีอุโบสถศีล นี่ทุกคนมี ยืนยันในความว่าตัวมี มีๆ ไม่ใช่ไม่มี มีศีลๆ อย่าได้ขอแล้วขออีก เหมือนเด็กอมมือมันเล่นละคร เพราะฉะนั้นขอให้มีศีล ยืนยันว่าข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้ามีตลอดเวลา ข้าพเจ้ามีๆ ตลอดเวลา ที่มีศีล ๕ ก็มีศีล ๕ ที่มีศีล ๘ ก็มีศีล ๘ ที่มีศีลอุโบสถก็มีศีลอุโบสถ ขอให้ทำในใจอย่างนี้ให้สำเร็จประโยชน์ในวันนี้ ประกาศความที่มีสรณคมน์ด้วย ประกาศความที่มีศีลด้วย ต่อไปนี้ก็จะขออนุโมทนาในการที่มีศีลว่า สีเลน สุคตึ ยนฺติ, สีเลน โภคสมฺปทา, สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ, ตสฺมา สีลํ วิโสธเย /...(สาธุ)
อาราธนาคือการขอร้องให้แสดงธรรม ฉะนั้นเป็นอันว่ารู้กันโดยปริยายว่าขอร้อง ความจริงไม่ต้องขอร้องอาตมาก็ต้องการจะแสดงธรรมตามหน้าที่ๆ และก็จะขอแสดงธรรมในลักษณะที่เรียกว่าปาฐกถาธรรมหรือบรรยายธรรม ไม่ใช่เทศน์ตามแบบธรรมเนียม ถ้าเทศน์ก็จะตั้งนะโมและจะต้องทำเสียงเหมือนกับพระเทศน์ทั่วๆ ไป นั้นก็มีอยู่แล้ว ได้ยินอยู่แล้ว เข้าใจอยู่แล้ว ในวันนี้ขอเทศน์แบบปาฐกถาธรรม ขอให้ตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์//
(ตั้งแต่นี้ไปเป็นภาษากลาง)
เพื่อนสหธรรมิก สพรัหมจารี ท่านสาธุชนอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ด้วยอาการอย่างนี้ คือจะฟังธรรมเพื่อเป็นการศึกษา อีกส่วนหนึ่งก็มาเพื่อร่วมทำบุญเลิกอายุ มาให้ของขวัญ มาปฏิบัติธรรมะ ส่วนนี้ก็ขออนุโมทนาและให้ท่านทั้งหลายทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ อาตมาขอแสดงความยินดีในขั้นต้น แล้วก็ขอแสดงความรู้สึกอนุโมทนาผู้ที่ให้ของขวัญอันเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า ลองอดอาหารกันดูบ้างนี่ อาตมาไม่ได้ต้องการของขวัญอย่างอื่นโดยเฉพาะ ก็ต้องการของขวัญอย่างนี้ คือให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมะ ให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมะ และประโยชน์จากการปฏิบัติธรรมะ อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรมะนั่นแหละให้เป็นของขวัญแก่อาตมา จึงขอแสดงความยินดีและขออนุโมทนาท่านทั้งหลายทุกคน ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ สามารถให้ของขวัญ นี่ข้อแรกที่จะต้องทำความเข้าใจกัน ท่านทั้งหลายมาจากที่ไกลก็เป็นอันมาก เข้าใจว่าคงไม่ได้ยิน ไม่ได้อ่านหรือไม่ได้ฟังคำขอร้องที่ว่าไม่ต้องมา ไม่ต้องมาก็ได้ ทำบุญเลิกอายุนี้ไม่ต้องมาก็ได้ แต่คงจะมีคนที่ไม่ได้ฟังวิทยุ ไม่ได้อ่านใบประกาศก็ยังมีมา นี่ก็ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องพูดจากันต่อไป ท่านทั้งหลายมาจากที่ไกล มาจากที่ไกล ขอให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่าในการมาจากที่ไกล เสียเวลา เสียเงิน เสียเรี่ยวเสียแรง เสียการงาน เสียอะไรไป เป็นการเสียสละ ก็ขอให้ได้ผลคุ้มค่า เมื่อมาแล้วก็ขอให้ได้ผลคุ้มค่า นั่นคือขอให้ได้ฟังเรื่องเลิกอายุ แล้วก็เรื่องทำจิตใจให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้น คือให้เป็นเรื่องที่เลิกอายุได้จริง ซึ่งเราจะได้ทำกันต่อไปตามสมควรแก่สติกำลัง ตามสมควรแก่สติกำลัง จะวันหนึ่งหรือสองวันหรือก็ยังไม่แน่ แต่ว่าวันหนึ่งนี้เป็นที่แน่ล่ะวันนี้น่ะ จะขอบรรยายในลักษณะอารัมภกถาก่อนเพื่อทำความเข้าใจทั่วๆ ไป ในเรื่องที่เกี่ยวกับการเลิกอายุ เลิกอายุ
ข้อแรกก็อยากจะให้มีความเข้าใจว่าทำทำไม ทำทำไม เรื่องเลิกอายุนี่ทำทำไม ทำทำไม คนที่เข้าใจว่าเลิกอายุคือตายก็ทำให้มันตาย แต่อาตมาขอยืนยันว่าเลิกอายุแบบนี้มันไม่ได้ตาย หรือจะเรียกว่าตายก็เป็นตายชนิดพิเศษคือตายเสียก่อนตาย ตายเสียก่อนตายคนโง่คงฟังไม่ถูก คนมีสติปัญญาอยู่บ้างคงจะฟังถูก ว่าตายเสียก่อนตาย ก่อนแต่ที่ร่างกายมันจะตาย ให้ตัวกูมันตายไปเสียก่อน อย่างนี้เรียกว่าตายก่อนตาย เป็นการตายชนิดที่ไม่ที่ไม่มีการตายและไม่มีการตายอีกต่อไป เพราะมันไม่มีอะไรจะตาย ตัวกูที่เป็นเหตุให้โง่ว่ามีเกิดมีตายมีอะไรนี่ หมดแล้ว มันก็ไม่ต้องมีอะไรที่จะตายกันอีก ตายเสร็จแล้วก่อนแต่ร่างกายจะตายนี่ ทำไมจะต้องทำ ก็ทำเพื่อให้ได้รู้เรื่องนี้ ให้ได้รู้เรื่องตายเสียก่อนตาย ตายเสียก่อนตาย คนโง่คงฟังไม่ถูกแล้วก็คัดค้านด้วยว่าจะตายทำไม แต่ถ้าคนมีสติปัญญา เขาก็ว่าให้มันตายจากความทุกข์ ตายจากกิเลส ตายจากสิ่งที่ไม่ควรจะมี แล้วก็จะมีความเป็นอยู่นิรันดร ซึ่งจะเรียกว่าชีวิตก็ได้ ชีวิตที่ชั่วคราว ผลุบๆ โผล่ๆ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวตาย เลิกกันที มีการได้ การถึง การรู้จักชีวิตนิรันดร คือความว่างนิรันดร เมื่อตัวกูมันตายไปหมดแล้ว มันก็เหลือความว่างนิรันดร เป็นความว่างนิรันดร นี้เรียกโดยชื่อที่หลงใหลกันนัก ก็คือพระนิพพาน
พระนิพพานนั้นน่ะ ตัวหนังสือแปลว่าเย็น แต่โดยลักษณะอาการ มันก็คือว่างนิรันดร ว่างตัวกู ว่างของกู ว่างกิเลสตัณหาทุกๆ ชนิด และเป็นการว่างอยู่ตามธรรมชาติโดยนิรันดร ทีนี้ความโง่ของแต่ละคนน่ะมันปิดบังเสีย มันไม่เห็นความว่างนิรันดร มันไม่เห็นความว่างนิรันดร มันก็ไม่ได้ แล้วมันยังพูดโง่ๆ ว่าไปนิพพานๆ กูจะไปนิพพาน ตั้งความปรารถนาจะไปนิพพาน อย่างนี้มันก็หนักขึ้นไปอีก โง่หนักขึ้นไปอีกว่าไปนิพพาน
นิพพานนั้น ยิ่งไปยิ่งไม่ถึง ยิ่งไปยิ่งไม่ถึง เพียงแต่เปิดเครื่องกั้นออกแล้วนิพพานก็ส่องเข้ามาแหละ เหมือนกับพอเปิดประตูหน้าต่างแสงสว่างก็เข้ามาในห้องนั้น เดี๋ยวนี้จิตใจมันถูกครอบงำอยู่ด้วยอวิชชาๆ ความโง่ เกิดกิเลส ตัณหาอุปาทานสารพัดอย่าง สิ่งนี้มันเป็นเครื่องหุ้มห่อจิตใจ แสงของพระนิพพานส่องเข้ามาไม่ได้ พอเอาอันนี้ออกแสงพระนิพพานก็ส่องเข้ามาถึงเอง เดี๋ยวนี้มันไปโง่ในอายุ มันหลงในอายุ ความบ้าในอายุ เมาในอายุ มันเป็นเครื่องปิดบังจิตใจไม่ให้พระนิพพานส่องเข้ามาถึง คุณลองเอาปัญหาเรื่องโง่เพราะอายุ บ้าอายุ เมาอายุ หลงอายุออกไปเสียสิ ไม่มีเครื่องปิดบังแล้วแสงสว่างก็เข้ามา พระนิพพานก็เข้ามา
ฉะนั้นอย่าพูดกันอย่างที่พูดๆ กันอยู่ว่าจะไปพระนิพพาน บำเพ็ญบารมีเพื่อจะไปพระนิพพาน ถ้าจะใช้คำให้ถูกสักหน่อย ก็เรียกบรรลุพระนิพพานก็ได้ แต่บรรลุมันก็ยังฟังรีๆ ขวางๆ เพื่อพบกับพระนิพพานดีกว่า ที่เขาจะพูดกันโดยมากก็ว่าทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน เอาของบังออกไปเสีย มันก็เป็นการทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ของบังนี้เรียกชื่อได้หลายอย่าง โดยทั่วไปก็คือ อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน เดี๋ยวนี้อาตมาอยากจะพูดว่าของบังอันนี้ก็คืออายุๆ บ้าอายุ เมาอายุ หลงอายุ พอเลิกเพิกถอนออกไปเสียให้หมดไม่มีอะไรบัง แสงของพระนิพพานก็ส่องไปยังจิตใจโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไป เห็นไหม ยิ่งไปยิ่งไม่ถึง และไม่รู้จะไปทางไหน มันไปด้วยความโง่ ไม่รู้จะไปไหน ก็ไปๆ ไปๆ อยู่นั่นแหละ ไปกี่รอบๆ มันก็ไม่รู้จักถึง ฉะนั้นขอให้เปิดสิ่งที่ปิดบังพระนิพพานออกไป แล้วแสงแห่งพระนิพพานก็จะส่องเข้ามา อุปมาง่ายๆ เหมือนอย่างเปิดประตูหน้าต่างแสงสว่างก็ส่องเข้ามาในห้อง แล้วมันยังมีอีกความหมายหนึ่ง ซึ่งจะขอพูดกันเสียเลยว่า ม่านๆ น่ะ คืออวิชชาเป็นเหมือนม่านบังหรือกั้นอยู่ตลอดเวลา นี่ต้องเอาออกไป ต้องเอาออกไป พอเอาออกไปก็จะพบพระพุทธเจ้าก่อน พระพุทธเจ้านั้นอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของแต่ละคน ม่านนั้นก็คืออวิชชา พอเอาม่านนั้นออกไปเสีย เอาความโง่นั้นออกไปเสีย มันก็เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่ตรงนั้นเอง ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าที่อินเดีย ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าที่วัด พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณๆ ซึ่งคุณไม่รู้จักแม้แต่ม่านแห่งความโง่ มันก็ไม่รู้ว่าม่านแห่งความโง่บังพระพุทธเจ้า ฉะนั้นเอาม่านแห่งความโง่ออกไปพระพุทธเจ้าก็ปรากฏ ใครจะเลิกม่านนี้เสีย จะเผาม่านนี้เสีย จะสับฟันทิ้งเสีย ไม่มีม่านนี้ก็จะพบพระพุทธเจ้าที่อยู่หลังม่าน ม่านแห่งความโง่ของอวิชชาของคนทุกคน
เดี๋ยวนี้ก็จะพูดให้ชัดลงไปว่ามันบ้าอายุ มันเมาอายุ มันหลงอายุ มันเลี้ยงสมโภชฉลองอายุ นี้ก็เป็นม่านบังพระพุทธเจ้า บังพระนิพพานพร้อมกันไป เอาม่านเหล่านี้ออกก็จะพบพระพุทธเจ้า จะพบพระนิพพาน ฉะนั้นเราจะเลิกม่านนี้ ก็จะเรียกว่าเลิกอายุ เพราะอายุนี้มันเป็นม่าน มันเป็นม่านแห่งอวิชชา มีอวิชชาความโง่ว่ากูมีอายุ ไปถามหมาดูสิมีอายุเท่าไหร่ มันตอบไม่ได้ มันไม่รู้เรื่องอายุ แต่มันก็ไม่ตาย เห็นไหม ไปถามควายดูสิ อายุเท่าไหร่ มันก็ตอบไม่ได้ มันไม่ได้สังเกตว่ากี่ฝนกี่อะไร มันก็ยังไม่ตาย มันไม่มีปัญหาเรื่องอายุ มันไม่มีเรื่องยุ่งยากลำบากเกี่ยวกับอายุคนเรามันฉลาดมากเกินไป มันดีเกินไป มันสร้างปัญหาเรื่องอายุขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาล เลยกลายเป็นม่าน กลายเป็นม่าน สาละวนแต่กลัวจะตายก็ทำทุกอย่าง กลัวแต่จะตายสะสมอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเป็นการรับประกัน อย่างนี้มันก็มีม่านแห่งอายุนั่นแหละบังอยู่ นี่เรียกว่าทำทำไม เลิกอายุทำไม ก็เลิกเพื่อจะเอาของบังออกไปเสีย แล้วจะได้เห็นของจริง
เอ้า, พูดตรงๆ อย่างอื่นอีก ก็พูดว่าเพื่อใช้ธรรมะ เพื่อปฏิบัติธรรมะให้มันถึงที่สุด ให้มันถึงที่สุด ทั้งการศึกษาเล่าเรียน การประพฤติปฏิบัติ การได้รับผลของการปฏิบัติ นี่ ให้มันถึงที่สุดกันเสียที ในเรื่องการศึกษาธรรมะก็ดี ปฏิบัติธรรมะก็ดี เสวยผลของธรรมะก็ดี จะได้ถึงที่สุดกันเสียที ถ้าเลิกอายุได้ เลิกอายุนี่คือเลิกโง่ เลิกอวิชชา เลิกสิ่งที่ปิดบังเหล่านั้นเสีย มันก็ได้รับผลอย่างที่ว่า การศึกษาก็มีผลอย่างนี้ การปฏิบัติก็มีผลอย่างนี้ ได้รับผลของการปฏิบัติมามันก็มีอย่างนี้ นี่เรียกว่ามันได้รับผล ขอยืนยันว่าไม่ได้ทำเพื่อให้ท่านทั้งหลายลำบาก ไม่ได้ทำเพื่อให้ท่านทั้งหลายยุ่งยาก ลำบากเหน็ดเหนื่อยหมดเปลือง แต่จะทำอย่างไร ห้ามแล้วว่าอย่ามาก็ยังมา นี่จะทำอย่างไรล่ะ ไม่ต้องการให้ลำบาก ยุ่งยากหมดเปลือง ว่าอย่ามาๆ พิมพ์ใบปลิวออกหลายๆ ฉบับ วิทยุก็ช่วยโฆษณาอยู่ทุกคืน ท่านก็ยังมานี่ ฉะนั้นอย่ามาโทษกันว่าทำให้ลำบาก ไม่ได้ตั้งใจจะให้ลำบากแม้แต่ประการใด
และอีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่ใช่จะทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีที่เขาทำๆ กัน ต่ออายุ อะไรอายุก็ตามใจ นั้นมันพวกคนขี้ขลาด มันกลัวตาย ก็ทำไปสิ เพราะฉะนั้นขนบธรรมเนียมประเพณีมันก็สำหรับพวกคนขี้ขลาด เมื่อคุณไม่ขี้ขลาดแล้วจะเอาไปทำไม ประเพณีสำหรับคนขี้ขลาดน่ะจะเอามาทำไมเมื่อเรามันไม่ขี้ขลาด เราก็ไม่ต้องต่ออายุ ไม่ต้องทำอะไรที่เกี่ยวกับอายุให้มันยุ่งยากลำบาก ฉะนั้นการเลิกอายุนี้ไม่ได้เลิกขนบธรรมเนียมประเพณีของคนขี้ขลาดล่ะ เขาทำไปตามเรื่องก็ทำเถิด แต่เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ขี้ขลาด ถ้ารู้ธรรมะแล้วก็มาทำกันอย่างนี้บ้าง นี่อยากจะให้ทราบว่า มันไม่ใช่ของแปลกใหม่ แต่มันแปลกเพราะท่านยังไม่เคยได้ยิน ยังไม่เคยได้ยิน ถ้าพูดว่าเลิกตัวกู เลิกตัวกูเสีย อย่างนี้มีอยู่ในพระบาลีเต็มไปหมด พระพุทธเจ้าก็ทำ ใครๆ ก็ทำ พระอรหันต์ก็ทำ เลิกตัวกู เลิกตัวกูเสีย ท่านทำกันเป็นประจำตลอดเวลานี่ เลิกอายุก็มีความหมายอย่างนั้น ไม่ใช่ของใหม่ เมื่อถึงธรรมะสูงสุดแล้วมันก็อยู่เหนือปัญหาแห่งอายุ นี่ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่ของใหม่ แต่ว่าเราเพิ่งเอามาพูดกันในแง่นี้ ใช้คำนี้ มันเลยกลายเป็นของใหม่ กลายเป็นของใหม่ มันบุญหรือบาป คิดดูให้ดี ได้มีอายุยืน ได้มีอะไรมากๆ ได้ยุ่งมากๆ นี่มันเป็นบุญหรือเป็นบาป สัตว์ทั้งหลายไม่รู้เรื่องอายุ ไม่มีปัญหาเรื่องอายุ ไม่มีความหนักอกหนักใจเรื่องอายุ แต่มนุษย์นี้มันหนักอกหนักใจเรื่องอายุ โรงพยาบาลตั้งขึ้นทั่วทุกหัวระแหงแล้วก็ยังไม่พออยู่นั่นแหละ ยังไม่พอกับคนกลัวตายอยู่นั่นแหละ นี่คนกับสัตว์มันต่างกันมากอย่างนี้ คนมีปัญหามากเหลือเกินเกี่ยวกับอายุ แต่ว่าสัตว์มันไม่มี สัตว์มันไม่มี
คนนี่มันฉลาด ฉลาดแบบธรรมชาติ ฉลาดขึ้นมาเพื่อจะโง่ ฉลาดให้รู้เรื่องสำหรับโง่ให้มันมากขึ้น เรื่องความโง่มันมีน้อยเรื่อง ทีนี้ฉลาดๆ ให้มันมีความโง่มากขึ้นๆ มันจึงเต็มไปด้วยความโง่ ล้วนแต่ทำให้โลกนี้ไม่มีสันติภาพ มันยุ่งไปหมด สิ่งที่ไม่ต้องทำก็ทำ ไม่ต้องมีก็มี นี่เป็นความโง่เพราะมีตัวกู ตัวกู ตัวกู แล้วก็เห็นแก่ตัวกู แล้วก็เห็นแก่ตัวกูกันไปทั้งโลก เห็นแก่ตัวกูอย่างน้อยๆ กระทั่งอย่างสูงสุด เห็นแก่ตัวกูด้วยความโง่ ก็เรียกว่าเห็นแก่ตัวกู ถ้าเห็นแก่ตัวกูนี้ด้วยความฉลาดด้วยสติปัญญาสามารถ นี้ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวนะ ความเห็นแก่ตัวนั้นใช้สำหรับความโง่เท่านั้นแหละ ผู้ที่มีปัญญาต้องการจะปฏิบัติตนเอง ทำให้ตนเองเจริญก้าวหน้าไปหาพระนิพพานอย่างนี้ นี่ไม่เห็นแก่ตัวหรอก อย่างนี้ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว เรียกว่าเคารพตัว บูชาตัว สงวนตัวอะไรไปตามเรื่อง ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็ต้องเป็นกิเลส คนที่เห็นแก่ตัวมากมันก็คือคนหลงอายุ เราจะหยุดความเห็นแก่ตัวด้วยการเลิกอายุ หมดปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับเวลา เกี่ยวกับอายุ เกี่ยวกับชีวิต เวลาๆ นี่ คนมันรู้สึกว่าไม่พอ เวลาไม่พอ เป็นห่วงเรื่องเวลา เป็นห่วงเรื่องเวลาอย่างเดียวก็ยุ่งเกือบตายแล้ว แต่ก็มีคนโง่อีกเหมือนกัน เข้าใจว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่มี เวลาเป็นสิ่งที่ไม่มี เป็นลมๆ แล้งๆ ไม่มี ถ้าถือตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องกล่าวว่าที่ใดมีตัณหาที่นั้นมีเวลา ที่ใดมีตัณหาที่นั่นมีเวลา
เวลา คือระยะระหว่างอยากต้องการ อยากจะได้จนกว่ามันจะได้ มันอยากจะได้แล้วมันไม่ได้ มันรอไปจนกว่าจะได้ นั่นแหละเวลา เผาผลาญหัวใจกัดกินหัวใจสัตว์ เวลากัดกินหัวใจสัตว์ เวลาแท้จริงนั้นคือจุดระหว่างจุด ๒ จุด คือ อยาก อยาก อยาก อยาก แล้วก็ได้ถึงจุดได้ เวลานั้นก็หยุดไปทีหนึ่ง ก็มีเวลาใหม่เรื่องใหม่มาอีก ฉะนั้นเวลามันกินสัตว์ ทำให้สัตว์ยุ่งยากลำบากเหมือนกับตายแล้วอยู่ตลอดเวลา เราก็หลงเวลา เราก็กลัวเสียเวลา เราก็สงวนเวลา ยิ่งยุกันให้หลงเวลาให้มันมากเกินไปเสียแล้ว นี่เรียกว่าเวลาๆ มนุษย์มันโง่จนสิ่งที่เรียกว่าเวลาเกิดขึ้น ควายมันฉลาดมันไม่ทำให้สิ่งที่เรียกว่าเวลาเกิดขึ้นนั้น มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องเวลา ฉะนั้นเวลาๆ นี้มันเกิดขึ้นด้วยความโง่ ลองอย่าอยากสิ หยุดอยากสิ พอหยุดอยากเวลาก็หยุดแหละ ก็มีบาลีด้วยซ้ำไปว่าฆ่าตัณหานั่นแหละ ทำลายตัณหานั่นแหละกินเวลา ถ้ามีตัณหาเวลากินเอา เวลากินเรา จำง่ายก็พูดว่าถ้าเรามีตัณหาเวลากินเรา พอเราไม่มีตัณหาเรากินเวลา หมายความว่าเราอยู่เหนืออำนาจของเวลา เวลาไม่ทำอะไรให้เราลำบากแม้แต่ระคายขนสักเส้นหนึ่งก็ไม่มี นี่มันเรื่องของเวลาซึ่งเราสมัครเป็นทาสของเวลา ยุ่งยากลำบากเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ก็รู้เอาเอง ทีนี้เวลานั่น เอามาเป็นการกำหนดอายุ คำว่าอายุมันก็เกิดขึ้น เวลาๆ อันยืดยาวน่ะ กำหนดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งพอจะเป็นเครื่องรู้ว่าเท่านั้นเท่านี้ๆ สิ่งที่เรียกว่าอายุๆ มันก็เกิดขึ้น มันต้องบำรุงบำเรออายุ บำรุงบำเรออายุ ก่อนแต่จะตายให้ได้อะไรทุกอย่างนี่ ปัญหาเรื่องอายุมันก็เกิดขึ้นมาจากเวลาที่ได้จำกัดเข้าไว้ด้วยเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือด้วยตัณหาอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีเวลาเท่านั้นเวลาเท่านี้ จนเรียกได้ว่าเป็นอายุ อายุ อายุ เวลาที่กำลังเป็นไปโดยเหตุปัจจัยของคนโง่ เรียกว่าอายุ
ทีนี้ก็มาถึงสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ถ้ามีอายุมันก็เรียกว่ามีชีวิต ทุกคนพอจะฟังออก ถ้ามีอายุก็เรียกว่ามีชีวิต ชีวิตเป็นลักษณะหรือเป็นเครื่องหมายของการมีอายุ ภาษาพูดธรรมดา เด็กๆ ก็รู้ พอไม่มีอายุก็คือตาย ก็คือไม่มีชีวิต ไม่มีอายุก็คือไม่มีชีวิต มันก็เลยอยากมีชีวิต เพราะอยากมีชีวิตมันก็ต้องกลัวตายสิ เพราะมันตรงกันข้ามนี่ เมื่อมันอยากมีชีวิตมันก็กลัวการสิ้นชีวิต ชีวิตก็เป็นปัญหาขึ้นมาอีก ทำให้กลัวตาย ทำให้กลัวตาย อุตส่าห์ทะนุถนอมๆ เสียสละกันอย่างมากมายเพื่อทะนุถนอมชีวิต ทีนี้ก็มีความโง่เป็นเหตุให้ทำ ก็ทำจนเหลือ จนเฟ้อ จนเกิน เรียกว่าเท่าไหร่ก็เท่ากันแหละ กูจะถนอมชีวิตของกู แล้วก็ต้องทำให้ออกนอกลู่นอกทาง ไปหาวิธีต่ออายุวิธีต่อชีวิต ก็เป็นลูกค้าของอาจารย์ไสยศาสตร์ ควักกระเป๋ากันเรื่อยไปให้ผู้ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์นี่เพื่อจะมีชีวิต เพื่อจะต่อชีวิต
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนเข้าใจคำว่าเวลา คำว่าอายุ คำว่าชีวิต ให้ดีๆ อาจจะเข้าใจมาแล้วก็ได้แต่มันยังไม่ถูก หรือไม่สมบูรณ์ ไม่รู้เสียเลยก็มี รู้ครึ่งๆ กลางๆ ก็มี ไม่สมบูรณ์ มารู้กันเสียให้สมบูรณ์ว่าเวลานั้นมันคืออะไร ไม่ใช่นาฬิกามันเดินไปๆ แล้วก็เป็นเวลา เวลานั้นมันกัดหัวใจต่อเมื่อมันไม่ได้อย่างที่ตามความอยาก คุณลองหยุดความต้องการเสียสิ นาฬิกาก็หยุดเดิน นาฬิกาหยุดเดินเพราะเราไม่ต้องการอะไร ไม่มีความหมายที่จะต้องนั่งนับชั่วโมง นับนาที นับอะไรอยู่ รู้จักเวลาแล้วว่าที่แท้จริงก็คือสิ่งที่กัดหัวใจ เวลาคือระยะการตั้งแต่อยากจะได้จนกว่าจะได้ นี่กัดหัวใจ กัดหัวใจ กัดหัวใจ นี่เวลาที่แท้จริงอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่เวลา วัน คืน เดือน ปีอย่างที่ธรรมชาติมันมีให้กำหนดนั้น ธรรมชาติมันก็มีอย่างนั้นแหละ แต่เราไปกำหนดเอาเองเพื่อจะมากำหนดเป็นระยะๆ แล้วจะได้กัดหัวใจ ปีหนึ่งก็ยังทำไม่เสร็จ สองปีก็ยังทำไม่เสร็จ สามปีก็ยังทำไม่เสร็จ เวลาเป็นปีๆ มันก็กัดหัวใจเปล่าๆ
