แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอโอกาสแสดงธรรมในรูปแบบที่เรียกกันว่า ปาฐกถาธรรม คือ พูดกันตามปกติธรรมดา ไม่ต้องมีพิธีรีตองในการใช้เสียง ในการใช้ท่าทาง เป็นต้น ที่เรียกกันว่า ธรรมเทศนา นั้นมันก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าถ้าง่ายๆ ประหยัดก็อย่างที่เรียกว่า ปาฐกถาธรรม นี้ง่ายกว่า สะดวกกว่า เหนื่อยน้อยกว่าๆ เรื่องที่จะแสดงในวันนี้ก็คือเรื่อง ขอบคุณผู้ที่นำพระพุทธศาสนามาให้เรา
ตลอดเวลาที่พูดกันเมื่อตอนเย็นเรื่องพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า ธรรมจักรๆ มีประโยชน์อย่างไร ดับทุกข์ได้อย่างไร แก้ปัญหาได้อย่างไร มีความสูงสุดไปถึงไหนก็ได้พูดกันโดยสมบูรณ์แล้วเมื่อตอนเย็น ที่เราพิจารณาดูประโยชน์ที่จะได้รับในการที่มีธรรมะ หรือมีพระพุทธศาสนา แล้วก็ได้ปฏิบัติและขับไล่ให้ความทุกข์หรือปัญหาออกไปได้มากมาย แล้วเราก็มีการเป็นอยู่ชนิดที่เป็นที่น่าพอใจนี้เรียกว่า สูงสุดที่มนุษย์บังควรจะมี ถ้าหากว่าไม่มีพระพุทธศาสนา เราคงไม่ได้อยู่หรือไม่ได้เป็นกันอยู่ในลักษณะอย่างที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ ก็จะไม่มีการนับถือพุทธศาสนา และก็ไม่มีท่านทั้งหลายมานั่งฟังกันอยู่อย่างนี้ ก็จะไม่มีพระเจ้าพระสงฆ์ที่บวชขึ้นมาศึกษาเล่าเรียนอย่างที่นั่งกันอยู่เป็นแถวข้างหลัง มันจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีความเป็นอุบาสก อุบาสิกา ไม่มีความเป็นภิกษุ สามเณร และก็ไม่มีความรู้โดยเฉพาะที่ว่าจะดับทุกข์กันอย่างไร จะทำตัวเองให้เยือกเย็น แล้วทำผู้อื่นให้ได้รับประโยชน์ด้วยนี้จะทำกันอย่างไร มันก็ไม่มี ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า พุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี พูดง่ายๆ ก็ว่าสวนโมกข์ มันก็ไม่มี ถ้าไม่มีพุทธศาสนามาสู่พวกเรา ฉะนั้นอะไรๆ มันก็มีอย่างที่กำลังเห็นอยู่นี้ แล้วเราก็พอใจในการที่มีอย่างนี้ แล้วเราก็ได้รับประโยชน์เหลือประมาณในการที่มีอย่างนี้ ทีนี้ก็เหลืออยู่แต่ว่าเราจะมาพิจารณาดูว่า มันจะต้องรับรู้อะไรกันบ้าง มีหน้าที่ที่จะต้องตอบสนองอย่างไรกันบ้างในการที่เรามีพระพุทธศาสนาอย่างนี้ นี่หมายถึงทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งประเทศไม่เฉพาะที่สวนโมกข์นี่ เราได้รับประโยชน์ในทางจิตใจ ได้รู้ธรรมะลึกซึ้ง กำจัดความทุกข์ได้ เราได้รับประโยชน์ในทางโลก ในทางภายนอก ในทางวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี เราก็ได้มีธรรมะนี้เป็นหลักพื้นฐานของวัฒนธรรมประจำชาติไทย และชาติไทยก็ได้มีรูปแบบว่า ชาติไทยเป็นอย่างนี้ๆ อย่างที่ชาติไทยกำลังเป็นอยู่เวลานี้ ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเรื่องของพระธรรมหรือของพระศาสนา เราก็จะเห็นได้ทันที ยอมรับได้ทันทีว่า นี่ธรรมจักร ธรรมจักรได้แผ่มาแล้ว ได้สร้างธรรมาณาจักรขึ้นมาแล้วในแผ่นดินนี้ แผ่นดินนี้จึงมีลักษณะอย่างนี้ มีความสงบสุขอย่างนี้ มีความเป็นไทยสมชื่ออย่างนี้ ไทนี้แปลว่า อิสระ ถ้านับถือศาสนาอื่นแล้วอธิบายยาก คือ ไม่เป็นอิสระ จะต้องเป็นอะไร เป็นทาสของพระเป็นเจ้า ของอะไรต่างๆ นานา แต่เพราะได้รับพระพุทธศาสนาจึงได้เป็นไท คือ เป็นอิสระถึงที่สุด ความเป็นไทจึงมีได้ เพราะบารมีแห่งธรรมะในพระพุทธศาสนา เมื่อได้เป็นไทจากกิเลสอย่างเดียวแล้ว มันก็ได้เป็นไทหมด ไม่เป็นทาสของใครเลย ทั้งทางกาย ทางใจ ทางสติปัญญา เราก็ไม่ได้เป็นทาสของใคร เพราะว่ามีปัญญารู้ธรรมะสูงสุดของธรรมชาติซึ่งได้มาจากพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสร้างความเป็นไทยคิดดูให้ดี พระพุทธเจ้าสร้างความเป็นไทให้แก่มนุษยชาติทั้งหมดทั้งสิ้น และออกมาเสียจากความเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของตัณหา เป็นทาสของอวิชชา มาสู่ความเป็นไทโดยประการทั้งปวง มีพุทธศาสนาหรือพระธรรมในพระพุทธศาสนาให้ความเป็นไทแก่เราอย่างนี้ ขอให้คิดดูให้ดีๆ เราได้ความเป็นไท เป็นไทก็เป็นไทจากกิเลส จากกิเลสก็เป็นไทจากความทุกข์ เราก็ไม่มีความทุกข์นี่ก็เรียกว่า เป็นไทในความหมายหนึ่ง ใครอยากจะเรียกว่ามีความสุขก็ได้เหมือนกัน เป็นคำที่ธรรมดามาก พระพุทธเจ้าท่านไม่ค่อยใช้คำนี้ ว่ามีความสุข ท่านใช้คำว่า ที่สุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งทุกข์ หมดทุกข์ เพราะท่านจะไม่พูดให้มันเป็นของล่อใจอะไรขึ้นมาอีก เป็นสุขนี่มันก็ล่อใจทำให้หลงใหลยึดถือ เอากันแต่เพียงว่ามันหมดความทุกข์ก็แล้วกัน เพราะว่าหมดความทุกข์ ก็คือ หมดปัญหา ไม่มีอะไรต้องเดือดร้อน ต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ มันไม่มีนี่ก็เรียกว่า มันหมดปัญหา ก็คือ ที่สุดแห่งความทุกข์ พวกเราได้รับนับถือพระพุทธศาสนา แล้วก็ได้ถึงที่สุดแห่งความทุกข์ เพราะการศึกษา เพราะการปฏิบัติ เพราะการได้รับผลของการปฏิบัติเป็นลำดับๆ มา จนเราได้มาอยู่กันในลักษณะอย่างนี้ มีวัด มีวา โบสถ์ วิหาร มีพระเจ้าพระสงฆ์ มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา แล้วก็มีการศึกษา มีการปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา แล้วเราก็อยู่กันอย่างเป็นผาสุกนี่ ขอให้ใคร่ครวญดู