แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
กระผมขอโอกาสพูดเรียกว่าปราศัยบ้าง โอวาทบ้างปนกันไปตามเคยแต่ทำมา การมาเยืยนวัดธารน้ำไหลหรือวัดสวนโมกข์เวียนมาถึงคราวอีกปีหนึ่งในปี 2510 นี้ เป็นที่พอใจว่าเรายังมีชีวิตพบกันอีกและมีชีวิตเพื่อช่วยกันทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ศาสนา เพื่อนมนุษย์ในโลกต่อไปอีก ยิ่งกว่านั้นเป็นการกระทำเรียกว่า สามีจิกรรม คือเพื่อนศาสมิกทั้งหลายมาเยี่ยมวัดนี้เยี่ยมกระผม แสดงความรู้สึกเป็นกันเอง แสดงความรู้สึกแลกเปลี่ยนส่วนบุญและความเคารพ ในตอนต้นจะขอพูดเรื่องทำวัตร เพื่อพระเพิ่งบวชใหม่ๆ ภิกษุสามเณรใหม่ๆ ยังมี ว่าจะมาทำวัตรเราทำตามระเบียบธรรมเนียมของพระอริยะเจ้าได้เคยทำกันมาแต่กาลก่อนและสืบๆ กันมาถึงอุปชาอาจารย์ สำหรับการทำวัตรนั้นมีความหมาย 3 ประการ ถ้าทำสมบูรณ์แบบจะมีความหมาย 3 ประการ
ประการที่ 1 โอกาสะวันทามิพันเต คือแสดงความอดทน
ประการที่ 2 สัพพังอัปปะราทังธรรมะธรรมเมพันเต ขอโทษและอดโทษ
ประการที่ 3 อยากัตตังบุญยัง สามีนะอนุโมทิศพัง คือแลกเปลี่ยนส่วนบุญ
เพราะฉะนั้นจึงได้ความว่า ในการทำวัตรนั้น เรามาแสดงความเคารพซึ่งกันและกันมาขอโทษอดโทษซึ่งกันและกัน และมาแสดงความเป็นกันเองด้วยการแลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน เรื่องแสดงความเคารพนี้ขอให้ภิกษุสามเณรโดยเฉพาะบวชใหม่นี้ขอให้สำเหนียกในใจให้มากว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การอยู่เสมอกันเป็นความทุกข์ สัมมาณะ สังวาโส อยู่เสมอกันโดยไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีลูกศิษย์ไม่มีอาจารย์ ไม่มีเหล่านี้เป็นความทุกข์ เธอจงอยู่อย่างมีระเบียบลดหลั่นให้ความเคารพ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีอุปัชาจารย์ มีภิกษุแก่กว่าอวุโสกว่า เราจึงอยู่โดยลดหลั่นของสถานะของตนๆ แล้วแสดงความเคารพเอื้อเฟื้อโดยสมควรแก่สถานะของตนๆ จึงจะไม่เป็นทุกข์ การอยู่เสมอกันนั้นเป็นทุกข์ ข้อแรกคือ ว่ากล่าวกันไม่ได้ก็เลยทำเสียหายหมด และที่พร้อมกันนั้นทำให้ทิฐิมานะที่เป็นกิเลสแรงขึ้นๆ อัสมิมานะแรงขึ้น เป็นกิเลสที่ทำให้จมอยู่ในวัฏสงสารมากขึ้น การอยู่เสมอกันมีโทษลึกซึ้งถึงที่สุดขนาดนี้ ขอให้ภิกษุสมาเณรโดยเฉพาะที่บวชใหม่สังวรไว้ให้มาก สำเหนียกไว้ให้มากว่าเราจะอยู่โดยมีที่เคารพตามลำดับ เราจึงซ้อมความเข้าใจในเรื่องนี้โดยการมาทำวัตรชนิดนี้ อย่าถือว่ามาแสดงแก่ผมเลย ขอให้ถือว่ามาทำให้ถูกต้องครบตามระเบียบ ตามหลักของการปฏิบัติดีกว่า สำหรับผมคนเดียวมันเล็กเกินไป หรือมันน้อยเกินไป แต่ว่าระเบียบหรือหลักปฏิบัติหรือพระธรรมวินัยมีความสำคัญมากใหญ่มาก ขอให้เห็นแก่ธรรมวินัย ระเบียบหลักปฏิบัติแล้วทำทุกๆอย่างที่ต้องกระทำ ถึงแม้ที่สุดจะกระทำแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ยังไม่สำคัญเท่ากับทำเพราะเห็นแก่ระเบียบวินัย ธรรมวินัย การมาแสดงความเคารพซึ่งถือว่ามาแสดงความเคารพผมขอให้ถือว่าแสดงความเคารพระเบียบวินัย พระธรรมวินัย กระทำตามวินัยเคารพพระพุทธเจ้า เคารพคำสั่งของพระพุทธเจ้า เคารพหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า เคารพอริยะวังสาปฏิปทาของพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นการเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ระเบียบวินัยมากกว่าที่จะแสดงความเคารพบุคคล ขอให้ทุกๆองค์มีความเข้าใจชนิดนี้ และทำไว้ในใจชนิดนี้ตลอดเวลาจึงจะได้บุญมาก ได้กุศลมากในการจะมาในวันนี้ นี้สำหรับข้อแรกที่เรียกว่า โอกาสะวันทามิพันเต
ข้อที่สอง สัพพังอัปปะราทังธรรมะธรรเมพันเต ภิกษุสามเณรหนุ่มๆ มีการบังคับตัวน้อย มีโทสะมาก มีความฉุนเฉียวมากย่อมล่วงเกินกันได้ง่าย ล่วงเกินทางกายก็มี ทางใวาจาก็มี ทางใจก็มี นั่นจงสำนึกในข้อนี้ว่านั่นเป็นสิ่งที่อันตราย การล่วงเกินผู้อื่นเป็นอันตราย เป็นอันตรายิกธรรม ทำความฉิบหายให้กับบุคคลนั้นทั้งคดีโลก และคดีธรรม เป็นไปเพื่อบาป เราจงรำลึกนึกให้ดีอย่าให้มีโทษล่วงเกินผู้ใดผู้หนึ่งเหลืออยู่แม้แต่ค้างคืนวันรุ่งขึ้นก็สมควรอย่าเก็บความล่วงเกินนั้นไว้ค้างคืนเมื่อล่วงเกินแล้วก็รีบขอโทษๆ ถ้าทำไม่ได้ ก็รีบทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ถ้ายังมองไม่เห็นก็ทำตามธรรมเนียมประเพณี เหมือนสัก 1 ปีมาทำครั้งหนึ่งเหมือนอย่างนี้ เพื่อเป็นการอดโทษซึ่งกันและกันเผื่อว่ามี เพื่อเป็นการย้อมนิสัยให้เป็นผู้หัวอ่อนคือยอมขอโทษและยอมอดโทษ เราต้องระวังให้ดีว่าเมื่อเราล่วงเกินแล้วต้องขอโทษเสมอไป และเมื่อเขาขอโทษแล้วเราต้องอดโทษต้องให้อภัย ต้องอดโทษด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นให้เกลี้ยงเลาทีเดียว อย่าให้มีโทษค้างเหลืออยู่แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย ภิกษุสามเณรชอบพูดเล่น พูดล่วงเกินกันมากโดยเฉพาะภิกษุสมาเณรหนุ่ม จงพยายามนึกข้อนี้ให้มากและหาโอกาสแสดงโทษ ขอโทษให้อภัยโทษ เหมือนที่กำลังทำในเวลานี้บัดนี้ แม้แต่เพียงคิดในใจ ดูหมิ่ดูถูกผู้อื่นในใจก็ถือว่าเป็นโทษ ต้องขอโทษ และยิ่งถ้าได้พูดไปทางปาก ยิ่งต้อขอโทษมากขึ้น ยิ่งถ้าได้กระทำทางกายยิ่งต้องขอโทษถึงที่สุดเลย อย่าเก็บไว้ ถ้าขืนเก็บไว้จะเป็นอันตราย คือหมายความว่าเป็นบาปอย่างหนึ่ง ยิ่งถ้าเก็บไว้เป็นนิสัยก็จะกลายเป็นคนเสียนิสัย เสียนิสัยในการกระด้าง ทิฐิมานะ จองหองเย่อหยิ่ง แล้วมันเสียหายตลอดชีวิต ความเสียหายนี้จะมีตลอดชีวิต นั้นอย่าได้เก็บไว้มันเป็นอันตรายที่กระทำ ทำให้เกิดความเสียหาย เสียประโยชน์ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ เสียในทางสังคม เสียในทางต่างๆไปเรื่อยจนกระทั่งเสียในทางจิตใจ กระทั่งเสียนิสัยสันดาน นั้นจงระวังอย่าให้มีโทษล่วงเกินคือภัย คือเวรเหลืออยู่ในตัวเรา งั้นถ้าใครโกธรอยู่กับใครก็ต้องสลัดเลย สลัดความโกธรไม่ดีต่อกันนั้นออกไปเลย จงมีความดี ความสามัคคีกันเลยตั้งแต่บัดนี้ ณ.ที่ผมกำลังพูดนี้
กลับไปที่พระพุทธเจ้าพูดว่า เอวังสังวัตถา ปะคอโตปริสสา ยะทิทังอันยมัน ยะวัตจะเนนะ อันยะมันวุฒิฐาปเนนะ เป็นคำอ้าง พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า คณะสงฆ์เราจะเจริญอยู่ได้เพราะสามัคคีกัน ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ อดโทษซึ่งกันและกันได้อย่างกันและกันให้ออกจากอาบัติได้ ทุกคนที่บวชเข้ามาแล้วในธรรมวินัยนี้ ไม่ว่าคนไหนไม่ว่าอยู่เเมืองไหน ไม่ว่าอุปปัชชาที่ไหนก็ตาม มันเป็นหมู่เดียวคณะเดียวกันหมด เป็นสังฆบริษัทของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่เดียวเท่านั้น คณะเดียวเท่านั้น ไม่ใช่หลายคณะ นั้นจงพยายามเป็นผู้สามัคคี เป็นสงฆ์หมู่เดียวอยู่เรื่อยไป อย่าให้เกิดมีว่าเป็นพวกนั้นพวกนี้ ในที่สุดเป็นเขาเป็นเรา เป็นบุคคลสองบุคคลขึ้นมา ให้พยายามนึกว่ามีความรับผิดชอบเหมือนกัน เกิดจากพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์เดียวกัน เกิดจากกำเนิดเดียวกันเสมอไป นี่หมายถึงเกิดทางจิตใจไม่ใช่เกิดทางวัตถุ ร่างกายหรือเกิดทางพ่อแม่ เกิดทางจิตใจหมายความว่าเราเกิดจากพ่อแม่เดียวกันคือธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า จงมีความสมัครสมานสามัคคีกัน ตามสำนวนบาลีที่ว่า เข้ากันได้สนิทเหมือนน้ำกับนม คือน้ำกับนมเมื่อละลายแล้วมันเข้ากันได้สนิท น้ำกับน้ำมันเมื่อละลายไม่เข้ากัน ทำอย่างไรก็ไม่เข้ากันนั่นหมายถึงความไม่สามัคคีกัน น้ำกับนมนั้นละลายเข้ากันสนิทนี่คือความสามัคคีกัน พระพุทธเจ้าต้องการให้มีอาการสามัคคีกันเหมือนน้ำกับนม มองดูด้วยสายตาที่แสดงความเมตตาต่อกันและกันเสมอ ถ้าใครลืมไปขอให้นึกเสียใหม่เวลานี้วันนี้ ให้เรียกอาการสามัคคีกันด้วยจิตใจนี้กลับมาใหม่ ถ้ายังไม่เคยทราบก็ทราบเสียเดี๋ยวนี้เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติอย่างสำรวมต่อไปด้วย นี่เรียกว่าอย่างกันและกัน ได้อดโทษได้ขอโทษ เป็นทางแห่งความสามัคคีกัน ตักเตือนว่ากล่าวซึ่งกันและกันได้ทำนองเดียวกับปาวารณา ว่ากล่าวสั่งสอนได้ตักเตือนกันได้และก็เป็นความเจริญ
ต่อไปนี้ต่อข้อที่ 3 อยากัตตังบุญยัง สามีนะอนุโมทิศพัง บุญใดที่ผมได้ทำก็ขอให้พระเถระมีส่วน บุญใดที่พระเถระได้กระทำก็ขอให้ผมมีส่วน นี่เป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกันเพื่อแก้ความตระหนี่ขี้เหนียวเห็นแก่ตัว คนเราขี้เหนียวแม้แต่ความดี นี่มาหัดกันเสียใหม่ ให้เผื่อแผ่ให้แลกเปลี่ยนส่วนบุญ เราควรมองเห็นให้ถูกให้ตรงความเป็นจริงที่ว่าบุญนี้ประหลาดยิ่งให้ยิ่งมาก ยิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งมากขึ้น บางคนสงสัยว่าหากเราให้เพื่อนเสียหมดเราก้หมดบุญ นี้ไม่จริง บุญนี่ประหลาดยิ่งให้มันยิ่งมาก จะว่าเราให้ไปแก่คนอีกคนขออนุโมธนาส่วนบุญให้มีส่วนรับบุญส่วนนี้ ส่วนที่อยู่กับคนนั้นมันก็ยังอยู่ ส่วนที่งอกเงยคือบุญอันเกิดจากการให้ส่วนบุญอนุโมทนาบุญขึ้นมาใหม่ ยิ่งทำการให้ส่วนบุญและมีการอนุโมทนาบุญมากขึ้นเท่าไหร่บุญก็ยิ่งมากขึ้นๆ จนเต็มไปด้วยบุญทุกๆฝ่าย