อย่าให้เวลาหรืออย่าให้อายุ อย่าให้ชีวิตนี้เป็นปัญหายุ่งยากทนทรมาน นั่นแหละคือยอดบุญยอดกุศลที่แท้จริงนะ ไม่ใช่ปลอมนะ คือการบรรลุพระนิพพาน อยู่เหนือความหมายของเวลา อยู่เหนือความหมายของอายุ พระอรหันต์ไม่มีเวลาหรอก พระอรหันต์ไม่มีเวลา เพราะท่านไม่ต้องการอะไร เวลา ๑ นาที ๒ นาที ๑ ชั่วโมง วัน คืน เดือน ปี ไม่มีสำหรับพระอรหันต์หรอก เพราะท่านไม่ต้องการอะไร ต่อเมื่อท่านจำเป็นจะต้องมาเกี่ยวข้องกับคนโง่นี่ สัตว์ทั้งหลายที่มันยังมีเวลานี่ พระอรหันต์ก็ต้องใช้คำพูดเป็นเวลา เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา แต่ลำพังพระอรหันต์คือจิตอันบริสุทธิ์ถึงที่สุดแล้วหลุดพ้นแล้ว มันไม่มีเวลาเพราะมันไม่ต้องการอะไร มันไม่มีจุดต้องการและจุดสำเร็จ ท่านอยู่เหนือเวลา เมื่อท่านสละตัวตนแล้ว ชีวิตก็ไม่ต้องมี ชีวิตก็ไม่ต้องมี นี่มันตายเสร็จแล้วก่อนแต่ที่ร่างกายจะตาย ชีวิตมันก็ไม่มี แม้ร่างกายยังเป็นอยู่ ยังทำอะไรได้อยู่ ชีวิตก็มิได้มี เพราะไม่ได้ยึดถือว่าชีวิตและไม่ได้ยึดถือว่าชีวิตนี้ของกู
ดูความลับอันหนึ่งก็จะพบว่า เพราะคนมันวิวัฒนาการทางสมองนี่มากเร็วเกินไป สัตว์มันไม่วิวัฒนาการหรือมันวิวัฒนาการน้อยมากๆ หมา เมื่อครั้งแสนปีมาแล้วกับหมาเดี๋ยวนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก วิวัฒนาการทางจิตใจมันไม่มี เห็นไหม แต่ถ้ามนุษย์ เมื่อแสนปีมาแล้วกับมนุษย์เดี๋ยวนี้มันต่างกันมาก เพราะวิวัฒนาการทางจิตใจมันมาก มันมีมากๆ เราก็ว่า โอ้, มนุษย์นี่มันมีบุญโว้ย มีวิวัฒนาการ มีอะไร มีวิวัฒนาการเพื่อให้กัดเจ้าของ มันกัดเจ้าของ คนจึงมีปัญหามากเท่ากับวิวัฒนาการ วิวัฒนาการเท่าไหร่จะเพิ่มปัญหาขึ้นเท่านั้น วิวัฒนาการมากสูงสุด ก็มีปัญหามากสูงสุด ดูเอาที่ตัวเองก็แล้วกัน คนป่าสมัยไม่นุ่งผ้าน่ะ มีปัญหากี่มากน้อย มีปัญหากี่มากน้อย เพียงแต่ว่าไปเก็บของที่เกิดอยู่ในป่ามากินไปวันหนึ่งๆ มื้อๆ หนึ่งด้วยซ้ำไป มันไม่โลภเหมือนคนเดี๋ยวนี้ ในพระบาลีมีข้อความว่า คนป่าไปเก็บข้าวสาลีหรืออะไรก็ตามที่มีอยู่เองในป่า เก็บมาตอนเช้าเพื่อกินตอนเช้า เก็บมาตอนเย็นเพื่อกินตอนเย็น นี่ธรรมชาติแท้ๆ ยังบริสุทธิ์อยู่ ต่อมาเมื่อมันฉลาด มันจึงไปเก็บเผื่อว่าเก็บตอนเช้ากินตอนเย็นด้วย มันเก็บเผื่อหลายวัน แล้วมันกักตุน มันมียุ้งฉาง นี่กิเลสมันได้โอกาสเพราะความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ ซึ่งเป็นผลของวิวัฒนาการ
ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการนี้ ถ้าควบคุมไม่ได้ ควบคุมไม่ถูกต้องแล้ว เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแหละ มันต้องเป็นวิวัฒนาการที่ควบคุมให้มีอยู่ในความถูกต้อง วิวัฒนาการนั้นจึงจะไม่เกิดปัญหา แต่ไม่พ้นจากที่มันจะต้องยุ่ง ถึงมันจะดี ดี ดี มันก็ต้องยุ่ง วิวัฒนาการดีมันก็ยุ่ง วิวัฒนาการเลวมันก็ยุ่ง เหนือดีเหนือเลวและวิวัฒนาการเท่านั้นแหละจึงจะเป็ฯสงบรำงับเป็นพระนิพพาน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าพระนิพพานไม่มีวิวัฒนาการ ไม่เกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการ หรือจะพูดอีกทีหนึ่งว่าหยุดวิวัฒนาการเสีย มันก็ไม่ยุ่ง มันก็ไม่ยุ่ง เดี๋ยวนี้เจริญด้วยวิวัฒนาการ ปัญหาก็เพิ่มขึ้นทุกอย่างทุกทาง ปัญหาเพิ่มขึ้นตามวิวัฒนาการ แสนปีวิวัฒนาการเท่าไหร่ ปัญหาก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น แล้วคนก็จมลงในปัญหา ในปัญหาอันมากมายของตน จมอยู่ในปลักหนองแห่งปัญหาอันประมาณมิได้ หาประมาณมิได้ของตนๆ วิวัฒนาการในทางบวกมันก็เป็นปัญหาบวก วิวัฒนาการในทางลบมันก็เป็นปัญหาลบ แล้ววิวัฒนาการมันก็มีเท่านี้แหละ ไปดูเถิด บางทีก็ไปในทางบวก บางทีก็มาในทางลบ เพราะมันโง่ ทีนี้เราไม่อาจจะควบคุมความรู้สึกอันนี้ได้ มันก็ต้องเป็นทุกข์ๆ เป็นทุกข์เพราะวิวัฒนาการ วิวัฒนาการเท่าไหร่ก็จะยุ่งเท่านั้นแหละ ทั้งวิวัฒนาการดีและวิวัฒนาการชั่ว มีจิตใจอยู่เหนืออำนาจวิวัฒนาการเสียก่อนนั้นแหละมันจึงจะหมดปัญหา คนมันก็มีปัญหามหาศาล
ปัญหาสรุปแล้วรวมอยู่ที่ปัญหาของตัวตนกับของของตน เราแยกเป็น ๒ เรื่อง ให้ศึกษาง่าย ตัวกู ตัวตนนั้นก็เป็นเจ้าของเรื่อง และมีอะไรของตนๆ ของตนเข้ามารอบด้าน นี้เรียกว่าของตน เรามีปัญหาทั้งทางตัวตนและทั้งทางของตน ตัวตนเรียกว่าอัตตา ของตนเรียกว่าอัตตนียา เรียกภาษาอาตมาก็เรียกว่าตัวกู เรียกว่าของกู ให้คนโง่มันฟังง่ายที่จะเรียกอย่างนี้ มันมีปัญหาเกี่ยวกับตัวกู เกี่ยวกับของกู สุภาพหน่อยก็ว่าตัวตนว่าของตน ตามพระบาลีแท้ๆ ก็ว่า อตฺตา, อตฺตนียา ภาษาบาลีที่รุนแรง ที่เรียกว่าหยาบคายรุนแรงก็มี แต่ว่าฟังแล้วไม่รุนแรง อหังการนั่นแหละคือตัวกู มมังการนั่นแหละคือของกู แต่ท่านฟังเป็นของไพเราะไปเสียอีก ถ้าพูดว่าอหังการ มีค่าเท่ากับตัวกู มันหยาบคาย มมังการก็ของกู อหังการะ มมังการะ มานานุสัย เรามีตัวกูของกูจนเคยชิน เคยชิน เคยชินเป็นอนุสัย ที่จะเกิดความรู้สึกเมื่อใดก็ได้ว่าตัวกูว่าของกู มีสิ่งนี้อยู่เพียงใดก็มีความทุกข์อยู่เพียงนั้น เอาสิ่งนี้ออกไปเสียได้หมดเพียงใดก็หมดความทุกข์และเป็นพระนิพพานโดยแน่นอน เรียกว่าละตัวกู ละของกู มันก็หมดปัญหา เดี๋ยวนี้มันไม่ต้องการที่จะละตัวกู ละของกู มันจะเบ่งให้ตัวกูใหญ่ออกไป ยกหูชูหางได้มาก จะมีของกูให้มากออกไป มันจะได้อวดคน หรือว่ามันจะได้รู้สึกพอใจมาก มันต้องกินให้แพงขึ้นไป แต่งเนื้อแต่งตัวให้แพงขึ้นไป เครื่องใช้ไม้สอยบ้านเรือนก็ให้มันแพงขึ้นไป มันต้องการแต่ให้แพงขึ้นไปๆ จนไม่รู้ว่าจะแพงกันอย่างไรแล้ว มันบูชาของเหล่านั้น มันก็ต้องก้มหน้าก้มตาหาเงินมากๆ เพื่อจะซื้อหาสิ่งเหล่านั้น นี่เรียกว่าตัวกูของกู มันชวนไปในทางนี้ นี่มันเพิ่มความทุกข์ ตัณหามันก็เกิดตามปัญหา ปัญหามีมากเท่าไหร่ ตัณหามันก็เกิดมากขึ้นเท่านั้น เรามีปัญหากันนับไม่หวาดไม่ไหว เพราะมีอายุเป็นเครื่องทะนุถนอม มีตัวตนของตนเป็นที่ตั้งแห่งอายุ ปัญหามันก็มีที่ตั้งที่อาศัย มันก็เจริญงอกงาม มันก็เจริญงอกงาม ถ้ามันไปหลงในอายุ มันก็ถนอมอายุคือถนอมชีวิต ถนอมยิ่งกว่าสิ่งใด ปัญหามันก็มากขึ้นไม่ได้ลดลง มันเติมเชื้อเพลิง มันเติมถ่านไฟ เติมเชื้อเพลิงให้ไฟ ไฟมันก็ไม่มีวันที่จะลดลง นี่ลดปัญหา ก็จะลดตัวกู ลดตัวกูก็จะลดปัญหา อย่าให้เวลาหรือ ชีวิตหรืออายุนี้มันทรมานกัน
อาตมาก็รู้สึกว่าบาปเสียแล้วที่มีอายุเกินพระพุทธเจ้าไป ๔ ปี นี่ถือว่าเป็นบาป ที่จริงอายุ ๘๐ ปีนี่มันควรจะหยุด หยุดใน ๒ ความหมายนะ หยุดคือตาย นี่หยุดอย่างหนึ่ง และหยุดคือไม่รู้ไม่ชี้ นี่อย่างหนึ่ง เรื่องนี้อยากให้พิจารณากันดู พูดลับหลังอย่าให้พระพุทธเจ้าได้ยินนะ ว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารเมื่ออายุ ๘๐ ปี แล้วท่านก็ว่าไม่มีใครขอร้องให้อยู่ ถ้ามีใครขอร้องให้อยู่โดยอาศัยอิทธิบาท ท่านอาจจะอยู่ถึงอายุกัป อายุกัปสมัยพระพุทธเจ้าก็คือ ๑๒๐ ปี สมัยพระพุทธเจ้า อายุกัปคือ ๑๒๐ ปี พระอานนท์ พระกัสสป นี่ อยู่ถึง ๑๒๐ ปี ไม่มีใครขอร้อง พระพุทธเจ้าก็ถือโอกาส ปิดสวิตช์เสียเมื่อ ๘๐ ปี ทีนี้เรา พวกเราขาดทุนไป ๔๐ ปี นี่พระพุทธเจ้าจะมีความจริงอย่างไร ไม่อยากจะพูด เมื่อท่านอาจจะอยู่ได้ถึง ๑๒๐ ปี ทำไมไม่อยู่ ทำไมต้องมีคนขอร้อง เพราะมันยุ่งนี่ พอเกิน ๘๐ ปี แล้วมันยุ่ง คุณก็คิดดู พอเลย ๘๐ ปีแล้วมันยุ่งทั้งทางร่างกาย ทั้งโรคภัยไข้เจ็บมันยุ่งไปหมด พระพุทธเจ้าท่านไม่อยากจะเผชิญกับสิ่งยุ่งๆ เหล่านี้ ท่านเลยปิดสวิตช์เสียเมื่อ ๘๐ ปี แล้วก็กล่าวหาว่าไม่มีใครขอร้องให้อยู่ ท่านก็หมดข้อติเตียน นี่เรียกว่าอายุๆ นั้นอย่าไปหลงกับมันนัก พอ ๘๐ ปีแล้วควรจะปิด ปิดความหมาย ปิดอิทธิพล ปิดอะไรของมันเสียบ้าง หรือมิฉะนั้นก็เรียกว่าเลื่อน เลื่อนขึ้นไปเป็นอายุนิรันดรเสียดีกว่า เดี๋ยวนี้มีอายุชั่วคราว ชั่วคราว ตาย เกิด ตาย เกิด พอ ๘๐ ปีแล้วเลื่อน เลื่อนไปเป็นอายุนิรันดร ไม่มีตายไม่มีเกิด เข้าถึงสิ่งที่ไม่ตายไม่เกิด จะเรียกว่าพระนิพพานหรือจะเรียกว่าอสังขตะ เรียกอะไรก็ได้แล้วแต่จะเรียก ขอให้จิตใจมันเข้าถึงสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งการตายและการเกิด โดยถือเอาอายุ ๘๐ ปี นั่นแหละเป็นหลัก จึงขอตักเตือนท่านทั้งหลายบางคนที่มีอายุ ๘๐ ปีแล้ว ตั้งใจอย่างนี้ คิดอย่างนี้ ตั้งใจอย่างนี้เถิด จะไม่มีความทุกข์ทรมาน เพราะการที่มีอายุเลย ๘๐ ปี ต้องเปลี่ยนชีวิตใหม่ ต้องเปลี่ยนชีวิตใหม่ อย่าเอาชีวิตเดิม พออายุ ๘๐ ปีแล้วก็เปลี่ยนชีวิตใหม่เป็นอีกชีวิตหนึ่งชนิดที่ว่ามีอตัมมยตา มากๆ อะไรปรุงแต่งไม่ได้ อะไรปรุงแต่งไม่ได้ อะไรปรุงแต่งไม่ได้นั่นแหละชีวิต นั่นแหละชีวิตใหม่ ถ้าอย่างนี้มันก็อยู่ไปได้ตามที่มันจะอยู่ ๑๕๐ ปี ๒๐๐ ปีก็เอา ถ้ามันมีอตัมมยตาได้โดยแท้จริง แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์