ให้ไล่เลียงดูให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดๆทั่วทั้งประเทศไทย นี่ก็จะพอคิดได้หรือรู้สึกได้ว่า โอ้, พระธรรมหรือพระศาสนานี่สร้างประเทศไทยในรูปแบบนี้ๆ ถ้าไม่มีพระธรรมหรือพระศาสนาเข้ามา ประเทศไทยจะอยู่ในรูปแบบอื่น รูปแบบอื่นอย่างไรก็ไม่รู้ จะพอใจหรือไม่พอใจ จะรับไหวหรือไม่ไหวก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้มันเป็น เป็นที่แน่นอนว่า สู้ไหว รับไหว พอใจ และยินดีที่จะรักษาไว้ให้ เราจึงมาศึกษา มาปฏิบัติ มาพบปะกันในโอกาสอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เพื่อมี เพื่อให้มี มีธรรมะ มีพระศาสนาให้เต็มที่ตลอดไปนั่นเอง นี่เรียกว่าเราได้รับความพอใจ พอใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เพราะว่าธรรมจักรได้แผ่มาถึงนี่แล้ว กี่ร้อยปี กี่พันปีก็ไม่ต้องพูด แต่ว่าก็ได้แผ่มาถึงนี่แล้ว แล้วก็มีอาณาจักรแบบธรรมะขึ้นมา ที่เรียกว่า ประเทศไทย ที่ประเทศอื่นๆ ด้วยก็ได้ที่เขามีพุทธศาสนา แต่เราไม่ต้องไปรับรู้ของเขา เรารับรู้ที่ว่าเกี่ยวกับประเทศไทยเรา นี่เราจะต้องรับรู้ ไม่ใช่รับรู้แต่เพียงว่าได้รับประโยชน์ เราจะต้องรับรู้ไปถึงหน้าที่ที่เราจะต้องตอบแทน บางคนจะสะดุ้งแล้วกระมัง เรามีหน้าที่ที่จะต้องตอบแทนสนองคุณ ตอบแทนคุณด้วยความกตัญญู นี่ก็อยากจะพูดเรื่องนี้ ในวันนี้ก็อยากจะพูดเรื่องนี้ เราจะต้องคิดดูว่า พระธรรมหรือพระศาสนามาไม่ได้ มาเองไม่ได้ มันต้องมีคนนำมาให้ แล้วก็คิดดูต่อไปว่า ใครนำมาๆ ก็จะต้องศึกษาในแง่ของประวัติศาสตร์กันบ้าง ในลักษณะที่เป็นพุทธศาสนา เกิดในอินเดีย ชาวอินเดียนำมา จะบอกว่า พระโสณะ พระอุตระมา โดยการจัดส่งของพระเจ้าอโศกมหาราช มันก็ชาวอินเดียนำมา ที่นี้มันไม่ใช่เฉพาะพุทธศาสนา ชาวอินเดียได้นำมาให้มากกว่านั้นที่มิใช่พุทธศาสนาก็นำมาให้ เช่น ศาสนาพราหมณ์ ในรูปของศาสนาก็นำมาให้ทั้งศาสนาพุทธ มาให้ทั้งศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธมันก็มีประโยชน์อย่างศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์หรือไสยศาสตร์ก็มีประโยชน์อย่างไสยศาสตร์ นี่เรียกว่า ฝ่ายศาสนา ที่นี้เรียกว่า ฝ่ายวัฒนธรรม วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีนี่เรากันออกมาเรียกว่า วัฒนธรรม ถ้าว่ากันโดยที่จริงแล้วศาสนาก็ คือ วัฒนธรรมเหมือนกัน ศาสนาก็ดี การศึกษาก็ดี อะไรก็ดี มันเป็นวัฒนธรรมด้วยกันทั้งนั้น แต่เราแยกออกไปเป็นศาสนา เป็นพุทธศาสนา เป็นศาสนาฮินดู ออกให้เป็นศาสนา ที่นี้เหลืออยู่แต่เรื่องทางวัฒนธรรมแยกออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก็ถามว่าใครนำมาให้ วัฒนธรรมนี้ใครนำมาให้ ก็ชาวอินเดียอีก เพราะวัฒนธรรมชาวอินเดียมาเป็นพื้นฐานวัฒนธรรมของคนไทยเรา วัฒนธรรมไทยนี่ มันมีรากฐาน มันมีมารดามาจากวัฒนธรรมอินเดีย คิดดูๆ ไม่ต้องเชื่ออาตมาก็ได้ อย่าลืมคุณ อย่าจองหอง อย่าอวดดีจนลืมคุณ วัฒนธรรมไทยมันมีมา มีมูลรากมาจากวัฒนธรรมอินเดียทั้งนั้น ศาสนาพุทธของไทยนี่ก็มาจากอินเดีย ศาสนาพุทธมันเป็นศาสนาของอินเดีย ฮินดูก็เป็นศาสนาของอินเดีย อินเดียก็มีให้หลายศาสนา เราก็ได้มีทั้งศาสนาพุทธก็ได้ ศาสนาพราหมณ์ก็ได้ ได้โดยชาวอินเดียนำมาให้ แล้วก็ได้รับวัฒนธรรมทุกแขนงไม่ว่าแขนงไหน เดี๋ยวจะจาระไนกันดูว่ามันมีกี่แขนง วัฒนธรรมทุกแขนงก็ได้มาจากอินเดีย มีคนเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเห็นชื่อแล้วก็ตกใจ “India - Cultural Colony of Siam” สยามซึ่งเป็นColony เป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมอินเดียเขาเขียนตั้งชื่อว่าอย่างนั้น ทีแรกก็โกรธ พอไปอ่านเข้า โอ, มันจริง เลยโกรธไม่ลง เพราะว่าสยามนี่ เมืองไทยมันรับมาทั้งศาสนาและวัฒนธรรมและทุกอย่าง มาตั้งตัวเองขึ้นเป็นไทยในรูปนี้ โดยมีวัฒนธรรมอินเดีย ศาสนาอินเดียเป็นหัวใจพื้นฐาน ลองคิดดูเท่านี้แล้ว มันจริงหรือไม่จริง ใครว่าไม่จริงก็ลองหาหลักฐานมาดูสิ มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็น เอาของอินเดียมาทั้งศาสนาและทั้งของ ทั้งวัฒนธรรม เราจึงได้มีพุทธศาสนา เรายิ่งศึกษาพุทธศาสนา ปฏิบัติพระพุทธศาสนา และได้รับอานิสงส์จากพระพุทธศาสนา เราก็ต้องยิ่งขอบคุณผู้ที่นำมาให้ ผู้ที่นำมาให้ก็ไม่ใช่ผู้อื่น พวกไทยก็ไม่มีปัญญาไปเอามา ชาวอินเดียนำมาให้ ทางนิยายก็ดี ทางประวัติศาสตร์ก็ดี ชาวอินเดียเขามาจากอินเดียนู้น มาสู่ที่นี่ ที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ คือ แหลมมาลายูทั้งหมดนี่ ขึ้นไปถึงตอนต้นนู้นด้วย มาสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนพุทธกาลๆ มาเพื่อหาประโยชน์ มาทำการแลกเปลี่ยนทำการค้า แล้วก็ได้ทองคำไป จะพูดได้ว่า ในอินเดีย หาทองคำ ทำยาหยอดตาก็หายาก ก็ถ้าจะหาแล้วหาไม่ได้ ที่นี้เข้ามาขนเอาไปๆ จากประเทศไทย จนที่อินเดียมีทองคำมากกว่าประเทศไทย พระราชาอินเดียคงจะมีทองคำมากมาย เยอะกว่ามหาเศรษฐีในเมืองไทย มาขนเอาไปตั้งแต่หลายพันปีมาแล้ว มาสุวรรณภูมินี่ก็มาหาประโยชน์ มาหาโดยเฉพาะทองคำนี่ มันๆ จนทองคำหมดแผ่นดินไทยไปอยู่ที่อินเดียหมดไปอยู่ในคลังในหีบในห่อของอินเดียหมด มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ที่พูดอย่างนี้ก็เพียงแต่จะให้มองเห็นภาพว่า