อย่าไปกลัวว่าให้บุญแล้วตัวเองนี้จะหมดนั่นเป็นความเขลา ถ้าตัวเองมีสติปัญหามีความเข้าใจถูกต้องจะเห็นว่ายิ่งให้ยิ่งมาก เหมือนหลุมยิ่งเราเอาดินออกมันยิ่งใหญ่ ยิ่งเอาดินออกมากเท่าไรหลุมยิ่งใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่หลุมยิ่งเล็กเข้ามา เราพยายามที่จะมีความเมตตากรุณา แลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกันมีความเป็นกันเองอยู่เสมอ อย่ามีเขามีเราอย่ากระทั่งว่าอย่ากินคนเดียว เนกาสีรับปะเตสุขขัง กินคนเดียวมันไม่มีความสุข มันตั้งอยู่ที่ข้อนี้หากว่าเราไม่ตระหนี่ความดี พยามยามคิดว่าเราก็เหมือนเพื่อน เพื่อนก็เหมือนกับเรา เพื่อก็คือเรา เราก็คือเพื่อน ให้มีอาการเป็นหน่วยเดียว หมู่เดียว รับผิดชอบร่วมกันเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีความเจริญก้าวหน้าในการศึกษาปฏิบัติด้วยกันบรรลุมรรคผลนิพพานด้วยกัน ขอให้คิดชนิดนี้และจะสำเร็จประโยชน์ที่เรียกว่า แลกเปลี่ยนส่วนบุญ เพื่อรศาสนธรรมมิกทั้งภิกษุสามเณรได้มากระทำสิ่งที่เรียกว่า ธรรมวัตรในวันนี้ ด้วยความหมาย 3 ประการคือ แสดงความเคารพอย่างหนึ่ง ขออภัยและอดโทษอย่างหนึ่ง แลกเปลี่ยนส่วนกุศลซึ่งกันและกันอย่างหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตาม อริยะวังสะปฏิปทา ในส่วนพระธรรมวินัยกระผมขออนุโมทนาในการกระทำนี้เป็นอย่างยิ่ง และโดยส่วนตัวกระผมขอบใจ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งในการที่ได้ลำบากมาจนถึงนี่ โดยธรรมวินัยก็ดี โดยส่วนตัวก็ดีได้ชื่อว่าเป็นการกระทำที่ดี หรือควรกระทำ จึงขอขอบคุณและอนุโมทนา
ที่นี้เรื่องที่จะพูดในทำนองปราศัยหรือโอวาทที่มีทุกๆปีเคยได้ฟังคำโอวาทข้อใดข้อหนึ่ง สำหรับปีนี้ก็อยากที่จะบอกสักข้อคือว่าเป็นเรื่องที่กำลังมีอยู่และกำลังครึกโครม เรื่องที่กำลังครึกโครมในที่นี้ผมหมายถึงว่า กำลังเป็นที่สนใจแก่ประชาชนในประเทศไทยมากขึ้น เรื่องนี้คือเรื่องหัวใจของพุทธศาสนา หัวใจของพุทธศาสนาคือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความไม่ยึดมั่นถือมั่นถ้าเรียกให้สั้นก็เรียกว่าความว่าง ถ้าเราเรียกขยายไปคือหัวใจของพุทธศาสนา เพราะว่าพระพุทธศาสนาทั้งหมดไม่ว่าจะระดับไหนสรุปรวมอยู่กับความไม่ยึดมั่นถือมั่น คนเราเมื่อเกิดมาจากท้องแม่ก็เริ่มมีความยึดมั่นถือมั่น เมื่ออยู่ในท้องแม่ยึดมั่นถือมั่นไม่เป็น ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เพราะความยึดมั่นถือมั่นเป็นของเพิ่งเกิด คือเกิดเมื่อตาได้เห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง หรือจมูกได้กลิ่นเป็นต้นก่อน เราจึงมีความเข้าใจผิดหลงไปในรูปเสียงกลิ่นรสเหล่านั้น ไปเกิดความพอใจไม่พอใจ ยินดียินร้ายขึ้นมา จึงเป็นทุกขเวทนา หรือสุขเวทนา และจึงเกิดความอยากหรือตันหาอย่างใดอย่างหนึ่งไปตามนั้น นั่นจึงเกิดอุปทานคือเป็นความยึดมั่นในตัวกู เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาแล้ว ตัวกูได้นั่นได้นี่ขึ้นมาแล้ว ตัวกูเสียนั่นเสียนี่ขึ้นมาแล้ว นี่เป็นอุปทานความยึดมั่นถือมั่น เมื่อยู่ในท้องแม่เกิดไม่ได้ ต้องมีการกระทบตาหูจมูกลิ้นกาย สิ่งหนึ่งสิ่งใดนี้ขึ้นมาก่อนแล้วจึงมีความรู้สึกและยึดมั่นในความรู้สึก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าแม้แต่อวิชชาก็เพิ่งเกิด อวิชชาเกิดขึ้นไม่ได้แสดงตัวขึ้นยังไม่ได้ ถ้ายังไม่มีการเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก เกิดไม่ได้ มันต้องมีอาการอย่างนี้ก่อนจึงจะมีว่าโงหรือไม่โง่ ฉลาดหรือว่าโง่ อวิชชาก็เพิ่งจะเกิดแต่ว่าเกิดเร็ว เกิดทันควันเมื่อได้เห็นรูป กลิ่น รส และขาดสติสัมปชัญญะ เพราะว่าขาดสติสัมปชัญญะ หรือเพราะไม่มีสติสัมปชัญญะจึงเกิดอวิชชาทันที นั่นเป็นไปตามอวิชชา ตามสายปฏิพิษณุบาต คือมีความทุกข์ ดังนั้นเมื่อเริ่มเกิดออกมาจากท้องแม่ก็เริ่มยึดมั่นถือมั่นเป็นมากขึ้นๆ จนกระทั่งเรียกพ่อเรียกแม่ได้ก็ยึดมั่นพ่อแม่ได้ กระทั่งมีทรัพย์สมบัติเป็นของกู อันนี้พ่อให้กู อันนี้แม่ให้กูก็มีของกูก็ยึดมั่นในของกูขึ้นมาได้ เรื่อยขึ้นมาๆ จนเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นใหญ่เป็นโตมันเป็นไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นอยู่ แล้วเพราะฉะนั้นความยึดมั่นถือมั่นเป็นความทุกข์จึงเหมือนยกของหนัก ของมีความหนักก็มีความทุกข์ พุทธศาสนาต้องการที่จะช่วยไม่ให้มีความทุกข์ก็ต้องสอนเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น คือมีอะไรเราก็ไม่ต้องแบกไว้ยกไว้บนหัว