อายุต่ำกว่า ๒๐ ปี ก็มีกามารมณ์เป็นสรณะ อายุ ๔๐ ปีลงมาก็มีภาระหนักคือความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพ่อบ้านแม่เรือนเป็นภาระหนัก พออายุ ๖๐ ปีก็หยุดเรื่องทางกาย ร่างกายไม่มีแรงแล้ว พออายุ ๘๐ ปี ก็เปลี่ยนชีวิตเป็นชีวิตอื่นเถิด นี่จิตจะได้พักผ่อน ไม่ใช่ว่าจะยุ่งยากลำบากมากขึ้น ให้มันยุ่งยากลำบากน้อยลง พออายุ ๖๐ ปีแล้วก็เตรียมตัวสำหรับจะพักผ่อน ให้มันยุ่งยากลำบากน้อยลง พอ ๘๐ ปีแล้วขอให้มันได้พักผ่อนเต็มตามความหมาย เขาไม่ต้องการกันอย่างนั้น เขามีแต่จะเพิ่มๆ เพิ่มอายุ เพิ่มปัญหา เพิ่มปัญหาเรื่อยไปโดยคิดว่าอย่าต้องตาย ให้มันอยู่กับปัญหา ให้อยู่กับความยุ่งยากนี้ อย่ารู้จักตาย อย่ารู้จักตาย เป็นอันว่าดูเอาเอง เลิกอายุนี้มันจะดีหรือจะเลวร้ายอย่างไรก็ดูเอาเอง
ทีนี้ก็มาพิจารณากันถึงคำพูด คำที่พูดๆ กันอยู่นี่ เราจะมาพิจารณากันดู มองให้ดีๆ มันมีเรื่องลึกๆ น่าสนุก แต่ถ้ามองไม่ดีมันก็เป็นเรื่องที่โง่ ไม่มีน่าสนุกอะไร คำพูดคำแรกก็จะพูดว่า รักอายุ รักอายุ ถ้าถามว่าใครไม่รักอายุ ไม่มีใครยกมือ มันรักอายุ รักอายุ บาลีมันก็มีว่าไม่มีอะไรที่เป็นที่รักไปยิ่งกว่าตัวตน คืออายุ มันรักอายุ มันก็ต้องต่ออายุ ต้องบูชาอายุ ต้องสมโภชอายุ ต้องเลี้ยงกันใหญ่ ต้องกินกันใหญ่ พอครบรอบปี ก็มาเลี้ยงกันใหญ่ มากินกันใหญ่ ทำแซยิด นี่ มันรักอายุ ทีนี้ถัดขึ้นไป มันก็หลงๆ รัก รักมากไปมันก็หลงๆ หลงอายุ จนไม่รู้จักใช้อายุให้เป็นประโยชน์ พวกนี้มันจะต้องฉลองอายุมากขึ้นไปอีก พวกรักอายุก็ต่ออายุ พวกหลงอายุก็ฉลองอายุ ทีนี้ก็มีบ้าอายุ หนักขึ้นไปอีก บ้าอายุ นี่จะต้องเอามาล้อ บ้าอายุ หนักขึ้นไปอีก มันก็เทิดทูนบูชาอายุ เทิดทูนอายุ
โง่ระดับแรก รักอายุ โง่ระดับสอง หลงอายุ โง่ระดับสาม บ้าอายุ โง่ระดับสี่ เมาอายุ โง่ระดับห้า เทิดทูนบูชา เทิดทูนบูชา หาอะไรมาเลี้ยง มาเลี้ยงมาดู มาเลี้ยงมาดู จึงมีคนกินอาหารคำละหมื่นบาท ไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาว่ามันมี มันหลงอายุถึงขนาดเทิดทูนอายุ เทิดทูนอายุนี่คนอย่างนี้ ถ้ารักอายุนะ ก็แก้มันด้วยการดูหมิ่นสิ ดูหมิ่นๆ ไม่รัก เหยียดหยามว่าไอ้นี่เป็นตัวปัญหา ตัวเลวร้าย แล้วก็ไม่ต่ออายุ ถ้าหลงอายุนี่มันก็ไม่รู้จักใช้อายุให้เป็นประโยชน์ ก็รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์
ถ้าบ้าอายุก็มาคิดเห็นว่ามันไม่เอาแล้ว ไม่ขอบคุณไม่ขอบใจแล้ว จะเนรคุณอายุแล้ว จะทำลายอายุ จะเลิกอายุแล้ว ถ้าเมาอายุเทิดทูนอายุ ก็เรียกว่าลืม ลืม ลืมอายุ ลืมอายุนี่มี ๒ ความหมาย ลืมเพราะโง่ ลืมเพราะหลง ลืมอายุลืมตายอย่างนี้ก็เรียกว่าลืมเหมือนกัน ลืมอายุของคนโง่ ถ้าลืมอายุอย่างฉลาดด้วยสติปัญญา คือไม่มีอายุๆ ไม่นึกถึงอายุ ไม่ให้ความหมายแก่อายุคือพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านลืมความมีอายุ ก็เรียกว่าลืมอายุ แต่คนโง่ทั้งหลายเหล่านี้มันลืมอายุเพรามันบ้า มันประมาท มันหลงใหล ระวังให้ดีลืมอายุ ลืมอายุนี้มันมี ๒ ความหมาย ความหมายแรกน่ะไม่ไหว อย่าเอากับมันเลย แต่ความหมายที่สอง ลืมเพราะไม่ให้ความสำคัญ ลืมจนกระทั่งว่ากูไม่มีอายุนั่นแหละมันจะช่วยได้ มันจะมีประโยชน์ ก็เรียกว่าทีแรกก็ต่ออายุแล้วก็ฉลองอายุ ต่อมาก็เห็นโอ้,บ้า ล้ออายุ ขี้เกียจล้อแล้วก็เลิก เลิก เลิก ขี้เกียจล้อ ล้อมาหลายหนแล้วก็เลิกๆ เลิกต่อไปนี้จะทำอะไร จะไม่มีอายุ จะไม่มีอายุ ก็อยู่กับพระธรรม เข้าถึงธรรมชาติ เรียกให้มันเพราะหน่อยก็เรียกว่าธรรมาภิเษก เขาเรียกว่าพุทธาภิเษก เสกก้อนอิฐให้เป็นพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราเรียกว่าธรรมาภิเษก เสกอายุให้เป็นธรรมะ เสกอายุให้เป็นธรรมะ มีแต่ธรรมะ เรียกว่าธรรมาภิเษกให้แก่อายุ เอาอายุมารดน้ำทำพิธีธรรมาภิเษกให้อายุกลายเป็นธรรมะไปเสีย ให้เป็นอสังขตธรรมด้วย ให้เป็นนิรันดร โดยเข้าถึงความว่างนิรันดร ว่างจากตัวกูโดยนิรันดร นี่ธรรมะอย่างนี้เป็นอายุไป เรียกว่าชีวิตนิรันดร
ความรู้สึกเกี่ยวกับคำเหล่านี้มีอยู่หลายลักษณะ เลิกอายุ เราประกอบกรรม กุศลกรรม เลิกอายุๆ ในระดับต่ำสุดของคนโง่ก็ว่าตายๆ เลิกอายุคือตาย ฆ่าตัวตายคือเลิกอายุ เรื่องนี้มีจริงนะ มันมีศาสนาอะไรศาสนาหนึ่งเกิดขึ้น มีคนนับถือกันมาก คือเขาสอนว่ามาอยู่ทนทุกข์ทรมานกันอยู่ทำไม ตายไปอยู่กับพระเป็นเจ้าดีกว่า เราทำบุญทำกุศลมหาศาลแล้วตายไปอยู่กับพระเป็นเจ้าแน่ ก็ชวนกันหมด หญิงชาย ลูกเล็ก เด็กแดง ฆ่าตัวตายกันไม่รู้กี่พัน เพื่อจะไปอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ก็มี อย่างนี้มันเรียกว่าอะไรก็เรียกเอาเอง มันโง่กี่มากน้อย เลิกอายุคือฆ่าตัวตายอย่างนั้นก็ได้
ทีนี้เลิกอายุในความหมายของอาตมาก็หมายความว่า หมดปัญหาเกี่ยวกับอายุ คำว่าเลิกอายุนะ ไม่พูดถึงตาย หรือไม่ตาย ก็ว่าหมดปัญหาเกี่ยวกับอายุ ปัญหายุ่งยากลำบากใจใดๆ เกี่ยวกับอายุ เราทำให้มันหมดไปเสีย นี่คือเลิกอายุ เขาจะเลิกอายุด้วยการฆ่าตัวตายก็ช่างหัวเขา เรามาเลิกอายุด้วยการไม่มีปัญหาอันเกี่ยวกับอายุ ไม่มีอะไรผูกพันกันอยู่กับอายุ
ถ้าเป็นความหมายที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีก มันก็เรียกว่าโดยปรมัตถ์ โดยปรมัตถโวหาร ทำให้ไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ ไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ มันก็ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวกูนั่นแหละ มันจึงจะไม่มีที่ตั้งแห่งอายุ ไม่มีที่ตั้งแห่งอายุมันก็ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนี่ มันก็เลิกปัจจัยที่เป็นฐานรากแห่งอายุคืออวิชชาเป็นต้น เลิกปัจจัยที่ทำให้เกิดตัวตนของตนเสีย แล้วก็เลิกอาการมี อาการเกิด อาการเวียนว่าย นี่เลิกอาการเหล่านั้นเสีย พูดซ้ำอีกทีว่าเลิกความรู้สึกว่ามีตัวตนเสีย และเลิกปัจจัยแห่งความมีตัวตนเสีย และก็เลิกอาการแห่งตัวตนเสีย คือเลิกการเวียนว่ายเสีย จะทำได้เท่าไหร่ จะทำได้มากน้อยเท่าไหร่ ถ้าศึกษาพิจารณากันให้มากๆ อย่างที่เราตั้งใจจะศึกษานี้ เลิกโง่ว่าตัวตนได้แน่ เลิกความรู้สึกว่ามีตัวตนคือเลิกโง่ว่ามีตัวตนเสียได้ นี่ก็จะเลิกปัจจัย เลิกปัจจัยคือความอยากมีตัวตน ตัณหา อวิชชานี้ก็เลิกเสียได้ บางทีมันก็จะเลิกการเวียนว่ายเอง มันไม่มีตัวตนแล้วมันก็หยุดการเวียนว่ายเอง นี่คำว่าเลิกอายุๆ มีความหมายหลายอย่างนี้ รอบด้านอย่างนี้ ขอให้เข้าใจให้ดีว่าเรามาประกอบกุศลกรรมหรือจะเรียกว่าพิธีก็ได้ เรียกว่าวิธีถูกกว่า อย่าเรียกว่าพิธี เรียกว่าวิธีเลิกอายุที่ถูกต้อง หมดปัญหาเกี่ยวกับอายุ
ขอพูดแถมอีกหน่อยหนึ่ง เรื่องว่าเลิกกินอาหารกันสักวันหนึ่งนี่ ก็เพื่อจะหยั่งดู หยั่งเสียงดูว่ามันชนะตัวตนได้กี่มากน้อย มีความหิวอยู่ในใจ มันเป็นตัวปัญหาให้เราคิด ปัญหาเกี่ยวกับความหิว เกี่ยวกับตัณหา เกี่ยวกับอะไรได้ดี ถ้าไม่มีความหิวมาปรากฏอยู่ในใจเสียเลย เราก็ไม่คิด จะคิดไปไม่ถูกหรอก ถ้ามีความหิวมารบกวนอยู่น้อยๆ ก็พอจะคิดได้ คิดหน้าคิดหลัง คิดให้รู้จักว่ามันคืออะไร มันมาจากอะไร มันจะต้องทำกันอย่างไร เป็นความหิวที่ฉลาด เป็นความหิวที่ไม่โกรธ ถ้าหิวโมโหเสียแล้ว มันโง่เสียแล้ว มันเกิดตัวตนใหม่แล้ว ต้องหิวที่ฉลาด หิวที่ทำให้รู้จักความหิว มันจะเป็นหิวที่ไม่โกรธๆ
เอ้า, ก็จะฝึกฝนกันวันนี้ วันนี้จะไม่กินอาหาร จะได้รับไหม จะได้รับความหิวที่ฉลาดไหม จะได้รับความหิวที่ไม่โกรธ ไม่อึดอัด ไม่ขัดแค้นไหม นี่จะต้องฝึกกันวันนี้ นี่ก็เรียกว่าไม่หิวได้ ถ้าว่าเราไม่โกรธเพราะความหิว มันก็คือไม่หิว แต่ว่ามันยังมีไม่หิวที่ดีกว่านั้น คือมีความไม่หิวเพราะพอใจ พอใจว่าได้ทำอย่างนี้ เราพอใจที่ได้ทำอย่างนี้ มันจะไม่เกิดความหิว ถ้าปฏิบัติธรรมะก็เรียกว่าธรรมปีติ ธรรมปีตินี้ทำให้ไม่หิว พระพุทธเจ้ามีธรรมปีติ ไม่ต้องฉันอาหารเป็นวันๆ หลายวัน ตามตัวหนังสือในที่บางแห่งว่าตั้ง ๔๙ วัน ไม่ต้องฉันอาหาร มีปีติปราโมทย์ในการตรัสรู้ นี่หนังสือว่าอย่างนั้น จะเท็จจริงอย่างไรก็ไม่วิจารณ์ ไม่หิวด้วยอำนาจของปีติ ก็ด้วยอำนาจของปีติ
เอ้า, ถ้ายังไม่เก่งถึงขนาดมีปีติ เอาเป็นความตื่นเต้นก็ได้ ถ้ารู้สึกตื่นเต้นกันบ้างก็หายหิวเหมือนกันแหละ ก็หยุดหิวเหมือนกันแหละ แต่ว่าเรื่องตื่นเต้นนั้นมันโง่นะ มันโง่นะ ก็ปีติอย่างโง่ เอ้า,ปีติอย่างโง่ ตื่นเต้นๆ เป็นปีติอย่างโง่ แล้วก็เป็นปีติที่ไม่โง่ ปีติที่แท้จริง เป็นธรรมปีติ รู้ว่านี้ถูกต้อง นี้กำจัดทุกข์ นี้กำจัดตัวกู ปีติอย่างนี้ก็ปีติดี ปีติ ธรรมปีติก็ทำให้ไม่ต้องหิวเหมือนกัน ไม่ต้องหิวเหมือนกัน เราจะได้ทดลองกัน