การไปมาระหว่างอินเดียกับประเทศไทย แหลมมาลายูทั้งหมดนี่ มันมีแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เมื่อคนอินเดียเหล่านี้มา เขามาหาประโยชน์ของเขาก็จริงแต่เขาก็มีอะไรมาให้ มาให้เป็นการแลกเปลี่ยนทั้งนั้น แล้วก็นอกจากวัตถุสิ่งของแล้วก็ให้ความรู้ ให้สติปัญญา คือ วัตถุ วัฒนธรรมต่างๆ เมื่อเขามาดีกว่าเรา เราก็รับเอาทั้งนั้น เมื่อคนที่พื้นบ้านที่นี่ยังเป็นป่าเถื่อนอยู่ก็รับเอาของใหม่ๆ แปลกๆ สูงๆ จากชาวอินเดีย ชาวอินเดียมาที่นี่ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล แล้วเขาก็มีเรื่องทำนองนั้นมาซึ่งมักจะเป็นไสยศาสตร์เป็นอะไรก็ตามมาให้ ให้ประเทศไทยที่นี่ จนกว่าพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้น ที่นี่ก็เอาพุทธศาสนามาให้ นี่ศาสนา ให้กันเต็มที่เลย ทั้งศาสนาอย่างพุทธและอย่างไสยศาสตร์
เอ้า, ทีนี้วัฒนธรรมต่างๆ ก็ได้นำมาให้จนกลายเป็นชีวิต เป็นเลือด เป็นเนื้อของชาวไทยไปเสียแล้ว เมื่อพูดกันถึงวัฒนธรรมและระบบประเพณีขนบธรรมเนียมที่เป็นชั้นวัฒนธรรม เขาก็นำมาให้ แล้วยิ่งมาสมรสแต่งงานกันกับคนพื้นบ้านพื้นเมืองที่นี่แล้วก็ยิ่งฝังในวัฒนธรรมลงไปมากมาย ทั้งชาวอินเดียมาสืบสายโลหิตกันกับคนที่อยู่ที่ประเทศไทยสุวรรณภูมินี้มานมนานแล้ว เขาก็ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะให้มีความเจริญตามแบบอินเดีย ทีนี้ขอโอกาสพูดตรงไปตรงมา ไม่ใช่ว่าจะหลงใหลอะไร แต่ให้เป็นที่รู้ เป็นที่เข้าใจกันว่า มันเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องแรกที่จะพูดก็เรื่องปัจจัย ๔ อย่างที่พระเรียกปัจจัย ๔ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้สอย ที่อยู่อาศัย และยาแก้โรค นี่เรียกว่า ปัจจัย ๔
ชาวอินเดียจะเรียกว่าเป็นครูก็ได้ ถ้าเราไม่ได้คบกับชาวอินเดีย ยังเป็นไทยอยู่ทางทิศเหนือภายใต้ประเทศจีน มันก็จะต้องมีวัฒนธรรมเหมือนประเทศจีน อาหารการกินก็ต้องเป็นแบบจีน เห็นชาวอินเดียเข้ามาจับยึด เข้ามาสอนให้อย่างอินเดีย การกินอาหารมันจึงกลายเป็นอย่างอินเดีย ถ้าเป็นอย่างจีน อาหารเผ็ดไม่มี เครื่องเทศไม่มีถ้าเป็นอย่างจีน แต่เดี๋ยวนี้คนไทยที่นี่ได้กินอาหารที่มีรสเผ็ดที่เรียกว่า แกง แล้วก็รู้จักใช้เครื่องเทศ มีน้ำพริกให้กิน ถ้าไม่ได้คบกับชาวอินเดียคนไทยก็ไม่มีน้ำพริกกิน อย่างดีก็เป็นอย่างที่กินคล้ายๆ น้ำจิ้มเท่านั้น ที่คนไทยมีน้ำพริกกินก็เพราะถ่ายทอดมาจากอินเดีย อินเดียมีน้ำพริกกิน เขาเอาพริกมาตำกับหัวหอมแล้วก็ใส่น้ำส้มไปทำเป็นน้ำพริก ชาวอินเดียมาสอนให้รู้จักกินน้ำพริก แล้วที่น่าหัวที่สุดก็คือชาวอินเดีย เขามาสอนให้คนไทยที่นี่รู้จักรับประทานอาหารด้วยมือ เอามือหยิบใส่ปาก กินๆ ด้วยมือ ไม่กินด้วยตะเกียบอย่างพวกจีน ถ้าไม่ได้คบค้ากับพวกอินเดียแล้วคงกินอาหารกับมือไม่เป็น พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายฉันข้าวด้วยมือทั้งนั้นในอินเดีย เดี๋ยวนี้ก็ยังมีในอินเดีย ถ้าทำอย่างเป็นพิธีรีตองก็กินข้าวด้วยมือกันทั้งนั้น รัฐมนตรีก็กินข้าวด้วยมือ นี่เล่าวิธีกินข้าวกับมือ มีอาหารเผ็ดร้อนเป็นเครื่องเทศ มีน้ำพริกกิน นี่ก็เพราะชาวอินเดียมาสอนให้ นี่ถ้าใครชอบน้ำพริกก็ควรจะขอบใจ
มีเครื่องนุ่งห่ม ถ้าไม่ได้คบกันกับชาวอินเดียก็นุ่งโจงกระเบนไม่มีหรอก โจงกระเบนไม่มีแน่ๆ เพราะนุ่งโจงกระเบนนี่มันของอินเดีย มาสู่ที่นี่ มาสู่เขมรแล้วถ่ายทอดมาที่นี่ อาตมาไปที่อินเดียในที่แห่งหนึ่งบ้านนอกไปสักหน่อย สะดุ้งพอเหลือบไปเห็นก็คิดว่าเป็นเมืองไทย คือ มันนุ่งผ้าโจงกระเบนเหมือนๆ ไทย ไม่ใช่เหมือนแขกฮินดูเหมือนไทย อย่างที่คนไทยผู้หญิงๆ นุ่งโจงกระเบนเหมือน ถ้าดูจากข้างหลังเสื้อก็เหมือน แล้วข้างบนก็ทูนด้วยกระจาดกระเชิง แล้วมันนาดแบบไทย มือนาดแกว่งแบบไทย สะดุ้ง คิดว่าเมืองไทย พอเข้าไปใกล้ที่ไหน เป็นแขก แขกอินเดีย ถ้าเราไม่ได้สมาคมกับชาวอินเดียแล้วการนุ่งผ้าโจงกระเบนนี้ไม่มี ขอให้คิดดูว่า เรื่องนุ่งห่ม นี่มันเกี่ยวข้องกับ ยังดีกว่าใช้เครื่องนุ่งห่มอย่างจีน นุ่งกางเกงกันไปแบบนั้น นุ่งผ้าเป็นผ้าผืนๆ นี่ ผ้าผืนเดียวยาวนี่ไม่มี แล้วที่นี้นุ่งผ้าลาย แต่ก่อนเรียกผ้าลาย ผู้หญิงผู้ชายก็นุ่งผ้าลาย แต่ก่อนผ้าลายนี่มาจากอินเดีย ไม่ใช่ของฝรั่ง ใครจะว่าของฝรั่ง ที่มณฑลสุรัฐของอินเดีย ภาคตะวันตก เข้าติดผ้าลายนานาสารพัดอย่าง สารพัดลาย สารพัดสี มาขายเมืองไทย นี่ก็เท่ากับสอนคนไทยรู้จักนุ่งผ้าลาย ผ้าโจงกระเบน เครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างนี้ รู้จักนุ่งผ้าโจงกระเบน
ที่อยู่ที่อาศัย แล้วก็มีโบสถ์ มีวิหาร ทำอย่างแบบโบสถ์ วิหารอย่างอินเดีย ไม่ได้ทำอย่างจีน ไม่ได้ทำอย่างฝรั่ง โบสถ์ วิหาร บ้านเรือน พอจะถอดรูปแบบทางสถาปัตย์ออกมาได้ว่า มันเลียนแบบอินเดียมากกว่าอย่างอื่น บ้านเรือนของเรา วัดวาอารามทั้งหลายก็ดู มันสร้างในรูปแบบที่ถ่ายทอดจากอินเดีย