วางลงไว้ข้างๆก็ได้ถ้ามีเงินเก็บไว้ในตู้เซฟก็แล้วกัน ฝากไว้ในธนาคารก็แล้วกันไม่ต้องมาเก็บไว้ในใจ ถ้าเก็บไว้ในใจมันมีความยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นทุกข์ ให้เข้าใจว่าเก็บในเซฟหรือว่าธนาคารต้องการใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ก็แล้วกันมันไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องมายึดมั่นถือมั่นไว้ในใจ วัว ความ ไร่ นา นาก็อยู่ที่นา วัวอยู่ในคอก อยู่ที่คอกอยู่ที่ที่มันอยู่ก็แล้วกัน อย่ามาอยู่บนหัวคน อย่ามาอยู่ในใจคนอยู่ในความวิตกกังวลของคน เหมือนนำมันมาวางอยู่บนศรีษะ นี่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่น เราอาจจะทำไม่เป็น ไม่เข้าใจ นั่นต้องรับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแม้แต่เรื่องง่ายที่สุด เรื่องที่มีวัว ควาย ไร่ นา ทำมาหากินก็ต้องทำด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นมันก็มากองอยู่บนศรีษะ และไม่เท่าไรมันจะวิกลจริต หรือบ้าหรือตาย เวลานี้ขนบธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมไทยดีมาก มีบุญมาจากพุทธศาสนาสอนให้ปลงให้วางแต่เดิม แต่ต้นกำเนิดปู่ย่า ตายายหลายสิบชั่วบรรพบุรุษมาแล้ว จึงรู้จักปล่อยวางกันบ้าง หรือมิฉะนั้นก็ยังมองได้ว่าตามธรรมชาติ สัตว์ใช้ชีวิตรู้จักปล่อยวางตามสมควรจึงนอนหลับได้ ถึงเวลานอนนอนหลับได้ เวลานี้มันปนกันเวลาที่ยึดมั่นถือมั่นไม่กี่นาทีเวลาที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นมันมากกว่า เพราะฉะนั้นสัตว์จึงมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่คนมีมากกว่าสัตว์เดรฉาน สัตว์เดรฉานเกือบจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเลยเพราะฉะนั้นสัตว์เดรฉานจึงไม่ปวดหัว จึงไม่เป็นโรคเส้นประสาท จึงไม่บ้าเหมือนกับคน คนรู้จักยึดมั่นถือมั่นเก่งเพราะมีปัญญามากกว่าสัตว์เดรฉาน ดังนั้นคนจึงมีอาการเส้นประสาทบ้าง ปวดหัวบ้าง วิกลจริตบ้างมากกว่าทั่วๆไป ธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้ามาแก้ไขในข้อนี้ ถ้าทุกคนมีธรรมะของพระพุทะเจ้าตามสมควรแล้ว จะไม่มีโรคปวดศรีษะไม่มีโรคปวดหัว จะไม่มีโรควิกลจริต ขอให้มีความรู้ในทางธรรมะให้เพียงพอ ขอให้มีการปฏิบัติได้เพียงพอ อย่าให้ความยึดมั่นถือมั่นนั้นเกิดขึ้นมามาก เกิดขึ้นมาจนเป็นทุกข์เป็นอันตรายจนเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเกิดขึ้นก็ให้รู้สึกว่ามันเกิดเมื่อรู้สึกว่ามันเกิด พอเรารู้ว่ามันเกิดมันก็จะหายในทันที นี่เป็นลักษณะของกิเลสเหมือนกับผี พอรู้ว่ามันเป็นผีมันก็หายไปทันที เกิดพญามารพอรู้ว่ามันคือพญามารมันก็หายไปทันที เราต้องพยายามศึกษาให้เข้าใจให้มีสติสัมปชัญญะให้รู้ทันทีว่ามันยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้ว และมันก็หายไปทันที ระยะยึดมั่นถือมั่นจะมีนิดเดียวและไม่เป็นอันตรายต่อเราไม่เป็นทุกข์ต่อเรา นอนหลับสนิทจิตใจสงบไม่เป็นโรคเส้นประสาทด้วยประการทั้งปวง ไม่วิกลจริตและไม่ตายด้วยเหตุนั้น จึงขอให้เห็นอนิสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า สัพเพธรรมานารัง อภิเนเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงว่าบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่นไม่ควรฝังเนื้อฝังตัวเข้าไป อภิเนเวสายะ นี้ว่าใครไ ไม่ควรฝังเนื้อฝังตัวลงไปว่านี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา ขอครูบาอาจารย์ช่วยอธิบายให้เณรฟัง ชาวบ้านฟัง ให้ครูผู้สอนช่วยตอบกระทู้ให้นักเรียนแต่งบ่อยๆเพื่อช่วยให้ดีขึ้นๆ หลายๆ หนผ่านในกระทู้ที่สำคัญชนิดนี้เพราะเป็นห่วงหัวใจของพุทธศาสนา และตัวเราก็จะเข้าใจที่เรียกว่าหัวใจของพุทธศาสนามากขึ้นและเราก็จะสามารถเข้าถึงพุทธศาสนาได้เอง และสอนผู้อื่นได้ด้วยและเราก็จะได้ประโยชน์ในการบวชในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แท้จริง นี่สำเร็จอยู่เพียงคำๆเดียวคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น จะต้องใช้ตั้งแต่ต่ำที่สุดจนกระทั่งสูงสุด ในระดับกลาง ในระดับสูงสุดต้องมีหลักเกณฑ์ในเรื่องของความไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันเป็นเอาเองมีอยู่เองแล้ว เกิดได้เอง เจริญได้เอง งอกงามเจริญได้เองไม่ต้องไปเพิ่มให้มัน เรามีหน้าที่รู้ และควบคุมมัน หรือแก้ไขมัน หรือชำระล้างมัน อย่าเข้าใจผิดว่าถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วคนเราจะไม่ทำอะไร