ขอพูดเรื่องที่พูดเมื่อวานอีกทีเพราะว่าบางคนไม่ได้ฟัง ว่าพระไตรปิฎกเล่มหนึ่ง เรื่องแรกที่สุดของพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ มีเรื่องว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันข้าวปลาอาหารตามธรรมดาพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์เป็นร้อย แต่ได้ฉันข้าวตาก ข้าวตากที่พ่อค้าม้าเขามีไว้เลี้ยงม้า ข้าวตากแห้งเขาเอามาสำหรับเลี้ยงม้า พ่อค้าม้าแบ่งถวาย เขาเห็นว่าพระเหล่านี้ไม่มีอะไรฉัน ก็แบ่งข้าวตาก พระก็เอาข้าวตากมาทำให้เปียก เปียกด้วยน้ำแล้วก็ฉัน ไม่มีแกงไม่มีกับ อยู่ได้พรรษา อยู่ได้พรรษา น้ำหน้าอย่างพระเณรเดี๋ยวนี้ เอาที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ ผมถามว่าน้ำหน้าอย่างคุณนี้ทำได้ไหม จะฉันข้าวตากซาวน้ำ ไม่มีแกงไม่มีกับ พรรษาหนึ่งได้ไหม นี่ทั้งหมดที่นั่งอยู่ที่นี่ ท้าทายอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้มันทนหิวสักวันเดียวก็ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ นี้มันเกินไปหรือเปล่า พระอานนท์ก็อยู่ในพวกนี้ ยังไม่เป็นพระอรหันต์นี่ ไปเถิด ไปเถิด อย่าอยู่เลยเมืองนี้ ผู้รับนิมนต์เขาลืมเราแล้ว ไม่เอาอะไรมาให้ฉัน/ โอ้ย,ไม่ไป ไม่ไปหรอก ตถาคตไม่เห็นแก่เรื่องอย่างนี้ ไม่ต้องไป ไม่ต้องหนี/ พระโมคคัลลานะว่า โอ้,จะไปบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปด้วยปาฏิหาริย์ พระโมคคัลลาน์น่ะว่าจะไปเอาอาหารมาจากอุตตรกุรุทวีป พระพุทธเจ้าไม่กินของสกปรก สิ่งที่ได้มาด้วยปาฏิหาริย์นั้นมันสกปรก ไม่กินของสกปรก ไม่เอาๆ ฉะนั้นก็ข้าวตากซาวน้ำ ไม่มีแกงไม่มีกับ ตลอดหนึ่งพรรษาหลายร้อยรูปรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย
ทีนี้มาเทียบกับที่วันนี้เราจะไม่กินอาหารกันสักวันหนึ่งเท่านี้ มันจะอะไรกันนักหนาเล่า แล้วยังบอกว่าฉันน้ำข้าวต้มก็ได้ ฉันน้ำปานะก็ได้ ถ้าเหลือทนขึ้นมาก็ไม่ฉันอะไรเสียเลย นี่ลองศึกษาดูบ้างความหิวที่ฉลาด ความหิวที่ไม่โกรธ ความหิวที่เป็นบทเรียนสำหรับการศึกษาเรื่องความหิวนั่นแหละ ความหิวเป็นชื่อของตัณหา ความหิวเป็นชื่อของตัณหา
เอ้า, ทีนี้ก็อยากจะชักชวนให้มองเลิกอายุกันให้ละเอียดๆ ยิ่งขึ้นไป มองอายุกันอย่างไร ถ้าว่าเห็นด้วยสติปัญญา ด้วยจิตที่หลุดพ้น ด้วยมีจิตมีสติปัญญา ก็มองอายุว่ามันเป็นตามธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติ เป็นธรรมชาติแท้ๆ เป็นธรรมชาติแท้ๆ กรวด หิน ดิน ทราย ต้นหญ้า ต้นไม้ ต้นอะไร ตามๆ ธรรมชาตินี่ จะมองให้ว่าเป็นธรรมะก็ว่าเป็นสังขารตามธรรมชาติ เป็นกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันไหลไปตามกฎเกณฑ์ของมัน นี่อายุตามธรรมชาติ แต่แล้วมันร้ายกาจคือมันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ แม้จะว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ มันก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ มองตามธรรมชาตินี้ก็ดีมากอยู่แล้วแหละ เห็นว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าให้มันมีความหมายอะไรมากนัก แล้วก็จะได้เห็นธรรมชาติของปฏิจจสมุปบาทด้วย นี้ก็ดี นี้เรียกว่ามองตามธรรมชาติ ไม่มองในแง่ดีมันก็เห็นธรรมชาติๆ ถ้าฉลาดก็เห็นลึกจนจะเอาชนะได้
ทีนี้ว่ามองในแง่ที่ดีในทัศนะที่ดี มองในทัศนะที่ดี ก็มีผู้มองเหมือนกันแหละว่าชีวิตนี้เป็นของขวัญอันประเสริฐ ได้รับประทานมาจากพระเป็นเจ้านี่ Present ของขวัญอันประเสริฐได้รับประทานมาจากพระเป็นเจ้า นี่เขาก็มองชีวิตในแง่ดีกันอย่างนี้ก็มี แต่เราพุทธบริษัทมันไม่เคยมองอย่างนั้น ไม่ได้รับการสอนให้มองอย่างนั้น เห็นชีวิตตามธรรมชาตินี้มันเป็นที่ตั้งแห่งปัญหาและยุ่งยาก ถ้ามองในแง่ดี เป็นของขวัญจากพระเจ้าก็พอใจยินดีหลงใหลในชีวิต เอานี้เป็นเครื่องปลอบใจเจ้าของว่า โอ้,ลำบากเท่าไหร่กูก็ทนเอา ลำบากเท่าไหร่กูก็ทนเอา เพราะเป็นของขวัญอันประเสริฐได้มาจากพระเจ้า มองในแง่ดีอย่างนี้ก็ได้
ทีนี้มามองในแง่ร้ายบ้าง มองในแง่ร้าย มันเป็นตัวปัญหา เป็นที่ตั้งแห่งปัญหา ให้เกิดปัญหายุ่งยากลำบาก ชีวิตนี้เป็นของหนัก เป็นภาระหนักยิ่งกว่าภาระใด ชีวิตนี้เป็นคุกตะรางยิ่งกว่าภาระใด คนจะฟังไม่ถูกก็ได้ว่าภาระหนักสูงสุดนั้นคือตัวกู ตัวกูของกู ตัวกูเป็นภาระหนักเพราะมันหนักที่หัวใจ ถ้าก้อนหิน ของหนักนี้ข้างนอกมันไม่หนักเท่าไหร่หรอก มันหนักที่มันไปกดทับที่หัวใจ นี่คือตัวตนหรืออายุเป็นภาระหนักแก่จิตใจ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่กัดเจ้าของ กัดเจ้าของ ถ้าเจ้าของเป็นคนโง่ ใครบ้างที่ว่าไม่โง่ ใครบ้างที่ว่าฉลาด ใครบ้างว่าตัวเองไม่โง่ ไม่มีใครยกมือใช่ไหม ถามว่าใครไม่โง่ ไม่มีใครยกมือ ถามว่าใครโง่ ก็ไม่มีใครยกมืออีกเหมือนกัน (หัวเราะ) ไม่มีใครยกมือ
ชีวิตจะกัดเจ้าของที่เป็นคนโง่ มันกัดเจ้าของ ชีวิตเองมันจะกัดเจ้าของที่เป็นคนโง่ คือยึดมั่นถือมั่นในตัวชีวิต ยิ่งยึดมั่นถือมั่นในตัวชีวิตมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งกัดมากเท่านั้น ชีวิตมันกัดเจ้าของที่เป็นคนโง่ ชีวิตนี้มันกัดเจ้าของโง่ มันเป็นคุกตะราง ไม่มีใครอยากจะหลุดไปจากชีวิต คุกตะรางนั้นก็ยังไม่กักขังมากเท่ากับตัวกู ตัวกู ตัวกูเป็นคุกตะรางขังตัวเองขังชีวิต เป็นคุกตะรางอย่างยิ่ง ชีวิตเป็นคุกอย่างยิ่ง ไม่มีคุกตะรางอันไหนจะเสมอเหมือน ใครมองเห็นอย่างนี้บ้าง ถ้ามองเห็นอย่างนี้ก็คงสมัครเลิกอายุกันจริงๆ แหละ ถ้ามองไปในทางน่ารัก น่าพอใจ น่าสงวนแล้ว มันก็ไม่มีใครคิดจะเลิกชีวิต แล้วชีวิตก็กัดเจ้าของ กัดเจ้าของเรื่อยๆ
เอ้า, ในแง่ร้ายก็มองดูอีกทีว่า ชีวิตนี้มันเป็นคลังแห่งสมบัติของมัน ชีวิตมีสมบัติมหาศาลเป็นคลัง เป็นสมบัติของชีวิตคือตัณหา ชีวิตมีตัณหาเป็นทรัพย์สมบัติของมัน ชีวิตมีกามตัณหาเป็นทรัพย์สมบัติ ก็แสวงหาสิ่งที่น่ารักน่าพอใจในแง่ของกามเรียกว่ากามราคะ มันมีอัสสาทะ สนุกสนาน เอร็ดอร่อยในอารมณ์คือกาม แล้วมันก็ลุ่มหลงอยู่ด้วยอัสสาทะในกาม แล้วก็เป็นเหตุให้หลงใหลในการได้การมี มีกามเป็นของตน มีกามเป็นของตน แสวงหากาม ได้กาม ได้กามมาเป็นของตน นี่ทรัพย์สมบัติหมวดที่ ๑ ของชีวิตคือกามตัณหา
ทรัพย์สมบัติหมวดที่ ๒ ของชีวิต ก็คือภวตัณหา มันหาสิ่งสนองความอยากให้แก่ภพ ภพคือความมีความเป็น ข้อนี้มันมีภวราคะเป็นมูลเหตุ ข้อหนึ่งมันมีกามราคะเป็นมูลเหตุ ข้อสองมันมีภวราคะเป็นมูลเหตุ แล้วมันก็ทำด้วยสัสสตทิฏฐิ ตัวกูมีอยู่ ตัวกูจะต้องมีตลอดไปนี่ มันได้อาศัยสัสสตทิฏฐิ มันจึงมีทรัพย์สมบัติหมวดที่ ๒ คือภวตัณหา เป็นเรื่องของการได้เป็นนั่นได้เป็นนี่ ได้เป็นนั่น ได้เป็นนี่ แล้วก็ยกหูชูหาง แม้แต่ได้เป็นครูบาอาจารย์ ไม่ยกเว้นอาตมานะ เป็นครูบาอาจารย์แล้วก็อยากจะเป็น อยากจะเด่นอยากจะดัง อยากจะเหนือๆ ใครนั่นแหละ นี่มันมีภวราคะ อยากได้ อยากเป็น ยกหูชูหาง ไม่ยกเว้นแม้แต่อาจารย์วิปัสสนาโว้ย นี่ก็อยากจะยกหูชูหางว่าเป็นอาจารย์วิปัสสนา มันผูกพันลูกศิษย์ให้มอบตัวอย่างนั้นอย่างนี้ ไถนาบนหัวลูกศิษย์ ทำนาบนหัวลูกศิษย์ นี่มันก็ภวตัณหา ภวตัณหามันมาจากภวราคะ เป็นไปด้วยอำนาจของสัสสตทิฏฐิ นี่เป็นเรื่องของอัตตาๆ กามตัณหาเป็นเรื่องอัตตนียา เอามาเป็นของกู ภวตัณหาเป็นตัวอัตตาเอง เป็นตัวกู เป็นตัวกู เป็นของกูเพื่อจะได้ยกหูชูหาง นี่ก็เป็นอัตตา
ทีนี้สมบัติที่ ๓ ของมันก็คือวิภวตัณหา ปุถุชนต้องมีตัณหาครบ ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา วิภวตัณหาไม่ใช่เรื่องถูกเรื่องดี อาจจะเอาไปสับสนปนเปกันก็ได้ วิภวตัณหาหมายถึงนิพพาน นี่มันบ้าเลยนะนั่น ความอยากที่ไม่เป็นอย่างที่มันไม่อยาก อย่างที่มันไม่ปรารถนานี้เป็นวิภวตัณหา มันแสวงหาสิ่งที่สนองความอยากในแง่ลบๆ กามตัณหา ภวตัณหา มันหาสิ่งสนองความอยากในแง่บวก เดี๋ยวนี้มันแสวงหาในแง่ลบ เป็นวิภพ แปลว่าปราศจากความมีความเป็น โดยเหตุที่มันเป็นผลิตผลของอุจเฉททิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิมาจากความเห็นว่าขาดสูญ มันจึงได้เกิดวิภวตัณหา ฉะนั้นจึงโกรธง่าย เกลียดง่าย อิจฉาริษยาง่าย อะไรก็ด้วยวิภวตัณหา นี่สมบัติที่ ๓ ชีวิตนี้ อายุนี้ ตัวกูนี้ มีสมบัติอยู่ ๓ กอง กองที่ ๑ คืออารมณ์ของกามตัณหาหรือตัวกามตัณหาเอง กองที่๒ อารมณ์ขอภวตัณหาหรือตัวภวตัณหาเอง กองที่ ๓ ก็อารมณ์ของวิภวตัณหาหรือตัววิภวตัณหาเอง มันเป็นเศรษฐีมหาศาล มันมี ๓ ตัณหาเป็นสมบัติของมัน อายุ อายุ อายุ คุณเอากับมันดูสิ ถ้ามันไม่ไหว สู้ไม่ไหว ก็คิดเลิกกันเถิด มาคิดเลิกกันเถิด