หยูกยารักษาโรค คือ ตำราสมุนไพร สมุนไพรที่ทุกๆ วัดสอนทำ ก่อนที่ยาฝรั่งจะเข้ามา หยูกยาอยู่ตามวัดทั้งนั้น ทุกวัดมียาสมุนไพรคอยแจกให้ มียาสมุนไพรที่สอนจากอินเดียโดยตรง เอาสมุนไพรชื่อนั้นในดินในป่ามาทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตำรายาแบบไทย แบบสมุนไพรแบบไทย มันถอดมาจากตำราอินเดีย ถอดมาจากตำราอินเดีย ชื่อตำราก็เป็นอินเดีย ชื่อหยูก ชื่อยาหลายอย่างก็ยังเป็นของอินเดีย แล้วบางทีก็เอามาโดยตรง เอามาจากอินเดียโดยตรง ซึ่งแผ่นดินนี้มันไม่มี เช่นสารภี เช่นกรรณิการ์ เช่นพิกุล บุนนาค เหล่านี้มันไม่มี มันเอามาจากอินเดีย โดยเฉพาะกรรณิการ์ มะลินี่ก็มาจากอินเดีย หยูกยาได้รับมาจากอินเดียเป็นสมุนไพร แล้วที่ว่ากินหมากนี่มันของอินเดีย เราไม่ได้กินหมากแบบจีน กินหมากแบบอินเดียโดยตรง ไปดูที่อินเดียก็จะตกใจว่า ยังกินหมากอยู่ เมืองไทยก็จะเลิกๆ แล้ว แต่อินเดียยังกินหมากกันอยู่มาก คนไทยกินหมากเป็นเพราะชาวอินเดียมาสอนให้ แต่ชาวอินเดียไม่ได้เอาบุหรี่ ยาสูบ ยาฝิ่นมาให้ รู้ไว้ด้วย อย่าไปเข้าใจผิดเขา เอาหมากมาให้มากินกันปากแดงไปหมด จนเป็นของเรียกว่าคนไทยแล้วกันกินหมากปากแดง ที่จริงมันของอินเดีย เรื่องหยูกยาชนิดนี้ ตำรายาเป็นอย่างเดียวกันกับตำรายาโบราณของอินเดีย โรคภัยไข้เจ็บก็เหมือนๆ กัน ห่า ไข้ โรคฤดูร้อน โรคในเขตร้อนมันเหมือนๆ กันอินเดียกับไทยใช้ตำราเดียวกันได้ นี่เรียกว่า โดยปัจจัย ๔ ถ่ายทอดมาจากอินเดียมาเป็นอย่างไทย มีชีวิตอย่างไทย
เอ้า, ทีนี้ก็จะมาดูอย่างที่เรียกว่า วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีขั้นตอนต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตๆ ประเพณีเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เขาทำอย่างอินเดียมีลูกในครรภ์ก็มีประเพณีอย่างอินเดีย เกิดออกมาก็ทำวิธีการอย่างอินเดียที่มาสอนไว้ให้นานแล้ว เช่น โกนจุกอย่างอินเดีย บวชอย่างอินเดีย เรียนอย่างอินเดีย แต่งงานอย่างอินเดีย ตายแล้วก็เผาอย่างอินเดีย ไม่ฝัง ถ้าฝังก็เป็นแบบอื่น แบบจีนไป คนไทยตายแล้วเผา มันก็ การเซ่นสรวง การบนบานสานกล่าว การทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย นี่ของอินเดียทั้งนั้น การทำบุญอุทิศกุศลให้ผู้ตายชาวอินเดียทำเคร่งครัดมาก เขามาสอนให้เรา นี่เรียกว่า พิธีขนบธรรมเนียมประเพณีตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนคลอดออกมา จนสมรส จนแต่งงาน จนตายเข้าโลงก็ยังทำบุญส่วนกุศลอุทิศไปให้ นี่เป็นของชาวอินเดีย ไม่ใช่ของชาวไทย ของชาวไทยก็มีในรูปอื่น แต่ว่าที่กำลังทำกันอยู่เวลานี้ มันเป็นของอินเดีย เรารู้ว่า เขาถ่ายทอดวัฒนธรรมให้อย่างยิ่งถึงขนาดนี้
เอา, ถ้าเราพูดถึงการทำนา หัวหมูๆ ที่ใช้ไถนาที่ใช้เสียบหางแล้วไถนานั้น หัวหมูไทยเหมือนกับหัวหมูอินเดียร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนกับหัวหมูจีน ไม่เหมือนกับหัวหมูฝรั่ง แต่เหมือนกับหัวหมูที่อินเดียร้อยเปอร์เซ็นต์ ไปศึกษาดูการทำนาของไทย แล้วก็มีพิธีที่เกี่ยวกับทำนาทุกขั้นตอนเหมือนกับ เหมือนกับอินเดียเพราะชาวอินเดียมาสอนให้ มีพิธีเกี่ยวกับปลูกข้าว ทำขวัญแม่โพสพ อะไรต่างๆ เกี่ยวกับทำนาทำข้าวนั่นชาวอินเดียมาสอนให้ แล้วที่ว่าเกี่ยวข้าวอย่างไร อย่างนี้ก็เหมือนกันเลย ไปดูอินเดียเหมือนกันเลยคิดว่า คนไทยเกี่ยวข้าว มีพิธีรีตองเกี่ยวกับดิน เกี่ยวกับน้ำ เกี่ยวกับไฟ เกี่ยวกับลมตามแบบไสยศาสตร์ เกี่ยวกับการทำนา บูชานา บูชาน้ำ บูชาแผ่นดิน บูชาอย่างอินเดียหมด นี่เรียกว่า การทำนา
ทีนี้มาถึงเรื่องที่มันสูงขึ้นมาที่เรียกว่า “การศึกษา” การศึกษาอักษรศาสตร์ วรรณคดีอะไรก็ตาม การศึกษาของไทยมันถอดรูปแบบออกมาจากอินเดีย ศึกษาตามแบบอย่างอินเดียเป็นพันปีมาแล้ว ตัวหนังสือไทยมันถอดรูปออกมาจากอักษรอินเดีย ศึกษาอักษรธรรมมิก ศึกษาอักษรนาครี เทวานาครีจะเห็นได้ว่าตัวอักษรไทย มันถอดออกมาจากอักษรอินเดีย ตัวอักษรไทย ก ข ที่อยู่นี่มันถอดแบบมาจากอักษรอินเดีย นี่การศึกษามันมีรากพื้นฐานมาจากอินเดีย อักษรอินเดียที่นี้มาเรื่องเรียน มาเรียน เรียนเป็น ก ข ก กา ก กือ นี้มันก็แบบอินเดีย ให้นับกัน กะ กา กิ กี กึ กือ มันก็แบบอินเดีย ทีนี้มาสูงขึ้นมามีคำที่สูงๆ เป็นคำอินเดีย ในภาษาไทยปัจจุบันหนังสือธรรมดาจะมีคำอินเดียตั้ง ๓๐ ๔๐ เปอร์เซ็นต์และมากขึ้นๆ ต่อไปภาษาไทยมันจะเป็นภาษาอินเดียเกือบทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้ก็ไปดู ๓๐ ๔๐เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว หยิบหนังสือมาสักหน้าหนึ่งมาอ่าน ที่นั่งกันทั้งหมดนี่มีชื่อเป็นอินเดียกว่าครึ่ง เรียกว่า มันถอดเอาอินเดียมาในทางอักษรศาสตร์
มีฉันทลักษณ์ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน นี่ถอดมาจากอินเดียทั้งนั้น รูปแบบต่างๆ ของคำฉันท์ ตั้งร้อยกว่าฉันท์ก็ถอดมาจากอินเดีย โคลง กลอนก็ถอดมาจากนั้นอีกทีหนึ่ง แต่น่าหัวๆ เราทำได้ดีกว่าครู ทำได้ดีกว่าครู เพราะนี่อย่าเห็นเป็นกิเลส อย่าหาว่าพูดเล่นๆ คนไทยนี่ทำอะไรดีกว่าครูทั้งนั้น เอาถ้าแบบนุ่งผ้ามาก็ว่าทำแบบได้ดีกว่า แบบปรุงอาหารรับมาจากที่อื่นก็ทำได้ดีกว่า ทีนี้อาหารไทยนี่เลิศที่สุด ต้องปรุงแบบดีกว่าครู โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนที่อยู่ในภาษาไทยก็ไพเราะเพราะพริ้งกว่าที่เป็นอย่างอินเดีย โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนที่อินเดียไม่มีสัมผัสหรอก เทอะทะๆ ไปอย่างนั้น เอาแต่ตัวที่สำนวน พอฟังออกว่าเป็นกลอน แต่ถ้าโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนภาษาไทยก็เพราะพริ้งที่สุด นี่ก็เรียกว่าแล้วแต่อะไรที่เราได้รับมาจากเขานี่เราทำดีกว่าครูเสมอ ไม่ใช่อวดดี มันเป็นความจริง ขอให้สังเกต อะไรๆ ก็เราทำได้ดีกว่าครู หนังสือ ฉันทลักษณ์ วรรณคดี อักษรศาสตร์ เราทำได้ดีกว่าครู