เข้าใจให้ถูกว่าเราทำด้วยจิตที่มีความฉลาดไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นเรียกว่าทำด้วยกิเลส ถ้าทำด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นเรียกว่าทำด้วยปัญญา เราลองคิดดูว่าทำด้วยกิเลสหรือทำด้วยปัญญาอันไหนจะดีกว่า จะเห็นได้ว่าทำด้วยปัญญานั้นดีกว่า เมื่อใดมีความยึดมั่นถือมั่น เมื่อนั้นมืดเป็นความมืดแท้จริง เป็นความมืดสีขาวเสียด้วยซ้ำไป ความมืดสีขาวนี้เข้าใจยากไปคิดดูเองก็แล้วกันความมืดสีขาวเข้าใจยากอย่างไร มันมืดและต้องทำตามประสามืดๆ คือผิด คือเป็นทุกข์คือกงจักรเป็นดอกบัวเสมอไป เราควรทำด้วยจิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากความรู้สึกมั่นหมายว่าตัวกู รู้สึกมั่นหมายว่าของกู ต้องวางเสีย พอสิ่งนี้ออกไปปัญญาก็มาตามธรรมชาติของจิตและรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถือโอกาสสรุปให้เข้าใจสั้นๆเผื่อไปด้วยว่าความว่างนี้มี 2 อย่าง ความว่างอย่างที่หนึ่งคือความว่างอย่างอันฑพาลของมิจฉาทิฐิของนอกศาสนา เช่น นักมิจฉาทิฐิเป็นต้นลัทธิของครูทั้งหมดมี 2-3 ครูที่สอนเรื่องว่างอย่างมิจฉาทิฐิ อย่างอันฑพาล เมื่อไม่มีตัวตน การฆ่าการทำอะไรมีดแทรกเข้าไปทั่วอณูไม่มีบุญไม่มีบาปอะไร ฆ่าสัตว์บูชายันต์ก็ไม่ได้บุญ ฆ่าคนให้ตายเพื่อสนุกมือก็ไม่บาป การให้ทานก็สำเร็จก็ได้เพียงได้กินเท่านั้นเอง การทำบุญต่างๆก็สำเร็จเพียงว่าได้ทำอย่างไรก็มีเท่านั้น การบูชายันต์ก็สำเร็จเพียงเป็นเถ้าถ่าน เผาไหม้เป็นเถ้าก็หมดกันอย่างนี้เรียกว่า สุญตาแบบมิจฉาทิฐิ เป็นความว่างแบบอันฑพาล มีไว้ใช้แบบอันฑพาลใช้ไว้โกงกัน ไว้หากามารมณ์อุตริวิตฐานไว้คอรัปชั่น ไว้ด่าว่าผู้อื่น ความว่างแบบอันฑพาลไม่ใช่ความว่างแบบพุทธศาสนาเลย แต่ก็เรียกว่าความว่างเหมือนกัน เรียกว่า ณัตฐิกาทิฐิ หรือทิฐิอย่างอื่นๆอีกหลายอย่างรวมกันคิดแค่ว่าไม่มีตัวตนแล้วก็เอากันตามกิเลส เรียกว่าความว่างอันฑพาล ส่วนความว่างในพุทธศาสนานี่หมายถึงว่างโดยจิตใจไม่มีความรู้สึกว่าอะไรเป็นตัวเราหรือของเราเพราะมีปัญญานั่นเอง ขณะใดจิตปราศจากความรู้สึกว่าตัวเราของเรานั่นเรียกว่าจิตว่างได้ มีอยู่หลายชั้นเหมือนกัน ถึงแม้ที่เราจะเอาเป็นที่พึ่งได้ก็มีหลายชั้น ยกตัวอย่างสัก 3 ชั้นตามหลักในธรรมะทั่วไป สัมพันทะ วิสัมพันนะ สมุทรเขทะ นี่เหมือนจิตของเราว่างเองตามสบาย นั่งเล่นว่างๆ หรือไปเที่ยวริมทะเลว่างๆ หรือมันว่างเองด้วยเหตุที่ตัวมัน หรือเหนื่อยขึ้นมาง่วงนอนนี่ก็ว่าง มันว่างเองตามธรรมชาติ โดยไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลยนี่ก็มีประโยชน์ คือทำให้เราได้พักผ่อนได้สบายใจ ไปวิ่งเล่นชายทะเลสบายใจ วิ่งเล่นตามภูเขาสบายใจก็มีประโยชน์แล้วแม้แต่ว่างเองอย่างนี้
คราวนี้ว่างแบบสูงขึ้นไป ว่างเพราะเรากระทำสมาธิอย่างถูกวิธี จิตสงบในอารมณ์ สูงสะอาดไม่มีอารมณ์ตัวกูไม่มีของกูเกมือนกัน นี่ก็สบายใจไปอีก สูงขึ้นไปอีก แต่ยังไม่ใช่ตัวแท้ของพุทธศาสนา ความว่างตัวแท้ของพุทธศาสนาคือ ปราศจากความรู้สึกว่าตัวเราของเรา เพราะพิจารณาเห็นแจ้งว่าโลกเป็นของว่าง คือเราต้องพิจารณาพื้นฐานเสียก่อนว่าโลกคือ รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ ธรรมารมณ์ ที่รวมกันเรียกว่าโลก และทั้งหมดนี้เป็นของว่าง ว่างจากสาระที่เป็นตัวของมันเอง ว่างจากสาระที่เป็นตัวของผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่มีตัวตนในความหมายใดๆ ทั้งหมดและไม่อาจเป็นของใครได้เพราะมันเป็นของธรรมชาติ โลกทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นของว่าง เมื่อเป็นแบบนี้จิตใจก็ไม่รู้จะจับเอาอะไรมาเป็นตัวตนของตน จิตใจฉลาดมีปัญญานี่เรียกว่าจิตว่าง อย่างนี้จึงจะเรียกว่าความว่างที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาในบทที่ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเป็นต้น เราไหนๆก็บวชอุทิศในพระพุทธเจ้าเป็นสาวกของพระองค์ จงช่วยกันสอนลัทธิของพระองค์ให้ถูกต้อง ต้องช่วยกันสอนหลักของพุทธศาสนาของพระองค์ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ ต้องสอนให้ถูกต้องและกันความว่างอันประทานแบบมิฉาทิฐิอย่าให้เข้ามาได้ พุทธศาสนานี้อย่างไรก็ต้องเป็นสาย สุนยวาทีอยู่เสมอจะเป็นอสุนยวาทีไม่ได้เป็นอันขาด คำว่าสุนยวาทีที่คนพวกอื่นก็มีไม่ใช่เฉพาะพวกเรา เขาว่าไปตามแบบเขา ตามใจเขา นั่นก็เป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าเป็นเรื่องแบพุทธบริษัทของพุทธสาสนา ก็ว่างแบบพุทธศาสนา คือไม่มีความมั่นหมายอะไรว่าเป็นตัวตนของตน ว่างเองก็ได้ ว่างเพราะบังคับก็ได้ ว่าด้วยถอนรากตัดโทษด้วยปัญญาก็ได้ มันย่อมจะเหมาะกับทุกคนในระดับใดระดับหนึ่ง หรือมองอีกชนิดหนึ่งว่าจำเป็นที่สุดสำหรับคนทุกคนต้องว่าง ถ้าไม่ว่างก็จะไม่มีการนอนหลับสนิท จะผวาเป็นโรคเส้นประสาท วิกลจริตและบ้าตายอย่างหนึ่ง หรือว่าจะไม่มีการพักผ่อนที่เพียงพอหรือไม่มีสติปัญญาที่เพียงพอ อย่างนั่นเราต้องรู้จักทำให้ปลอดภัยทั้งร่างกายสบายดี จิตใจสบายดี จิตหรือความเห็นถูกต้อง ความว่างอันฑพาลไม่ใช่ความว่างเป็นความวุ่นชนิดหนึ่ง โดยเข้าใจผิดไปว่าเป็นความว่างหรือแกล้งทำว่าว่างบาง แกล้งมายาจำเป็นว่างเพื่อจะทำลายผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่นบ้าง เอาไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนกันความว่างอันฑพาลนี้ ทางทหาร ทางการทหาร ทางพวกโจรเอาไปใช้ประโยชน์มากเหมือนกัน ต้องฆ่าฟันกันต้องสอนความว่างชนิดนี้ก็มี แต่เราไม่ต้องพูดถึง เราต้องสอนความไม่ยึดมั่นถือมั่นหือความว่างที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าให้เป็น ทุกๆคน อย่าทำผิดในเรื่องนี้จะกลายเป็นทำลายพระพุทธศาสนา และถ้าสอนเรื่องนี้ก็คือสอนหัวใจของพุทธศาสนา อะไรๆ ก็มารวมอยู่ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น พระพุทะเจ้าก็คือจอมไม่ยึดมั่นถือมั่น พระธรรมก็คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น พระสงฆ์ก็คือผู้ปฏิบัติด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องศีลถ้าเป็นศีลจริง ศีลสมบูรณ์ บริสุทธิ์มันต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน มันจึงจะไม่มีใครฆ่าใคร ไม่ลักใคร ไม่ล่วงเกินของรักของใคร ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมาพวกนี้ เรื่องสมาธิก็คือหลักธรรมะไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อจิตว่างจากการยึดมั่นถือมั่นมันจึงจะเป็นสมาธิได้ การกำหนดอารมณ์ ลมหายใจนี้ไม่เรียกว่ายึดมั่นถือมั่น เขาเรียกว่ากำหนดอารมณ์เพื่อหยุดจิตเป็นสมาธิ กำหนดในที่นี้จึงไม่เรียกว่ายึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นหมายถึง กำหนดความสำคัญมั่นหมายด้วยอำนาจอวิชชา ศีลจึงเป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น สมาธิก็เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น ปัญญาก็เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะมันรู้ว่าไม่ควรจึงไม่ยึดมั่นถือมั่นนี่คือในส่วนปฏิบัติ คราวนี้ผลการของการปฏิบัติคือมรรคผลนิพพาน นั่นคือความไม่ยึดมั่นถือมั่นมาตามลำดับ ตามลำดับ เป็นพระโสดาบันก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นระดับหนึ่ง พระสถิทาคามะยิ่งขึ้นไป พระอนาคามะยิ่งขึ้นไป พระอรหันต์ถึงที่สุดเลยเรียกว่าหมดความยึดมั่นถือมั่นด้วยประการทั้งปวง ทีนี้สำหรับปุถุชนควบคุมความยึดมั่นถือมั่นนี้ไว้ให้ได้ ให้มีแต่น้อย ให้มีแล้วรู้สึกทันท่วงทีกำจัดเสีย จะได้นอนหลับ จะได้สบายใจ จะได้มีจิตใจผ่องใสจะได้พูดดีทำดี คิดดีทำการงานดี มีความสุขความเจริญ เพราะยึดมั่นถือมั่นเมื่อไหร่ต้องเห็นแก่ตัวเมื่อนั้น พอเห็นแก่ตัวทำความชั่วความบาปได้ทุกอย่างเลย และมีความทุกข์ทุกอย่างได้เหมือนกัน งั้นจงอยู่ให้บริสุทธิ์สะอาดจะได้ไม่มีความทุกข์ เพราะจิตใจสะอาด ทำจิตให้บริสุทธิ์หมายถึงจิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ทำความชั่วอย่างหนึ่งแล้ว ทำความดีทำบุญกุศลอย่างหนึ่งแล้ว อย่างสุดท้ายทำจิตใจให้บริสุทธิ์คือทำความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแม้ในบุญกุศลที่ได้ทำกระทำก็เลยเป็นของสมบูรณ์ขึ้นมา 3 ประการ คราวนี้ฆราวาสมีความทุกข์มากเพราะอยู่ระหว่างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ยึดมั่นถือมั่นได้มากทำให้ฆราวาสมีอันตรายมาก ฆราวาสจึงต้องฉลาดในเรื่องนี้ให้มากจึงจะแก้ไขให้ตนเองนอนหลับได้สบายได้ ไม่นั้นจะเป็นโรคเส้นประสาทหรือจะบ้าตาย เพราะเหตุเช่นนี้จึงมีคนถามพระพุทะเจ้าว่า ธรรมะที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาส บุตร ภรรยา คืออะไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรื่องสุญตาเป็นเรื่องสำหรับฆราวาสที่อยู่ในกองไฟ ฆราวาสบางพวกบอกว่าเรื่องสุญตานี้ยากเกินไป พระพุทะเจ้าว่าถ้าอย่างนั้นก็ใช้ธรรมะ 4 ประการคือ อเวทปะศรัทธา ความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธหนึ่ง ในพระธรรมหนึ่ง ในพระสงฆ์หนึ่ง