เอ้า,ทีนี้อยากจะพูดเสียเลย สิ่งที่มันนอกออกไปจากสมบัติ ๓ กองนี้ ซึ่งอายุไม่มี กามตัณหานั้นอย่างหนึ่ง ภวตัณหานั้นอย่างหนึ่ง วิภวตัณหาอีกอย่างหนึ่ง มัน ๓ ตัณหา ทีนี้สิ่งที่ ๔ ที่มันไม่รวมอยู่ในวงนั้น เรียกว่านิตตัณหา นิตตัณหา นิรตัณหาคือไม่มีตัณหา นิรตัณหาไม่ใช่ตัณหานะ มันไม่มีตัณหานะ นิรตัณหาหรือว่านิตตัณหา เมื่อมีอตัมมยตาแล้วมันก็ไม่มีตัณหาอะไรเหลือ มันหมดตัณหาเรียกว่านิตตัณหาๆ
ชุดแรก กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ๓ ตัณหาน่ะมันเต็มไปด้วยตัณหา ส่วนอันนี้เรียกนิตตัณหา ไม่มีตัณหาด้วยอำนาจของอตัมมยตา เป็นธรรมะที่ทำลายตัณหา ทำลายกิเลส ทำลายอวิชชา นี่มันมาจากอนัตตาๆ ถ้ามันเป็นกามหรือเป็นภพหรือเป็นวิภพ มันก็มาจากอัตตา มาจากอัตตาและนิรัตตา แต่ถ้ามันเป็นนิตตัณหาแล้ว มันมาจากอนัตตา คงจะฟังยากนะ แต่ขอให้ทนฟังสักหน่อยเถิดว่าตัณหาๆ ตัณหา มันมาจากตัณหา มันเป็นตัณหา ถ้านิตตัณหามันคือหมดตัณหา ถ้ายังเป็นตัณหามันก็มาจากอัตตาๆ ก็ได้ คือมีอัตตาแล้วต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ มาจากนิรัตตาก็ได้ คือไม่มีอัตตาเอาเสียเลย เป็นอุจเฉททิฏฐิ มันก็เป็นตัณหาได้ มันมาจากนิรัตตา ฟังดูจะยุ่งๆ มันหลายตา แต่ถ้ามันถูกต้องอยู่ตรงกลาง อยู่ตรงกลางเป็นถูกต้องเป็นพุทธบริษัท มันไม่มีตัณหา อันนี้มาจากอนัตตา สุดซ้ายโต่งนี้อัตตา อัตตา อัตตา บรมอัตตาเลย อัตตาเต็มที่เลย สุดขวานี้ไม่มีอัตตา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรโดยประการทั้งปวง สพฺพํ นตฺถิ สิ่งทั้งปวงไม่มี ขาดสูญ นี่นิรัตตานะ นี่อัตตา นี่นิรัตตา และตรงกลาง ตรงกลางนี้คืออนัตตาๆ อนัตตานี้จะช่วยทำลายตัณหา คืออัตตาซึ่งมิใช่อัตตา นี้มันอัตตาเต็มที่ อัตตาของความโง่เต็มที่ อันนี้นิรัตตาไม่มีอัตตาอะไรเลยของคนโง่ แต่คนฉลาดว่าโอ้,มันมีอัตตาตามที่พูดกันอยู่ พูดจากันอยู่ พูดว่าอัตตาๆ พระอรหันต์ก็พูดคำนี้เมื่อพูดโดยสมมติ ท่านก็พูดคำนี้ แต่ว่าอัตตาตัวนี้มิใช่อัตตา มิใช่อัตตาคือเป็นอนัตตา
ช่วยจำกันไว้ให้แม่นๆ ว่า อนัตตานั้นแปลว่ามิใช่อัตตา อย่าไปแปลว่าไม่มีอัตตา มันจะโง่ไปเสียอีก มันมีอัตตาซึ่งมิใช่อัตตา มีตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน เป็นตัวตนที่เขาพูดกันตามธรรมดาชาวบ้านพูด ตัวตนนี้มิใช่ตัวตน นี้เรียกว่าอนัตตา มิใช่ตัวตนๆ อัตตาก็เป็นฝ่ายบวกไป ให้เกิดความรู้สึกตัวตนฝ่ายบวก นิรัตตามันก็ไม่มีตัวตนไป ก็เกิดความรู้สึกฝ่ายลบ ตรงกลางนี่ไม่ใช่อัตตาๆ มันจะมีอะไรสักเท่าไหร่ มีมากมายสักเท่าไหร่ มันก็ไม่ใช่อัตตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา มันต้องแปลว่าธรรมทั้งปวงมิใช่อัตตา ธรรมทั้งปวงมิใช่อัตตา อย่าไปพูดว่าไม่มีอะไรเสียเลย มันมีอัตตาโง่ที่ใช้พูดกันอยู่ ทุกคนต้องพูดทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องพูดด้วยคำว่าอัตตาๆ มาแต่ไหนแน่ไร เมื่อพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์จะต้องพูดกับคนธรรมดา ท่านก็ต้องพูดคำนี้เหมือนกันแหละ พูดว่าอัตตาเหมือนกันแหละ แต่ท่านไม่ได้ถือความหมาย ไม่ยึดถือความหมายเหมือนที่คนทั่วไปเขาถือ
ถ้าจำคำ ๓ คำนี้ไว้ได้เป็นอย่างดีแล้วเรื่องจะไม่ฟั่นเฝือ สุดโต่งฝ่ายนี้มันบ้าว่ามีอัตตา สุดโต่งฝ่ายนี้มันบ้าว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีอัตตาเลย ตรงกลางนี้เป็นสัมมาทิฏฐิๆ อนัตตาคือมิใช่อัตตา ฝ่ายซ้ายสุดโต่งนี้เป็นสัสสตทิฏฐิ มีอัตตาๆ สุดโต่งฝ่ายขวานี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นอุจเฉททิฏฐิ ไม่มีอัตตาๆ แต่ตรงกลางนี้มีอัตตาซึ่งมิใช่อัตตา มีอัตตาแต่เพียงสำหรับพูดจาพอรู้เรื่อง แล้วมันมิใช่อัตตา ตรงนี้เรียกว่าอนัตตา
สุดฝ่ายนี้มีอัตตา สุดฝ่ายนี้มีนิรัตตา ตรงกลางมีอนัตตา อนัตตานั่นแหละช่วยได้ อนัตตานั้นเอามาเป็นเครื่องมือเลิกอายุได้ คือมันไม่มีตัวตนซึ่งเป็นตัวตนโดยแท้จริง มันก็สามารถที่จะเลิกอัตตาเสียได้โดยประการทั้งปวง คือทำให้เกิดนิตตัณหา อนัตตาทำให้เกิดนิตตัณหาคือไม่มีตัณหา เกิดอัตตา อัตตาตัวนี้มันให้เกิดกามตัณหาบ้าง ภวตัณหาบ้าง นิรัตตานี้มันก็ให้เกิดวิภวตัณหา ๒ ข้างนี้มันให้เกิดตัณหาแต่ละชนิด ตรงกลางคืออนัตตาไม่ให้เกิดตัณหาใดๆ เมื่อเป็นไปถึงที่สุดแล้วก็จะเรียกว่าอตัมมยตา ภาวะแห่งจิตใจที่อะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ตัวหนังสือแปลว่าอย่างนั้น พวกอรรถกถาขี้เกียจอธิบายหรืออธิบายไม่ถูกก็ไม่รู้ จึงว่านิตตัณหาเฉยๆ ไม่มีตัณหาเฉยๆ แปลอตัมมยตาว่านิตตัณหา อตัมมยตาแปลว่าไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ ภาวะของจิตที่ไม่มีอะไรจะปรุงแต่งให้เป็นบวกหรือเป็นลบได้ นี่ขอให้มีอันนี้แหละเป็นสมบัติของอริยชน เป็นสมบัติของความไม่มีตัณหา ถ้าปุถุชนมันก็มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ถ้าเป็นอริยชนก็เอียงไปในทางนิตตัณหา ก็นิตตัณหาขึ้นไปตามลำดับๆ ตามลำดับๆ จนหมด หมดตัณหาโดยประการทั้งปวง
เดี๋ยวนี้เรามาเห็นโทษของอัตตาซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งตัณหา ๒ ชนิด คือกามตัณหา ภวตัณหา เห็นโทษของนิรัตตา ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งตัณหา ๑ ชนิด คือวิภวตัณหา แล้วก็เราเห็นพระคุณของนิตตัณหาคือไม่มีตัณหา เพราะอำนาจของการเห็นอนัตตา อนัตตาเป็นที่พึ่ง อนัตตาจะแก้ปัญหาได้หมดทุกอย่างทุกประการ ไม่ว่าปัญหาโลก ปัญหาธรรม ปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจแก้ได้ แต่คนโง่ไม่รู้จักใช้โว้ย ทั้งโลกนี้มันไม่รู้จักใช้ สิ่งประเสริฐสูงสุดนี้จะแก้ปัญหาให้หมดไปในโลก มันมีอัตตา มันมีเห็นแก่ตัว มันก็เต็มไปด้วยตัณหานานาชนิด โลกนี้ก็เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์เลวร้าย ไม่มีความสงบสุข ขอให้ศึกษาให้ดีจนรู้จักอนัตตา แล้วจะรู้จักนิตตัณหาหรืออตัมมยตา อตัมมยตา ช่วยจำคำนี้ไว้มันแปลกอยู่ แล้วมันจะแก้ปัญหาได้ เราต้องสู้รบกับมัน เราจะต้องสู้รบกับมัน ถ้าว่ายังมีชีวิตอยู่ ยังหลงใหลในชีวิตอยู่เท่าไหร่ ก็ต้องสู้รบกับมันเท่านั้นแหละ หลงใหลในชีวิตมากก็ต้องสู้รบกับอัตตานี้มาก สู้รบกับอัตตา อัตตามันจะให้มีตัวตนอย่างนั้น จะให้มีตัวตนอย่างนี้ จะยกหูชูหางอย่างนั้น จะยกหูชูหางอย่างนี้ อัตตามันต้องการอย่างนี้ เราต้องสู้มันคือไม่ยอมทำตามมันนี่ ส่วนนิรัตตามันก็จะไม่ให้มีอะไรเสียเลย ไม่ถืออะไรเสียเลย ไม่มียึดถืออะไรเลย นี่มันนิรัตตา ก็สู้กับมัน กูไม่เชื่อมึง มันมีสิ่งที่ทุกคนถือว่าเป็นอัตตา แม้จะเป็นเรื่องหลอกๆ อยู่ มันก็มีอยู่อย่างหลอกๆ ผีมันก็มีอย่างผี มีอย่างหลอกๆ เดี๋ยวนี้นิรัตตานี้มันก็มีอย่างหลอกๆ มีอย่างที่ว่าผีหลอก ต่อสู้กับอนัตตาอีกทีหนึ่ง เพราะว่าเรามันไปหลงว่ามีอัตตา แท้จริงมันเป็นอนัตตา เราจะต้องต้อนรับทุกสิ่งๆ ทุกสิ่งๆ ซึ่งเป็นอนัตตานั้นให้ถูกต้อง ก็คืออย่าไปยึดถือสิ่งใดว่าอัตตา
นี่มนุษย์ที่ฉลาด มนุษย์อริยเจ้า มนุษย์อริยชน เขามีกันแต่อัตตาซึ่งมิใช่อัตตา เพราะปากมันยังต้องพูดอยู่นี่ว่าตัวฉัน ของฉัน ปากมันยังต้องพูดอยู่ แม้สัญชาตญาณที่มันจะเกิดเองโดยลำพังในจิตใจ มันก็จะต้องเกิดรู้สึกว่าอัตตาๆ อยู่ แต่สติปัญญามันรู้ทันว่าโอ้,อัตตาของแกน่ะมันไม่ใช่อัตตา อัตตาหลอก มันไม่ใช่อัตตา ให้เห็นอนัตตาในลักษณะอย่างนี้แหละ มันก็จะก้าวไปหาธรรมะสูงสุด คือจะบรรลุนิพพาน จะเป็นไปในทางบรรลุนิพพาน มนุษย์โง่ไม่อาจจะต่อสู้อัตตาและนิรัตตา มันหลอกให้เป็นอย่างนั้น มันหลอกให้เป็นอย่างนี้ บวกบ้าง ลบบ้าง บวกบ้าง ลบบ้าง เลิกอัตตาเสีย เลิกอัตตาเสีย มันก็หมดปัญหา ไม่ต้องมีการต่อสู้ให้ยุ่งยากลำบากหนวกหูเปล่าๆ เลิกอัตตาเสียก็จะไม่ต้องต่อสู้กับอะไรนี่
ทั้งหมดนี้ ท่านทั้งหลายฟังดูให้ดีๆ มันเป็นเพียงอารัมภกถาๆ เริ่มต้นเริ่มเรื่อง อารัมภกถานี่ก็คือเริ่มเรื่องที่เราจะพูด เรื่องเลิกอายุก็พูดอารัมภกถากันเสียก่อนดังที่ได้กล่าวมาแล้ว กินเวลา ๒ ชั่วโมง อารัมภกถากินเวลา ๒ ชั่วโมง ถ้าฟังไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ อาตมาก็เป่าปี่ให้เต่าฟัง ทำอย่างไรได้ล่ะ มันจะทำอย่างไรได้ล่ะ เมื่อไม่ฟังหรือฟังไม่ออก ฟังไม่ถูก มันก็เป็นเรื่องเป่าปี่ให้เต่าฟัง แล้วยมบาลน่ะ ยมบาลจะเขกหัวกบาลท่านทั้งหลายว่าใช้เงินไม่คุ้มค่า ใช้เงินไม่คุ้มค่า เสียค่ารถ เสียค่าเรือ เสียความลำบากยุ่งยาก มาสวนโมกข์ไม่ได้รับอะไรที่เป็นประโยชน์ ไม่คุ้มค่า เป็นพวกใช้เงินไม่คุ้มค่า ยมบาลก็ตีศีรษะ นี่น่ากลัวไหม การที่ไม่รู้ธรรมะ ฟังธรรมะไม่ออก มันไม่ได้ประโยชน์อะไร ห้ามว่าอย่ามาก็ไม่ฟัง ถ้ามาแล้วต้องรับผิดชอบตัวเองนะ ต้องให้ได้อะไรที่คุ้มค่า อะไรๆ ที่มันคุ้มค่ากลับไปนะ มันจึงจะยุติธรรม อารัมภกถาของการเลิกอายุมีอย่างนี้