ศิลปะ วิจิตรศิลป์ ประณีตศิลป์ นาฏศิลป์อะไรก็ทำได้ดีกว่าครู เราเล่นโขน เล่นละครได้ดีกว่าอินเดียที่เป็นครู ทำได้ดีกว่าครู แม้แต่หนังตะลุงนี่ คุณอย่าไปคิดว่าของไทย มันก็รับมาจากอินเดีย เขาเรียกว่า ละครที่เล่นด้วยเงา ฉายานาฏกะ ฉายานาฏกที่อินเดียเรียกอย่างนั้น คือ ละครที่เล่นด้วยเงา นั่นคือ หนังตะลุง และมโนราห์นี่มันถ่ายทอดมาจากอินเดีย แล้วมาเป็นทำมาเป็นละครที่สวยกว่า งามกว่า ดีกว่าครูอีกแล้ว มีคำว่าดีกว่าครูนี่เป็นของไทย เป็นของไทย แต่เราก็รับเอาของเขามา มาทำได้ดีกว่าครู ท่ารำต่างๆ เห็นได้ชัดมาจากอินเดีย ไม่ได้มาจากจีน ไม่ได้มาจากฝรั่ง ท่าเรามันสวยสด ชดช้อยอย่างรำไทย มันถอดมาจากอินเดีย
ประติมากรรม ก็ได้รับแบบมาจากอินเดีย เช่น ทำรูปพระโพธิสัตว์ รูปพระพุทธรูปอะไรที่เราทำ ๆกันอยู่เป็นประติมากรรมก็ถอดมาจากอินเดีย แล้วอะไร จะเรียกอะไรดี สุคันธกรรม ของหอม ของหอมต่างๆ เรารับมาจากอินเดียแต่เราทำดีกว่า แล้วหอมกว่า แล้วดีกว่า ดีกว่าแบบอินเดีย นี่มันเป็น ดีกว่าครู มันเป็นทาสของเขาในทางวัฒนธรรม แต่รับมาแล้วทำดีกว่าครู นี่ขอให้รู้ไว้
วิทยาการแบบโบราณเป็นอันมาก มีตำรามีอะไรเอามาจากอินเดียมาจากตำรา จะจับช้างในป่ามาทำให้เป็นช้างบ้าน มีตำราอย่างอินเดียแปลออกมา รู้จักจับช้างป่ามาทำให้เป็นช้างบ้าน นี่เรียนมาจากอินเดีย อินเดียนี่เป็นต้นตอ เป็นครู ตำราเรื่องช้าง เรื่องม้า เรื่องแมว เรื่องนก เรื่องหนู มีของอินเดีย มีพร้อมแล้วมาสอนให้คนไทยเรา การเสกเป่า การเสก การเป่า พิธีการที่เป็นการเสก เป่า มันก็รับมาจากอินเดีย วิชาการต่อสู้ป้องกันตัว เรื่องมวย เรื่องฟันดาบ เรื่องกระบองกระบี่ ก็รับมาจากอินเดีย พอหรือยังที่ว่าเป็นขี้ข้าทางวัฒนธรรมของอินเดียพอหรือยัง แล้วจะไปโกรธเขาได้หรือ เมื่อคนๆ หนึ่ง เขาจะเขียนมาอย่างนั้น “India - Cultural Colony of Siam” ไทยเป็นขี้ข้าทางวัฒนธรรมของอินเดีย เราไม่โกรธ เขายิ่งพูด เรายิ่งขอบใจ เออจริงๆๆ แกเอามาให้ฉัน ที่พูดนี่ก็เพื่อให้เรารู้จักพระคุณกันเสียบ้าง จะได้คิดตอบแทนพระคุณกันเสียบ้าง
ถ้าดูให้ละเอียดในทางจริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่อ่อนช้อย ละมุนละไมนี่ก็ถ่ายมาจากอินเดียมากเหมือนกัน ไม่ได้ถ่ายมาจากจีน ไม่ได้ถ่ายมาจากฝรั่ง เรามีการกราบการไหว้ที่อ่อนน้อม มีจิตใจเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็ขอโอกาสพูดให้นักการเมืองเขาด่ากันว่า เรามีประชาธิปไตยแบบที่เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ประชาธิปไตยแต่เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ในที่ประชุมนั้น มันเป็นวินัย มันเป็นระเบียบของพระสงฆ์ ระบอบปกครองสงฆ์เป็นประชาธิปไตยที่สุด ค้านเสียงเดียวก็ไม่ได้ ล้มแล้ว ต้องทุกเสียง มันเป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้ซึ่งมันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่ายังเคารพเชื่อฟังผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอยู่ในที่ประชุมนั้น อาตมาได้เรียกว่า ประชาธิปไตยที่มีความเคารพผู้เฒ่าผู้แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ในที่ประชุมนั้น เป็นประชาธิปไตยแท้จริงไม่เหมือนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันมีประชาธิปไตย แล้วมีฝ่ายค้าน แล้วด่ากันให้สนุก ล้มกันให้สนุกเลยประชาธิปไตยอะไร ประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างของอินเดียเคารพผู้เฒ่าผู้ใหญ่ เช่น ในวัดอย่างนี้มีลักษณะประชาธิปไตย แต่เคารพอุปัชฌาย์อาจารย์ เคารพผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในตัวประชาธิปไตย วัฒนธรรมนี้สูงสุด ถ้ากลับมาได้ก็ดี นี่เรียกว่าเป็นเรื่องเกิดมาจากอินเดีย จะเรียกว่าศาสนาฮินดูเป็นแม่ ศาสนาพุทธเป็นพ่อก็ได้ ออกมาจากอินเดียทั้งนั้น แล้วที่เรียกว่า ไสยศาสตร์ๆ นั่นก็ไม่ใช่เล่นอะไร ก็ไสยศาสตร์กันไปเกือบจะหมดแล้ว ของสำหรับคนปัญญาอ่อน ของสำหรับเด็กๆ ของสำหรับเด็กๆ จะรู้สูงได้ก็ถือไสยศาสตร์ไปก่อน ฉะนั้นเด็กๆ จึงได้รับคำสั่งสอนให้เชื่อถืออย่างไสยศาสตร์ นับถือผีสางเทวดา ภูตผีปีศาจกันไปก่อน แล้วจึงค่อยมาถืออย่างสูงขึ้นมาเป็นพุทธะล้วนๆ ไสยศาสตร์จึงฝังอยู่ในจิตใจมาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่เล็ก มันเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ มันทำให้หายกลัวได้ ถ้าไม่มีความรู้อย่างพุทธศาสน์ แล้วไสยศาสตร์ก็ไม่มี คนนั้นก็ว่าตัวเองจะเป็นบ้าก็ได้ ไม่มีอะไรจะช่วยระงับความกลัว มีแต่ไสยศาสตร์แม้จะเป็นเรื่องงมงายก็เป็นที่พึ่งแก่คนปัญญาอ่อน หรือเป็นที่พึ่งแก่เด็กๆ ที่ในบ้านในเมืองไหนก็ตาม ประเทศไหนก็ตาม คนปัญญาอ่อนก็มีแยะ ไสยศาสตร์ต้องเก็บไว้เลิกไม่ได้ ไว้ให้คนปัญญาอ่อน เขาจะได้อุ่นอกอุ่นใจแล้วก็ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า ไสยศาสตร์มันช่วยคุ้มคนปัญญาอ่อน