และความมีศีลบริสุทธิ์หนึ่ง ฆราวาสพวกนั้นก็บอกว่าปฏิบัติอยู่แล้ว นี่หมายความว่า สี่อย่างนี้คือ โสตาปฏิยังคะ ภาษบาลีเรียกว่า โสตาปฏิยังคะ แปลว่าอคงค์ของความเป็นโสดาบัณ ถ้าฆราวาสพวกนั้นเป็นโสดาบัณอยู่แล้ว ถ้าทำสมบูรณ์ใน 4 ประการนี้หมายความเป็นโสดาบัณแล้ว เรียกว่า โสตาปฏิยังคะ แล้วบางทีธรรมะ 4 ประการนี้เรียกว่า ปุณญาปิสันทะ แปลว่าทอดความแห่งบุญนี่ก็มี นั้นคือปฏิบัติตามยังไม่ถึงขนาดเป็นโสดาบัณแต่ปฏิบัติเหมือนกัน แต่อย่างไรดีมันก็เหมือนกันกับโสตาปฏิยังคะ ดังนั้นธรรมะทั้ง 4 ประการนั้นไม่ใช่ธรรมะที่มีอยู่ให้มีกิเลส หรือให้ยึดมั่นถือมั่นแต่ประการใด คือให้ละวางเรื่องที่เป็นอารมณ์ของความยึดมั่นถือมั่นเสีย แล้วมาตั้งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในศีลในระเบียบ มันทำลายความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น ฆราวาสควรประพฤติธรรมะ 4 ประการในฐานะที่เป็น ปุญญาปิสันทะ คือทอดทานบุญได้ก็ได้ และฆราวาสบางพวกปฏิบัติถึงขนาดที่เรียกว่า โสตาปฏิยังคะเป็นพระโสดาบัณอยู่แล้วก็มี นางวิสาขาหรือใครมากมายบางทีมากกว่าพระ ฆราวาสที่เป็นโสดาบัณบางทีมากกว่าพระเพราะปฏิบัติธรรมะ 4 ประการนี้ซึ่งไปในแนวทางเดียวกับสุญตาความไม่ยึดมั่นถือมั่นแบบพุทธศาสนา ไม่ใช่แบบอันฑพาล เราจงมองดูรอบด้านเรื่องเสวนาคุณเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องทำบุญให้ทานก็คือความไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องศีล สมาธิปัญญาคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องมรรคผลนิพพานก็คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เป็นพุทธศาสนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าอยู่ในสภาพฆราวาสคือต้องการมาก ต้องการในระดับหนึ่งๆ ในชนิดหนึ่งมาก เพื่อจะบรรเทาความร้อนเป็นไฟอย่าให้ตกนรกทั้งเป็น เราอยู่เป็นพระคิดว่าสบายเรื่องที่จะยั่วเป็นไฟเป็นฟืนนั้นมีน้อยกว่า เราจึงสบาย ฆราวาสอยู่ที่บ้านน่าเห็นใจ ท่ามกลางสิ่งที่ยั่วให้เป็นฟืนเป็นไฟมากนั้นจึงต้องการธรรมะในข้อนี้มากกว่าพระเสียอีก เราจึงควรสั่งสอนให้เขารู้เรื่องหัวใจของพุทธศาสนา สัพเพธรรมานารังกัมนะเวสายะ ตามสมควร เราที่ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่เขาอย่างใหญ่หลวง คือช่วยให้เขาไม่ต้องเป็นเส้นประสาท เป็นโรคจิต เป็นโรคตกนรกทั้งเป็น ขอถือโอกาสพูดในวันนี้ทำนองปราศัยเป็นโอวาสว่าเราเป็นศาสธรรมิกด้วยกัน เป็นผู้ร่วมกำเนิดด้วยกัน เกิดจากธรรมวินัยด้วยกัน และมีหน้าที่เหมือนกันทุกองค์ มีความรับผิดชอบเหมือนกันทุกองค์คือต้องปฏิบัติหัวใจพุทธศาสนาให้ได้และสอนผู้อื่นให้เข้าใจด้วย จึงขอซักซ้อมเพื่อกันลืมสำหรับผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้ว และขอแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่เคยฟังได้ฟังว่านี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนา เป็นทั้งเนื้อทั้งตัวของพุทธสาสนาเราต้องปฏิบัติได้ และช่วยเหลือผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย ให้สุดความสามารถของเรา และขอให้หวังได้ว่าความความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวสามัคคีของเรานี้เพื่อทำกิจอันนี้ให้ลุล่วงไปด้วยดี และทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน ให้ประชาชนได้เข้าถึงพระพุทธศาสนา มีธรรมเป็นแสงสว่าง ให้เกิดสติปัญญาทำลายความมืดคือความยึดมั่นถือมั่น มีจิตว่าง ถ้าฟังไม่ดีเป็นอันฑพาล ถ้าฟังให้ดีเป็นหัวใจของพุทธศาสนา เมื่อมีจิตว่างทำงานด้วยจิตว่างซึ่งฟังยาก ถ้าฟังไม่ดีเป็นอันฑพาล ถ้าฟังให้ดีเป็นหัวใจบริสุทธิ์ของพุทธศาสนา เมื่อมีจิตว่างทำงานด้วยจิตว่าง กินอาหารด้วยจิตว่าง ตายแล้วตั้งแต่แรกเกิด ถ้าใครเข้าใจแบบนี้เข้าใจได้ก็ดี ผมขอฝากไว้ด้วยว่า การทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างทั้งสิ้น และกินอาหารของความว่างอย่างพระกิน ตายเสร็จแล้วในตัวคืออย่าให้มีตัวเราตั้งแต่แรกเกิดเลย พยายามพิจารณาย้อนหลังอย่าให้ส่วนไหนของตัวเราเป็นตัวเราตั้งแต่แรกมาเลย ทำงานด้วยจิตใจให้เหมือนว่าไม่มีส่วนไหนเป็นตัวเราเป็นของเรา ได้ผลงานมาอย่ายึดถือว่าเป็นของเราให้เป็นของกลางเป็นธรรมชาติ เรากินฉันท์อาหารเข้าไปให้คิดว่ามันเป็นของกิน แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอาหารของเรา อย่างนี้เรียกว่ากินอาหารด้วยความว่าง แบบนี้สบายไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคอะไรทั้งหมดทางจิตทางวิญญาน