ทีนี้พูดถึงตัว ตัวการเลิกอายุ ไม่ใช่อารัมภกถาแล้วนะ จะพูดถึงตัวเลิกอายุๆ ข้อนี้จะพูดโดยหลักอริยสัจ ๔ หลักอริยสัจ ๔นี้คุณช่วยจำไว้เถิด มีประโยชน์ที่สุดแหละหลักอริยสัจ ๔ นี่ ช่วยจำไว้เถิด ใช้เรื่องบ้านเรื่องเมืองก็ได้ เรื่องโลกก็ได้ เรื่องโง่ก็ได้ เรื่องต่ำๆ ก็ได้ เรื่องสูงๆ ขึ้นไปนิพพานก็ได้ ไปดูรูปกวางสี่ตัวหัวเดียว ไปดูที่โรงปั้นก็ได้ ที่ตรงไหนก็มี กวางสี่ตัวหัวเดียวคงจะเคยเห็นกันบ้างแล้ว กวางสี่ตัวมารวมหัวเป็นหัวเดียว นี่คือความหมายของอริยสัจ สี่ตัวก็คือมันมีความหมายว่าคืออะไรนี่ตัวหนึ่ง มาจากอะไรนี่ตัวหนึ่ง เพื่อประโยชน์อันใดนี่ตัวหนึ่ง และทำอย่างไรจึงจะได้นี่อีกตัวหนึ่ง คำนี้พิเศษ คืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด จะทำนาทำสวนอย่างไม่มีสติปัญญา ก็ลองใช้เถิด ใช้ ๔ อย่างนี้ ให้รู้เรื่องทุกเรื่องที่เรามันเกี่ยวข้อง จะเป็นเรื่องควาย เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องดิน เรื่องอะไร ให้รู้ว่ามันคืออะไร มันมาจากอะไร มันเพื่อประโยชน์อะไร มันโดยวิธีใด ถ้าจะค้าขายมาล้วงกระเป๋าคนอื่นจะใช้ ๔ ตัวนี้ก็ได้ จะนายทุนก็ใช้ได้ คนซื่อตรงก็ใช้ได้ คนคดโกงก็ใช้ได้ รู้จัก ๔ อย่างนี้แล้วมันสร้างประโยชน์ได้ แต่ถ้าจะไปพระนิพพานแล้วก็ใช้ให้ถูกต้อง ใช้ให้สุจริต ประพฤติธรรมะให้สุจริต และรู้ให้มันถูกต้องตามที่เป็นจริงว่ามันคืออะไร มันมาจากอะไร มันเพื่อประโยชน์อะไร แล้วมันสำเร็จได้โดยวิธีใด
อริยสัจที่ ๑ คือความทุกข์ ตัวความทุกข์คือบอกให้รู้ว่าทุกข์เป็นอะไร ทุกข์คืออะไร ทุกข์เป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างไร นี่ทุกข์คืออะไร นี่รู้ว่าคืออะไร เรียกว่าคืออะไร และที่ ๒ ก็มันมาจากอะไร ทุกข์นี่มันมาจากอะไร มันก็มาจากตัณหา นี่รู้ว่ามันมาจากอะไร ที่ ๓ มันเพื่อประโยชน์อะไร มันเพื่อนิโรธ มันเพื่อนิพพาน มันเพื่อดับไปแห่งตัณหา เรื่องนี้ ความรู้อันนี้ การประพฤติกระทำอันนี้มันเป็นไปเพื่อนิโรธหรือนิพพาน นี่เรียกว่าเพื่ออะไร มันมีเพื่ออะไร มาศึกษานี้เพื่ออะไร มาปฏิบัตินี้เพื่ออะไร แล้วอันที่ ๔ สุดท้ายว่าโดยวิธีใด ที่จะให้ได้สิ่งนั้นอย่างนั้นน่ะโดยวิธีใด ก็โดยอริยมรรคมีองค์ ๘ ท่านจะทำนาก็ได้ จะค้าขายก็ได้ ทำราชการก็ได้ เป็นเศรษฐีก็ได้ เป็นมหาบุรุษ เป็นนักการเมืองสูงสุดก็ได้ แม้แต่จะเป็นขอทานก็ได้ ดีไหม จะเป็นขอทานที่ดีก็ให้รู้โดยหลักอริยสัจ ว่ามันคืออะไร มันจากอะไร มันเพื่ออะไร มันโดยวิธีใด ถ้ามันรู้ครบทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว มันเป็นขอทานชั้นดี ชั้นเลิศ ไม่กี่วันมันไม่ต้องขอทานหรอก มันไม่ต้องขอทาน มันได้ผลจนไม่ต้องขอทานอีกต่อไป นี่จะเรียกกันรวมๆ เป็นคำหลักทั่วไปว่า หลักของอริยสัจ คือรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องกันโดยความหมายทั้ง ๔ โดยความหมายว่าคืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด ถ้าเราจะเลิกอายุ เราก็จะต้องรู้ว่าอายุนี้คืออะไรหว่า อายุนี่มาจากอะไรหว่า อายุนี่มีเพื่อประโยชน์อะไรหว่า แล้วก็ทำอายุจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้รับผลตรงตามผลที่มันจะพึงได้จากอายุ มันก็ไม่เว้นไม่พ้นจากคืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด เอาไปใช้ในเรื่องอะไรก็ได้ แม้จะใช้ในทางผิดในทางคดโกงก็ได้ มันเป็นหลักที่ให้สำเร็จ สำเร็จได้ ถ้าความรู้ ๔ อย่างนี้มีแล้วมันสำเร็จได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำบาปหรือทำบุญ แต่ถ้าจะเพื่อไปนิพพานโดยเฉพาะแล้ว จะต้องทำให้ดี ทำให้ถูกต้อง ทำให้สมบูรณ์
ทีนี้ก็จะได้บรรยายถึงเรื่องความทุกข์ โดยหลักแห่งความทุกข์ โดยหลักเกณฑ์หรือวิธีการแห่งเรื่องความทุกข์ เราจะเลิกอายุได้ด้วยการรู้เรื่องความทุกข์ว่าความทุกข์คืออะไร ก็คือว่าอายุๆนี่มันคืออะไร โดยพยัญชนะก็ตัวหนังสือ คำว่าอายุนี่ มันต้องแปลว่าการไปหรือการเป็นไปแห่งเวลาอายุนั่นเอง เป็นไปแห่งอายุก็เป็นไปแห่งเวลา เป็นไปแห่งเวลาก็เป็นไปแห่งอายุ เข้าใจว่านะ เท่าที่เรียนมา เข้าใจว่าคำว่าอายุนี่มันแปลว่าการเป็นไปแห่งอายุหรือชีวิต การเป็นไปแห่งชีวิตเรียกว่าอายุ อายุ โดยอรรถะก็ว่าสิ่งสูงสุดที่สามัญสัจจ์ สงวน สงวน สงวน ทะนุถนอม ถ้าโดยอัสสาทะคือรสอร่อยหรือเสน่ห์นั้นมีแต่สำหรับคนโง่ อัสสาทะของอายุนี้มีแต่คนโง่ คนฉลาดเขาไม่หลงอายุหรอก พระอริยเจ้าไม่หลงอายุหรอก ปุถุชนคนโง่ที่จะมาหลงในอายุ เรียกว่าอัสสาทะของอายุมันมีแต่สำหรับคนโง่
ทีนี้ อาทีนวะ ความเลวร้ายเลวทรามของมันนี่ มันเห็นได้แต่สัตบุรุษหรือพระอริยเจ้า ปุถุชนคนสามัญไม่มองเห็นอาทีนวะหรือโทษอันเลวร้ายของอายุ เพราะมันไม่คิดเลิกอายุ ฉะนั้นมารู้จักสิ่งเหล่านี้กันให้พอสมควร ให้พอสมควร อายุคืออะไร มันมาจากไหน มันเพื่ออะไร มันโดยวิธีใด แล้วก็มีวิธีที่จะเลิกกันอย่างสูงสุดนะ สูงสุด ไม่ใช่เลิกธรรมดา ไม่ใช่เลิกง่ายๆ เลิกแบบเด็กๆ เล่น ซึ่งเราจะได้ศึกษาวิพากษ์วิจารณ์กันให้ละเอียด คิดว่าเช้านี้คงจะได้พูดกันแต่ในแง่เดียว พูดกันได้เพียงแง่เดียวคือว่าแง่ของความทุกข์ หรือว่าในแง่ที่ว่าคืออะไร
ทีนี้เพื่อให้ท่านทั้งหลายมีกำลังใจจะได้หายหิวข้าว จะบอกอานิสงส์หรือว่าความดีของการเลิกอายุ เลิกอายุมีประโยชน์มีอานิสงส์ที่จะอุปมาได้หลายอย่างๆ นั้นเป็นเรื่องของการปิดฉากแห่งปัญหา ปิดฉากแห่งความทุกข์ จะเรียกว่าปิดฉากแห่งชีวิตก็ได้ เพราะว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่มันต้องดิ้นรนไปเพื่อความทุกข์ ปิดฉากชีวิตชนิดนั้นเสีย เลิกอายุคือการปิดฉากหรือจบเรื่องของอายุ ดีหรือไม่ดี ก็ถึงยอดสุด ข้อที่ ๒ ว่าถึงยอดสุดแห่งวิวัฒนาการของชีวิต ว่าชีวิตมันจะดีขึ้นเรื่อย ดีขึ้นเรื่อย วิวัฒนาการขึ้นไปแล้วจะไปสุดที่ไหน สุดที่หมดอายุเลิกอายุนั่น บ้าหรือดี จะมีอายุๆ มีอายุๆ มีอายุๆ เพื่อถึงที่สุดคือจบหมดอายุเลิกอายุน่ะ อานิสงส์ของการเลิกอายุว่าที่จบสุดของวิวัฒนาการแห่งอายุ
ทีนี้เลิกอายุนั้น เปรียบเหมือนโยนทิ้งของหนักออกไป สวดกันอยู่ทุกวันนี่ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ภาราหาโร จ ปุคฺคโล ที่สวดกันนั่นแหละ ภาระหนักคือขันธ์ ๕ ที่มีความรู้สึกว่าบุคคลหรือตัวกูน่ะเป็นผู้แบกภาระไว้ แบกภาระนี้เป็นของหนัก โยนของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข พระอริยเจ้าโยนของหนักนี้ทิ้งไปแล้ว ไม่คว้าเอาของหนักอื่นเข้ามาถือไว้อีก ก็ นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต คือเย็นสนิทเป็นปรินิพพาน เลิกอายุนี้คือการโยนของหนักทิ้งลงไปเสีย บรรดาของหนักที่สุมอยู่บนชีวิตบนศีรษะมากมายมหาศาล โยนทิ้งไปเสีย โยนทิ้งไปเสีย โยนทิ้งของหนักไปเสียคือการเลิกอายุ นี่พูดสมัยใหม่หน่อยนะว่ามันเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนแก่ ที่ตากอากาศชายทะเลนั่นน่ะไปพักผ่อนหย่อนใจ มันจะได้รับผลเป็นความสุขสบายได้รับพักผ่อนหย่อนใจ ที่เขาเรียกว่าที่ตากอากาศชายทะเล เป็นรีสอร์ทชนิดไหนก็ตามเถิด ไปที่นั่นแล้วก็ได้รับการพักผ่อนหย่อนใจ เมื่อคนแก่หาที่พักผ่อนที่ไหนไม่ได้ พักผ่อนหย่อนใจที่ไหนไม่ได้ก็มาหาที่นี่ เลิกอายุเสียเป็นพักๆ นี่ น่าจะเลิกเสียเป็นพักๆ เลิกอายุเสียได้เป็นพักๆ พักๆ นั้นมันจะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจเหมือนกับว่าไปเที่ยวชายทะเล ไปเที่ยวตากอากาศชายทะเล นี่ตากอากาศชายทะเลของคนแก่ เพราะว่าคนแก่มันทำได้ง่ายเพราะมันผ่านอายุมามากแล้ว เลิกตัวกู เลิกตัวกูเสียสัก ๑๕ นาที อยู่กับนิพพานชั่วคราว ๑๕ นาทีนี่ ไม่มีนิพพานที่ไหนนอกจากเลิกตัวกู ไม่มีตัวกู กำลังไม่มีตัวกูก็เป็นนิพพานที่นั่น พอตัวกูเกิดมานิพพานก็หายไป ตัวกูก็อยู่แทนเองแหละ นี่กำจัดตัวกูกันเป็นพักๆ อย่างนี้ก็ได้ เรียกว่าที่พักผ่อนหย่อนใจ ทีนี้ก็พูดให้มันสูงสุดไปเสียเลย การเลิกอายุนี่มันจะทำให้ได้รู้จักพระนิพพานหรือรู้รสของพระนิพพานไปพลาง อย่าให้ตายเปล่า รู้จักพระนิพพานไปเปล่า เมื่อใดเลิกอายุได้ เลิกตัวกูได้ เมื่อนั้นได้รู้รสของพระนิพพาน