พุทธศาสน์ ก็ช่วยคนปัญญาแก่กล้าไป ทั้งยังจะต้องเก็บไสยศาสตร์ไว้ให้คนปัญญาอ่อน จึงเลิกไม่ได้ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้แม้ในกรุงเทพฯ ก็ต้องเก็บไสยศาสตร์ไว้เยอะแยะสำหรับคนปัญญาอ่อนจะได้ใช้เป็นที่พึ่ง ทีนี้เมื่อประชาชนมันมีทั้งคนปัญญาอ่อนและคนปัญญาแก่ ก็เลยต้องจัดให้มีการถือพร้อมกันทั้งสองศาสนา ทั้งสองศาสตร์ พุทธศาสน์และไสยศาสตร์ ในซากพยานหลักฐานแสดงชัดยังเห็นเหลืออยู่โดยเฉพาะที่เมืองไชยานี่ วัดที่เก่าถึงสมัยพันปีนู้นแล้วก็จะมีโบสถ์พราหมณ์อยู่หน้าวัดคู่กับโบสถ์พุทธที่อยู่ในวัด เด็กๆ เดินมาจากบ้านก็ผ่านโบสถ์พราหมณ์ก่อนก็ไหว้โบสถ์พราหมณ์ก่อน ทำอะไรพิธีรีตองอย่างโบสถ์พราหมณ์ก่อน แล้วจึงเข้ามาในวัดก็ทำอย่างพุทธสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับพ่อแม่ หรือว่าคนปัญญาอ่อนก็ทำไรอะไรกันให้พอใจที่โบสถ์พราหมณ์ แล้วก็เข้ามาในโบสถ์พุทธก็ไม่ต้องแล้ว ไว้ให้คนปัญญาแก่ แก่กล้าเป็นพุทธ ที่วัดพระธาตุนั้นก็มีแต่เขายึดเอาไปเป็นที่บ้านที่เรือนเสีย ที่วัดชยารามก็มีคนยึดเอาไปเป็นที่ๆ โบสถ์พราหมณ์เป็นบ้านไปแล้ว ที่วัดท่าโพธิ์นู้นก็มี ถ้าวัดเก่าถึงพันปีจะมีโบสถ์พราหมณ์อยู่หน้าวัดเสมอ นี่แสดงว่า จะเป็นรัฐบาลหรือจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินอะไรก็ตามจัดให้ประชาชนถือศาสนาทีเดียวได้มีสองศาสนาตามที่ปัญญาแก่ ตามที่ปัญญาอ่อน นี่นับว่าฉลาด อาตมาไม่ตำหนิ อาตมาไม่ตำหนิเรื่องไสยศาสตร์ เพราะมันจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน รัฐบาลสมัยนั้น พระราชา มหากษัตริย์สมัยนั้นก็ต้องรู้เรื่องนี้ ก็จึงจัดไว้ให้เกิดขึ้น ขนบธรรมเนียมประเพณี วัดมีทั้งโบสถ์พราหมณ์และโบสถ์พุทธ วัดเดียวกัน แต่ต่อมาโบสถ์พราหมณ์ก็ถูกกำจัดออกไปๆ หมดไปๆ แต่ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ยังเหลืออยู่ มีพระนารายณ์หลายๆ องค์มีเหลืออยู่ที่ค้นเอามาจากโบสถ์พราหมณ์มาเก็บไว้ในโบสถ์พุทธ ที่เจดีย์วัดแก้วนั้นก็มีพบศิวะลึงค์สองรุ่น มีพบรูปของหัวช้าง พระพิฆเนตรก็มี แล้วก็ในวัดพุทธมันมีรูปประติมาของพราหมณ์รวมอยู่ด้วย เพราะให้ประชาชนได้ถือ ได้เลือกถือเอาตามพอใจ ปัญญาอ่อนก็เอาตามปัญญาอ่อน ปัญญาแก่ก็เอาตามปัญญาแก่ นี่แหละ คือ ศาสนาและวัฒนธรรมที่เราได้รับจากอินเดียๆ อินเดียเอามาให้ทั้งนั้น ชาวอินเดียเอามาให้ แล้วเขาก็ต้องพาเด็กมาหาล่าค้นหาทองอะไรที่นี่ แล้วก็บางทีเขาก็มาแต่งงานสมรสกับคนที่นี่ ทิ้งพืชพันธุ์อย่างอินเดียไว้ก็เหลืออยู่มากเหมือนกัน คือ พวกพราหมณ์ๆ ที่เรียกกันว่าพราหมณ์ๆ มันก็มีโอกาสจะถ่ายเทวัฒนธรรมและศาสนาให้แก่ประชาชนที่นี่ อยู่ในเลือดอยู่ในเนื้อติดมาจนบัดนี้ ซึ่งเป็นเวลาล่วงมาสองพันปี สามพันปี มันก็มีอยู่มาก นี่เอาออกได้เมื่อไหร่ เลือด สายเลือดที่มันเป็นอินเดียที่เขาฝังมาให้โดยชาวอินเดียครั้งโน้นเอาออกได้เมื่อไร มันก็สืบต่อกันมาจนบัดนี้ มันก็ต้องรับรู้ว่าเราสร้างชีวิต สายเลือด สายเนื้อกันมาจากสองศาสนา ทั้งศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ มีทั้งไสยศาสตร์และทั้งพุทธศาสน์
เอาละ, สรุปความสักทีก็จะได้แล้วกระมังว่า โดยศาสนาก็ดีเรารับจากอินเดียโดยเขาเอามาให้ โดยไสยศาสตร์ก็ดีเรารับจากอินเดียโดยเขาเอามาให้ โดยขนบธรรมเนียมประเพณีรีตองต่างๆ หยุมหยิมไปหมดไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยอย่าง จะถืออย่างอินเดีย อินเดียก็เอามาให้ นี่สรุปความแล้วเราก็มีการเป็นหนี้บุญคุณแก่อินเดียมากมายอย่างนี้ อาตมาพูดอย่างนี้จะเรียกว่าทวงบุญคุณแทนชาวอินเดียก็เอาก็ได้เหมือนกัน จะด่าๆ ก็ได้เหมือนกัน ขอแต่ว่าอย่าลืมๆ บุญคุณข้อนี้ จึงมีความคิดว่าเราจะต้องนึกกันแล้วว่า ควรจะสนองคุณ ควรจะตอบแทนคุณ ถ้าทำได้ฉันก็ว่า ขนพระพุทธศาสนากลับไปให้ชาวอินเดียจะวิเศษที่สุด นี่ถ้าขนศาสนาพุทธจากเมืองไทยไปให้ชาวอินเดียจะวิเศษที่สุด แต่อาตมาคิดว่าทำไม่ได้ ความสามารถอย่างนี้หน้าตาอย่างนี้ทำไม่ได้ นี่ชาวอินเดียเขาก็มั่นคงในศาสนาฮินดูเสียด้วยพอดี แต่อย่างไรก็ดี เราจะต้องตอบแทนคุณให้เขารู้ว่าเรารู้บุญคุณและตอบแทนคุณ จะต้องสร้างอะไรออกมาให้เป็นเครื่องยืนยันว่า เรารู้บุญคุณและเราจะตอบแทนบุญคุณ ยกตัวอย่างง่ายๆ พวกข้าราชการสถานทูตอินเดีย คือ ชาวอินเดียแท้ๆ เขามาที่นี่แล้วเขาเห็นรูปภาพสลักหินสลักพุทธประวัติอย่างอินเดีย รูปปั้นหินสลักที่รอบโรงหนัง เขาตะลึงงงงันไปหมด อันนี้คุณทำอย่างไรคุณถึงทำได้อย่างนี้ อาตมาก็ถ่ายรูปมาตั้ง เขาไม่เชื่อๆ มันต้องทำด้วยใจรักจริงๆ มันจึงจะทำได้อย่างนี้ แล้วเขาสรุปความว่า นี่เป็นการให้เกียรติแก่อินเดียเหลือเกิน การที่ปั้นรูปพุทธประวัติ ซึ่งเกลื่อนกลาดอยู่แถวนี้ ชาวอินเดียบอกว่า นี่เป็นการให้เกียรติแก่ ให้เกียรติ เกียรติยศแก่ชาวอินเดียเหลือเกิน คำพูดนี้มันยังก้องอยู่ในหูอาตมา เอาละ, เราจะต้องสนองคุณให้เขาพอใจมากกว่านี้ จะทำอะไรขึ้นมาที่เพื่อให้เขามาเห็นแล้วเขาจะรู้สึกเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เรารู้บุญคุณของเขา แล้วเรามีกตเวทีกระทำตอบแทนให้เป็นเกียรติ ให้เป็นผลดีแก่เขา นี่จะคิดดีอย่างนี้ ก็เลยคิด เมื่อทำนี่ เมื่อเริ่มทำแผ่นภาพพุทธประวัติ ปีเดียวกันเมื่อสร้างโรงหนังนี่ คิดว่าเราจะต้องสร้างอินเดียจำลองๆ เลยกันเนื้อที่ไว้ตรงโน้นให้ประมาณ ๖ ไร่ หรือ ๘ ไร่ จะสร้างอินเดียจำลอง แล้วมันก็ทำไม่ได้มาจนบัดนี้ สามสี่สิบปีมานี่อินเดียจำลองยังทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้อะไรต่างๆ ก็ได้ทำไปมากแล้ว มันพอเรียกว่า มันจะสิ้นสุดอย่างอื่นแล้ว จะฟื้นอินเดียจำลองขึ้นมาทำให้แสดงว่า เรารู้จักบุญคุณเขาอย่างเต็มที่ คือ กตัญญู และเราจะตอบแทนเขาเพื่อทำให้เกิดเป็นเกียรติ เป็นผลดี เป็นเครดิตอะไรแก่ชาวอินเดียอย่างยิ่ง เป็นกตเวที อาตมาพูดวันนี้เลยขอบเขต ขอบคุณชาวอินเดีย เข้ามากลายเป็นส่วนสร้างอินเดียจำลอง ขอประกาศอย่างก้อง ประกาศก้องที่ตรงนี้ ไม่ใช่เรี่ยไร ไม่ใช่บอกเพื่อเรี่ยไร สวนโมกข์ไม่เคยเรี่ยไรใครแม้แต่สตางค์เดียวตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ที่บอกให้รู้ว่าจะสร้างอินเดียจำลองนี้ไม่ใช่เพื่อเรี่ยไร ไม่ใช่เพื่อการเรี่ยไร แต่แสดงน้ำใจ น้ำใจที่กตัญญู จะต้องทำให้ได้ใครจะช่วยก็ไม่ว่าแต่ไม่มีการเรี่ยไร และไม่เรี่ยไรอะไร ที่จะสร้างอินเดียจำลองที่นี่ก็จะเอาพุทธศาสนาเป็นหลัก จะสร้างที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่แสดงธรรมจักร ที่นิพพานให้อยู่ในตำแหน่งถูกต้องตามสัดส่วนของอินเดีย แล้วบางทีจะเติมศาสนาฮินดูไปไว้บ้างก็ได้ ให้เรียกว่า เป็นอินเดียน้อยๆ อินเดียน้อย เป็นอินเดียจำลองชนิดที่พอใครมาเห็นก็รู้ได้ว่า นี่อินเดียๆ ไม่ต้องบอก นี่เป็นเครื่องขอบคุณ สนองคุณ กตัญญูแก่ชาวอินเดีย เรียกว่า อินเดียจำลอง มีผลเนื่องมาแต่เรารู้บุญคุณของอินเดีย มีผลเนื่องมาแต่ว่า ชาวอินเดียได้เอาศาสนาและวัฒนธรรมมาให้เรา อยู่ในเลือดในเนื้อของเราตั้งพันปี สองพันปี หรือสามพันปีมาแล้วก็ได้ก่อนพุทธกาล นี่คือ เป็นเรื่องของธรรมาณาจักร เป็นเรื่องของธรรมจักร ธรรมจักรของพระพุทธเจ้าแผ่มาถึงนี่โดยชาวอินเดียนำมา เราได้รับ เรามีพุทธศาสนา เรามีความเจริญทางพุทธศาสนา ดู มีอุบาสก อุบาสิกานั่งอยู่เต็มไปหมด มีพระหัวโล้นๆ นั่งเต็มไปหมดเห็นไหม นี่มันอิทธิพลของวัฒนธรรมของศาสนาที่ชาวอินเดียเขาเอามาให้เรา
เอาละ, เรื่องนี้เป็นเรื่องพิเศษ เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอาสาฬหะโดยตรง แต่มันโดยอ้อม คือ มันทำมาจากอินเดียแผ่มาถึงนี่ ยึดครองที่นี่ ใส่ลงไปในแผ่นดินนี้ ในเลือดในเนื้อของประชาชนที่นี่ จึงได้รับประโยชน์เป็นมนุษย์ที่มีศาสนา มีศีลธรรม มีอะไรเป็นที่น่าพอใจ สมกับที่ว่าที่เรียกว่า ชาติไทยๆ สมกับที่เรียกว่า ชาติ จึงขอบอกให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามใจ หรือจะโกรธก็ตามใจ ก็ความจริงมันเป็นอย่างนี้ เรามีความหนี้สิน เป็นหนี้สิน เป็นสินทางวัฒนธรรมของชาวอินเดียอย่างนี้ แล้วเราควรจะเป็นสัตว์กตัญญูๆ ไม่ใช่อกตัญญู เป็นสัตว์กตัญญูตอบแทนพระคุณเขา จะต้องทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่อินเดีย เป็นเกียรติแก่อินเดีย เป็นที่ชื่นใจของชาวอินเดีย จึงคิดว่าสร้างอินเดียจำลองเล็กๆๆ ไม่ใช่มากมาย จนมันจะเกินความสามารถ สร้างเล็กๆ แต่ว่าก็ไม่ ไม่ถึงกับว่าเล็กๆ จนไม่รู้ว่าอะไร เล็กจนถึงกับว่า ชาวอินเดียมา มาที่นี่เห็นแล้ว โอย,จะภูมิใจว่าให้เกียรติแก่เราๆ เขาจะพอใจในการที่เราให้เกียรติแก่เขา รู้บุญคุณที่เขานำเอามาให้แก่เราจนถึงบ้านทั้งทางศาสนาและทั้งทางวัฒนธรรม ข้อนี้สำคัญมาก เขาเอามาให้ถึงบ้าน เขาเอามาเอง เขามาให้จนถึงบ้าน เราได้รับอยู่ที่บ้าน นอนรับอยู่ที่บ้าน บุญคุณมันถึงขนาดนี้ จึงขอให้รู้จัก รู้ไว้ และยอมรับรู้และเป็นกตัญญูเป็นกตเวที
นี่ก็อาสาฬหะ ถ้าเข้าใจคำว่า ธรรมจักร ธรรมจักรแล้วก็เกี่ยว เพราะว่าธรรมจักรได้ลงมาถึงที่นี่ แล้วเราจะต้องตอบแทนคุณผู้นำเอามาให้ ในแง่ของศาสนาพุทธ มันก็ว่า พระโสณะ พระอุตระมา ก็เป็นชาวอินเดียมา พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมา ถ้าเป็นเรื่องของวัฒนธรรม เรื่องของไสยศาสตร์ นอกจากพุทธก็ชาวอินเดียโดยตรงมา เขามาค้าขายที่นี่ มาทำความร่ำรวยที่นี่ แล้วเอามาให้ แล้วกลับไปอินเดีย แล้วเขายังมาแถม แถมมาสมรสแต่งงานกับชนที่นี่ มีอยู่หลายครอบครัว หลายสกุลเหมือนกันที่ต้นสกุลของเราสืบไปถึงชาวอินเดียเป็นพราหมณ์มาจากอินเดียก็มีอยู่ ญาติของอาตมาก็มีหลายคนที่เป็นอย่างนี้ เรียกว่าชาวอินเดียนำมาให้จนถึงที่อยู่ จนถึงที่อยู่ นำมาให้ถึงในครัวว่าอย่างนั้น ก็ควรจะรู้จัก ควรจะขอบคุณ อะไรบ้างที่เราไม่ได้เกี่ยวกับอินเดีย อย่างเช่นว่า พิธีรีตอง ตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ ตั้งแต่เด็กคลอดออกมา โกนจุกเด็ก ให้มันเล่าให้มันเรียน มันเล่าเรียนที่เป็นอักษรศาสตร์อินเดียทั้งนั้น แล้วมันสมรสแต่งงาน ให้มันมีอะไรจนว่ามันแก่มันตายเข้าโลงแล้วก็ยังเผา ยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีอุทิศส่วนกุศลไปให้ตามแบบอินเดียล้วนๆ จาก ก ถึง ฮ จากตัว ก ถึงตัว ฮ มันเป็นอินเดีย นี่โดยอินเดียนี่เขานำมาให้ ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นว่านอกเรื่อง ไม่เห็นมันเป็นเรื่องนอกเรื่องก็ช่วยเอาไปคิด ไปใคร่ครวญดูว่า มันจะต้องคิดกันอย่างไร ต้องคิดตอบแทนกันอย่างไร อย่าให้เราเป็นสัตว์อกตัญญู