และร่างกายสบายดี ถ้ายังไม่เข้าใจให้ไปคิดให้เข้าใจว่าทำงานด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่าง กินอาหารด้วยความว่าง ตายแล้วตั้งแต่ครั้งแรก เป็นคำอธิบายของหัวใจของพุทธศาสนาที่สมบูรณ์และจำง่าย ขอฝากไว้ให้ไปคิดไปนึก ถ้าเชื่อแล้วจะได้ปฏิบัติตาม ถ้าเห็นจริงแล้วก็ได้ปฏิบัติตาม ถ้าไม่เห็นจริงก็ไม่ต้องเชื่อและไม่ต้องปฏิบัติตาม นี่เป็นส่วนที่กระผมได้พยายามที่สุดแล้วที่จะนึกว่าสิ่งไหนที่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่กว่าทุกเรื่องจะปฏิสันฐานสำหรับเพื่อศาสธรรมิกในวันนี้ที่มาถึงนี่ ก็คิดได้ส่าเรื่องนี้ดีที่สุดกว่าทุกเรื่องที่จะทำการปฏิสันฐาน จึงได้พูดรวมเข้าไว้ในคำปราศัยหรือคำโอวาสแก่ผู้มาทำวัตรหรือมาทำความเคารพ มาขอโทษอดโทษ มาแลกเปลี่ยนส่วนบุญ เราได้กระทำทุอย่างแล้วเต็มความสามารถของเราแล้วในโอกาสนี้ สิ่งที่จะเป็นไปเพื่อความสุขความเจริญในตัวเราและส่วนรวมและประเทศชาติศาสนา ขอให้เพื่อนศาสธรรมิกทุกๆ องค์ทั้งภิกษุสามเณรจงมีความเข้าใจแจ่มแจ้ง มีความพอใจในการที่จะประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่มองเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าเป็นไปเพื่อความสุขความเจริญตามแบบพุทธศาสนาจริง ขอให้ความเจริญในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ายิ่งๆ ขึ้นไปตลอดกาลนานเทอญ
(46.01) ญาติโยมทั้งหลายอนุโมทนาที่ได้มาร่วมการกุศล โดยการนำพาหนะบ้าง น้ำปานะมาเลี้ยงพระในวันนี้ ซึ่งท่านเห็นแล้วว่าโดยส่วนตัวฉันนั้นไม่สามารถเลี้ยงได้ แต่ท่านได้มาเลี้ยงโดยส่วนตัวแล้วขอขอบคุณที่มาช่วยเลี้ยง และพระทั้งหลายเป็นผู้รับทานอันนี้ขออนุโมทนา ฉันของพูดแทนพระทั้งหลายเพราะท่านไม่สามารถพูดไกด้ทุกองค์ฉันจึงถือโอกาสพูดแทน อนุโมทนาในที่นี้หมายความว่าพูดให้พวกท่านเข้าใจการกระทำที่ได้กระทำในวันนี้ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำควรยินดีในการกระทำนี้ และสิ่งที่สังเกตุเห็นได้และน่าพอใจอยู่อย่างคือ ลักษณะที่พร้อมเพรียง พอรู้ว่าจะมีอะไรที่ไหนก็ไปช่วยในทันที นี่เป็นลักษณะที่น่านับถือ น่าบูชา น่าชื่นชม หลายท่านมาจากที่ไกลๆ มาเลี้ยงพระเพียงเพราะรู้ว่านี้เป็นสิ่งที่ควรช่วยก็มาช่วยกันในทันที ด้วยความเหนื่อยลำบากและหมดเปลืองฉะนั้นจึงไม่เป็นเรื่องเล็กน้อยเลย พระสงฆ์ทั้งหลายก็มองเห็นความจริงข้อนี้และนึกพอใจและอนุโมทนาอยู่ในใจ นี่ก็จะอนุโมทนาให้ปรากฏเป็นวาจาคือพูดเป็นไทย ฉันพูดเป็นภาษาบาลีและะพระทั้งหลายสวด และขอให้ทุกคนถือการกระทำนี้จะเล็กหรือใหญ่ก็ตามก็ต้องถือว่าเป็นการสืบต่ออายุของพุทธศาสนาด้วยเหมือนกันเพราะว่าการประชุมกันชนิดนี้ก็เพื่อสืบอายุพุทธศาสนา คือเราปรึกษาหารือกันเพื่อทำให้พระศาสนามั่นคงยืนยาว และเราปฏิบัติรักษาระเบียบปฏิบัติที่ดีๆให้มีไว้นี่ก็เป็นการสืบอายุพุทธศาสนาให้ยืนยาวด้วยการปฏิบัติ อย่าให้การปฏิบัตินั้นสูญไป นั่นเป็นการสืบอายุพุทธศาสนานั่นเอง ท่านทั้งหลายก็มีส่วนในการสืบอายุพุทธศาสนา ทำให้เกิดขึ้นได้ง่ายเป็นไปอย่างไม่น่าเบื่อซึ่งเป็นส่วนช่วยสืบอายุพุทธศาสนา การนอะไรๆ หรือน้ำปานะมาเลี้ยง ให้ทำในใจให้ชัดเจนลงไปว่าทำไปในลักษณะที่ช่วยสืบอายุพุทธศาสนา อย่าคิดว่าเอาบุญเอาอะไรให้มากมาย ในเรื่องที่จะเป็นการเห็นแก่ตัวเอาเข้าตัว การเอาบุญมักจะเป็นการเอาเข้าตัวของตัวเอง แต่ถ้าเป็นการสืบอายุพุทธศาสนานั้นดีเพราะเป็นการให้ผู้อื่นทั้งหมด เรามันนิดเดียวคนทั้งโลกไม่รู้กี่ร้อยล้าน พันล้าน เรามันคนเดียว เราสืบพุทธศาสนานั้นก็เพื่อคนทั้งโลก นั่นคือหากพูดว่าสืบอายุพุทธศาสนามันไม่เห็นแก่ตัวมันไม่เข้าตัว แต่ถ้าพูดว่าทำบุญเพื่อสวรรค์วิมาน นั่นคือเอาเข้าตัวคนเดียวไม่ให้ใคร นั้นควรๆลืมไปเสียบ้างการทำบุญเพื่อเอาสวรรค์วิมาน ทำบุญอะไรสักนิดก็ขอให้คิดว่าสืบอายุพุทธศาสนา เอาแกงไปถวายวัดสักถ้วยก็ให้ถือว่าสืบอายุพุทธศาสนาให้พระสงฆ์เสริมกำลังในการปฏิบัติ การปริญัติ และปฎิเวศนี่คือสืบต่อพุทธศาสนา นี่คือทำเพื่อให้เกิดการประชุมชนิดนี้เรื่อยๆไปเป็นการได้ประโยชน์หลายทาง เช่น พระพร้อมเพรียงกัน พระได้แสดง กระทำสิ่งที่ควรแสดงควรกระทำ ได้รับความรู้ความฉลาด ชาวบ้านทั้งหลายที่มาก็พลอยได้รับความรู้ความฉลาดร่วมกันหมด แล้วก็เพื่อความอยู่รอดมั่นคงของพุทธศาสนานั้นจึงเป็นเรื่องที่ควรอนุโมทนา และท่านก็ตั้งใจอุทิศฐานว่าเราทำก็เพื่อสืบอายุพุทธศาสนาก็จะได้ผลกว้างขวางนับไม่ถ้วนและยืดยาวนับไม่ไหวเช่นกัน