ขอพูดเรื่องนิพพานหน่อย นิพพานๆ มี ๒ ความหมาย สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เติมคำว่าธาตุเข้ามาก็เพื่อให้หมายถึงภาวะของนิพพาน อย่าให้ไปเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นอะไรที่ปรารถนากันนัก เป็นเพียงสักว่าธาตุตามธรรมชาติ นิพพานธาตุ ธาตุตามธรรมชาติ เป็นที่ดับเย็นสนิท สอุปาทิเสสะ มีอุปาทิเหลือ อนุปาทิเสสะ ไม่มีอุปาทิเหลือ บาลีก็มีอยู่ชัดแล้วว่าภิกษุนั้น อรหํ โหติ ขีณาสโว เป็นพระอรหันต์สิ้นอาสวะ วุสิตวา กตกรณีโย จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว โอหิตภาโร ปลงของหนักลงได้แล้ว อนุปฺปตฺตสทตฺโถ มีประโยชน์ตนอันถึงทับแล้ว ปริกฺขีณภวสํโยชโน มีสังโยชน์ในภพสละสิ้นแล้ว สมฺมทญฺญา วิมุตฺโต หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบ นี้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ประเภทแรกมีสอุปาทิเสสนิพพานธาตุนั้น อินทรีย์หรือสมรรถภาพของอินทรีย์ที่จะรู้จักอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังไม่ถูกกำจัด มันจึงรู้สึกอารมณ์ คือรู้สึกเวทนาว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ มันจึง มนาปามนาปํ ปฏิสํเวทิยติ สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวทิยติ มันจึงรู้จักความถูกใจหรือความไม่ถูกใจ ความสุข ความทุกข์ คือบวกหรือลบน่ะ จิตนั้นยังรู้สึกความเป็นบวกหรือเป็นลบ คือทุกขเวทนาหรือสุขเวทนา ตสฺส โย ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย แปลว่าความสิ้นราคะ โทสะ โมหะของภิกษุนั้น เรากล่าวว่าสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อย่าไปอธิบายว่าพระอรหันต์เป็นๆ อย่างเดียว พระอรหันต์เป็นๆ นี้ เป็นได้ทั้ง ๒ นิพพานธาตุ พระอรหันต์พวกนี้ยังรู้สึกเวทนาที่เป็นบวกหรือเป็นลบ แต่ท่านก็ไม่เกิดยินดีไม่ยินร้ายในความเป็นบวกเป็นลบที่รู้สึกอยู่ ท่านมีความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ นั้นคือสอุปาทิเสสนิพพานธาตุของท่าน
ทีนี้นิพพานธาตุที่ ๒ อรหํ โหติ ขีณาสโว อย่างเดียวกันอีก ก็คือเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่นี่มันแปลกกันที่ว่า เวทนาทั้งหลายอันท่านไม่ยินดีและเป็นของเย็นสนิท คือเวทนาไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ ไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็น มนาปังอมนาปังอะไร เวทนานี้ไม่อาจจะเป็นบวกไม่อาจจะเป็นลบ ท่านก็ยังไม่ตาย ตสฺส อิเธว ก็ในอัตภาพนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าไม่มีอะไรมาทำให้เกิดความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ คือเป็นสุขหรือเป็นทุกข์นี่ เพราะว่าเวทนามันไม่อาจจะแยกเป็นสุขและเป็นทุกข์ มันเหนือความรู้สึกเป็นบวกและเป็นลบ นี้เรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นี้คำว่า ตสฺส อิเธว ในอัตภาพนี้นั่นเทียว นิพพานธาตุทั้ง ๒ อย่างไม่เกี่ยวกับความตาย ยังไม่ตาย องค์หนึ่งเป็นนิพพานธาตุขั้นที่ยังมีอุปาทิเหลือ คือความรู้สึกที่เป็นบวกหรือเป็นลบนั่นเหลืออยู่รู้สึกได้ แต่อีกองค์หนึ่งไม่มีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบเหลืออยู่ ไม่รู้สึกเป็นบวกเป็นลบเลยนี่ องค์นี้เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ทั้งสององค์ยังไม่ตาย เขาก็ด่าอาตมาไปเถิดว่าอาตมาอธิบายอย่างนี้นอกลู่นอกทาง โกหก มิจฉาทิฏฐิ เพราะว่าในโรงเรียนเขาอธิบายกันอย่างอื่น
นี่ขอถือโอกาสบอกให้รู้ว่านิพพานธาตุทั้ง ๒ ตามพระบาลีแท้ๆ เป็นอย่างนี้ ไม่เชื่อก็ไปเปิดดู ไปเปิดดูพระบาลีที่มา นี่เราเลิกอายุได้ ๕ นาที เราก็ได้รับรสของนิพพานธาตุ ๕ นาที จะไม่ให้มันเป็นบวกหรือเป็นลบก็ได้ ทีนี้ถ้าว่าเป็นบวกเป็นลบ แต่ไม่ให้ความหมายในทางบวกและลบ คือไม่ยินดีไม่ยินร้าย เคี้ยวเข้าไปว่าอร่อย เอ้อ,มันก็อร่อย เคี้ยวเข้าไปไม่อร่อย ก็ไม่อร่อย ไม่เป็นบวกไม่เป็นลบกันอย่างนี้ ไม่เกิดกิเลส ถ้าดีกว่านั้นก็ไม่รู้สึกเสียทั้งสองอย่างแหละ ไม่รู้สึกว่าอร่อยหรือไม่รู้สึกว่าไม่อร่อย นั้นมันก็ดีขึ้นไป เรียกว่าเวทนาเย็นสนิท อย่างแรกเวทนายังไม่เย็นสนิท เลิกอายุได้เท่าไหร่ จะสัมผัสพระนิพพานได้เท่านั้น เลิกได้นานเท่าไหร่ จะสัมผัสพระนิพพานได้นานเท่านั้น เลิกอายุได้ที่ไหนก็สัมผัสพระนิพพานที่นั่น ใช้การเลิกอายุแม้ชั่วขณะๆ นี่เป็นที่พบพระนิพพาน เปิดเครื่องปิดบังเสียแล้ว พระนิพพานฉายแสงมาถูกต้องจิตใจอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เอ้า, ข้อต่อไปก็จะมีว่า จะเลิกกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา และมีจิตใจเป็นอตัมมยตา ท่านหมดความยึดถือในอายุก็จะมีอตัมมยตาเมื่อนั้น หมดเท่าไหร่ก็เป็นเวลาเท่านั้น หมดที่ไหนก็เป็นที่นั่น เมื่อเลิกอายุได้เท่าไหร่จะมีอตัมมยตาเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาในจิตใจ ไม่หวั่นไหวต่อการปรุงแต่งสิ่งใดๆ อตัมมยตาคงที่อยู่ในความถูกต้อง ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เรียกว่าคงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่ยิ่งกว่า ดีแล้วๆ กว่าสิ่งใดๆ ที่เขาเรียกกันว่าคงที่ ภูเขาหิมาลัยคงที่เมื่อไหร่ มันเขย่าเล่นได้ ถ้าแผ่นดินไหวภูเขาหิมาลัยก็โคลงเคลงๆ แต่ว่าจิตที่มีอตัมมยตานี้ไม่หวั่นไหว ให้มันหวั่นไหวกันทั้งจักรวาล ทั้งจักรวาลหวั่นไหว จิตที่มีอตัมมยตาไม่หวั่นไหวไม่โคลงเคลงนะ แต่พบอตัมมยตาอย่างนี้ มั่นคงอย่างนี้ในขณะที่ว่าไม่มีตัวกู เลิกตัวกู เลิกอายุได้เป็นเวลาเท่าไหร่ จะพบอตัมมยตาคือความไม่หวั่นไหวกันเท่านั้น
ข้อต่อไปจะเรียกว่าออกมาเสียจากเกลียวของวัฏฏะๆ เกลียวของวัฏฏะ ชาวบ้านหรือว่าศาลาวัด คำว่าวัฏฏะคือเวียนว่ายตายเกิด เกิดมาแก่ตาย เกิดมาแก่ตาย เกิดมาแก่ตาย เวียนว่ายอย่างนี้เรียกว่าวัฏฏะ แต่วัฏฏะที่แท้จริงของคนฉลาดไม่อธิบายกันอย่างนั้นน่ะ เกิดกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม ทำกรรมแล้วมีผลกรรรม ผลกรรมทำให้เกิดกิเลส กิเลสทำให้เกิดทำกรรม ทำให้เกิดผลกรรม ผลกรรมทำให้เกิดกิเลส นี่วัฏฏะ จะเอาวัฏฏะอย่างไหนก็ได้ วัฏฏะอย่างไหนก็ได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละ มีอตัมมยตาเมื่อไหร่มันออกไปเสียจากเกลียวของวัฏฏะๆ ไม่เป็นวัฏฏะสำหรับผู้นั้น ออกไปเสียจากกระแสแห่งวัฏฏะ
เอ้า, ข้อต่อไปก็จะเรียกว่าออกมาเสียจากคุกแห่งอัตตา ออกมาจากคุกแห่งตัวกู เลิกอายุได้เท่าไหร่ ไม่มีอัตตามันก็ไม่ติดคุกอัตตา พอมีอัตตาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันก็ติดคุกอัตตานั่น ออกมาจากคุกๆ คุกอย่างยิ่ง คุกแท้จริง คุกอัตตา ออกมาเสียได้ชั่วขณะที่ว่าเราเลิกอายุได้ ไม่ยึดมั่นในอายุได้เท่าไหร่ ก็ออกมาจากคุกอัตตาได้เท่านั้น ออกจากคุกอายุก็เรียกออกจากคุกอัตตาก็เรียกว่าหลุดคุก ออกมาเสียจากคุกอัตตา
เอ้า, ทีนี้ก็จะเรียกว่าปิดประตูภพทั้งปวง พระโสดาบันเพียงแต่ปิดประตูอบาย ปิดประตูอบาย ไม่ปิดประตูภพ พระโสดาบันยังบ้าภพ หลงภพ อะไรบางภพอยู่นะ แต่ถ้าว่าเลิกอายุ เลิกอัตตา ไม่มีอัตตา เป็นอตัมมยตาแล้วมันปิดประตูภพทุกภพ ทุกชนิด ทุกภพ ทั้งที่เป็นวิภพคือภพทางลบก็ได้ มีคำกล่าวยืนยันอยู่แล้วว่า ปริกฺขีณภวสํโยชโน มีสัญโญชน์ในภพอันสิ้นแล้ว เพราะอตัมมยตาสัญโญชน์ในภพก็หยุดเด็ดขาดสูญหายไป ถ้ามีอตัมมยตาชั่วคราวมันก็หลุดอย่างชั่วคราว มันเป็นขณิกะ เป็นสมยิกะ,สามายิกะ มันเป็นชั่วคราว ถ้ามันเป็นสมบูรณ์มันก็สมบูรณ์ มันก็ออกไปจากภพ ปิดประตูภพเสียก็ได้ เรียกว่าที่นี่ปิดประตูภพ ไม่มีภพให้เข้าไปอีกต่อไป มันไม่มีภพ มันไม่มีการเกิดในภพไหนๆ นี่เรียกว่าปิดประตูภพโดยประการทั้งปวง ทีนี้จะสามารถท้าทายมัจจุราช ท้าทายมัจจุราชมา ให้มาหา ให้มาตามตัว ไม่พบ หาไม่พบ มัจจุราชหาไม่พบ แม้ทูตของมัจจุราช ยมทูตช่วยมาหาก็ไม่พบ ถือบ่วงมาเก้อ หาไม่พบตัวคนนี้
เอ้า, หย่าขาดจากสิ่งที่มันเคยยึดมั่นถือมั่นผูกพัน เอาเรื่องนิยายมาเป็นอุปมาดีกว่า พระอภัยมณีเขาหนีนางผีเสื้อมา นางผีเสื้อตามตัวมาพบขอให้กลับไปอีก พระนิพพานก็หย่าขาดจากนางผีเสื้อ ให้หย่าขาดอย่างนั้นแหละ มันจะตายก็ช่างหัวมัน ให้หย่าขาดจากภพ หย่าขาดจากโลก หย่าขาดจากสิ่งที่มันควรจะหย่า ว่าอีกทีหนึ่งก็ว่ารู้สึกตัวแล้วโว้ย กลับมาหาพ่อแม่โว้ย เด็กๆ พอมันโตขึ้นมา มันได้รับอารมณ์ทางยินดียินร้าย บวกลบ มันก็ไปตามอารมณ์ ไม่คงอยู่ในคลองแห่งธรรมะ นี้เรียกว่ามันหนีพ่อแม่ ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป มันไปเอาสนุกสนานเอร็ดอร่อยตามแบบของมัน ก็ดูพวกวัยรุ่นสมัยนี้ วัยรุ่นสมัยนี้ในกรุงเทพฯเต็มไปทั้งหมดนั้นแหละ มันหนีพ่อแม่คือความคงที่อยู่ในความถูกต้อง กลับมาหาธรรมะคือความถูกต้อง อตัมมยตาความคงที่อยู่ในความถูกต้อง จนอะไรปรุงแต่งให้เป็นบวกเป็นลบไม่ได้ เป็นบุญเป็นบาปไม่ได้ เป็นกุศลเป็นอกุศลอะไรเป็นไม่ได้ทุกขั้ว นี่เรียกว่ามาหาอิสรภาพหรือเสรีภาพอย่างสูงสุดที่อะไรๆ จะมาปรุงแต่งไม่ได้ ไม่มีอะไรจะลากคอไปได้ ไปดูเอาเองไปคิดดูเอาเอง ผู้หญิงสาวมีอตัมมยตา ชายชู้หนุ่มฉลาดฝูงหนึ่งก็มาลากหัวไปไม่ได้ ชายหนุ่มมีอตัมมยตา นางงามจักรวาล นางฟ้าสักฝูงหนึ่งก็มาลากหัวมันไปไม่ได้ มันมีความคงที่อยู่ในความถูกต้อง ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้ไปได้ ไม่ให้เป็นไปทั้งในทางบวกหรือทางลบ นี่อานิสงส์ของการเลิกอายุ เลิกอัตตา เลิกตัวตน โดยอุปมาเป็นอย่างนี้ ถ้าพูดกันถึงอย่างนี้ ๑๓ อย่างแล้วนะ ท่านผู้ฟังไม่ชอบอาตมายอมแพ้ๆ ไม่ต้องพูดอีกต่อไป ไม่ต้องพูดอีกต่อไป แสดงอานิสงส์ถึง ๑๓ ประการแล้วยังไม่ชอบ ก็ยอมแพ้ๆ อานิสงส์ของการเลิกอายุเป็นอย่างนี้