มันหยาบคาย อย่าให้เราหลับหูหลับตาไม่รู้บุญคุณของผู้อื่นเสียเลย มันก็ไม่ไหว จึงขอบอกกล่าวความคิดนี้ว่า เราถึงเวลาแล้วที่จะต้องขอบคุณ แสดงการขอบคุณและตอบแทนคุณชาวอินเดีย ทั้งที่เราจะเป็นพระก็ตาม เป็นฆราวาสก็ตาม ล้วนแต่เป็นหนี้บุญคุณชาวอินเดีย บางคนอาจจะไม่ชอบ บางคนอาจจะปัดปฏิเสธว่าฉันไม่รู้ไม่ชี้ ชาตินิยมของฉันเป็นไทย ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับชาวอินเดีย มันก็ถืออย่างนี้ก็ตามใจ แต่ว่าในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท อาตมาคิดว่าต้องรับรู้ และต้องทำอะไรตอบแทน การตอบแทนนี่จะไม่ใช่แต่เพียงการตอบแทนอินเดีย มันจะตอบแทนพระพุทธเจ้า ตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธเจ้าเป็นอินเดีย ศาสนาของพระองค์เกิดในอินเดีย เป็นศาสนาของอินเดีย พุทธศาสนาเป็นศาสนาของอินเดีย ขอให้ยอมรับในข้อนี้ จะเป็นการตอบแทนคุณของพระพุทธเจ้าด้วย
เอาละ, ฝากไว้ให้คิดกันไปก่อน ขอโทษ อย่าคิดว่าเรี่ยไร ไม่มีการเรี่ยไร ไม่ใช่พูดเพื่อเรี่ยไร ที่พูดเพื่อให้รู้ในจิตใจ รู้สึกในจิตใจ ว่าจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันนึก ช่วยกันรู้สึก หรือช่วยกันทำ อาตมาอีกไม่กี่ปีก็จะตายแล้ว หลายๆ อย่างได้ทำเสร็จแล้ว แต่การตอบแทนคุณชาวอินเดียยังไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ นี่ต่อไปนี้ก็คิดว่า จะค่อยๆ ทำ ที่จะสร้างอินเดียจำลองเล็กๆ ขึ้นมา ประกาศก้องอยู่ตลอดเวลากี่ร้อยปีพันปีว่า เรารู้บุญคุณชาวอินเดีย เราให้เกียรติแก่ชาวอินเดีย เราสนองคุณ รวมทั้งแก่ศาสนา แก่วัฒนธรรม แก่พระพุทธเจ้าเองด้วย นี่เนื่องมาจากธรรมจักร เพราะธรรมจักรมาถึงนี่ ธรรมจักรโดยชาวอินเดียนำมาให้นี่ มาครอบงำผืนแผ่นดินนี้ทั้งหมด ครอบงำประชาชนทั้งหมด จึงได้มีลักษณะอย่างนี้ แผ่นดินทอง แหลมมลายูขึ้นไปจนนี่สุดเหนือจนเลยเชียงใหม่เลยสุดขึ้นไปนู้น เป็นร่องรอยที่ว่า วัฒนธรรมอินเดีย ศาสนาอินเดียได้เข้ามาครอบงำ ครอบคลุม โบราณวัตถุ โบราณสถานส่อเขาเป็นอินเดียทั้งนั้นที่มีอยู่ตลอดแผ่นดินเหล่านี้ เรื่องนี้จะถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมะก็ได้ แต่ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องกตัญญู เป็นเรื่องของความกตัญญูก็เป็นเรื่องธรรมะได้เหมือนกัน รู้สึกบุญคุณ สนองบุญคุณแก่ผู้ที่มีบุญคุณ คือ ประเทศอินเดีย และคือพระพุทธเจ้า และคือศาสนาทุกศาสนาที่มีอยู่ในอินเดีย ในระดับวัฒนธรรมก็ได้ ไสยศาสตร์ก็ได้ มาสอนให้ นี่จนเรียกว่า เราเป็น มีเลือดมีเนื้อเป็นอินเดีย มีศาสนาฮินดูเป็นแม่ มีศาสนาพุทธเป็นพ่ออยู่โดยไม่รู้สึกตัว
เอาละ, เป็นอันว่าการบรรยายของอาตมาในครั้งแรกนี้เป็นการทวงบุญคุณให้แก่ธรรมจักร ธรรมจักรแผ่มาถึงนี่ ให้ประโยชน์จนถึงนี่ ทวงบุญคุณให้แก่ธรรมจักร ให้รู้จักสนองพระคุณของธรรมจักร ซึ่งมันจะเป็นการสนองพระคุณของชาวอินเดีย ของศาสนาอินเดีย ของวัฒนธรรมอินเดีย ถ้าใครเห็นว่าสมควร หรือว่าพอจะทำได้ช่วยบอกเพื่อนๆ กันให้รู้ บอกเพื่อนๆ ของเราที่ยังไม่รู้ให้รู้ๆๆ ต่อๆ กันไปทั่วประเทศไทยว่า เราจะตอบแทนพระคุณทางวัฒนธรรม ทางศาสนาแก่ชนชาติอินเดีย ในฐานะที่ว่าแทนคุณธรรมจักรก็ได้ แทนคุณพระธรรมจักรที่ได้มาช่วยสร้างธรรมาณาจักรขึ้นบนแผ่นดินนี้ ก็ได้เวลาพอสมควรแก่เวลาชั่วโมงแล้ว พูดเรื่องพระคุณ พระคุณของธรรมจักร วันนี้เป็นวันธรรมจักร ขอให้ขอบพระคุณธรรมจักรที่แผ่ซ่านมาปกคลุมแผ่นดินเหล่านี้ สร้างสรรค์แผ่นดินที่นี่เหล่านี้ขึ้นมาให้มีอยู่ในลักษณะอย่างนี้ มิฉะนั้นเราจะไม่ได้มานั่งกันอยู่อย่างนี้ มีอุบาสก อุบาสิกามานั่ง ไม่มีภิกษุสามเณร เราอาจจะต้องเป็นคริสต์หรือเป็นอิสลามก็ไม่รู้ ถ้าว่าศาสนาอินเดีย วัฒนธรรมอินเดียไม่มาจับยึดพวกเราไว้เสียก่อน เราจะไปเป็นคริสต์ก็ไม่รู้ ไม่แน่ ไปเป็นอิสลามก็ไม่รู้เหมือนๆ ที่เขาเป็นๆ กันอยู่
ฉะนั้นจึงขอบคุณวัฒนธรรมอินเดีย ศาสนาอินเดียโดยเฉพาะ คือ พระพุทธศาสนาได้แผ่เข้ามาในลักษณะที่เป็นธรรมจักรๆ เกิดเป็นอาณาจักรพุทธไทย ไทยพุทธ พุทธะไทย ไทยพุทธ พุทธอาณาจักรขึ้นมา ช่วยกันรักษา ช่วยกันรักษาอาณาจักรนี้ไว้ให้มั่นคงแล้วเราก็จะชนะมารๆ มารข้างในก็ดี มารข้างนอกก็ดี คนพาลข้างนอกก็ชนะ กิเลสอันธพาลข้างในจิตก็จะชนะ เราจะเป็นผู้ชนะ ตามความหมายของพระพุทธศาสนาว่า จะชนะ ชนะด้วยธรรมจักรๆ ตัดฟันหรือฟาดฟันสิ่งเลวร้ายร้ายที่เป็นข้าศึกศัตรูนี่ แล้วก็สะอาด แล้วก็สว่าง แล้วก็สงบ เป็นชาวพุทธที่แท้จริง เราไม่เพียงแต่รับเอาผลประโยชน์เป็นความรอดของเราข้างเดียว เราจะสนองคุณๆ จะตอบแทนคุณให้สาสมกับที่เราได้รับประโยชน์ เอาละ, จะฟังในลักษณะที่เป็นธรรมะก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ แต่มันเป็นความจริง มันเป็นความจริง ขอให้ต่างคนต่างทำก็ได้ ไม่ต้องมาร่วมกันทั้งหมดก็ได้ แต่ขอให้มีการกระทำในลักษณะที่ตอบแทนพระคุณของชาวอินเดีย
ขอยุติการบรรยายด้วยกาลสมควรแก่เวลา ขอฝากไว้ในจิตใจเพื่อกระตุ้นจิตใจของท่านทั้งหลายให้เป็นผู้มีความกตัญญู กตเวที ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกทิวาราตรีกาลเทอญ ขอจบการบรรยาย นี่ที่พูดไว้ตั้งแต่ตอนเย็นว่า ค่ำนี้จะพูดอะไรพิเศษให้ฟังก็คือเรื่องนี้